อัจฉริยะสมองเพชร 1660-1661

 ตอนที่ 1660

 

สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่

แม้สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่จะมีขนาดใหญ่ แต่ในด้านของความหรูหราก็ถือว่าไม่มากนัก ยังเทียบไม่ได้กับพระราชวังในจักรวรรดิอันทรงเกียรติหลายๆแห่ง


แต่ด้วยดวงตาหยั่งรู้ จางเซวียนมองเห็นรังสีของความชอบธรรมแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ ก่อเกิดเป็นบรรยากาศที่เคร่งขรึมและศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้ผู้ที่มีกิริยาไม่เรียบร้อยก็จะถูกสะกดให้ต้องรักษากิริยาภายใต้บรรยากาศแบบนี้


“มันเรียกว่ารังสีแห่งภูมิปัญญา” หลัวลั่วชิงพูด “สภาปรมาจารย์ได้เผยแผ่คำสอนไปทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์มาหลายหมื่นปีแล้ว นำพาภูมิปัญญามาสู่มวลมนุษย์ รังสีแห่งภูมิปัญญาของโลกใบนี้จึงแผ่ซ่านอยู่ทั่วทั้งบริเวณ ด้วยสิ่งนี้ การฝ่าด่านวรยุทธที่นี่จึงเป็นไปได้ง่ายกว่าที่อื่นมาก”


“ผมเข้าใจ” จางเซวียนพยักหน้า


เขาออกจะสงสัยเล็กน้อยที่ได้ยินว่าหลัวลั่วชิงก็ ‘มองเห็น’ รังสีแห่งภูมิปัญญาเหมือนกับเขา แต่ก็เลือกที่จะไม่ซักถามต่อ เขาเดินหน้าเข้าสู่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ไปพร้อมกับเธอ


พื้นที่ก่อนถึงทางเข้าเป็นที่โล่ง มีอนุสาวรีย์สูงตระหง่านราว 100 เมตรตั้งอยู่ใจกลางพื้นที่นั้น ส่วนปลายของป้ายชื่อดูเหมือนจะพุ่งตรงขึ้นสู่หมู่เมฆ


“นี่คือ…อนุสาวรีย์แห่งความกล้าหาญของสภาปรมาจารย์ใช่ไหม?” สีหน้าของจางเซวียนเคร่งขรึมขึ้นมาทันที


ถึงเขาจะไม่เคยมาที่นี่ แต่ก็เคยอ่านหนังสือหลายเล่มที่บอกเล่าเรื่องราวของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ เขารู้ว่ามีอนุสาวรีย์แห่งความกล้าหาญตั้งอยู่ในพื้นที่โล่งบริเวณด้านนอกทางเข้า มีไว้จารึกรายชื่อของเหล่าวีรบุรุษที่ได้เสียสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์ให้พ้นจากภัยพิบัติและการคุกคามจากเผ่าพันธุ์ปีศาจ


ไม่มีเครื่องประดับใดบนอนุสาวรีย์นั้น แต่ที่พื้น มีตะกร้าดอกไม้วางอยู่ 2-3 ใบ รวมทั้งธูปอีกจำนวนหนึ่งที่ยังคงปล่อยควันโขมงลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต


มีถ้อยคำมากมายจารึกไว้บนอนุสาวรีย์นั้น ซึ่งสร้างความรู้สึกหนักอึ้งให้กับผู้พบเห็นก่อนที่จะได้เข้าถึงอนุสาวรีย์เสียอีก เป็นความรู้สึกที่มาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ ทำให้แม้แต่นักรบที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังต้องก้มศีรษะให้ด้วยความยำเกรง


“ปรมาจารย์ขงเป็นผู้เขียนรายชื่อเหล่านี้ด้วยตัวเองทั้งหมด มันคือรายชื่อของเหล่าวีรบุรุษที่ได้ต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นในครั้งนั้น” หลัวลั่วชิงอธิบายขณะเงยหน้ามองอนุสาวรีย์ด้วยแววตาที่อ่านไม่ออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ “มีผู้เสียชีวิตมากมายจากการปะทะ”


“จริงด้วย…” จางเซวียนพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “จางหลิงหย่วน เฉิงฉี่ฉวน อู๋หลิงจือ…”


มีเพียงรายชื่อ ไม่มีรายละเอียดของวีรกรรมหรือสถานภาพของพวกเขา แต่รายชื่อเหล่านี้ก็ดูเหมือนจะมีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง พวกเขาคือสัญลักษณ์ของดวงวิญญาณที่ถูกแผดเผาจากการสู้รบอย่างกล้าหาญเพื่อเรียกอิสรภาพกลับคืนมาในยุคสมัยแห่งความยากแค้น วีรกรรมของพวกเขาถูกถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น และจนถึงวันนี้ก็ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้นักรบคนอื่นๆลุกขึ้นยืนหยัดอย่างกล้าหาญเพื่อตัวเองและมวลหมู่ญาติมิตรของพวกเขา


“ถ้าไม่ใช่เพราะความกล้าหาญของคนเหล่านี้ พวกเราก็คงไม่มีสันติสุขอย่างที่เป็นอยู่ บางทีเราอาจจะยังคงตกอยู่ภายใต้การกดขี่ของเผ่าพันธุ์ปีศาจก็เป็นได้…” จางเซวียนพยักหน้า “พวกเขาควรค่ากับการได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษจริงๆ!”


คุณค่าของอนุสาวรีย์แห่งนี้ไม่ได้อยู่ที่ลายมือปรมาจารย์ขง แต่อยู่ที่จิตวิญญาณของผู้ที่ได้สละชีวิตเพื่อต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น


หลังจากเงียบงันกันไปครู่หนึ่ง ทั้งสองก็เดินผ่านทางเข้าและเข้าสู่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่


น่าประหลาดใจที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ไม่เหมือนกับสภาปรมาจารย์ที่อื่นๆหรือสมาคมวิชาชีพต่างๆ ไม่มีองครักษ์มายับยั้งพวกเขาไว้สักคน


เหมือนจะอ่านใจจางเซวียนได้ หลัวลั่วชิงอธิบายพร้อมกับยิ้มน้อยๆ “ที่นี่คือสำนักงานใหญ่ของกลุ่มอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปแห่งปรมาจารย์ ใครจะกล้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่ล่ะ เว้นเสียแต่จะอยากตายเต็มที?”


เหตุผลที่สภาปรมาจารย์สาขาอื่นๆและสมาคมวิชาชีพต่างๆต้องมีองครักษ์ก็เพราะพวกเขากลัวว่าจะมีผู้เข้ามาสร้างปัญหา แต่ต่อให้ตัวปัญหาที่ร้ายกาจที่สุดก็คงไม่กล้าหาเรื่องกับสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่แน่!


ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองกำลังพลไปกับการมีองครักษ์


“คุณพูดถูก” จางเซวียนพยักหน้า


รังสีแห่งภูมิปัญญาดูจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆขณะที่พวกเขาเดินเข้าไป ดูเหมือนจะขจัดความวิตกกังวล ความท้อแท้ และนำความใสกระจ่างมาสู่หัวใจของผู้ที่เข้ามา หลัวลั่วชิงพูดถูก ไม่เพียงแต่การฝึกฝนวรยุทธที่นี่จะได้ผลดีกว่าที่อื่นมาก โอกาสที่จะปลุกปีศาจใต้สำนึกขึ้นมาก็มีน้อยกว่าที่อื่นด้วย


เพราะสิ่งที่มาพร้อมกับความรู้ก็คือสติปัญญาและไหวพริบที่จะเอาชนะปีศาจใต้สำนึกได้


“ท่านแขกผู้มีเกียรติ ยินดีต้อนรับสู่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ หากคุณติดต่อใครไว้ ผมสามารถช่วยคุณส่งข่าวไปถึงผู้นั้นได้นะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดขณะเดินเข้ามา


เห็นตราสัญลักษณ์ที่ติดอยู่บนหน้าอกของเขา จางเซวียนถึงกับเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ


แม้ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าจะมีอายุเพียง 20 ต้นๆเท่านั้น แต่ก็เป็นปรมาจารย์ระดับ 7 ดาวแล้ว!


ไม่น่าเชื่อว่าปรมาจารย์ระดับ 7 ดาวจะมาทำหน้าที่เป็นพนักงานต้อนรับ…ช่างเป็นความหรูหรามีระดับอย่างที่เขานึกไม่ถึงเลยจริงๆ


สมกับที่เป็นสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่!


“ผมมาขอพบปรมาจารย์เหริน, เหรินชิงหยวน” จางเซวียนตอบ


ในเมื่อเขามาที่นี่เพื่อตามหามรดกตกทอดของปรมาจารย์ขง ก็คงจะสะดวกกว่าหากขอความช่วยเหลือจากรองประธานสภาปรมาจารย์


“คุณมาขอพบปรมาจารย์เหริน?” ชายหนุ่มทวนคำ


จางเซวียนมองเห็นจากส่วนลึกในแววตาของชายหนุ่มว่าเขาออกจะประหลาดใจกับคำขอนั้น แต่เขาก็ไม่แสดงอารมณ์หรือความรู้สึกใดๆออกมา ชายหนุ่มยังคงพูดต่อด้วยความสุภาพ “ไม่ทราบว่าผมควรเรียกคุณอย่างไร? กรุณาอย่าเข้าใจผิดนะ เป็นระเบียบของเราที่จะต้องรายงานตัวตนของแขกให้ท่านรองประธานสภาปรมาจารย์ทราบ”


“ผมคือจางเซวียน” จางเซวียนตอบ


“จางเซวียน? คุณคือจางเซวียนหรือ?” ทั้งๆที่รักษากิริยาอาการสุภาพมาตลอด แต่ชายหนุ่มถึงกับชะงักด้วยความตกตะลึงเมื่อได้ยินชื่อ น้ำเสียงของเขาดูจะแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย เหมือนว่าไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน


ชายหนุ่มออกจะเสียงดังไปสักหน่อย ทำให้ฝูงชนบริเวณนั้นได้ยินบทสนทนาของพวกเขา สายตาที่บ่งบอกความอยากรู้อยากเห็นหลายคู่พุ่งตรงมา


“เขาคือจางเซวียนหรือ?”


“หลังจากได้ยินวีรกรรมของเขา ผมก็คิดว่าเขาคงมีสามหัวและหกแขน แต่เขาดูธรรมดาสามัญกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก”


“ธรรมดาสามัญน่ะยังน้อยไป แม้แต่รูปลักษณ์หน้าตาของเขาก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลย เทียบกับผมไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!”


“ผมสมเพชคุณเหลือเกิน ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะตาบอดตั้งแต่อายุเท่านี้…”


…..


เสียงซุบซิบออกความเห็นดังไปทั่วบริเวณนั้น


จางเซวียนนึกไม่ถึงว่าเขาจะมีชื่อเสียงโด่งดังมาถึงสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ หน้าตาของเขาออกจะบิดเบี้ยวเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงซุบซิบดังขึ้นรอบตัว จางเซวียนสูดหายใจลึกและเพ่งความสนใจไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะประสานมือ “ผมขอรบกวนคุณด้วย”


“เอ่อ…อ้อ! ทางนี้เลย ปรมาจารย์จาง”


ชายหนุ่มรีบออกจากภวังค์และนำทางไป ขณะที่นำทางไปยังสำนักงานของปรมาจารย์เหริน ก็อดรำพึงกับตัวเองไม่ได้…ได้ยินว่าหมอนี่เป็นคนโหดเหี้ยมมาก เขาจะซ้อมเราหรือเปล่าที่เราทำตัวเสียมารยาทเมื่อครู่นี้?


เราเป็นแค่ปรมาจารย์ระดับ 7 ดาวเท่านั้นเอง ไม่มีทางสู้เขาได้แน่!


หากเขาอยากเล่นงานเราจริงๆ เราควรจะยอมให้เขาเล่นงานแต่โดยดี หรืออย่างน้อยก็ควรจะพยายามตอบโต้สักหน่อยก่อนที่จะถูกซ้อม?


โอ๊ย! ลำบากใจเหลือเกิน!


เราจะทำอะไรเพื่อลดความอับอายได้ทั้งที่ต้องวางท่าให้น่าเกรงขามแบบนี้?


จะว่าไป ก็เป็นวีรกรรมน่าทึ่งอยู่นะหากเอาตัวรอดจากการถูกจางเซวียนผู้เป็นตำนานซ้อมได้ จริงไหม? บางทีเราอาจจะเอาชนะใจสาวคนที่เรารักได้เมื่อเธอได้ยินเรื่องนี้!


ความคิดของชายหนุ่มล่องลอยไปเรื่อย


ถ้าจางเซวียนรู้ว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาคิดอะไรอยู่ คงเตะหมอนั่นกระเด็นไปแล้ว


ผมน่ะเป็นคนรักสันติ อ่อนโยน น่าเคารพ มีจิตใจเมตตากรุณา และเก็บเนื้อเก็บตัว คุณรู้ไหม? มันเรื่องอะไรที่คุณมาด่วนสรุปว่าผมเป็นคนชอบใช้ความรุนแรง พร้อมจะเตะทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าให้กระเด็นโดยปราศจากเหตุผล?


…..


ด้วยความคิดที่ล่องลอยไปของชายหนุ่ม ไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงประตูบานใหญ่


“ท่านรองประธานอยู่ด้านใน ผมจะส่งคุณที่นี่นะ จากนั้น…” เห็นจางเซวียนไม่มีทีท่าจะเล่นงานเขา นัยน์ตาของชายหนุ่มฉายความผิดหวังออกมา แต่กิริยาท่าทางของเขาก็ยังคงสุภาพเช่นเดิม


“คุณจะไม่เข้าไปรายงานการมาถึงของผมหรือ?” จางเซวียนชะงัก


“ปรมาจารย์จาง คุณเป็นทั้งหัวหน้าตระกูลจางและหัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์ สำหรับคุณน่ะ ไม่มีความจำเป็นที่ผมจะต้องรายงานการมาถึงเพื่อเข้าพบท่านรองประธานหรอก” ชายหนุ่มตอบด้วยความสุภาพ


ในแง่ของสถานภาพ จางเซวียนถือได้ว่าทัดเทียมกับปรมาจารย์เหริน จึงเป็นธรรมดาที่ตัวเขาไม่จำเป็นจะต้องเข้าไปแจ้งว่ามีผู้มาขอพบ


“ขอบคุณมากสำหรับความช่วยเหลือของคุณ” จางเซวียนบอกชายหนุ่มก่อนจะผลักประตูแล้วเดินเข้าไป


ขณะที่ก้าวเข้าไปในห้อง ก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ มีบุคคลที่เขาคุ้นเคยหลายคนอยู่ในห้องนั้น ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวจำนวนมากที่เขาเคยพบที่สมาพันธ์นานาจักรวรรดิก็อยู่ด้วย แถมยังมีผู้เชี่ยวชาญผู้โด่งดังอีกจำนวนหนึ่ง


ในเวลาเดียวกัน ฝูงชนก็หันขวับมาที่ประตู ต่างก็ชะงักเมื่อเห็นว่าผู้ที่เข้ามาเป็นใคร


“ปรมาจารย์จาง มาได้เวลาพอดี ผมกำลังจะไปขอพบคุณ!” คนแรกที่รู้สึกตัวคือปรมาจารย์เหริน เขารีบทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดนั้นด้วยการหัวเราะหึๆ “คุณสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของเวลา มิติ และจิตวิญญาณแล้ว แถมวรยุทธของคุณก็เข้าถึงระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดแล้วเช่นกัน ถึงคุณจะยังไม่บรรลุเงื่อนไขอย่างเป็นทางการสำหรับการเป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาว แต่คุณก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับตราสัญลักษณ์ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวแล้ว ในเมื่อตอนนี้ทุกคนก็อยู่กันพร้อมหน้า ทำไมเราถึงไม่จัดการทดสอบของปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวเสียตอนนี้เลยล่ะ?”


“คุณกำลังขอให้ผมเข้ารับการทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวตอนนี้หรือ?” จางเซวียนถึงกับผงะ เขาคิดไม่ถึงว่าปรมาจารย์เหรินจะหยิบยกเรื่องนี้มาพูดอย่างกะทันหัน “ผมเกรงว่าผมจะไม่ได้เตรียมตัวมา เมื่อเช้านี้ หลังจากตื่นนอน ผมยังไม่ได้แปรงฟันเลยด้วยซ้ำ คงไม่ดีนักหรอกถ้าจะให้ผมเข้ารับการทดสอบตอนนี้…”

 

 

 


ตอนที่ 1661

 

ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาว

ใช่ว่าจางเซวียนจะไม่อยากเป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาว แต่เขาไม่ได้เตรียมตัวมาจริงๆ


เหตุผลที่เขามาที่นี่ก็เพื่อค้นหากรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธขั้นสูงของปรมาจารย์ขง และยกระดับวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 ไม่คิดเลยว่าปรมาจารย์เหรินจะขอให้เขาเข้ารับการทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวทันทีที่พบหน้ากัน


ใครเจอแบบเขาก็ต้องงงทั้งนั้น


“ผมตรวจสอบอาชีพรองรับของคุณแล้ว ความเชี่ยวชาญของคุณอยู่ในระดับที่เทียบเท่ากับนักปราชญ์รุ่นเยาว์ ด้วยความสามารถและความปราดเปรื่องของคุณ ผมไม่คิดว่าคุณจะประสบปัญหาอะไรในการทดสอบ เพียงแต่คุณจะอยากเข้ารับการทดสอบเมื่อไหร่เท่านั้นเอง” ปรมาจารย์เหรินพูดยิ้มๆ


เขาได้เห็นความเก่งกาจของชายหนุ่มมาแล้วกับตา ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดความรู้ วรยุทธ หรือความสามารถในด้านอื่นๆ ล้วนแต่เรียกว่าอยู่ในขั้นสุดยอดทั้งนั้น เขาสมควรจะได้เป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาว ในมุมมองของปรมาจารย์เหริน ไม่มีเหตุผลที่จะยื้อเรื่องนี้ออกไป


อีกอย่าง คําเชิญนี้ก็ถือเป็นสัญลักษณ์ของความปรารถนาดีและความต้องการที่จะไกล่เกลี่ยเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีจากสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่


“เอ่อ…ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ไม่ทราบว่าการทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวต้องทำอย่างไรบ้าง?” จางเซวียนถาม


ในเมื่อปรมาจารย์เหรินพูดขนาดนี้ เขาก็ไม่ควรลังเลให้มากนัก


เพราะถึงอย่างไร ลงท้ายเขาก็ต้องเข้ารับการทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวอยู่ดี จึงไม่จำเป็นต้องยื้อมันออกไป


ปรมาจารย์เหรินยื่นข้อเสนอให้แล้ว เขาก็ควรทำให้สำเร็จเสร็จสิ้นไปจะดีกว่า


เพียงแต่…กระบวนการนี้ดูออกจะไม่เป็นทางการไปสักหน่อยสำหรับการทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวซึ่งถือว่าสำคัญ ทำแบบนี้เหมือนกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย!


“โดยทั่วไป การทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวจะมีเงื่อนไขว่าผู้เข้ารับการทดสอบจะต้องประกาศจุดยืนและปรัชญาในการค้นคว้าหาความรู้ของเขา และต้องพิสูจน์ให้เห็นว่ามันมีประสิทธิภาพ แต่จากข้อเท็จจริงที่คุณสามารถสั่งสอนศิษย์สายตรงอย่างหวังหยิ่ง เจิ้งหยาง จ้าวหย่าและคนอื่นๆได้ ก็เกินพอแล้วที่จะพิสูจน์ความสามารถของคุณ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้การทดสอบนั้นอีก” ปรมาจารย์เหรินอธิบาย


เหล่าปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวจะต้องมีค่านิยมและหลักการที่ตัวเองยึดถือในการสั่งสอนลูกศิษย์ แม้เขาจะยังไม่แน่ใจว่าค่านิยมและหลักการของจางเซวียนคืออะไร แต่ข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายได้สั่งสอนลูกศิษย์ให้มีความโดดเด่นมากมายหลายคน ก็เกินพอที่จะแสดงให้เห็นแล้วว่าปรัชญานั้นมีประสิทธิภาพ


“นอกเหนือจากนั้น ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของคุณจะต้องเหนือกว่า 27 และจะต้องได้รับการเสนอชื่อจากปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวอย่างน้อย 3 คน ซึ่งคุณก็บรรลุเงื่อนไขทั้งสองข้อนั้นแล้วเช่นกัน ดังนั้น การทดสอบอีกส่วนเดียวที่เหลือก็คือการทดสอบพละกำลัง”


“เพื่อไม่ให้เสียเวลา เราจะไม่ทำให้อะไรๆยุ่งยากเกินไป ปรมาจารย์หวัง, ลดระดับวรยุทธของคุณลงไปเป็นขั้นการพักฟื้นภายใน ขั้นต้น แล้วดวลกับปรมาจารย์จาง” ปรมาจารย์เหรินสั่งการ


“ขอรับ!”


ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ถูกเรียกว่าปรมาจารย์หวังเดินออกมา เขาสูดหายใจลึก พริบตาต่อมา รังสีของเขาก็อ่อนลง ระดับวรยุทธของเขาลดลงไปเป็นการพักฟื้นภายใน ขั้นต้น


วรยุทธที่แท้จริงของเขาคือการพักฟื้นภายใน ขั้นสูง ดังนั้นการลดระดับวรยุทธจึงไม่ยากนัก ปรมาจารย์หวังยิ้มให้จางเซวียนและพูดว่า “ปรมาจารย์จาง ระวังให้ดีนะ ในเมื่อนี่เป็นการทดสอบ ผมก็จะไม่ออมมือให้คุณ!”


“ผมก็ไม่หวังอะไรแบบนั้นหรอก” จางเซวียนตอบยิ้มๆ


เห็นปรมาจารย์หวังเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว จางเซวียนก็ปล่อยหมัดออกไปอย่างรวดเร็ว


เกิดเสียงคำรามลั่น ปรมาจารย์หวังตอบโต้ด้วยหมัดของเขาเช่นกัน


ตุ้บ!


พลั่ก!


อ๊ากกกกกกกกก!


ปรมาจารย์หวังกระเด็นหายลับไป


“เอ่อ…”


บรรดาปรมาจารย์ในห้องนั้นพากันตัวแข็ง


นี่คือประสิทธิภาพการต่อสู้ของนักรบระดับเซียนขั้น 9 จริงๆหรือ?


ต่อให้พวกเขาต้องเข้าโจมตี ก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถรับมือได้ดีกว่าปรมาจารย์หวัง!


“แม้ระดับวรยุทธของคุณจะยังไม่ถึงขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่การที่คุณเอาชนะปรมาจารย์หวังได้ก็บ่งบอกว่าประสิทธิภาพการต่อสู้ของคุณเทียบเท่ากับขั้นนั้นแล้ว…ปรมาจารย์หลิว ช่วยเตรียมตราสัญลักษณ์ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวให้ที นับจากวันนี้ไป ปรมาจารย์จางคือปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวคนหนึ่งเช่นกัน!” ปรมาจารย์เหรินพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้


“แค่นี้หรือ?” จางเซวียนถึงกับพูดไม่ออก


ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาแทบไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง


ถ้าไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าตอนนี้เขายืนอยู่ในสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ และคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือรองประธานสภาปรมาจารย์ เขาคงคิดว่าถูกพวกต้มตุ๋นหลอกลวงปั่นหัวเอา


เข้ามาในสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ได้เพียงครึ่งชั่วโมง เขาก็สอยชายคนหนึ่งกระเด็นไป และในชั่วพริบตา ก็ประสบความสำเร็จในการได้เป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาว…


ขนาดการทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวที่เขาเคยผ่านมายังไม่ง่ายดายขนาดนี้เลย!


ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เขาคงไม่ลำบากลำบนไต่เต้าอย่างที่ผ่านมา ก็แค่รับการทดสอบเข้ารับการทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวไปเลยและจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยภายในรวดเดียว!


“ในเมื่อคุณได้เป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวอย่างเป็นทางการแล้ว คุณก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้…” ปรมาจารย์เหรินไม่ใส่ใจสีหน้าอึ้งตะลึงของจางเซวียน เขาพูดต่ออย่างเคร่งขรึม


รู้ดีว่าเรื่องที่คนเหล่านี้กำลังจะหารือกันจะต้องเป็นความลับ หลัวลั่วชิงจึงหันมาพูดกับจางเซวียน “ฉันจะรอคุณอยู่ด้านนอกนะ”


จากนั้นเธอก็ออกไปจากห้อง


จางเซวียนรู้ว่าปรมาจารย์เหรินกับคนอื่นๆคงจะไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าฟังการประชุม เขาจึงไม่ยับยั้งเธอ


เขาหันไปส่งสายตาตั้งคำถามใส่เหรินชิงหยวนและถามว่า “เป็นการประชุมเรื่องอะไร พวกคุณถึงได้รีบร้อนกันขนาดนี้?”


ถึงตอนนี้ เขารู้แล้วว่าทำไมปรมาจารย์เหรินกับคนอื่นๆถึงกระตือรือร้นที่จะมอบตำแหน่งปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวให้ ก็เพราะเขาจะได้มีสิทธิ์เข้าร่วมการประชุมนั่นเอง


“มันเป็นเรื่องของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น…พวกมันยกกองกำลังจำนวนมากเข้ามาในทวีปแห่งปรมาจารย์แล้ว!” เหรินชิงหยวนพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว


“เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นยกกองกำลังจำนวนมากเข้าบุกรุกทวีปแห่งปรมาจารย์?” จางเซวียนถึงกับชะงัก


ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวคนหนึ่งที่จางเซวียนเคยพบมาก่อนเดินไปที่ผนังและชี้แผนที่ที่อยู่บนนั้น


มันเป็นแผนที่ของทวีปแห่งปรมาจารย์ทั้งทวีป มีจุดสีแดงมากมายถูกทำเป็นเครื่องหมายไว้


“ทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์ มีอาณาจักรใต้ดินที่เชื่อมต่อกับสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจรวมแล้วทั้งหมดก็ 108 แห่ง เมื่อครู่นี้เราจับความเคลื่อนไหวของพวกมันได้ การโจมตีนั้นกะทันหันเสียจนกองกำลังของสภาปรมาจารย์และสภายอดขุนพลที่ตรึงกำลังอยู่ไม่อาจรับมือไหว” ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวคนนั้นพูด


“อาณาจักรใต้ดิน 108 แห่ง?” จางเซวียนอึ้ง


เขารู้ว่ามีอาณาจักรใต้ดินอยู่จำนวนหนึ่งทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ไม่คิดว่าจะมีจำนวนมากขนาดนี้


ถ้าเผ่าพันธุ์ปีศาจเข้าโจมตีอาณาจักรใต้ดินทุกแห่งพร้อมๆกัน ต่อให้กองกำลังของสภาปรมาจารย์ก็คงยับยั้งพวกมันได้ยาก


“มันเกิดอะไรขึ้นกันนี่?” จางเซวียนตั้งคำถามด้วยความร้อนใจ


“ผมก็ไม่แน่ใจในรายละเอียด ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเราปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ทัน มันเริ่มจากการโจมตีอย่างลับๆในอาณาจักรใต้ดินบางแห่งเมื่อวันก่อน แต่ยังอยู่ในระดับที่เรารับมือไหว เดิมทีพวกเราตั้งใจจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับภายในสภาปรมาจารย์ แต่การบุกรุกนั้นขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ และกว่าเราจะรู้ตัว ฉนวนบางแห่งก็เริ่มถูกทำลายแล้ว และปรมาจารย์หลายคนก็ได้รับบาดเจ็บ” ปรมาจารย์เหรินพูด


“การโจมตีหนักหน่วงขนาดนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนหรือเปล่า?” จางเซวียนถาม


“มันเคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ไม่เคยเกิดกับอาณาจักรใต้ดินทั้ง 108 แห่งพร้อมกันแบบนี้” ปรมาจารย์เหรินส่ายหน้า “สภาปรมาจารย์ได้ส่งกองกำลังของปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวเกือบทั้งหมดที่เรามีออกไป แต่ก็ยังไม่เพียงพอจะขับไล่เผ่าพันธุ์ปีศาจไปได้ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป เกรงว่าฉนวนทั้งหมดจะถูกทำลายภายใน 10 วัน ทำให้เกิดการบุกรุกทวีปแห่งปรมาจารย์ครั้งใหญ่!”


“10 วัน?” จางเซวียนกำหมัดแน่น


เขาคิดไม่ถึงว่าเวลาจะกระชั้นขนาดนั้น


เป็นความจริงที่ว่าตอนนี้กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจถือไพ่เหนือกว่า แต่การโจมตีลักษณะนี้ก็จะสร้างความสูญเสียให้พวกมันมากเหมือนกัน ตอนนี้พวกมันมีเวลาเหลือเฟือ ยิ่งยื้อเวลาออกไป จำนวนนักปราชญ์โบราณที่เป็นมนุษย์ที่จะรับมือกับพวกมันได้ก็จะยิ่งมีน้อยลง


ในเมื่อพวกมันรอมาหลายหมื่นปีแล้ว แน่นอนว่ามันย่อมเต็มใจที่จะรอนานออกไปอีกหน่อยเพื่อลดความสูญเสียของตัวเอง


น่าหงุดหงิดเหลือเกินที่กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจเลือกโจมตีในเวลานี้


หรือว่า…


จางเซวียนพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขารีบตั้งคำถาม “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการปรากฏขึ้นของวิหารแห่งขงจื๊อหรือเปล่า?”


นอกเสียจากเรื่องนี้ เขาก็คิดไม่ออกว่ามีเหตุผลอะไรที่ทำให้กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจบุกโจมตีมวลมนุษย์อย่างกะทันหัน


“คลื่นรบกวนของมิติที่อยู่รอบวิหารแห่งขงจื๊อดูจะแข็งแกร่งขึ้นทุกที เป็นสัญญาณว่าวิหารแห่งขงจื๊อน่าจะปรากฏเร็วๆนี้ พวกเราได้ตรึงกำลังปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวไว้จำนวนหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้เผ่าพันธุ์ปีศาจลักลอบเข้าไป จึงมีกองกำลังไม่พอที่จะรับมือกับการโจมตีอาณาจักรใต้ดินทั้ง 108 แห่ง…ผมเชื่อว่าป่านนี้ตระกูลจางกับกลุ่มอำนาจอื่นๆคงจะรู้ข่าวเรื่องการบุกรุกแล้ว และเราอยากขอร้องพวกคุณอย่างเป็นทางการให้ช่วยเรารับมือกับกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจ!”


ปรมาจารย์เหรินมองหน้าจางเซวียนอย่างเคร่งเครียด นัยน์ตาของเขาฉายความคาดหวังขณะที่พูดต่อ “สถานการณ์ตอนนี้ไม่เป็นใจให้พวกเราเลย มนุษยชาติจะต้องรวมตัวกันเป็นหนึ่งเพื่อผ่านพ้นวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปให้ได้!”


“คือ…”


ในที่สุดจางเซวียนก็เข้าใจว่าทำไมปรมาจารย์เหรินกับคนอื่นๆถึงรีบร้อนมอบตำแหน่งปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวให้เขา


ในฐานะปรมาจารย์ระดับ 9 ดาว หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์ เขามีความรับผิดชอบที่จะต้องปกป้องมวลมนุษย์ในยามคับขัน เห็นได้ชัดว่าปรมาจารย์เหรินกับคนอื่นๆรู้ข่าวที่เขารับตำแหน่งหัวหน้าของทั้ง 3 ตระกูลชั้นนำแล้ว และต้องการดึงเขาเข้าร่วมสงครามครั้งนี้


เพราะหาก 3 ตระกูลชั้นนำ ศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็ง ห้องโถงแห่งยาพิษ…หากกลุ่มอำนาจเหล่านี้ผนึกกำลังกัน ก็จะมีกองกำลังมากพอที่จะชี้ชะตาของทวีปแห่งปรมาจารย์ทั้งทวีปได้!


แม้แต่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ก็ไม่อาจประเมินพละกำลังของพวกเขาต่ำไป ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมล่าถอยให้กลุ่มอำนาจดังกล่าวเมื่อครั้งการต่อสู้ที่เมืองหลวงแห่งสมาพันธ์นานาจักรวรรดิ


จางเซวียนพยักหน้ารับอย่างเคร่งเครียด เขาพูดต่อโดยไม่ลังเล


“เพื่อมวลมนุษย์ ไม่มีอะไรที่ผมทำไม่ได้!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)