อัจฉริยะสมองเพชร 1664-1665

ตอนที่ 1664

 

กำจัดสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิด (1)

แม้แต่ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาว ที่อ่อนด้อยที่สุดในสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ก็ยังมีวรยุทธขั้นการพักฟื้นภายใน ขั้นต้น ส่วนผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็มีวรยุทธระดับเดียวกับเซียนดาบชิง


แต่ด้วยพละกำลังของพวกเขา ก็ยังไม่อาจเข้าสู่ศาลเจ้าขงจื๊อหรือตรวจสอบเหตุการณ์ภายในโดยใช้การรับรู้จิตวิญญาณได้…เกิดอะไรขึ้นข้างในกันแน่?


ข้าแต่บรรพบุรุษ นี่คุณจะพอใจก็ต่อเมื่อได้ทำลายศาลเจ้าขงจื๊อจนพังพินาศด้วยใช่ไหม?


ครืนนน!


ในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังของเหรินชิงหยวน เขาเห็นหมู่เมฆดำลอยมา พร้อมกับพละกำลังมหาศาลที่เข้าครอบคลุมทั่วทั้งพื้นที่อย่างรวดเร็ว เปลวเพลิงอันน่าสะพรึงแทรกตัวอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ พร้อมจะพุ่งเข้าใส่โลกได้ทุกขณะ


“นี่คือ…การทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ใช่ไหม?”


“แต่ทำไมเปลวเพลิงถึงเป็นสีดำล่ะ?”


“เขาเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดไม่ใช่หรือ? เรียกการทดสอบอันทรงพลังขนาดนี้มาได้อย่างไร?”


“ผมก็ไม่รู้ บางที…อาจเป็นเพราะเขาเป็นอัจฉริยะละมั้ง?”


…..


ฝูงชนต่างตกตะลึงเมื่อได้เห็นหมู่เมฆเข้าครอบคลุมพื้นที่บริเวณนั้น


พวกเขาได้ตรวจสอบระดับวรยุทธของจางเซวียนแล้วตอนที่จัดการทดสอบของปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวให้เขาเมื่อครู่นี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอีกฝ่ายเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด หรือต่อให้ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ ก็ควรจะเป็นแค่นักรบขั้นการพักฟื้นภายในเท่านั้น


แต่ด้วยเหตุผลอันน่าทึ่งบางอย่าง การทดสอบวรยุทธที่เขาเรียกมาคือการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ แถมยังเป็นเปลวเพลิงที่ทรงพลังกว่าธรรมดาด้วย…


คุณทำได้อย่างไรกัน? คุณซึมซับของล้ำค่าทั้งหมดในศาลเจ้าขงจื๊อไปแล้วหรือ?


เหรินชิงหยวนพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขาตัวสั่นไม่หยุด จากนั้นก็อุทานด้วยความพรั่นพรึง “เดี๋ยวก่อน…นั่นมันเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด! เป็นการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเปลวเพลิงสวรรค์ทั้งหมด!”


เปลวเพลิงสวรรค์สีดำ-นี่เป็นปรากฏการณ์ที่แม้แต่เหล่าปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวผู้รอบรู้ที่มารวมตัวกันที่นี่ก็ยังไม่เคยได้ยิน ขนาดเหรินชิงหยวนก็ยังรู้รายละเอียดเพียงคร่าวๆ จากที่ปรากฏอยู่ในฉนวนแห่งสภาปรมาจารย์เท่านั้น


เปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดมีสีดำสนิท และไม่มีอะไรในโลกที่มันจะแผดเผาไม่ได้ หากมันพุ่งลงมาล่ะก็ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทุกอย่างในโลกจะต้องมอดไหม้ มันคือการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ที่น่าสะพรึงที่สุด และนักรบเพียงผู้เดียวที่เป็นที่รู้กันว่าสามารถเรียกมันมาได้ก็คือปรมาจารย์ขง


ชายหนุ่มกำลังจะทำแบบเดียวกับปรมาจารย์ขงหรือ?


หรือว่าเขาพบมรดกตกทอดอันน่าทึ่งบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในศาลเจ้าขงจื๊อ ซึ่งพวกเขาหาไม่พบ


แต่ถึงแม้จะมีมรดกซุกซ่อนอยู่จริง ก็ดูไม่สมเหตุสมผลเลยที่ชายหนุ่มจะหามันเจออย่างรวดเร็วขนาดนี้


“ตอนนี้ปิดข่าวไว้ก่อนนะ อย่าให้รั่วไหลออกไปได้แม้แต่คำเดียว” เหรินชิงยวนหันไปสั่งการอย่างเคร่งเครียดกับเหล่าผู้อาวุโสที่อยู่รอบตัวเขา


ไม่ว่าจางเซวียนจะเอาชีวิตรอดจากการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ได้หรือไม่ ก็ล้วนแต่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับสภาปรมาจารย์


หากเขาเอาชีวิตรอดจากการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ได้ ก็หมายความว่าผู้เชี่ยวชาญที่มีความเก่งกาจทัดเทียมกับปรมาจารย์ขงได้ปรากฏขึ้นแล้ว เมื่อประกอบกับตระกูลจางและกลุ่มอำนาจใหญ่อีกมากมายที่อยู่ภายใต้การนำของเขา อำนาจของสภาปรมาจารย์ก็จะต้องลดลงอย่างรวดเร็วในอนาคตอันใกล้


ส่วนอีกด้านหนึ่ง หากจางเซวียนตายเพราะการทดสอบ พวกเขาจะอธิบายกับตระกูลจาง ตระกูลหลัว และตระกูลเจียงอย่างไรว่าหัวหน้าตระกูลของพวกเขาต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่?


สำหรับตอนนี้ สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ก็คือปิดข่าวไว้ให้นานที่สุด ทั้ง 3 ตระกูลใหญ่ได้รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวแล้วภายใต้การนำของจางเซวียน และก็เพราะอิทธิพลของชายหนุ่มที่ทำให้สภาปรมาจารย์สามารถขับเคลื่อนทั้ง 3 ตระกูลนั้นได้ หากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นกับจางเซวียนในตอนนี้ ทุกอย่างจะต้องพังทลาย


เมื่อต้องเผชิญกับวิกฤตทั้งภายในและภายนอก ต่อให้สภาปรมาจารย์ที่ทรงพลังก็อาจล่มสลายได้ เพราะแรงกดดันหนักหน่วงนี้


“พวกเราเข้าใจ…”


เหล่าปรมาจารย์ระดับ 9 ดาว รู้ดีว่าสถานการณ์นี้สำคัญอย่างไร พวกเขารีบสร้างค่ายกลล้อมรอบพื้นที่นั้นไว้เพื่อปิดบังปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นด้านใน


…..


จางเซวียนไม่รับรู้ถึงความแตกตื่นที่เกิดขึ้นด้านนอก สมาธิของเขาดำดิ่งอยู่ภายในกายเนื้อ เขากำลังสำรวจการเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างถี่ถ้วน


จางเซวียนค่อยๆสร้างรากฐานของกายเนื้อของเขาอย่างช้าๆ ในรูปแบบที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติมากขึ้น ทำให้พลังงานไหลเวียนได้อย่างไม่ติดขัด สิ่งนี้ส่งผลให้พละกำลังของเขาเพิ่มขึ้นอีกมาก


เครือข่ายทางเดินพลังปราณของเราก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน มันเริ่มจะมีหน้าตาคล้ายกับเครือข่ายทางเดินพลังปราณที่เราเปลี่ยนให้จ้าวหย่าในครั้งนั้น…


การฝ่าด่านวรยุทธของพลังปราณนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในแผนผังของทางเดินพลังปราณของเขา ตอนนี้ทางเดินพลังปราณของจางเซวียนได้ปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาไปจนดูคล้ายกับเครือข่ายทางเดินพลังปราณของจ้าวหย่า


ดูเหมือนเครือข่ายทางเดินพลังปราณที่เขาสร้างขึ้นใหม่ให้จ้าวหย่านั้นจะเป็นรูปแบบที่เหมาะสมมากกับนักรบ


พูดอีกอย่างก็คือ เรื่องนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าทำไมเผ่าพันธุ์ปีศาจถึงแข็งแกร่งกว่ามนุษย์มาก ก็เพราะพวกมันมีร่างกายที่เหนือชั้นกว่า แต่ถึงอย่างนั้น เครือข่ายทางเดินพลังปราณที่พวกมันมีอยู่ก็ยังไม่ใกล้เคียงกับรูปแบบในอุดมคติที่จางเซวียนมี


การยกระดับความแข็งแกร่งของร่างกายนั้นสามารถทำได้โดยการฝึกฝนวรยุทธ แต่ความแตกต่างตั้งแต่เริ่มแรกนั้นก็ยังเป็นช่องว่างที่ยากจะเชื่อมถึงกันได้


อย่างเผ่าพันธุ์มังกรเป็นตัวอย่าง ไม่มีใครในทวีปแห่งปรมาจารย์เคยเห็นสายเลือดมังกรบริสุทธิ์มาก่อน แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธว่าสายเลือดมังกรบริสุทธิ์นั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่เหนือชั้นซึ่งมีพละกำลังทำลายล้างอย่างน่าทึ่ง


แม้แต่หอกสวรรค์กระดูกมังกรก็ยังต้องยอมจำนนเมื่อเผชิญหน้ากับแปดโน้ตมังกรสวรรค์ พูดกันตามตรง ขนาดจางเซวียนเองก็ยังไม่อาจหยั่งถึงความทรงพลังของสายเลือดมังกรบริสุทธิ์ได้ เป็นไปได้ว่าพวกมันน่าจะมีความแข็งแกร่งที่เหนือชั้นกว่านักปราชญ์โบราณมาตั้งแต่เกิด


นี่คือช่องว่างที่เกิดขึ้นระหว่างสองเผ่าพันธุ์


ด้วยความจริงที่ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจมีสภาวะร่างกายที่แข็งแกร่งกว่ามนุษย์ พวกมันมีทุกอย่างเหนือชั้นกว่า สภาวะที่เหนือชั้นกว่านี้ทำให้พวกมันมีวรยุทธระดับเดียวกับนักรบเหนือมนุษย์มาตั้งแต่เกิดและมีอายุขัยที่ยืนยาวกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์มาก


การที่สภาวะร่างกายของจางเซวียนเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยหลังจากสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ก็หมายความว่าเขาได้เข้าถึงวิวัฒนาการของการยกระดับร่างกายของตัวเองแล้ว


ถ้าเขามีทายาทสักคนในตอนนี้ ต่อให้ทายาทของเขาไม่สามารถสืบทอดความสามารถที่อยู่ในสายเลือดของเขาได้ แต่ก็จะมีความปราดเปรื่องเหนือกว่านักรบทั่วไปเพราะสภาวะเหนือชั้นที่จางเซวียนเพิ่งได้รับ


อันที่จริง ผู้ก่อตั้งส่วนใหญ่ของตระกูลนักปราชญ์ขั้น 3 ก็ล้วนแต่เป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 4-ชั่วกัลปาวสานที่ไม่อาจสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณได้จวบจนสิ้นอายุขัย


ดูเหมือนการรับรู้จิตวิญญาณของเราและความแข็งแกร่งของร่างกายก็จะได้รับการพัฒนาเช่นกัน!


ความเปลี่ยนแปลงไม่ได้มีเพียงแค่เครือข่ายทางเดินพลังปราณของจางเซวียนเท่านั้น การรับรู้จิตวิญญาณของเขาก็แข็งแกร่งกว่าแต่ก่อน ที่ผ่านมา ไม่มีทางที่เขาจะมองเห็นโครงสร้างภายในของแต่ละเซลล์ได้ แต่ด้วยการรับรู้จิตวิญญาณที่พัฒนาขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้เขามองเห็นแม้แต่อณูที่เล็กที่สุดภายในเซลล์แต่ละเซลล์อย่างชัดเจน


ในเวลาเดียวกัน ขอบเขตของการรับรู้จิตวิญญาณของเขาก็ขยายวงกว้างขึ้นเป็น 20 ลี้ พูดอีกอย่างก็คือ หากเขาเปิดใช้การรับรู้จิตวิญญาณ จะไม่มีสิ่งใดในอาณาเขต 20 ลี้ที่จะรอดพ้นจากหูตาของเขาไปได้ เพียงแค่ใช้การรับรู้จิตวิญญาณ ทุกคนที่อยู่ในรัศมี 20 ลี้ก็จะไม่มีทางหลุดรอดจากการจับตาของเขา


ส่วนกายเนื้อของจางเซวียนไม่ได้รับการพัฒนามากนัก เพราะเขาเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธและยังไม่มีโอกาสได้บ่มเพาะร่างกาย แต่ด้วยการบ่มเพาะพลังปราณผ่านทางเดินพลังปราณ ร่างกายของเขา จึงมีความแข็งแกร่งที่เหนือชั้นไปกว่าของล้ำค่าระดับเซียนขั้นสูงสุดเสียอีก ตอนนี้อยู่ที่ขั้นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แล้ว


แต่แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขาได้รับก็คือพลังปราณ


มันบริสุทธิ์และเข้มข้นกว่าแต่ก่อน พลังปราณในปริมาณที่ไม่อาจจินตนาการได้เข้าไปสะสมที่จุดตันเถียนของเขา ดูราวกับมหาสมุทรที่ไร้ขอบเขต


เราควรจะให้ความสำคัญกับการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ที่กำลังมาถึงก่อน!


ข้อมูลเหล่านี้พุ่งเข้าสู่สมองของเขาอย่างรวดเร็วโดยใช้การรับรู้จิตวิญญาณ แต่จางเซวียนก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะมัววิเคราะห์สภาวะร่างกายของตัวเอง เขาสูดหายใจลึกแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า


ฟิ้วววว!


ชั่วขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เปลวเพลิงสีดำกลุ่มหนึ่งก็พุ่งลงมาจากหมู่เมฆดำที่อยู่ด้านบน


“ซึมซับ!”


ด้วยประสบการณ์ครั้งก่อนในการรับมือกับเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด จางเซวียนจึงไม่หวาดกลัวอีกต่อไป เขาซึมซับเปลวเพลิงสีดำเข้าสู่ร่างกายโดยปราศจากความลังเล


แต่พริบตาต่อมา ความเจ็บปวดแสนสาหัสก็เข้าโจมตีร่างกายของเขา ความร้อนที่แผดเผาอยู่ในร่างกายนั้นแทบจะหลอมละลายเขาให้กลายเป็นโคลนเหนียวหนืด


เราจะต้องขับเคลื่อนพลังปราณและใช้ความร้อนบ่มเพาะกายเนื้อของเราเดี๋ยวนี้!


จางเซวียนรู้ดีว่าเขากำลังผ่านการทดสอบร่างกาย การทดสอบแผดเผาวิญญาณ และการทดสอบแผดเผาหัวใจไปพร้อมๆกัน ต่อให้เขาจะเจ็บปวดขนาดไหน มันก็เป็นการทดสอบที่เขาต้องผ่านไปให้ได้


เขาไม่อาจล้มเลิกตอนนี้ วินาทีที่เขายอมแพ้ต่อความหวาดกลัวก็คือวินาทีที่เขาจะต้องมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน จางเซวียนรู้ความจริงข้อนี้ดี จึงกัดฟันบังคับตัวเองให้อดทนกับความเจ็บปวดนั้น ขณะที่รีบขับเคลื่อนพลังปราณเพื่อสลายความร้อน


ซรืดดดดด!


ภายใต้กระแสพลังปราณเทียบฟ้าที่พุ่งอย่างดุเดือด เปลวเพลิงลูกใหญ่นั้นถูกทำให้แตกกระจายกลายเป็นเมล็ดไฟเล็กๆ แต่ก็ยังมีฤทธิ์แผดเผาอยู่


ก่อนที่จางเซวียนจะทันรู้ตัว ความเจ็บปวดก็เพิ่มความรุนแรงขึ้น ราวกับมันกำลังทิ่มแทงลึกเข้าสู่ร่างกายของเขา ทำให้เขารู้สึกเวียนศีรษะ


ไม่ใช่ละ แบบนี้ไม่ถูกแล้ว…มันจะเจ็บปวดกว่าตอนที่เปลวเพลิงสวรรค์ทำการทดสอบจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเราได้อย่างไร? จางเซวียนคิดด้วยความระแวงขณะเหงื่อท่วมร่าง


เพราะเผชิญหน้ากับการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดมาแล้วครั้งหนึ่ง จางเซวียนจึงคิดว่าคราวนี้คงไม่มีอะไรให้หวาดกลัว แต่ก็ได้รู้แล้วว่าประสบการณ์ครั้งก่อนใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย


เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งที่เราเผชิญหน้าในคราวก่อนคือการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ ขณะที่คราวนี้เป็น…การทดสอบสถาปนานักปราชญ์? มันไม่ใช่เปลวเพลิงในระดับเดียวกันใช่ไหม?


สิ่งที่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาได้เผชิญก่อนหน้านี้คือการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด ซึ่งถูกเรียกมาจากการฝ่าด่านวรยุทธของจิตวิญญาณไปสู่ขั้นร่างอันทรงเกียรติ แต่เปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดที่เขาเผชิญอยู่ตอนนี้คือการทดสอบวรยุทธที่ถูกเรียกมาโดยสภาวะพิเศษที่ได้จากกระบวนการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นการพักฟื้นภายใน


นี่เป็นการทดสอบแบบไม่ธรรมดาที่ปรมาจารย์ขงเคยเรียกมาเมื่อหลายหมื่นปีก่อน มีโอกาสสูงที่มันจะไม่ใช่การทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์แบบทั่วไป


จางเซวียนเข้าใจดีว่าการทดสอบวรยุทธย่อมไม่ธรรมดา แต่คราวนี้…มันจะแข็งแกร่งเกินไปไหม?


แม้แต่จิตวิญญาณที่มีวรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติ โลกจารึกของเขาก็ยังรับมือกับความร้อนแผดเผาของเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดได้ด้วยความยากลำบาก ตอนนี้ มาถึงจุดที่ดูเหมือนสติสัมปชัญญะของเขาพร้อมจะหลุดลอยไปได้ทุกขณะ


เขาแทบนึกภาพไม่ออกว่าตัวเองจะมีสภาพเป็นอย่างไรหากก่อนหน้านี้ไม่ได้ยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณไปสู่ขั้นร่างอันทรงเกียรติเอาไว้ล่วงหน้า บางที เขาอาจจะหมดสติไปทันทีที่ซึมซับเปลวเพลิงสวรรค์เข้าสู่ร่างกาย ทำให้เปลวเพลิงสวรรค์แผดเผากายเนื้อของเขาได้ตามใจ


ถ้าสำหรับเขา มันยังยากเย็นขนาดนี้ แล้วปรมาจารย์ขงที่ไม่ได้มีหอสมุดเทียบฟ้าสามารถเอาชีวิตรอดจากการทดสอบที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ครั้งนี้ได้อย่างไรกัน?


จางเซวียนอดสงสัยไม่ได้

 

 

 


ตอนที่ 1665

 

 กำจัดสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิด (2)

รู้ดีว่าไม่ใช่เวลาจะมัววอกแวก จางเซวียนระงับความเวียนหัวไว้และเพ่งสมาธิกับร่างที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนแผ่นหิน


ร่างนั้นดูเหมือนจะผ่านประสบการณ์แบบเดียวกับเขา เปลวเพลิงสวรรค์ที่พุ่งลงมาจากสวรรค์นั้นแผดเผาเขาอย่างไร้ความปรานี ทำให้ร่างมอดไหม้เป็นตอตะโก รังสีของเขาอ่อนแรงลงอย่างรวดเร็วภายใต้ความร้อนนั้น ดูเหมือนพร้อมจะสละลมหายใจสุดท้ายได้ทุกขณะ


ขณะที่รังสีของอีกฝ่ายอ่อนแรงลงจนแทบจะจับไม่ได้ เมล็ดไฟเล็กๆก็ระเบิดออกจากร่างของเขา เมล็ดไฟขนาดเล็กนั้นเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเผชิญหน้ากับความร้อน สะสมทั้งพละกำลังและพลังชีวิตเอาไว้ ไม่ช้ามันก็เติบโต กลายเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่


ร่างนั้นยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติงตลอดกระบวนการ แต่ร่างของเขาดูเหมือนจะขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ดูจะสูงตระหง่านกว่าทุกอย่างในโลกใบนี้


นี่มัน…การเกิดใหม่จากความเสื่อมสลาย การฟื้นคืนชีพจากความตาย? จางเซวียนใจเต้นตึกตักด้วยความอัศจรรย์ใจ


เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง โลกอันสดใสก็จะค่อยๆเหี่ยวแห้งและสูญเสียพลังชีวิตไป เหลือไว้เพียงกองใบไม้ที่ร่วงโรยอยู่กับพื้น แต่เมื่อฤดูใบไม้ผลิหวนกลับคืนสู่โลกอีกครั้ง ทุกอย่างก็จะฟื้นคืนชีพ พลังชีวิตจะกลับคืนสู่โลกใบนี้ ขจัดความตายและก่อเกิดชีวิตใหม่!


นี่คือวัฏจักรของธรรมชาติ


และร่างที่นั่งอยู่บนแท่นหินก็กำลังใช้วัฏจักรนี้เพื่อประโยชน์ในการฝึกฝนวรยุทธของเขา


ยิ่งเราพยายามต่อต้านเปลวเพลิงสีดำมากขึ้นเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งแผดเผาตัวเรารุนแรงขึ้นเท่านั้น แต่ในอีกแง่หนึ่ง หากเราเลือกที่จะไม่ต่อต้านเปลวเพลิงสวรรค์ อุณหภูมิของมันก็จะลดลงมาก ซึ่งถ้าเราสามารถลดอุณหภูมิของเปลวเพลิงสวรรค์ลงจนถึงขั้นที่เราทนทานได้ ก็จะสามารถใช้ความร้อนนั้นบ่มเพาะร่างกายและค่อยๆคุ้นชินกับมันไปเอง…จางเซวียนตาโตเมื่อคิดได้


นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติกับการทดสอบวรยุทธ ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบสายฟ้าหรือการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ ประสิทธิภาพของการทดสอบจะเปรียบเหมือนกระจกเงาที่ส่องให้เห็นความแข็งแกร่งของนักรบที่กำลังเผชิญหน้ากับมัน


อย่างการทดสอบสายฟ้าเป็นตัวอย่าง ยิ่งนักรบผู้นั้นมีความแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่ การทดสอบสายฟ้าก็จะทรงพลังมากขึ้น ในอีกแง่หนึ่งก็คือ หากนักรบอ่อนแอ การทดสอบสายฟ้าก็จะอ่อนแอตามไป


มันเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบซึ่งกันและกันในตัวเอง แต่กุญแจของการเอาชนะการทดสอบวรยุทธนั้นไม่ใช่การต่อต้าน ต่อให้จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาเข้าถึงขั้นร่างอันทรงเกียรติแล้ว ในท้ายที่สุดเขาก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความร้อนแผดเผาและเสียชีวิตอยู่ดี


สิ่งที่เขาต้องทำก็คือแสร้งทำเป็นอ่อนแอต่อหน้าการทดสอบวรยุทธ เพื่อให้เวลากับร่างกายของตัวเองในการทำความคุ้นเคยกับความร้อนนั้น


เมื่อหน้าหนาวมาถึง สรรพสิ่งก็จะเงียบงัน!


ในที่สุด เมื่อจางเซวียนมองเห็นทางออกจากวิกฤตครั้งนี้ เขาก็ละทิ้งความพยายามที่จะหลีกหนีจากเปลวเพลิงสวรรค์ สติสัมปชัญญะของเขาดูจะเลือนหายไปจากร่างขณะที่หยุดหายใจไปพร้อมๆกัน


ราวกับหน้าหนาวได้เข้ามาขจัดเอาเปลวเพลิงแห่งชีวิตออกไปด้วยความเยือกเย็นอันหนักอึ้ง ในตอนนี้ ดูเหมือนความเงียบงันที่เป็นนิรันดร์กาลได้เข้าครอบคลุมโลกทั้งใบ


เป็นอย่างที่จางเซวียนคิดไว้ ทันทีที่เขาละทิ้งความพยายามทั้งหมดที่จะต่อต้าน เปลวเพลิงสีดำก็ดูเหมือนจะลดการโจมตีและสงบลง ส่งผลให้อุณหภูมิของมันตกฮวบ


หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ พลังปราณของจางเซวียนก็เหมือนน้ำมันที่ราดเข้าสู่เปลวเพลิงสีดำ ยิ่งเขาพยายามจะปัดป้องเปลวเพลิงโดยใช้พลังปราณมากเท่าไหร่ เปลวเพลิงนั้นก็จะยิ่งลุกโพลง เพื่อทำอันตรายเขามากขึ้น แต่ในอีกแง่หนึ่ง หากเขาสกัดกั้นพลังปราณเอาไว้และป้องกันไม่ให้มันเข้าใกล้เปลวเพลิงสีดำได้ เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง เปลวเพลิงก็จะสูญเสียพละกำลังของมันและสลายตัวไปเอง


เมื่อละทิ้งความพยายามที่จะต่อต้าน รังสีของจางเซวียนก็อ่อนแรงลงมาก จนถึงจุดที่เขาไม่ได้เหนือชั้นไปกว่านักรบเหนือมนุษย์ทั่วไป ซึ่งเมื่อเป็นแบบนั้น เปลวเพลิงสีดำก็อ่อนแรงลงจนถึงระดับที่เขาทนทานไหว


ภายใต้ความร้อนแผดเผาของเปลวเพลิงสีดำนั้น แก๊สสีดำก็เริ่มพวยพุ่งออกจากร่างของจางเซวียน ไม่ช้า ลำแสงสีทองก็โอบล้อมทั่วกายเนื้อของเขาไว้


เพราะจางเซวียนได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาร่างนวะโลหะ จึงรู้ดีว่าแก๊สสีดำนั้นคือสิ่งปนเปื้อนที่สะสมอยู่ในกายเนื้อของเขา แม้เขาจะได้ขัดเกลากายเนื้อครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะชำระมันให้บริสุทธิ์อย่างหมดจด


สำหรับเรื่องนี้ ก็เหมือนกับการที่ใครคนหนึ่งอาบน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ร่างกายก็ไม่มีทางสะอาดเอี่ยมสมบูรณ์แบบได้


นั่นเป็นเพราะพลังจิตวิญญาณในธรรมชาตินั้นไม่บริสุทธิ์ สิ่งปนเปื้อนที่อยู่ในตัวมันคือเหตุผลที่ทำให้หินวิเศษถูกแบ่งระดับขั้นออกเป็นขั้นต่ำ ขั้นกลาง ขั้นสูง และขั้นสูงสุด


แม้แต่หินวิเศษขั้นสูงสุดซึ่งมีความบริสุทธิ์ขั้นสุดยอดของหินวิเศษก็ยังไม่ใกล้เคียงกับคำว่าปราศจากสิ่งปนเปื้อน และในเมื่อพลังจิตวิญญาณที่นักรบซึมซับเข้าไปไม่ได้สะอาดสมบูรณ์แบบ ก็เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่สิ่งปนเปื้อนจะค่อยๆสะสมอยู่ในร่างของเขา


เปลวเพลิงสวรรค์มีอำนาจและพละกำลังในการแผดเผาสิ่งปนเปื้อนเหล่านี้ให้กลายเป็นแก๊สสีดำและขับออกจากร่างของนักรบได้ เมื่อปราศจากสิ่งปนเปื้อนที่เข้ากีดขวางการทำงานของร่างกาย นักรบผู้นั้นก็จะมีพละกำลังเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก


เป็นที่รู้กันว่าทองคำเป็นแร่ธาตุที่มีสิ่งปนเปื้อนเจือปนอยู่น้อยที่สุด ด้วยการบ่มเพาะกายเนื้อครั้งแล้วครั้งเล่า มันก็เริ่มฉายแสงของทองคำที่สวยงามเป็นประกายออกมา และนี่ก็คือต้นกำเนิดของคำว่า ‘ร่างอันทรงเกียรติ’


ยิ่งแก๊สสีดำถูกขับออกมามากเท่าไหร่ ประกายสีทองที่แผ่ออกมาจากร่างของจางเซวียนก็ยิ่งเจิดจ้ามากขึ้นเท่านั้น


ในการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ครั้งก่อน เขาทำได้แค่ขัดเกลาจิตวิญญาณต้นกำเนิดให้มีสีเหมือนทองคำ แต่เมื่อถูกเปลวเพลิงสีดำแผดเผา ทั้งกายเนื้อและพลังปราณของจางเซวียนก็ถูกชำระให้บริสุทธิ์อย่างรวดเร็วจนพวกมันเริ่มแปรเปลี่ยนกลายเป็นทองคำเช่นกัน


เพียงแค่เคาะเบาๆ เสียงก้องกังวานของโลหะก็ดังออกจากร่างของเขา ราวกับร่างของจางเซวียนได้กลายเป็นอาวุธในตำนาน


เราคิดว่าเราควรจะเริ่มเพิ่มอุณหภูมิของเปลวเพลิงสีดำได้แล้ว…


ขณะที่เปลวเพลิงสีดำบ่มเพาะร่างของเขา จางเซวียนพบว่าความเจ็บปวดแสนสาหัสที่เขาต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ก่อนหน้านี้ได้ลดลงจนถึงระดับที่เขาแทบไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว นี่เป็นสัญญาณว่าเขาเริ่มคุ้นชินกับระดับความร้อนที่เปลวเพลิงสวรรค์แผ่ออกมา และมันไม่อาจทำอันตรายเขาได้อีกต่อไป


ดังนั้น จางเซวียนจึงเริ่มขับเคลื่อนพลังปราณ


ในชั่วพริบตา ก็ราวกับโลกทั้งโลกกลับมามีชีวิต เกล็ดหิมะได้หลอมละลาย กระแสพลังชีวิตพวยพุ่งออกมาจากส่วนลึกของร่างของเขา


ฟิ้วววว!


เห็นความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของจางเซวียน เปลวเพลิงสีดำดูเหมือนจะโกรธเกรี้ยวขึ้นมา ลูกไฟจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งลงมาลูกแล้วลูกเล่า ตั้งใจจะแผดเผาชายหนุ่มให้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน


แต่นี่ก็เป็นปฏิกิริยาที่จางเซวียนคาดการณ์ไว้แล้ว เขาซึมซับลูกไฟสีดำเหล่านั้นเข้าสู่ร่างกายโดยไม่ลังเล


เมื่อไม่นานมานี้ เปลวเพลิงสีดำยังแผดเผาจนเกินที่เขาจะต้านทานไหว แต่เมื่อใช้เวลาทำความคุ้นเคยระยะหนึ่งแล้ว ร่างกายของเขาก็สร้างภูมิต้านทานที่ต่อต้านความร้อนนั้นได้ ความบอบช้ำและความเจ็บปวดในร่างของเขาลดลงจนถึงระดับที่จางเซวียนรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่


แก๊สสีดำยังคงพวยพุ่งออกจากร่างของเขา และประกายสีทองบนร่างของจางเซวียนก็ยิ่งเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ พื้นที่ที่เขานั่งอยู่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำเพราะความร้อนแผดเผาของเปลวเพลิงสีดำ แต่ในเวลาเดียวกัน มันก็เริ่มโปร่งแสง ค่อยๆแปรเปลี่ยนจนมีรูปลักษณ์เหมือนหินหยกสีน้ำเงินที่เขาได้เห็นก่อนหน้านี้


จางเซวียนรู้สึกว่าร่างกายของเขาค่อยๆคุ้นชินกับเปลวเพลิงสีดำไปอย่างช้าๆ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ นัยน์ตาเป็นประกายขณะที่คิดว่า ได้เวลาจัดการสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดแล้ว!


สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดลักลอบกลับเข้ามาในกายเนื้อของเขาและซุกซ่อนอยู่ในทางเดินพลังปราณส่วนที่แคบที่สุดที่เขาเข้าไม่ถึง แต่คราวนี้เขาตั้งใจจะจัดการมันให้สิ้นซาก


จางเซวียนสูดหายใจลึกขณะเงยหน้าขึ้นมองหมู่เมฆดำที่อยู่ด้านบน เขากระโจนขึ้นไปอย่างแรง พุ่งเข้าสู่ใจกลางเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด


ในเมื่อเขาตั้งใจจะกำจัดสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดให้ได้ ก็จะต้องทำให้แน่ใจตั้งแต่ต้นว่ามันจะไม่มีโอกาสกลับมาได้อีก ลูกไฟสีดำที่พุ่งลงมาจากหมู่เมฆสีดำนั้นไม่เพียงพอที่จะรับประกันได้ว่าสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง เขาจึงจำเป็นต้องดำดิ่งเข้าสู่ใจกลางเปลวเพลิงสีดำเพื่อปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ


คราวก่อน เขาใช้จิตวิญญาณต้นกำเนิดดำดิ่งเข้าสู่เปลวเพลิงสีดำเช่นกัน แต่ก็อยู่บริเวณขอบๆ ทำให้เป็นการเปิดช่องให้สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดหนีไปได้


แต่คราวนี้เขาจะไม่ทำผิดพลาดแบบเดิมอีก


ทันทีที่จางเซวียนดำดิ่งเข้าสู่ใจกลางหมู่เมฆดำ เขาก็รู้สึกได้ถึงลูกไฟสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนที่พุ่งเข้าหาเขา พร้อมจะทำลายเขาให้สิ้นซาก


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีอย่างบ้าคลั่งของเปลวเพลิงสีดำ จางเซวียนเปิดจุดชีพจรทั้งหมด และพร้อมรับทุกอย่าง


ขณะที่เปลวเพลิงสีดำซึมซาบเข้าสู่ทางเดินพลังปราณของเขา เขาก็ส่งพลังนั้นเข้าสู่บริเวณที่สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดซ่อนอยู่


ตอนนี้ สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดกำลังซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่ง ไม่ได้รู้ว่าจางเซวียนเรียกการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์มาเพื่อบ่มเพาะกายเนื้อของเขาแล้ว ด้วยความที่มันไม่ได้ระมัดระวังตัว เมื่อเผชิญกับการโจมตีของเปลวเพลิงสวรรค์ จึงส่งเสียงออกมาด้วยความหวาดกลัวและรีบหนีไป


“แกคิดว่ามีที่ให้แกหนีหรือไง?”


หลังจากต้องทนทุกข์ทรมานกับสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดมานาน จางเซวียนไม่อาจปล่อยให้มันทำอะไรตามใจได้อีกแล้ว ยังไม่ทันที่มันจะไปได้ไกล เปลวเพลิงสีดำก็พุ่งเข้าสกัดเส้นทางที่มันกำลังมุ่งหน้าหนี


ยังไม่ทันที่สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น เส้นทางหนีทั้งหมดของมันก็ถูกปิดกั้นเอาไว้


จางเซวียนรู้ว่าสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดหนีไปได้รวดเร็วแค่ไหน เขาจึงต้องแน่ใจว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก่อนจะปฏิบัติการขั้นเด็ดขาด


ตอนนี้ ด้วยปริมาณเปลวเพลิงที่มีอยู่มหาศาลในร่างของเขา ทั้งร่างของจางเซวียนได้เปลี่ยนเป็นมนุษย์ที่มีรูปร่างเหมือนลูกไฟ หากทำถึงขนาดนี้แล้วเขายังกำจัดสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดไม่ได้ ก็ควรจะไปฆ่าตัวตายให้เหมือนเต้าหู้เละๆชิ้นหนึ่งเสียจะดีกว่า


เมื่อถูกปิดล้อมไว้โดยรอบ สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดพบว่าตัวมันไม่มีทางหนี หันไปทางไหนก็มีแต่เปลวเพลิงสีดำที่แผดเผา เกิดเสียงหวีดหวิวราวกับผีร้ายที่กำลังร้องโหยหวนดังก้องไปทั่ว เสียงนั้นค่อยๆแผ่วลงก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบกริบ


จบสิ้นเสียที…จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่


ทั้งกายเนื้อและจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาได้รับการบ่มเพาะจากเปลวเพลิงสวรรค์ และการรับรู้จิตวิญญาณของเขาก็เฉียบคมพอที่จะรู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติทุกอย่างในร่างกาย ไม่ว่าตอนนี้สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดจะทำตัวแนบเนียนสักแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่มันจะหลบหนีไปได้แล้ว


ด้วยความกังวลว่าสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดจะกลับมาอีก แม้เสียงร้องโหยหวนนั้นจะจางหายไปแล้ว จางเซวียนก็ยังคงส่งเปลวเพลิงสีดำเข้าสู่ร่างของเขาเพื่อแผดเผามันต่อไป เขาดำเนินกระบวนการนั้นไปอีกราว 10 นาที และหยุดลงก็ต่อเมื่อหมู่เมฆดำเริ่มสลายตัว


หลังจากหลุดพ้นจากเปลวเพลิงสีดำ จางเซวียนก็รีบตรวจสอบพื้นที่บริเวณที่สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดปรากฏตัวเป็นครั้งสุดท้ายโดยใช้การรับรู้จิตวิญญาณของเขา จากนั้นก็ต้องนัยน์ตาเบิกโพลงกับภาพที่เห็น


“นี่…มันคืออะไร?” จางเซวียนพึมพำด้วยความตกตะลึง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)