พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1663-1668

 บทที่ 1663 ปลาติดเบ็ดแล้ว

 

“ได้ค่ะๆๆ…”


แม่เล้ากล่าวขออภัยตลอดทาง พูดจาน่าฟังประมาณว่าไม่คิดเงิน ปะเหลาะสวีถังหรานเข้าไปในห้องเดี่ยว แล้วกวักมือเรียกสาวใช้สองคนให้นำน้ำชามาวาง


สวีถังหรานก็ไม่ใช่คนซื่อสัตย์อะไร คนที่เรียกมารับแขกยังไม่มา มือสองข้างก็ลูบคลำล้วงบนตัวสาวใช้ทั้งสอง พวกนางฝืนยิ้มสู้ บิดตัวหลบเลี่ยง แต่ก็ไม่กล้าขัดใจแขกมากเกินไป


หลังจากทำให้สวีถังหรานสงบแล้ว แม่เล้าถอยออกจากห้อง รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปในชั่วพริบตาเดียว เปลี่ยนเป็นสีหน้าเคร่งเครียด รีบสาวเท้าเดินไปตรงจุดลับตาคนของหอสามจันทรา นางหยุดอยู่หน้าประตูห้องห้องหนึ่งที่ปิดสนิท แล้วใช้ข้อนิ้วเคาะประตู เคาะยาวสามครั้งเคาะสั้นสองครั้ง


รออยู่สักประเดี๋ยว ประตูห้องก็เปิดออก ผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมมีหมวกสีชมพูเดินออกมา มองเห็นรูปร่างไม่ชัดเจน เพราะถูกชุดคลุมมีหมวกปิดไว้หมดแล้ว มองเห็นหน้าตาไม่ชัดเจนเช่นกัน บนใบหน้าสวมหน้ากากงิ้วสาวงามเอียงอาย เห็นเพียงดวงตางามเป็นประกายหลังหน้ากากงิ้ว


แม่เล้าพยักหน้า จากนั้นยื่นมือเชิญแล้วตัวเองก็เดินนำ นางหันกลับไปมองผู้หญิงลึกลับที่เดินตามหลังเป็นระยะ ในดวงตาฉายแววหวาดระแวงในบางครั้ง


เจียวอวี้ออกไปทำการแสดงจริงๆ หรือ? คำตอบก็คือไม่จริง!


ในเมื่อไม่ได้ออกไปแสดง แล้วทำไมถึงไม่มารับแขก? นี่ไม่ใช่ความเต็มใจของแม่เล้า แต่เป็นประสงค์ของเถ้าแก่ที่อยู่เบื้องหลัง


สามารถเปิดหอนางโลมสองชั้นที่ตลาดผีได้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่กำลังของแม่เล้าคนหนึ่งจะรับไหว เบื้องหลังมีคนที่คุ้มครองอยู่ นางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเถ้าแก่ให้นางทำอย่างนี้หมายความว่าอะไร เพียงได้รับการแจ้งจากเถ้าแก่อย่างกะทันหัน ว่าให้เจียวอวี้พักผ่อนชั่วคราว แล้วส่งผู้หญิงลึกลับคนนี้มาแทน ผู้หญิงคนนี้ไม่รับแขกคนอื่น รับเพียงแขกประจำของเจียวอวี้ในช่วงนี้ ถ้าแขกประจำคนนั้นมาเมื่อไหร่ ก็ให้นางไปรับทันที วันนี้ถึงคราวที่นางได้ขึ้นเวทีแล้ว


แม่เล้ากังวลนิดหน่อยว่าการทำแบบนี้มีเจตนาอะไรอยู่เบื้องหลัง จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า ทว่านางไม่มีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องพวกนี้ได้


นางไม่รู้เช่นกันพวกผู้หญิงลึกลับคนนี้หน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ จะปฏิบัติให้แขกพอใจได้หรือเปล่า แต่นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่นางสามารถตัดสินใจได้เช่นกัน ทำได้เพียงปฏิบัติตามถึงที่เตรียมไว้


สาวใช้สองคนที่รินน้ำชาอยู่ในห้องถูกสวีถังหรานลูบคลำเสื้อผ้ายับยุ่ง สภาพสะบักสะบอม การมาถึงของแม่เล้าได้ช่วยแก้วิกฤตให้พวกนางแล้ว


แปะๆ! แม่เล้าปรบมือสองครั้ง สาวใช้รีบวิ่งหนีออกไปราวกับกระโดดทันที หนึ่งในนั้นยกกระโปรงไปด้วยในขณะที่วิ่ง


สวีถังหรานที่ชักมือออกจากใต้กระโปรงสาวใช้ที่วิ่งหนีไปเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วยกมือที่เคยใช้ลูบคลำมาจ่อดมตรงจมูกเบาๆ เขากำลังจ้องผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังแม่เล้า ทั้งตัวอยู่ในชุดคลุม เธอยังสวมหน้ากากด้วย นางกำลังก้มหน้า มองไม่ชัดเลยว่าหน้าตาเป็นอย่างไร


“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” สวีถังหรานบุ้ยปากถาม


แม่เล้าหันข้างหลีกทางให้ แล้วกล่าวแนะนำด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “นายท่าน คนนี้คือหรูเสวี่ย เป็นแม่นางที่เข้ามาใหม่ของหอสามจันทรา จนกระทั่งวันนี้ยังไม่เคยรับแขกเลย วันนี้หัวน้ำแกงเป็นของในท่านแล้ว รับรองว่าท่านจะพึงพอใจค่ะ”


“อย่ามาโกหกเลย พูดจนน้ำไหลไฟดับก็ไม่มีประโยชน์ จะพอใจไม่พอใจ ต้องเล่นก่อนถึงจะรู้” สวีถังหรานกล่าวยังไม่เกรงใจ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินอ้อมโต๊ะออกมายืนข้างกายผู้หญิงที่สวมชุดคลุม ยื่นมือช้อนคางของนางขึ้นมา แล้วดึงหน้ากากนางออกเสียเลย


ใบหน้างดงามปานบุปผาปรากฏให้เห็นทันที หนังตาเหลือบลงเล็กน้อยด้วยความเขินอาย ราวกับไม่กล้ามองสวีถังหรานตรงๆ ทว่าท่วงท่ายั่วยวนที่อยู่ภายใต้ความเขินอายนั้นก็ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกหวั่นไหวร้อนรน


มองปราดเดียวก็เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงแล้ว ไม่มีอะไรปิดบัง จะว่าไปนี่ก็คือลักษณะพิเศษของตลาดผี คนที่สัญจรไปมาทั้งตลาดผีล้วนเป็นคนที่ทำเรื่องลับลวงพราง แต่กลับเป็นบรรดาสาวสวยของนางโลมที่เปิดเผยตรงไปตรงมาได้ แต่จะว่าไปแล้ว แขกที่ไม่ได้เห็นว่าสวยหรืออัปลักษณ์ก็ไม่พอใจเช่นกัน


งดงามมาก สวีถังหรานตะลึงงันเล็กน้อย เขาหันกลับไปมองแม่เล้า เราก็หันกลับมาจ้องผู้หญิงคนนั้นอีก เรายกมือช้าๆ ดึงหมวกชุดคลุมบนศีรษะนางลงมา


แม่เล้าที่ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้หญิงคนนี้แล้วแอบโล่งใจ พอเห็นสวีถังหรานไม่บ่นอะไรแล้ว นางก็แอบปิดปากหัวเราะ รู้ว่าไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว ทำให้ท่านนี้สะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น ก็หมายความว่าตรงกับรสนิยม เราจะเป็นฝ่ายถอยออกไปอย่างเงียบๆ จะได้ไม่รบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของแขก นางถือโอกาสปิดประตูให้แล้ว


สวีถังหรานก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มอันอ่อนโยนเช่นกัน “สาวงาม เจ้าร้องเพลงได้หรือเปล่า?”


หรูเสวี่ยส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ได้ค่ะ”


สวีถังหรานยื่นมาเข้ามาถามใกล้ๆ “แล้วเจ้าทำอะไรเป็นบ้างล่ะ?”


หรูเสวี่ยก้มหน้า “ข้ามีพื้นเพเป็นนางระบำค่ะ เชี่ยวชาญวิชาระบำ”


วิชาระบำ? สวีถังหรานมองข้าม ‘สิ่งที่ไม่คาดคิด’ ของวันนี้ไปทันที สิ่งที่หยางเจาชิงกำชับไว้แวบเข้ามาในหัว หนังตาพลันกระตุก จากนั้นก็รีบปิดบังไว้ กลับมาแสดงสีหน้าแบบเดิม ยื่นมือไปลูบบนใบหน้าหรูเสวี่ย แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “งั้นก็เต้นให้ดูสักหน่อยเถอะ” หลังจากกลับมานั่งที่แล้ว เขาก็รีบตายิ้มรอชื่นชม


หรูเสวี่ยแก้มัดเส้นผ้าที่ผูกอยู่บนคอ ใช้สองมือถอดชุดคลุมบนตัวออก ชุดคลุมหล่นกองกับพื้น เผยให้เห็นเรือนร่างเย้ายวนดึงดูดใจที่สวมเครื่องแต่งกายโป๊เปลือย เรือนร่างยั่วราคะที่หาพบได้ยากประกอบกับการแต่งตัวแบบนี้ ทำให้คนที่เห็นเลือดลมสูบฉีดจริงๆ


สวีถังหรานมองจนตาค้างนิดหน่อย ในที่สุดก็เข้าใจแล้วผู้หญิงคนนี้ต้องสวมชุดคลุมปิดบังไว้ ก็เป็นเพราะการแต่งตัวและเรือนร่างอันเย้ายวนที่อยู่ข้างใน ถ้าแขกที่เข้ามาได้เห็นจะต้องแย่งกันแน่นอน


ในขณะที่แววตาหื่นกระหายของสวีถังหรานกำลังมองสำรวจศีรษะจดเท้า หรูเสวี่ยก็ก้าวถอยหลังช้าๆ บิดเอวบางเดินถอยหลังช้าๆ ราวกับงูเลื้อยในน้ำ แววตาเปลี่ยนเป็นยั่วยวนมากขึ้นเรื่อยๆ ลิ้นสีแดงสดเลียริมฝีปากแล้วส่งจูบเบาๆ


สวีถังหรานที่เริ่มคอแห้งยกถ้วยน้ำชากรอกปาก ตามที่หน้าอกและบั้นท้ายของหรูเสวี่ยกระเพื่อมออกมา ในห้องก็ราวกับเต็มไปด้วยบรรยากาศอัศจรรย์บางอย่างที่ทำให้คนหยุดหายใจ สวีถังหรานเริ่มหายใจถี่กระชั้น จ้องมองบนตัวหรูเสวี่ยอย่างละสายตาได้ยาก


ท่วงท่าระบำอันอรชรอ่อนช้อยนี้ บางครั้งก็เร่าร้อนดั่งไฟ บางครั้งก็อ่อนโยนราวกับสาวบริสุทธิ์ที่เอียงอายยามเดินออกจากห้องอาบน้ำ โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่ราวกับพูดได้ เมื่อผสมกับท่าระบำแล้วก็อัศจรรย์ไร้ที่เปรียบจริงๆ ทุกสายตาทุกของท่าทางล้วนสื่อความหมายที่ทำให้คนตราตรึงใจไม่รู้ลืม


“ลาลา…ฮืม…”


ตามที่ริมฝีปากแดงเล็กของหรูเสวี่ยค่อยๆ เปล่งเสียงเล็กเสียงน้อยร้องเพลง ก็ทำให้ทุกอย่างตรงหน้าสวีถังหรานถูกผลักขึ้นสู่จุดสูงสุด ในหัวมีเสียงดังหึ่งๆ เส้นเลือกขยายตัวอย่างควบคุมไม่ได้ เกิดความรู้สึกอยากจะพุ่งเข้าไปครอบครอง


ในขณะนี้เอง ความรู้สึกเย็นสบายก็แผ่ออกจากไขสันหลัง กรอกไปที่หัวสมอง ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้สวีถังหรานกลับมามีสติอีกครั้ง


สวีถังหรานที่แอบใจสั่นเข้าใจทันที ว่าสิ่งที่หยางเจาชิงบอกปรากฏตัวออกมาแล้ว ไม่ได้ล้อตนเล่นจริงๆ ด้วย ก่อนหน้านี้มาหลายครั้งแต่ยังไม่เจอเบาะแสใดๆ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะบ่นหยางเจาชิง


ทักษะการแสดงของเจ้าเวรนี่ก็ไม่ใช่เล่นๆ ชั่วพริบตานี้ไม่ลังเลอะไรแล้ว แสดงปฏิกิริยาเหมือนตอนที่เกือบจะหลงใหลก่อนหน้านี้ เขานั่งไม่ติดที่ พุ่งเข้าไปหาทันที ดึงหรูเสวี่ยที่กำลังร้องเพลงเข้ามาไว้ในอ้อมกอด แล้วอุ้มไปบนเตียง เสื้อผ้าปลิวว่อน อารมณ์ของสัตว์ป่าปะทุอย่างแท้จริง…


หลังจากไฟรักอันเร่าร้อนที่ลุกโชนได้สักพักดับลง สวีถังหรานที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างผ่อนคลายก็ได้ค้นพบความรู้สึกที่เหมือนวิญญาญหลุดลอยขึ้นสวรรค์อย่างแท้จริง เขารู้สึกได้ว่าบนตัวของหรูเสวี่ยมีบางอย่างที่ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น ความรู้สึกนั้นบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ บอกได้เพียงว่า ‘ถึงอกถึงใจ’ ทั้งชีวิตนี้เขาเคยลิ้มลองผู้หญิงมานับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยลิ้มลองรสชาติที่ทำให้ถึงอกถึงใจขนาดนี้มาก่อนเลย ทำไมบนโลกนี้ถึงมีคนที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ได้ หลายวันมานี้นับว่ามาไม่เสียเที่ยวแล้ว


ขณะที่กำลังขบคิดถึงรสชาติ เขาก็ยังกอดลูบไล้เรือนร่างขาวหมดจดของหรูเสวี่ย ไม่รู้ตัวเลยว่าหน้ากากปลอมของตัวเองหลุดทิ้งไปตั้งแต่เมื่อไร


“ฮือๆๆ…”


สวีถังหรานที่ยังคงขบคิดถึงรสชาติงงงวยทันที พบว่าจู่ๆ ผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอดดันร้องไห้แล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “หรูเสวี่ย เป็นอะไรไป?”


หรูเสวี่ยเผยใบหน้าที่เหมือนดอกสาลี่เปียกฝน ตอบอย่างน่าสงสารว่า “ถึงแม้หรูเสวี่ยจะไม่ได้มีร่างกายบริสุทธิ์ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ใช้ร่างกายรับแขก พอนึกถึงว่าต่อไปต้องเปลี่ยนผู้ชายคนใหม่ ในใจข้าก็…ไม่คุ้นเลยค่ะ!”


พอนึกถึงสิ่งที่หยางเจาชิงสั่งไว้ สวีถังหรานก็รู้ทันทีว่าจะได้แสดงบทที่ถึงเนื้อถึงตัวแล้ว จึงกล่าวอย่างสงสารว่า “เจ้าไม่ต้องห่วง ถ้ามีข้าอยู่ ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมแน่ เดี๋ยวข้าจะไปคุยกับแม่เล้าเอง”


“จริงเหรอคะ?” หรูเสวี่ยกอดเขา ทำสีหน้าน่าสงสารและเฝ้าคอย


สวีถังหรานรับประกันทันที “ก็ต้องจริงอยู่แล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือผู้หญิงของข้า จะให้เจ้าอยู่ในสถานบันเทิงแบบนี้อีกได้ยังไง?”


“ข้าข้อทราบตัวเองที่แท้จริงของนายท่านได้มั้ยคะ?” หรูเสวี่ยถามอย่างซาบซึ้งใจ


“เอ่อคือ…” สวีถังหรานลังเลนิดหน่อย ลูบคลำใบหน้าที่หนังปลอมหายไป แล้วสุดท้ายก็แข็งใจบอกว่า “ไม่ปิดบังเจ้า ข้าคือรองแม่ทัพภาคสวีถังหรานของจวนแม่ทัพภาคตลาดผี!”


“หา! ท่านคือลูกน้องของหนิวโหย่วเต๋อ ลูกเขยผู้โด่งดังของอ๋องสวรรค์โค่วเหรอคะ…”


เรื่องราวต่อจากนั้นก็สมเหตุสมผลแล้ว สวีถังหรานที่แต่งตัวเรียบร้อยเดินออกจากห้อง แล้วไปคุยกับแม่เล้าเพื่อขอไถ่ตัวหรูเสวี่ย


หลังจากมองส่งสวีถังหรานเดินออกไปแล้ว รอยยิ้มหวานหยาดเยิ้มบนใบหน้าหรูเสวี่ยก็หายไป แทนที่ด้วยรอยยิ้มถากถางเหน็บแนม


ถ้าเหมียวอี้ได้เห็นใบหน้านี้ก็จะต้องรู้จักแน่นอน ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นชางหงที่เคยมีเรื่องกันที่ดาวพิษในปีนั้นนั่นเอง


ขั้นตอนการไถ่ตัวมีอุปสรรคนิดหน่อย ทำให้สวีถังหรานปวดใจเช่นกัน แต่เพื่อแสดงออกว่าตัวเองถูกทำให้หลงใหล เพื่อทำภารกิจที่นายท่านหมอบหมายให้สำเร็จ เขาจึงลงทุนควักเนื้อตัวเอง ถึงได้ไถ่ตัวหรูเสวี่ยออกมาจากหอสามจันทราได้


ตอนที่เดินออกมาย่อมไม่ได้มาคนเดียวแล้ว ยังมีหรูเสวี่ยที่สวมชุดคลุมด้วยอีกคน


สวีถังหรานย่อมไม่พานางกลับจวนแม่ทัพภาคอยู่แล้ว มิหนำซ้ำหรูเสวี่ยยังแสดงออกอย่างใส่ใจด้วยว่าไม่อยากทำลายครอบครัวของสวีถังหราน รอโอกาสเหมาะแล้วค่อยให้สวีถังหรานบอกเสวี่ยหลิงหลงอีกที


สุดท้ายสวีถังหรานก็จัดให้นางพักประจำที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง


พอกลับถึงจวนแม่ทัพภาคแล้วแห็นหยางเจาชิง สวีถังหรานก็บอกเพียงว่า “มาแล้ว ปลาติดเบ็ดแล้ว!”


“สถานการณ์เป็นยังไง?” หยางเจาชิงตาลุกวาว รีบถามถึงที่มาที่ไป


ทั้งจากเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ แล้ว ทั้งสองก็เดินไปหาเหมียวอี้ด้วยกัน ครั้งนี้สวีถังหรานเล่าอย่างละเอียด


หลังจากฟังจบ เหมียวอี้ก็เอามือไขว้หลังเดินออกไปดูนอกหน้าต่าง เขาหรี่ตาสองข้าง ในใจเรียกได้ว่าตกตะลึงไม่หยุด ไม่น่าเชื่อว่าจะล่อระบำมารสวรรค์ได้แล้ววจริงๆ เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าหยางชิ่งคิดได้อย่างไร อิงจากอะไรถึงตัดสินว่าสวีถังหรานไปที่หอนางโลมแล้วจะล่อระบำมารสวรรค์ออกมาได้ หยางชิ่งทำแบบนี้มีเจตนาอะไรกันแน่? เมื่อทดสอบจนได้ผลลัพธ์แล้ว ก็น่าจะคลายปริศนาได้แล้วสินะ?


“เหอะๆ ไม่ต้องพูดถึงเลย ผู้หญิงคนนั้นสุดยอดจริงๆ ฝีมือในด้านนั้นทำให้ข้าถึงอกถึงใจมาก…” สวีถังหรานที่บรรยายรสชาติอันยอดเยี่ยมถอนหายใจด้วยความสะท้อนใจ “เป็นใครกันแน่นะ มีปัจจัยพร้อมจนยอมขาดทุนสละร่างกายกับสวีอย่างนี้!”


“สละร่างกายเหรอ?” เหมียวอี้หันกลับมายิ้มเย้ย “เจ้าคิดว่าตัวเองได้เปรียบแล้วจริงเหรอ? ฝ่ายนั้นฝึกตนโดยการฝึกฌานเสพสังวาสอยู่แล้ว เรื่องสมสู่ระหว่างชายหญิงไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่เลย ทำให้เจ้ารู้สึกถึงอกถึงใจได้ก็ไม่แปลก”

 

 

 


บทที่ 1664 ร้ายกาจเกินไปแล้ว

 

“ฝึกฌานเสพสังวาส…” สวีถังหรานอึ้งนิดหน่อย แล้วจู่ๆ ก็ถามอย่างตกใจ “อย่าบอกนะว่านางคือคนของสำนักหลัวช่าแดนพุทธ?”


เหมียวอี้หันตัวมา มองเขาศีรษะจดเท้า พบว่าเจ้าหมอนี่…อย่าไปมองแค่ว่าการปฏิบัติตัวแย่ เพราะมีเรื่องที่รู้เยอะมาก คุยเรื่องฟ้าก็รู้ คุยเรื่องดินก็รู้ ไม่ว่าจะคุยเรื่องในด้านไหนก็ตามเจ้าทันทุกเรื่อง


สวีถังหรานถามเสริมอย่างกระจ่างอีกว่า “อย่าบอกนะว่าระบำนั้นคือระบำมารสวรรค์?”


เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ ทำท่าเหมือนกำลังบอกว่า ‘เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ’


สวีถังหรานเข้าใจแล้ว กล่าวอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เอ่อ…สำนักหลัวช่านี่ช่างเป็นของแปลกของแดนพุทธจริงๆ”


“กลุ่มคนที่บอกว่ารูปคือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าก็คือรูป ตายแล้วก็ยังบอกว่าเป็นได้ เป็นอยู่ก็บอกว่าตายได้ สรุปก็คือไม่ว่าจะพูดอะไรก็กลายเป็นว่าพวกเขามีเหตุผลเสมอ แดนพุทธมีของแปลกอะไรอย่างนั้นที่ไหนกัน ก็แค่ฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาพบกันไม่ใช่เหรอ?” เหมียวอี้แสยะยิ้มเหยียดหยาม


สำหรับในจุดนี้เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้ง สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไร เป็นเพราะในบ้านเขาก็มีเจ้าศีลแปดอยู่คนหนึ่งเหมือนกัน เจ้ารองอาศัยว่าตัวเองเป็นคนออกบวช ไม่ว่าตัวเองทำอะไรก็จะอ้างเหตุผลได้เสมอ เมื่อไม่มีเหตุผลให้อ้างแล้วจริงๆ เมื่อพิสูจน์ได้แล้วว่าเรื่องบางเรื่องคนออกบวชไม่สมควรทำ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องกามารมณ์ ศีลแปดก็จะบอกว่า ‘สรรพสิ่งล้วนเท่าเทียม’ บอกให้เจ้าไม่ต้องมองเขาเป็นนักบวชก็สิ้นเรื่องแล้ว การเป็นศิษย์สำนักพุทธนี่ช่างน่าอิจฉาจริงๆ


เมื่อสวีถังหรานได้ยินแบบนี้ ก็ทำท่าตกตะลึงพรึงเพริด แล้วประจบสอพลอว่า “นายท่านมีความคิดอ่านสูงส่ง พูดประโยคเดียวตรงจุด เป็นข้าน้อยเองที่หลงผิดคิดเป็นจริงเป็นจัง”


หยางเจาชิงเอียงหน้ามองด้านข้างอย่างพูดไม่ออก


เหมียวอี้คุ้นชินกับการประจบสอพลอของเจ้าเวรนี่แล้ว


“นายท่าน ขั้นต่อไปควรจะทำยังไง?” สวีถังหรานถามอีก


เหมียวอี้โบกมือ บอกใบ้ให้เขาออกไปก่อน “ข้าค่อยคิดอีกที”


รอจนกระทั่งสวีถังหรานถอยออกไปอย่างมีมารยาท เหมียวอี้ก็เอียงหน้ามองหยางเจาชิง “บอกผลลัพธ์ให้หยางชิ่งรู้เถอะ ดูว่าเขาจะพูดยังไง”


“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางชิ่ง รายงานผลลัพธ์ให้รู้  และคิดจะถามเขาว่าแผนขั้นต่อไปคืออะไร


แต่ใครจะคิดว่าหยางชิ่งกลับไม่พูดอะไรมากอีก หยุดติดต่อกับหยางเจาชิง แล้วติดต่อหาเหมียวอี้โดยตรง เป็นฝ่ายบอกเรื่องให้ครั้งนี้เอง


บางทีอาจจะเป็นเพราะทั้งสองฝ่ายรู้แล้วว่าต่างฝ่ายต่างรู้ สาเหตุที่ก่อนหน้านี้เหมียวอี้อดใจไม่ถาม เพราะนอกจากจะไม่อยากทำให้หยางเจาชิงอึดอัด อีกสาเหตุก็เพราะตอนนี้มอบอำนาจให้หยางชิ่งเยอะมาก เขาต้องการแสดงให้หยางชิ่งเห็นว่าเชื่อใจ


ส่วนหยางชิ่งก็เข้าใจบทบาทของหยางเจาชิงยามอยู่ข้างกายเหมียวอี้ดีมาก รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่หยางเจาชิงจะทำเรื่องนี้ลับหลังเหมียวอี้ จะต้องบอกเหมียวอี้แน่นอน สาเหตุที่เขาทำมากพิธีรีตองขนาดนี้ ก็เป็นเพราะอยากจะแสดงท่าทีให้ชัดเจน ว่าไม่สนับสนุนให้ทำอย่างนี้


ผลก็คือหยางชิ่งรู้สึกผิดคาดนิดหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าเหมียวอี้จะอดใจไม่ถามเขาได้ ยังให้หยางเจาชิงปฏิบัติตามเดิม ทำให้หยางชิ่งต้องแอบสะท้อนใจ แม้เหมียวอี้จะมีจุดบกพร่องมากมาย แต่สุดท้ายก็ยังก้าวหน้าอย่างช้าๆ เรื่องบางเรื่องยิ่งนับวันก็ยิ่งข่มอารมณ์เก่ง เริ่มมีลักษณะของแม่ทัพใหญ่ ไม่รู้ว่าจะมีวันที่ใจกว้างดุจจักรวาลหรือเปล่า!


ในเมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว เหมียวอี้ก็ย่อมถามถึงสิ่งที่ตัวเองสงสัย : เจ้ารู้ได้ยังไงว่าให้สวีถังหรานไปหอนางโลมแล้วจะตกคนของสำนักหลัวช่าได้? แค่เพราะเจ้าได้ยินจากปากจินม่านว่าข้าเคยถามเรื่องระบำมารสวรรค์น่ะเหรอ?


หยางชิ่ง : ข้าน้อยรู้มาจากหยางเจาชิงว่าคนของสำนักหลัวช่ากำลังแอบจับตาดูนายท่าน


เหมียวอี้ : แค่สองอย่างนี้ เจ้าก็เดาออกแล้วเหรอว่าสวีถังหรานสามารถตกคนของสำนักหลัวช่าได้?


หยางชิ่ง : จะเรียกอย่างนั้นก็ไม่ได้ ตอนแรกข้าน้อยก็แค่สงสัยนิดหน่อย ไม่อาจยืนยัน ถึงต้องทดสอบก่อน เป็นฝ่ายเตรียมปัจจัยที่เกี่ยวข้องไว้ให้เรียบร้อย ช่วยสร้างโอกาสให้สำนักหลัวช่าวางกับดัก ทำให้สำนักหลัวช่าคิดว่าฝ่ายพวกเขากำลังวางกับดัก ไม่ใช่ฝ่ายพวกเรากำลังวางกับดัก เพียงทำให้พวกเขาคิดไปเองว่าฝ่ายพวกเราติดกับดักแล้ว แบบนี้ถึงจะไม่ทำให้อีกฝ่ายสงสัยง่ายๆ ไม่อย่างนั้นทำแบบนี้ไปก็ไม่มีความหมายอะไร


เหมียวอี้ : เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลย ทำไมเจ้ารู้ว่าให้สวีถังหรานไปหอนางโลมแล้วจะสร้างกับดักนี้สำเร็จ?


หยางชิ่ง : ข้าน้อยก็แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมสำนักหลัวช่าต้องแอบจับตาดูนายท่าน ไม่ว่าจะมีเจตนาร้ายต่อนายท่าน หรือว่าอยากจะปกป้องนายท่าน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำอย่างนี้ แดนพุทธไม่มีทางเข้ามายุ่งเรื่องตำหนักสวรรค์ง่ายๆ มิหนำซ้ำอำนาจที่หนุนหลังนายท่านก็เห็นๆ กันอยู่ ทำอย่างนี้ไม่ฉลาดเลย และเมื่อนายท่านรู้ว่าถูกสำนักหลัวช่าจับตาดู ก็สั่งให้หยางเจาชิงเสริมการป้องกันที่จวนแม่ทัพภาคทันที คาดว่าสำนักหลัวช่าทำอย่างนี้คงไม่ได้มีเจตนาดีต่อนายท่าน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะจับตาดูนายท่านเพราะอะไร แต่ก็คงไม่ถึงขั้นลงมือกับนายท่านที่ตลาดผี เพราะที่นี่มีคนเยอะเกินไป ทั้งยังเป็นถิ่นของตึกศาลาสัตยพรต ถ้าก่อเรื่องขึ้นที่นี่ สำนักหลัวช่ารับผิดชอบไม่ไหวแน่ สำนักหลัวช่าเองก็คงไม่อยากให้จุดอ่อนใหญ่ตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตเช่นกัน หรือพูดได้อีกอย่างก็คือ ตอนนี้สำนักหลัวช่าก็แค่อยากจับตาดูนายท่าน ในเมื่ออยากจับตาดู การที่พวกเขาอยากรู้ความเคลื่อนไหวของนายท่านก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ถ้าไม่ใช่เพราะมีความคิดนี้ ก็คงจะไม่ทำอย่างนี้ ไม่ว่าจะพูดยังไงก็นับว่าแดนพุทธยื่นมือเข้ามาสอดเรื่องฝั่งตำหนักสวรรค์ ถือว่าผิดข้อห้าม


เหมียวอี้ : เจ้าหมายความว่า จากสิ่งนี้สามารถตัดสินได้ว่า พวกเขาอยากจะเข้าใกล้คนที่อยู่ข้างกายข้า อยากจะรูความเคลื่อนไหวของข้าผ่านคนข้างกายข้าเหรอ?


หยางชิ่ง : ไม่ว่าพวกเขาจะมีความคิดนี้หรือไม่ แต่เมื่อสร้างปัจจัยทางด้านนี้ให้พวกเขาแล้ว หากพวกเขามีความคิดนี้ ก็อาจจะกลายเป็นสาเหตุที่พวกเขาทำอย่างนี้ก็ได้ ข้าน้อยไม่ทราบว่าทำไมสำนักหลัวช่าจึงต้องการจับตาดูนายท่าน ไม่สามารถคาดการณ์คำตอบที่แม่นยำได้ ทำได้เพียงทดสอบดู คนในจวนแม่ทัพภาคส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่อ๋องสวรรค์โค่วส่งมา รวมตัวกันแน่นหนาเหมือนแผ่นกระดานเหล็ก ในช่วงแรกสำนักหลัวช่าเข้ามาหาข้อมูลข้างกายนายท่านลำบาก พวกเขาจับตาดูนายท่านอยู่ข้างนอก หาช่องทางเข้าใกล้ไม่ได้ แต่พวกเขาจะต้องสังเกตเห็นเรื่องที่สวีถังหรานไปหอนางโลมทุกสามวันแน่นอน บังเอิญว่าในมือพวกเขามีระบำมารสวรรค์ที่ใช้ยั่วยวนใจคน นี่คือแรงจูงใจใหญ่ที่สุดที่ทำให้พวกเขาวางกับดัก


เหมียวอี้ : เจ้ารับประกันได้เหรอว่าจะไม่ถูกพวกเขาจับได้?


หยางชิ่ง : สวีถังหรานชื่อเสียงไม่ดี ไปหอนางโลมก็เป็นเรื่องปกติมาก ขนาดฮูหยินของตัวเองยังออกมาจากหอนางโลมเลย การที่เขามีรสนิยมแบบนี้เป็นสิ่งที่ฟังขึ้น ที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาไม่มีเหตุผลให้สงสัย สวีถังหรานแสร้งถูกพวกเขาควบคุมแล้วมีความหมายกับพวกเราเหรอ? ในสายตาพวกเขา พวกเราไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้เลย ต่อให้สวีถังหรานปล่อยข่าวปลอมเกี่ยวกับนายท่านให้พวกเขารู้ แล้วจะทำอะไรพวกเขาได้ล่ะ?


เหมียวอี้ : นี่ก็คือสิ่งที่ข้าสงสัยเหมือนกัน ให้สวีถังหรานทำอย่างนี้มีความหมายเหรอ?


หยางชิ่ง : ถ้ายืนอยู่ในมุมพวกเขานั้นไม่มีความหมาย แต่ถ้ายืนอยู่ในมุมพวกเราก็ไม่ใช่อย่างนั้น  ถ้านายท่านดึงดันจะลงมือกับอิ๋งหยางตอนออกล่าที่น้ำพุวังเวงให้ได้ นั่นก็จะมีความหมายแล้ว


เหมียวอี้แปลกใจ : ไหนลองอธิบายให้ละเอียด!


หยางชิ่ง : ถ้านายท่านให้สวีถังหรานโยนเหยื่อล่อที่สามารถทำให้สำนักหลัวช่าสนใจได้ ล่อสำนักหลัวช่าไปที่น้ำพุวังเวง บังเอิญไปเจอกับดักของตระกูลอิ๋งที่น้ำพุวังเวงพอดี ผลก็คือถ้าสำนักหลัวช่าไม่ทันระวังตัวติดกับดักตระกูลอิ๋งแล้ว สำนักหลัวช่าจะต้องต่อต้านสุดชีวิตแน่นอน คงจะลดแรงกดดันให้นายท่านไม่ใช่น้อยๆ!


เมื่อได้ฟังเขาพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็หนังตากระตุกทันที เรียกได้ว่าหนาวสันหลังวาบๆ รู้สึกหนาวจนขนลุก ร้ายกาจ! ร้ายกาจมากจริงๆ! เขาพบว่าหยางชิ่งร้ายกาจเกินไปแล้ว สงสัยที่อ้อมค้อมอยู่นานก็เพื่อจะบอกท่าไม้ตายนี้ เท่ากับวางกับดักตายให้สำนักหลัวช่าชัดๆ ทั้งยังวางกับดักตายให้ตระกูลอิ๋งด้วยเหรอ?


หยางชิ่งอธิบายต่อว่า : สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เป็นผลดีต่อนายท่าน กำลังที่มีอยู่ในมือนายท่านไม่อาจนำมาใช้อย่างเปิดเผยได้เลย ถ้าจะให้สู้กับพวกพี่ใหญ่ของตำหนักสวรรค์ก็เสียเปรียบเกินไป! ก็เป็นอย่างที่หยางชิ่งบอกไว้ตอนแรก ตอนนี้ฝ่ายที่จะให้นายท่านอาศัยแรงได้ก็มีแต่แดนสุขาวดีเท่านั้นที่เหมาะสมที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกำลังหรือฐานะก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้กำลังของสำนักหลัวช่าจะสู้กำลังทัพตะวันออกของตระกูลอิ๋งไม่ได้ แต่ศักยภาพและฐานะก็มีคุณสมบัติที่จะท้าทายตระกูลอิ๋งได้เลย ตระกูลอิ๋งวางกับดักที่น้ำพุวังเวง สำนักหลัวช่าโหม่งหัวเข้าไปติดกับดักเอง ถึงตอนนั้นใครจะตายด้วยน้ำมือใครก็ยังไม่แน่ พวกเขาต่างหากคือคู่ต่อสู้ที่สูสี ไม่ใช่นายท่านแน่นอน ด้วยศักยภาพของสำนักหลัวช่า สามารถเปิดโปงกับดักสำรองทั้งหมดของตระกูลอิ๋งออกมาได้อยู่แล้ว และนายท่านก็แค่เฝ้ามองสองฝ่ายสู้กันก็พอ รอให้มีความมั่นใจแล้วค่อยลงมือก็ยังไม่สาย แต่ถ้าไม่มีความมั่นใจในความสำเร็จเลยสักนิด นายท่านก็ควรต้องถอย รอโอกาสเหมาะอีกครั้งก็ยังสาย!


เหมียวอี้ค่อนข้างพูดไม่ออก ถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า : ทำแบบนี้จะเหมาะสมเหรอ? ถ้าคนของพุทธะหน้าหยกกับคนของอ๋องสวรรค์อิ๋งสู้กันขึ้นมา ถ้าคนระดับอ๋องสวรรค์ของแดนสุขาวดีกับตำหนักสวรรค์สู้กันขึ้นมา เหตุการณ์จะไม่ใหญ่ไปหน่อยเหรอ? ต่อไปถ้าสำนักหลัวช่าบอกว่าข้าเป็นคนวางกับดัก ข้าจะไม่ต้องรับผิดชอบถึงผลที่ตามมาหรอกเหรอ?


หยางชิ่ง : นายท่านไม่ได้สั่งให้พวกเขาไปเสียหน่อย อาศัยแค่ข้อแก้ตัวนี้ก็เพียงพอแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้น สำนักหลัวช่าจะพูดได้เหรอว่าติดกับดักนายท่าน? พวกเขาเสียหน้าแบบนั้นไม่ไหวหรอก ประการต่อมา สำนักหลัวช่าก็ไม่มีทางบอกเช่นกันว่าตัวเองแอบเข้ามาแทรกแซงฝั่งตำหนักสวรรค์จนติดกับดักนายท่าน ถ้าข้าน้อยเดาไม่ผิด เมื่อถึงตอนนั้น สำนักหลัวช่าจะต้องบอกว่าถูกจู่โจมตอนที่ผ่านทางมา ไม่สาวมาถึงตัวนายท่านแน่


เหมียวอี้ : แบบนั้นข้าจะไม่ล่วงเกินสำนักหลัวช่าแย่เหรอ?


หยางชิ่ง : ไม่น่าเชื่อว่านายท่านจะกลัวการล่วงเกินคนอื่น ข้าน้อยรู้สึกผิดคาดจริงๆ ขอยกคำพูดนายท่านมากล่าวก็แล้วกัน ต่อให้นายท่านไม่ไปหาเรื่องอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็ไม่ปล่อยนายท่านไปอยู่ดี ความจริงก็แสดงให้เห็นตรงหน้าแล้ว ต่อให้นายท่านไม่ล่วงเกินพวกเขา แต่พวกเขาก็จับตาดูนายท่านเหมือนเดิม ถึงแม้ข้าน้อยจะไม่ทราบว่าพวกเขาจับตาดูนายท่านทำไม แต่คาดว่าคงไม่ได้มีเจตนาดีอะไรแน่นอน เมื่ออยู่ฝั่งตำหนักสวรรค์ ต่อให้สำนักหลัวช่าจะไม่พอใจนายท่าน แต่ก็ไม่กล้าทำซี้ซั้วโจ่งแจ้ง ปลอดภัยกว่าเผชิญหน้ากับพวกลูกพี่ใหญ่ของตำหนักสวรรค์ตั้งเยอะ ถ้านายท่านกังวลด้านนี้จริงๆ ข้าน้อยก็ขอร้องอย่างจริงใจ ว่านายท่านอย่าเหยียบเข้าไปในกับดักน้ำพุวังเวงเลย!


มีประโยชน์เหรอ? ถ้าโน้มน้าวให้เหมียวอี้หยุดได้ ก็คงไม่ต้องวางแผนนี้หรอก


เหมียวอี้มอบหมายเรื่องวางแผนรับมือสำนักหลัวช่าให้หยางชิ่งอย่างใจกว้างมาก โดยให้หยางเจาชิงติดต่อบงการสวีถังหรานว่าต้องทำอย่างไร สิ่งนี้พิสูจน์ได้แล้วว่าต้องดำเนินการตามเรื่องน้ำพุวังเวงแน่นอน


หยางชิ่งที่ตัวอยู่ในแดนอเวจีรู้สึกจนปัญญามาก กำระฆังดาราไว้ในมือพลางเงยหน้ามองฟ้าถอนหายใจ


ทว่ายังไม่จบเท่านี้ เหมียวอี้วางงานอีกอย่างให้เขาด้วย : ข้าจะแจ้งให้หกลัทธิรู้ทันที เลือกทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านเอาไว้รอฟังคำสั่ง ข้าจะไปรับมาจากแดนอเวจีให้เร็วที่สุด


มารับเหรอ? หยางชิ่งตกใจทันที : นายท่าน! อย่าบอกนะว่าท่านมั่นใจเรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงก็เพราะทัพใหญ่หนึ่งล้านจากแดนอเวจี?


เหมียวอี้ : ถ้าใช่แล้วจะทำไม? ถ้าไม่ใช่เพื่อรอดูว่าเจ้าวางแผนอะไรอยู่ฝั่งนี้ ข้าคงอยู่ระหว่างทางไปแดนอเวจีแล้ว


หยางชิ่งร้อนใจแล้ว : ไม่ได้เด็ดขาด มีคนมากมายขนาดนี้ออกจากแดนอเวจี เกรงว่าจะทำให้หกลัทธิเกิดความคิดอย่างอื่นได้ อีกทั้งออกไปแล้วก็ยังควบคุมลำบากด้วย


นายท่านโปรดอย่าใจร้อน เรื่องทางสำนักหลัวช่าข้าน้อยจะไตร่ตรองหาวิธีการอีกครั้ง…


เหมียวอี้ตัดบทเสียเลยว่า : เรื่องทางสำนักหลัวช่า เจ้าควรจะทำยังไงก็ทำต่อไป ส่วนกำลังพลของแดนอเวจี ข้าก็จะเอาออกมาเหมือนกัน!


หยางชิ่ง : นายท่าน…


เหมียวอี้พูดตัดบทอีกครั้ง : หยางชิ่ง ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้ให้ชัดเจนเลยนะ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดล้านคันที่ได้จากทะเลดาวสับสนอยู่ในมือข้าหมดแล้ว! เรื่องควบคุมคนที่ออกมาน่ะ เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ให้หกลัทธิไปกังวลเอาเอง ข้าให้สัญญาพวกเขาได้ ว่าหลงัจากจบเรื่องแล้ว จะแบ่งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ให้พวกเขาฝ่ายละห้าแสนคัน จะคุ้มหรือไม่คุ้มก็ให้พวกเขาไปคำนวณเอาเอง ข้าไม่สนว่าเขาออกล่าที่น้ำพุวังเวงจะมีกับดักอะไรหรือเปล่า ข้าไม่สนว่าเขาจะมีคนมากเท่าไร ไม่สนด้วยว่าจะมียอดฝีมือกี่คน สรุปคือเลิกฝันซะว่าจะมีคนรอดกลับไปได้แม้แต่คนเดียว!

 

 

 


บทที่ 1665 ถูกจับได้อีกแล้ว

 

ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดล้านคัน…หยางชิ่งจิตใจปั่นป่วนทันที จบการติดต่อกับเหมียวอี้ในขณะที่กำลังเลอะเลือน


รอจนกระทั่งค่อยๆ ดึงสติกลับมาแล้ว เขาก็ส่ายหน้ายิ้มขมขื่นอยู่ในตึกศาลาไม่หยุด นึกถึงภาพตอนตัวเองเพิ่งได้ข่าวเรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงแล้วลำบากลำบนเกลี้ยกล่อมเหมียวอี้ พอจะจำได้รางๆ ถึงสิ่งที่เหมียวอี้เคยบอกไว้ “ครั้งนี้ข้าต้องการใช้กำลังปะทะเพื่อทำลายพวกเขา เจ้าวางใจเถอะ ข้าอาจจะไม่ต้องลงมือเองก็ได้!”


ในตอนนั้นเขายังนึกว่าใช้กำลังปะทะหมายถึงการปล้นฆ่า หรือไม่ก็หายอดฝีมือมาเข่นฆ่ากัน แล้วก็สู้กันสุดชีวิต


วางแผนกันนานขนาดนี้ ที่แท้สิ่งที่เรียกว่าใช้กำลังปะทะก็หมายความอย่างนี้นี่เอง ไม่น่าเชื่อว่าจะรวบรวมทัพใหญ่จากแดนอเวจีไปล้อมปราบ ไม่สนหรอกว่าเจ้าจะวางกับดักมั้ย ใช้ทัพใหญ่บดอัดเข้าไปเสียเลยก็สิ้นเรื่อง


ความเผด็จการดื้อรั้นนี้ทำให้เขาด่าไม่ถูกเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าใช้วิธีการแบบนี้สู้กับตระกูลอิ๋ง ล้อเล่นอะไรกัน!


เขาไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า เขารู้สึกรางๆ ว่าหลังจากกลับมาจากแดนสุขาวดี เหมียวอี้ก็เหมือนมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เหมือนจะมีความมั่นใจอะไรสักอย่างแล้ว ขนาดรู้อยู่แจ่มแจ้งว่าเผชิญสภาพแวดล้อมเลวร้ายขนาดนั้น แต่ก็ดันใช้วิธีการที่เรียบง่าย มุทะลุและตรงไปตรงมา เขาไม่รู้ว่าเหมียวอี้ประสบพบเจออะไรที่แดนสุขาวดี แต่เดาออกแล้วว่าต้องเจอกับเรื่องบางอย่างที่ทำให้จิตใจของเหมียวอี้เปลี่ยนไปแน่นอน


การกระทำของสำนักหลัวช่าทำให้เขาคิดไม่ตกมาตลอด เขาอดไม่ได้ที่จะนึกเชื่อมโยงกับสำนักหลัวช่า สภาพจิตใจที่เปลี่ยนแปลงของเหมียวอี้เกี่ยวข้องกับสำนักหลัวช่าหรือเปล่า?


ครุ่นคิดอยู่ตั้งนานแต่ก็คิดไม่ตก ถ้าเป็นเรื่องที่เหมียวอี้กำหนดทิศทางใหญ่ๆ ไว้แล้ว เขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงได้เลย มีแต่ต้องปฏิบัติตาม ติดต่อคนของหกลัทธิมาประชุมกัน


ใช้เวลาไม่นาน คนตำแหน่งสำคัญของหกลัทธิก็มากันครบแล้ว รวมทั้งจินม่านและหกปราชญ์ด้วย


ประมุขขุนพลลัทธิมารเย่ซิงคง ประมุขขุนพลลัทธิเซียนจ่างซุนจู ประมุขขุนพลลัทธิปีศาจลวี่เกอ ประมุขขุนพลลัทธิพุทธซิงหลัว ประมุขขุนพลลัทธิผีหลีเซิง ประมุขขุนพลลัทธิอู๋เลี่ยงจินม่านกลายเป็นประมุขปราชญ์ไปแล้ว ส่วนประมุขขุนพลเดิมทีก็เป็นผู้ที่ถูกผลักดันให้มาควบคุมทุกคนอยู่แล้ว ตอนนี้จินม่านกลายเป็นประมุขปราชญ์ กลายเป็นผู้ที่ควบคุมลัทธิอู๋เลี่ยงอย่างเป็นทางการ ลัทธิอู๋เลี่ยงก็ไม่จำเป็นต้องแต่งตั้งประมุขขุนพลอีกแล้ว


หยางชิ่งอธิบายถึงความคิดของเหมียวอี้อย่างตรงไปตรงมา อธิบายสถานการณ์ชัดเจน เพียงแต่ไม่ได้บอกว่าจะไปน้ำพุวังเวง และไม่ได้บอกว่าจะสู้กับใคร บอกเพียงว่าต้องออกจากแดนอเวจีไปทำศึก


เมื่อได้ยินว่าจะต้องออกไปข้างนอก บุคคลระดับสูงของหกลัทธิก็ฮือฮาทันที บางคนก็ตื่นเต้นจนตาลุกวาว บางคนก็ฮึกเหิมจนหน้าแดง อย่างไรเสียก็ถูกขังในแดนอเวจีมาหลายปีแล้ว หลายครั้งที่ฝันอยากจะออกไปข้างนอก นึกไม่ถึงว่าโอกาสจะมาอย่างกระทันหัน


หยางชิ่งชำเลืองมองปฏิกิริยาของทุกคน แล้วเอ่ยสิ่งที่ทำให้พวกเขาเหมือนถูกน้ำเย็นสาดดับฝัน “ยังต้องมีคนคุมอยู่ที่แดนอเวจีด้วย เรื่องเล็กๆ ไม่จำเป็นต้องรบกวนแรงของพวกท่าน หลังจากออกไปแล้ว กำลังพลของหกลัทธิจะถูกส่งต่อให้ขุนพลใหญ่หกลัทธิที่ออกไปล่วงหน้าชั่วคราว หลังจากจบเรื่อง กำลังพลก็จะกลับมาทันที”


เหมียวอี้สามารถโยนงานได้ สามารถไม่รับผิดชอบอะไรเหมือนฆ่าเสร็จแต่ไม่ฝังได้ แต่เขามิอาจไม่วางแผน ไม่อย่างนั้นเหมียวอี้จะเก็บหยางชิ่งไว้ทำประโยชน์อะไร?


ประมุขขุนพลเย่ซิงคงแห่งลัทธิมารเลิกคิ้ว ทำเสียงฮึดฮัดแล้วถามว่า “หรือว่าไม่เชื่อมั่นในตัวพวกเรา?”


กลุ่มคนนั่งอยู่สองฝั่ง หยางชิ่งยืนอยู่กลางตำหนักใหญ่ หันตัวช้าๆ มองไปนอกประตู แล้วกล่าวด้วยสายตาสงบนิ่ง “ถ้าอยากให้คนอื่นเชื่อมั่น อันดับแรกตัวเองก็ต้องแสดงท่าทีให้คนอื่นเชื่อมั่น! คำพูดไร้สาระ พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ข้าเลือกพูดแต่สิ่งสำคัญ ราชาปราชญ์บอกแล้ว ว่าหลังจากจบเรื่อง หกลัทธิจะได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ฝ่ายละห้าแสนคัน” พูดจบก็กวาดสายตามองกลุ่มคนที่กำลังตกตะลึง “ราชาปราชญ์ใจกว้างพอมั้ยล่ะ?”


คนทีเหลือมองหน้ากันเลิกลั่ก ฝ่ายละห้าแสนคัน หกลัทธิก็เป็นสามล้านคัน กำลังพลเดิมของหกลัทธิในแดนอเวจีมีทั้งหมดแปดล้านกว่า หลังจากจบเรื่องแล้ว ก็เท่ากับว่าคนเกือบครึ่งจะมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้ว แบบนี้ก็แทบจะใกล้เคียงกับอาวุธของกองทัพองครักษ์ฝ่ายโจรกบฏแล้ว


ตอนแรกตื่นเต้นดีใจ จากนั้นก็เหมือนถูกสาดน้ำเย็นดับฝัน แล้วตอนนี้ก็ถูกผลประโยชน์ก้อนใหญ่หล่นทับอีก ทุกคนกลับสู่ความสงบเยือกเย็นเย็นเร็วมาก ไม่เพ้อฝันเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีก ทุกคนตกอยู่ในความเงียบแล้ว


หยางชิ่งไม่ได้พูดะอะไรมากอีก เพียงสังเกตปฏิกิริยาของทุกคนเงียบๆ ผลลัพธ์ก็สามารถคาดเดาได้ เรียบง่ายมาก ทำอย่างไรมีประโยชน์ต่อพวกเขา ทำอย่างไรไม่มีประโยชน์ต่อพวกเขา คนพวกนี้ไม่ถึงขั้นตัดสินพิจารณาเองไม่ได้


“พาคนออกไปนั้นง่าย แต่จะพาคนกลับมายังไง พวกเราคงต้องปรึกษากันให้ดีสักหน่อย” จ่างซุนจูกล่าวอย่างลังเล


หลีเซิงพยักหน้าเงียบๆ “จะให้คนที่ออกไปข้างนอกพกแผนที่ดาวไม่ได้ ส่วนมาตรการกำกับดูแล ก็เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนไปขอพึ่งพิงฝ่ายโจรกบฏ อยู่ที่แดนอเวจีมาหลายปี พวกเราเราชำนาญเรื่องนี้นานแล้ว…”


ประเด็นสนทนาเปลี่ยนทันที คนกลุ่มนี้เริ่มถกเถียงเถียงกันเสียงดังวุ่นวาย


หยางชิ่งไม่พูดสอดแทรก แต่แอบถอนหายใจยาว ทัพใหญ่หนึ่งล้านของหกลัทธิหมายความว่าอะไรล่ะ? ล้วนเป็นคนที่สู้สุดชีวิตจนรอดพ้นเคราะห์ใหญ่ในปีนั้นมา ทั้งยังรอดชีวิตจากการกวาดล้างของตำหนักสวรรค์มาหลายครั้ง กอปรกับมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้วด้วย ถ้าพวกเขาบ้าระห่ำขึ้นมา ก็จะเกิดฉากคลุ้งคาวเลือดแน่นอน


หยางชิ่งรู้สึกว่านำคนออกไปแค่แสนเดียวก็พอแล้ว เพราะต่อให้ตระกูลอิ๋งจะวางกับดักอย่างไร แต่ก็ไม่มีทางวางกับดักใหญ่โตเพื่อเหมียวอี้ที่ต่ำต้อยคนเดียว อย่างมากก็แค่ใช้ยอดฝีมือเยอะหน่อยเพื่อป้องกันความผิดพลาด แต่เหมียวอี้ต้องการระดมทัพใหญ่หนึ่งล้าน สงสัยคิดจะสังหารคนที่วางกับดักให้สิ้นซากจริงๆ เจ้าเวรนั่นบ้าไปแล้ว!


“นายท่าน…”


ในโรงเตี๊ยม หรูเสวี่ยที่เปิดประตูออกมาต้อนรับเพิ่งจะกล่าวทักทาย สวีถังหรานที่เพิ่งเข้ามาก็อุดปากนางทันที โถมทับลงบนเตียงแล้วถอดเสื้อผ้าทำงานเสียเลย


นายท่านสวีคนนี้รู้เรื่องราวเบื้องลึกแล้ว รู้ว่าในไม่ช้าก็เร็วทั้งสองจะต้องฉีกหน้ากัน จึงเกิดความคิดแบบคนต่ำทราม อยากจะฉวยโอกาสนี้หาความสำราญให้ได้ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี


หลังจากเมฆสลายฝนสงบ จนกระทั่งทำอะไรไม่ไหวแล้ว สวีถังหรานถึงได้หยุด พยายามทำตัวกระปรี้กระเปร่า ทำท่าราวกับว่าเห็นหรูเสวี่ยเป็นดั่งยอดดวงใจ


หรูเสวี่ยแอบอิงพลางบ่นว่า “นายท่านทิ้งข้าไว้หลายวันแล้วนะ”


“ก็ข้ามีงานต้องทำไงล่ะ จะวิ่งมาที่นี่ทุกวันได้ยังไง” สวีถังหรานกล่าวกลั้วหัวเราะ


“ข้ากับนายท่านล้วนอยู่ที่ตลาดผี ใช้เวลาเดินทางไม่เท่าไหร่เอง งานยุ่งอะไรนักหนาคะ?” หรูเสวี่ยถาม


สวีถังหรานตบแผ่นหลังนางเบาๆ แล้วถลึงตาบอกว่า “อย่าถามสิ่งที่ไม่ควรถามสิ”


หรูเสวี่ยกล่าวอย่างน้อยใจทันที “ข้าผิดเองค่ะ ข้าก็เป็นแค่ผู้หญิงจากหอนางโลมคนหนึ่ง ไม่ควรพูดมาก”


มารดาเจ้าเถอะ! ถ้าไม่ได้เสแสร้งแล้วจะตายหรือไง? สวีถังหรานด่าแม่ในใจ แต่ปากกลับพูดจาหวานหู ปะเหลาะนางว่า “ไม่ปากมากหรอก ไม่ปากมาก ที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอก ท่านแม่ทัพภาคกำลังเก็บตัวฝึกวิชา ข้ากับหยางเจาชิงย่อมต้องรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยแม่ทัพภาคอยู่แล้ว จะออกมาข้างนอกบ่อยๆ ได้ยังไง…”


หรูเสวี่ยหาที่ซุกหน้าอยู่ตรงหน้าอกเขาตั้งใจฟัง…


ยอดเขาโอนเอน บนปากปล่องภูเขาไฟหลายลูกมีควันดำพุ่งขึ้นฟ้าเรากับเสา


ระหว่างหุบเขาที่แคบและมืดครึ้มลูกหนึ่ง เยี่ยนเป่ยหงกับเหยียนซิวกำลังยืนอยู่ด้วยกัน กำลังเบิกตากว้างจ้องมอง ‘เหยียนซิว’ ที่ยืนอยู่ตรงข้าม


เยี่ยนเป่ยหงมองดูเหยียนซิวที่อยู่ข้างกาย แล้วก็มองคนที่อยู่ตรงกันข้ามอีก รู้สึกงงงวย นึกไม่ถึงว่าคนที่เหมียวอี้สั่งให้มาเจอจะมีสภาพเป็นแบบนี้ นอกจากลักษณะท่าทางที่ต่างกัน หน้าตาก็เหมือนกันมากจริงๆ มองไม่ออกเลยว่าอีกฝ่ายกำลังปลอมตัว นี่เรื่องจริงหรือล้อเล่น?


“เจ้ามีพี่น้องฝาแฝดด้วยเหรอ?” เยี่ยนเป่ยหงอดไม่ได้ที่จะเอียงหน้าถาม


เหยียนซิวเหลืแบมองเขาแวบหนึ่ง แววตาเหมือนเลื่อนลอยไร้ความรู้สึก


เยี่ยนเป่ยหงย่อมเอามือตบหน้าผากเพราเข้าใจอย่างฉับพลัน เขานึกออกแลว ก่อนหน้านี้เหยียนซิวไม่ได้หน้าตาอย่างนี้ เป็นไปไม่ได้ที่พี่น้องฝาแฝดจะเติบโตพร้อมกันอย่างนี้ เขาจึงตะโกนถาม ‘เหยียนซิว’ “เจ้าเป็นใคร?”


เหยียนซิวตัวปลอมแสยะยิ้มเหยีดหยาม “ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เจ้านี่เอง”


“เจ้ารู้จักข้าเหรอ?” เยี่ยนเป่ยหงแปลกใจ


“พอแผลหายแล้วลืมความเจ็บปวดเหรอ ตอนแรกนับว่าเจ้าดวงแข็งนะ!” เสียงของเหยียนซิวพลันเปลี่ยนเป็นเสียงผู้หญิง ขณะเดียวกันร่างกายก็เลื้อยขยุกขยิก ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นร่างเดิมของไป๋เฟิ่งหวงแล้ว


เยี่ยนเป่ยหงเบิกตากว้างพลางตะคอกอย่างโมโห “เป็นเจ้าเองเหรอ!” ตอนแรกเขาถูกไป๋เฟิ่งหวงทำร้ายจนสาหัสมาก มีหรือที่จะลืมได้


“ทำไมล่ะ? ยังคิดจะลงมือกับข้าอีกเหรอ?” ไป๋เฟิ่งหวงดูถูก


ชวิ้ง! เยี่ยนเป่ยหงพลันพลิกมือถือดาบ แม้จะรู้ถึงวรยุทธ์ของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน แต่นึกไม่ถึงว่ายังคิดจะพุ่งเข้าไปสู้กัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกล้าหาญ หรือมีความมั่นใจว่าจะสู้ไหว


โชคดีที่เหยียนซิวคว้าข้อมือเขาไว้ได้ทันเวลา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “อย่าทำงานนายท่านเสีย”


เมื่อได้ยินแบบนี้ เยี่ยนเป่ยหงถึงได้เก็บดาบด้วยสีหน้าตึงแข็ง


ดาบโลหิต! ดาบนี้ก็คือดาบเดิบตอนใช้ที่พิภพเล็ก เหมียวอี้ช่วยขอจากอวิ๋นอ้าวเทียนมาให้เขา


ไป๋เฟิ่งหวงที่ตั้งตารอดูแสยะหัวเราะ แล้วกอดอกถามว่า “ใครล่ะ? คนไหนที่ไปกับข้า?”


เหยียนซิวเอียงหน้าบอกใบ้เยี่ยนเป่ยหง “เรื่องนี้เร่งด่วน”


ไป๋เฟิ่งหวงมองเยี่ยนเป่ยหงศีรษะจดเท้า นางเข้าใจแล้ว ว่าคนที่จะร่วมเดินทางกับนางครั้งนี้ก็คือเขา ร่างกายเลื้อยขยุกขยิก แปลงร่างเป็นเหยียนซิวอีกครั้ง หลังจากปลอมตัวอย่างง่ายๆ ก็สะบัดแขนเสื้อเหาะพุ่งขึ้นฟ้าไป


เยี่ยนเป่ยหงกระทืบเท้า แล้วพุ่งขึ้นฟ้าตามไป


ทั้งสองได้รับคำสั่งจากเหมียวอี้ ให้ไปสำรวจที่น้ำพุวังเวงล่วงหน้า


เหยียนซิวถลันตัวไปบนยอดเขา แล้วเงยหน้ามองตาม…


ส่วนตัวเหมียวอี้ก็ออกไปจากตลาดผีอย่างลับๆ แล้ว ไปยังแดนอเวจี


แต่กลับไม่ได้ไปถึงแดนอเวจีโดยตรง เพราะระหว่างทางแวะพักที่ดาวเคราะห์งดงามดวงหนึ่ง


ข้างเกาะหินแห่งหนึ่งที่โผล่อยู่อย่างโดดเดี่ยวเหนือผิวทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเรือสินค้าลำหนึ่งกำลังจอดเทียบฝั่ง


เหมียวอี้เหาะลงมาจากฟ้า เหยียบลงบนเรือลำนั้น ขณะกำลังจะร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจ จู่ๆ ประตูเรือก็เปิดออก เงาร่างงดงามที่สวมชุดกระโปรงสีม่วงปรากฏออกมา ใบหน้าที่คุ้นเคยนั่นก็คือหวงฝู่จวินโหรวนั่นเอง


“ทำไมเป็นเจ้าล่ะ?” เหมียวอี้งุนงง


เขาปลอมตัวอยู่ เดิมทีสายตาของหวงฝู่จวินโหรวยังฉายแววระแวงนิดหน่อย แต่พอได้ยินเสียงแล้วแน่ใจว่าเป็นเหมียวอี้ นางก็เบี่ยงตัวเปิดประตูเรือออก แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมจะเป็นข้าไม่ได้ล่ะ? จะยืนโง่อยู่ทำไม ไม่เคยเห็นเหรอ? ยังไม่รีบเข้ามาอีก”


เหมียวอี้ขมวดคิ้วเดินเข้าไป แล้วถามต่อว่า “เจ้ามาได้ยังไง? แม้เจ้าล่ะ?”


เดิมทีเขาติดต่อหวงฝู่จวินโหรวให้ช่วยติดต่อมารดาให้ นัดกันแล้วว่าจะพบกันที่นี่ มีเรื่องจะปรึกษา ไม่เกี่ยวอะไรกับหวงฝู่จวินโหรว นางเป็นเพียงสะพานเชื่อมให้ติดต่อกันเท่านั้น


หวงฝู่จวินโหรวที่ปิดประตูเม้มปากยิ้ม “แม่ข้าไม่ได้มา”


เหมียวอี้พลันหันตัวมา แล้วถามเสียงเข้ม “ล้อเล่นอะไรกัน? เจ้าบอกว่าช่วยนัดให้ข้าแล้วไม่ใช่เหรอ?”


หวงฝู่จวินโหรวเดินเข้าไปประชิดทีละก้าว พร้อมกล่าวด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ “นัดไว้แล้ว แต่ข้าบอกแม่ข้าว่าให้เจอกันพรุ่งนี้ ข้าช่วยเลื่อนเวลาให้เจ้าหนึ่งวัน”


เหมียวอี้อึ้งมาก แล้วตำหนิอย่างโมโห  “ทำเป็นเล่นไป ข้ามีธุระสำคัญ”


“ไม่มีเวลาอยู่กับข้าสักวันเชียวเหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวแกล้งโกรธ


เมื่อเห็นนางเป็นแบบนี้ เหมียวอี้ก็ยิ้มเจื่อน “ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น…”


ยังไม่ทันพูดจบ หวงฝู่จวินโหรวก็กางแขนโผเข้ามาแล้ว ยังเร่าร้อนดั่งไฟเหมือนเดิม ตอนหลังท่านขุนนางเหมียวพูดอะไรไม่ออกแล้ว…


ในห้องโดยสารเรือกำลังฟาดฟันกันอย่างดุเดือด จู่ๆ เงาคนคนหนึ่งก็เหาะลงมาจากฟ้า สตรีวัยกลางคนหน้านิ่งเหยียบลงบนเรือ นางหันขวับมองไปทางตึกเรือที่มีความเคลื่อนไหวรุนแรง แล้วถลันตัวเข้าไป


คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ค่อนข้างชัดเจน สองคนที่อยู่ในห้องโดยสารเรือตกใจจนทำอะไรไม่ถูก


ปั้ง! ประตูเรือสะเทือนเปิดออก สองคนที่อยู่บนเตียงรีบดึงผ้าห่มมาบังร่างกายตัวเอง เหมียวอี้ถามอย่างโมโหว่า “ใครกัน?”


หวงฝู่จวินโหรวที่ผมยุ่งสยายเห็นรูปร่างของสตรีวัยกลางคนปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นใคร เป็นหวงฝู่ตวนหรงมารดาของนางนั่นเอง สองแม่ลูกคุ้นเคยกันดีเกินไป แม่นางแค่ปลอมแปลงใบหน้าเท่านั้นเอง นางรีบดึงแขนเหมียวอี้ที่อยู่ใต้ผ้าห่ม แล้วกล่าวเสียงต่ำอย่างอับอาย “แม่ข้าเอง”


หวงฝู่ตวนหรงก็ตกใจเช่นกัน นางแค่ทำไปเพื่อความปลอดภัย จะมาสำรวจสภาพแวดล้อมล่วงหน้าหนึ่งวัน นึกไม่ถึงว่า…จะจับสุขับตัวผู้กับสุนัขตัวเมียคู่นี้ได้คาหนังคาเขาอีกแล้ว นางฉีกหนังปลอมบนใบหน้าออก แล้วชี้ทั้งสองคน นางพูดไม่ออกแล้วจริงๆ ทนดูต่อไปไม่ได้ด้วย รีบหันหน้าแล้วหนีออกมา


เหมียวอี้ก็ครองสติไม่อยู่แล้วเช่นกัน อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน โดนจับได้อีกแล้ว จะให้เขาทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร!

 

 

 


บทที่ 1666 พบเจอกันยาก

 

“ต้องให้ข้ารอพวกเจ้าเสร็จธุระกันก่อนรึเปล่า?”


ด้านนอกมีเสียงโกรธเกรี้ยวจนยั้งอารมณ์ไม่อยู่ของหวงฝู่ตวนหรงดังมา ในฐานะคนเป็นมารดา การที่สามารถที่สามารถทำเรื่องพิลึกถึงขั้นนี้ได้ คงที่อับอายจนทนไม่ไหวจริงๆ ก็คือนางต่างหาก


สองคนที่อยู่ในห้องโดยสารเรือลนลานอีกพักหนึ่ง รีบใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย


หลังจากออกมาแล้ว พอขึ้นมาบนตึกเรือแล้วเจอกันอีกครั้ง พวกเขาก็อึดอัดเก้อเขินมาก เหมียวอี้เดินอยู่ข้างหน้า หวงฝู่จวินโหรวหลบอยู่ข้างหลังอย่างอ่อนปวกเปียก


หวงฝู่ตวนหรงถลึงตาจ้องอย่างโมโหครู่หนึ่ง จากนั้นหันตัวไปเตะเปิดประตู  แล้วเดินกระฟัดกระเฟียดเข้าไป ต่อให้จะโมโหอย่างไร แต่ข้างนอกก็ไม่ใช่สถานที่คุยกัน


เหมียวอี้หันกลับไปส่งสายตาให้หวงฝู่จวินโหรวอีกครั้ง ราวกับกำลังถามว่า ไหนเจ้าบอกว่าแม่เจ้าจะมาพรุ่งนี้ไง?


หวงฝู่จวินโหรวตอบกลับด้วยสายตาที่สื่อว่า ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะ


จะหลบก็หลบไม่พ้น สุดท้ายทั้งสองก็ทำได้เพียงแข็งใจเดินตามเข้าไป


เมื่อเห็นสุนัขตัวผู้กับสุนัขตัวเมียคู่นี้อีกครั้ง ปั้ง! หวงฝู่ตวนหรงที่นั่งลงข้างโต๊ะน้ำชาใช้ฝ่ามือตบโต๊ะ ชี้เสื้อผ้าของทั้งสองที่ยังสวมใส่ไม่เรียบร้อย พร้อมกล่าวอย่างโมโหว่า “พวกเจ้า…” พูดอะไรต่อไม่ไหวแล้ว ไม่รู้ว่าจะด่าอย่างไรดี จะบอกว่าพวกเขาทำผิดเหรอ? แต่นางอนุญาตไปแล้วนะ ในเมื่ออนุญาตไปแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างสุนัขตัวผู้กับสุนัขตัวเมียก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่สุดท้ายก็ยังหาข้ออ้างได้ นางชี้หวงฝู่จวินโหรวพร้อมบอกว่า “เจ้าบอกไม่ใช่เหรอว่าเขาอยากจะเจอข้าเฉยๆ? เจ้าถ่อมาได้ยังไง? เจ้าบอกว่าเจอกันพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ? ทำไมเขามาวันนี้แล้วล่ะ?”


หวงฝู่จวินโหรวชี้เหมียวอี้อย่างอ่อนปวกเปียก “เขาบอกว่าเขาคิดถึงข้า ให้ข้ามาล่วงหน้าหนึ่งวัน”


อะไรนะ? เหมียวอี้ตะลึงค้าง มองนางอย่างงุนงงเล็กน้อย อย่าเล่นอย่างนี้สิ!


แต่แล้วอย่างไรล่ะ? เรื่องแบบนี้ชายหญิงสมัครใจยินยอม ไม่มีเหตุผลที่จะให้ผู้หญิงแบกรับไว้คนเดียว ชายชาตรีอย่างเขาทำได้เพียงยอมรับแล้ว ได้แต่ก้มหน้าเล็กน้อย


ดูผู้หญิงให้ดูมารดา เมื่อเห็นปฏิกิริยาของทั้งสอง ในหัวหวงฝู่ตวนหรงก็ใช้ความคิดเล็กน้อย พอจะเดาได้คร่าวๆ แล้วว่าเรื่องเป็นอย่างไร


เดาได้ก็ส่วนเดาได้ แต่ถ้าพูดคุยเรื่องนี้ต่อไปก็ไม่มีความหมาย หวงฝู่ตวนหรงชี้ทั้งสองพร้อมพยักหน้าพูดอย่างปวดใจ  “ต่อให้พวกเจ้าจะหน้าด้านหน้าทนขนาดไหน แต่ก็ต้องพิจารณาถึงความปลอดภัยของตัวเองสักหน่อยสิ ถ้าให้คนนอกรู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเจ้าสองคนเมื่อไร ต้องให้ข้าพูดซ้ำมั้ยว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง? ไม่รู้จักแยกแยะความสำคัญ…”


ทั้งสองถูกด่ายับเยิน ถูกด่าจนเถียงไม่ออก ทำได้เพียงก้มหน้าฟัง


หลังจากระบายอารมณ์โกรธพอแล้ว สุดท้ายหวงฝู่ตวนหรงก็วกกลับมาพูดธุระหลัก ชำเลืองมองเหมียวอี้พร้อมแสยะยิ้ม “ข้าว่าไม่ต้องรอให้ถึงพรุ่งนี้แล้วมั้ง? ผัดวันประกันพรุ่งไปก็เท่านั้น ว่ามาเถอะ นัดข้ามามีธุระอะไร?”


เหมียวอี้จัดการความรู้สึกตัวเองเล็กน้อย นำระฆังดาราสองอันที่ลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองออกมา แล้ววางไว้บนโต๊ะน้าข้างหวงฝู่ตวนหรง


“หมายความว่ายังไง?” หวงฝู่ตวนหรงเหล่ตาถาม


“หวังว่าต่อไปนี้ผู้อาวุโสจะติดต่อกับข้ามากๆ หน่อย ผู้น้อยจะได้ไม่เดินผิดทาง” เหมียวอี้ตอบอย่างใจเย็น


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ไม่ใช่แค่หวงฝู่ตวนหรงที่หนังตากระตุก แม้แต่หวงฝู่จวินโหรวเองก็แอบตกใจ เข้าใจได้ไม่ยากว่าคำพูดเหมียวอี้หมายความว่าอย่างไร


ที่เหมียวอี้มาครั้งนี้ ก็เพราะอยากสร้างช่องทางการติดต่อลับๆ กับหวงฝู่ตวนหรง เนื่องจากหวงฝู่จวินโหรวรู้เรื่องสมาคมวีรชนอย่างจำกัด แต่หวงฝู่ตวนหรงนั้นต่างกัน ต่อให้นางจะไม่ใช่คนที่อยู่แกนกลาง แต่นางก็ใกล้ชิดกับคนที่อยู่แกนกลางของสมาคมวีรชน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เส้นสายที่ควรจะใช้ก็ยังต้องใช้ เขาต้องอาศัยหวงฝู่ตวนหรงเพื่อรู้ข้อมูลบางอย่างที่ไม่เป็นผลดีต่อเขา จะได้รับมือได้ทันเวลา


แต่สำหรับหวงฝู่ตวนหรงแล้ว การเปิดเผยความลับต่อคนนอกก็ไม่ต่างอะไรกับการทรยศตระกูลหวงฝู่


หวงฝู่ตวนหรงเริ่มใบหน้าตึงแข็งเล็กหน่อย นางตะคอกหวงฝู่จวินโหรว “เป็นผู้หญิงแต่งตัวไม่เรียบร้อย มีอย่างที่ไหน ยังไม่รีบไปจัดเสื้อผ้าอีก”


หวงฝู่จวินโหรวเข้าใจว่ามารดาต้องการให้ตัวเองหลบเลี่ยงไป นางจึงกัดฟันหันตัวเดินออกไปอย่างช้าๆ ก่อนจะออกไปก็ยังส่งสายตาเตือนเหมียวอี้ด้วย บอกใบ้ว่าอย่าทรยศนาง อย่าบอกว่านางเป็นคนเล่นตุกติกกับการนัดครั้งนี้…ต้องการให้ท่านขุนนางเหมียวแบกรับเรื่องไร้ยางอายนี้ไว้คนเดียว


พอร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดสำรวจภายนอก แน่ใจแล้วว่าลูกสาวไปแล้ว หวงฝู่ตวนหรงก็ลุกขึ้นยืน จ้องตาเหมียวอี้พร้อมถ่ายทอดเสียงบอกอย่างเย็นเยียบ “เจ้ากับโหรวโหรวเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ามีเจตนาแอบแฝงใช่มั้ย จุดประสงค์ของเจ้าก็คือสิ่งที่เจ้าพูดออกมาวันนี้ เจ้าหลอกใช้โหรวโหรวมาตลอด ใช่มั้ย?”


เหมียวอี้ตอบว่า “ผู้จัดการใหญ่คิดมากไปแล้ว ในปีนั้นตอนที่ข้ากับจวินโหรวคบกัน ข้าคิดถึงเรื่องพวกนี้เสียทีไหนกันล่ะ แต่วันนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมแล้ว ผู้จัดการใหญ่ก็รู้ว่าสถานการณ์ของข้าตอนนี้เป็นยังไง ข้าต้องการแรงสนับสนุนจากผู้จัดการใหญ่!”


หวงฝู่ตวนหรงจึงบอกว่า “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะกำลังหลอกใช้โหรวโหรวหรือไม่ เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น ข้าไม่มีทางทรยศตระกูลเพื่อลูกสาวตัวเองหรอก…” เมื่อเห็นเหมียวอี้คิดจะโน้มน้าวอีก นางก็ยกมือตัดบท “ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว เจ้าเองก็ไม่ต้องเอาเรื่องโหรวโหรวมาขู่ข้า เจ้าขู่ข้าไม่ได้หรอก ถ้าเรื่องนี้เปิดเผยออกไป ก็ไม่เป็นผลดีกับเจ้าเหมือนกัน ดังนั้นข้าไม่ตอบตกลงเรื่องนี้!”


เหมียวอี้เงียบแล้ว สงสัยตัวเองจะมองโลกในแง่ดีเกินไปหน่อย ทำให้เขาคิดทบทวนตัวเองเช่นกัน ว่าเขามั่นใจในตัวเองเกินไปหรือเปล่า ไม่น่าเชื่อว่าจะพูดอะไรแบบนี้กับหวงฝู่ตวนหรงตรงๆ ได้ ตัวเองมีสิทธิ์อะไรไปขอให้อีกฝ่ายทำอย่างนี้? ตระกูลหวงฝู่ต่างหากที่เป็นรากฐานให้พวกนางสองแม่ลูกตั้งตัว ไม่ใช่เขาเหมียวอี้ สำหรับพวกนางสองแม่ลูก เขาเอายังเอาตัวไม่รอดเลย แล้วจะให้อะไรพวกนางได้?


“ข้าวู่วามไปหน่อย” เหมียวอี้พยักหน้า แล้วยื่นมือหวังจะเก็บระฆังดาราสองอันกลับมา


แต่หวงฝู่ตวนหรงยกมือห้าม แล้วชี้นิ้วลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองบนระฆังดาราสองอันนั้น เก็บไว้ที่ตัวเองหนึ่งอัน “ยังต้องติดต่อกันอยู่ ต่อไปถ้ามีเรื่องอะไรก็ติดต่อข้าโดยตรง อะไรที่ช่วยได้ข้าก็จะช่วย ส่วนโหรวโหรวน่ะ พยายามพบกันน้อยๆ หน่อย…สิ่งที่ควรพูดก็พูดไปแล้ว ข้าส่งตรงนี้!” พูดแบบนี้เท่ากับไล่แล้ว


เหมียวอี้อยากจะขอให้นางช่วยสืบเรื่องที่อยู่ของน้องสาวเจียงอีอีสักหน่อย แต่ตอนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องพูดอีกแล้ว เขาเก็บระฆังดาราอีกอันเอาไว้ สวมใส่หนังปลอมบนใบหน้า กุมหมัดคารวะหวงฝู่ตวนหรงแล้วหันตัวเดินออกไป พอออกจากประตูแล้วก็เหาะขึ้นฟ้าไปทันที


คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ตอนเหาะออกไปสะเทือนจนหวงฝู่จวินโหรววิ่งออกมา พอเห็นเหมียวอี้ไปโดยไม่ลานางสักคำ นางก็โมโหจนกระทืบเท้า แอบด่าว่าผู้ชายไม่จริงใจ


พอหันกลับมาก็เห็นมารดากำลังจ้องลงมาจากตึกเรือด้วยสายตาเย็นเยียบ นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกคับแค้นใจ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เจอเหมียวอี้สักครั้ง ยังไม่ทันได้อยู่ด้วยกันให้หนำใจ ก็ถูกมารดาทำลายแผนการเสียแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าสองคนนั้นคุยอะไรกัน…


พอแยกจากหวงฝู่จวินโหรว เหมียวอี้ก็ไม่ได้กังวลว่าจะไม่มีผู้หญิงอยู่ด้วย


ในป่าภูเขาเขีนสชอุ่ม สองพี่น้องหลางหวนเดินอยู่ทางข้างซ้ายและขวา เดินทอดน่องพูดคุยยิ้มแย้มกับเขาอยู่ในป่าภูเขา สาวงามมาเป็นคู่ ดอกไม้หอมไม่โรยรา ชีวิตนี้จะหาได้สักกี่คน


บนทุ่งหญ้าที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ฝ่าอินที่ลดความโง่เขลาและมีความรู้สึกขึ้นมาหลายส่วนกำลังยืนอยู่ท่ามกลางหญ้าเขียวมรกตสูงเท่าเข่า ชุดกระโปรงสีขาวบริสุทธิ์พลิ้วไหวตามสายลม มีเสน่ห์น่าประทับใจไปอีกแบบ ในดวงตาสงบอ่อนโยนที่กำลังทอดมองเส้นขอบฟ้าเผยให้เห็นการหลอมรวมระหว่างปัญญาและความผุดผ่องไร้ราคี


เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินช้าๆ เข้ามาใกล้ จ้องใบหน้าด้านข้างอันงดงามของนางพักหนึ่ง พบว่าผู้หญิงคนนี้มีความเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ในขณะที่อยู่ด้วยกัน เขารู้สึกว่านางไม่ใช่ผู้หญิงซื่อบื้อที่ทำให้เขาอยากหนีเหมือนในปีนั้นแล้ว อย่างไรเสียก็เข้าสู้ทางโลกมาหลายปี เข้าใจอารมณ์ฟุ้งซ่านของมนุษย์ปุถุชนหมดแล้ว


สายตาไปหยุดอยู่บนหน้าผากขาวบริสุทธิ์เกลี้ยงเกลาที่กำลังรับลมของนาง แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า  “กำลังคิดอะไรอยู่?”


ฝ่าอินเอียงหน้าสบตาเขา ในดวงตาฉายแววแห่งปัญญาบริสุทธิ์ นางมองไปตรงจุดไกลๆ อีกครั้ง แล้วตอบด้วยรอยยิ้มสุขุมเยือกเย็น “กำลังคิดว่าในอนาคตจะไปทางไหนดี”


เหมียวอี้จึงกล่าวกลั้วหัวเราะ “เข้าสู่ทางโลกมาหลายปีแล้ว ไม่เคยได้ยินเหรอว่าแต่งกับสนัขก็ตามสุนัข แต่งกับไก่ก็ตามไก่ ข้าอยู่ตรงนี้ ยังต้องคิดอีกเหรอว่าจะไปทางไหน?”


ฝ่าอินโค้งมุมากยิ้มบางๆ ยิ้มพลางส่ายหน้าเบาๆ ท่าทางเหมือนไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ


เหมียวอี้ยื่นแผ่นหยกแผ่นหนึ่งมาตรงหน้านาง บอกใบ้ให้รับไป


“อะไรเหรอ?” ฝ่าอินรับไว้แล้วเอ่ยถาม


“ของขวัญ หฤทัยสูตรสุขาวดีภาคดิน ชอบหรือเปล่า?”


“ขอบคุณ”


จันทร์กระจ่างฟ้าดาราเลือนราง บนยอดเขาแห่งหนึ่ง ชายหญิงนั่งด้วยกันอยู่ริมหน้าผา


อวี้หนูเจียวหนุนศีรษะบนบ่าเหมียวอี้ ร่างกายแอบอิงอยู่บนตัวเหมียวอี้ครึ่งหนึ่งขณะที่มองดวงดาว เมื่อเห็นแผ่นหยกยื่นมาตรงหน้า จึงเอ่ยถามเหมือนกับฝ่าอินก่อนหน้านี้ “อะไรเหรอ?”


“ของขวัญที่มอบให้เจ้า เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางภาคดิน” เหมียวอี้ตอบอย่างสงบใจเย็น


ในกระท่อมตรงตีนเขา จีเหม่ยลี่นั่งยองๆ อยู่หน้าโต๊ะยาว สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ ยกแขนเสื้อและวางมือต้มน้ำชาอย่างไม่ทุกข์ร้อน สงบนิ่งมาก


เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามนำแผ่นหยกออกมา แล้วผลักไปตรงหน้านาง “มหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจภาคดิน”


สายตานางหยุดชะงักแผ่นหยก ในขณะที่รินน้ำชาใส่ถ้วย ก็ลองถามว่า “ข้ามอบให้ท่านพ่อได้หรือเปล่า?”


เหมียวอี้ยิ้มบางๆ “เดิมทีก็เป็นของขวัญที่มอบให้เจ้าอยู่แล้ว มันกลายเป็นของเจ้าแล้ว เจ้าอยากจะมอบให้ใครก็ได้” ตอบเสร็จก็จิบน้ำชา


หกเคล็ดวิชาพิเศษภาคดินนี้ เดิมทีเขาเตรียมจะส่งไปให้พวกจีฮวนที่แดนอเวจี ทว่าอวิ๋นจือชิวกลับยื่นมือเข้ามาแทรก นางไม่ได้ห้ามไม่ให้ส่งให้พวกจีฮวน แต่ให้เขานำของพวกนี้มอบเป็นของขวัญให้พวกจีเหม่ยลี่แทน ให้พวกอนุภรรยาตัดสินใจเอง ถึงแม้สุดท้ายจะตกอยู่ในมือพวกจีฮวนเหมือนเดิม แต่สำหรับบรรดาอนุภรรยาแล้ว ความหมายก็จะแตกต่างกันมาก


เหตุผลของอวิ๋นจือชิวก็ไม่ได้ซับซ้อนเลย การนำหกเคล็ดวิชาพิเศษมาเป็นของขวัญ เดิมทีก็เป็นของขวัญล้ำค่าอยู่แล้วไม่ง่ายเลยกว่าเจ้าจะได้เจอพวกนาง ควรจะให้ของขวัญล้ำค่าสักหน่อย ถ้าพวกนางเป็นคนมอบของขวัญนี้ให้ตระกูลและอาจารย์ ความหมายก็จะไม่ธรรมดาแล้ว อย่างน้อยก็ทำให้พวกนางรู้ว่าการแต่งงานกับเหมียวอี้ไม่ได้สูญเปล่า ประการต่อมา ยังช่วยยกระดับฐานะของพวกนางในตระกูลและสำนักได้ด้วย ถ้าตาแก่พวกนั้นเฝ้ารอเคล็ดวิชาภาคฟ้า ก็จะต้องให้การสนับสนุนพวกนางมากกว่าเดิมแน่นอน และจะทำให้พวกนางเข้าใจด้วย ว่าการที่เจ้าไม่ได้มาพบพวกนางบ่อยๆ นั้นมีเหตุผล ถ้ามัวมาออเซาะตัวติดกันทั้งวัน แล้วจะไปหาหกเคล็ดวิชาพิเศษล่ะ


หลักการบางอย่างไม่จำเป้นต้องอธิบายเยอะ เหมียวอี้ก็ไม่ใช่คนโง่ ชี้แนะนิดหน่อยก็พอ เพียงแต่เขาไม่ได้เป็นผู้หญิงเหมือนอวิ๋นจือชิว จึงไม่ได้คิดละเอียดถี่ถ้วนขนาดนั้น เดิมทีเขาเตรียมจะส่งให้ทั้งสองฝ่าย ไม่มีทางปฏิบัติต่ออนุภรรยาให้เสียเปรียบ แต่พอคิดไปคิดมา ก็เพราะว่าสิ่งวิ๋นจือชิวพูดมีเหตุผลจริงๆ ถึงได้เชื่อฟังคำแนะนำ แค่ส่งให้พวกจีเหม่ยลี่ก็พอแล้ว ให้พวกนางไปส่งต่อให้จะเหมาะสมที่สุด


ถึงแม้จะรู้ว่านี่คือของขวัญล้ำค่ามาก แต่จีเหม่ยลี่ก็ไม่มีแม้แต่ ‘ขอบคุณ’ สักคำ เพียงเก็บแผ่นหยกไว้เงียบๆ


เมื่อดื่มน้ำชาหมด จีเหม่ยลี่ก็ช่วยรินน้ำชาให้อีก แต่เหมียวอี้โบกมือ แล้วลุกขึ้นบอกว่า  “ข้ายังมีธุระ ต้องไปก่อน”


พอเดินไปถึงประตูแล้วหันกลับมา ก็เห็นจีเหม่ยลี่ยังนั่งอยู่ที่เดิม จึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยรอยยิ้มขื่นขม “ไม่ไปส่งข้าสักหน่อยเหรอ?”


ตอนนี้จีเหม่ยลี่ถึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกมาส่ง


ตอนที่ทั้งสองเดินลงบันไดกระท่อม จู่ๆ จีเหม่ยลี่ก็บอกว่า “ได้ยินว่าสถานการณ์ของเจ้าไม่สู้ดีนัก ระวังตัวหน่อย”


เหมียวอี้สบตานางครู่หนึ่ง ก่อนจะขานรับ “อืม” แล้วบอกว่า “ไปแล้วนะ!” เสร็จแล้วก็สะบัดแขนเสื้อสองข้าง พุ่งขึ้นฟ้าไปแล้ว


บนท้องฟ้า เขาก้มหน้ามองคนที่กำลังเงยหน้ามองเขา ในใจแอบทอดถอนใจ นอกจากสองพี่น้องหลางหวน ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับผู้หญิงพวกนี้ก็ไม่รู้ว่ายิ่งเหินห่างมากขึ้นเรื่อยๆ หรือเปล่า สรุปก็คือยิ่งนับว่าพวกนางก็ยิ่งเงียบงันต่อเขามากขึ้น แทบจะหาเรื่องคุยกันไม่ได้เลย พวกนางทุกคนดูเงียบมาก ไม่ค่อยเอ่ยปากคุยอะไร


เหาะเดินทางอยู่ในดาราจักรตลอดทาง พวกอนุภรรยาที่ได้รับข่าวล้วนมารอตรงจุดนัดหมายล่วงหน้า เหมียวอี้อยู่กับพวกนางคนละสองวัน


สุดท้ายก็ไปเจอกับหลันโฮ่วและจางเทียนเซี่ยว การแต่งตัวที่ภูมิฐานเกินจริงของทั้งสองได้เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้ดูแลร้านค้าของลัทธิอู๋เลี่ยงที่ตลาดสวรรค์


นัดคุยกับทั้งสองได้สองชั่วยาม หลังจากบอกลาแล้ว เหมียวอี้ก็มุ่งตรงสู่แดนอเวจี

 

 

 


บทที่ 1667 ลงทุนควักเนื้อ

 

สาเหตุที่เสียเวลาอยู่อย่างนี้ตลอดทาง ก็เพราะจะถือโอกาสจัดการธุระและให้เวลาคนในแดนอเวจีเตรียมตัว พอเขาไปถึงแดนอเวจี ทุกอย่างก็ถูกเตรียมไว้เรียบร้อยพอดี


หลังจากพูดคุยกับจินม่านและพวกบุคคลระดับสูงของหกลัทธิ พวกเขาก็เหาะออกจากดาวอู๋เลี่ยงพร้อมกัน ไปยังดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ


พวกเขาเหยียบลงบนหน้าผาแห่งหนึ่งแล้วมองลงไป ตรงตีนเขามีทัพใหญ่หนึ่งล้านมารวมตัวกันเรียบร้อยแล้ว ดูมีพลังอำนาจมาก


เหมียวอี้เอียงหน้ามองหยางชิ่งแวบหนึ่ง หยางชิ่งพยักหน้าเบาๆ บอกเป็นนัยให้เขาวางใจ เรื่องนี้ไม่มีปัญหา


เหมียวอี้หยิบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งยื่นให้หยางชิ่ง


หยางชิ่งจัดเตรียมของในกำไลเก็บสมบัติทันที แล้วเรียกให้คนของหกลัทธิมารับไปแจกจ่าย


ผ่าไปไม่นานก็เห็นทัพใหญ่หนึ่งล้านข้างล่างรีบร้อนเคลื่อนไหว ทั้งหมดเปลี่ยนใส่เครื่องแบบแล้ว


หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม การเคลื่อนไหวก็หยุดแล้ว เกราะแดง เกราะม่วง เกราะทอง ทัพใหญ่หนึ่งล้านสวมเครื่องแบบทางการของตำหนักสวรรค์ทั้งหมด สะท้อนแสงระยิบระยับอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ บรรยากาศโหดเหี้ยมน่าเกรงขาม


สิ่งที่ทำให้คนบนหน้าผาหนังตากระตุกก็คือ ทุกคนในทัพใหญ่หนึ่งล้านล้วนถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ทำให้พวกเขาตาลุกวาว


“มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนี้อยู่ในมือ ต่อไปเมื่ออยู่ในแดนอเวจี กำลังพลฝ่ายโจรกบฎก็เลิกคิดว่าจะข่มเหงพวกเราได้ง่ายๆ เลย!” ลวี่เกอเอียงหน้าถ่ายทอดเสียงบอกจินม่าน


คำพูดนี้กล่าวไว้ไม่ผิด ถ้าพูดถึงกำลังพล พวกเขาเทียบตำหนักสวรรค์ไม่ติดจริงๆ แต่ถ้าเทียบศักยภาพของกำลังพล ฝั่งแดนอเวจีก็ไม่ได้มีศักยภาพด้อยกว่าตำหนักสวรรค์เลย ถึงขั้นเหนือกว่าด้วยซ้ำ กำลังพลในนี้ล้วนเป็นหัวกะทิของหกลัทธิที่เผชิญความเปลี่ยนแปลงและรอดชีวิตผ่านมาเป็นร้อยศึก แต่จนใจที่ในมือตำหนักสวรรค์มีอาวุธที่ได้เปรียบสำหรับโจมตีหมู่ พอประมือกันก็ถูกตำหนักสวรรค์กดดันโจมตีได้ง่ายมาก ถ้าไม่ใช่เพราะอาศัยความได้เปรียบทางด้านภูมิศาสตร์ เกรงว่าคงถูกตำหนักสวรรค์ปราบสิ้นหมดแล้ว


ส่วนในตอนนี้มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนี้อยู่ในมือแล้ว ถ้าได้เผชิญกับทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์อีกครั้ง ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์ก็เลิกฝันเลยว่าจะได้เปรียบอีก สองฝ่ายสามารถอาศัยกำลังที่แท้จริงปะทะกันตรงๆ ได้เลย


จินม่านชำเลืองมองแวบหนึ่ง แล้วถ่ายทอดเสียงตอบว่า “ถ้าสามารถไม่เปิดฉากต่อสู้ ก็ต้องพยายามหลบเลี่ยงไว้ดีกว่า ผู้ช่วยใหญ่พูดไว้ไม่ผิด ถ้าให้โจรกบฏรู้ว่าในมือพวกเรามีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เยอะขนาดนี้ ก็เท่ากับพวกเขารู้แล้วว่าพวกเรามีช่องทางเข้าออกอีกทาง พวกเขาไม่มีทางนั่งดูพวกเราเฉยๆ แน่นอน แบบนั้นจะกดดันผู้มีอำนาจแต่ละฝ่ายของฝั่งโจรกบฏที่มีความแค้นร่วมกัน จะบีบให้ฝ่ายโจรกบฏรวบรวมกำลังทั้งหมดมาปราบพวกเรา ดังนั้น ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาโจมตีกลับ ยังต้องอดทนไว้”


ลวี่เกอกล่าวอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ว่า “ไม่รู้ว่าต้องทนไปถึงเมื่อไร ต่อให้พวกเราออกไปได้แล้ว แต่อาศัยกำลังอันน้อยนิดของพวกเราจะไปทำอะไรได้ โจรกบฏมีอำนาจตั้งนานแล้ว กลายเป็นยักษ์ใหญ่แล้ว พวกเราต้านทานไม่ไหว!” เรื่องบางเรื่องตัวเองรู้ดีอยู่แก่ใจ เพียงแต่ไม่กล้าบอกให้คนนอกรู้ก็เท่านั้นเอง


จินม่านจึงบอกว่า “ข้ามั่นใจว่าต้องมีวันนั้นแน่นอน เจ้าเองก็รู้ว่าคนคนนั้นรักผู้หญิงคนนั้นมากขนาดไหน มีหรือที่เขาจะปล่อยประมุขชิงกับประมุขพุทธะไป สักวันหนึ่งจะต้องไปคิดบัญชีนั้นกับพวกเขาแน่นอน”


ลวี่เกอถอนหายใจเบาๆ “ความสามารถของคนคนนั้นข้าไม่สงสัยหรอก แต่ถึงเขาจะมีฝีมือน่าทึ่ง ทว่าไม่มีอนาคตแล้ว ตอนนี้ประมุขชิงกับประมุขพุทธคุมใต้หล้า เกรงว่าจะพูดง่ายแต่ทำยาก!”


“ถ้าง่ายก็คงลงมือไปนานแล้วล่ะ ยังต้องรออีกเหรอ? ฐานลับของพวกเจ้าถูกโจมตีพร้อมกัน นั่นยังพิสูจน์ไม่ได้อีกเหรอว่าเขามีแผนสำรองที่ค่อนข้างมีพลัง? เจ้าลองดูตรงหน้านี้สิ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มากมายขนาดนี้ จะได้มาไว้ในมือง่ายๆ เหรอ? ทางเข้าออกใหม่ของแดนอเวจี…ดูจากเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนพวกเราหนีมาจนกระทั่งตอนนี้ ทุกสิ่งก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเรื่องราวกำลังก้าวหน้าตามดับ ทุกสิ่งได้พิสูจน์แล้วว่า ม่านเวทีฉากใหญ่ที่คนคนนั้นจะกลับมาอีกครั้งกำลังเปิดออกอย่างช้าๆ…ลวี่เกอ เจ้าคอยดูไปเถอะ ทุกสิ่งที่คนคนนั้นสูญเสียไปจะต้องกลับคืนมาแน่นอน ศึกใหญ่กวาดล้างใต้หล้าที่จะตัดสินว่าใครจะลอยใครจะจมจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน หลีกเลี่ยงไม่ได้หรอก บุญคุณความแค้นระหว่างเขากับประมุขชิงและประมุขพุทธะจะต้องจบลงโดยสิ้นเชิง สุดท้ายพวกเราจะหลุดออกจากแดนอเวจีไปเห็นแสงสว่างอีกครั้ง!” จินม่านกล่าว


ลวี่เกอยิ้มเบาๆ “เจ้ายังเชื่อใจเขาเต็มร้อยเหมือนเดิม…จินม่าน ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว เจ้ายังชอบเขาอยู่อีกเหรอ?”


“มาพูดเรื่องนี้ยังจะมีความหมายอะไร? เขายินดีทรยศผู้หญิงทั้งใต้หล้า เพื่อรักเพียงผู้หญิงคนเดียว เขาสามารถทิ้งทั้งใต้หล้าได้เพื่อผู้หญิงคนนั้น ถามหน่อยว่านอกจากผู้หญิงคนนั้นแล้ว ใครจะยังจะอยู่ในสายตาเขาได้อีก?” จินม่านกล่าวเสียงเบาจนแทบจะกระซิบ แววตาที่ค่อนข้างเลื่อนลอยค่อยๆ กลับมาแจ่มชัด ชำเลืองมองหยางชิ่งที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ แล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ลวี่เกอ เจ้าก็รู้นี่ ตั้งแต่ตอนที่เขากดดันให้ประมุขปราชญ์ตาย เรื่องระหว่างข้ากับเขาก็เป็นไปไม่ได้แล้ว”


ลวี่เกอถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก ผู้ชายแบบนั้นมีผู้หญิงที่ไหนไม่ชอบบ้าง เพียงแต่ผู้หญิงบางคนก็กล้าหาญแสดงออกเพื่อแย่งชิง แต่ผู้หญิงบางคนรู้สึกต่ำต้อยจึงเก็บความรู้สึกนั้นฝังไว้ในใจตลอดกาล


จณะที่ผู้หญิงสองคนนี้แอบถ่ายทอดเสียงคุยกัน บางทีอาจะเป็นเพราะชายหญิงมีความแตกต่าง ตอนที่พวกเย่สิงคงได้เห็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งล้านและเครื่องแบบตำหนักสวรรค์หนึ่งล้านเองกับตา พวกเขากลับมีความรู้สึกแตกต่างไป แต่ละคนเลือดเดือดพุ่งพล่าน อารมณ์ค่อนข้างฮึกเหิม


เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว กลุ่มคนที่อยู่บนหน้าผาก็มองไปทางเหมียวอี้ สายตาเหมียวอี้ย้ายกลับมา แล้วสุดท้ายก็กล่าวเสียงเรียบ “เตรียมตัวเดินทาง”


“รับทราบ!” ประมุขปราชญ์หกลัทธิทะยานขึ้นฟ้าจากข้างหลังเหมียวอี้ แล้วทยอยกันออกคำสั่ง ทัพใหญ่หนึ่งล้านตรงตีนเขากลายเป็นเหมือนกระแสน้ำหกสายไหลพร้อมกันทันที เหาะพุ่งขึ้นฟ้าราวกับมังกรบิน ทยอยเข้าไปในกำไลเก็บสมบัติในมือประมุขปราชญ์หกลัทธิ


ชั่วพริบตาเดียวนักรบหนึ่งล้านที่น่าเกรงขามก็หายไปแล้ว หกประมุขปราชญ์กลับมาตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วมอบกำไลเก็บสมบัติหกวงให้


เหมียวอี้โบกมือกวาดเก็บไว้ทั้งหมด จากนั้นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง สะบัดแขนเสื้อพุ่งขึ้นฟ้าไป กลุ่มคนที่อยู่บนหน้าผากุมหมัดน้อมส่ง


แตกต่างจากอวิ๋นอ้าวเทียนและมู่ฝานจวิน วันนี้จีฮวน ฉางเหลยและซือถูเซี่ยวเหมือนจะเคารพเหมียวอี้เป็นพิเศษ เพราะทั้งสามล้วนได้เคล็ดวิชาฝึกตนภาคดินมาจากมือลูกสาวและลูกศิษย์ ทั้งสามรู้สึกผิดคาดนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าไม่ต้องเล่นตุกติกอะไรก็ได้รับเคล็ดวิชาภาคดินเช่นกัน รู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว สุดท้ายก็ได้แสดงบทบาทใหญ่มาก ทำให้พวกเขาเฝ้าคอยเคล็ดวิชาภาคฟ้าเป็นพิเศษ กำชับลูกสาวและลูกศิษย์อีกครั้งว่าให้เชื่อฟังสามี ให้พวกนางทำหน้าที่อนุภรรยาให้เต็มที่ ให้ปรนนิบัติเหมียวอี้ดีๆ


ยกตัวอย่างเช่นอวี้หนูเจียว นางบ่นกับซือถูเซี่ยวนิดหน่อย บอกว่าหลายปีมานี้เหมียวอี้เข้าใกล้นางน้อยมาก แม้แต่เจอหน้าก็เจอกันได้ยาก


ผลปรากฏว่าทำให้ซือถูเซี่ยวโมโหมาก ตำหนินางว่าไม่รู้ความ บอกประมาณว่าชายชาตรีมีหน้าที่อันยิ่งใหญ่ต้องรับผิดชอบ มีหรือที่จะพัวพันกับความรักหญิงชายทั้งวันทั้งคืน การที่อีกฝ่ายสามารถมอบเคล็ดวิชาภาคดินให้เจ้าได้ ก็แสดงว่าในใจเขามีเจ้า ถึงอย่างไรเขาก็ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ในฐานะที่เจ้าเป็นอนุภรรยา ก็สมควรจะให้ความสำคัญกับสถานการณ์โดยรวม อย่าทำนิสัยกระเง้ากระงอดเด็ดขาด


หยางชิ่งที่มองตามแอบทอดถอนใจ เขาได้รับมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคฟ้ามาแล้ว ตอนนี้น้ำใจอันใหญ่หลวงจากเหมียวอี้กลับสร้างแรงกดดันใหญ่หลวงให้เขา ทำให้ตอนพบหน้ากันเขาไม่สะดวกจะคัดคาดอะไรอีก ทำได้เพียงเคารพนอบน้อม พยายามทุ่มเทกายใจทำตามคำสั่งก็แล้วกัน!


“ผู้ช่วยใหญ่กลับมั้ย?” จินม่านเดินมาข้างกายเขาแล้วเอ่ยถาม


หยางชิ่งพยักหน้าเบาๆ


“ไปด้วยกัน!” จินม่านยื่นมือเชิญ


จากนั้นทั้งสองก็กุมหมัดคารวะทุกคน แล้วเหาะขึ้นฟ้าไปด้วยกัน


ขณะที่มองตามทั้งสองคนจากไป เย่สิงคงก็เอามือไขว้หลังแล้วกล่าวปนขำ “ช่วงนี้จินม่านสนิทกับเจ้าหยางชิ่งมากเลยนะ ได้ยินว่าชอบชมดอกไม้ชมพระจันทร์กับหยางชิ่งบ่อยๆ พวกเจ้าว่านางชอบหยางชิ่งแล้วรึเปล่า?”


คนอื่นๆ มองเหยียดเขาแวบหนึ่ง จ่างซุนจูที่สวมชุดขาวราวหิมะหัวเราะเบาๆ “จินม่านรสนิยมสูงจะตาย เอาความสง่างามเลิศล้ำของท่านนั้นมาเป็นมาตรฐาน ผู้ชายทั่วไปจะอยู่ในสายตานางเหรอ หยางชิ่งเหมือนจะแตกต่างกับคนคนนั้นเกินไป อยู่กันคนละระดับเลย”


หลีเซิงหัวเราะเสียงประหลาด แล้วบอกว่า “จ่างซุนจู เจ้าพูดถึงตัวเองเถอะน่า ลดนิสัยหลงตัวเองลงสักหน่อย ถ้าอยากจะนอนกับจินม่านคงไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอก!”


จ่างซุนจูชี้ไปที่หลีเซิง “พูดจาภาษาคนไม่เป็นเหรอ สกปรกโสมม!”


“ฮ่าๆๆ!” พวกผู้ชายหัวเราะเสียงดัง


มู่ฝานจวินเหมือนจะไม่ชอบฟังคำพูดใส่ร้ายผู้หญิง นางปลีกตัวออกจากกลุ่มคน เหาะขึ้นฟ้าไปแล้ว…


จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง ในโถงหลักของเรือนอิ๋งอู๋หม่าน พวกบ่าวไพร่ถอยออกไป ผู้การใหญ่จั่วเอ๋อร์มาแล้ว


ในโถงมีเพียงอิ๋งอู๋หม่าน อิ๋งหยางผู้เป็นลูกชาย แล้วก็จั่วเอ๋อร์


หลังจากทั้งสามทำความเคารพกัน อิ๋งอู๋หม่านก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านอาจั่ว เรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงเตรยมการไว้แล้วใช่มั้ย?”


“คุณชายใหญ่ช่างปราดเปรื่อง!” จั่วเอ๋อร์พยักหน้ายิ้ม แล้วมองอิ๋งหยาง “ไม่ทราบว่านายน้อยเชิญสหายไปมากเท่าไรแล้ว?”


อิ๋งหยางขมวดคิ้ว “ท่านย่าจั่ว เรื่องครั้งนี้มันแปลกๆ ก่อนหน้านี้มีคนของตระกูลโค่ว ตระกูลฮ่าว ตระกูลก่วงร่วมทางไปด้วยตลอด แต่ครั้งนี้ดันบอกว่าติดธุระกันหมดเลย มีแค่คนของตระกูลเซี่ยโห้วที่ตอบตกลงว่าจะไปด้วยกัน”


จั่วเอ๋อร์กับอิ๋งอู๋หม่านสบตากันแวบหนึ่ง พวกเขาเหมือนจะไม่แปลกใจเลยสักนิด จั่วเอ๋อร์ถามว่า “นายน้อย ฝั่งตระกูลเซี่ยโห้วมีคนร่วมเดินทางกี่คน?”


“เหมือนฝั่งพวกเรา พาไปด้วยหนึ่งพันคน” หลังจากอิ๋งหยางตอบแล้ว ก็พูดประเด็นก่อนหน้านี้อีก “ท่านย่าจั่ว ตระกูลโค่ว ตระกูลฮ่าวกับตระกูลก่วงไม่ไป พวกท่านไม่รู้สึกแปลกๆ เหรอ?”


สำหรับคำถามนี้ อิ๋งอู๋หม่านกับจั่วเอ๋อร์สบตากันแวบหนึ่ง เรื่องบางเรื่องคนนอกไม่รู้ชัด แต่ทั้งสองกัลรู้แจ่มแจ้ง เพราะโค่วหลิงซวีบอกตระกูลอื่นเอง ว่าหนิวโหย่วเต๋อสาบานว่าจะเอาชีวิตอิ๋งหยาง ครั้งนี้มีการออกล่าที่น้ำพุวังเวง อีกสามบ้านจึงเดาออกถึงจุดประสงค์ของตระกูลอิ๋งแล้ว สาเหตุที่ตระกูลเซี่ยโห้วตอบรับคำเชิญตามปกติ ก็เป็นเพราะไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกเท่านั้นเอง


จั่วเอ๋อร์หลบเลี่ยงที่จะตอบความจริง “ไม่ไปก็คือไม่ไป ไม่จำเป็นต้องสนใจ อย่างไรเสียเมื่อไปถึงแล้วท่านก็ต้องสลัดพวกเขาทิ้งไป ไม่อย่างนั้นการที่คนรวมตัวกันเยอะก็จะทำให้ดูน่าสงสัย จะทำให้ปลาติดเบ็ดได้ยาก”


หลังจากอิ๋งหยางพยักหน้ายอมรับ ก็ลองถามอีกว่า “ไม่รู้ว่าหนึ่งพันคนที่พาไปด้วยครั้งนี้มีพลังเป็นยังไง?” ถ้าจะให้ใช้กำลังปะทะเหมียวอี้จริงๆ เขาก็ขี้ขลาดอยู่บ้าง เพราะเขามีวรยุทธ์ระดับบงกชรุ้งเท่านั้น ชื่อเสียงบนสนามรบของเหมียวอี้ก็รู้ๆ กันอยู่


อิ๋งอู๋หม่านขมวดคิ้ว รู้สึกไม่ค่อยพอใจกับความขี้ขลาดที่แสดงให้เห็นในคำพูดของลูกชาย โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าจั่วเอ๋อร์ เพราะนี่คือคนที่ท่านพ่อเชื่อใจที่สุด บางครั้งถ้านางพูดอะไรส่งเดชต่อหน้าท่านพ่อแค่นิดเดียว ก็สามารถตัดสินชะตากรรมลูกหลานของตระกูลอิ๋งได้เลย


จั่วเอ๋อร์ยิ้มพร้อมตอบว่า “นายท่านไม่ต้องกังวล ทางเราส่งให้กำลังพลหนึ่งหมื่นไปสำรวจที่น้ำพุวังเวงล่วงหน้าแล้ว ป้องกันไม่ให้มีการดักซุ่มโจมตี และป้องกันไม่ให้มีคนแอบช่วยเจ้าโจรชั้นต่ำนั่นด้วย หนึ่งพันคนนี้มีไว้บังหน้าเท่านั้น เพราะยังซ่อนกำลังพลเอาไว้อีกสี่หมื่น โดยส่วนใหญ่เป็นนักพรตวรยุทธ์บงกชรุ้งขึ้นไป นอกจากนี้ยังมียอดฝีมือระดับบงกชกลายอีกห้าสิบคน มียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์คอยปกป้องอยู่ข้างกายนายน้อยอีกสองคน ทัพตะวันออกยังรวบรวมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งหมื่นคันด้วย ขอเพียงเจ้าโจรชั้นต่ำนั้นโผล่มา ก็อย่าได้คิดจะหนีไปไหนเลย!”


กำลังพลห้าหมื่น นักพรตระดับบงกชกลายห้าสิบคน ระดับสำแดงฤทธิ์สองคน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งหมื่นคันเหรอ? อิ๋งอู๋หม่านได้ยินแล้วแอบตกใจ เพื่อที่จะรับมือกับหนิวโหย่วเต๋อต่ำต้อยคนเดียว ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้กำลังมากขนาดนี้ สงสัยครั้งนี้จั่วเอ๋อร์จะควักเนื้อตัวเอง แต่คิดไปคิดมาก็พอเข้าใจได้ ผู้การใหญ่วางแผนจัดการหนิวโหย่วเต๋อล้มเหลวมาครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งนี้ถ้าพลาดอีก เกรงว่าคงไม่มีทางแก้ตัวกับท่านพ่อปู่ได้ จะไม่ให้ป้องกันข้อผิดพลาดไม่ได้หรอก


อิ๋งหยางได้ยินแล้วยิ้มอย่างเบิกบาน วางใจเต็มที่แล้ว

 

 

 


บทที่ 1668 พุทธะหน้าหยกอวี้หลัวช่า

 

นี่ก็คือสาเหตุที่หยางชิ่งไม่เห็นด้วยกับการที่เหมียวอี้จะใช้กำลังปะทะ เป็นเพราะตระกูลอิ๋งมีอำนาจยิ่งใหญ่เกินไป สามารถรวบรวมกำลังที่คนทั่วไปยากจะจินตนาการถึงได้ทุกเมื่อ ถ้าเข้าไปปะทะก็เหมือนเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง แต่เหมียวอี้ดันตัดสินใจแน่วแน่ ต้องการจะใช้กำลังมหาศาลเข้าไปปะทะให้ได้


ต่อให้หยางชิ่งจะฉลาด แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเหมียวอี้คิดได้อย่างไร แต่ผลลัพธ์ในบางครั้งก็มักพิสูจน์ว่าวิธีการของเหมียวอี้ก็มีเหตุผลในตัวมันเอง ถึงขั้นได้ผลกว่าการวางแผนไปวางแผนมาด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำได้เพียงแนะนำ แต่กลับบอกไม่ได้ว่าเหมียวอี้ทำผิดไปแล้ว วิธีกาคิดของทั้งสองมักจะยืนอยู่คนละมุมเสมอ


“ไม่รู้ว่าควรออกเดินทางเมื่อไรจึงจะเหมาะสม?” อิ๋งหยางที่มีความมั่นใจแล้วเอ่ยถามเวลาออกเดินทาง เฝ้าคอยมากที่จะทำให้ผู้สร้างความอัปยศต่อตระกูลอิ๋งมีจุดจบอยู่ในมือตัวเอง


จั่วเอ๋อร์ยิ้มตอบ “อีกไม่กี่วันนี้แล้ว ขอเพียงนายน้อยกับตระกูลเซี่ยโห้วติดต่อกันเรียบร้อย ก็สามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อ”


“ได้! เชื่อฟังท่านย่าจั่ว ออกเดินทางภายในอีกไม่กี่วันนี้” อิ๋งหยางพยักหน้าเอ่ยรับ


“มิบังอาจเรียกว่าคำสั่ง นายน้อยให้เกียรติบ่าวเกินไปแล้ว ล้วนเป็นหน้าที่ของบ่าวทั้งนั้น” จั่วเอ๋อร์กล่าวปนเสียงหัวเราะ


อิ๋งหยางยิ้มอย่างเกรงใจ จากนั้นก็เผยสีหน้ากังวลอีก “กลัวก็แต่หนิวโหย่วเต๋อจะไม่มีความกล้านั้น!”


ในน้ำเสียงแสดงความรู้สึกว่างเปล่าเหมือนหาคู่ต่อสู้ไม่เจอ ทำให้อิ๋งอู๋หม่านได้ยินแล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้ม


“ตระกูลโค่วมีเค้าลางว่าจะสะบัดตัวภาระทิ้งชัดเจนมาก ขอเพียงตระกูลโค่วไม่เปิดเผยแผนนี้ต่อหนิวโหย่วเต๋อ ช่วยปล่อยข่าวให้รู้สักหน่อย อาศัยความเคยชินของหนิวโหย่วเต๋อ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะมา แล้วก็มีความเป็นไปได้สูงว่าตาแก่โค่วจะทำอย่างนี้ สรุปก็คือไม่ว่าเขาจะมาหรือไม่มา นายน้อยก็ต้องทำให้เต็มที่ ถ้าหากมาแล้ว ก็เป็นเวลาที่นายน้อยจะได้แสดงฝีมือแล้ว” จั่วเอ๋อร์กล่าว


หลังจากกำชับเตรียมการกันอยู่พักหนึ่ง นายบ่าวก็แยกย้ายชั่วคราว


ทว่ายังผ่านไปไม่ถึงครึ่งวัน อิ๋งอู๋หม่านก็นำอิ๋งหยางมาหาจั่วเอ๋อร์อีก เพราะมีข่าวใหม่มารายงาน


เมื่อได้ยินข่าว จั่วเอ๋อร์ก็ทำสีหน้างงงัน “อะไรนะ? ตระกูลโค่ว ตระกูลฮ่าว ตระกูลก่วงเป็นฝ่ายขอเข้ารวมออกล่าที่น้ำพุวังเวงเองเหรอ? หมายความว่ายังไง?”


อิ๋งหยางส่ายหน้า “ไม่รู้ไม่ความว่าอะไร พวกเขาทยอยกันติดต่อข้ามาเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ ข้าไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงสักหน่อย พวกเขาอยากจะไปก็ไปสิ ข้าห้ามไม่ได้อยู่แล้ว อย่างมากก็ไม่ต้องรวมกลุ่มกันก็เท่านั้นเอง”


บนใบหน้าจั่วเอ๋อร์ด้วยไปด้วยความระแวง หลังจากครุ่นคิดอยู่นานมาก ก็บอกว่า “ดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน…เอาเป็นว่าไม่ว่าพวกเขาจะไปหรือไม่ไป พอไปถึงน้ำพุวังเวงแล้ว ก็ต้องสลัดพวกเขาทิ้งอยู่ดี”


จวนอ๋องสวรรค์โค่ว ในศาลาเย็นที่มีไม้ไผ่สีเขียวหยกล้อมรอบ อนุภรรยาแสนสวยสองคนยืนอยู่ด้านหลังทางซ้ายและขวาของโค่วหลิงซวี ขณะกำลังยิ้มประจบเอาใจ พวกนางก็แบ่งกันนวดไหล่ให้โค่วหลิงซวีคนละฝั่ง ไม่รู้เอาใจให้โค่วหลิงซวีเบิกบานใจจริงๆ หรือเปล่า แต่เห็นบนใบหน้าโค่วหลิงซวีเจือรอยยิ้มเรียบๆ ที่ไม่รู้ว่าลึกตื้นแค่ไหน


ถังเฮ่อเหนียนปรากฏตัวอยู่ไม่ไกลจากป่าไผ่ เขาไม่ได้เข้ามาใกล้ เพียงถ่ายทอดเสียงคุยอยู่ห่างๆ


โค่วหลิงซวีได้ฟังแล้วอึ้งทันที ถ่ายทอดเสียงถามกลับ “สองบ้านนั้นไม่ไปไม่ใช่เหรอ? ทำไมไปอีกแล้ว?”


“ไม่ทราบขอรับ อาจจะมีความคิดเหมือนฝ่ายพวกเรา ไปเจอกันแล้ว” ถังเฮ่อเหนียนตอบ


โค่วหลิงซวีพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง ทางนี้เพิ่งเริ่มให้ลูกหลานในตระกูลปฏิเสธคำเชิญไปออกล่าที่น้ำพุวังเวง ตอนหลังพบว่าตระกูลที่เหลือก็ปฏิเสธแล้วเช่นกัน เหลือเพียงตระกูลอิ๋งกับตระกูลเซี่ยโห้วที่ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึก ดังนั้นฝั่งนี้จึงให้ลูกหลานในตระกูลตอบตกลงอีกรอบ ใครจะคิดว่าอีกสองบ้านก็ตอบตกลงอีกเช่นกัน นี่มันเรื่องอะไรกัน


หารู้ไม่ว่าในตอนนี้ก่วงลิ่งกงกับฮ่าวเต๋อฟางก็กลุ้มใจเช่นกัน สาเหตุที่ก่อนหน้านี้ไม่ไป ก็ย่อมเป็นเพราะเดาออกว่าตระกูลอิ๋งคิดจะทำอะไร ไม่จำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ตอนหลังพบว่าอีกสองตระกูลที่เหลือก็ไม่ไปด้วยเช่นกัน จึงรู้สึกว่าไม่น่าดูเท่าไร ตอนหลังถ้ามีคนตำหนิพวกอ๋องสวรรค์ว่าร่วมมือกันกำจัดหนิวโหย่วเต๋อต่ำต้อยคนเดียว แบบนั้นจะน่าฟังเหรอ? พวกเขาถึงได้ให้ลูกหลานไปเข้าร่วม อย่างมากเมื่อไปถึงน้ำพุวังเวงแล้วค่อยหลบเลี่ยงตระกูลอิ๋งก็ได้


ใครจะคิดว่าสามบ้านนี้จะจิตใจตรงกันแบบไม่ธรรมดา พอไม่ไปก็ไม่ไปด้วยกันหมด พอจะไปก็ไปกันหมด ร่วมรุกร่วมถอยจริงๆ


การกระทำของทั้งสามคนทำใจอิ๋งจิ่วกวงกลุ้มใจ ในสถานที่สงบของจวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง ท่านอ๋องเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา บางครั้งก็มือเอาขยี้เคราเงียบๆ บางครั้งก็ขมวดคิ้วไม่คลาย เดาไม่ออกว่าอีกสามบ้านกำลังเล่นลูกไม้อะไรกันแน่ สุดท้ายก็หันกลับมาถามว่า “จั่วเอ๋อร์ อีกสามบ้านคงไม่วางกับดักอะไรให้ข้าไปติดใช่มั้ย?”


จั่วเอ๋อร์ทำสีหน้าลำบากใจเช่นกัน “บ่าวคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเป็นกับดักอะไร นายน้อยนำกลุ่มไปออกล่า อีกสามบ้านจำเป็นต้องร่วมมือกันสู้กับนายน้อยด้วยเหรอ? แบบนั้นอาจจะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่…”


ท้ายที่สุดความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็ยังไม่ส่งผลกระทบอะไร การกลับคำไปมาของตระกูลเหล่านี้ไม่ได้เปิดเผยต่อภายนอก ด้วยเหตุนี้เอง สุดท้ายตอนที่กำลังพลของตระกูลเหล่านี้ออกเดินทาง จึงไม่ได้บอกให้คนนอกรู้ถึงการกลับคำไปมาระหว่างนั้น


โรงเตี๊ยมในตลาดผี ในห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง เห็นชายหญิงร่วมรักกันอีกแล้ว


หลังจากเมฆสลายฝนสงบ สวีถังหรานก็กำลังลูบไล้สาวงามข้างกายอย่างถึงอกถึงใจ


หรูเสวี่ยที่ใบหน้าแดงก่ำเข้ามาเกาะแกะพัวพัน กอดเขาพลางพูดออดอ้อน “นายท่าน ข้าอยู่คนเดียวเหงาจนนอนไม่หลับเลยค่ะ วันนี้ไม่ต้องกลับได้มั้ยคะ อยู่ค้างเป็นเพื่อนข้าเถอะนะ?”


สวีถังหรานหรี่ตายิ้ม แล้วผ่อนคลายอีกครั้ง ลูบไล้เรือนร่างที่เกลี้ยงเกลาของนาง พร้อมกล่าวปนหัวเราะ “ถ้าเปลี่ยนเป็นยามปกติอาจจะได้ แต่ครั้งนี้ไม่ได้จริงๆ ขนาดข้ายังแอบเจียดเวลามาเจอเจ้าเลย”


หรูเสวี่ยเงยหน้าถามเหมือนตกใจ “ทำไมคะ? นายท่านเป็นรองแม่ทัพภาคผู้สง่าผ่าเผย เข้าออกจวนแม่ทัพภาคยังต้องแอบอีกเหรอ?”


“เฮ้อ!” สวีถังหรานถอนหายใจ “ท่านแม่ทัพภาคมีธุระแอบออกไปข้างนอกแล้ว สั่งให้ข้าเฝ้าจวนไว้ ก็เพราะคิดถึงเจ้าเลยแอบหนีออกมานี่ไงล่ะ”


ในดวงตางามของหรูเสวี่ยฉายแววตื่นตัวทันที แต่ปากกลับพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน “เป็นแม่ทัพภาคตลาดผี ยังต้องแอบออกไปด้วยหรือคะ? มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”


“เอ่อ…” สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ อีก “สิ่งที่ไม่ควรถามก็อย่าถามเลย” เขาใช้มือช้อนคางนางขึ้นมา ต้องการจะจูบอีก


ทว่าครั้งนี้หรูเสวี่ยกลับไม่ให้ความร่วมมือ เอียงหน้าหนี “เห็นได้ชัดว่านายท่านไม่เชื่อใจข้า!”


พอพูดจบ ต่อให้สวีถังหรานเอาคำพูดหวานๆ มาปะเหลาะอย่างไรก็ไม่ได้ผล นางหันหลังให้โดยไม่สนใจ เหมือนจะโกรธแล้ว


สวีถังหรานเหมือนจะโอ๋ผู้หญิงคนนี้มากเกินไป สุดท้ายก็บอกว่า “ได้ๆๆ” เขากอดนางแล้วกระซิบข้างหู “ข้าบอกเจ้าก็ได้ แต่เจ้าอย่าเอาไปพูดซี้ซั้วที่ไหนเด็ดขาด”


หรูเสวี่ยหันกลับมาช้อนสายตามองเขาแวบหนึ่ง ร่างงามพลิกกลับมา ตอนนี้หันหน้ามากอดเขาแล้ว “ข้าอยู่ตัวคนเดียว ไม่กล้าเดินออกจากประตูตลาดผีนี่ด้วยซ้ำ จะไปบอกใครได้คะ ข้าแค่รู้สึกแปลกใจเฉยๆ ว่าแม่ทัพภาคตลาดผีผู้สง่าผ่าเผยต้องการจะทำอะไร ถึงต้องแอบออกไปเงียบๆ”


สวีถังหรานเดาะปากเบาๆ แล้วตอบเหมือนไม่แน่ใจ “ที่จริงข้าก็ไม่แน่ใจรายละเอียดนะว่าท่านแม่ทัพภาคต้องการทำอะไร”


พอได้ยินแบบนี้ หรูเสวี่ยก็บิดตัวหนีทันที ทำท่าจะลุกขึ้นเดินหนีไป กล่าวด้วยสีหน้าเง้างอด “นายท่านยังไม่เชื่อใจข้า”


สวีถังหรานบังคับกดนางให้นอนลง “ไม่ได้หลอกเจ้านะ ข้าพูดความจริง”


หรูเสวี่ยบิดตัวอย่างไม่เต็มใจ “ข้าไม่เชื่อหรอก ท่านเป็นรองแม่ทัพภาค จะไม่รู้ได้ยังไงคะ”


สวีถังหรานกอดนางแน่นไม่ยอมปล่อย “จริงๆ นะ ข้าไม่รู้รายละเอียดชัดเจน เจ้าอย่ามองว่าข้าเป็นรองแม่ทัพภาคสิ ที่จริงแล้วหยางเจาชิงต่างหากที่เป็นลูกน้องคนสนิทของท่านแม่ทัพภาคอย่างแท้จริง เรื่องบางเรื่องท่านแม่ทัพภาคก็ไม่บอกข้าเลย แต่ข้าบังเอิญไปได้ยินท่านแม่ทัพภาคกับหยางเจาชิงคุยกันนิดหน่อย พอจะรู้คร่าวๆ ว่าท่านแม่ทัพภาคไปที่ไหน”


ร่างกายที่ออดอ้อนของหรูเสวี่ยหยุดชะงัก แล้วทำเสียงฮึดฮัด “ผู้ชายอย่างพวกท่านไม่มีใครดีสักคน แม่ทัพภาคผู้สง่าผ่าเผย แต่ดันไม่อยู่ตลาดผี จะต้องออกไปทำตัวเสเพลอยู่ที่ไหนสักแห่งแน่ๆ?”


สวีถังหรานจึงบอกว่า “ทำตัวเสเพลอะไรกัน เจ้าคิดไปถึงไหนแล้ว เหมือนข้าจะได้ยินเขาบอกว่าเกี่ยวกับสำนักหนานอู๋อะไรสักอย่างนี่แหละ เหมือนต้องการจะไปหาอะไรสักอย่างที่น้ำพุวังเวง บอกว่าอันตรายนิดหน่อย ต้องหาคนไปเยอะๆ ส่วนรายละเอียดข้าไม่ได้ฟังมาจริงๆ ไม่เข้าใจด้วยว่าหมายความว่าอะไร ข้าไม่กล้าแอบฟังเยอะ”


เล่นละครตบตาไปสักพัก ในที่สุดก็ปะเหลาะสาวงามในอ้อมกอดให้สงบได้แล้ว เขาจับนางมากระทำชำเราอีกพักหนึ่ง สุดท้ายถึงได้เก็บของออกไปอย่างรวดเร็ว


พอออกมาจากห้อง สวีถังหรานก็หันกลับไปมองแวบหนึ่งด้วยสายตาเย็นเยียบ แล้วจากไปอย่างไม่รีบร้อน


หรูเสวี่ยที่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยยืนเงี่ยหูฟังตรงประตู หลังจากแน่ใจสวีถังหรานออกไปแล้ว นางก็รีบหยิบระฆังดาราออกมา


วัดพระกษิติครรภ์ ในอุโบสถที่มืดสลัว ใต้เสาแสงต้นหนึ่งหน้าพระพุทธรูป หลังจากเม่ยจีที่กำลังนั่งขัดสมาธิเก็บระฆังดาราในมือแล้ว ก็รีบหยิบระฆังดาราอีกอันติดต่อกับภายนอก


แดนสุขาวดี วัดพุทธะหยก ยอดเขาที่มีเมฆหมอกลอยวนเวียน ภายใต้แสงแดดที่ร้อนแรงยังมีรุ้งยาวทอดข้ามหลายสาย ราวกับแดนสรวงสวรรค์


บางครั้งก็จะได้ยินเสียงดังอย่างต่อเนื่อง ระหว่างหุบเขาโดยรอบจะเห็นวิหคบินร่อนเป็นระยะ มีนกตัวสองตัวบินไปกินน้ำข้างสระมรกตที่มีน้ำตกลงมา


อารามหลักที่อยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดของวัดพุทธะหยก ทั้งตัววัดเป็นสีขาวบริสุทธิ์ดุจหยก ทั้งพื้นทั้งหลังคาราวกับสลักออกมาจากหินหยกทั้งหมด ไม่แปดเปื้อนฝุ่นดิน ทั้งตัวอารามหลักสร้างขึ้นพลังปรารถนา งดงามอลังการที่สุด


ภายในอุโบสถหลัก นอกจากรูปปั้นประมุขพุทธะขนาดใหญ่ที่อยู่บนผนังตรงหน้า โดยรอบก็มีแต่ภาพวาดสตรีชาวพุทธที่บนตัวสวมสร้อยอิ่งลั่ว อยู่ในท่วงท่าระบำที่อรชรอ่อนช้อยแบบต่างๆ


บนฐานดอกบัว สตรีชุดขาวที่ในมือถือระฆังดาราลุกขึ้นยืน นางลอยไปเหยียบลงในพระอุโบสถ หน้าตางดงามไร้ที่เปรียบ อาภรณ์ขาวดุจหิมะ ราวกับเป็นบงกชขาวดอกหนึ่งที่โผล่พ้นโคลนตมโดยไม่แปดเปื้อน นางก้าวเบาๆ ราวกับเหยียบบนคลื่นน้ำ ความงดงามที่บริสุทธิ์เรียบง่ายนั้นทำให้คนรู้สึกสงบใจ


ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องแอบตกตะลึงทั้งนั้น เป็นสาวน้อยสวยบริสุทธิ์ไร้ที่เปรียบคนหนึ่ง ทว่าสาวน้อยแสนสวยคนนี้กลับเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญเพียงไม่กี่คนของแดนพุทธที่ทำให้เหล่าเวไนยสัตว์กราบไหว้อย่างตัวสั่น นางคือพุทธะหน้าหยกอวี้หลัวช่านั่นเอง


เหตุใดทั้งสำนักหลัวช่าจึงมองไม่เห็นสตรีวัยชรา หลักการดูดพลังชีวิตผู้อื่นโดยการฝึกฌานเสพสังวาสนั้นไม่จำเป็นต้องอธิบายต่อคนนอก สรุปก็คือช่วยรักษาความเยาว์วัยได้ และอวี้หลัวช่าก็ฝึกจนถึงขั้นหวนคืนความสาวแล้ว


ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่สวยสดใสของอวี้หลัวช่า มีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถสังเกตเห็นได้ว่าแตกต่างกับความเยาว์วัยภายนอก นั่นก็คือดวงตางามทั้งคู่ของนาง เพราะในบางครั้งจะฉายแววน่าเกรงขาม เผยให้เห็นความล้ำลึกซึ่งไม่สอดคล้องกับอายุ


“สำนักหนานอู๋…น้ำพุวังเวง…” อวี้หลัวช่าพึมพำในขณะที่ก้าวเท้าเดินเบาๆ ราวกับเหยียบคลื่นน้ำอันนิ่งสงบ สุดท้ายก็หยุดเดิน สิ่งของในอุโบสถขยับเองโดยไร้ลม ระฆังเล็กหลายอันใต้ชายคาด้านนอกที่สร้างจากพลังปรารถนาสั่นและส่งเสียง “กุ๊งกิ้งๆ” ดังชัดเจน


ไม่นานก็มีเงาคนคนหนึ่งเหาะลงมาเหยียบนอกอุโบสถ สตรีวัยกลางคนหน้าตาสวยคนหนึ่งที่แต่งกายเปิดเผยตามแบบฉบับศิษย์สำนักหลัวช่าเดินบิดเอวเข้ามาช้าๆ เมื่ออยู่ห่างจากอวี้หลัวช่าไม่กี่ก้าวก็หยุดฝีเท้า แล้วจีบนิ้วตรงหน้าอกพร้อมโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อนทำความเคารพ “พุทธะหน้าหยก”


อวี้หลัวช่ายังคงนิ่งเฉย แววตาลำล้ำ น้ำเสียงชัดใส “เสวี่ยอวี้ เม่ยจีอาจจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง สืบได้ข่าวอะไรจริงหรือ”


สตรีวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าเสวี่ยอวี้พลันเงยหน้า แล้วถามอย่างทำใจเชื่อได้ยากว่า “หรือว่าจะมีอยู่จริงๆ?”


อวี้หลัวช่ากล่าวอย่างลังเล “ไม่รู้สิ ตอนมารดายังมีชีวิตอยู่ ก็เคยบอกไว้ว่ามีพระชั้นสูงร่วมสำนักผู้หนึ่งที่ทนระบำมารสวรรค์ของนางไม่ไหว จึงหลุดปากพูดในขณะที่เคลิบเคลิ้ม หลังจากนั้นเมื่อได้สติแล้วก็พูดมั่วไปหมด จะจริงหรือไม่มารดาก็ยืนยันไม่ได้ ทว่าพฤติกรรมของพระปีศาจหนานโปในตอนหลังก็เหมือนกำลังค้นหาบางอย่างจริงๆ ต่อมาข้าก็เคยทดลองหาเช่นกัน แต่ก็ไม่พบเบาะแสใดๆ”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)