คัมภีร์วิถีเซียน 1665-1666
ตอนที่ 1665 แม่เฒ่าฮูหยินซา
“นั่นก็ไม่แน่ จารชนนั่นอาจจะเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาเย้ายวนใจ คนที่พี่ไป๋ส่งไปอาจจะมีความสามารถไม่เพียงพอจึงไม่อาจมองอีกฝ่ายออกและปล่อยคนผู้นั้นไป” ผู้ที่เรือนกายถูกลำแสงห่อหุ้มอยู่ราวกับเงาสายหนึ่งพลันเอ่ยขึ้นจากด้านข้างด้วยสีหน้าราบเรียบ
“หึ หากพูดถึงเคล็ดวิชาอื่นบางทีเผ่าของข้าอาจจะไม่กล้าโต้แย้งอันใด แต่ด้านเคล็ดวิชาเย้ายวนใจนี้เผ่าของเราติดอันดับในบรรดาเผ่าทั้งสิบสามเผ่า หากสหายชังอิ่งคิดว่าเผ่าปีศาจทมิฬเชี่ยวชาญกว่าเผ่าภูติวารีของพวกเราล่ะก็ เรื่องนี้ย่อมมอบให้พี่ชังอิ่งไปทำได้” ผู้ที่มีเรือนผมสีขาวตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ
“ข้าเองก็ขบคิดอย่างระมัดระวังจึงได้เอ่ยเช่นนี้ออกมา หากพูดถึงด้านความสามารถด้านเคล็ดวิชาเย้ายวนใจทางด้านเผ่าปีศาจทมิฬจะไปเทียบกับพรสวรรค์ของเผ่าท่านได้อย่างไร” เงาสีเทาหัวเราะร่าท่าทีไม่ใส่ใจ
ชายผมขาวแววตาเย็นเยียบยังไม่คิดจะเอ่ยอะไรอีกนั้น ชายหนุ่มแซ่เวิงกลับมีสีหน้าเคร่งขรึมแล้วเอ่ยขึ้นทันทีว่า
“เอาละ ไม่ต้องพูดพล่ามไร้สาระได้แล้ว จารชนเผ่าแมลงมีเขาผู้นั้นไม่อาจหนีออกไปได้ ในเวลาเดียวกันที่พบว่าของถูกขโมยไป ข้าก็ออกคำสั่งปิดผนึกทางออกทั้งหมด สองสามวันมานี้ล้วนเข้าได้แต่ออกไม่ได้ ต่อให้คนผู้นั้นเป็นแมลงตัวหนึ่งก็ยากที่จะบินออกจากเมืองเมฆา แต่จากคำอธิบายของผู้รักษาการณ์ที่ถูกมันโจมตี คนผู้นั้นมีพลังยุทธ์แค่ระดับ หลอมสุญตาไม่อาจหลอกลูกน้องของสหายไป๋ได้ เช่นนั้นละก็หมายความว่าคนผู้นี้น่าจะซ่อนตัวอยู่ในเมืองเมฆาแปดเก้าส่วน และอยู่ในเมืองนี้ด้วยฐานะอื่นมาตั้งนานแล้ว ดังนั้นการสืบสวนก่อนหน้าจึงไม่พบเป้าหมายที่น่าสงสัย”
เมื่อได้ยินชายหนุ่มแซ่เวิงกล่าวเช่นนี้ ชายผมขาวและเงาสีเทาก็เอ่ยตอบรับด้วยสีหน้านอบน้อม แล้วพลันปิดปากเงียบ
“เป็นดังที่ท่านอาวุโสเวิงกล่าว ก็ยุ่งยากหน่อยแล้ว หากขยายอาณาเขตบุคคลต้องสงสัยไปเกินครึ่งปีก็คงต้องหาอย่างไม่รู้จักจบสิ้น และยิ่งไปกว่านั้นหากเผ่าอื่นก่อความวุ่นวายขึ้นเกรงว่าคงจะยิ่งยุ่งยากเข้าไปใหญ่” เชียนจีจื่อกระแอมไอเบาๆ แล้วเอ่ยปากขึ้นในยามนี้
“อือ ที่สหายเชียนจีจื่อพูดเป็นไปได้นี่เป็นสิ่งที่ข้ากังวลมากที่สุด ทว่าคาดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะขโมยแผนภาพทลายเขตอาคมที่เพิ่งวางเสร็จของเมืองเมฆาของพวกเราไป ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ไม่อาจปล่อยให้คนผู้นี้ออกไปจากเมืองเมฆาได้ มิเช่นนั้นหากกองทัพของเผ่าแมลงมีเขามาประชิดเมือง เขตอาคมในเมืองของเราก็ไร้ประโยชน์ไปกว่าครึ่ง” ชายหนุ่มแซ่เวิงเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ท่านอาวุโสเวิงพูดถูก ขอแค่จารชนเผ่าแมลงมีเขาผู้นั้นยังอยู่ในเมือง แน่นอนว่าย่อมไม่อาจปล่อยให้เขาหนีไปได้ แต่หากเรียกใช้ปรมาจารย์ทั้งหมดทุกวันเช่นนี้ภายในเวลาสิบกว่าวันหรือแม้กระทั่งเดือนสองเดือนย่อมไม่มีปัญหา แต่หากจารชนผู้นั้นตัดสินใจซ่อนตัวอยู่ในเมืองสองสามปีหรือแม้กระทั่งสิบกว่าปี พวกเราก็ดูเหมือนจะไม่อาจรักษาการณ์อย่างเข้มงวดไปได้ตลอด” ชายชราไว้หนวดสีดำยาวสองสามฉื่อเอ่ยปากขึ้น
“อือ สหายนิ่งกล่าวเช่นนี้หรือว่ามีวิธีดีๆ วิธีอื่น?” ชายหนุ่มแซ่เวิงเห็นชายชราเอ่ยปากก็ถามย้อนกลับด้วยแววตาที่เปล่งประกาย
“ไหนเลยชนรุ่นหลังจะมีแผนการดีๆ ทว่าที่นี่ไม่ได้มีเซียนไฉ่อยู่ จากสติปัญญาของสหายไฉ่คิดดูแล้วว่าคงจัดการเรื่องนี้ไม่ได้นาน” ชายชราหนวดสีดำโบกมือเป็นพัลวันแต่ก็เปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา คาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยถึงไฉ่หลิวอิงที่นั่งเงียบๆ อยู่ด้านหลัง
หญิงงามเผ่าผลึกได้ยินคำพูดของชายชราหนวดสีดำ ก็กลอกตาสดใสไปมา ทันใดนั้นก็หัวเราะอย่างแผ่วเบาแล้วตอบว่า
“พี่นิ่งล้อเล่นแล้ว ที่นี่มีท่านอาวุโสเวิงและจ้าวหุบเขาซาอยู่ ไหนเลยจะมีที่ให้ชนรุ่นหลังได้ขายความชาญฉลาด ข้าแค่พยายามตั้งใจฟังคำสั่งเท่านั้น!”
“สหายไฉ่ยามนี้ไม่ใช่เวลามาถ่อมตัว ข้าอยากฟังความเห็นของอาวุโสเผ่าผลึกอย่างเจ้า” ชายหนุ่มแซ่เวิงกลับมีสีหน้าเคร่งเครียดพลางออกคำสั่งกับไช่หลิวอิงตรงๆ
“ในเมื่อท่านอาวุโสให้ชนรุ่นหลังพูด ข้าก็จะเสนออย่างไม่เกรงนะ” หญิงงามเผ่าผลึกขมวดคิ้วดำขลับ แต่ทันใดนั้นก็ยืนขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบคารวะชายหนุ่มแซ่เวิงและแม่เฒ่าชรา
“เซียนไฉ่พูดมาเถอะ”
“ใช่แล้วสหายไฉ่คงไม่ทำให้พวกเราผิดหวัง”
……
เมื่อเห็นหญิงงามเผ่าผลึกกล่าวเช่นนี้ ผู้ที่นั่งอยู่กว่าครึ่งก็เผยรอยยิ้มออกมาพลางเอ่ยชื่นชม
ดูแล้วแม้ว่าไฉ่หลิวอิงจะมีพลังยุทธ์ลำดับท้ายๆ ในระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ แต่ศักดิ์ศรีกลับไม่ต่ำต้อยเลย
แม่เฒ่าชราผู้นั้นที่ดวงตาแทบจะปิดลงครึ่งหนึ่งในยามนี้กลับปรือตาขึ้น มองสาวงามแวบหนึ่ง
ส่วนสายตาของชายหนุ่มแซ่เวิงที่มองไปยังไฉ่หลิวอิงนั้นกลับเผยแววรอคอยออกมา
“ตามความหมายของข้า ในเมื่อตึงเครียดมากไม่ได้ ผ่อนคลายก็ไม่เหมาะสม งั้นมิสู้ภายนอกผ่อนคลายภายในเข้มงวด ล่ออสรพิษให้ออกจากถ้ำจะดีกว่าหรือ” ไฉ่หลิวอิงกวาดสายตาไปยังทุกคนในห้องโถงแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยความคิดเห็นของตนออกมา
“ภายนอกผ่อนคลายภายในเข้มงวด” ชายหนุ่มแซ่เวิงได้ยินคำนี้ก็เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
“ใช่แล้ว ไม่ว่าจารชนผู้นั้นจะใช้วิธีการใดหนีการสืบสวนไป ดูแล้วคงไม่อาจจับคนผู้นั้นได้ในระยะเวลาสั้นๆ หากเป็นเช่นนี้ พวกเราส่งคนออกไปหมดภายในหนึ่งเดือน ตรวจสอบในเมืองทั้งหมดอีกครั้งด้วยกำลังทั้งหมด หากในระยะเวลานี้จับจารชนผู้นั้นได้จริงๆ แน่นอนว่าย่อมดีที่สุด หากไม่ได้อะไรล่ะก็ ก็ให้ลดจำนวนคนลงทีละนิด ทำให้พวกเรามีท่าทีผ่อนคลายเรื่องนี้ลงอย่างช้าๆ แต่ความจริงแล้วจำนวนคนของประตูทั้งสี่จะต้องเพิ่มขึ้นอย่างลับๆ นอกจากนี้ให้รวบรวมกำลังคนฝีมือดีขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อตรวจสอบบุคคลน่าสงสัยที่เพิ่งออกจากเมืองในช่วงเวลานี้ทั้งหมดต่อ หากเป็นเช่นนี้ละก็ เมื่ออีกฝ่ายใจร้อนอยากส่งของออกไป แน่นอนว่าจะต้องเข้ามาติดกับของพวกเราแน่ แต่หากคิดจะแอบซ่อนอยู่ในเมืองต่อไป เขาเห็นว่าภายนอกผ่อนคลาย เวลาผ่านไปก็ไม่อาจรักษาความระมัดระวังไว้ตลอดได้เช่นกัน จะต้องเผยร่องรอยออกมาให้พวกเราตามจับได้แน่” หญิงงามเผ่าผลึกอธิบายอย่างแช่มช้า
“ไม่เลว เป็นวิธีที่ไม่เลวจริงๆ แต่หากเปิดประตูทั้งสี่แล้วมีคนที่มีอิทธิฤทธิ์ด้านแปลงกายสูงส่ง จนปิดบังการตรวจสอบของพวกเราได้ และถือโอกาสนี้ออกจากประตูใหญ่ไป จะทำอย่างไร?” ชายหนุ่มแซ่เวิงฟังจบแล้ว พลันพยักหน้าแต่จากนั้นก็สั่นศีรษะ
คนอื่นๆ ที่เดิมคิดว่าวิธีของไฉ่หลิวอิงไม่เลว ยามนี้ได้ยินชายหนุ่มแซ่เวิงมีท่าทีไม่ค่อยเห็นด้วย ก็อดที่จะมองสบตากันไม่ได้
“หึๆ ท่านอาวุโสเวิง ความจริงแล้วข้าเพิ่งพูดวิธีของข้าไปได้แค่ครึ่งหนึ่ง ยังมีอีกครั้งหนึ่งที่ยังไม่ได้พูดออกมา ท่านอาวุโสลองฟังต่อดูเถิด” หญิงงามเผ่าผลึกกลับฉีกยิ้มเบิกบานขณะเอ่ย
จากนั้นหญิงสาวผู้นี้ก็ขยับริมฝีปาก กลับถ่ายทอดเสียงออกมาโดยที่ไม่ได้เปล่งเสียงผ่านริมฝีปาก คาดไม่ถึงว่าจะถ่ายทอดเสียงให้กับชายหนุ่มแซ่เวิง
ชายหนุ่มแซ่เวิงพลันตกตะลึง แต่เมื่อฟังไปสองสามประโยค ก็ร้องอุทานว่า “เอ๋” ออกมาเบาๆ เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา สุดท้ายคาดไม่ถึงว่าจะเผยสีหน้าตกตะลึงระคนยินดี
ผ่านไปแค่หนึ่งถ้วยน้ำชา หญิงงามเผ่าผลึกถึงได้ปิดปากลง แล้วหยุดการถ่ายทอดเสียง
“เป็นเช่นนี้ดังคาด!” ชายหนุ่มแซ่เวิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยถามไฉ่หลิวอิง จากนั้นก็กลอกตาไปมา คาดไม่ถึงว่าจะมองไปยังเชียนจีจื่อแวบหนึ่ง
“ชนรุ่นหลังจะกล้าเอาเรื่องนี้มาล้อเล่นได้อย่างไร” หญิงงามเผ่าผลึกเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เมื่อเห็นท่าทางลึกลับของไฉ่หลิวอิงและชายหนุ่มแซ่เวิง ตัวประหลาดเฒ่าตนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ก็มองสบตากันแวบหนึ่ง ด้วยสีหน้าหลากหลาย
แต่พวกเขากลับรู้จักวางตัวเป็นอย่างมาก ผู้ใดก็ไม่อยากเอ่ยปากถามเนื้อหาที่ถ่ายทอดเสียง
“อืม ในเมื่อท่านเซียนไฉ่กล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่เวิงจะไม่เชื่อได้อย่างไร ฮูหยินซา การถ่ายทอดเสียงของสหายไฉ่เมื่อครู่คงได้ยินแล้วสินะ ท่านคิดว่าอย่างไร?” ฉับพลันนั้นชายหนุ่มแซ่เวิงก็หันไปเอ่ยถามแม่เฒ่าด้านข้างที่มีท่าทีกึ่งหลับกึ่งตื่น ด้วยท่ามีเกรงใจ
“ข้าไม่มีความเห็นอันใด ยายแก่ออกจากภูเขาอย่างข้า ขี้เกียจใช้สมอง แค่รับหน้าที่ต้านทานศัตรูที่แข็งแกร่ง ช่วยเจ้าเด็กพวกนี้ก็พอแล้ว เรื่องอื่นข้าไม่สนใจ และไม่มีแรงจะไปสนใจ เอาละ ในเมื่อพวกเจ้าจัดการกันได้พอสมควรแล้ว ข้าก็จะไปพักผ่อนก่อน สหายเวิงจากนี้ก็ให้เจ้าเป็นผู้ตัดสินใจ” แม่เฒ่าแซ่ซาหัวเราะหึๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะหยัดกายลุกขึ้นพร้อมกับตัวสั่นงันงก และเอ่ยอย่างไม่มีเรี่ยวแรง
เมื่อได้ยินคำพูดของแม่เฒ่า ชายหนุ่มแซ่เวิงก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มขมขื่น แต่ไม่รอให้เขาคิดจะเอ่ยอะไรกับแม่เฒ่า อีกฝ่ายกลับเดินไปที่ประตูข้างของตำหนักใหญ่ คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทางโยนชายหนุ่มแซ่เวิงไปตรงนี้
เผ่าศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ เห็นสถานการณ์เช่นนี้ สีหน้าพลันแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
จะว่าไปแล้วประวัติความเป็นมาของแม่เฒ่าผู้นี้ลึกลับเป็นอย่างมาก แม้ว่าผู้ใดก็รู้ว่าพวกเขาคือสิ่งมีชีวิตระดับมหายานคนหนึ่งในบรรดาทั้งสิบสามเผ่า แต่กลับไม่มีผู้ใดรู้ว่าว่าแม่เฒ่าผู้นี้อยู่เผ่าใด ฝึกฝนอิทธิฤทธิ์ใด คาดไม่ถึงว่าจะบรรลุระดับมหายานได้
และยิ่งไปกว่านั้นตามข่าวลือแม่เฒ่าชราผู้นี้ยังเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตระดับมหายานที่มีชีวิตยาวนานที่สุดในสิบสามชนเผ่าของพวกเรา ว่ากันว่าอายุขัยยืนยาวกว่าที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้
อย่างน้อยที่สุดระดับศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งฝึกฝนสำเร็จ ก็รู้ถึงการดำรงอยู่ของฮูหยินแม่เฒ่าซาแล้ว
ดังนั้นแม้ว่าแม่เฒ่าผู้นี้จะแก่ชราจนดูราวกับลมพัดก็ปลิว แต่แม้แต่ชายหนุ่มแซ่เวิงที่อยู่ในระดับมหายานเมื่อเผชิญหน้ากับนางก็ยังมีท่าทีเป็นชนรุ่นหลังครึ่งหนึ่ง
ระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ในเมืองเมฆา แน่นอนว่าก็ไม่กล้าดูแคลนเลยสักนิด
ทว่าหลังจากที่ชายหนุ่มใช้สายตาส่งแม่เฒ่าจนหายวับไปจากประตูด้านข้าง ก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วชักสายตากลับมา
“ในเมื่อฮูหยินซาจากไปแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่มีอันใดต้องปรึกษากันแล้ว เอาตามคำแนะนำของสหายไฉ่ก็แล้วกัน ท่านเซียนไฉ่ สหายไป๋ เรื่องนี้มอบให้พวกเจ้าสองคนจัดการก็แล้วกัน คนอื่นๆ ต้องร่วมมืออย่างเต็มกำลัง” หลังจากที่ชายหนุ่มแซ่เวิงขบคิดเล็กน้อย ก็ออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด
แน่นอนว่าทุกคนในห้องโถงกลับไม่มีความเห็น พลางเอ่ยขอบคุณอย่างต่อเนื่อง
“เอาละ จากนี้พวกเราปรึกษาเรื่องแดนกว้างเย็นกันเถิด เชียนจื่อจี เจ้าพูดมาเถิด” ชายหนุ่มแซ่เวิงพลันเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา พลันเอ่ยชื่อขึ้นมา
คนอื่นๆ ได้ฟังคำว่าแดนกว้างเย็น ต่างก็พากันหน้าเปลี่ยนสี
“สหายเชียน เจ้าหมายความว่าอย่างไร หรือว่าแดนกว้างเย็นใกล้จะเปิดแล้ว” คนที่ร้อนใจทนไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น
ไฉ่หลิวอิงและต้วนเทียนเริ่นได้ยิน กลับมองสบตากันแวบหนึ่งตามจิตสำนึก แต่ทันใดนั้นก็เลื่อนสายตาไปด้วยสีหน้าราบเรียบ
“สิ่งที่เผ่าหมื่นโบราณของพวกเราวางอยู่ในตำหนักสะท้านฟ้า มีปฏิกิริยาเมื่อสองวันก่อน จากการคาดเดาก่อนหน้านานหน่อยก็สามสี่ปี สั้นหน่อยก็สองสามเดือนแดนกว้างเย็นจะเปิดแล้ว” เชียนจื่อจีกลับเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน
ตอนที่ 1666 แขก
“เร็วถึงเพียงนี้!”
“เปิดยามนี้ไม่ค่อยเหมาะสมนะ”
……
ชั่วพริบตาสิ่งมีชีวิตในห้องโถงใหญ่ก็เกิดเสียงอื้ออึงขึ้น
“แดนกว้างเย็นเพิ่งจะปรากฏตัวได้ไม่นาน เครื่องมือกว้างเย็นก็ปรากฏลางบอกเหตุออกมา เหมือนกับก่อนหน้าอย่างไรอย่างนั้น ยามนี้เป็นยามที่เผ่าแมลงมีเขากำลังรุกรานเมฆาสวรรค์ของพวกเราพอดี ไม่อาจแบ่งใจไปกับเรื่องนี้ได้ แต่การเปิดเขตกว้างเย็นในครั้งนี้ เป็นโอกาสงามๆ ในการเพิ่มพละกำลังให้กับแต่ละเผ่าในแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี แน่นอนว่าย่อมไม่อาจดูแคลนได้ ดังนั้นจะเตรียมการเรื่องนี้อย่างไร ยังต้องให้สหายทุกท่านและท่านอาวุโสเวิงช่วยกันตัดสินใจถึงจำสำเร็จ” เชียนจีจื่อเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“สหายเชียนพูดไม่ผิด การโจมตีเผ่าแมลงมีเขาเกี่ยวข้องกับกำลังกว่าครึ่งของเมืองเมฆาของพวกเรา แต่โชคดีที่การเปิดแดนกว้างเย็นนั้น พวกเราเองก็ไม่ได้มีประสบการณ์เป็นครั้งแรก แม้ว่าการเปิดครั้งนี้จะค่อนข้างเร็ว แต่ก็ไม่ต้องละลนลาน” ชายหนุ่มแซ่เวิงพยักหน้าขณะเอ่ย
“ความจริงแล้วการเปิดแดนกว้างเย็น หลักสำคัญต้องดูกำลังและวาสนาของชนรุ่นหลังของตนเอง สิ่งที่พวกเราทำได้ก็แค่พยายามยืนยันรายชื่อผู้ที่จะเข้าไปรวมทั้งวางเขตอาคมที่จะเข้าไปในเขตแดนนั้นให้เร็วที่สุด แผ่นป้ายกว้างเย็นในครั้งนี้ สิบสามเผ่าของพวกเราก็ได้มาไม่มากนัก ในเมืองเมฆาก็รักษาเอาไว้ได้แค่สองก้อนเท่านั้น หากเป็นเช่นนั้นละก็ทางพวกเราก็แค่เตรียมเขตอาคมทั้งสองให้ดีก็พอแล้ว ส่วนแดนกว้างเย็นนั้นย่อมต้องให้เขาจัดการ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอันใด” ชายร่างใหญ่ที่เรือนกายเป็นสีดำสนิทราวกับถ่ายดำ เบะปากขณะเอ่ยสนับสนุน
“เป็นเช่นนี้จริงๆ!”
“แต่เมืองเมฆาของพวกเราก็มีชนรุ่นหลังระดับหลอมสุญตาขั้นสุดยอดจำนวนไม่น้อย เกรงว่าคงกำหนดรายชื่อได้ยาก”
“ต้องระวังจารชนของเผ่าแมลงมีเขาถือโอกาสนี้สร้างความวุ่นวาย จะต้องเพิ่มความระมัดระวังเขตอาคมส่งตัวทั้งสองเขตนี้”
……
ผู้ที่นั่งอยู่มีสีหน้ายินดี บ้างกลับขมวดคิ้ว แล้วทยอยกันเอ่ยปาก
ชายหนุ่มแซ่เวิงได้ยินคำพูดของระดับศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ก็เผยสีหน้าอมยิ้มออกมา แต่รอจนทุกคนเอ่ยจนครบรอบหนึ่งแล้ว พลันเอ่ยถามหญิงสาวเผ่าผลึก
“ท่านเซียนไฉ่ เจ้ามีอันใดจะสำทับหรือไม่?”
“เหล่าสหายพูดกันครบแล้ว ข้าไม่มีอันใดจะสำทับอีก” หญิงงามเผ่าผลึกพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็ตอบพร้อมกับอมยิ้ม
“อืม ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การเปิดแดนกว้างเย็นครั้งนี้ให้เตรียมการเหมือนดังที่ผ่านมา ส่วนรายชื่อของชนรุ่นหลังที่จะเข้าไปนั้น ก็ให้พวกท่านกลับไปจัดการกันเอาเอง แต่อย่างน้อยที่สุดต้องมีระดับปลายขั้นสุดยอดสองสามคน แต่การป้องกันเขตอาคมส่งตัวจำต้องเพิ่มกำลังคนมากกว่าสามเท่า และยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้รัศมีทั้งหมดในบริเวณสิบลี้เป็นเขตต้องห้าม คนนอกไม่อาจเข้าใกล้ได้ง่ายๆ เขตอาคมมีเพียงเผ่าหมื่นโบราณถึงจะวางได้ ทั้งหมดนี้ต้องให้สหายเชียนและพวกทั้งสามคนเป็นผู้จัดการ” หลังจากชายหนุ่มแซ่เวิงครุ่นคิดเล็กน้อย สุดท้ายก็ตัดสินใจ
เชียนจีจื่อรวมทั้งอาวุโสอีกสองท่านนั่งอยู่ด้านข้าง แน่นอนว่าพลันค้อมตัวลงตอบรับคำสั่ง
“ใช่แล้ว การกระตุ้นแผ่นป้ายกว้างเย็นของผู้ที่ถูกเลือกนั้น พวกเจ้าก็เลือกให้ดีก็แล้วกัน” ชายหนุ่มแซ่เวิงนึกขึ้นมาได้ พลันเอ่ยถาม
“ผู้ถูกคัดเลือกคนหนึ่งได้ถูกยืนยันแล้ว อีกคนหนึ่งกลับไม่จำเป็น ที่ต้องถูกกระตุ้น” เชียนจีจื่อลังเลเล็กน้อย ถึงได้ตอบกลับ
“หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เรื่องที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น ผู้ที่กระตุ้นแผ่นกว้างเย็นล้วนต้องตัวเลือกที่หายาก และต้องทำพิธีการกระตุ้นในวินาทีสุดท้าย ครั้งนี้จะกระตุ้นก่อนได้อย่างไร” ชายหนุ่มแซ่เวิงได้ยิน สีหน้าก็อดที่จะเคร่งขรึมไม่ได้
“ท่านอาวุโสโปรดอภัย สถานการณ์แผ่นป้ายกว้างเย็นนั้นค่อนข้างพิเศษ ยามที่ได้มาก็ถูกคนกระตุ้นไปแล้ว เรื่องมันเป็นอย่างนี้…” แน่นอนว่าเชียนจีจื่อย่อมเอ่ยเรื่องของหานลี่อย่างระมัดระวังรอบหนึ่ง
“คาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วย เช่นนั้นคนผู้นี้ก็ไม่ใช่คนในเมฆาสวรรค์หรือแม้กระทั่งคนในแผ่นดินใหญ่ของพวกเรา” หลังจากที่ชายหนุ่มแซ่เวิงได้ฟังแล้ว ก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ขอรับ และยิ่งไปกว่านั้นหลายๆ เผ่าของพวกเราก็สัญญาว่าหลังจากเสร็จเรื่องจะให้เขายืมใช้เขตอาคมส่งตัวครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าศิลาวิญญาณที่ต้องเสียจะให้เขาเตรียมเอง” เชียนจีจื่อตอบอย่างซื่อสัตย์
“เขตอาคมส่งตัวย่อมไม่เป็นอันใด สิ่งสำคัญก็คือฐานะคนผู้นี้ไม่ได้มีปัญหาอันใดสินะ” ชายหนุ่มแซ่เวิงมีสีหน้าสลับซับซ้อน แต่ก็เอ่ยซักถามอย่างไม่วางใจ
“ท่านอาวุโสเวิงโปรดวางใจ คนผู้นี้น่าจะไม่มีปัญหาอันใด และยิ่งไปกว่านั้นพวกเราก็แค่อาศัยพลังของคนผู้นี้เข้าไปในแดนกว้างเย็นเท่านั้น ทุกขั้นตอนแทบจะอยู่ในสายตาของพวกเรา เขาจะทำอันใดได้อย่างไร ส่วนหลังจากเข้าไปแล้ว พวกเขาก็จะต่างคนต่างเคลื่อนไหว ยิ่งไม่เกิดปัญหาอันใดแน่” เชียนจีจื่อเอ่ยอย่างมั่นใจ
“ในเมื่อสหายมั่นใจเช่นนี้ แผ่นป้ายกว้างเย็นก็ถูกคนผู้นี้กระตุ้นไปแล้ว เรื่องนี้ก็ช่างมันเถิด ถึงยามนั้นก็ออกคำสั่งคนอื่น ให้จับตาดูคนผู้นี้เงียบๆ ก็พอแล้ว” ชายหนุ่มแซ่เวิงรู้สึกว่าไม่เป็นปัญหา สุดท้ายก็พยักหน้า
แน่นอนว่าเชียนจีจื่อย่อมตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ
“ส่งข่าวกลับไปให้พวกสหายลี่ว์ที่อยู่ด้านหน้า เผ่าแมลงมีเขาเพิ่มกำลังสนับสนุนแล้ว แม้แต่ระดับศักดิ์สิทธิ์ก็ยังเพิ่มขึ้นห้าหกคน ภายใต้ความไม่ระมัดระวังของพวกเรา ก็ถูกทำลายเมืองไปสามเมือง และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ดูแล้วเผ่าแมลงมีเขาคงมีเจตนาจะขยายอาณาเขตแล้ว”
เมื่อเชียนจีจื่อและพวกทั้งสามนั่งลง เผ่าศักดิ์สิทธิ์ผิวสีดำเขียวก็หยัดกายลุกขึ้น รายงานอีกเรื่องกับชายหนุ่มแซ่เวิง
“หึ รีบคัดเลือกระดับศักดิ์สิทธิ์ห้าคนและระดับสูงพันคนในเมืองส่งไปทัพหน้า หากพวกเขาอยากยกระดับการต่อสู้ เมฆาสวรรค์อย่างพวกเราย่อมต้องสู้ให้ถึงที่สุด” ชายหนุ่มแซ่เวิงแค่นเสียงหึด้วยความเย็นชา ออกคำสั่งอย่างไม่ต้องขบคิด
“ขอรับ”
จากนั้นคนอื่นๆ ก็เริ่มรายงานเรื่องสำคัญเรื่องอื่น
สุดท้ายการประชุมของระดับที่สูงที่สุดในเมืองเมฆาที่กินเวลาไปเกือบครึ่งชั่วยามก็สิ้นสุดลง
หลังจากที่ระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดออกจากที่นี่ ก็ทยอยกันหลับไปเตรียมการของตนเอง
ส่วนหานลี่ในยามนี้ ก็ยังคงกักตนฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างหนักภายในถ้ำพำนัก
หนึ่งปีต่อมาหานลี่พลันเดินออกมาจากถ้ำพำนัก แล้วออกไปจากเมืองเมฆา
แต่หลังจากผ่านไปแค่ครึ่งวัน เขาก็กลับเข้าไปในเมืองอีกครั้งอย่างลับๆ ล่อๆ และเข้าไปในห้องลับไม่ยอมออกมา
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป ชั่วพริบตาเวลาสามปีก็จากไปอย่างไม่มีวันย้อนกลับ
ส่วนในห้องลับในถ้ำพำนักของหานลี่ สายตาพลันมืดมน แต่ในนั้นกลับมีเงาร่างคนสามคนนั่งสมาธิอยู่บนฟูก
หนึ่งในนั้นมีลำแสงสีทองเปล่งแสงระยิบระยับ ผิวมีเกล็ดสีทองปรากฏขึ้นเป็นชั้นๆ ราวกับทองคำบริสุทธิ์อย่างไรอย่างนั้น
เรือนกายมีไอสีดำหมุนวน เงาร่างดูเลือนราง ไม่อาจมองให้ชัดเจนได้ คนสุดท้ายกลับเปล่งแสงสีม่วงระยิบระยับ ผิวเป็นสีเขียวมรกต
ทั้งสามล้วนร่ายอาคมที่ไม่เหมือนกัน แต่ล้วนนิ่งงันไม่ขยับเขยื้อน
และไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ฉับพลันนั้นเงาร่างคนสีทองพลันสั่นสะท้าน ชั่วครู่ก็เบิกตาทั้งสองข้างขึ้น
ลำแสงสีฟ้าที่เจิดจ้าระเบิดออกในแววตา
“นี่มันเรื่องอันใดกัน คาดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะมาหาถึงที่ หรือว่าจะเป็น…” เงาร่างคนสีทองเอ่ยพึมพำ
จากนั้นเขาก็สะบัดมือแขนเสื้อข้างหนึ่งไปกลางอากาศ ลำแสงสีขาวกลุ่มหนึ่งบินออกมาจากแขนเสื้อ และลอยนิ่งอยู่บนเพดาน
กลางอากาศมีลำแสงเจิดจ้า ลำแสงสีขาวสะท้อนเงาร่างคนทั้งสามเอาไว้อย่างชัดเจน
เงาร่างคนสีทองตรงกลางนั่นก็คือหานลี่ แต่กลับกำลังขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าจะกำลังขบคิดอันใดอยู่
ผู้ที่มีผิวสีเขียวมรกตซึ่งกำลังเปล่งแสงสีม่วงอยู่ด้านข้าง คาดไม่ถึงว่าจะมีหน้าตาเหมือนกับหานลี่ทุกระเบียบนิ้ว แค่สองตาสดใส กำลังมองมาทางหานลี่ตาปริบๆ ท่าทางอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก
ยามนี้ในไอสีดำอีกกลุ่มหนึ่งพลันมีเสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤตดังออกมา ไอสีดำเริ่มแผ่ออกมาจางๆ ผลคือเผยร่างสัตว์ประหลาดสามหัวหกแขนที่ดูเหมือนมารและเทพออกมา
สัตว์ประหลาดนี้มีสามหัวหกแขน สูงสองจั้ง รอบกายเปล่งแสงสีทองระยิบระยับเช่นกัน แต่ใบหน้าสองดวงกลับชัดเจนเป็นอย่างมาก ใบหน้าดวงสุดท้ายกลับไม่มีปากและจมูก ทำให้ผู้คนเห็นแล้วขนลุกซู่
ส่วนสัตว์ประหลาดที่ดูเหมือนเทวรูปยักษ์สีทอง ใบหน้าชัดเจนทั้งสองที่กำลังหลับสนิท คาดไม่ถึงว่าจะเปิดตาออกโดยอัตโนมัติ รูม่านตามืดมิดราวกับจะดูดจิตสัมผัสของผู้คนทั้งหมดเข้าไปข้างใน
“มีแขกมา พวกเจ้าไปฝึกฝนกันเองก่อน ข้าจะไปพบพวกเขาก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หานลี่ในยามนี้ครุ่นคิดเสร็จสิ้น ก็ออกคำสั่งกับคนทั้งสอง แล้วเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสีทองสายหนึ่งพุ่งออกไปจากกำแพงอีกด้านของห้องลับ
ผลคือแค่กะพริบวาบ สายรุ้งสีทองก็จมหายเข้าไปในกำแพงอย่างไร้ร่องรอยและเงียบเชียบ
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ประตูใหญ่ของถ้ำพำนักที่แต่เดิมปิดสนิทพลันมีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ แล้วเปิดออกอย่างช้าๆ
หานลี่เดินออกมาจากด้านในด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“คารวะท่านอาวุโสไฉ่ เหตุใดท่านอาวุโสถึงมีเวลาว่างมาเยี่ยมเยียนชนรุ่นหลังได้” หานลี่ค้อมตัวทักทายหญิงสาวที่รอหานลี่อยู่ด้านนอกถ้ำพำนักตั้งนานแล้วอย่างนอบน้อม
หญิงสาวผู้นี้มีใบหน้าสง่างาม ร่างกายผอมสูง นั่นคือไฉ่หลิวอิงของเผ่าผลึกผู้นั้น
“อันใด สหายหานไม่ต้อนรับข้าหรือ?” หญิงสาวผู้นั้นกลับฉีกยิ้มเบิกบานขณะเอ่ย
“ท่านอาวุโสล้อเล่นแล้ว การที่ท่านอาวุโสไฉ่มาเยี่ยมเยียนชนรุ่นหลังถึงถ้ำพำนักได้ เป็นสิ่งที่ชนรุ่นหลังร้องขอก็ย่อมไม่มีวันได้มา สหายผู้นี้คือ…” หานลี่ย่อมหัวเราะหึๆ ขณะเอ่ย แต่ก็กลอกตาไปมองอีกคนที่อยู่ด้านหลัง
ด้านหลังไฉ่หลิวอิง กลับมีหญิงสาวร่างกายอรชนอ้อนแอ้นอีกคนหนึ่งยืนอยู่ แต่ศีรษะกลับสวมงอบสีขาว ใบหน้าก็ถูกบดบังไว้ด้วยผลึกลำแสงรางๆ ไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่ชัดเจนได้
“นางเป็นศิษย์ที่เพิ่งรับมาใหม่” หญิงงามเผ่าผลึกกลับไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา แค่อธิบายอย่างคร่าวๆ เท่านั้น
ส่วนหญิงสาวผู้นี้ก็แค่พยักหน้าไม่ได้ปริปากใดๆ
หานลี่เห็นเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจเอ่ยถามอันใดอีก จึงทำได้เพียงเชิญให้ทั้งสองเข้ามานั่งในถ้ำพำนัก
ผลคือผ่านไปไม่นาน ทั้งสามคนก็ทยอยกันนั่งลงในห้องโถงภายในถ้ำพำนักของหานลี่
หุ่นเชิดร่างมนุษย์คนหนึ่งยกผลไม้วิญญาณและน้ำชาสามถ้วยเข้ามาเสิร์ฟโดยที่หานลี่ใช้จิตสัมผัสควบคุม
หญิงงามเผ่าผลึกลิ้มรสชาวิญญาณในถ้วยด้วยความสนใจ ผลคือแววตาพลันเปล่งประกายตกตะลึง
“ไอวิญญาณเข้มข้นมาก ดูเหมือนว่าจะเป็นต้นชาที่มีอายุพันปีขึ้นไปถึงจะมีใบเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะต้นชานี้เดิมทีก็เป็นชนิดที่หายากอยู่แล้ว เช่นนั้นละก็ ชาวิญญาณระดับนี้ย่อมมีคนขายอยู่น้อยมากในเมืองเมฆา” ไฉ่หลิวอิงจิบไปสองสามคำ ก็อดที่จะเอ่ยชื่นชมออกมาไม่ได้
“ในเมื่อท่านอาวุโสชอบ ชนรุ่นหลังก็ยังพอมีอยู่บ้าง ถือว่าเป็นสิ่งที่ชนรุ่นหลังคารวะท่านอาวุโสก็แล้วกัน” หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันฉีกยิ้ม จากนั้นก็ปัดแขนเสื้อไปบนโต๊ะ กล่องสีขาวนวลใบหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ
“ในเมื่อสหายกล่าวเช่นนี้ ข้าเองก็ขอรับไว้อย่างไม่เกรงใจแล้ว ข้าชอบชานี้จริงๆ” หญิงงามเผ่าผลึกกลอกตาไปมา เอ่ยด้วยมุมปากที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น