กระบี่จงมา 166.2-167.3
บทที่ 166.2 อาจารย์มีเรื่องควรทำอย่างไร
โดย
ProjectZyphon
อวี๋ลู่สะบัดข้อมือ ชายแขนเสื้อส่ายไหวเล็กน้อย ครั้นจึงเอามือสองข้างสอดเข้าไปในชายแขนเสื้ออีกครั้ง แล้วยิ้มบางๆ พลางก้าวเดินผ่านช่องทางระหว่างชั้นหนังสือด้วยฝีเท้ามาดมั่น “เหตุผลน่ะหรือ อยู่ที่หุ่นปั้นคนจิ๋วของหลี่ไหวที่ยังหาไม่เจอ อยู่ที่คำด่าเหยียดยามที่ดังเข้าหูหลี่เป่าผิง อยู่ที่คนที่ควรเอ่ยขอโทษกลับไม่ทำแม้แต่ผายลม”
อวี๋ลู่หยุดชะงักเล็กน้อย มองดูเหมือนฝีเท้าจะชะลอความเร็ว แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับดึงระยะห่างเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว “ไม่ได้อยู่คำพูดง่ายๆ เพียงคำเดียวว่านี่เป็นเพียงแค่การวิวาททางปณิธานจากเจ้าหลี่ฉางอิงผู้มีขอบเขตถ้ำสถิต แล้วก็ยิ่งไม่ได้อยู่ที่กระบี่บินของท่านผู้อาวุโสขอบเขตชมมหาสมุทรที่…มักจะมาสายไปก้าวหนึ่งเสมอ”
คำพูดยโสท้าทายเหล่านี้ของเด็กหนุ่มสูงใหญ่ทำเอาผู้เฒ่าโกรธจนหนวดกระดิก รีบป้อนยาเม็ดหนึ่งให้กับหลี่ฉางอิง แล้วเสร็จถึงได้ลุกขึ้นยืน เดือดจัดจนกลายเป็นขำ “ดีๆๆ ข้าผู้อาวุโสอยากจะเห็นนักว่าตอนที่เจ้านอนกองอยู่บนพื้นจะยังมีเหตุผลอะไรให้อธิบายอีกหรือไม่”
อวี๋ลู่ยิ้มตาหยีส่ายหน้าพูด “หากข้าแพ้ ย่อมไม่พูดอะไรไร้สาระแม้แต่ครึ่งคำ ถึงเวลานั้นก็ต้องมีคนมาช่วยอธิบายเหตุผลแทนข้าอยู่ดี อืม อาจจะช้าไปสักหน่อย ใครใช้ให้ตอนนี้เขาไม่อยู่ที่นี่ล่ะ”
เมื่อผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน กระบี่บินเล่มนั้นก็ค่อยๆ เลื่อนตัวขึ้นสูงตามมาหยุดอยู่ข้างไหล่ของผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อเสียงแห่งต้าสุยท่านนี้
แต่ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าจะยังไม่หายห่วงหลี่ฉางอิง จึงก้มหน้ามองอีกครั้งด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม
วิชาหมัดของเด็กหนุ่มแปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด ตอนแรกดูเหมือนหลี่ฉางอิงจะไม่ได้บาดเจ็บถึงกระดูกเส้นเอ็นและพลังต้นกำเนิด ต่อให้เป็นผู้เฒ่าก็ยังไม่รู้สึกว่าร้ายแรงอะไร ทว่าพอป้อนยาที่คุณภาพยอดเยี่ยมเม็ดนั้นลงไปถึงได้เห็นความลี้ลับที่แท้จริง มหาสมุทรลมปราณของหลี่ฉางอิงกลับยังไม่ลดระดับความรุนแรงลง กลับกลายเป็นว่ายิ่งนานก็ยิ่งควบคุมความพลุ่งพล่านคล้ายจะหลุดออกจากการควบคุมไม่ได้มากเท่านั้น
น้ำในมหาสมุทรไหลย้อนกลับ อันตรายอย่างถึงที่สุด!
จะฝึกบำเพ็ญตนในขอบเขตถ้ำสถิตของผู้ฝึกลมปราณให้สำเร็จนั้นลำบากยากยิ่ง การทำขอบเขตให้มั่นคงก็ยิ่งเป็นเรื่องยาก เพราะหากตัดสินใจที่จะเปิดช่องโพรงก็หมายความว่าช่องโพรงในร่างต้องรับปราณวิญญาณจากด้านนอก ขณะเดียวกันก็จะทำให้เกิดสถานการณ์สุ่มเสี่ยงอย่าง ‘น้ำทะเลไหลย้อนกลับ’ …เพราะการดึงเอาปราณวิญญาณมาจากนอกร่างจำเป็นต้องสกัดดึงมาจากปราณที่ปะปนกันนับไม่ถ้วนในฟ้าดิน ช่องโพรงที่เปิดอ้าจึงเป็นเหมือนสมรภูมิรบบนโลกมนุษย์ หากเมืองหน้าด่านละทิ้งข้อได้เปรียบอย่างเดียวที่มีอยู่ไป เปิดฝ่ายเปิดประตูรับศัตรู ก็ง่ายที่จะถูกศัตรูซึ่งแข็งแกร่งโจมตีให้แตกพ่ายในครั้งเดียว
หากเกิดเหตุการณ์น้ำในมหาสมุทรไหลย้อนกลับ ช่องโพรงและเส้นชีพจรในร่างมนุษย์ก็จะเหมือนเมืองและเส้นทางที่จมลึกอยู่ท่ามกลางอุทกภัย พื้นแผ่นดินว่างเปล่า ไม่อาจฟื้นคืนกลับมารุ่งโรจน์ได้อีกตลอดกาล ดังนั้นขอบเขตถ้ำสถิตคือธรณีประตูขั้นแรกบนเส้นทางของการฝึกตนอย่างแท้จริง ถึงขั้นที่ว่าได้มายากยิ่งกว่าการเลื่อนจากห้าขอบเขตล่างสู่ขอบเขตที่หกเสียอีก นักพรตหลายคน โดยเฉพาะนักพรตอิสระ รวมไปถึงผู้ฝึกลมปราณสำนักเล็กๆ ที่ไม่มีที่พึ่ง เพราะกลัวว่าเมื่อล้มเหลวในขอบเขตถ้ำสถิตแล้วจะสูญเสียฐานกระดูกในการกลายเป็นเซียนไปอย่างสิ้นเชิง จึงมักจะหยุดค้างอยู่ในขอบเขตสุดท้ายของห้าขอบเขตล่างเสมอ
การฝึกบำเพ็ญตนเป็นเรื่องที่ละเมิดวิถีสวรรค์ เป็นการเดินทวนกระแสขึ้นไป โดยเฉพาะคำว่าเดินทวนกระแสนี้ที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและความยากลำบากอย่างแท้จริง
ในฐานะข้ารับใช้ประจำกายหลี่ฉางอิงที่ราชสำนักส่งมาอย่างลับๆ หากขอบเขตของหลี่ฉางอิงได้รับความเสียหาย อนาคตของมหามรรคาถูกทำลาย ผู้เฒ่าต้องประสบภัยเป็นคนแรก!
อวี๋ลู่ถามยิ้มๆ “ท่านผู้อาวุโสลำบากใจมากใช่หรือไม่? ไม่รู้ว่าควรจะช่วยหลี่ฉางอิงก่อน หรือซัดข้าให้หมอบก่อนดี?”
ผู้เฒ่าโมโหจนกัดฟันกรอดๆ คำถามนี้ของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่เหมือนตีงูเจ็ดชุ่น (ตีงูต้องตีให้ตรงจุด งูถึงจะยอมสยบ หรือเปรียบเปรยถึงจุดบอด จุดตาย) ทำเอาผู้เฒ่าที่ผ่านฝนผ่านหนาวมามากอับอายจนพานเป็นความโกรธ
เขาคือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตชมมหาสมุทร อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง คำว่าชมมหาสมุทรมาจากความหมายของประโยคที่ว่า ‘ข้าขึ้นหอสูงชมร้อยธารา กระแสน้ำไหลสู่มหาสมุทรได้ไหลสู่อ้อมอกข้า’ ปราณวิญญาณฟ้าดินเริ่มทำให้เส้นชีพจรในร่างมนุษย์กว้างใหญ่ ประหนึ่งแม่น้ำที่สุดท้ายไหลรวมกับมหาสมุทร แล้วก็เหมือนทางหลวงจุดพักม้าที่ถูกบุกเบิกไปทั่วโลกมนุษย์ ปราณวิญญาณเริ่มมารวมตัวกัน ยกระดับขึ้นสูง จากนั้นก็เริ่มหันมาป้อนสารอาหารให้กับเรือนกาย เป็นเหตุให้นักพรตมีอายุขัยยืนยาว
ผู้ฝึกลมปราณทั่วไปที่อยู่ในขอบเขตนี้จะสามารถมีอายุยืนยาวได้ถึงหนึ่งร้อยปี
เมื่ออยู่ในแจกันสมบัติทวีป ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรนับว่ามากพอที่จะได้รับคำเรียกขานอันมีเกียรติว่าปรมาจารย์วิถีกระบี่แล้ว
ในต้าสุย ต่อให้เป็นขุนนางระดับสูงของราชสำนักอย่างซือหลางหกกรม หากมีธุระให้ต้องออกนอกเมืองหลวงก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตนี้คอยคุ้มกันไปส่ง
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง
ผู้เฒ่าตัดสินใจว่าต้องรีบสู้รีบจบ ภายในสามกระบวนท่าต้องรู้ผลแพ้ชนะ
“ในเมื่อผู้อาวุโสไม่รู้ว่าควรจะเลือกอย่างไร ข้าจะช่วยเลือกให้ผู้อาวุโสเองก็แล้วกัน” ทว่าเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้นั้นกลับยิ่งจองหอง ยังคงเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ น้ำเสียงกวนโอ้ย ก้าวออกมาสามก้าวในท่าเตรียมพร้อม แต่ละก้าวมาพร้อมอานุภาพที่น่าตะลึงยิ่งขึ้นทุกครั้ง ก้อนอิฐถูกเขาเหยียบจนเกิดเสียงปริแตก
เจ้าไม่รู้ว่าควรจะสู้ดีหรือไม่ ข้าอวี๋ลู่จึงบีบให้เจ้าจำเป็นต้องสู้อย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
ม่านตาดำของผู้เฒ่าหดตัวลงเล็กน้อย ทะเลสาบในใจเกิดคลื่นยักษ์ถาโถม เห็นเพียงว่าพลังอำนาจที่เดิมทีก็ไม่อ่อนด้อยของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ยิ่งรุดหน้ามาอีกขั้น ความแกร่งกร้าวของจิตวิญญาณประหนึ่งมีจิตวิญญาณแห่งวีรุบุรุษในสมรภูมิรบยุคบรรพกาลเฝ้าบัญชาการณ์
ต่อให้เป็นผู้เฒ่าก็ยังเผยความตะลึงพรึงเพริดออกมาทางสีหน้าอย่างอดไม่ได้ “ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหก?”
ผู้ฝึกลมปราณสิบห้าขอบเขต วิถีวรยุทธ์เก้าขอบเขต การช่วงชิงใน “ขอบเขตเดียวกัน” ระหว่างผู้ฝึกลมปราณกับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว นอกจากตัวประหลาดสองชนิดในบรรดาผู้ฝึกลมปราณอย่างผู้ฝึกกระบี่และนักพรตสำนักการทหารแล้ว หากสามารถสกัดกั้นอาวุธอาคมสยบสวรรค์บางส่วนของผู้ฝึกลมปราณไปได้อีก ถ้าเช่นนั้นผลแพ้ชนะก็แทบจะไม่ต้องคิดให้มากความ ถึงขั้นที่ว่าหากผู้ฝึกยุทธ์ที่ขอบเขตต่ำกว่าระดับหนึ่งคิดจะทำร้ายผู้ฝึกลมปราณที่ระดับสูงกว่าขั้นหนึ่งให้บาดเจ็บสาหัส หรือเล่นงานจนตายทั้งเป็นก็เคยมีปรากฏ
ทว่าตะลึงก็ส่วนตะลึง เพราะหากจะพูดถึงความหวั่นกลัว ผู้เฒ่ากลับไม่รู้สึกเช่นนั้น
เพราะเขาคือผู้ฝึกกระบี่ที่สั่งสมประสบการณ์และรากฐานมานานหลายปี คือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเจ็ดอย่างขอบเขตชมมหาสมุทร!
หากไม่เหลือทางถอย ดึงดันจะสังหารคน ต่อให้เผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกคนหนึ่ง
ก็แค่ต้องใช้กระบวนท่าเดียวเท่านั้น
ดังนั้นผู้เฒ่าจึงแค่นเสียงเย็น “เจ้าอยากรนหาที่ตาย แต่ด้วยกฎของสำนักศึกษา ข้าจึงไม่อาจทำให้เจ้าตายจริงๆ ได้ แต่ทำให้เจ้าเหลือแค่ครึ่งชีวิตกลับไม่มีปัญหา!”
เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่กระโจนมาด้านหน้ามองดูคล้ายพร้อมสู้ตาย ทว่าสายตากลับฉายแววสนุกสนาน พูดกับตัวเองในใจว่า “ข้าหวังว่าเจ้าจะร้ายกาจสักหน่อย”
……
ล้มเลิกความคิดที่จะเดินบนทางหลวง เฉินผิงอันพาเด็กสองคนข้ามภูเขาไปด้วยกัน หรือจะพูดให้ถูกก็คือเด็กชายชุดเขียวกลับคืนสู่ร่างจริงที่ใหญ่โตหลายสิบจั้งพาเฉินผิงอันข้ามแม่น้ำและภูเขา ความน่ายินดีที่คาดไม่ถึงก็คือเฉินผิงอันค้นพบว่าเมื่อขี่อยู่บนสันหลังของงูน้ำ เขาก็ยังคงสามารถฝึกวิชาเดินนิ่งของตำราเขย่าขุนเขาได้เหมือนเดิม ตอนแรกฝ่าเท้ายังลื่นอยู่บ้าง เดินไม่เป็นท่า แต่นานวันเข้าต่อให้งูน้ำจงใจส่ายสะบัดร่าง เฉินผิงอันก็ยังสามารถทำเหมือนเดินอยู่บนพื้นเรียบได้
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูไม่มีคุณสมบัติที่จะได้ขี่หลังงูน้ำ ได้แต่แบกหีบหนังสือบินทะยานอยู่ด้านข้าง คอยปรบมือให้กำลังใจนายท่านของตัวเอง
วันนี้เฉินผิงอันหยุดพักบนยอดเขาแห่งหนึ่ง คนทั้งสามนั่งล้อมรอบกองไฟด้วยกัน แล้วเด็กชายชุดเขียวก็เริ่มบ่นพึมพำอีกครั้ง “นายท่าน ท่านเองก็อายุไม่น้อยแล้ว คิดจะรับอนุภรรยา สาวใช้ห้องข้าง (สาวใช้ที่มีห้องพักอยู่ติดกับเจ้านาย คอยปรนนิบัติรับใช้เจ้านายยามค่ำคืน หน้าที่คล้ายนางบำเรอหรืออนุภรรยา) หน้าตางดงามบ้างหรือไม่?”
เฉินผิงอันยื่นมือสองข้างออกไปอังเปลวไฟ แสงไฟสาดสะท้อนบนใบหน้าดำเกรียมของเขา เขาส่ายหน้าตอบ “ไม่คิด”
เด็กชายชุดเขียวยื่นมือลึกเข้าไปในกองไฟ งูน้ำตัวนี้หยิบเปลวไฟขึ้นมากองหนึ่ง จากนั้นใช้ปลายนิ้วดับมันลงทีละนิด เกิดเป็นเสียงใสกังวานเหมือนเมล็ดถั่วเหลืองแตก “ทำไมล่ะ? นายท่านวางใจเถอะ อีกฝ่ายไม่เพียงแต่ไม่รับสินสอดทองหมั้น ยังยินดีนำสินเดิมมหาศาลมาให้ด้วยตัวเอง! การค้าแบบนี้ นายท่านไม่หวั่นไหวจริงๆ รึ?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ไม่”
เด็กชายชุดเขียวฉงนฉงาย พอดับเปลวไฟกลุ่มหนึ่งแล้วก็เอื้อมไปหยิบมาอีกกลุ่มหนึ่ง “เพราะอะไรกันแน่นะ?”
เฉินผิงอันเพียงคลี่ยิ้ม ไม่ตอบคำถาม
เด็กชายชุดเขียวจุ๊ปากพูด “ที่แท้นายท่านก็มีสตรีในดวงใจแล้วนี่เอง”
เฉินผิงอันถลึงตาใส่เขาหนึ่งที
เด็กชายชุดเขียวพึมพำเสียงแผ่ว “นายท่านชอบแม่นางคนหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องน่าอายเสียหน่อย ถ้าชอบผู้ชายเหมือนกันสิถึงจะน่าขนลุก…”
ใบหน้าของเขาพลันเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ทำท่าดัดจริต เอ่ยเสียงออดอ้อน “นายท่าน ท่านดูข้าสิ อันที่จริงข้าเองก็หน้าตางามพิสุทธิ์…”
หนังศีรษะเฉินผิงอันชาวาบ ยื่นมือออกมาโบกพลางออกคำสั่ง “จะไปไหนก็ไป”
เด็กชายชุดเขียววิ่งไปไกลพลางหันมาพูดจาข่มขู่ดุร้ายใส่เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู “นังเด็กโง่ แอบเอาผงประทินโฉมมาบ้างหรือไม่ ให้ข้ายืมใช้หน่อย!”
เฉินผิงอันกุมขมับ วันเวลาเช่นนี้ช่างน่าลำบากใจนัก
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็เริ่มฝึกวรยุทธ์กับเด็กชายชุดเขียว ใช้อีกฝ่ายมาขัดเกลาเรือนกายและจิตวิญญาณของตัวเองเหมือนที่เคยทำในเวลาปกติ
อย่าเห็นแค่ว่าคำพูดและการกระทำของเด็กชายชุดเขียวเหลาะแหละไม่จริงจัง เพราะหากคิดจะรับมือกับเฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสองกลับเหลือเฟือ ต่อให้ขอบเขตของเฉินผิงอันจะเหนือกว่าผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป แต่สำหรับเจียวและมังกรที่เกิดมาก็มีเรือนกายแข็งแกร่งแล้ว หมัดเม็ดฝนที่เฉินผิงอันต่อยลงบนร่างของเด็กชายชุดเขียวจึงไม่เจ็บไม่คัน กลับเป็นหมัดของเขาที่หากโดนเฉินผิงอัน ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือภูเขาปริแตกผืนแผ่นดินแยกตัว ตอนแรกเด็กชายชุดเขียวกะแรงได้ไม่ดีนัก เฉินผิงอันจึงถูกต่อยจนลอยลิ่วออกไปไกล กระแทกต้นไม้หนาเท่าต้นขาต้นหนึ่งให้หักออกโดยตรง ทำเอาเด็กชายชุดเขียวตกใจนึกว่าตัวเองต้องตายแน่แล้ว แต่รอจนเฉินผิงอันรักษาตัวจนหายดีก็ยังคงให้เด็กชายชุดเขียวป้อนหมัดตนเหมือนเดิม
วันนี้เฉินผิงอันเพิ่งจะตั้งท่าหมัด ยังไม่ทันได้ออกหมัดอย่างแท้จริง เด็กชายชุดเขียวก็กลิ้งไถลเถลือกไปทั่วพื้น ร่างไถลออกไปหลายสิบรอบในรวดเดียว
เด็กชายชุดเขียวลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นผงที่ติดอยู่เต็มร่าง เอ่ยชื่นชม “พายุหมัดของนายท่านช่างดุดันยิ่งนัก น่าตกใจซะจริง”
เด็กสาวชุดกระโปรงชมพูนั่งยองอยู่ไกลๆ มองเสียจนปากอ้าตาค้าง
ได้ยินมาว่างูเจ้าถิ่นควบคุมแม่น้ำตัวนี้มีนิสัยป่าเถื่อนโหดเหี้ยม ความคิดเรียบง่าย ตบะสูงล้ำ แต่ไม่เห็นเคยได้ยินว่าจะเป็นคนหน้าไม่อายขนาดนี้นี่นา
เฉินผิงอันเคยชินเสียแล้ว เพียงถอนหายใจหนึ่งทีแล้วพูดจริงจัง “เลิกเล่นได้แล้วน่า”
เด็กชายชุดเขียวรีบทำท่ายืนขาเดียว มือสองข้างโบกสะบัดมั่วซั่ว ปากเปล่งเสียงร้องเยี๊ยกย๊ากแปลกประหลาด
เฉินผิงอันหน้าดำทะมึน หันตัวกลับไปนั่งข้างกองไฟอีกครั้ง
เด็กชายชุดเขียวรีบวิ่งห้อไปหยุดอยู่ข้างกายเขา ยิ้มขออภัย “นายท่านอย่าโมโหเลยนะ ข้าจะจริงจังแล้ว”
เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่เกี่ยวกับเจ้า ข้าคิดถึงเรื่องบางอย่างเลยสงบใจไม่ได้”
เด็กชายชุดเขียวร้องอ้อหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นก็รอให้นายท่านจิตใจสงบก่อนค่อยว่ากัน”
……
กลางดึกสงัด ตีนเขาตงหัวอันเป็นที่ตั้งของสำนักศึกษาซานหยามีเด็กหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งกำลังเดินขึ้นเขามาช้าๆ พลางทอดถอนใจไม่หยุด
แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในใจของเขา “เจ้ามาทำอะไร?”
ชุยฉานตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “อาจารย์ข้ามีธุระ ข้าผู้เป็นศิษย์ย่อมต้องช่วยแบ่งเบาภาระ”
—–
บทที่ 167.1 ข้ามีสมบัติอาคมเยอะนะ
โดย
ProjectZyphon
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่ตรงเอวห้อยไม้บรรทัดสีแดงมีเอกลักษณ์ยืนหรี่ตางีบหลับอยู่ตรงอาคารเหวินเจิ้งที่ตั้งอยู่กลางภูเขา
หลังจากฮ่องเต้เสด็จมาเยือนด้วยพระองค์เองในครานั้น สายลับทั้งหมดก็ถูกถอนออกไปจากภูเขาตงหัว แม้แต่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบสักคนก็ยังได้แต่ซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ กับภูเขาตงหัวเท่านั้น ไม่กล้าเหยียบเข้ามาในสำนักศึกษาง่ายๆ นี่คือความเคารพที่ต้าสุยมอบให้แก่สำนักศึกษาซานหยา หรือจะพูดอีกอย่างก็คือความเชื่อใจที่ฮ่องเต้ต้าสุยมีต่ออาจารย์ผู้เฒ่าเหมาเสี่ยวตง
ในโถงเหวินเจิ้ง ควันธูปถูกจุดขึ้นเพื่อบูชาอริยะสามท่านสายของสำนักศึกษาซานหยาแห่งนี้ ตรงกลางสุดแน่นอนว่าต้องเป็นปรมาจารย์มหาปราชญ์ บรรพาจารย์ที่เหล่าลูกศิษย์ทุกคนของลัทธิขงจื๊อใต้หล้าเคารพเลื่อมใส ถัดมาเป็นภาพของเหวินเซิ่งที่ปกปิดตัวตน จากนั้นจึงเป็นภาพของฉีจิ้งชุนเจ้าขุนเขาคนแรก
เด็กหนุ่มชุดขาวส่งเอกสารผ่านทางที่หน้าประตูสำนักศึกษาตรงตีนเขาแล้วเดินมาตลอดทางจนถึงที่นี่ พอยื่นหน้าเข้าไปมองในห้องโถงใหญ่ก็ตัดสินใจว่าให้ตายก็จะไม่เดินเข้าไป เขาที่ยืนอยู่นอกธรณีประตูพูดอย่างขุ่นเคือง “เหมาเสี่ยวตง เจ้าคิดจะทำให้ข้าสะอิดสะเอียนหรือคิดจะทำร้ายข้ากันแน่? วันนี้เจ้าต้องพูดมาให้ชัดเจน หากข้าไม่พอใจจะปัดก้นเดินจากไปเสียเดี๋ยวนี้ และวันหน้าก็จะไม่มาภูเขาลูกนี้ให้ขวางหูขวางตาเจ้าอีก!”
เหมาเสี่ยวตงยังคงหลับตา เอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมย “หากเจ้าไม่เข้าไปจุดธูปไหว้ก็ต้องอธิบายเรื่องราวมาให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นหากข้ามองเจ้าแค่ครั้งเดียว ข้าจะยอมเป็นหลานของเจ้าเลย”
ชุยฉานนั่งแปะลงบนธรณีประตู “ต่อให้เจ้าเต็มใจเป็นหลานข้า นั่นก็ต้องดูว่าข้าจะยอมรับหรือไม่ จุ๊ๆ ก็ไม่รู้ว่าปีนั้นใครกันที่ร้องไห้ขี้มูกยืดขอเรียนหมากล้อมกับข้า จากนั้นก็เล่นกันมาหมื่นปี สุดท้ายยังคงเป็นข้าที่ยอมต่อให้สองเม็ด แต่ก็ยังถูกข้าพิฆาตจนหน้าเขียว มือสองข้างสั่นระริก อยากจะถือตัวหมากค้างไว้ไม่วาง ถ่วงเวลาไปอีกสักร้อยปี”
เหมาเสี่ยวตงกล่าวเสียงเฉยชา “หมากล้อมเป็นเพียงแค่วิถีเล็กๆ เส้นหนึ่งเท่านั้น”
ชุยฉานเสียดสี “ ‘หมากล้อมคือทักษะอย่างหนึ่ง แต่เป็นเพียงแค่ทักษะขนาดเล็กเท่านั้น’? โอ๊ะโอ ใครเล่าที่ไม่รู้ว่าในบรรดาลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อซึ่งไม่เป็นโล้เป็นพายกลุ่มนั้น เจ้าเหมาเสี่ยวตงมีความรู้ห่วยแตกหละหลวม แต่ข้อดีที่สุดคือเคารพครูบาอาจารย์เชื่อฟังคำสั่งสอน ปรนนิบัติซิ่วไฉเฒ่าได้ดียิ่งกว่าปรนนิบัติบิดาแท้ๆ ของตัวเองเสียอีก แต่ทำไมถึงเริ่มนับถือหลักการของอริยะลัทธิอื่นแล้วเล่า? โดยเฉพาะอย่างยิ่งอริยะท่านนี้ยังเป็นศัตรูคู่อาฆาตของซิ่วไฉเฒ่าด้วย ทำไม เรียนรู้วิชาหมากล้อมจากข้าเลยจะเรียนวิธีการเป็นคนจากข้าด้วยรึ?”
เหมาเสี่ยวตงที่หลับตาทำสมาธิอยู่ตลอดเวลาหัวเราะเสียงเย็น “หากข้ายังพูดหลักการบิดเบี้ยวกับเจ้าอีกครึ่งคำ ข้าจะยอมเป็นลูกชายเจ้า”
ชุยฉานกลอกตาหนึ่งรอบ “ข้ามาเยือนภูเขาตงหัวในครั้งนี้ก็เพราะไม่มีบ้านให้กลับ มาขอพักอาศัยชั่วคราวเท่านั้น ตอนนี้เจ้าเหมาเสี่ยวตงเป็นถึงเจ้าขุนเขาผู้สูงส่ง ลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งก็ผ่านไปได้แล้ว ไม่อยากเห็นหน้าข้าก็ไม่ต้องมองสิ ตาเจ้าไม่เห็นใจย่อมไม่รำคาญ ข้าเองก็มีอิสระเสรี ทุกคนต่างเปรมปรีดิ์”
เหมาเสี่ยวตงหลุดหัวเราะพรืด “ด้วยนิสัยไร้ผลประโยชน์ไม่ตื่นเช้าของเจ้า เกรงว่าผ่านไปได้ไม่กี่วัน สำนักศึกษาก็คงถูกเจ้าสร้างความพินาศจนต้าสุยต้องสั่งรื้อทิ้ง หากเจ้าจะงัดข้อกับต้าสุย ข้าไม่ขัดขวาง แต่เจ้าอย่าคิดจะมาสร้างเรื่องก่อราวที่ภูเขาตงหัวแห่งนี้ สำนักศึกษาก็คือสำนักศึกษา คือสถานที่ที่อบรมความรู้ปลูกฝังคุณธรรม ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าชุยฉานมาขี้เยี่ยวแถมยังไม่เช็ดก้นได้ตามใจชอบ!”
ชุยฉานขมวดคิ้ว “เจ้าไม่ได้รับจดหมายลับฉบับนั้นของข้าหรือไง? ฉบับที่ข้างในมีตัวหมากเม็ดหนึ่งน่ะ”
เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ “ได้รับก็จริง แต่ไม่ได้เปิดออก ต้องรีบโยนทิ้งเข้าไปในเตาไฟ จากนั้นก็วิ่งไปล้างมือ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่กล้าหยิบตะเกียบขึ้นมากินข้าว”
ประโยคนี้พูดได้ระคายหูมาก แต่ชุยฉานกลับไม่หงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย เขาลุกขึ้นยืนเดินมาหยุดอยู่ข้างกายผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ ยิ้มหน้าเป็น “เสี่ยวตงเอ๋ย ที่ข้ามาครั้งนี้ไม่ใช่เพราะมีแผนการชั่วร้ายอะไรจริงๆ แต่มาเพื่อตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้ดี มีเวลาว่างก็ไปนอนอาบแดด เล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนเจ้า แล้วก็ถือโอกาสดูแลเด็กจากต้าหลีกลุ่มนั้นด้วย”
เหมาเสี่ยวตงหัวเราะเฮอๆ “เชื่อเจ้า? ถ้าอย่างนั้นข้าก็เป็นบรรพบุรุษของเจ้า”
คราวนี้ชุยฉานกลัดกลุ้มเล็กน้อย ชี้นิ้วไปที่จมูกตัวเอง “เป็นบรรพบุรุษของข้าแล้วยังไง? เป็นเรื่องเลวร้ายนักหรือ? เจ้าได้เปรียบตั้งเท่าไหร่?”
เหมาเสี่ยวตงกระตุกมุมปาก “หากเป็นบรรพบุรุษของเจ้าจะไม่ต้องโมโหจนแม้แต่ฝาโลงก็ปิดไว้ไม่อยู่งั้นหรือ? แน่นอนว่าข้าไม่อยากเป็น”
ชุยฉานเดือดดาล “เหมาเสี่ยวตง! เจ้าควรจะพอได้แล้วนะ!”
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่หลับตาส่ายหน้า “ไม่ได้”
ชุยฉานชี้หน้าเหมาเสี่ยวตง “อยากมีเรื่องหรือไง?”
เหมาเสี่ยวตงพลันลืมตา พลังอำนาจพุ่งทะยานนั่นพรั่นพรึง ประหนึ่งเทพจินกังหน้าตาดุดันที่อยู่ในวัด “มีเรื่องก็ดีน่ะสิ ก่อนหน้านี้อยู่ต้าหลี สู้เจ้าไม่ได้ แต่ตอนนี้ข้าจะยอมต่อให้เจ้าเลย!”
ชุยฉานกะพริบตาปริบๆ “ตอนนี้เจ้าเป็นหลานข้าแล้ว หลานต่อยตีกับปู่คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่กระมัง?”
เหมาเสี่ยวตงยื่นมือไปกดไม้บรรทัดที่ห้อยไว้ตรงเอว “หลังจากตีเจ้าตายแล้ว ข้าค่อยจุดธูปไหว้เจ้าก็แล้วกัน”
ชุยฉานรีบยื่นมือข้างหนึ่งออกมา “หยุดก่อนๆ ซิ่วไฉเฒ่ากับฉีจิ้งชุนต่างก็ฝากคำพูดมาให้เจ้าผ่านข้า เจ้าฟังก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เหมาเสี่ยวตงหรี่ตาลง ปราณสังหารในร่างหนักอึ้งเปี่ยมล้นสุดประมาณ เมื่อเทียบกับวินาทีที่ลืมตาขึ้นมาแล้วมีแต่จะทบทวี ไม่มีลดน้อยลง “ระวังจะเป็นคำสั่งเสียสุดท้ายของเจ้าเอง”
ริมฝีปากของชุยฉานสั่นระริก
หลังจากฟังเสียงที่ดังขึ้นในใจจบ เหมาเสี่ยวตงก็จ้องเขม็งไปที่เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีตบะแค่ขอบเขตห้า โดยเฉพาะดวงตาทั้งคู่ของชุยฉานที่ถูกเขาจ้องนิ่งนานเป็นพิเศษ การที่ดวงตาทั้งคู่ของมนุษย์ถูกเรียกว่าเป็นหน้าต่างของหัวใจก็เพราะ หากจะบอกว่าสภาพจิตใจเป็นดั่งทะเลสาบ ถ้าเช่นนั้นลูกตาดำก็เป็นดั่งตาน้ำพุในบ่อลึก เมื่อร่างกายซื่อตรงจิตวิญญาณย่อมใสltvkf เมื่อจิตใจชั่วร้าย สายตาย่อมขุ่นมัว
หากอยู่ในสำนักศึกษาซานหยาแห่งเก่าที่ต้าหลี แล้วเจอกับราชครูชุยฉาน เหมาเสี่ยวตงคงไม่มีทางกระทำสิ่งที่เกินความจำเป็นเช่นนี้ เพราะความต่างระหว่างขอบเขตของคนทั้งสองวางไว้ให้เห็นตรงนั้น และความต่างของสองขอบเขตนั้นก็มากดุจก้อนเมฆกับก้อนโคลน ต่อให้เขามองนานแค่ไหนก็มองต้นสายปลายเหตุอะไรไม่ออก ทว่าตอนนี้สถานการณ์พลิกกลับ เปลี่ยนมาเป็นเขาเหมาเสี่ยวตงที่ขอบเขตสูงกว่าจึงสามารถเหยียดตามองลงต่ำ แน่นอนว่าต้องมีประโยชน์อยู่บ้าง ที่สำคัญคือพวกเขาเคยเป็นคนชาวบุ๋นของอริยะสายเดียวกันมาก่อน จึงมองกันได้ชัดเจนกว่าคนอื่นๆ
เหมาเสี่ยวตงเก็บสายตากลับคืนมาแล้วก้าวยาวๆ จากไป
ชุยฉานถามยิ้มๆ “เจ้าจะไปไหนน่ะ? ไม่คุยกันต่ออีกหน่อยหรือ?”
เหมาเสี่ยวตงแค่นเสียงเย็น “รีบไปล้างตา ไม่อย่างนั้นคงระคายเคืองแย่!”
ชุยฉานใช้นิ้วมือดีดสาบเสื้อตัวเอง กล่าวอารมณ์ดี “หนังหุ้มเด็กหนุ่มร่างนี้ของข้างามล่มชาติล่มเมืองอย่างแท้จริง”
เหมาเสี่ยวตงหยุดฝีเท้า คิดจะหมุนตัวกลับไปลงไม้ลงมือตีคน เพราะอย่างไรซะผู้เฒ่าก็อยากจะอัดเจ้าตะพาบที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนผู้นี้ให้ตายมานานไม่ใช่แค่สิบยี่สิบปีแล้ว
ในชายแขนเสื้อของชุยฉานมีแสงสีทองบางเฉียบเส้นหนึ่งบินออกมาตั้งท่าเตรียมพร้อม ขณะเดียวกันเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “เจ้าจะลงมือตีคนแล้วจริงๆ หรือ? อริยะลัทธิขงจื๊อของพวกเราใช้คุณธรรมขัดเกลาผู้คน วิญญูชนใช้เหตุผลสยบผู้คน แม้จะบอกว่าเจ้าเหมาเสี่ยวตงติดร่างแหเดือดร้อนเพราะสำนัก จนถึงวันนี้ก็ยังมีสถานะเป็นแค่นักปราชญ์ แต่ก็ไม่มีคำกล่าวใดบอกว่านักปราชญ์จะต้องถลกแขนเสื้อทะเลาะกับคนอื่นนะ”
เหมาเสี่ยวตงก้าวยาวๆ จากไป
ชุยฉานรีบสาวเท้าเร็วๆ ก้าวตาม มือสองข้างไพล่หลัง ท่าเดินล่องลอยดุจเทพเซียน ยังคงพูดตอแยไม่เลิก “พวกหลี่เป่าผิงที่อยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง? พวกเขาทำให้ในสำนักศึกษาวุ่นวายจนหมากระโดดไก่บินเลยหรือเปล่า?”
เหมาเสี่ยวตงตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ใช่”
สีหน้าชุยฉานมืดคล้ำ “คงไม่ใช่ว่ามีคนคิดจะฆ่าไก่ให้ลิงดูหรอกกระมัง?”
เหมาเสี่ยวตงหัวเราะเสียงเย็น “ข้ายังนึกว่าเป็นฝีมือของราชครูอย่างเจ้าที่ผลักดันอยู่อย่างลับๆ พยายามจะยุแยงให้สำนักศึกษาแตกแยกกับต้าสุย ทำให้ฮ่องเต้ต้าหลีหาบันไดลงไม่ได้ จะได้ตัดขาดควันธูปสายบุ๋นของสำนักศึกษาซานหยาอย่างสิ้นเชิงเสียอีก”
ชุยฉานกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ยกมือขึ้นเกาหัว พูดพลางหัวเราะแห้งๆ “ตาแก่ในเมืองหลวงทำเรื่องชั่วช้าแบบนี้ได้จริง แต่ข้ากลับทำไม่ได้ ข้าในตอนนี้เป็นคนเอาใจเขามาใส่ใจเรา ทำดีกับผู้อื่นตลอดเวลา เปลี่ยนจากดีเป็นเลว…เอ้ย ไม่ใช่ เป็นจากเลวเป็นดีมานานมากแล้ว”
เหมาเสี่ยวตงถอนหายใจ เงยหน้ามองไปทางศาลาที่อยู่บนยอดเขาตงหัว น้ำเสียงไม่หนัก แต่กลับยืนกรานเด็ดเดี่ยว “ชุยฉาน หากเจ้ากล้าทำเรื่องที่ทำร้ายสำนักศึกษา แค่ครั้งเดียว ข้าจะลงมือสังหารเจ้าทันที”
ชุยฉานไม่เก็บเอามาใส่ใจแม้แต่น้อย “ตามใจเจ้าๆ แค่เจ้าอารมณ์ดีก็พอ ไหนเจ้าลองเล่ามาก่อนสิว่าเรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่ ตอนนี้ข้าอนาถกว่าเจ้ามากนัก ไม่ได้โกหกเจ้าจริงๆ นะ ใต้หล้านี้จะมีใครน่าสมเพชมากไปกว่าข้าอีก? เสี่ยวตงหากตอนไหนเจ้าอารมณ์ไม่ดี ข้าสามารถเล่าให้เจ้าฟังได้ รับรองว่าเจ้าจะอารมณ์ดีขึ้นมาทันใด แต่จำไว้ว่าต้องเอาเหล้ามาด้วยหลายๆ ไห ฮ่องเต้ต้าสุยไม่ใช่คนขี้เหนียว ต้องประทานเหล้าดีๆ มาให้เจ้าไม่น้อยแน่นอน”
เหมาเสี่ยวตงปรายตามองเด็กหนุ่มชุดขาวด้วยสายตาประหลาด แล้วจึงส่ายหน้า เดินหน้าต่ออีกครั้งพร้อมกับเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ รอบหนึ่ง
โดยเฉพาะศึกครั้งสุดท้ายในหอหนังสือที่อวี๋ลู่รับมือกับคนสองคน ผลคือทั้งสองฝ่ายต่างก็เจ็บหนัก คนทั้งสามเดินเข้าไป หนึ่งคือนักปราชญ์หนุ่มขอบเขตถ้ำสถิต หนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทร และอีกหนึ่งคือเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกขั้นสูงสุด แต่สุดท้ายล้วนถูกห้ามออกมากันทุกคน
คราวนี้ต่อให้เป็นรองเจ้าขุนเขาอย่างเหมาเสี่ยวตงก็ไม่อาจปิดข่าวใหญ่เทียมฟ้านี้ไว้ได้
คืนนั้นเจ้ากรมพิธีการต้าสุยที่ยังสวมชุดขุนนางกับขันทีในวังหลวงท่านหนึ่งที่สวมชุดลายงูหลามสีแดงสด บวกกับนักพรตขอบเขตสิบที่แฝงตัวอยู่ใกล้กับภูเขาตงหัวต่างก็พากันมาเยือนที่ภูเขา
เพียงแต่ว่าเมื่อเผชิญหน้ากับคนทั้งสาม เหมาเสี่ยวตงกลับเอ่ยเพียงว่าเขาจะมอบคำอธิบายเรื่องนี้ให้กับฮ่องเต้ต้าสุยด้วยตัวเอง คนอื่นๆ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอ๋องเจ้าแคว้นหรือเจ้ากรมก็ล้วนไม่มีสิทธิ์มาชี้ไม้ชี้มือใส่สำนักศึกษา อันที่จริงคนทั้งสามไม่ได้คิดจะมาซักไซ้เอาความผิดเลยแม้แต่น้อย ทว่าเหมาเสี่ยวตงกลับยังคงไม่รับไมตรี ท่าทีแข็งกระด้างอย่างถึงที่สุด ทำให้คนทั้งสามรู้สึกเหมือนมาเจอเข้ากับตะปูตัวใหญ่เทียมฟ้า
ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบคนนั้นคิดจะลงมือทันที โชคดีที่ขุนนางฟ้ากรมพิธีการห้ามไว้ทัน ครั้นจึงรีบร้อนลงเขาไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้พร้อมกัน
ในกลุ่มของคนที่ลงจากภูเขามีผู้ฝึกกระบี่เฒ่าและหลี่ฉางอิงสองคนเพิ่มมาด้วย ตอนนี้พวกเขาเดินเองได้แล้ว แต่สีหน้าย่ำแย่สุดขีดคล้ายคนป่วยหนักยังไม่หายดี
สุดท้ายเหมาเสี่ยวตงถามว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ด้วยสถานะอะไร?”
ชุยฉานตอบอย่างไม่ลังเล “หากเจ้าได้อ่านจดหมายลับของข้าก็จะรู้ว่าสามารถเปิดเผยตัวตนของอวี๋ลู่หรือเซี่ยเซี่ยคนใดคนหนึ่งได้ ยกตัวอย่างเช่นเซี่ยหลิงเยว่จากสำนักบนภูเขาอันดับหนึ่งของราชวงศ์สกุลหลู ถ้าเลือกนาง ข้าก็จะเผยตัวตนด้วยสถานะผู้อาวุโสในสำนักของนาง แต่หากเลือกอวี๋ลู่ ข้าก็จะเป็นหนึ่งในคนเฝ้าประตูที่แฝงตัวอยู่อย่างลับๆ ในวังหลวงของราชวงศ์สกุลหลู วางใจเถอะ ทั้งสองตัวตนนี้ข้าล้วนเตรียมตัวมาไว้นานแล้ว ไม่มีช่องโหว่ใดๆ”
เหมาเสี่ยวตงยังคงไม่วางใจ กล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “หน่วยสืบรายงานลับของต้าสุยไม่ได้แย่ไปกว่าต้าหลี แล้วนับประสาอะไรกับที่ต้าสุยเป็นมิตรที่ดีกับราชวงศ์สกุลหลูมาหลายยุคหลายสมัย…”
ประโยคเดียวของชุยฉานทำให้ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ไม่เอ่ยอะไรอีก “ข้าคือใคร?”
ก่อนที่คนทั้งสองจะจากกัน เหมาเสี่ยวตงที่สะสมความแค้นมานานก็สบถด่าอย่างอดไม่ไหว “เจ้าเป็นใคร? เจ้าก็คือลูกชายข้าไงล่ะ!”
ชุยฉานร้องอั๊ยหนึ่งทีแล้วตะโกนเรียกอย่างชื่นบาน “พ่อ!”
เหมาเสี่ยวตงอึ้งตะลึง ก่อนจะขบฟันดังกรอดด้วยความโมโห แล้วร่างก็เปล่งแสงวูบหายวับไปโดยตรง
ชุยฉานตะโกนไล่หลัง “เด็กกลุ่มนั้นอาศัยอยู่ที่ไหน พ่อบอกข้าสักคำเถอะ!”
กลางดึกเงียบสงัด ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา
ชุยฉานเหลือกตามองบน “ข้าไล่เคาะถามตามบ้านไปทีละหลังก็ได้ ใครกลัวกันเล่า”
ในโถงเหวินเจิ้ง เหมาเสียวตงที่จากไปได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง เขายืนอยู่ในห้องโถง หลังจากจุดธูปสามดอกกราบไหว้รูปภาพเสร็จก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าเสียใจ “อาจารย์ ศิษย์พี่ ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ด้วย ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่เข้าใจ! ข้ารู้ว่าไม่ว่าอย่างไรก็เทียบกับพวกท่านสองคนไม่ได้ ในเมื่อพวกท่านทำอย่างนี้ก็แสดงว่าต้องมีเหตุผลเป็นของตัวเอง แต่…”
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่กล่าวมาถึงตรงนี้ บนใบหน้าที่เหี่ยวย่นด้วยผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานก็คล้ายจะมีน้ำตาไหลริน กล่าวขมขื่น “แต่ในใจข้ารู้สึกไม่ชอบเอาเสียเลย”
—–
บทที่ 167.2 ข้ามีสมบัติอาคมเยอะนะ
โดย
ProjectZyphon
แน่นอนว่าชุยฉานไม่ได้โง่ถึงขนาดเดินไปเคาะประตูบ้านทีละหลังจริงๆ เขาแตะปลายเท้าเบาๆ แล้วทะยานร่างเหนือหลังคาเรือนพักของสำนักศึกษา กวาดตามองไปรอบด้าน เห็นว่ามีอาคารอยู่สองสามแห่งที่ยังมีแสงไฟสว่างจึงทะยานร่างไปยังตำแหน่งที่ใกล้ที่สุด เขย่งปลายเท้าเกาะขอบหน้าตามองเข้าไป ไม่เห็นหน้าคนในห้อง แต่ในยินเสียงน้ำไหลซู่ๆ ชุยฉานจึงเจาะหน้าต่างกระดาษอย่างไม่รีบไม่ร้อน แล้วเขาก็ได้เห็น “ภาพสาวงามอาบน้ำ” จริงดังคาด เสียดายก็แต่เรือนกายของสตรีนางนั้นไม่น่ามองเอาเสียเลย ในขณะที่ชุยฉานรู้สึกเสียสายตาที่ได้มาเห็นภาพนี้ สาวน้อยในอ่างน้ำกลางห้องก็กรีดร้องเสียงดัง
ชุยฉานยังไม่ไป เขายืนบ่นอยู่ที่เดิม “ทำไมๆ ข้าไหมที่เป็นคนเสียเปรียบน่ะ!”
เสียงปังดังหนึ่งครั้ง หยดน้ำก็สาดกระเซ็นอยู่เต็มหน้าต่าง ที่แท้ขันน้ำก็ปลิวมากระแทกนั่นเอง
ชุยฉานที่นวดคลึงดวงตาพลิ้วกายจากไปนานแล้ว ปากยังบ่นพึมไม่หยุด “ปวดตาเลย”
ด้านหลังตามมาด้วยเสียงกรีดร้องที่แหลมดังมากกว่าเดิม แสงสว่างถูกจุดขึ้นในหอพักบริเวณใกล้เคียงอย่างต่อเนื่อง
ชุยฉานอาศัยความทรงจำเดินตามหาไล่ไปทีละหอพัก สุดท้ายก็หาคนที่ต้องการพบเจอในที่สุด บังเอิญมากที่หลี่ไหว หลี่เป่าผิง หลินโส่วอีและอวี๋ลู่ต่างก็อยู่กันครบทั้งสี่คน
อวี๋ลู่นอนตะแคงข้างอยู่บนเตียง แม้ว่าใบหน้าจะซีดขาวราวหิมะ แต่สีหน้าท่าทางกลับไม่เลว
หลี่ไหวนั่งอยู่ตรงหัวเตียง ก้มหน้าลงมองรองเท้าแตะบนเท้าตัวเอง ท่าทางกลัดกลุ้มคิดหนัก
หลี่เป่าผิงและหลินโส่วอีนั่งตรงข้ามกันอยู่ข้างโต๊ะ ต่างคนต่างอ่านหนังสือ
ชุยฉานผลักประตูเดินเข้าไปพลางหัวเราะเสียงดัง “ดีใจหรือไม่? แปลกใจหรือไม่?”
หลี่เป่าผิงอึ้งตะลึงก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็หันไปมองข้างนอกอย่างดีใจ “อาจารย์อาน้อยล่ะ?!”
ชุยฉานข้ามผ่านธรณีประตูเข้ามา ใช้ปลายเท้าแตะปิดประตูดังปัง เดินไปนั่งบนม้านั่งตรงกลางระหว่างหลี่เป่าผิงกับหลินโส่วอี กลอกตาพูด “อาจารย์ไม่ได้มา ข้ามาคนเดียวโดดเดี่ยวเดียวดาย”
หลี่เป่าผิงลุกขึ้นวิ่งไปที่หน้าประตู เปิดประตูเยี่ยมหน้าออกไปมองนานมาก เมื่อไม่เห็นเงาร่างของอาจารย์อาน้อยถึงได้กลับมานั่งที่เดิมอย่างไร้เรี่ยวแรง ฟุบตัวลงบนโต๊ะอย่างหมดอาลัยตายอยาก
หลินโส่วอีวางหนังสือ ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ลง ใช้ด้ายสีทองมัดพันอย่างระมัดระวัง พอเก็บเข้าไปในสาบเสื้อหน้าอกเรียบร้อยแล้วก็ขยับปากทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
ชุยฉานรินน้ำชาให้ตัวเอง ยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด แล้วโบกมือพูด “ข้ารู้เรื่องหมดแล้ว”
เขาหันไปยิ้มให้หลินโส่วอี “ไปเรียกเซี่ยเซี่ยมา บอกว่าคุณชายของนางต้องการคนยกน้ำรินน้ำชา”
หลินโส่วอีลังเล ชุยฉานมองตาขวาง “ทำไม เจ้าแอบชอบเซี่ยเซี่ยเลยกลัวว่าคืนนี้ข้าจะให้นางอุ่นเตียงให้? เจ้าตาบอดหรือข้ากันแน่ที่ตาบอด?”
หลินโส่วอีลุกขึ้นยืน เดินออกจากหอพักไปเรียกเซี่ยเซี่ยอย่างจำใจ
ชุยฉานมองหลี่ไหวที่เซื่องซึม ยิ้มบางๆ พลางกล่าวว่า “หลี่ไหวเอ๋ย เลิกเสียใจได้แล้วน่า หลังจากเฉินผิงอันได้ยินเรื่องนี้ยังชมเจ้าด้วยนะ บอกว่าเจ้ากล้าหาญ มีความรับผิดชอบ คือชายชาตรีที่องอาจอย่างแท้จริง”
เด็กชายพลันเงยหน้าขึ้น “จริงหรือ?!”
หลี่ไหวคลี่ยิ้มกว้างทันใด
หลี่เป่าผิงหัวเราะหยัน “เจ้าโง่หรือไง อาจารย์อาน้อยไปจากเมืองหลวงต้าสุยนานขนาดนี้แล้ว จะรู้เหตุการณ์ล่าสุดของในสำนักศึกษาได้อย่างไร? อีกอย่างอาจารย์อาน้อยจะพูดชื่นชมคนอื่นแบบนี้หรือ?”
หลี่เป่าผิงเชิดหน้าขึ้น “อย่างมากก็แค่ยิ้ม นี่ก็ถือว่าดีมากแล้ว หรือถ้าจะมากๆ ที่สุดก็แค่ยกนิ้วโป้งให้เจ้าเท่านั้น”
แม่นางน้อยพลันยืดเอวขึ้นตรง ยกแขนสองข้างกอดอก “คำชมและของรางวัลจากอาจารย์อาน้อยเก็บไว้ให้ข้าคนเดียวเท่านั้นแหละ!”
หลี่ไหวหน้าหมองเล็กน้อย
เขาลังเลอยู่นาน ก่อนจะก้มหน้าลงพูดคล้ายพูดกับรองเท้าแตะคู่นั้นของตัวเอง “ไม่อย่างนั้นข้าย้ายมาอยู่กับหลินโส่วอีดีไหม?”
หลี่เป่าผิงหันมามอง “หลี่ไหว ทำไมเจ้าถึงยังได้ขี้ขลาดแบบนี้อยู่อีก? ทำไมต้องเป็นเจ้าที่ย้ายออก จะย้ายก็ควรต้องเป็นเจ้าสามคนนั่น!”
แล้วจู่ๆ แม่นางน้อยก็ก้มหน้าลง กลับไปนอนฟุบบนโต๊ะอีกครั้ง “ช่างเถอะ ข้าไม่มีสิทธิ์พูดเรื่องพวกนี้”
อวี๋ลู่ขยับตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก หลี่ไหวรีบเข้าไปช่วยประคอง อวี๋ลู่เอนหลังพิงกำแพง ยกขาขึ้นนั่งขัดสมาธิ เอ่ยขออภัย “ไม่อาจลุกไปต้อนรับคุณชายได้”
ชุยฉานไม่คิดจะสนใจเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ เขามองประเมินเครื่องตกแต่งเรียบง่ายในหอพัก นิ่งคิดไปอีกครู่หนึ่งถึงพูดกับหลี่เป่าผิงว่า “หลี่ไหวย้ายมาอยู่นี่น่ะถูกแล้ว นี่ไม่เกี่ยวกับว่ากล้าหาญหรือไม่ หลี่ไหวอยู่ที่นั่นต่อคือแผนระดับล่าง ย้ายมาอยู่ที่นี่คือแผนระดับกลาง ย้ายไปอยู่ที่หอพักของหลี่ฉางอิงถึงจะเป็นแผนการที่ยอดเยี่ยม”
และเวลานี้หลินโส่วอีก็พาเซี่ยเซี่ยกลับมา พอหลินโส่วอีนั่งลงแล้วเด็กสาวผิวดำเกรียมก็มองเห็นชุยฉาน ท่าทางของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด กล้ายืนอยู่แค่ตรงหน้าประตูเท่านั้น
หลี่เป่าผิงสงสัย “ทำไมถึงเป็นแผนที่ดีเยี่ยมนั้นข้าเข้าใจ แต่แผนระดับล่างนี่หมายความว่ายังไง?”
ชุยฉานไล้นิ้วหมุนถ้วยชากระเบื้องสีขาวพลางเอ่ยเนิบช้า “ขโมยของ รังแกหลี่ไหว นี่เป็นเรื่องปกติของเด็กที่ไม่รู้ความ อีกอย่างเด็กหนุ่มเลือดร้อน ไม่มีเหตุผลมากที่สุด พวกเจ้าไม่เคยได้สัมผัสกับยุทธภพที่แท้จริงมาก่อน พวกจอมยุทธ์พเนจรไร้สมองเหล่านั้น แค่พูดไม่เข้าหูคำเดียวก็สามารถฆ่าคนทั้งตระกูลของอีกฝ่ายได้ หลังจบเรื่องถูกทางการจับตัวไปตัดหัว ลองเดาดูสิว่าพวกเขาจะทำอย่างไร? เมื่ออยู่บนลานประหาร ต่อให้เพชฆาตจ้องมองลำคอของพวกเขา คิดว่าควรจะบั่นคอพวกเขาอย่างไร คนเหล่านั้นก็ยังสามารถลำพองใจได้เหมือนเดิม ไม่มีใครรู้สึกผิด เจ้าคิดว่าพวกเขากลัวตายงั้นหรือ? ฆ่าคนไม่ใจอ่อน ถูกฆ่าไม่ก้มหัวให้ พวกเขาก็ร้ายกาจอย่างนี้แหละ”
หลี่ไหวรับฟังอย่างตั้งใจ รู้สึกเพียงว่าคนพวกนี้สมองเสื่อมหรือไร? บนโลกจะมีคนที่ไร้เหตุผลแบบนี้จริงๆ หรือ?
ชุยฉานเอ่ยยิ้มๆ “ดังนั้นต่อให้เด็กพวกนั้นจะยอมรับผิด กลับไปถูกพวกบิดาตีจนก้นลาย ไม่แน่ว่าวันไหนโมโห รู้สึกว่าไม่เป็นธรรมขึ้นมาอีก ข่มกลั้นความขุ่นเคืองเอาไว้ตลอดเวลา ปะเหมาะพอดีถูกคนข้างกายที่ประสงค์ร้ายพูดยั่วยุสองสามคำ บอกว่าเจ้าเป็นถึงบุตรชายของกั๋วกงคนนั้น ท่านโหวคนนี้ เก็บกลั้นความอัปยศเช่นนี้เอาไว้จะไม่ผิดต่อวิญญาณของบรรพชนที่อยู่บนสวรรค์หรือ? เจ้าเป็นถึงลูกหลานของขุนนางบุกเบิกแคว้นผู้มีคุณูปการของต้าสุย รูปภาพบรรพบุรุษของพวกเจ้าตอนนี้ยังแคว้นอยู่ในหอจื่อเซียวของต้าสุยอยู่เลยนะ”
อวี๋ลู่พยักหน้ารับน้อยๆ
ในฐานะองค์รัชทายาทของราชวงศ์สกุลหลู เหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา และในบรรดาคนทั้งหมดที่นั่งอยู่ในห้อง เขาอาจเป็นคนที่เข้าใจความหมายของชุยฉานได้ดีที่สุด
ชุยฉานหัวเราะเฮอๆ อยู่สองที แล้วพูดต่อว่า “จากนั้นพวกเขาก็จะรู้สึกว่าจริงด้วย พวกเราแหยในถิ่นตัวเองแบบนี้ วันหน้าจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร? ไม่เท่ากับว่าทำให้คนทั้งตระกูลเดือดร้อนกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งเมืองหลวงหรอกหรือ? ดังนั้นกลางดึกของคืนใดคืนหนึ่งจึงหยิบมีดมาปาดคอหลี่ไหว ลูกหลานของตระกูลเศรษฐีสามคนนั้นอาจทำไม่ได้เหมือนจอมยุทธ์พเนจรที่พอความตายมาเยือนแล้วยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นวีรบุรุษผู้กล้าหาญ แต่หากถึงขั้นนั้นจริงๆ หลี่ไหวตายไปแล้ว พวกเขาจะรู้สึกเสียใจภายหลังหรือไม่ จะตกใจจนอึราดกางเกงหรือไม่ จะยังมีความหมายอีกหรือ?”
หลี่ไหวฟังจนหน้าซีดขาวไร้สีเลือด
อวี๋ลู่ยื่นมือไปตบไหล่เด็กชายแสดงการปลอบใจ เด็กชายหันหน้ามามองเขา น่าเสียดายก็แต่รอยยิ้มของเขาน่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก
ชุยฉานวางถ้วยชาลง เคาะโต๊ะเบาๆ “ส่วนเรื่องที่นอกเหนือจากการทำอะไรตามอารมณ์อย่างแท้จริงนั้น ย่อมต้องเป็นการช่วงชิงกันทางผลประโยชน์ที่มีความคาบเกี่ยวสลับซับซ้อน มีคนโยนหินถามทาง มีคนกระพือลมจุดไฟ มีคนจับปลาในน้ำขุ่น ไม่ว่าอะไรก็มีหมด แต่ไม่เป็นไร ข้ามาแล้วนี่ไง หลังจากนี้พวกเจ้าก็ทำใจให้สงบศึกษาเล่าเรียนของตัวเองไป เรื่องอื่นๆ ไม่ต้องสนใจ”
อารมณ์ของทุกคนที่อยู่ในห้องพักต่างก็ซับซ้อน
ชุยฉานหัวเราะฮ่าๆ “ทำไม ไม่เชื่อข้า? ไม่เชื่อว่าข้ามีความสามารถนี้ หรือไม่เชื่อว่าข้าหวังดี? หากเป็นข้อแรก พวกเจ้าสามารถตั้งตารอได้เลย แต่หากเป็นข้อหลัง…เอาเถอะ เฉินผิงอันอาจารย์ของข้าเป็นกังวลว่าพวกเจ้าจะถูกคนรังแก ตลอดระยะทางที่เดินทางกันไป เขาไม่เคยสงบใจได้เลย ดังนั้นจึงทำการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่ากับข้าครั้งหนึ่ง โดยให้ข้ามาช่วยดูแลพวกเจ้าที่มาศึกษาอยู่ต่างถิ่น ตอนนี้คงเชื่อข้าได้แล้วกระมัง?”
ชุยฉานมองหลี่เป่าผิง “หลักการที่แท้จริงในยุทธภพไม่เคยอยู่ที่คำว่ารวดเร็ว”
แล้วก็หันไปมองหลินโส่วอี “ภูเขาสูงน้ำไหล วันเวลายาวไกล ชั่วชีวิตนี้หากผูกปมแค้นกับใครแล้วรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจจริงๆ ก็ควรเล่นงานศัตรูคู่แค้นของตัวเองก่อน จากนั้นค่อยหันไปรังแกลูกหลานของเขา ลูกผู้ชายแก้แค้นสิบปีก็ยังไม่สายไม่ใช่หรือ?”
สุดท้ายมองไปยังหลี่ไหว “จำไว้นะ ผู้ฝึกบำเพ็ญตนจะแก้แค้นก็ดี ตอบแทนบุญคุณก็ช่าง หนึ่งร้อยปีก็ยังไม่ถือว่ายาวนาน”
ชุยฉานกล่าวจบก็ตบมือตัวเอง “เอาล่ะ ข้าพูดธุระสำคัญจบแล้ว”
แล้วเขาก็ตบศีรษะตัวเอง “ใช่แล้ว เป่าผิงน้อย ตอนที่ข้ากับอาจารย์เดินทางผ่านภูเขาลูกหนึ่ง โชคดีได้เห็นปลาตะเพียนข้ามภูเขาที่กำลังย้ายบ้านฝูงใหญ่ อาจารย์ท่านนั้นของข้าเคยได้ยินมาว่าในกลุ่มของปลาตะเพียนข้ามภูเขาหมื่นตัวอาจจะมีบรรพบุรุษของปลาตะเพียนข้ามภูเขาที่ทั้งตัวเป็นสีทองตัวหนึ่ง อาจารย์ดึงดันจะลาขาให้นั่งยองอยู่บนกิ่งไม้ จับจ้องมองพวกมันบื้อๆ อยู่อย่างนั้น รออย่างยากลำบากหนึ่งชั่วยามกว่าถึงจะเจอปลาตะเพียนข้ามภูเขาสีทองอร่ามที่จงใจคลุกร่างให้เปรอะดินโคลนตัวนั้น”
หลี่เป่าผิงเบิกตากว้าง ลุกขึ้นยืนบนม้านั่ง จากนั้นก็นั่งยองลง ราวกับว่าหากทำอย่างนี้จะสามารถขยับระยะทางให้ใกล้กับอาจารย์อาน้อยของนางและปลาตะเพียนข้ามภูเขาตัวนั้นได้อีกนิด
ชุยฉานส่ายหน้า “พอลงจากต้นไม้ เขาก็ล้มลุกคลุกคลานไปตลอดทาง กว่าจะจับปลาตะเพียนหายากตัวนั้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เดิมทีคิดจะรีบส่งมาให้เจ้าทันที แต่ปลาตะเพียนข้ามภูเขาพ้นจากน้ำได้นานสุดแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น ต่อให้เป็นตัวที่จับมาได้ก็ยังทนได้แค่เดือนกว่าๆ หากบอกกับคนที่จุดพักม้าไปตามตรง ขอให้พวกเขาเลี้ยงดูมันโดยคอยปล่อยมันลงน้ำทุกๆ สามวันห้าวัน เฉินผิงอันก็ไม่วางใจ กลัวว่าพวกเขาจะเห็นของมีค่าแล้วเกิดใจละโมบ กังวลว่าส่งกันไปส่งกันมาจะหายทั้งของหายทั้งคน ทำให้เจ้าดีใจไปเปล่าๆ เขาเลยบอกว่าเมื่อไปถึงบ้านเกิดแล้วจะไปเยี่ยมหาพี่ชายใหญ่ของเจ้า บอกให้เขารู้ว่าเจ้าสบายดี และเอาปลาตัวนั้นไปให้หลี่ซีเซิ่งเลี้ยงให้ก่อน”
ดวงตาสองข้างของหลี่เป่าผิงเปล่งปราย ไหนเลยจะยังมีสีหน้าเซื่องซึมเหงาหงอยอยู่อีก พริบตาเดียวก็กลายมาเป็นแม่นางน้อยที่แบกหีบหนังสือทัศนาจรไกล ออกมาเผชิญโลกกว้างเป็นครั้งแรกอีกครั้ง
ชุยฉานถอนหายใจ “เป่าผิงน้อย อาจารย์ของข้าดีต่อเจ้าจริงๆ ไม่ว่ามีของดีอะไรก็ล้วนนึกถึงเจ้า หึ ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ด้วยนิสัยตระหนี่ขี้เหนียวขนาดตุ๋นเนื้อนึ่งปลาก็ยังไม่ยอมใส่เกลือเยอะของอาจารย์ พอมาเจอพวกเจ้า ทำไมถึงไม่เห็นของล้ำค่าที่แท้จริงเป็นของล้ำค่า? เขาก็ไม่ใช่คนโง่นี่นา”
ดีนักนะ
คราวนี้ใบหน้าเล็กๆ ของแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงยับยุ่ง มุมปากเบะลงด้านล่าง ท่าทางเหมือนจะร้องไห้
ชุยฉานรีบร้อนอธิบาย “ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง ปลาตะเพียนข้ามภูเขาไม่สามารถส่งผ่านจุดพักม้ามายังสำนักศึกษาได้ แต่จดหมายส่งมาได้ ตอนอยู่จุดพักม้าริมชายแดนต้าสุย เฉินผิงอันได้เขียนจดหมายมาให้พวกเจ้าทุกคน คาดว่าอีกสักสิบวันครึ่งเดือนก็น่าจะมาถึงที่นี่ ถึงเวลานั้นจะร้องไห้หรือหัวเราะ บรรพบุรุษน้อยอย่างพวกเจ้าก็เชิญเลือกได้ตามสบาย”
สุดท้ายชุยฉานกล่าวด้วยความจนใจว่า “เฉินผิงอันยังบอกด้วยว่า ชุยฉานลูกศิษย์ของข้านั้นคือคนชั่วช้า อย่าเชื่อใจเขาเด็ดขาด แต่หากเจอเรื่องอะไรก็มาขอให้เขาช่วยได้”
พอเขาเอ่ยประโยคนี้จบ หลี่เป่าผิงสามคนกลับเชื่อเกินครึ่ง ต่อให้เป็นอวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยก็ยังเชื่อใจเขาถึงสี่ห้าส่วน
หลี่ไหวไปพักที่หอพักของหลินโส่วอี หลี่เป่าผิงกลับห้องพักตัวเอง คนทั้งสองแยกกันกลางทาง
หลังจากคนทั้งสามแยกตัวออกไป ชุยฉานรออยู่ชั่วครู่ แล้วดื่มชาไปอีกถ้วย ถึงได้พาเซี่ยเซี่ยออกไปจากที่พักของอวี๋ลู่
หัวใจของเด็กสาวบีบรัดตัวแน่น เดินตามไปด้านหลังเด็กหนุ่มชุดขาวด้วยความระมัดระวัง ตอนนี้นางตึงเครียดยิ่งกว่าตอนที่เผชิญหน้ากับ “เมล็ดพันธ์แม่ทัพของต้าสุยที่บิดาตายไปแล้ว” ผู้นั้นนับหมื่นเท่า
ไม่มีเด็กๆ อย่างพวกหลี่เป่าผิงสามคนอยู่ด้วย ชุยฉานสีหน้าไร้อารมณ์ ถามเสียงเย็นโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามอง “ทำไมตอนที่เผชิญหน้ากับหลี่ฉางอิงถึงไม่ลงมือ? ไม่กล้าหรือว่าตัดใจไม่ลง?”
เซี่ยเซี่ยตอบตามความจริง “เรียนคุณชาย ทั้งสองอย่าง”
ชุยฉานหยุดเดิน หันมาตบบ้องหูเด็กสาวอย่างแรงหนึ่งครั้ง “ตลอดทางที่เดินทางมาดีแต่กินแต่ดื่ม ถึงท้ายที่สุดกลับลงมืออัดลูกแม่ทัพที่พ่อตายไปแล้วอย่างนั้นหรือ? เจ้าช่างมีฝีมือนัก! หากเจ้าเก่งกาจขนาดนี้ทำไมไม่ขึ้นฟ้าไปเสียเลยล่ะ?”
เด็กสาวที่ใบหน้าบวมเป่งปลุกความกล้าประสานสายตากับชุยฉาน “ในเมื่อรู้ว่าทุ่มเทสุดชีวิตก็ยังเอาชนะไม่ได้ ข้าจะต้องทำไปทำไม! คุณชาย ท่านช่วยบอกข้าหน่อยสิ!”
ชุยฉานตบฉาดไปอีกหนึ่งที “เพราะชีวิตของเจ้าไม่มีค่า ยังเทียบกับนิ้วมือสักนิ้วของหลี่ไหวไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ในสายตาของข้า เจ้าไม่มีค่าแม้แต่อีแปะเดียว!”
ความเศร้าอาดูรลุกลามไปทั่วหัวใจของเด็กสาว นางกัดริมฝีปากจนเลือดซึม
ชุยฉานยกมือขึ้นทำท่าจะตี เด็กสาวกลัวเขาอย่างถึงที่สุด ไม่กล้าขยับหนี ได้แต่หันหน้าไปทางอื่น
ชุยฉานยกยิ้ม ก่อนจะดึงมือกลับมา สุดท้ายถึงขนาดยื่นมือไปตบซีกแก้มของเด็กสาวเบาๆ อย่างอ่อนโยน “กลัวข้าขนาดนี้เชียว นับเป็นเรื่องดี ข้ายังนึกว่าไม่เจอกันพักหนึ่ง โสเภณีน้อยไร้ยางอายอย่างเจ้าจะปีกกล้าขาแข็งอีกหลายส่วน คุณชายอย่างข้าทั้งผิดหวังทั้งปลื้มใจ”
สีหน้าเด็กสาวทึ่มทื่อ
ชุยฉานหมุนตัวกลับแล้วเดินหน้าต่ออีกครั้ง จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าสามารถช่วยเอาตะปูขังมังกรที่ตรอกตรึงอยู่ในจิตวิญญาณของเจ้าออกมาได้ครึ่งหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นอีกไม่นานเจ้าก็จะกลับไปเป็นขอบเขตถ้ำสถิตอีกครั้ง”
เซี่ยเซี่ยถามเสียงเบา “ทำไมล่ะ?”
ชุยฉานไม่ได้หันกลับมา แต่ตวัดเท้าถีบมาด้านหลังอย่างไม่มีลางบอกเหตุ ฝ่าเท้ากระแทกเข้าที่หน้าท้องของเด็กสาว เด็กสาวที่ไม่ทันตั้งตัวเกือบจะผงะหงายหลัง ความเจ็บปวดทรมานแผ่ซ่านไปทั่วอณูกายจนแทบทนไม่ไหว
ชุยฉานกล่าวด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “เพิ่งจะเข้าใจเหตุผลข้อหนึ่ง เรียนรู้มาจากเฉินผิงอัน เขาน่ะในมือกำเหรียญทองแดงไว้เหรียญหนึ่ง แต่ใจปรารถนาว่ามันจะใช้จ่ายได้เท่ากับเหรียญเงินหนึ่งตำลึง ในเมื่อเจ้าเป็นเหรียญเงินหนึ่งตำลึง แล้วทำไมข้าต้องเห็นเจ้าเป็นเงินเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งด้วยเล่า?”
กรอบตาของเด็กสาวเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาใสแวววาว
เหรียญทองแดง เหรียญเงิน
วิธีการพูดที่หยาบคายตรงไปตรงมา อีกทั้งชีวิตของทุกคนในครอบครัวกลับมีค่าแค่เงินหนึ่งเหรียญทองแดง เงินหนึ่งตำลึงเงินเท่านั้น
ผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนที่มีชื่อเสียงเกียรติยศในราชสำนักคนใดบ้างที่ไม่ได้ใช้จ่ายเงินทองโดยมีหน่วยเป็นภูเขากี่ลูกๆ เพื่อให้ขอบเขตไต่ทะยานขึ้นสูง?
ชุยฉานเดินพลางลูบคลำปลายคาง จมสู่ภวังค์ของการครุ่นคิด พอคืนสติก็หันมาส่งยิ้มกว้างขวาง “อยากฉีกหนังหน้าผืนนั้น เผยกายต่อผู้คนด้วยโฉมหน้าที่แท้จริงหรือไม่? วันนี้คุณชายอารมณ์ดี อยากจะแสดงความเมตตา วันหน้าชื่อของเจ้าก็เปลี่ยนกลับมาเป็นเซี่ยหลิงเยว่แล้วกัน เป็นไง ซาบซึ้งใจในตัวคุณชายจนน้ำหูน้ำตาไหลพรากเลยหรือไม่?”
เด็กสาวที่โดนตีก็ไม่เอาคืน โดนด่าก็ไม่ด่ากลับไม่รู้ว่าเอาความกล้ามาจากไหนถึงแผดเสียงแหลมดังกลับคืน “ไม่นะ!”
ชุยฉานหยุดเท้า หันตัวกลับมามองเด็กสาวที่อกสั่นขวัญหายผู้นั้นแล้วจุ๊ปากเป็นทอด “ยังลำบากใจด้วยหรือนี่”
เด็กสาวนั่งคุกเข่าลงบนพื้น ใบหน้านองไปด้วยน้ำตา ร้องสะอึกสะอื้นเสียงขาดๆ หายๆ “คุณชายโปรดอย่าทำเช่นนี้…ข้ายินดีเป็นเซี่ยเซี่ยที่ธรรมดาต่อไป…โปรดอย่าฉีกหนังหน้าผืนนี้ทิ้ง ข้าขอร้องคุณชาย…”
ชุยฉานยื่นนิ้วมือออกมาสองนิ้ว “สองเลือกหนึ่ง ฉีกหนังหน้าผืนนี้ หรือเปิดเผยตัวตนเซี่ยหลิงเยว่ของเจ้า เจ้าเลือกเอาเอง เร็วเข้า ระวังข้าจะไม่เหลือแม้แต่ทางเลือกให้เจ้า”
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นช้าๆ บัดนี้ดวงตาที่เศร้าโศกประหนึ่งดวงตากวางน้อยที่ใกล้ตายตัวหนึ่ง นางพูดเสียงสั่น “ข้าเลือกเปลี่ยนชื่อ”
ชุยฉานส่ายหน้า “เห็นไหมล่ะ บอกว่าเจ้าคือโสเภณีน้อยแล้วยังไม่ยอมรับ บ้านเมืองสำนักอะไรล้วนเทียบกับหน้าตาของตัวเองไม่ได้ เอาเถอะ อีกไม่นานเจ้าก็จะเป็นเซี่ยหลิงเยว่จากตระกูลเซียนอันดับหนึ่งของราชวงศ์สกุลหลู เซี่ยเซี่ย รีบขอบคุณคุณชายของเจ้าสิ”
เด็กสาวกล่าวขมขื่น “ขอบคุณคุณชาย”
ชุยฉานเดินเร็วๆ ไปด้านหน้า ยกเท้าถีบจนเด็กสาวล้มเค้เก้ลงไปบนพื้น พูดเสียงเดือดดาล “เจ้าต้องพูดว่าเซี่ยเซี่ยขอบคุณคุณชาย!” (ประโยคภาษาจีนจะเล่นคำโดยพูดว่า เซี่ยเซี่ย เซี่ยเซี่ยกงจื่อ)
เด็กสาวนอนหมอบอยู่บนพื้น ไหล่บางสั่นสะท้าน “เซี่ยเซี่ยขอบคุณคุณชาย”
ชุยฉานกลอกตามองบนใส่ “น่ารำคาญ กลับไปเองเลย”
เขาย้อนกลับไปทางเดิม เดินกลับไปยังหอพักของอวี๋ลู่เพียงลำพัง ทิ้งเด็กสาวที่ร่ำไห้ปริ่มจะขาดใจไว้ตรงนั้นคนเดียว
แต่ก่อนจะจากไป ชุยฉานยังทิ้งประโยคประหลาดประโยคหนึ่งเอาไว้ น่าเสียดายที่เด็กสาวฟังอะไรไม่เข้าหูแล้ว “เปลี่ยนชื่อก็เท่ากับเปลี่ยนชะตาชีวิต หลังจากนี้เซี่ยหลิงเยว่จะต้องโชคดีตลอดเส้นทาง หากไม่เชื่อก็รอดูไปแล้วกัน ฮ่าๆ มาเจอกับคุณชายที่ชอบแจกจ่ายสมบัติอย่างข้า ช่างเป็นโชควาสนาที่เจ้าสั่งสมมาสิบชาติจริงๆ”
เด็กสาวนั่งเหม่อลอยอยู่ที่เดิม ถึงขนาดลืมเช็ดน้ำตาด้วยซ้ำ
สายลมยามค่ำคืนของฤดูหนาวเย็นเฉียบจับใจ
สายลมก่อตัวบนยอดหญ้า เพียงแต่ไม่ว่าจะพัดไปพัดมาผ่านร่างเด็กสาวอย่างไร นางก็รู้สึกแค่เพียงความอาลัยตายอยาก
—–
บทที่ 167.3 ข้ามีสมบัติอาคมเยอะนะ
โดย
ProjectZyphon
รอจนชุยฉานกลับมาถึงหอพัก อวี๋ลู่ก็ลุกมานั่งที่ข้างโต๊ะแล้ว สีหน้าของเขาแดงปลั่งสดใส พอเห็นชุยฉานก็ยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน “ขอองค์ชายโปรดอภัย”
ชุยฉานกล่าว “นั่งลงเถอะ เห็นแก่ที่เจ้าฉลาดกว่าเซี่ยเซี่ยมาก อืม พรสวรรค์ก็ดีกว่าเล็กน้อย ข้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าแล้วกัน”
อวี๋ลู่นั่งลงแต่โดยดี ยังรินน้ำชาให้ชุยฉานหนึ่งถ้วย การกระทำของเขาเป็นธรรมชาติ ไม่มีท่าทางของคนเจ็บหนักต้องนอนรักษาตัวอยู่บนเตียงเลย
ชุยฉานรับถ้วยชามาแล้วถาม “ไหนลองว่ามาสิ ทำไมถึงลงมือปิดท้าย”
อวี๋ลู่นั่งอยู่ตรงนั้น สอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อคล้ายต้องการหาความอบอุ่น แล้วก็เพราะว่าด้วยตนร่างสูงใหญ่ ทว่าเด็กหนุ่มชุดขาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเตี้ยกว่าตนเยอะมาก ดังนั้นเขาจึงต้องห่อไหล่ให้ดูร่างเล็กน้อย เขาเอ่ยเนิบช้า “เหตุผลอันดับแรก แน่นอนว่าเดิมทีเพราะรู้สึกว่าไม่มีความหวังในการมีชีวิตอยู่ แต่การเดินทางมาขอศึกษาครั้งนี้ จู่ๆ กลับรู้สึกว่ามีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจอย่างมาก พอเกิดอารมณ์หุนหันก็เลยทำ”
“ข้อสอง เป็นเพราะหินบนภูเขาก้อนอื่นสามารถเอามาขัดเกลาเป็นหยกได้ ตลอดทางมานี้รู้สึกไม่ยินยอมพร้อมใจอยู่บ้าง มักจะรู้สึกว่าเมื่อเรียนรู้แล้วก็ต้องนำไปใช้ แต่ขอบเขตของเฉินผิงอันต่ำเกินไป มาดของคุณชายใหญ่เกินไป พวกภูตผีปีศาจก็ถูกหลินโส่วอีจัดการจนเรียบไปหมดแล้ว ทว่าวิธีการของเขายังไม่น่าตื่นตาตื่นใจมากพอ จะทำอย่างไรดี? พอดีกับที่สามารถอาศัยโอกาสนี้ใช้ผู้ฝึกกระบี่ของต้าสุยคนนั้นมาเป็นหินลับมีดที่ช่วยให้วิถีวรยุทธ์ของตนเองก้าวหน้าไปอีกขั้น จะอย่างไรซะมีชีวิตอยู่ก็น่าเบื่อ ขึ้นไปดูทัศนียภาพจากจุดที่สูงกว่าเดิมก็ไม่ทำให้เนื้อบนร่างหายไปสักหน่อย”
ชุยฉานกล่าวยิ้มๆ “ควรใช้คำว่าหินรองพื้นจะถูกต้องมากกว่า”
อวี๋ลู่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “คุณชายกล่าวได้ถูกต้อง”
ชุยฉาน “พูดต่อสิ”
อวี๋ลู่หยุดคิดเล็กน้อย
ชุยฉานจึงถามยิ้มๆ “ไม่อย่างนั้นให้ข้าช่วยพูดแทนเจ้าดีไหม?”
อวี๋ลู่ยิ้มเจื่อน “ขอแค่ข้าไม่ตาย วันหน้าเฉินผิงอันก็จะรู้สึกว่าติดค้างข้าหนึ่งครั้ง”
อวี๋ลู่ตื่นเต้นเล็กน้อย ไม่กล้าเพ้อฝันว่าตนจะสามารถตบตาอีกฝ่ายได้ ได้แต่แข็งใจกล่าวต่อว่า “ก่อนหน้านี้คุณชายเคยบอกว่านิสัยของข้ากับเซี่ยเซี่ยห่างจากเฉินผิงอันหนึ่งแสนแปดพันลี้ ดังนั้นชาตินี้จึงไม่มีทางเป็นเพื่อนกับเฉินผิงอันได้ ข้ารู้ว่าที่ท่านพูดมานั้นถูกเกินครึ่ง แต่ลึกๆ ในใจก็ไม่ค่อยจะเชื่อนัก ต่อให้ตอนนี้คุณชายจะยืนอยู่ตรงหน้าข้า ข้าก็ยังขอยืนยันด้วยคำพูดที่อาจฟังดูไม่เคารพนั้นว่า ข้าต้องลองดู หากสามารถพิสูจน์ได้ว่าคุณชายเป็นฝ่ายผิดย่อมดีที่สุด”
อวี๋ลู่ลุกขึ้นยืน พูดอย่างคนยอมรับชะตากรรม “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณชายที่จากไปแล้วจะย้อนกลับมา คุณชายโปรดลงโทษ”
ชุยฉานยื่นมือทำท่ากดลงด้านล่าง “ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว ทำได้งดงามยิ่งนัก ข้ามีข้ารับใช้แบบเจ้า ดีใจยังแทบไม่ทัน จะลงโทษได้อย่างไร”
อวี๋ลู่นั่งลงอย่างสง่างาม
นี่น่าจะเป็นข้อที่แตกต่างที่สุดระหว่างเขากับเซี่ยเซี่ย
เด็กสาวคนนั้นก็ฉลาดเหมือนกัน เพียงแต่หลายสิ่งที่นางต้องการล้วนเป็นสิ่งที่ไม่อาจช่วงชิงมาครอบครองได้ชั่วชีวิต หันกลับมามองเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้นี้ ไม่ว่าอะไรก็ล้วนวางลงได้ หยิบสิ่งใดขึ้นมา สิ่งนั้นก็ไม่หนักหนาเกินไป อีกทั้งยังไม่เคยเกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่ของชุยฉาน ดังนั้นจึงมีชีวิตที่ผ่อนคลายมากกว่า
ชุยฉานราชครูต้าหลีได้รับการยอมรับจากผู้คนว่ามีวิชาหมากล้อมเลิศล้ำถึงขีดสุด
ตลอดเวลายาวนานที่อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยได้อยู่กับเด็กหนุ่มชุดขาวมา อันที่จริงแล้วแทบไม่มีช่วงเวลาไหนที่ไม่ได้เล่นหมากล้อมด้วยกัน เวลาเล่นหมากล้อมเซี่ยเซี่ยจริงจังเกินไป กลับทำให้ชุยฉานรู้สึกว่าอีกฝ่ายโง่เง่าไร้ปัญหา แม้แต่จะชายตามองยังคร้านจะทำ
ส่วนอวี๋ลู่นั้นที่แค่กระตุ้นสติปัญญาของเขาในจุดเล็กน้อยที่ไม่มีความสำคัญใดๆ เล่นหมากล้อมรูปแบบเล็กที่ชุยฉานเล่นรู้สึกเบื่อหน่ายมานานอยู่หลายครั้ง กลับพอจะทำให้ชุยฉานพยักหน้ารับด้วยรู้สึกว่าไม่เลวอยู่ได้บ้าง
ภาระในใจของเซี่ยเซี่ยหนักอึ้งเกินไป มองอนาคตไกลเกินไป ทว่าแท้จริงแล้วนางกลับยืนยัดยึดมั่นอย่างน่าเลื่อมใส แต่การที่นางเพิ่งจะหนีพ้นเงื้อมมือของเหนียงเนียงต้าหลีมาได้ แล้วดันกลายมาเป็นหุ่นเชิดของชุยฉานกลับเป็นความโชคร้ายอย่างใหญ่หลวงของนาง
ส่วนอวี๋ลู่นั้นกลับมองจิตใจของคนอันเป็นส่วนละเอียดอ่อนที่อยู่ใกล้ตัวได้ชัดเจนที่สุด สิ่งที่เขาต้องการนั้นมีไม่มาก จึงมีชีวิตที่ผ่อนคลายมากกว่า
“ใบไม้ร่วงสีทอง” ลักษณะคล้ายรวงข้าวสาลีบินออกมาจากชายแขนเสื้อของชุยฉาน แล้วบินล้อมรอบตะเกียงไฟอย่างรวดเร็ว
อวี๋ลู่ถามยิ้มๆ โดยที่สีหน้ายังไม่เปลี่ยน “คุณชายเดินเข้ามาในสำนักศึกษาทั้งอย่างนี้ ไม่กลัวว่าตัวตนจะเปิดเผยหรือ?”
ชุยฉานจ้องมองกระบี่บินเล่มนั้นอย่างตั้งใจพลางเอ่ยเสียงเบา “ใช้การฆ่าหยุดการฆ่า ใช้ความชั่วร้ายสยบความชั่วร้าย เจ้าคงรู้กระมัง?”
อวี๋ลู่พยักหน้ารับ
ดวงตาของชุยฉานจ้องนิ่งไปยังวงโคจรสีทองที่กระบี่บินสร้างขึ้น เนื่องจากเส้นแสงเหล่านั้นพุ่งบินเร็วเกินไป ความเร็วในการสลายหายไปของปราณกระบี่จึงอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับความเร็วในการก่อเกิดได้ พวกมันรัดพันเข้าด้วยกัน สุดท้ายกลายเป็นลูกกลมสีทองลูกหนึ่ง ตำแหน่งตรงกลางสุดก็คือตะเกียงดวงนั้น
ชุยฉานกล่าว “หลักการเดียวกัน ให้เหตุผลที่มองดูเหมือนเหลวไหลก็ต้าสุย ข้อเดียวไม่พอก็สองข้อ ขอแค่เรื่องผิดพลาดไม่ทำเกินสามครั้ง สองครั้งก็น่าจะกำลังดี”
อวี๋ลู่สองจิตสองใจ ก่อนจะยิ้มขื่น “คนแรก ควรเปลี่ยนมาเป็นข้าดีหรือไม่?”
ชุยฉานปรายตามองมาที่เขา “บุรุษควรถนอมสตรีงั้นรึ?”
อวี๋ลู่ถอนหายใจหนึ่งที แล้วไม่พูดอะไรอีก
ชุยฉานพูดยิ้มๆ “เจ้ามองเห็นได้ชัดเจน เพราะว่าอยู่ใกล้เกินไป แต่จงจำเอาไว้ว่า หนึ่งใบไม้บังตา สิ่งที่เห็นก็มีเพียงลวดลายทั้งหมดของใบไม้หนึ่งใบเท่านั้น”
ชุยฉานเงียบเสียงไป เขาหลับตาลง แล้วจึงเอ่ยประโยคหนึ่งที่อยู่เหนือจากการคาดการณ์ของอวี๋ลู่ “หากสามารถมองเห็นจุดที่ลึกที่สุดได้อย่างทะลุปรุโปร่งที่สุดก็เป็นเรื่องดีมาก ดีจนไม่อาจดีไปกว่านี้ได้อีกแล้ว ต้องรู้ว่าแท้จริงแล้วนี่ก็คือหนึ่งใน…มหามรรคาของข้า!”
ดูเหมือนว่าอวี๋ลู่จะไม่อาจทำความเข้าใจได้เลย จึงไม่คิดอะไรให้มากความอีก
ชุยฉานลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากห้องพักไปอย่างเงียบเชียบ
หลังจากที่ชุยฉานจากไปนานมากแล้ว อวี๋ลู่ถึงยื่นมือข้างหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ก้มหน้าลงมองก็เห็นว่ากลางฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ
ราชครูต้าหลีผู้นั้นเคยพูดติดตลกว่า ใต้หล้ามีสามกองกำลังใหญ่ที่ก่อตั้งลัทธิเรียกตนว่าเป็นบรรพบุรุษ รากฐานของสำนักแต่ละฝ่ายก็หนีไม่พ้นเวทคาถาที่สูงส่งยิ่ง กฎเกณฑ์ที่กว้างขวางยิ่ง หลักธรรมที่ยาวไกลยิ่ง
แล้วเรื่องที่เล็กน้อยเพียงเท่านี้เล่า?
คำกล่าวของคนในโลกที่บอกว่าใบไม้บังตา
หากมีคนที่สามารถมองใบไม้ใบนี้ได้อย่างชัดเจนและทะลุปรุโปร่งอย่างแท้จริง จะยังบังตาได้อีกหรือ?!
อวี๋ลู่พลันยกมือข้างหนึ่งขึ้น ใช้หลังมือกดลงที่ขมับอย่างแรง สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวด พึมพำเสียงแผ่ว “อย่าคิด อย่าเพิ่งคิดเรื่องพวกนี้”
……
ชุยฉานมาหยุดยืนอยู่นอกโถงเหวินเจิ้งที่ก่อนหน้านี้ต่อให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมเข้าไป แล้วก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปข้างในโดยตรง หยิบธูปมาหนึ่งก้าน แค่ก้านเดียวเท่านั้น ไม่ใช่สามก้านตามกฎ
มือหนึ่งจับก้านธูป มืออีกข้างหนึ่งบีบปลายธูป พริบตาเดียวก้านธูปก็ติดไฟ
ชุยฉานไม่ได้ไหว้ปรมาจารย์มหาปราชญ์ มองรูปภาพของฉีจิ้งชุนแวบหนึ่ง สุดท้ายย้ายสายตามองไปทางรูปภาพของซิ่วไฉเฒ่า มือสองข้างที่จับก้านธูปยกขึ้นถึงหน้าผาก พูดอยู่กับตัวเองในใจ
จากนั้นจึงลืมตาขึ้น ชุยฉานไม่มีท่าทางจริงใจเคร่งขรึมของผู้ที่จุดธูปกราบไหว้เลยสักนิด เขาปักธูปในมือลงในกระถางธูป เงยหน้าขึ้น ยิ้มตาหยีใส่รูปภาพนั้น “ตาเฒ่า แค่ขอยืมจากเจ้าหน่อยเท่านั้น อย่าขี้เหนียวนักเลยน่า ไม่มาก แค่สามขอบเขต สามขอบเขตเท่านั้น อีกทั้งยังใช้แค่ที่ภูเขาตงหัวแห่งเดียว แบบนี้คงได้แล้วกระมัง? ตอนนี้ข้ามีตบะขอบเขตห้าแล้ว นี่จึงแสดงให้เห็นว่า เมื่อได้อยู่ข้างกายของอาจารย์ที่เจ้าจัดหามาให้ ถือว่ามีประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของข้าชุยฉาน ถูกไหม? ตอนนี้ลูกศิษย์ที่ภาคภูมิใจที่สุดของลูกศิษย์ที่เจ้าภาคภูมิใจที่สุดเจอกับปัญหา ส่วนอาจารย์ข้าก็มอบหมายภาระหนักอึ้งมาให้ เจ้าไม่แสดงความเห็นเสียบ้าง คงดูไม่ดีเท่าไหร่กระมัง?”
ชุยฉานรออย่างใจเย็น ไม่มีความเคลื่อนไหว ก้านธูปที่ปักอยู่ในกระถางติดไฟแล้ว แต่ไฟนั้นกลับไม่ลามลงไปด้านล่าง
ชุยฉานด่ากราดเสียงขรม “ตาเฒ่า เจ้าจะไม่สนข้าจริงๆ งั้นรึ?! ต่อให้เอ่ยชื่อฉีจิ้งชุนก็ไม่มีประโยชน์? เจ้าแม่งเป็นอาจารย์ประสาอะไรวะ! เจ้าตะพาบเฒ่า นี่ๆๆ ได้ยินหรือไม่? ข้าด่าเจ้าอยู่นะ นายท่านผู้เฒ่าอย่างเจ้ามันไร้คุณธรรมไร้น้ำใจซะจริง…”
ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย
ชุยฉานร้อนใจอย่างหนัก สุดท้ายจึงหลับตาลงอีกครั้ง ลองพยายามหยั่งเชิงไปอีกรอบ เพียงแต่ว่าคราวนี้เพิ่มชื่อของ “เฉินผิงอัน” กับ “หลี่เป่าผิง” สองคนเข้าไปด้วย
ครู่หนึ่งต่อมาธูปก้านที่อยู่ในกระถางก็เผาไหม้จนหมดด้วยเวลาเร็วสุดขีด
คราวนี้กลับเป็นชุยฉานที่ต้องเงียบงัน
เขาตีหน้าเคร่งหมุนกายจากไป
ตอนที่ออกจากประตู นับแต่นาทีที่เท้าของเขาข้ามธรณีประตูนั้นมาก็กลายเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเก้าไปแล้ว
ขอบเขตเพิ่มสูงจากเดิมสี่ขอบเขตเต็ม ไม่ใช่แค่ขอบเขตที่แปดประตูมังกรอย่างที่ชุยฉานขอไว้ตอนแรก
แต่เป็นขอบเขตโอสถทองที่ ‘เมื่อใดใครสร้างโอสถทองสำเร็จ เมื่อนั้นผู้นั้นคือผู้อาวุโสของข้า’!
ชุยฉานหยุดเท้าอยู่ด้านนอกธรณีประตู เงยหน้ามองเหม่อไปยังท้องนภา
แต่เพียงไม่นานชุยฉานก็กลับมามีสีหน้าไม่ยี่หระสังคมดังเดิม เขาทำท่าเอานิ้วจิ้มสองตาตัวเองแล้วเดินหน้าต่อ “ในอดีตที่นับถือเจ้าเป็นอาจารย์ ถือว่าข้าชุยฉานตาบอด นับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าผู้อาวุโสชื่อว่าชุยตงซาน เป็นศิษย์ของเฉินผิงอันคนเดียวเท่านั้น!”
กลางฝ่ามือพลันเจ็บปวดแสบปร่า และความเจ็บนี้ก็ส่งตรงไปถึงจิตวิญญาณ
ทำเอาชุยฉานปวดจนร่างสะท้านเยือก จากนั้นเขาก็ออกวิ่งไปไกล จนกระทั่งวิ่งไปถึงยอดเขาถึงยอมหยุด
ชุยฉานอ้าปากหอบอากาศเย็นๆ เข้าปอดคำใหญ่ ยืนสะบัดแขนแรงๆ อยู่กับที่ ร่างชักกระตุกสั่นสะท้านไปหมด
ทำเอานักเรียนของสำนักศึกษาที่นอนไม่หลับจึงออกมาชมวิวบนยอดเขามองตาค้าง ในใจคิดว่าเจ้านี่เป็นโรคลมบ้าหมูหรือไร?
ชุยฉานแยกเขี้ยว หันไปคำรามเดือดใส่เจ้าคนที่ตาไม่มีแววผู้นั้น “ไสหัวไป ไม่อย่างนั้นข้าผู้อาวุโสจะเย่อแม่เจ้า!”
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น