ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 166-173
ตอนที่ 166 ไป๋เยียนเอ๋อร์
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ทำไมจะไม่ได้ เจ้าเด็กแซ่หลิ่วนั่นเป็นหนึ่งในสิบศิษย์แกนนำของนิกายปีศาจ ไม่ว่าจะด้วยพลังหรือสถานะล้วนเหมาะสมกับเยียนเอ๋อร์เป็นอย่างมาก ที่เขาไม่สนใจคุณหนูผู้ฝึกปราณของตระกูลมู่ผู้นั้น ก็เพราะว่าสถานะต่างกันมาก เรื่องนี้ถือว่าเป็นความผิดที่ให้อภัยกันได้ แต่ด้วยรูปร่างหน้าตากับสถานะศิษย์จิตวิญญาณของเยียนเอ๋อร์ ถ้ามอบกายให้เขาล่ะก็ ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าเด็กนี่จะไม่เกิดอารมณ์หวั่นไหว ที่สำคัญที่สุดก็คือ ไม่ใช่ว่าข้าเคยไปสืบหาที่มาของเขาแล้วเหรอ เขาไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับตระกูลผู้ฝึกปราณ เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มที่หนีเอาชีวิตรอดมาจากเกาะมฤตยูเท่านั้น ถ้าหากพี่ใหญ่ได้เขาเป็นเขยล่ะก็ ยังต้องกลัวว่าเขาจะไม่ช่วยตระกูลไป๋เราหรือ?” รองนายท่านตระกูลไป๋กล่าวด้วยความตื่นเต้น
หญิงชราฟังมาถึงจุดนี้ ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ก็เห็นได้ชัดว่านางก็ให้ความสนใจเช่นกัน
“ท่านแม่ น้องรอง พวกท่านอย่าลืมสิ! ตอนนั้นพวกเราเคยรับปากกับเยียนเอ๋อร์ไว้ ขอเพียงแค่นางกลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณ เรื่องการแต่งงานจะให้นางตัดสินใจเอง และไม่บังคับนางโดยเด็ดขาด” ไป๋ซิงหลิวเห็นเช่นนี้ก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“พี่ใหญ่ สภาพการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ถ้าตอนนี้พวกเราไม่สามารถโน้มน้าวเจ้าเด็กนั่นได้ ตระกูลไป๋เราก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมภายในคืนเดียว และในเมื่อกำแพงล้มคนทั้งหลายก็จะพากันมาซ้ำเติม ไม่แน่อาจทำให้ตระกูลต้องประสบเคราะห์ก็ได้ เพราะว่าการขยายอิทธิพลในก่อนหน้านั้น พวกเราไปกระทบโดนผลประโยชน์ของอิทธิพลอื่นไปมาก” รองนายท่านตระกูลไป๋กล่าวอย่างกระวนกระวาย
ไป๋ซิงหลิวได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปมา และพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง
“อืม! เจ้ารองพูดได้มีเหตุผล แต่อย่างไรซะเยียนเอ๋อร์ก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณ พวกเราไม่อาจตัดสินใจเรื่องการแต่งงานของนางได้ เอาอย่างนี้เถอะ! พวกเราลองถามนางก่อน ถ้านางไม่ขัดข้องก็เป็นเรื่องดีต่อกันทั้งสองฝ่าย พวกเราก็ไม่ต้องบังคับนางด้วย” ในที่สุดหญิงชราก็ตัดสินใจกล่าวออกมา
“ดี! ในเมื่อท่านแม่กล่าวเช่นนี้แล้ว รอเยียนเอ๋อร์กลับมาแล้วค่อยพูดเรื่องนี้กับนาง” ไป๋ซิงหลิวเห็นหญิงชรากล่าวเช่นนี้ก็ได้แต่กัดฟันพูดออกมา
เรือนอีกด้านหนึ่ง หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิเข้าฌานอยู่บนเตียงอย่างเงียบๆ ราวกับว่าไม่กังวลกับเรื่องในวันพรุ่งนี้เลยแม้แต่น้อย
……
เช้าวันที่สอง หลิ่วหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงพลันค่อยๆ ขยับตัว และลืมตาทั้งสองขึ้นมา เขามองไปบนหลังคาอย่างเฉยชาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็หลับตาต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน
ในขณะเดียวกัน เหนือจวนตระกูลไป๋ขึ้นไปร้อยกว่าจั้ง ชายหญิงคู่หนึ่งต่างก็เหยียบเมฆเทาคนละก้อน และยืนเคียงบ่ากัน พวกเขาจ้องลงมาตรงเรือนที่หลิ่วหมิงอยู่
“ปกติตระกูลไป๋ทั้งตระกูลมีกลิ่นไอศิษย์จิตวิญญาณเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ดูท่าน้องชายเจ้าคงจะกลับจวนแล้ว” ชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมยาวสีน้ำเงิน ใบหน้าหล่อเหลาหันมากล่าวกับหญิงร่างอรชรสวมหมวกคลุมยาวสีเขียวที่อยู่ด้านข้างด้วยรอยยิ้ม
“อืม! หลายวันก่อนที่ข้าจะไปจากจวน เรือนหลังนี้ยังคงว่างเปล่า ดูท่าชงเทียนคงจะอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน ถ้ามีเวลาล่ะก็ข้าจะแนะนำน้องชายของข้าให้เจ้ารู้จักภายในสองวันนี้” หญิงสาวสวมหมวกคลุมยาวสีเขียวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะ
“ดี! ถึงแม้ข้ามาครั้งนี้เพราะอยากเจอหน้าเจ้า แต่ขณะเดียวกันก็อยากเห็นหน้าว่าที่น้องเขยคนนี้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ตั้งแต่ที่น้องสาวข้าถูกขังอยู่ในจวน นางก็ไม่เคยพูดถึงน้องชายเจ้าในทางที่ดีเลย แต่ในจดหมายของน้าสาวกลับกล่าวชื่นชมน้องชายเจ้าเป็นอย่างมาก ในเมื่อเขากลายเป็นหนึ่งในสิบศิษย์แกนนำของนิกายปีศาจได้ คิดว่าคงมีดีกว่าคนอื่นๆ มาก” ชายชุดคลุมสีน้ำเงินกลับหัวเราะและกล่าวออกมา
“พูดถึงเรื่องนี้ ข้าต้องขอบคุณพี่มู่มาก ถ้าไม่ใช่ว่าพี่มู่หลิงแจ้งข่าวให้น้องได้ทันเวลา ตระกูลไป๋คงไม่รู้ข่าวที่น้องชายกลายเป็นหนึ่งในสิบศิษย์แกนนำของนิกายปีศาจ ยิ่งไม่กว่านั้นคงไม่อาจขยายอิทธิพลของตระกูลไป๋ได้ทันเวลา” หญิงสวมหมวกคลุมยาวตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม
ชายชุดคลุมน้ำเงินคือผู้ส่งสาส์นของตระกูลมู่นั่นเอง เขาก็คือศิษย์จิตวิญญาณของหุบเขาเก้าช่อง และฟังจากคำพูดแล้วเขายังเป็นพี่ชายของมู่หมิงจูอีกด้วย
แน่นอนว่าหญิงสาวสวมหมวกคลุมยาวก็คือไป๋เยียนเอ๋อร์ที่เป็นศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ผู้นั้น
“เฮ่อๆ! ตระกูลผู้ฝึกปราณอย่างพวกเรา เป็นการยากที่จะรู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในนิกายบ้าง เป็นเรื่องปกติที่ต้องรอหลายเดือนหรือครึ่งปีถึงจะทราบเรื่องราวที่แท้จริง ที่ตระกูลมู่ทราบเรื่องราวทางนั้นได้ ก็เป็นเพราะว่าน้าสาวของข้าใช้วิธีการพิเศษในการส่งข่าวสาร แต่ถึงข้าไม่พูดน้องชายเจ้าก็คงส่งข่าวกลับมาตระกูลไป๋อยู่แล้ว ข้าเพียงแค่ช่วยเสริมส่งเล็กน้อยเท่านั้น อีกอย่างน้องสาวข้าก็กำลังจะแต่งงานกับน้องชายเจ้า พอถึงเวลานั้นตระกูลไป๋กับตระกูลมู่ก็ไม่ต้องแบ่งฝักแบ่งฝ่ายแล้ว” มู่หลิงหัวเราะและกล่าวออกมา
“น้องเองก็หวังว่าพวกเราทั้งสองตระกูลจะสานสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น เช่นนี้แล้วไม่ว่าตระกูลไหนอยากจะจัดการพวกเรา มันก็ต้องมีหวาดกลัวกันบ้างล่ะ! ครั้งนี้มีเวลาไม่มากพอน้องเลยไม่ได้พาท่านเที่ยวชมนอกเมืองหลูสุ่ย ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสน้องจะพาท่านเที่ยวเล่นให้หนำใจไปเลย ตอนนี้พวกเราลงไปกันเถอะ! น้องได้เตรียมที่พักไว้ให้พี่มู่หลิงแล้ว ช่วงสองวันนี้พวกเราต้องหารือเรื่องความร่วมมือกันระหว่างสองตระกูลอย่างละเอียด” ไป๋เยียนเอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อย แล้วก็ค่อยๆ ร่อนลงไปยังจวนสกุลไป๋ที่อยู่ด้านล่างก่อน
ชายหนุ่มชุดคลุมน้ำเงินมองตามหลังของไป๋เยียนเอ๋อร์ด้วยความหลงไหล จากนั้นก็ร่อนตามลงมา
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป ไป๋เยียนเอ๋อร์ก็มาปรากฏตัวในห้องรับแขกของตระกูลไป๋ ซึ่งนายท่านตระกูลไป๋ รองนายท่าน และผู้อาวุโสต่างก็นั่งอยู่บนเก้าอี้แล้ว และกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่
“เยียนเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็กลับมา พ่อคิดว่าเจ้าจะมาสายกว่านี้ซะอีก” พอไป๋ซิงหลิวเห็นลูกสาวก็กล่าวด้วยความดีใจ
“เยียนเอ๋อร์คารวะท่านย่า ท่านพ่อ ท่านอารอง!” ไป๋เยียนเอ๋อร์คาระวะทั้งสามเสร็จแล้วถึงได้ถอดหมวกคลุมออกมา
หญิงสาวนางนี้มีอายุยี่สิบกว่าปี ผิวละเอียดอ่อน ใบหน้าสวยราวกับดอกท้อ ดวงตาสดใสดูมีชีวิตชีวา ระหว่างคิ้วของนางดูสวยงามอย่างบอกไม่ถูก รูปร่างหน้าตางดงามจนยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบเปรยได้
“รีบลุกขึ้นมาเถอะ! ครั้งนี้ต้องลำบากเจ้าแล้ว ใช่สิ! ผู้ส่งสาส์นตระกูลมู่ได้กลับมาพร้อมกับเจ้าด้วยหรือไม่?” ประจักษ์ชัดว่าหญิงชรารักและเอ็นดูไป๋เยียนเอ๋อร์เป็นอย่างมาก นางโบกมือให้ไป๋เยียนเอ๋อร์ลุกขึ้นแล้วถึงกล่าวอย่างระมัดระวัง
“ท่านย่าวางใจเถอะ! ข้าได้จัดที่พักให้เขาเรียบร้อยแล้ว อีกอย่างพวกเราก็เดินทางมาทั้งคืน คาดว่าตอนนี้เขาคงตอนหลับไปแล้ว” ไปเยียนเอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เช่นนี้ก็ดี ตราบใดที่พวกเรายังไม่ได้พูดคุยกับเจ้าเด็กนั่น จะยอมให้ทั้งสองเจอหน้ากันไม่ได้เป็นอันขาด” หญิงชราได้ยินก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“แต่พวกเราก็มีเวลาไม่มากนัก จะต้องดึงเขามาเป็นพวกภายในระยะเวลาสั้นๆ ให้ได้ อย่างน้อยก็ห้ามให้เขาเปิดโปงสถานะแท้จริงในตอนนี้เด็ดขาด มิเช่นนั้นตระกูลไป๋เราคงเกิดเรื่องยุ่งยากเข้าจริงๆ แต่ทำไมเจ้าเด็กแซ่หลิ่วถึงได้มาแบบกะทันหันเช่นนี้ ปกติสิบศิษย์แกนนำคนใหม่จะต้องใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่ได้รับและเก็บตัวหลายเดือนก่อนไม่ใช่หรือ?” รองนายท่านตระกูลไป๋กล่าวอย่างกังวล
“ตามหลักแล้วมันก็เป็นเช่นนั้น เพราะพวกเขาต้องเตรียมตัวสำหรับทดสอบความเป็นความตายในหนึ่งปีให้หลัง นอกเสียจากว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นในนิกายปีศาจโดยที่พวกเราไม่รู้” ไป๋เยียนเอ๋อร์กล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น มันจะมีผลต่อแผนการเราไหม?” นายท่านตระกูลไป๋สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนไป
“เรื่องนี้ก็พูดยาก เพราะข่าวที่พวกเราได้รับในครั้งก่อนนั้น เป็นเรื่องที่คนผู้นี้กลายเป็นหนึ่งในสิบศิษย์แกนนำของนิกายปีศาจ อีกอย่างยังเป็นฝั่งตระกูลมู่ที่ส่งข่าวนี้มาให้ แต่ท่านพ่อไม่ต้องกังวล พวกเราได้รับบทเรียนจากครั้งก่อน ครั้งนี้จึงได้วางคนของพวกเราไว้บริเวณนิกายปีศาจแล้ว พอพวกเขาสืบข่าวอะไรมาได้ก็จะใช้วิหคส่งข่าวมาทันที ตอนนี้สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือหาวิธีดึงเขามาเป็นพวกให้ได้” ไป๋เยียนเอ๋อร์กล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“อืม! ย่อมเป็นเช่นนั้น แต่เยียนเอ๋อร์เจ้าก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณคนหนึ่ง เจ้าคิดว่าเงื่อนไขที่พวกเราได้เสนอไว้ในก่อนหน้านั้น จะสามารถโน้มน้าวเจ้าเด็กนี่ได้หรือไม่?” หญิงชราลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะก็มันเหลือเฟืออย่างแน่นอน แต่หลังจากที่คนผู้นี้กลายเป็นศิษย์แกนนำแล้ว เกรงว่าจะพูดยาก ด้วยสถานะของเขาในตอนนี้ ต่อให้จะบอกเรื่องสวมรอยเป็นคนอื่นให้กับผู้ฝึกฝนระดับสูงของนิกายปีศาจ แต่ก็คงจะถูกลงโทษเพียงเล็กน้อยเท่านั้น พวกเราไม่สามารถเอาเรื่องนี้มาบีบบังคับเขาได้ กลัวว่าหลังจากที่คนผู้นี้มีพลังแข็งแกร่งแล้ว เขาคงไม่อยากจะพัวพันกับตระกูลไป๋ และรีบลงมือตัดสัมพันธ์กับตระกูลไป๋โดยเร็ว ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็เงื่อนไขในตอนแรกมันก็ดูตื้นเขินไปหน่อย” ไป๋เยียนเอ๋อร์ถอนหายใจก่อนที่จะกล่าวออกมา
“แต่เงื่อนไขก่อนหน้านั้นเป็นข้อจำกัดสูงสุดที่ตระกูลไป๋เราสามารถทำได้ เพราะเดิมทีตระกูลไป๋เราก็เป็นแค่ตระกูลผู้ฝึกปราณระดับสาม และไม่ได้มีทรัพยากรสะสมมากมายอะไร” รองนายท่านตระกูลไป๋กล่าวด้วยความกระวนกระวาย
“แต่ฝ่ายตรงข้ามเป็นหนึ่งในสิบศิษย์แกนนำของนิกายปีศาจแล้ว ด้วยจำนวนทรัพยากรที่เขาได้รับ เป็นเรื่องยากที่เขาจะสนใจทรัพยากรอันน้อยนิดของตระกูลไป๋” ไป๋เยียนเอ๋อร์ส่ายศีรษะแล้วกล่าวอย่างไปตรงมา
“ถ้าเป็นเช่นนี้ เยียนเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าถ้าใช้วิธีการอื่นจะสามารถผูกมัดคนผู้นี้ไว้กับตระกูลไป๋เราได้อีกครั้งหรือไม่?” หญิงชราทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะถามออกไป
“โอ้! ความหมายของท่านย่าคือ…” ไป๋เยียนเอ๋อร์กะพริบตา และถามออกไปราวกับคิดอะไรอยู่
“เยียนเอ๋อร์ ข้าจะไม่ปิดบังเจ้า เมื่อวานข้ากับพ่อเจ้า และอารองของเจ้าได้ปรึกษากันนิดหน่อย พวกเราต่างก็คิดว่ามีวิธีการหนึ่งที่อาจจะโน้มน้าวเจ้าเด็กนี่ได้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้า ดังนั้นย่าจึงอยากถามเจ้าก่อน หากให้เจ้าหมั้นกับคนผู้นี้เจ้าจะยินยอมหรือไม่?” หญิงชราขยับไม้เท้าเบาๆ และกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“ท่านย่ากับท่านพ่อคิดจะรับคนผู้นี้เป็นลูกเขย? เรื่องนี้ข้าไม่อาจตอบท่านย่ากับท่านพ่อได้ในตอนนี้ รอพบกับเจ้าตัวก่อนถึงจะตัดสินใจได้” พอไป๋เยียนเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ ไม่คาดคิดว่านางจะไม่โมโห แต่กลับคิดอะไรบางอย่างอยู่ซักพักแล้วตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง
“เฮ่อๆ! แน่นอนว่าย่อมได้ อีกเดี๋ยวเยียนเอ๋อร์ก็ไปพบคนผู้นี้สักหน่อย ลองหยั่งเชิงเขาดู จากนั้นค่อยให้พ่อกับอาเจ้าออกหน้าไปคุยรายละเอียด ข้าแก่ปูนนี้ไม่ขอออกหน้าแล้ว” พอหญิงชราเห็นไป๋เยียนเอ๋อร์ไม่ได้ปฏิเสธ ใบหน้าเหี่ยวย่นของนางก็เผยรอยยิ้มออกมา
……………………………………….
ตอนที่ 167 ทำข้อตกลง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทันทีที่หลิ่วหมิงได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกประตู เขาก็รีบหยุดการฝึกฝนในทันที ไอดำที่พวยพุ่งอยู่ก็ม้วนกลับไปในฉับพลัน ขณะเดียวกันก็ถามออกไปอย่างราบเรียบ
“ใครอยู่ด้านนอก?”
“นายน้อย ตอนนี้ก็สายมากแล้ว ให้ข้าน้อยไปหาของกินที่โรงครัวให้หรือไม่?” เสียงระมัดระวังของหญิงสาวดังมาจากนอกประตู ฟังดูน้ำเสียงแล้ว นางคือสาวใช้สองคนที่ถูกส่งมารับใช้เขาเมื่อวานนี้
“ไม่ต้องแล้ว ช่วงนี้ข้าไม่ต้องการทานอาหาร” หลิ่วกล่าวโดยไม่ต้องคิด
เมื่อวานเขาเพิ่งทานโอสถทิพย์ไป เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ทานสิ่งของจากคนแปลกหน้า
“ทราบ! ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน!” เสียงหญิงหน้าประตูดูหวาดกลัวเล็กน้อย นางรีบถอยออกจากประตูเบาๆ
แต่หลังจากที่หลิ่วหมิงหลับตาพักผ่อนได้ไม่นาน ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกประตูอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันก็มีเสียงอ่อนนุ่มของหญิงสาวแปลกหน้าดังขึ้น
“พี่หลิ่ว ข้าไป๋เยียนเอ๋อร์หวังว่าจะได้พบกับสหายท่าน”
“ที่แท้ก็เป็นคุณหนูตระกูลไป๋ เชิญเข้ามาเถอะ!” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ไหวตัวทันที เขารีบลืมตาทั้งสองแล้วกล่าวออกมา
จากนั้นประตูห้องก็ถูกผลักออก และหญิงสาวใบหน้างดงามรูปร่างอรชรก็เดินเข้ามาจากด้านนอก
หญิงสาวผู้นี้สวมชุดสีเขียว หลังจากที่กวาดตามองหลิ่วหมิงแล้วก็พลันกล่าวด้วยรอยยิ้มหวาน
“พี่หลิ่วช่างดูคล้ายกับชงเทียนหลายส่วน มิน่าล่ะเจ้ากวน เจ้ากู่ ถึงได้เกิดความคิดให้ท่านสวมรอยเป็นน้องชายข้าไปร่วมพิธีเปิดจิตวิญญาณ”
“จริงหรือ? ถึงแม้ข้าจะไม่เคยเห็นน้องชายเจ้ากับตา แต่คิดว่าสิ่งที่คุณหนูไป๋พูดมานั้นคงไม่มีผิด รูปลักษณ์ของข้าในตอนนี้เป็นของข้าจริงๆ โดยไม่มีการปลอมแปลง อีกอย่างชื่อเสียงของท่าน ข้าก็ได้ยินจากปากเจ้ากวนมาไม่น้อย” หลิ่วหมิงหรี่ตามองหญิงสาวนางนี้ทีหนึ่งแล้วถึงลงจากเตียงอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นก็โค้งตัวกล่าวออกมา
เขาค่อนข้างรู้สึกตกตะลึงในความงดงามของหญิงสาวนางนี้
“ข้าทำให้พี่หลิ่วขบขันเสียแล้ว ตระกูลไป๋เรามีข้าเป็นศิษย์จิตวิญญาณเพียงคนเดียว บางครั้งจำเป็นต้องแสดงตัวตนบ้าง” ไป๋เยียนเอ๋อร์ได้ยิน ก็แสดงสีหน้าแบบไม่มีทางเลี่ยงแล้วกล่าวออกมา
“จริงหรือ? ถ้าคุณหนูไป๋ไม่ชอบทำแบบนั้น ก็สามารถวางมือกับเรื่องราวทั้งหมดในตระกูลได้ ด้วยสถานะศิษย์จิตวิญญาณในนิกายจันทราสวรรค์ของท่าน ตระกูลไป๋จะบังคับเจ้าได้อย่างไร?” หลิ่วหมิงได้ยินก็กล่าวออกมา
“พี่หลิ่วล้อข้าเล่นแล้ว นอกเสียจากว่าข้าจะเป็นเหมือนสหายท่านที่อยู่ตัวคนเดียว มิเช่นนั้นลูกหลานตระกูลที่มีชื่อเสียงอย่างข้า จะมีใครละทิ้งตระกูลโดยไม่สนใจใยดีได้ล่ะ! แต่ครั้งนี้พี่หลิ่วมาตระกูลไป๋แบบกระทันหัน คงจะมีเรื่องสำคัญสินะ!” ไป๋เยียนเอ๋อร์ยิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะถามออกไป
“ดูท่าตระกูลไป๋คงตรวจสอบที่มาของข้าอย่างชัดเจนแล้ว แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ที่ข้ามาตระกูลไป๋ในครั้งนี้เพราะเรื่องของมู่หมิงจู ได้ยินว่าตระกูลไป๋กำหนดวันแต่งงานของข้ากับนางไว้แล้ว ทั้งยังเตรียมส่งเทียบเชิญด้วย เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไร?” หลิ่วหมิงกล่าวเสร็จสีหน้าก็ดูอึมครึมขึ้นมา
“มันเป็นเรื่องจริง มีปัญหาอันใดหรือ? ข้าเคยเห็นน้องมู่หมิงจูกับตา นางสวยงามราวกับบุปผา ในเมื่อพี่หลิ่วได้หมั้นหมายกับนางไว้แล้ว พอถึงเวลาก็แต่งนางเข้ามาในตระกูล ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว” ไป๋เยียนเอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฮึ! มู่หมิงจูจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรนั้น ข้าเห็นตั้งแต่อยู่ในนิกายแล้ว แต่ข้าจำไม่ได้ว่าเคยตอบตกลงหมั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เรื่องแต่งงานกับนางยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้าตระกูลไป๋คิดที่ใช้หญิงนางเพื่อดึงข้ามาเป็นพวกล่ะก็ จงไปหาไป๋ชงเทียนอีกคนเถอะ ไม่ต้องลากหลิ่วหมิงเข้ามายุ่งด้วย” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่เกรงใจ
“พี่หลิ่ว ท่านคงพูดล้อเล่นสินะ! คนที่มู่หมิงจูอยากแต่งก็คือท่าน คนอื่นจะมาแทนที่ได้อย่างไร ถึงแม้การหมั้นในตอนแรกจะไม่ได้รับการยินยอมจากท่าน แต่ท่านก็ไม่ได้ตอบจดหมายปฏิเสธมาใช่ไหม ท่านมากลับคำในตอนนี้ทำให้ตระกูลไป๋เราลำบากใจมาก” ไป๋เยียนเอ๋อร์กะพริบตาแล้วกล่าวออกมา
“สหายไป๋ เจ้าไม่ต้องมาเล่นลิ้น เจ้ารู้ไหมว่าการแต่งงานกับตระกูลมู่ในครั้งนี้นำพาความยุ่งยากมาให้ข้าแค่ไหน! เป็นเพราะตระกูลไป๋เห็นแก่ผลประโยชน์อันน้อยนิดในการสานสัมพันธ์กับตระกูลมู่ ทำให้ข้าต้องไปล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกินในนิกายปีศาจ และตอนนี้ข้าจำเป็นต้องไปจากนิกายเพื่อหลบฝ่ายตรงข้ามชั่วคราว” หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา
“อะไรนะ! การหมั้นนี้ทำให้สหายไปล่วงเกินผู้อื่นจนต้องไปจากนิกาย หรือว่าคนที่ท่านพูดถึงคือเกาชงที่เป็นศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณพสุธา!” ไป๋เยียนเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าของนางค่อยๆ เปลี่ยนไป
“คุณหนูไป๋รู้ก็ดีแล้ว บางทีเกาชงอาจจะไม่สนใจตระกูลไป๋ก็ได้ แต่ตอนนี้ข้าถูกเขาหมายตาไว้แล้ว และไม่รู้ว่าต้องเป็นหนังหน้าไฟไปอีกนานแค่ไหน ดังนั้นไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ตาม ข้าคิดว่าก่อนหน้านี้หลิ่วหมิงได้ชดใช้บุญคุณของตระกูลไป๋ไปแล้ว ตอนนี้ข้าจะไม่เสียเวลามาอ้อมค้อมอีก ขอพูดตามตรงเลยนะ ที่ข้ามาครั้งนี้ หนึ่งเพราะต้องการยกเลิกการแต่งงานกับมู่หมิงจู สองเพื่อต้องการฟื้นคืนสถานะเดิมของตนเอง ตั้งแต่นี้ไปจะไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลมู่ของพวกเจ้าอีก ส่วนเรื่องที่พวกเจ้าอาศัยชื่อ ‘ไป๋ชงเทียน’ หาผลประโยชน์ในก่อนหน้านั้น ข้าก็ไม่คิดจะเข้าไปก้าวก่าย ถือเสียว่าเป็นการชดใช้ที่ข้าอาศัยชื่อตระกูลไป๋ไปร่วมพิธีเปิดจิตวิญญาณก็แล้วกัน ใช่สิ! ตระกูลไป๋อย่าได้คิดนำเรื่องการสวมรอยมาบีบบังคับข้าอีก เรื่องเกี่ยวการสวมรอยนี้ข้าได้บอกกับทางนิกายแล้ว ดังนั้นเมื่อข้ากลับไปนิกาย ชื่อไป๋ชงเทียนนี้ก็จะหายไปจากนิกายปีศาจด้วย” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่เกรงใจ
เมื่อไป๋เยียนเอ๋อร์ได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็หายไปจนหมดสิ้น แต่นางยังคงกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“พี่หลิ่วอย่าได้โมโห เรื่องทั้งหมดสามารถพูดคุยกันได้ ตระกูลไป๋ไม่เคยคิดจะบอกเรื่องการสวมรอยของท่านให้กับทางนิกายเลย หากพี่หลิ่วไม่พอใจที่จะแต่งกับมู่หมิงจู ข้าจะไปเกลี้ยกล่อมให้ท่านพ่อยกเลิกการแต่งงานนี้ แต่พี่หลิ่วประกาศตัดสัมพันธ์กับตระกูลไป๋ตรงๆ เช่นนี้ มันดูแล้งน้ำใจไปหน่อย บอกพี่หลิ่วตามตรง ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญของการขยายอำนาจตระกูลไป๋ ถ้าหากตอนนี้ขาดหนึ่งในสิบศิษย์แกนนำนิกายปีศาจอย่างพี่หลิ่วไป เกรงว่ามันจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เลวร้าย และหายนะครั้งใหญ่ก็จะมาเยือน” ไป๋เยียนเอ๋อร์มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป นางกล่าวอย่างน่าสงสาร
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า เมื่อครู่ข้าก็บอกไปแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าก็คือข้า ตระกูลไป๋ก็คือตระกูลไป๋ เราจะไม่เกี่ยวข้องกันอีก ถ้าตระกูลผู้ฝึกปราณในแคว้นต้าเสวียนที่มีจำนวนนับไม่ถ้วนต้องเจอความยากลำบาก ข้าต้องยื่นมือเข้าไปช่วยทั้งหมดหรือ!” หลิ่วหมิงยืนกอดอกกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
ไป๋เยียนเอ๋อร์เห็นเช่นนี้ก็พูดอะไรไม่ออก
ถึงแม้ระดับการฝึกฝนของเขาจะไม่สูง และจนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้น แต่ด้วยหน้าตาที่งดงาม ทำให้มีชื่อเสียงเล็กๆ และเป็นที่รู้จักในบรรดาศิษย์จิตวิญญาณของนิกายจันทราสววรค์ แม้แต่ศิษย์ต่างนิกายก็มีไม่น้อยที่หลงใหลในความงามนาง แต่คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มตรงหน้าที่เคยสวมรอยเป็นน้องชายของตนเอง กลับไม่หวั่นไหวกับความน่าสงสารของนางเลย ดูเหมือนว่าใจเขาแข็งราวกับเหล็ก
และชายที่ไม่สนใจความงดงามของนางนี้ ทำให้ไป๋เยียนเอ๋อร์นึกถึงคนผู้หนึ่งอย่างอดไม่ได้
คนผู้นั้นก็ไม่ได้สนใจความงดงามของเธอเช่นกัน เหมือนกับว่าจะมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การฝึกฝนเท่านั้น
พอนึกถึงจุดนี้ ไป๋เยียนเอ๋อร์ก็มีสีหน้าแปลกๆ แต่หลังจากสงบสีหน้าได้แล้วก็พลันกล่าวคำพูดที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึง
“พี่หลิ่ว ถ้าเจ้าคิดจะตัดสัมพันธ์กับตระกูลไป๋ ข้าก็จะไม่พูดอะไรมาก แต่ถ้าข้ากับพี่หลิ่วจะทำข้อตกลงกันใหม่เพื่อแลกกับการใช้ชื่อเสียงของท่านสนับสนุนตระกูลไป๋ต่อไป มันคงไม่ใช่เรื่องยากใช่ไหม?”
“ทำข้อตกลงใหม่ ตระกูลไป๋ของพวกเจ้ามีข้อเสนออะไรอีก?” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้กลับไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด แต่กลับกล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
“อืม! เรื่องนี้สำคัญมาก เอาอย่างนี้เถอะ! พี่หลิ่วรอซักพัก ข้าจะไปเชิญท่านพ่อกับอารองมาที่นี่ ให้พวกท่านคุยรายละเอียดเรื่องนี้กับพี่หลิ่วดีไหม?” ไป๋เยียนเอ๋อร์กล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“เอาเถอะ! ให้ข้าได้ฟังก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วแล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
ไป๋เยียนเอ๋อร์ยิ้มน้อยๆ แล้วก็ลาจากไป
ผ่านไปไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่นอกประตูอีกครั้ง ไป๋เยียนเอ๋อร์พานายท่านตระกูลไป๋ และรองนายท่านมายืนอยู่ข้างหน้าหลิ่วหมิง
“คุณชายหลิ่ว ข้ารู้สึกละอายใจเป็นอย่างยิ่งที่เพิ่งรู้ว่าการหมั้นกับตระกูลมู่นำพาความยุ่งยากมาให้ท่านถึงเพียงนี้ ถ้าคุณชายรู้สึกคับแค้นใจก็เป็นเรื่องปกติ น้องรอง นำของสิ่งนั้นออกมาก่อน เพื่อเป็นของขวัญขอโทษจากตระกูลไป๋เรา” พอนายท่านตระกูลไป๋เห็นหลิ่วหมิงก็มีท่าทีนอบน้อมเป็นอย่างมาก ตอนแรกเขาแสดงท่าทีละอายใจเป็นการขอโทษ จากนั้นก็หันไปสั่งรองนายท่านตระกูลไป๋ที่อยู่ด้านข้าง
พอรองนายท่านตระกูลไป๋ได้ยิน ก็รีบประคองกล่องหยกงดงามขึ้นมา
“ก่อนหน้านั้นข้าได้บอกไปแล้ว บุญคุณระหว่างข้ากับตระกูลไป๋ถือว่าสิ้นสุดไปแล้ว ตระกูลไป๋ไม่ได้ติดค้างอะไรข้า ข้าจะรับของของตระกูลไป๋ได้อย่างไร สหายไป๋บอกว่าจะทำข้อตกลงอื่นกับข้า ตอนนี้รีบพูดมาเถอะ!” หลิ่วหมิงกวาดตามองกล่องหยกอย่างเฉยชา แล้วโบกมือก่อนที่จะกล่าวออกมา
นายท่านตระกูลไป๋เห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย รองนายท่านตระกูลไป๋ก็มีสีหน้าที่ดูไม่ได้ขึ้นมา
แต่ไป๋เยียนเอ๋อร์กลับยิ้มและกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“ท่านพ่อ ข้าบอกท่านแต่แรกแล้วว่าพี่หลิ่วไม่ชอบพูดจาอ้อมค้อม ท่านบอกข้อเสนอไปตามตรงเถอะ ไม่แน่มันอาจจะทำให้พี่หลิ่วประทับใจตระกูลไป๋เรามากขึ้นก็ได้”
“เฮ่อๆ! เป็นข้าเองที่เสียมารยาท ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะขอพูดตามตรงเลยนะ ก่อนหน้านี้ลูกสาวข้าคงได้บอกสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของตระกูลไป๋เราไปคร่าวๆ แล้ว ดังนั้นพวกเราตระกูลไป๋จึงหวังว่าคุณชายจะยังคงใช้ชื่อไป๋ชงเทียนไปอีกหลายปี อย่าเพิ่งรีบใช้ชื่อจริงของตนเอง และเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการแลกเปลี่ยนนี้ พวกเราได้เตรียมของขวัญอย่างดีให้คุณชายหลิ่วชุดหนึ่ง นี่คือรายการของขวัญ คุณชายลองดูว่าชอบหรือไม่!” ไป๋ซิงหลิวฝืนยิ้มและกล่าวออกมา จากนั้นก็หยิบกระดาษออกมาจากอกแล้วยื่นให้หลิ่วหมิง
……………………………………….
ตอนที่ 168 ไอปีศาจบริสุทธิ์พลังน้ำเงินอันดับเจ็ด
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงยื่นมือไปรับอย่างไม่เกรงใจ หลังจากที่กวาดสายตามองไปสองสามทีก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“นี่คือข้อเสนอที่ตระกูลไป๋เอามาทำข้อตกลงหรือ? สิ่งของทั้งหมดนี้รวมกันมีค่าเท่ากับหินจิตวิญญาณไม่กี่พันก้อนเท่านั้น พวกท่านคิดว่าข้ายอมหาเรื่องใส่ตัวเพียงเพราะหินจิตวิญญาณอันน้อยนิดนี่หรือ?”
“ข้ารู้ว่าของเหล่านี้อาจน้อยเกินไปสำหรับคุณชาย แต่ตระกูลไป๋เราไม่อาจเทียบกับตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงได้ และในช่วงระยะเวลาสั้นๆ พวกเราไม่สามารถสะสมทรัพยากรได้มาก แต่ตระกูลไป๋รับปากคุณชายได้ว่าอีกครึ่งปีพวกเราจะเพิ่มเติมให้อีกเท่าหนึ่งของสิ่งที่มีในตอนนี้” ไป๋ซิงหลิวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดอย่างเด็ดเดี่ยว
“อะไรกันพี่ใหญ่ จะทำแบบนั้นได้อย่างไร!” รองนายท่านที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ยินเช่นนี้ก็กล่าวขึ้นมาอย่างร้อนใจ
“ถ้าตระกูลไป๋ไม่สามารถรักษาตำแหน่งในตอนนี้ไว้ได้ ต่อให้มีทรัพยากรมากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์” นายท่านตระกูลไป๋โบกมือก่อนที่จะกล่าวออกมา
“ต้องขออภัย! หากมีข้อเสนอเพียงเท่านี้ ข้าไม่สนใจที่จะทำข้อตกลงด้วย” ยังไม่ทันที่สองพี่น้องตระกูลไป๋จะได้โต้แย้งกัน หลิ่วหมิงก็ส่ายศีรษะแล้วชิงพูดขึ้นมาก่อน
พอได้ยินเช่นนี้สองพี่น้องตระกูลไป๋ก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างช่วยไม่ได้
“พี่หลิ่ว มันจะไม่มากไปหรอกหรือ? ถ้าหากรวมทรัพยากรสองชุดนี้เข้าด้วยกัน มันคงมีมูลค่าเทียบเท่ากับหินจิตวิญญาณเกือบหมื่นก้อน และตระกูลไป๋ก็เพียงแค่ยืมชื่อเสียงของท่านใช้เท่านั้น ท่านไม่ได้เสียหายอะไรสักหน่อย” ในที่สุดไป๋เยียนเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้างก็เอ่ยปากออกมา
“หากแค่ยืมชื่อเสียงชื่อของข้าจริงๆ ล่ะก็ ทรัพยากรเหล่านี้ก็เพียงพอแล้ว แต่ข้าไม่เชื่อว่าถ้าตระกูลไป๋เจอกับปัญหาใดๆ แล้วมันจะไม่พัวพันถึงข้า เพราะถ้าข้ายอมรับข้อตกลงนี้ ข้าก็ต้องเป็น ‘ไป๋ชงเทียน’ ต่อไป หากตระกูลผู้ฝึกปราณอื่นอยากจัดการตระกูลไป๋ล่ะก็ เกรงว่าคนแรกที่พวกเขาต้องจัดการก็คือข้า มิเช่นนั้นพวกเขาจะลงมือกับตระกูลไป๋ได้อย่างไร นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถรับปากได้โดยง่าย” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่เกรงใจ
นายท่านและรองนายท่านตระกูลไป๋ได้ยินหลิ่วหมิงกล่าวเช่นนี้ ก็อดที่จะมองหน้ากันไม่ได้
เหตุผลนี้พวกเขาทั้งสองย่อมรู้อยู่แก่ใจดี แต่ตอนนี้ถูกหลิ่วหมิงเปิดโปงออกมาจึงทำให้ทั้งสองรู้สึกเก้อเขินมาก
พอไป๋เยียนเอ๋อร์ได้ยินแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้กล่าวอะไรออกมาแต่สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป
หลิ่วหมิงกลับยังยืนอยู่ที่เดิม ปล่อยให้ทั้งสามคิดอะไรในใจอยู่เงียบๆ
“เยียนเอ๋อร์ เจ้า…”
“เอาล่ะ! อารอง ข้าเข้าใจความหมายของท่าน แต่ข้อเสนอนี้ไม่ได้ผลหรอก”
รองนายท่านตระกูลไป๋มองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และกำลังคิดที่จะกล่าวอะไรออกมา แต่โดนนางขัดคอไว้ก่อน
“เจ้าไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณชายไม่ยินยอม” รองนายท่านตระกูลไป๋กล่าวพึมพำ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ถึงแม้จะมีสีหน้าปกติแต่ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“เอาเถอะ! สหายหลิ่ว นอกจากทรัพยากรเหล่านี้แล้ว หากบวกข้าเข้าไปด้วยอีกคนล่ะ! ถ้าข้ายอมแต่งกับเจ้า เจ้าจะยอมช่วยตระกูลไป๋เราให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ไหม” ไปเยียนเอ๋อร์ถอนหายใจ และกล่าวกับหลิ่วหมิงอย่างไม่ใส่ใจ
“สหายไป๋ล้อข้าเล่นแล้ว” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้กลับรู้สึกอึ้งขึ้นมา
“ข้าไป๋เยียนเอ๋อร์ ถึงแม้จะเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณระดับต้น แต่ก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลไป๋ เพียงแค่เจ้ายอมแต่งกับข้า ข้าก็จะยอมแต่งกับเจ้า” ไป๋เยียนเอ๋อร์ยิ้มให้กับหลิ่วหมิงแล้วกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“แม่นางไป๋รูปโฉมงดงามยากที่ชายใดจะปฏิเสธได้ แต่ข้าตัดสินใจเลือกเส้นทางการฝึกฝน หวังว่าจะมีสักวันที่สามารถเข้าสู่ระดับของเหลวได้ ตอนนี้ยังไม่คิดที่จะหาคู่รักฝึกฝนแต่อย่างใด” หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะมองใบหน้างดงามของไป๋เยียนเอ๋อร์อยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวด้วยความรู้สึกเสียใจ
ได้ยินหลิ่วหมิงกล่าวเช่นนี้ ไป๋เยียนเอ๋อร์ก็ได้แต่ยิ้มไม่พูดอะไรออกมา
สองพี่น้องตระกูลไป๋ที่อยู่ด้านข้างรู้สึกผิดหวังขึ้นมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย แต่ตอนนี้พวกเขาก็ไม่รู้จะหาข้อเสนออะไรมาโน้มน้าวใจชายหนุ่มตรงหน้านี้ได้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ไม่อยากรออีกต่อไปจึงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ถ้าตระกูลไป๋แสดงความจริงใจออกมาได้เพียงแค่นี้ ข้าก็ไม่ขอเล่นด้วยแล้ว ข้ายังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ ขอตัวก่อน”
พอเขากล่าวจบก็ประสานมือขอโทษไป๋เยียนเอ๋อร์ จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ออกไปนอกประตู
สองพี่น้องตระกูลไป๋เห็นเช่นนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างช่วยไม่ได้
ไป๋เยียนเอ๋อร์ก็คิ้วขมวดขึ้นมา
และขณะนั้นเอง ก็พลันมีเสียงแหบๆ ตะโกนมาจากนอกประตู
“ดูท่าข้อเสนอธรรมดา ไม่อาจผูกมัดคุณชายหลิ่วกับตระกูลเราไว้ได้จริงๆ แต่ในเมื่อคุณชายคิดที่จะกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณ ตัวข้าก็มีสิ่งของอย่างหนึ่งจะให้ดู บางทีมันอาจทำให้คุณชายพอใจก็ได้”
เสียงเพิ่งจะสิ้นสุดก็พลันมีเงาร่างปรากฏขึ้นตรงหน้าประตู หญิงชราถือไม้เท้าทองสัมฤทธิ์โผล่ออกมาโดยไร้สุ้มไร้เสียง
“ท่านแม่”
“ท่านย่า”
“ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสไป๋ ท่านแอบฟังมานานขนาดนี้ ข้าน้อยคิดว่าท่านจะไม่มาปรากฏตัวซะแล้ว” หลิ่วหมิงไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย แต่กลับโค้งตัวกล่าวกับหญิงชรา
“ที่แท้คุณชายไป๋ก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าข้าแอบอยู่ข้างนอก จุ๊ๆ! คุณชายช่างสมกับเป็นหนึ่งในสิบศิษย์แกนนำของนิกายปีศาจ ข้าเคยฝึกฝนเคล็ดวิชาผนึกลมปราณ พอแสดงมันออกมา ศิษย์จิตวิญญาณทั่วไปไม่สามารถค้นพบได้” หญิงชราได้ยินก็แสดงสีหน้าแปลกใจออกมา
หลิ่วหมิวยิ้มบางๆ โดยที่ไม่กล่าวอะไรออกมา
ด้วยพลังจิตของเขาในตอนนี้ มันไม่ได้ด้อยไปกว่าพลังจิตของอาจารย์จิตวิญญาณเลย ต่อให้เคล็ดวิชาผนึกลมปราณของหญิงชราจะลี้ลับมหัศจรรย์สักเพียงใด ก็ไม่อาจรอดพ้นการรับรู้ของเขาไปได้
“พวกเจ้าทั้งสามออกไปให้หมด ข้าจะพูดคุยกับคุณชายหลิ่วเพียงลำพัง” หญิงชราเห็นเช่นนี้ก็ไม่ถามอะไรต่อ แต่กลับหันไปสั่งสองพี่น้องตระกูลไป๋กับไป๋เยียนเอ๋อร์
“ทราบ! ท่านแม่” สองพี่น้องตระกูลไป๋รีบตอบรับในทันที
“ท่านย่า แม้แต่ข้าก็ไม่สามารถอยู่ด้วยได้หรือ?” ไป๋เยียนเอ๋อร์กล่าวด้วยความงุนงง
“เรื่องที่ข้าจะพูดกับคุณชายหลิ่ว เจ้าฟังไปก็มีแต่ผลเสียไม่มีประโยชน์ สู้ไม่ฟังจะดีกว่า” หญิงชราลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา
ถึงแม้ไป๋เยียนเอ๋อร์จะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ได้แต่ตอบรับและถอยออกไป
เมื่อประตูถูกปิดลงแล้ว ในห้องก็เหลือเพียงหลิ่วหมิงกับหญิงชราเพียงสองคนเท่านั้น
“ท่านผู้อาวุโส ท่านมีอะไรก็พูดมาเถอะ!” หลิ่วหมิงจ้องมองหญิงชราแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
“คุณชายหลิ่วใยต้องรีบร้อนด้วยเล่า ข้ามีของอย่างหนึ่ง เจ้าดูเสร็จแล้วค่อยว่ากัน” หญิงชรายิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะหยิบขวดสีฟ้าออกมาจากแขนเสื้อ หลังจากที่นางจ้องมองอย่างเสียดายแล้วก็ส่งให้หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงกลับไม่กลัวว่าหญิงชราจะทำอะไรกับขวดไว้หรือเปล่า หลังจากที่รับมันมาแล้วก็เขย่ามันเบาๆ ก่อนที่จะเปิดจุกออกมา แต่พอมองเข้าไปข้างในขวด เขากลับต้องหลุดปากออกมา
“ไอปีศาจบริสุทธิ์ ไม่คิดว่าตระกูลไป๋ของพวกท่านจะมีของสิ่งนี้ด้วย แต่ปริมาณมันค่อนข้างน้อยไปหน่อย มีแค่หนึ่งในสามส่วนของหนึ่งชุดเท่านั้น” หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก
“เฮ่อๆ! คุณชายหลิ่วช่างรอบรู้ยิ่งนัก สิ่งที่อยู่ในขวดนี้ไม่ได้เป็นแค่ไอปีศาจบริสุทธิ์ แต่ยังเป็นไอปีศาจบริสุทธิ์พลังน้ำเงินอันดับเจ็ดที่ค่อยข้างมีชื่อเสียง บรรพบุรุษของพวกเราได้มันมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็มีปริมาณแค่หนึ่งในสามส่วนเท่านั้น” หญิงชรากล่าวด้วยท่าทีที่เคร่งขรึม
“หากเป็นไอปีศาจบริสุทธิ์พลังสีน้ำเงินอันดับเจ็ดจริง มันจะเป็นสิ่งที่ล้ำค่าและหาได้ยากยิ่ง แต่ถ้ามีแค่หนึ่งในสามล่ะก็ข้าจะเอาไปใช้ประโยชน์อันใดได้?” หลิ่วหมิงจ้องมองขวดเล็กในมือครู่หนึ่งแล้วจึงขมวดคิ้วกล่าวออกมา
“เรื่องนี้ขอให้คุณชายหลิ่ววางใจได้ หนึ่งในสามของไอปีศาจบริสุทธิ์พลังน้ำเงินอันดับเจ็ดนี้เป็นสิ่งที่ทดรองจ่ายให้ล่วงหน้า และเรียกความไว้วางใจจากคุณชายก่อนเท่านั้น ขอเพียงแค่คุณชายยินยอมปกป้องตระกูลไป๋ของพวกเราตั้งแต่นี้ไปอีกหลายปี ข้าจะยอมบอกสถานที่ของหลุมปีศาจที่บรรพบุรุษของตระกูลไป๋ได้ไอปีศาจบริสุทธิ์นี้มาในตอนนั้น ตามที่บรรพบุรุษของข้าได้กล่าวไว้ก่อนตาย ถึงแม้หลุมปีศาจนั้นจะเล็กและลับตาคน แต่มันก็เหลือเฟือที่จะรวบรวมเป็นไอปีศาจบริสุทธิ์พลังน้ำเงินอันดับเจ็ดหนึ่งชุด” หญิงชรากล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“ฮึ! ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริง ตระกูลไป๋ของพวกเจ้าไม่ไปเอาไอปีศาจบริสุทธิ์จนหมดแล้วหรือ จะมีเหลือถึงตอนนี้ได้อย่างไร?” หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด
“คุณชายหลิ่วไม่รู้อะไร ตำแหน่งของหลุมปีศาจนั้นไม่เพียงแต่จะหายาก แต่ยังอยู่ในสถานที่ที่อันตรายเป็นอย่างมาก ในตอนนั้นบรรพบุรุษของตระกูลไป๋ที่ไปพบหลุมปีศาจนี้เป็นเพียงแค่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายคนหนึ่ง ท่านบุกเข้าไปที่นั่นโดยไม่ได้ตั้งใจ และเสี่ยงอันตรายเป็นอย่างมากถึงได้ไอปีศาจบริสุทธิ์นี้มา ต่อมาถึงแม้ตระกูลไป๋เราจะเคยส่งศิษย์จิตวิญญาณไปที่นั่นเพื่อเอาไอปีศาจที่เหลือ แต่ก็ไม่สามารถไปถึงหลุมปีศาจนั้นได้ และต่างก็เผชิญกับอันตรายจนค่อยๆ เสียชีวิตไประหว่างทาง และก็ด้วยเหตุนี้ตระกูลไป๋ที่เคยเฟื่องฟูอยู่ระยะหนึ่ง ต้องขาดแคลนศิษย์จิตวิญญาจนตกต่ำมาจนถึงทุกวันนี้ ต่อมาจึงไม่กล้าส่งคนไปหาหลุมปีศาจนั่นอีก เรื่องนี้ถือเป็นความลับสุดยอดของตระกูลไป๋เลยทีเดียว” หญิงชรากล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“ดูท่าสถานที่แห่งนั้นคงจะอันตรายมากจริงๆ ถ้าอย่างนั้นความหมายของผู้อาวุโสก็คือ…” เมื่อหลิ่วหมิงฟังถึงจุดนี้ เขาก็กล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“ง่ายมาก! เพียงแค่คุณชายหลิ่วรับปากปกป้องตระกูลไป๋ของพวกเราให้ปลอดภัยภายในระยะเวลาห้าปี พอครบระยะเวลาห้าปีแล้วข้าจะนำแผนที่หลุมปีศาจมอบให้คุณชาย แน่นอนว่าสถานที่แห่งนั้นอันตรายเป็นอย่างมาก ถ้าคุณชายไปแล้วข้าก็ไม่อาจรับรองว่าจะกลับมาได้อย่างปลอดภัย ดังนั้นข้อตกลงนี้คุณชายจะทำหรือไม่ก็แล้วแต่คุณชายเลย แต่ตระกูลไป๋ก็ไม่สามารถหาข้อเสนออื่นมาได้แล้วจริงๆ แน่นอนงถ้าคุณชายรับปากล่ะก็ ทรัพยากรที่ลูกชายข้าเคยพูดถึงในก่อนหน้านั้นก็นับรวมอยู่ในนี้ด้วย” หญิงชรากล่าวอย่างไม่ลังเล
“เฮ่อๆ! อันตรายหรือ! ขอเพียงแค่บรรพบุรุษตระกูลไป๋ที่ไปเอาไอปีศาจบริสุทธิ์พลังน้ำเงินอันดับเจ็ดในตอนนั้นเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายจริงๆ ข้าก็ย่อมไม่หวาดกลัวสิ่งใด ได้! ข้อเสนอนี้ข้าจะรับไว้ แต่ข้าจะเป็นไป๋ชงเทียนแค่สี่ปีเท่านั้น เลยไปหนึ่งวันก็ไม่ได้” หลิ่วหมิงมองหญิงชรากับขวดเล็กสีฟ้า และหัวเราะอย่างเยือกเย็นก่อนที่จะกล่าวออกมา
“สีปีก็พอจะถูไถให้ตระกูลไป๋ของพวกเรากลายเป็นตระกูลอันดับต้นๆ ได้อย่างมั่นคงได้ ได้! งั้นเอาตามนี้” หญิงชราลังเลเล็กน้อยแล้วก็กัดฟันรับปาก จากนั้นก็ยื่นมือผอมแห้งที่สั่นเทาออกไป
ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึง แต่ก็เข้าใจได้ในทันที เขาฉีกยิ้มและยื่นมือไปตบเบาๆ
……………………………………….
ตอนที่ 169 วัดดิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ครึ่งวันผ่านไป หลิ่วหมิงไปจากจวนตระกูลไป๋อย่างเงียบๆ และพอเดินออกจากเมืองหลูสุ่ยก็เรียกเมฆเทาเพื่อขี่ไปยังทิศทางบางแห่ง
ส่วนเรื่องยกเลิกการแต่งงานนั้น ย่อมให้ตระกูลไป๋เป็นคนจัดการเอง เพราะถือเป็นเงื่อนไขหนึ่งในข้อตกลง
ส่วนผู้ส่งสาส์นตระกูลมู่ผู้นั้น เขาไม่สนใจที่จะไปพบเลย และก็ไม่อยากเสียเวลาอะไรให้มาก เพราะเขายังมีเรื่องอื่นๆ ที่ต้องทำ
เจ็ดแปดวันผ่านไป หลิ่วหมิงก็ออกไปจากเขตเฟิ่งอวิ๋น และไม่ทราบว่าตอนนี้เขาอยู่ ณ ที่แห่งใด
สองเดือนผ่านไป บนถนนหลักสายหนึ่งที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงเสวียนจิง แคว้นต้าเสวียนไปหลายร้อยลี้ มีทหารเกราะดำสามสิบกว่าคนกำลังคุ้มกันรถม้าสามคันที่ค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้า
ทหารเกราะดำแต่ละคนต่างก็สวมเสื้อเกราะหนา ถือหอกดาบในมือ ลักษณะเหี้ยมโหด พวกเขาก็คือหน่วยพยัคฆ์ทมิฬอันเลื่องชื่อของแคว้นต้าเสวียนนั่นเอง
ทหารหนึ่งในนั้นมีพู่สีแดงอ่อนติดอยู่บนหมวก และสะพายธนูยักษ์สีเขียวอ่อนอยู่ที่หลัง เขาคือนายกองที่ควบคุมทหารเหล่านี้
ตามกฎแล้วกองทหารหนึ่งกองจะมีทหารประมาณสามสิบคนเท่านั้น แต่พอหน่วยพยัคฆ์ทมิฬตั้งมั่นตามป้อมปราการสำคัญในเมืองที่มีความสำคัญทางด้านยุทธศาสตร์ของแต่ละเขต เพื่อตรวจตราควบคุมความเคลื่อนไหวของทหารและราษฎรในแต่ละพื้นที่ แม้เป็นแค่นายกองธรรมดาก็นับว่าเป็นขุนนางที่มีระดับได้
ตอนนี้หน่วยพยัคฆ์ทมิฬได้เคลื่อนตัวพร้อมกับนายกองเพื่อคุ้มกันรถม้าไม่กี่คัน แสดงว่าคนในรถจะต้องมีความสำคัญเป็นอย่างมาก
“ใต้เท้า ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว พวกเราหาที่พักกันก่อนเถอะ! ไว้เดินทางต่อในวันพรุ่งนี้มะรืนนี้ก็ยังไปเสวียนจิงทัน” ทหารชุดเกราะรูปร่างกำยำที่อยู่ด้านหน้าควบม้ากลับมาหานายกองแล้วกล่าวขึ้นในฉับพลัน
“อืม! เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ดี แต่จุดพักม้าที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ยังอยู่ห่างจากที่นี่สามสิบถึงสี่สิบลี้ เจ้ารีบนำทหารสองคนไปสำรวจข้างหน้าก่อนว่ามีสถานที่เหมาะสมต่อการพักหรือไม่” นายกองผู้นั้นตอบกลับอย่างราบเรียบ เขาสวมหมวกเกราะสีดำอยู่จึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาได้
“ทราบ! เฮยหนิว เจ้าเถี่ย พวกเจ้าไปสำรวจข้างหน้ากับข้า” ทหารรูปร่างกำยำตอบรับในทันที จากนั้นก็หันไปเรียกทหารอีกสองคนที่อยู่ด้านหลัง
ทหารสองคนรีบวิ่งออกจากกลุ่มทันที จากนั้นทั้งสามก็ควบม้าห้อเหยียดไปข้างหน้า
“นายกองตู้ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?” น้ำเสียงอันมีเสน่ห์ของหญิงที่แต่งงานแล้วดังมาจากรถม้าคันหน้าสุด
“ฮูหยินหมีไม่ต้องกังวล ข้าแค่ให้ลูกน้องสองสามคนรุดหน้าไปหาที่พักก่อนเท่านั้น” นายกองที่สวมหมวกเกราะสีดำกล่าว
“อ๋อ! ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว ต้องขอบคุณนายกองตู้ที่คุ้มกันมาตลอดทาง พอถึงเสวียนจิงแล้ว ข้าจะต้องตอบแทนทุกคนอย่างงาม” ดูเหมือนหญิงที่อยู่บนรถม้าจะรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง แต่ยังคงกล่าวด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณน้ำใจของฮูหยิน พวกข้าเพียงแค่ทำตามคำสั่งของใต้เท้าเท่านั้น!” นายกองโค้งตัวเล็กน้อย ดูเหมือนกับว่าเขาไม่อยากพูดอะไรมาก
หญิงบนรถม้าหัวเราะเบาๆ แล้วก็ไม่พูดอะไรออกมาเช่นกัน
เมื่อกองทหารเดินหน้าต่อไปได้ประมาณหนึ่งเค่อ ก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังมาจากข้างหน้า มันคือม้าของทหารรูปร่างกำยำที่กำลังตะบึงเข้ามา
พอมาถึงหน้ากองทหาร เขาก็ดึงบังเหียนขึ้นเพื่อชะลอความเร็วของม้าที่ขี่ให้ลดลง
“ท่านนายกอง มีวัดร้างอยู่ข้างถนนหลักห่างจากที่นี่ไปห้าลี้ ตอนนี้เฮยหนิวกับเจ้าเถี่ยกำลังเก็บกวาดอยู่” พอมาถึงด้านหน้าของนายกอง ทหารรูปร่างกำยำก็กล่าวด้วยความนอบน้อม
“ดีมาก เจ้านำทางไป พวกเราจะไปพักที่นั้นสักคืน” พอนายกองได้ยินเช่นนี้ก็กล่าวออกมาโดยไม่ต้องคิด
ดังนั้นกองทหารทั้งหมดก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เพื่อตามทหารรูปร่างกำยำไป
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป ทหารทั้งกองก็เดินมาถึงวัดที่สร้างจากดินสีเหลือง และอยู่ห่างจากถนนหลักค่อนข้างไกล
นอกจากมีม้าสองตัวของหน่วยพยัคฆ์ทมิฬอยู่นอกวัดแล้ว ยังมีรถม้าสีดำขนาดเล็กอยู่คันหนึ่ง และยังมีล่อสองตัวถูกผูกไว้กับเสาไม้ด้านนอก มันกำลังก้มหน้าเล็มหญ้าบริเวณนั้นอยู่เงียบๆ
แสงไฟส่องสว่างออกมาจากในวัด และยังมีเสียงคนพูดคุยกันดังมาแว่วๆ
“นี่คืออะไร?” เมื่อนายกองตู้เห็นเช่นนี้ก็ตะคอกใส่ทหารรูปร่างกำยำ
“เรียนท่านนายกอง ตอนที่พวกข้าค้นพบสถานที่แห่งนี้ก็มีคนสองคนอยู่ก่อนแล้ว แต่จากการที่ข้าได้สอบถามมา พวกเขากำลังบากหน้าไปพึ่งญาติพี่น้องที่เสวียนจิง คนหนึ่งเป็นบัณฑิตที่ไม่มีแรงแม้แต่จะมัดไก่ ส่วนอีกคนเป็นแค่เด็กผู้หญิงเท่านั้น” ทหารรูปร่างกำยำรีบก้าวไปข้างหน้าแล้วตอบกลับไปในทันที
“จริงหรือ? เรื่องนี้สำคัญมาก ให้ข้าดูคนทั้งสองก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ดูเหมือนว่านายกองตู้จะยังไม่ค่อยไว้วางใจเท่าไหร่ หลังจากที่กล่าวอย่างราบเรียบไปหนึ่งประโยคแล้ว ก็กระโดดลงจากหลังม้า และก้าวยาวๆ เข้าไปในวัดดิน
ภายในวัดสว่างไสวไปด้วยกองไฟใหญ่เล็กสองกอง
ข้างกองไฟขนาดใหญ่มีทหารรูปร่างสูงต่ำสองคนนั่งอยู่ แต่บริเวณกองไฟขนาดเล็กอีกกองกลับมีชายหนุ่มสวมชุดบัณฑิตสีเขียวกับเด็กหญิงผอมแห้งอายุประมาณเจ็ดแปดขวบ
ถึงแม้เด็กหญิงผู้นั้นจะงดงาม แต่ใบหน้ากลับซีดเหลืองและผอมแห้ง ร่างครึ่งหนึ่งของนางกำลังคลอเคลียกับอยู่บนตัวของชายหนุ่มราวกับว่าติดเขามาก
และดูเหมือนว่าบัณฑิตหนุ่มจะมีอายุราวๆ ยี่สิบเจ็ดถึงยี่สิบแปดปี หน้าตาดูธรรมดามาก เขากำลังหันหน้าเข้าหากองไฟเพื่ออ่านคัมภีร์เล่มหนาที่ถืออยู่บนมืออย่างเพลิดเพลิน
พอทหารสองนายที่อยู่ข้างกองไฟเห็นนายกองตู้เดินเข้ามาก็รีบลุกขึ้นด้วยความตกใจ และเดินเข้าไปทำความเคารพอย่างรวดเร็ว
“ตามสบาย”
“เจ้าชื่ออะไร มีใบผ่านทางหรือไม่ มาจากที่ไหนและกำลังจะไปที่ใด?” นายกองตู้โบกมือ และหันไปมองบัณฑิตก่อนที่จะกล่าวออกมา
“อ้อ! ที่แท้ก็เป็นท่านนายกอง ข้าน้อยเฉียนหมิง ข้าน้อยกับหลานสาวกำลังบากหน้าไปพึ่งพาญาติที่เสวียนจิง ส่วนใบผ่านทางหรือ? นายท่านโปรดรอสักครู่…”
พอบัณฑิตได้ยินคำถามทั้งหมดของนายกองตู้ ถึงได้ตื่นขึ้นมาจากโลกของหนังสือ หลังจากที่ตอบกลับไปไม่กี่ประโยคก็ค้นหาไปทั่วตัวก่อนที่จะหยิบแผ่นกระดาษยับๆ ออกมายื่นให้นายกอง
ทหารคนหนึ่งก้าวมาหยิบกระดาษอย่างรวดเร็วแล้วนำไปมอบให้นายกองตู้
นายกองตู้มองแผ่นกระดาษเพียงไม่กี่ทีก็พยักหน้า และยื่นให้ทหารคนนั้นนำไปคืนบัณฑิต ส่วนตัวเขาก็เดินออกไปนอกวัดโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
ผ่านไปไม่นาน ก็มีเสียงดังมาจากนอกวัด และทหารสิบกว่าคนก็พุ่งเข้ามาทำความสะอาดวัดดินอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าพวกเขาไปเอาฟืนจำนวนมากมาจากไหน และยังจุดกองไฟขึ้นมาอีกหลายกองด้วย
ขณะนี้มีกลิ่นหอมพัดเข้ามาจากด้านนอก และหญิงใบหน้างดงามอายุสามสิบกว่าปีก็เดินเข้ามา มือข้างหนึ่งของนางจูงเด็กชายอายุประมาณเจ็ดแปดขวบอยู่ ด้านหลังของนางเป็นหญิงรับใช้ค่อนข้างมีอายุที่มือไม้หยาบกร้าน กับสาวใช้ใบหน้าสวยงามอายุไม่เกินสิบห้าถึงสิบหกปี
พอหญิงใบหน้างดงามกับเด็กชายเดินเข้ามาในวัด หญิงรับใช้ที่ค่อนข้างมีอายุก็รีบปูหนังสัตว์สีขาวหิมะลงข้างกองไฟ และยังวางเก้าอี้ไม้เตี้ยๆ สองตัวให้หญิงใบหน้างดงามกับเด็กชายนั่ง ส่วนสาวใช้ใบหน้าสวยงามก็จุดธูปหอมก้านหนึ่งแล้วปักไว้ด้านหน้า
กลิ่นหอมจางๆ ของต้นจันทน์ตลบอบอวลไปทั่ววัดอย่างรวดเร็ว
ทหารคนอื่นๆ และนายกองตู้เดินเข้ามาในวัด หลังจากมีคำสั่งออกไปแล้ว ทหารห้าหกคนก็ไปยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูวัด ส่วนคนอื่นๆ ก็ถอดหมวกเหล็ก ชุดเกราะ และอาวุธออก ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเตรียมตัวพักผ่อน
หลังจากที่นายกองตู้ถอดหมวกเกราะและชุดเกราะบนตัวออกแล้ว ไม่คาดคิดว่าเขาจะเป็นหญิงสาวสวยงามที่มีรูปร่างสูงสะโอดสะอง บุคลิกองอาจห้าวหาญเป็นอย่างมาก
แต่รอยแผลเป็นสีแดงจางๆ บนหน้าผากกลับทำลายความงามของนางไปสองถึงสามส่วน ขณะเดียวกันสีหน้าของนางก็เย็นชาเป็นอย่างมาก ไม่มีรอยยิ้มเลยไม่แต่น้อย หลังจากที่นางวางธนูยักษ์สีเขียวอ่อนกับกระบอกลูกธนูสีดำไว้ข้างตัวแล้ว ก็นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าหญิงใบหน้างดงามกับเด็กชายผู้นั้น และนางก็จ้องมองกองไฟอยู่เงียบๆ
ขณะนี้ทหารคนอื่นๆ ต่างก็เริ่มนำอาหารที่ดูคล้ายกับก้อนข้าวออกมาทานอย่างเงียบๆ
หน่วยพยัคฆ์ทมิฬสมกับเป็นทหารที่เกรียงไกรของแคว้นต้าเสวียน เพราะทุกคนต่างผ่านการฝึกมาเป็นอย่างดี
ทางด้านของหญิงใบหน้างดงาม หญิงรับใช้ที่มีอายุผู้นั้นได้ออกไปนอกวัดอีกรอบ นางหยิบตระกร้าไม้ไผ่ลงมาจากรถม้า และหยิบอาหารชั้นดีออกมาจำนวนหนึ่ง เพื่อนนำมาให้หญิงใบหน้างดงามกับเด็กชาย
“นายกองตู้ ข้ามีเสบียงมากมาย พวกเรามาทานด้วยกันเถอะ!” หลังจากหญิงใบหน้างดงามหยิบขนมอบออกมาป้อนเด็กชายไม่กี่คำแล้ว ก็กวาดตามองหญิงสาวที่ยังนั่งนิ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทีหนึ่งก่อนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณน้ำใจของฮูหยินหมี ข้าเคยเรียนวิชาอิ่มทิพย์มาบ้าง ต่อให้ไม่กินอาหารสองสามวันก็ไม่เป็นอะไรมาก” หญิงสาวรูปร่างสะโอดสะองมองดูหญิงใบหน้างดงามอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ส่ายศีรษะด้วยท่าทีเย็นชา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่ฝืนใจท่านนายกองแล้ว” หญิงใบหน้างดงามเห็นเช่นนี้กลับไม่ได้โกรธแต่อย่างใด นางเพียงแค่ยิ้มบางๆ ก่อนที่จะป้อนเด็กชายต่อ
เด็กชายกินเพียงไม่กี่คำก็ส่ายหน้าไม่เอาอีก แต่กลับจ้องมองเด็กหญิงที่อยู่ข้างกายบัณฑิตด้วยความแปลกใจ
ไม่รู้ว่ามีหมั่นโถวร้อนๆ อยู่ในมือของนางตั้งแต่เมื่อไหร่ และนางกำลังกัดกินมันอย่างตะกละตะกลาม
“ค่อยๆ กิน เดี๋ยวจะสำลักเอา” บัณฑิตผู้นั้นยังคงอ่านหนังสือในมืออยู่ แต่พอเหลือบไปเห็นท่าทีตะกละตะกลามของเด็กหญิง เขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม และยังหยิบเอาถุงหนังที่อุ่นเล็กน้อยออกมาจากอกแล้วยื่นให้เด็กหญิง
“ขอบคุณพี่หมิง”
เด็กหญิงเชื่อฟังอย่างดี นางรับถุงหนังมากรอกใส่ปากไปสองอึกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
แต่กลับมีกลิ่นหอมจรุงใจมาจากถุงหนัง แต่มันยังเข้มข้นไม่เท่ากลิ่นของธูปหอม ดังนั้นจึงมีคนได้กลิ่นเพียงไม่กี่คน แต่หญิงใบหน้างดงามที่กำลังเกลี้ยกล่อมให้เด็กชายทานอาหารนั้นกลับได้กลิ่นหอมจรุงใจนี้ภายในพริบตา นางรู้สึกตกตะลึงในทันที และยังมองไปยังถุงหนังในมือเด็กหญิงด้วยสีหน้าฉงน
“คุณชายผู้นี้ ข้าขอถามท่านหน่อย ในถุงหนังใบนี้…” สายตาฮูหยินหมีเป็นประกาย และคิดที่จะพูดอะไรกับบัณฑิตหนุ่ม
แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องอย่างเวทนาของทหารที่ยืนเฝ้าหน้าวัดดังขึ้น ร่างของพวกเขาถูกลูกธนูที่พุ่งผ่านความมืดยิงเข้าใส่ จนพากันล้มลงไป
ขณะนี้ ทหารที่กำลังพักผ่อนอยู่ในวัดก็วุ่นวายขึ้นมา ทุกคนจับอาวุธโดยไม่สนใจที่จะสวมชุดเกราะ และแสดงท่าทีระแวดระวัง
ไม่รู้ว่าทหารบางคนหยิบโล่หนาๆ ไปยืนบังอยู่หน้าฮูหยินหมีและเด็กชายแต่เมื่อไหร่ และคุ้มกันพวกเขาไว้อย่างแน่นหนา
……………………………………….
ตอนที่ 170 การต่อสู้อย่างดุเดือดภายในวัดดิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ดูเหมือนบัณทิตหนุ่มที่อยู่ข้างกองไฟอีกกอง จะรู้สึกตกตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจนี้ ถึงแม้จะถือคัมภีร์อยู่ในมือ แต่สายตากลับมองไปนอกประตูวัด
เด็กหญิงที่อยู่ข้างตัวเขาก็ช่างใจกล้าไม่น้อย ถึงแม้จะจับชายเสื้อของบัณฑิตหนุ่มไว้แน่น แต่ตาโตๆ ทั้งคู่กลับจ้องมองการเคลื่อนไหวของหน่วยพยัคฆ์ทมิฬด้วยตาที่เป็นประกาย โดยไม่มีสีหน้าหวาดกลัวเลย
พริบตาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ถึงแม้หญิงห้าวผู้นั้นจะไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่ธนูยักษ์ที่อยู่ข้างกายกลับถูกนางคว้าไว้ในมือ ขณะเดียวกันนางก็วางลูกธนูสีดำสามดอกไว้บนนั้นอย่างรวดเร็ว และจ้องมองไปนอกประตูวัดด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก
ขณะนี้นอกจากลูกธนูที่พุ่งเข้ามาอย่างกะทันหันแล้ว ด้านนอกวัดก็เงียบสงบไร้เงาผู้คนปรากฏ
หญิงสาวแซ่ตู้เห็นเช่นนี้ คิ้วของนางก็ค่อยๆ ขมวดขึ้นมา ทันใดนั้นธนูยักษ์ในมือก็ขยับพร้อมกับส่งเสียงดัง “ฟิ้วๆ!” ลูกธนูสีดำทั้งสามดอกพุ่งยิงทะลุหลังคาวัดดินอย่างพร่ามัว
เสียงร้องอย่างเวทนาดังขึ้นสามเสียง จากนั้นก็มีเสียงกลอกกลิ้งไปมาก่อนที่ศพสวมชุดดำสามศพจะร่วงลงมาหน้าวัด
ขณะนี้ มือข้างหนึ่งของหญิงแซ่ตู้คว้าไปยังกระบอกธนูที่อยู่บริเวณนั้น หลังจากที่ธนูยักษ์ในมือสั่นไหว ลูกศรสามดอกก็พุ่งยิงออกไป
แต่เป้าหมายในครั้งนี้กลับเป็นผนังด้านหนึ่งของวัด
ลูกธนูพุ่งเข้าไปในผนังก่อนที่จะมีเสียงร้องอย่างเวทนาดังขึ้นอีกหลายเสียง
“ไม่ดีแล้ว ธนูของหญิงสารเลวผู้นี้เก่งกาจมาก รีบบุกเข้าไปจัดการพวกมันให้หมด” เสียงกระหืดกระหอบของคนผู้หนึ่งดังมาจากด้านหนึ่งของผนังวัด
หญิงแซ่ตู้ตาเป็นประกายเมื่อได้ยินเช่นนี้ หลังจากที่ธนูยักษ์ในมือเคลื่อนไหว ลูกธนูสีดำสามดอกก็พุ่งยิงติดต่อกันออกไป
ครั้งนี้ หลังจากที่ลูกธนูทั้งสามพุ่งเข้าไปบนผนัง กลับมีเสียงดัง “ตึ้งๆ!” ไม่คาดคิดว่ามันจะมีอะไรบางอย่างกั้นไว้
จากนั้นก็มีเสียงดัง “โครม!” “โครม!” ผนังวัดทั้งสองด้านแตกร้าวออกมา คนชุดดำเกือบร้อยคนพุ่งออกมาจากช่องที่แตกร้าว หน่วยพยัคฆ์ทมิฬที่เตรียมพร้อมไว้แต่แรกก็พุ่งเข้าไปต่อสู้ทันที
ครั้งนี้หญิงแซ่ตู้ไม่ได้ใช้ธนูยักษ์ฆ่าศัตรู แต่กลับตั้งลูกธนูสามดอกแล้วจ้องมองนอกประตูวัดอย่างเยือกเย็น
“เฮ่อๆ! ได้ยินมานานแล้วว่าหน่วยพยัคฆ์ทมิฬทางเขตหนานไห่ มีนายกองหญิงฝีมือยิงธนูระดับเทพอยู่คนหนึ่ง ทั้งยังเคยสังหารผู้ฝึกปราณมาแล้วด้วย คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เห็นกับตาตัวเอง ไม่รู้ว่าฝีมือการยิงธนูของเจ้าจะจัดการพี่น้องของเราได้กี่คนกัน?” เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังเข้ามาจากนอกวัด จากนั้นก็มีเงาร่างเคลื่อนไหวก่อนที่คนสามคนจะเดินออกมาจากความมืดอย่างไร้สุ้มเสียง และเดินมายังประตูวัดด้วยท่าทีหยิ่งยโส
พวกเขาคือชายฉกรรจ์ชุดดำที่มีสีหน้าโหดเหี้ยมจำนวนสามคน
หญิงแซ่ตู้เห็นเช่นนี้ สีหน้าของนางก็ยิ่งเยือกเย็นมากขึ้นกว่าเดิม หลังจากที่ธนูยักษ์ในมือส่งเสียงดังออกมา ลูกธนูที่อยู่ในกระบอกก็ค่อยๆ พุ่งขึ้นมาเอง จากนั้นลูกธนูสีดำจำนวนมากพุ่งยิงออกไปราวกับสายฝนกระหน่ำ
ทั้งสามคนดูวางมาดเป็นอย่างมาก แต่พอถูกโจมตีด้วยลูกธนูจำนวนมากเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจไม่น้อย พวกเขาต่างก็ขยับมือข้างหนึ่งก่อนที่จะมีโล่หนังสีเหลืองโผล่ออกมา ขณะเดียวกันแสงสีขาวก็เปล่งประกายออกมาบนนั้น พวกมันคืออาวุธอาญาสิทธิ์ระดับต่ำจำนวนสามชิ้น
ครู่ต่อมา เสียงที่ดังราวกับฝนตกกระทบรั้วไม้ไผ่ก็ดังขึ้นบนโล่ทั้งสามทันที
ถึงแม้ทั้งสามจะเป็นผู้ฝึกปราณขั้นต้น แต่ภายใต้การโจมตีที่ติดต่อกันของลูกธนู ทำให้พวกเขารู้สึกว่าโล่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนต้องถอยออกไปไม่รู้ตัว
ภายใต้ความตกใจปนโมโห ทำให้พวกพวกเขาไม่สามารถทำการโจมตีกลับได้ชั่วขณะหนึ่ง
แม้ก่อนหน้านั้นพวกเขาจะเคยได้ยินชื่อเสียงของนางมาบ้าง แต่ก็คิดว่าต่อให้นางจะเก่งกาจแค่ไหนก็เป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น ไม่คาดคิดว่าอาวุธอาญาสิทธิ์ทั้งสามชิ้นที่พวกเขาร่วมมือกันควบคุมจะถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีจนจนมุม
แต่การโจมตีอันรวดเร็วนี้ ทำให้ลูกธนูข้างตัวหญิงแซ่ตู้หมดไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งสามรู้สึกว่าแรงสั่นสะเทือนบนโล่หนังเบาบางลง ราวกับว่าฝ่ายตรงข้ามหยุดการโจมจีแล้ว จึงทำให้พวกเขารู้สึกดีใจมาก
แต่ในขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นจากด้านหลังของทั้งสาม ลูกธนูสีดำขนาดเล็กยาวห้าถึงหกชุ่นพุ่งทะลุท้ายทอยของทั้งสามอย่างรวดเร็ว
ทั้งสามเสียชีวิตภายใต้สถาณการณ์ที่ไม่ทันได้ป้องกัน
หน่วยพยัคฆ์ทมิฬที่กำลังต่อสู้อยู่ในวัดอย่างดุเดือดเห็นเช่นนี้ ก็เปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความดีอกดีใจ
และถึงแม้คนชุดดำเหล่านั้นจะมีจำนวนมาก แต่สถานการณ์อันน่าตกใจนี้ กลับทำให้พวกเขาตกเป็นเบี้ยล่างจนต้องพากันแสดงท่าทีขี้ขลาดตาขาวออกมา
ฮูหยินหมีที่ถูกหน่วยพยัคฆ์ทมิฬจำนวนมากคุ้มกันอยู่เช่นนี้ ถึงแม้สีหน้านางจะยังซีดขาวเล็กน้อย แต่ก็มีรอยยิ้มเผยออกมาเช่นกัน
“ฮึ! สามคนนี้ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง! ดูท่าคงต้องให้ข้าออกโรงเองแล้ว”
ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงแก่หง่อมดังมาจากด้านบนของวัด จากนั้นหลังคาวัดก็แตกกระจายออกมาด้วยเสียงอันดัง เศษกระเบื้องจำนวนมากพุ่งลงมาข้างล่างราวกับสายฝนกระหน่ำ มันปกคลุมฮูหยินหมีและเด็กชายไว้ในนั้น
ทหารหน่วยพยัคฆ์ที่ถือโล่หลายคน ต่างก็รีบยกโล่ขึ้นบังเศษหินที่หล่นลงมากว่าครึ่งหนึ่งด้วยความตกใจ
แต่ขณะนั้นเอง เงาร่างของคนผู้หนึ่งก็พุ่งลงมาข้างล่าง พร้อมกับปะทะมือไปยังแผ่นโล่แต่ละแผ่นอย่างรวดเร็วราวกับปีศาจ
หลังจากมีเสียงดัง “เพล้ง!” “เพล้ง!” ทหารหน่วยพยัคฆ์ทมิฬหลายคนก็กระเด็นออกไปพร้อมเสียงร้องอย่างน่าเวทนา
ร่างของคนผู้นี้หมุนตัวกลางอากาศหนึ่งที แล้วก็ปะทะฝ่ามือลงมายังฮูหยินหมี
หญิงแซ่ตู้เห็นเช่นนี้ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนสีเป็นครั้งแรก นางขยับธนูยักษ์ในมือเพื่อที่จะขัดขวาง แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ทันแล้ว
ถึงแม้ฮูหยินหมีจะมีประกายตาที่ดูหวาดกลัว แต่ยังคงกอดเด็กชายข้างกายไว้แน่นโดยไม่คิดที่จะหลบหลีกการโจมตีเลยแม้แต่น้อย
เสียงดัง “ตู้ม!”
เงาร่างคนผู้นั้นสั่นไหวพร้อมกับพลิกกระเด็นออกไป หลังจากที่หล่นลงพื้นและร่นถอยไปสองสามก้าว ก็สามารถกลับยืนตั้งหลักได้ เผยให้เห็นร่างชายชราที่มีจมูกเหมือนกับเหยี่ยว และสวมชุดคลุมสีเทา
ตากลมๆ ทั้งสองของชายชราจ้องมองคนที่มายืนบังหน้าฮูหยินหมีกระทันหันด้วยความประหลาดใจ
คนที่ออกมือโจมตีจนเขาต้องถอยไปนั้น ไม่คาดคิดว่าจะเป็นหญิงแกร่งมือไม้หยาบกร้านที่ดูเหมือนจะเป็นข้ารับใช้ข้างกายของฮูหยินหมีผู้นั้น
“ท่านคือใคร? มีสถานะเป็นผู้ฝึกปราณกลาง แต่กลับยอมเป็นข้ารับใช้ผู้อื่น เจ้าไม่อับอายบ้างหรือ!” ชายชราจมูกเหยี่ยวตะคอกออกมา
“ฮึ! ผู้ปรึกปราณขั้นกลางอย่างเจ้ายังยอมเป็นนักฆ่าของคนอื่นได้ ทำไมข้าจะเป็นสมุนรับใช้ไม่ได้ วันนี้มีข้าอยู่ เจ้าอย่าคิดที่จะทำร้ายฮูหยินและคุณชายได้เลยแม้แต่ปลายเล็บ!” หญิงแกร่งคว้าเอาง่ามสั้นสีเงินออกมาจากเอวแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด
ชายชราจมูกเหยี่ยวได้ยินก็มีสีหน้าอึมครึมเป็นอย่างมาก แต่พอกวาดสายตามองดูคนที่อยู่ในวัดแล้ว ก็พลันหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“เฮ่อๆ! ไม้ตายของฝ่ายตรงข้ามถูกเปิดเผยออกมาหมดแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องซ่อนตัวอีกต่อไป รีบออกมาจัดการพวกเขาเถอะ!”
“อะไรนะ พวกเจ้ายังมีคนอื่นอีก?” สีหน้าหญิงแกร่งเปลี่ยนไปในทันที
ฮูหยินหมีก็แสดงแววตาหวาดกลัวออกมา
หญิงแซ่ตู้ได้ยิน กลับหรี่ตาลงพร้อมกับจับธนูยักษ์ไว้มั่น และไม่ยิงลูกธนูทั้งสามออกไปโดยง่าย
ทหารหน่วยพยัคฆ์ทมิฬที่เดิมทีกำลังต่อสู้กับคนชุดดำอยู่ ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติจึงได้พากันหยุดการต่อสู้กับคนชุดดำเหล่านั้น
คนชุดดำที่เดิมทีตกเป็นเบี้ยล่าง พอได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็หยุดการโจมตีด้วยความดีใจ และพวกเขาก็ค่อยๆ ห้อมล้อมคนทั้งหมดไว้
ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงแตกร้าวดังมาจากผนังวัดที่สมบูรณ์อีกสองด้าน และแตกเป็นช่องขนาดใหญ่ มีคนแปลกประหลาดเดินออกมาช่องละคน
คนหนึ่งดูสูงไม่เกินสามฉื่อ แต่ศีรษะใหญ่เป็นพิเศษ ดวงตาทั้งสองเรียวเล็กเป็นอย่างมาก เขาเป็นคนเตี้ยม่อต้อ มีสีหน้าโหดเหี้ยมน่ากลัวมาก
ส่วนอีกคนกลับสวมชุดคลุมสีแดงเข้ม หน้าทาแป้งและปัดแก้มแดง หนวดเคราเต็มใบหน้า ดูเป็นหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิง
“หรูซา จูตู๋ ทำไมถึงเป็นพวกเจ้าทั้งสอง ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าถูกหน่วยกิเลนเงินจับลงโทษขังคุกแล้วหรือ!” พอหญิงแกร่งเห็นการปรากฏตัวของทั้งสองก็แสดงสีหน้าเหลือเชื่อออกมา
“เฮ่อๆ! นายของพวกข้ามีความสามารถมหัศจรรย์ เกินกว่าที่คนอย่างพวกเจ้าจะจินตนาการได้ แค่ปลดปล่อยพวกเราสองคนมันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร” คนที่เป็นชายก็ไม่ใช่หญิงก็ไม่เชิงหัวเราะออกมาก่อนที่จะตอบกลับไปด้วยเสียงแหลม
“พี่จูพูดเรื่องไร้สาระกับพวกเขาทำไม ในเมื่อพวกเราเผยตัวตนออกมาแล้ว ทุกคนในนี้ ก็ไม่อาจเอาชีวิตรอดออกไปได้แม้แต่คนเดียว จุ๊ๆ! ไม่เลว ยังมีเหยื่อน่ารักอยู่สองคน เจ้าเด็กนี่เป็นของข้าห้ามใครมาแย่ง ไม่ไหวแล้ว ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ข้าจะต้องโอ๋เขาให้ดีๆ ก่อนค่อยว่ากัน” จูหรูมองไปยังเด็กชายที่อยู่ข้างฮูหยินหมีกับเด็กหญิงที่อยู่ข้างบัณฑิตหนุ่ม แล้วก็กล่าวออกมาด้วยสีหน้าขยะแขยง จากนั้นก็กระโดดตัวกลายเป็นเงาในฉับพลัน และกระโจนเข้าไปหาเด็กหญิงที่อยู่ไม่ไกล
“เฮ้อ! เห็นๆ อยู่ว่าไม่อยากหาเรื่อง แต่เรื่องก็ดันมาหาจนได้ ช่างเป็นเรื่องที่เข้าใจยากยิ่งนัก!” พอบัณฑิตหนุ่มข้างกายเด็กหญิงที่ดูเหมือนตกตะลึงตั้งแต่แรกเห็นเช่นนี้ ก็ถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา จากนั้นก็ขยับแขนไปมา
เสียงดัง “เพล้ง!”
จูหรูส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าเวทนา ร่างของเขากระเด็นกลับไปด้วยความเร็วที่เร็วกว่าตอนกระโจนเข้ามา หลังจากมีเสียงดังขึ้น ร่างของเขาก็ปะทะเข้ากับผนังแตกร้าวอย่างจัง และค่อยๆ ลื่นไหลลงมาพร้อมกับโลหิตที่ไหลทะลัก และไม่สามารถเปล่งเสียงใดๆ ออกมาได้แล้ว
ฉากนี้ทำให้ผู้คนทั้งหมดรู้สึกตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้
“เจ้า…เจ้าเป็นใคร? เจ้ารู้ไหมว่าพวกข้าทำงานให้ใคร!” ในที่สุดชายชราจมูกเหยี่ยวก็เรียกสติกลับมาได้ และกล่าวด้วยความโมโห
“พวกเจ้าทำงานให้ใคร ข้าไม่อยากรู้แม้แต่น้อย ดังนั้นเจ้าเองก็ไปอย่างสงบได้แล้ว” บัณฑิตหนุ่มชายตามองชายชราจมูกเหยี่ยวแล้วกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นพร้อมกับมีเสียงดัง “ฟิ้ว!” และแสงสีเขียวเส้นหนึ่งก็พุ่งยิงออกไป
ชายชราจมูกเหยี่ยวแค่รู้สึกเย็นที่คอ จากนั้นศีรษะของเขาก็กลิ้งหล่นลงมา ร่างไร้ศีรษะโอนเอนไปมาไม่กี่ที ก็ล้มฟุบลงไป
ขณะนี้โลหิตพุ่งสูงออกมาจากคอศพหลายฉื่อ
“ศิษย์จิตวิญญาณ เจ้าเป็นศิษย์จิตวิญญาณ!” คนที่เป็นชายก็ไม่ใช่หญิงก็ไม่เชิงเห็นเช่นนี้ กลับร้องออกมาอย่างตกใจ จากนั้นก็เคลื่อนไหวกลายเป็นเงาสีแดงแล้วพุ่งถอยหนีไป
……………………………………….
ตอนที่ 171 เฉียนหรูผิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
แต่ครั้งนี้กลับมีเสียงดังสะเทือนขึ้นมา ลูกธนูเล็กสามดอกพุ่งไปยังด้านหน้าเขาด้วยเสียงแหลมบาดหู
มันคือลูกธนูที่หญิงแซ่ตู้ยิงออกไปในฉับพลัน
ผู้ฝึกปราณที่ดูเป็นหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิงรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก ถึงแม้ตัวจะยังอยู่บนอากาศ แต่เขากลับสะบัดแขนเสื้อในฉับพลัน ทำให้กระบี่อ่อนราวกับอสรพิษพุ่งออกมาจากแขนเสื้อของเขา หลังจากที่มันหมุนควงเล็กน้อยแล้ว ก็กลายเป็นเงากระบี่สามเงาฟันไปยังลูกธนูทั้งสามอย่างบ้าคลั่ง
เสียงดัง “ตู้ม!”
พริบตาที่ลูกธนูทั้งสามถูกเงากระบี่ฟัน มันก็ระเบิดตัวออกมาราวกับเป็นเครื่องเคลือบดินเผา และยังมีของเหลวสีดำพุ่งออกมาปกคลุมไปทั่ว
ผู้ฝึกปราณที่เป็นหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิง นับว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์การต่อสู้มาไม่น้อย แต่การเปลี่ยนแปลงอันกะทันหันนี้ทำให้เขาไม่อาจป้องกันตัวได้ทัน จึงถูกของเหลวสีดำสาดทั่วตัว
เขาพลิกตัวร่วงลงไปบนพื้น และรีบดมแขนเสื้อข้างหนึ่ง หลังจากที่สัมผัสถึงกลิ่นเหม็นคาวแล้ว เขาก็ส่งเสียงร้องแหลมออกมาด้วยความตกใจปนโมโหอย่างอดไม่ได้
“เจ้าซ่อนอะไรไว้ในลูกธนู?”
“ไม่จำเป็นต้องถามอะไรมาก อีกประเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง ข้าเองก็ไม่อยากเสียเวลาพูดกับคนตาย” หญิงแซ่ตู้ลดธนูยักษ์ในมือลงแล้วกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“อ๊าก…ถึงแม้จะต้องตาย ข้าก็จะต้องฆ่าเจ้าก่อน” ผู้ฝึกปราณที่เป็นหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิงร้องอย่างเวทนา กล้ามเนื้อผิวหนังเปื่อยยุ่ยและละลายไปอย่างรวดเร็ว เขาส่งเสียงแหลมเศร้ากำสรดออกมาในทันที จากนั้นก็ตวัดกระบี่อ่อนในมือ และเขวี้ยงเข้าใส่หญิงแซ่ตู้อย่างโหดเหี้ยม
แสงสีเงินเปล่งประกายออกมา กระบี่อ่อนกลายเป็นสายรุ้งอันเย็นสะท้านพุ่งไปยังเหนือศีรษะของนาง และฟันลงไปอย่างโหดเหี้ยม
นางรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะยังมีท่าไม้ตายนี้อยู่ จึงได้แต่ยกธนูยักษ์ในมือขึ้นต้านทานทันที เพื่อหวังโจมตีให้สายรุ้งอันเย็นสะท้านกระเด็นกลับไป
แต่เห็นได้ชัดว่านางประมาทท่าไม้ตายของผู้ฝึกปราณขั้นกลางคนนี้มากไปหน่อย แม้ว่าธนูยักษ์ในมือจะไม่ใช่อาวุธธรรมดาทั่วไป แต่ไหนเลยจะสามารถเทียบกับอาวุธอาญาสิทธิ์ได้
หลังจากที่มีเสียงดัง “เพล้ง!” สายธนูยักษ์ถูกตัดขาดในทันที หลังจากสายรุ้งอันเย็นสะท้านเปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง มันก็กะจะฟันร่างของนางให้เป็นสองส่วน
แต่ขณะนั้นเองก็มีเสียงดัง “ฟิ้ว!” แสงสีเขียวลำหนึ่งพุ่งมาจากอีกด้าน และฟันลงบนสายรุ้งเย็นสะท้านอย่างรุนแรง
เสียงดัง “เต๊ง!”
แสงสีเขียวสลายกลายเป็นจุดๆ ก่อนที่จะหายไป สายรุ้งเย็นสะท้านก็กระเด็นออกไป และกลายเป็นกระบี่อ่อนก่อนที่จะตกลงบนพื้น
หญิงแซ่ตู้รู้สึกอึ้งเล็กน้อย นางหันหน้าไปมองบัณฑิตหนุ่มทีหนึ่ง
เห็นเพียงแค่บัณฑิตหนุ่มค่อยๆ วางมือลง ประจักษ์ว่าเมื่อครู่เขาได้ยื่นมือเข้าไปช่วยนางไว้
หญิงแซ่ตู้คิดใคร่ครวญเรื่องนี้ แล้วพยักหน้าให้กับบัณฑิตหนุ่ม แต่ไม่ได้กล่าวขอบคุณออกมา และนางก็หันไปตะคอกใส่ทหารหน่วยพยัคฆ์ทมิฬคนอื่นๆ
“พวกเจ้ารออะไรกัน ยังไม่รีบจัดการโจรพวกนี้อีก!”
เดิมทีทหารหน่วยพยัคฆ์ทมิฬต่างก็ตกตะลึงตาค้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่พอได้ยินเช่นนี้ ถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมาในฉับพลัน พวกเขาส่งเสียงตะโกนพร้อมกับกระโจนเข้าใส่คนชุดดำด้วยท่าทีฮึกเหิมกว่าเดิมหลายเท่า
ในทางตรงกันข้าม หลังจากที่หัวหน้าผู้ฝึกปราณของคนชุดดำตายไปหมดแล้ว พวกเขาต่างก็ค่อยๆ ถอยไปอย่างลนลาน และบางคนก็หมุนตัววิ่งหนีอย่างไม่ลังเล
ผลลัพธ์ของการต่อสู้นัวเนียกัน คนบางส่วนก็ถูกฆ่าตายในนั้น แต่ส่วนมากกลับวิ่งหนีลอยนวลไป
ในช่วงระหว่างนี้ หญิงแซ่ตู้กับหญิงแกร่งผู้นั้น กลับยืนอยู่ข้างฮูหยินหมีกับเด็กชายอยู่ตลอดเวลาโดยไม่คิดที่จะต่อสู้ ดูเหมือนยังกังวลว่าผู้ที่มาโจมตีจะมีไม้ตายอื่นซ่อนอยู่
แต่เห็นชัดว่าพวกเขากังวลเกินความจำเป็น
เมื่อหน่วยพยัคฆ์ทมิฬจัดการกับคนชุดดำคนสุดท้ายที่หนีไม่ทันได้แล้ว ก็ไม่มีคนอื่นๆ โผล่มาอีกเลย
หญิงแกร่งเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจยาวออกมา หลังจากที่มองไปทางบัณฑิตหนุ่มแล้ว ก็กระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับฮูหยินหมีเบาๆ สองประโยค
หญิงแซ่ตู้สั่งให้ทหารหน่วยพยัคฆ์ทมิฬเริ่มจัดการสถานที่ และเริ่มสอบสวนคนชุดดำสองคนที่ถูกจับเป็น
“ขอบคุณท่านเซียนที่ยื่นมือเข้าช่วย มิเช่นนั้นเกรงว่าข้ากับลูกของข้าคงยากที่จะหนีพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้” พอฮูหยินหมีเดินมาถึงหน้าบัณฑิตหนุ่ม ก็แสดงความเคารพและกล่าวด้วยความนอบน้อมและจริงใจ
“ใช่แล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าเมื่อครู่สหายได้ช่วยไว้ฮูหยินข้าคงไม่สามารถมีชีวิตกลับไปเสวียนจิงได้” หญิงร่างแข็งแรงทำความเคารพพร้อมกับกล่าวออกมา
“ไม่ต้องขอบคุณข้า ที่ข้าลงมือเมื่อครู่ไม่ใช่เพราะช่วยพวกเจ้า เพียงแค่คนเหล่านี้ลงมือกับข้าก่อนเท่านั้น” บัณฑิตหนุ่มใช้ไม้เขี่ยกองไฟตรงหน้าสองที แล้วตอบกลับอย่างไม่สนใจไยดี ท่าทีของเขาแตกต่างจากก่อนหน้านี้มาก
“ท่านเซียนล้อข้าเล่นแล้ว เป็นเพราะท่านเซียนพวกข้าถึงรักษาชีวิตไว้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ทราบท่านเซียนมีนามว่าอะไร ท่านก็ไปเสวียนจิงใช่หรือไม่?” ฮูหยินหมียิ้มหวานแล้วกล่าวออกไป
“ข้าเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น ไม่อาจให้เรียกว่าท่านเซียนได้ พวกเจ้าเรียกข้าว่า ‘คุณชายเฉียน’ ก็แล้วกัน ข้าจำเป็นต้องไปเสวียนจิงเพื่อทำธุระบางอย่าง” บัณฑิตหนุ่มกล่าวอย่างราบเรียบ
“ที่แท้ก็คือคุณชายเฉียน ข้าแซ่หมี บ้านสามีอยู่ที่เสวียนจิง นับว่าพอมีอิทธิพลเล็กๆ อยู่บ้าง เพียงแต่การออกมาข้างนอกในครั้งนี้ไปล่วงเกินคนบางคนเข้า ในระหว่างทางถึงได้ถูกคนลอบสังหารอยู่หลายครา ถ้าคุณชายยอมคุ้มกันพวกเราล่ะก็ พอถึงเสวียนจิงข้าจะต้องขอบคุณท่านอย่างงาม” ฮูหยินหมีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน
“คุ้มกันพวกเจ้า? ข้าไม่สนใจ ที่ข้ามาเมืองเสวียนจิงครั้งนี้ ก็เพื่อหาสมุนไพรจิตวิญญาณ มารักษาอาการป่วยให้กับหลานสาวข้าเท่านั้น ไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น” บัณฑิตหนุ่มได้ยินก็ตอบกลับไปโดยไม่แม้แต่จะคิด
คำพูดนี้ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของฮูหยินหมีค่อยๆ ชะงักลง
แต่หญิงแกร่งข้างกายผู้นั้น ยังคงกล่าวด้วยสีหน้าเช่นเดิม
“ถ้าคุณชายเฉียนไปเสวียนจิงเพื่อหาสมุนไพรจิตวิญญาณล่ะก็ ฮูหยินข้าสามารถช่วยได้ คุณชายไม่รู้อะไร สามีของฮูหยินข้าเป็นเจ้าของเรือนร้อยวิญญาณที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเสวียนจิง และเรือนร้อยวิญญาณเป็นร้านค้าที่รับซื้อพืชสมุนไพรจิตวิญญาณและแร่ต่างๆ แม้แต่เขตอื่นๆ ก็มีสาขาอยู่ด้วย ถึงแม้สิ่งที่คุณชายต้องการจะหาไม่ได้ในเรือนร้อยวิญญาณ ฮูหยินข้าก็สามารถช่วยติดต่อกับร้านค้าอื่นเพื่อช่วยท่านหาได้”
“อ๋อ! ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของเรือนร้อยวิญญาณมาบ้าง! ฮูหยินเป็นภรรยาเจ้าของเรือนร้อยวิญญาณจริงหรือ?” พอบัณฑิตหนุ่มได้ยินคำพูดนี้ก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป และหันไปสังเกตดูฮูหยินหมีสองที ราวกับกำลังตรวจสอบว่าคำพูดของหญิงแกร่งนั้นจริงเท็จประการใด
“เพียงแค่คุณชายคุ้มกันข้ากับลูกชายกลับถึงเสวียนจิงอย่างปลอดภัย ไม่ว่าท่านจะต้องการสมุนไพรแบบใด ข้าก็จะช่วยท่านหา” มาถึงตอนนี้แล้วฮูหยินหมีก็กัดฟันแล้วยอมรับออกมา
“หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็…ได้ ข้าจะเชื่อพวกเจ้าสักครา! แต่ต้องพูดกันให้ชัดเจนก่อน ถ้าถึงเสวียนจิงแล้วฮูหยินไม่ทำตามคำพูดล่ะก็ อย่าโทษว่าข้าไร้น้ำใจก็แล้วกัน” บัณฑิตหนุ่มลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้าตอบรับ
“เฮ่อๆ! สหายวางใจได้ ขอเพียงแค่ไม่ใช่วัตถุจิตวิญญาณฟ้าดินในตำนานเหล่านั้น สมุนไพรจิตวิญญาณทั่วไปย่อมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน” หญิงแกร่งรีบกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฮึ! สมุนไพรจิตวิญญาณที่ข้าหานับว่าราคาไม่สูง เพียงแต่มันพบเจอได้น้อยมาก บวกกับมีคนต้องใช้มันน้อย ถึงได้ตามหายาก” ดูเหมือนบัณฑิตหนุ่มจะเข้าใจความหมายของหญิงแกร่ง ถึงได้ทำเสียงฮึดฮัดก่อนกล่าวออกไป
“นี่ก็ไม่มีปัญหา ใช่สิ! ไม่ทราบว่าหลานของท่านป่วยเป็นอะไร ข้าเองก็ค่อนข้างชำนาญวิชาแพทย์ ให้ข้าตรวจดูหน่อยไหม?” หญิงแกร่งได้ยินก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา แต่พอมองดูเด็กหญิงตัวผอมหน้าเหลืองที่อยู่ข้างกายบัณฑิตหนุ่มแล้ว ก็อดที่จะพูดออกไปไม่ได้
“ไม่ต้องแล้ว ถ้าสหายชำนาญด้านการแพทย์ล่ะก็ ลองแก้พิษในร่างกายของคุณชายน้อยดูก่อนเถอะ” บัณฑิตหนุ่มส่ายศีรษะแล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“อะไรนะ! คุณชายถูกพิษ!”
“เป็นไปไม่ได้ ลูกข้าจะถูกพิษได้อย่างไร”
พอหญิงแกร่งกับฮูหยินหมีได้ยินก็หลุดปากออกมาพร้อมกัน
“เฮ่อๆ! ถ้าทั้งสองไม่เชื่อล่ะก็ ลองไปตรวจดูได้ ดูจากหน้าผากที่มีไอดำคล้ำ เห็นได้ชัดว่าโดนพิษมาอย่างน้อยหนึ่งเดือนขึ้นไป” บัณฑิตหนุ่มมองหน้าเด็กชายทีหนึ่ง แล้วก็ตอบกลับไปอย่างสบายๆ
ได้ยินบัณฑิตหนุ่มยืนยันเช่นนี้ ฮูหยินหมีกับหญิงแกร่งก็มองตากัน และเชื่อบัณฑิตหนุ่มโดยไม่รู้ตัว
ฮูหยินหมีรีบกล่าวขอตัวกับบัณฑิตหนุ่มแล้วนางกับหญิงแกร่งก็จูงเด็กชายเดินกลับไป
หญิงแกร่งกำชับหญิงรับใช้คนนั้นสองสามที จากนั้นก็รีบออกไปจากประตูวัดอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปไม่นาน หญิงรับใช้สาวก็หอบห่อตุงนูนเดินเข้ามา
หญิงแกร่งรับห่อผ้ามาแล้วค้นหาในนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก็หยิบกล่องเข็มเงินกับยันต์หลายผืนออกมาได้อย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางสายตาที่เป็นกังวลของฮูหยินหมี หญิงแกร่งแปะยันต์บนตัวของเด็กชายผืนหนึ่ง จากนั้นก็ฝังเข็มเงินจำนวนมากลงบนแขนของเด็กชายอย่างรวดเร็ว
“พี่หมิง เขาถูกพิษจริงๆ หรือ?”
ขณะนี้เด็กหญิงที่นั่งชิดอยู่ข้างบัณฑิตหนุ่มเงยหน้าขึ้นถามอย่างอดไม่ได้
“อืม! ถูกพิษจริงๆ ทั้งยังเป็นพิษประหลาดที่มีปัญหาเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะข้า พวกเขาคงค้นพบเรื่องนี้ก่อนวันพิษกำเริบหนึ่งวันเท่านั้น” บัณฑิตหนุ่มตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ขณะเดียวกันก็ใช้มือลูบศีรษะของเด็กหญิงด้วยความสงสาร
แน่นอนว่าบัณฑิตที่ดูเหมือนอายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปีนี้ คือหลิ่วหมิงที่ปลอมตัวมา
หลังจากที่เขาไปจากเขตเฟิ่งอวิ๋นแล้ว ก็ไปเมืองเล็กๆ ที่อยู่อีกเขตหนึ่ง สืบหาจนเจอทายาทเพียงหนึ่งเดียวของอาเฉียน และนางก็คือหลานสาวของของอาเฉียนนั่นเอง
บนเกาะมฤตยูในตอนนั้น อาเฉียนที่เป็นเหมือนพ่อและอาจารย์ของเขาผู้นั้น ความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวก่อนตายของเขาคือ หวังว่าถ้าหลิ่วหมิงมีโอกาสล่ะก็ ช่วยดูแลทายาทของท่านด้วย
หลังจากที่หลิ่วหมิงไปจากเกาะมฤตยูแล้ว ก็ถูกคนตามล่ามาโดยตลอด จากนั้นก็ได้เป็นศิษย์นิกายปีศาจโดยไม่คาดคิด จนถึงตอนนี้ถึงได้มีเวลาไปบ้านเกิดของอาเฉียนเพื่อสืบหาทายาทของท่าน
แต่หลังจากที่เขาสืบหาแล้ว กลับค้นพบว่าก่อนอาเฉียนถูกจับไปขังที่เกาะมฤตยูนั้น ท่านมีบุตรชายอยู่เพียงคนเดียว ถึงแม้จะมีครอบครัวไปนานแล้ว แต่เมื่อหลายปีก่อนทั้งสองสามีภรรยาต่างก็เสียชีวิตจากโรคระบาด ทิ้งลูกสาวอายุสามสี่ขวบที่ชื่อว่าเฉียนหรูผิงไว้เพียงคนเดียว
ด้วยเหตุนี้ เด็กหญิงที่ไม่มีพ่อแม่อยู่ข้างกาย ย่อมถูกญาติคนอื่นๆ แย่งเอาทรัพย์สินไปทั้งหมด ผ่านไปไม่นานก็ถูกขับไล่ออกจากบ้าน จนต้องตกเป็นขอทานน้อย
……………………………………….
ตอนที่ 172 ขับพิษ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตอนที่หลิ่วหมิงหาเด็กหญิงเจอในบ้านไม้ทรุดโทรมแห่งหนึ่งที่อยู่ในเมือง นางก็ป่วยหนักจนดูเหมือนหายใจรวยรินแล้ว
ถ้าไม่ใช่ว่าแถวนั้นมีขอทานใจดีหลายคนที่ดูแลนาง เกรงว่าหลานสาวของอาเฉียนผู้นี้คงจะจากโลกนี้ไปตั้งแต่อายุยังน้อยแล้ว
ภายใต้ความตกใจ แน่นอนว่าหลิ่วหมิง ย่อมพยายามรักษาอย่างสุดกำลัง แต่กลับค้นพบว่าเด็กหญิงป่วยเป็นโรคประหลาดที่พบเจอได้น้อยมากบนโลกใบนี้ ไม่คาดคิดว่ามันจะกลืนกินพลังชีวิตของเด็กหญิงอยู่ไม่หยุด ราวกับว่านางป่วยเป็นวัณโรคอย่างนั้น
ดีที่ว่าตอนอยู่บนเกาะมฤตยู หลิ่วหมิงเคยเรียนตำราโอสถเกี่ยวกับการรักษาโรคซับซ้อนรักษายากกับคนจำนวนหนึ่งมาไม่น้อย บวกกับที่ตนเองได้พกยันต์และโอสถมาด้วย จึงสามารถระงับอาการป่วยของนางไว้ได้ชั่วคราว และพอประคับประคองไม่ให้อาการของนางทรุดลง แต่ถ้าจะรักษาที่ต้นตอล่ะก็ จำเป็นต้องใช้สมุนไพรจิตวิญญาณที่พบเจอได้น้อยมากบนโลกใบนี้
ดังนั้นเมื่อเขารอจนอาการป่วยของเฉียนหรูผิงดีขึ้นเล็กน้อยแล้ว คืนนั้นจึงจัดการเผาบ้านญาติที่แย่งเอาทรัพย์สินของลูกชายอาเฉียนไป และยังทิ้งทรัพย์สินเงินทองให้กับเด็กขอทานที่ช่วยดูแลเด็กหญิง จากนั้นจึงได้พาเด็กหญิงไปจากบ้านเกิดมุ่งหน้าเข้าสู่เสวียนจิง
ถึงแม้สมุนไพรจิตวิญญาณที่เขาตามหาจะพบเจอได้น้อยมาก แต่เสวียนจิงใหญ่ขนาดนั้นก็ยังพอมีความหวังที่จะหาเจอได้
อีกอย่าง มันก็ใกล้จะถึงเวลารับภารกิจของเขาแล้ว ไม่อาจเอ้อระเหยลอยชายอยู่นอกเมืองเสวียนจิงต่อไปได้นาน
และในระหว่างทาง เขาได้ใช้หน้ากากพันหน้าเปลี่ยนโฉมตนเองจนมีรูปโฉมดังเช่นตอนนี้ ขณะเดียวกันก็ใช้วิชาเปลี่ยนกระดูกเปลี่ยนรูปร่างให้เตี้ยกว่าก่อนหน้านั้นสองส่วน ทำให้รูปร่างสูงใหญ่ของเขาดูเหมือนคนทั่วไป
ส่วนหลังจากรักษาอาการป่วยของเฉียนหรูผิงจนหายดีแล้วจะทำอย่างไรต่อนั้น เป็นเรื่องที่เขาค่อยคิดในภายหลัง
อย่างน้อยในระหว่างที่อยู่เสวียนจิงนี้ นางจะต้องตามติดเขาอยู่ตลอดเวลา
ตั้งแต่ที่เฉียนหรูผิงได้รับความช่วยเหลือจากหลิ่วหมิง ให้รอดพ้นจากการป่วยหนัก นางก็แสดงออกว่าต้องพึ่งพาอาศัย ‘พี่หมิง’ คนนี้เป็นอย่างมาก แม้กระทั่งตอนนอนหลับยังต้องใช้มือข้างหนึ่งจับชายเสื้อของหลิ่วหมิงไว้ ถึงจะหลับได้อย่างสบายใจ ท่าทีของนางที่ดูเหมือนกลัวว่าตื่นมาจะถูก ‘พี่หมิง’ ทอดทิ้งนั้น แลดูน่าสงสารเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงเองก็รู้สึกสงสารเด็กหญิงร่างผอมอ่อนแอ ที่เป็นสายสัมพันธ์ของอาเฉียนคนนี้เป็นอย่างมาก คำขอร้องเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างการเดินทาง เขาก็จำเป็นต้องรับปากนาง แม้กระทั่งบางทีเขายังแสดงวิชาง่ายๆ ทำให้เด็กหญิงหัวเราะ “เอิ๊กอ๊าก!” อยู่ไม่หยุด
เพื่อที่จะดูแลสุขภาพของเฉียนหรูผิง เขาไม่อาจใช้วิชาทะยานเวหาในการเดินทางได้ แต่ตอนที่ออกเดินทาง เขาได้จ้างรถม้าคันหนึ่ง และขับรถม้าพาเด็กหญิงออกเดินทางไปเสวียนจิงด้วยตนเอง
หลิ่วหมิงเองก็คิดไม่ถึงว่า พอใกล้จะถึงเสวียนจิงแล้ว กลับได้มาพบกับหน่วยพยัคฆ์ทมิฬที่ตามล่าจนเขาต้องจนมุมในปีนั้นในวัดดินแห่งนี้ และยังมีฉากการไล่ฆ่าบังเกิดขึ้นอีกครั้ง
ก็เหมือนกับที่เขาได้กล่าวไว้ในตอนแรก ถ้าจูหรูผู้นั้นไม่ลงมือกับเฉียนหรูผิงก่อน เขาก็ขี้เกียจที่ยื่นมือเข้าไปแทรก
เพราะเรื่องแบบนี้มันเกี่ยวพันกับอิทธิพลในเสวียนจิง
ในขณะที่เขาไม่ได้เข้าใจเสวียนจิงอย่างแจ่มแจ้ง ก็ไม่อยากเผยตัวตนศิษย์จิตวิญญาณของตนเองต่อหน้าผู้คนโดยตรง
แน่นอนว่าตอนนี้มันย่อมไม่เหมือนกัน
ในเมื่อเขาได้ยื่นมือเข้าไปแล้ว ก็คิดที่จะยืมอิทธิพลของฮูหยินหมีผู้นี้ เพื่อใช้สถานะผู้ฝึกฝนอิสระเข้าไปในเสวียนจิง
ตามที่เขาทราบมา ทุกปีมีผู้ฝึกฝนอิสระปรากฏตัวอยู่ในเสวียนจิงไม่ใช่น้อย สถานการณ์ปกติคงไม่มีใครสังเกตเห็นได้
ส่วนพิษประหลาดที่เด็กชายได้รับนั้นไม่ใช่ว่ามีไอดำอยู่ตรงระหว่างคิ้วแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเขาใช้พลังจิตอันแข็งแกร่งกวาดมองร่างกายของเด็กชาย ถึงค้นพบว่าร่างกายภายในเขาผิดปกติ
เพื่อรักษาความลับของตนเอง เขาถึงได้กล่าวออกไปเช่นนั้น
ขณะนี้ หญิงแกร่งได้ดึงเข็มเงินออกจากแขนเด็กชายมาเล่มหนึ่ง ผลลัพธ์คือส่วนล่างของเข็มมีสีดำมืดไปหมด
สิ่งนี้ทำให้ฮูหยินหมีร้องออกมาด้วยความตกใจ
หญิงแกร่งรีบแปะยันต์ไม่กี่แผ่นที่เหลืออยู่ในมือลงบนตัวเด็กชาย
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หญิงแกร่งก็ดึงเข็มเงินออกมาอีกเล่ม หลังจากที่เห็นว่าเข็มเงินยังคงเป็นสีดำเหมือนเดิม นางก็ดูหน้าเสียขึ้นมา
สีหน้าฮูหยินหมีกลับเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกตกใจ หลังจากที่พูดอะไรกับหญิงแกร่งอย่างรวดเร็วแล้ว นางก็หยิบขวดใบเล็กละเอียดอ่อนออกมาจากตัว และเทโอสถสีเขียวหยกออกมาใส่ปากเด็กชาย
ผ่านไปสักครู่ เมื่อนางดึงเข็มเงินออกมาแล้วยังเห็นเป็นสีดำเช่นเดิม ทั้งสองก็รู้สึกกระวนกระวายเป็นอย่างมาก
หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันเบาๆ ไม่กี่ประโยคแล้ว ก็จูงมือเด็กชายเดินเข้ามาหาหลิ่วหมิง
“คุณชายเฉียน ลูกชายข้ามีพิษประหลาดในร่างกายจริง ข้ากับหงเส่าได้พยายามอย่างสุดกำลังแล้ว แต่ไม่อาจแก้พิษนี้ได้ เมื่อคุณชายตรวจเจอพิษนี้ได้ คิดว่าจะต้องรู้วิธีแก้พิษด้วยเช่นกัน” ฮูหยินหมีเดินมาถึงหน้าหลิ่วหมิง และกำลังจะพาลูกชายโค้งคำนับเขา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้น เขาเพียงแค่สะบัดแขนเสื้อ พลังไร้รูปบางอย่างก็พรั่งพรูออกมา
ฮูหยินหมีที่กำลังจะโค้งคำนับรู้สึกทันทีว่าพลังตรงหน้าค้ำร่างนางไว้จนไม่สามารถโค้งคำนับได้
“ฮูหยินไม่จำเป็นต้องมากพิธี พิษนี้ถึงแม้จะร้ายแรง แต่ไม่อาจกำเริบได้ในระยะเวลาสั้นๆ ถึงแม้ว่าข้าจะแก้มันได้ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ภายในวันเดียว จำเป็นต้องใช้การฝังเข็มเอาโลหิตออกถึงจะค่อยๆ ขับมันออกมาได้ เพราะลูกชายท่านได้ถูกพิษซึมไปค่อนข้างมากแล้ว!” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่เห็นผลก็ไม่ต้องกลัวว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ คุณชายสามารถขับพิษในตอนนี้ได้เลยหรือไม่?” ฮูหยินหมีได้ยินก็ดีใจเป็นอย่างมาก นางกล่าวออกไปโดยไม่ต้องคิด
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะลองดู แต่ข้าไม่ชอบให้มีคนมาดูในขณะทำการขับพิษ ฮูหยินและคนอื่นๆ จะต้องหลบไปก่อน” หลิ่วหมิงกวาดสายตามองดูเด็กชายผู้นั้นแล้วกล่าวออกมาอย่างสงบ
“หลบไปก่อน? คุณชายต้องกายให้พวกข้าหลบอย่างไร?” หญิงแกร่งไม่ได้รู้สึกแปลกใจ แต่กลับถามออกไปอย่างระมัดระวัง
“อืม! พวกเจ้าไม่ต้องไปไหน ข้าสามารถแสดงวิชากั้นพวกเจ้าไว้ได้” หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง แสงสีดำจำนวนหนึ่งม้วนตัวออกมา และจมหายเข้าไปในร่างของเด็กชาย
เด็กชายที่เดิมทีเบิกตาจ้องมองหลิ่วหมิงอยู่ได้สลบลงไปทันที โดยไม่เปล่งเสียงออกมาเลยสักคำ แต่พอร่างของเขาจะล้มลง ก็ถูกพลังไร้รูปบางอย่างห่อหุ้มไว้ ทำให้ร่างของเขาลอยต่ำอยู่ในอากาศ
ฉากนี้สร้างความตกใจให้กับฮูหยินหมีที่ไม่ทันตั้งตัว สีหน้านางดูเป็นกังวลและกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่กลับถูกหงเส่าดึงแขนเสื้อไว้ นางถึงได้เปลี่ยนคำพูดในฉับพลัน
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต้องรบกวนคุณชายเฉียนแล้ว ข้าจะรออยู่ที่นี่ละกัน”
หลิ่วหมิงพยักหน้า และหันไปกำชับกับเด็กหญิงข้างตัวไม่กี่ประโยค จากนั้นก็โบกมือย้ายเด็กชายลอยไปยังอีกมุมหนึ่งของวัดดิน
เขาขยับร่างเพียงทีเดียวก็ไปปรากฏอยู่ข้างเด็กชายอย่างรวดเร็วราวกับปีศาจ จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว ไอดำพวยพุ่งออกมาจากร่าง และมันก็รวมตัวกันเป็นหมอกดำกลุ่มหนึ่งปกคลุมรัศมีหลายจั้งไว้
ด้วยเหตุนี้ฮูหยินหมีกับหงเส่าต่างก็มองหน้ากัน และก็ได้แต่ยืนรออยู่ที่เดิม
และขณะนี้ หญิงแซ่ตู้ก็สอบสวนเชลยเสร็จแล้ว และนางก็ก้าวยาวๆ เดินเข้ามา
“ฮูหยินหมี ข้าได้ตรวจสอบดูแล้ว คนเหล่านี้เป็นแค่โจรปล้นสะดมในหมู่บ้านบางแห่งที่อยู่บริเวณนี้ หลายวันก่อนถูกผู้ฝึกปราณสองสามคนรับเป็นลูกน้อง และถูกบังคับให้มาโจมตีพวกเรา ไม่เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกเราเป็นใครเท่านั้น แม้แต่ที่มาของผู้ฝึกปราณสองสามคนนั้นก็ไม่รู้เลย” หญิงนางนี้กล่าวกับฮูหยินหมีอย่างเยือกเย็น
“นายกองตู้ นี่ก็ไม่แปลกหรอก เรือนร้อยวิญญาณของพวกเรามีคู่แข่งทางการค้าเพียงไม่กี่ราย นอกจากพวกเขาแล้วจะมีใครส่งคนมาจัดการพวกเราได้ เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึงว่า ครั้งนี้พวกเขาจะกล้าลงมือใกล้กับเสวียนจิงขนาดนี้ มิเช่นนั้นหลายวันก่อนคงไม่ให้พี่น้องปาซื่อกลับไปส่งข่าวที่เสวียนจิงก่อน” ฮูหยินหมีได้ยินก็เผยแววตาเคร่งขรึมออกมา และกัดฟันกรอดๆ ในขณะที่กล่าว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไม่เก็บเฉลยทั้งสองคนนั้นไว้ เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด ข้าได้แบ่งคนออกเป็นสองกลุ่มคอยระแวดระวังป้องกัน เผื่อว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก!” หญิงแซ่ตู้ได้ยินก็ลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา
“ดี! ทุกอย่างเอาตามที่เจ้าพูด น้องสาว เจ้าก็เหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว รีบไปพักผ่อนเถอะ!” ถึงแม้ว่าฮูหยินหมีจะเป็นห่วงเรื่องการขับพิษของลูกชายมาก แต่ยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หญิงแซ่ตู้พยักหน้า และกวาดสายตามองไปยังมุมวัดทีหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปนั่งข้างกองไฟเงียบๆ
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป หลังจากมีเสียงสูดลมหายใจยาวดังออกมา หมอกดำที่เข้มข้นก็ค่อยๆ สลายไปในที่สุด
มือทั้งสองของหลิ่วหมิงอุ้มร่างของเด็กชายอยู่ เขาปรากฏตัวออกมาด้วยสีหน้าที่อ่อยเพลีย
พื้นบริเวณนั้นมีโลหิตพิษสีดำอยู่กองหนึ่ง และมันยังส่งกลิ่นเหม็นจนทำให้คนอยากจะอาเจียนออกมา
“คุณชายเฉียน ลูกชายข้า…” ฮูหยินหมีรีบเดินเข้าไปรับลูกชายกลับมา หลังจากที่เห็นเขายังไม่ฟื้น ก็สอบถามด้วยความกังวล
“วางใจเถอะ! ข้าขับพิษส่วนหนึ่งออกไปแล้ว อย่างน้อยหลายวันนี้พิษที่เหลืออยู่ก็ไม่อาจกำเริบได้” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หงเส่าก้าวเข้าไปสองสามก้าว และใช้เข็มเงินฝังบนแขนของเด็กชายอย่างระมัดระวัง หลังจากที่ดึงมันออกมา ก็พบว่าส่วนที่เข้าไปในเนื้อนั้น มีแค่ไอสีดำจางๆ เท่านั้น นางถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ฮูหยินหมีเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกวางใจขึ้นมา และกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยความซาบซึ้งใจ
“ครั้งนีโชคดีมากที่ได้พบเจอกับคุณชาย มิเช่นนั้นต่อให้จะสามารถขับไล่นักฆ่าเหล่านั้นไปได้ แต่ชีวิตลูกชายข้าคงจะหาไม่แล้ว พอถึงเสวียนจิง นอกจากสมุนไพรจิตวิญญาณแล้ว ข้าจะต้องเตรียมของขวัญอย่างอื่นเพื่อตอบแทนท่านอย่างงาม”
“สิ่งของอย่างอื่นช่างมันเถอะ! แต่สมุนไพรจิตวิญญาณที่หลานสาวข้าต้องการจะต้องถึงมือโดยไว นอกจากนี้หลังจากคุณชายขับโลหิตพิษออกมาแล้วร่างกายจะอ่อนแอเล็กน้อย รอฟื้นแล้วลองให้เขาทานของบำรุงเสริมเข้าไปหน่อย แน่นอนว่าไม่ควรให้มากเกินไปในแต่ละครั้ง เพื่อป้องกันการรับไม่ไหวของร่างกาย อีกอย่างการขับพิษเช่นนี้ ต้องทำทุกสามวัน หลังจากหนึ่งเดือนแล้วถึงขับพิษออกไปได้หมด” หลิ่วหมิงส่ายหน้าแล้วกล่าวอย่างราบเรียบ
“ได้! คุณชายวางใจเถอะ! รอกลับถึงเสวียนจิง ข้าจะรีบสั่งให้คนของข้าช่วยคุณชายหาสมุนไพรจิตวิญญาณตัวนั้น แต่เรื่องการขับพิษของลูกข้า ยังต้องขอให้คุณชายช่วยต่อไป” ฮูหยินหมีกล่าวโดยไม่ต้องคิด
……………………………………….
ตอนที่ 173 เข้าเมือง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ครั้งนี้หลิ่วหมิงได้แต่พยักหน้าโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
ฮูหยินหมีกับหงเส่าพาเด็กชายกลับยังกองไฟกองเดิม และเริ่มเตรียมอาหารบำรุงให้เด็กชาย เมื่อเด็กชายฟื้นขึ้นมาจะได้ให้ทานเลย
เช้าวันที่สอง ทหารเกราะดำกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมรถม้าสองสามคันมุ่งหน้าไปยังเสวียนจิง แต่ว่าในนั้นมีรถม้าคันเล็กๆ ที่ใช้ล่อลาก เทียบกับคันอื่นๆ แล้วมันไม่เข้ากันเลย
หลังจากผ่านการต่อสู้มาเมื่อวาน หน่วยพยัคฆ์ทมิฬเหล่านี้ก็มีคนตายไปเจ็ดถึงแปดคน และคนอื่นๆ ต่างก็มีบาดแผลตามร่างกาย แต่ศพที่เสียชีวิตได้เผาไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ส่วนคนที่ได้รับบาดเจ็บก็ทาโอสถเล็กน้อย จากนั้นก็สวมใส่เกราะเหล็ก เมื่อมองดูจากภายนอกจะไม่พบความผิดปกติใดๆ
ธนูยักษ์บนหลังของหญิงแซ่ตู้ก็ถูกเปลี่ยนสายธนูเส้นใหม่ และสวมหมวกเกราะปิดบังใบหน้าเดินอยู่ข้างรถม้าของฮูหยินหมี
คนทั้งกลุ่มเดินทางไปตามถนนสายหลักจนไกลออกไปเรื่อยๆ ไม่นานก็หายลับไปจากวัดร้างแห่งนั้น
……
ภายในห้องโถงที่ตกแต่งอย่างโอ่อ่ารโหฐาน คนสวมชุดคลุมผ้าดิ้นบุคลิกภูมิฐานอายุราวๆ สามสิบกว่าปี เพิ่งอ่านจดหมายลับในมือที่ส่งมาจากนอกเมืองเสวียนจิงจบ ทันใดนั้นเขาก็ตบโต๊ะที่อยู่ข้างตัวด้วยสีหน้าเดือดดาล
“มีอย่างที่ไหนกัน! ช่างกล้าลอบสังหารฮูหยินกับลูกรักข้าในระยะที่ใกล้เสวียนจิงเช่นนี้ เห็นข้าเฉียนเชาเป็นรูปปั้นพระโพธิสัตว์หรืออย่างไร เด็กๆ !” เขาตะโกนออกไป
“นายท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้!”
ชายฉกรรจ์ร่างกายบึกบึนรีบเข้ามาโค้งคารวะ
“รีบส่งพี่น้องปาซื่อออกไปคุ้มกันพวกฮูหยินกลับเข้าเสวียนจิงโดยเร็ว อีกอย่าง ส่งคนไปบอกท่านอ๋องสามว่าข้าขอยืมให้หน่วยเงาปีศาจของเขา เพื่อตรวจสอบเรื่องบางอย่าง” ชายชุดคลุมผ้าดิ้นสั่งโดยไม่ต้องคิด
“ทราบ! ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” ชายฉกรรจ์รีบตอบรับในทันที จากนั้นก็คารวะก่อนที่จะถอยออกไป
“ฮึ! ข้าเฉียนเชามีลูกชายแค่คนเดียว ใครก็ตามที่คิดแตะต้องเขา ข้าจะไม่ละเว้นโดยเด็ดขาด” ชายชุดผ้าดิ้นทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวกับตนเอง
ขณะเดียวกัน ในห้องลับที่เร้นลับเป็นพิเศษซึ่งตั้งอยู่นอกเสวียนจิง ชายร่างอ้วนที่สวมชุดผ้าแพรต่วนเองก็โกรธจนเต้นแร้งเต้นกา
“ไร้ประโยชน์! ไอ้พวกไร้ประโยชน์ ผู้ฝึกปราณขั้นกลางตั้งสามคนลงมือพร้อมกันกับคนเยอะขนาดนี้ ก็ยังไม่สามารถจัดการพวกมันได้ ทั้งยังถูกพวกมันจัดการจนราบคาบ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่ข้าจะยืมผู้ฝึกปราณทั้งสามคนมาจากนายท่านได้ ตอนนี้ไปตายอยู่ที่นั่นกันหมดแล้ว จะให้ข้ากลับไปรายงานนายท่านว่าอย่างไร? ไป! ไสหัวไปให้ไกล ยิ่งไกลยิ่งดี!”
ชายร่างอ้วนสูงเจ็ดฉื่อกว่าๆ รูปร่างเต็มไปด้วยไขมัน ทำให้พุงกลมโตราวกับเป็นลูกหนังกลมๆ ขณะนี้ตากลมทั้งคู่ของเขาเบิกกว้าง และด่าชายรูปร่างผอมแห้งที่ดูคล้ายพ่อบ้านอย่างเกรี้ยวกราด
ชายที่ดูคล้ายพ่อบ้านมีสีหน้าตื่นตระหนกและไม่กล้าพูดแก้ตัวใดๆ แต่พอได้ยินประโยคสุดท้ายของขายร่างอ้วนถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา และถอยหัวซุกหัวซุนออกไปจากห้องลับ
“พี่มู่ ท่านใจกว้างกับลูกน้องไปหน่อย ถ้าเป็นคนของข้าทำผิดพลาดขนาดนี้ คงลากไปให้สุนัขกินตั้งนานแล้ว” ตรงมุมห้องลับยังมีเงาร่างที่มองเห็นไม่ชัดเจนนั่งอยู่บนเก้าอี้
“ฮึ! พ่อบ้านข้าติดตามข้ามาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว ทั้งยังมีสายสัมพันธ์เป็นญาติห่างๆ กับฮูหยินข้า แม้ครั้งนี้จะทำงานไม่ราบรื่น แต่ก็ไม่ถึงกับต้องลงโทษรุนแรง” ชายร่างอ้วนสงบสติอารมณ์ได้แล้ว จึงตอบอย่างไม่มีทางเลี่ยง
“ท่านจะจัดการคนของท่านอย่างไร ข้าย่อมไม่ก้าวก่าย แต่งานนี้ล้มเหลวไปแล้ว แม้กระทั่งผู้ฝึกปราณทั้งสามคนก็เสียชีวิตไปด้วย คงไม่ใช่เรื่องดีที่จะให้ข้ากลับไปรายงานนายท่าน” เงาร่างพร่ามัวถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา
“คำพูดนี้หลอกคนอื่นได้ ใยต้องเอามารับมือกับข้าด้วย ถึงแม้ผู้ฝึกปราณสามคนจะหาได้ยากในเสวียนจิง แต่สำหรับนายท่านแล้วก็เป็นแค่ผู้คุ้มกันธรรมดาสามคนเท่านั้น นายท่านอยากได้ผู้คุ้มกันที่มีพลังระดับนี้ล้วนเป็นเรื่องง่ายดาย เจ้าเพียงแค่ช่วยข้าพูดดีๆ ไม่กี่ประโยค ข้าย่อมปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง” ชายร่างอ้วนได้ยินกลับทำตาขาวมองบนแล้วกล่าวออกมา
จากนั้นเขาก็หยิบถุงผ้าตุงนูนออกมาจากอก และโยนไปยังมุมห้องด้วยความปวดใจ
“เฮ่อๆ! ข้ารู้ว่าพี่มู่ไม่ใช่คนขี้เหนียวอย่างแน่นอน ได้! เรื่องนี้มอบให้ข้าจัดการเถอะ! แต่ท่านก็ต้องระวังไว้บ้าง การลงมือในครั้งนี้นับว่าฉีกหน้าเรือนร้อยวิญญาณไปแล้ว คนผู้นั้นมีอิทธิพลอยู่ในเสวียนจิงไม่น้อย เกรงว่าคงจะสืบมาถึงท่านโดยเร็ว” เงาร่างพร่ามัวรับถุงผ้ามาตรวจสอบแล้วก็กล่าวด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“เรื่องนี้เจ้าไม่พูดข้าก็ย่อมรู้ แต่สองตระกูลเราได้ต่อสู้กันในที่มืดมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ขอเพียงข้าไม่ไปจากเสวียนจิง เขาจะกล้ามาหาเรื่องข้าได้หรือ!” ชายร่างอ้วนแซ่มู่กล่าวอย่างไม่สนใจ
“ได้! พี่มู่มีแผนในใจก็พอแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้ากลับไปรายงานนายท่านก่อน” เงาร่างพร่ามัวพยักหน้ากล่าวออกมา จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียวแล้วก็จมหายเข้าไปในผนังด้านหลังอย่างไร้ร่องรอย
ไม่คาดคิดว่าคนผู้นี้จะเป็นศิษย์จิตวิญญาณ
หลังจากเงาร่างพร่ามัวหายไปแล้ว ชายร่างอ้วนก็เดินวนอยู่ในห้องลับหลายรอบ ทันใดนั้นก็หยิบถ้วยชาบนโต๊ะเขวี้ยงลงพื้นจนแตกละเอียด ขณะเดียวกันก็พูดออกมาด้วยความเคียดแค้น
“เฉียนเชา ความอัปยศอดสูที่เจ้ามอบให้ข้าในก่อนหน้านั้น ข้าจะไม่ลืมเป็นอันขาด ครั้งนี้ถือว่าเจ้าโชคดี แต่ครั้งหน้าข้ามู่อิ่งเฉิงจะไม่พลาดอย่างแน่นอน”
……
สามวันต่อมา หลิ่วหมิงปรากฏตัวพร้อมกับกลุ่มรถม้าตรงหน้าประตูเมืองขนาดใหญ่ที่มีคนเดินขวักไขว่ไปมา ด้านบนของประตูเมืองขนาดใหญ่ที่สูงสิบกว่าจั้ง มีอักขระสีเงินของคำว่า ‘เสวียนจิง’ สลักอยู่
ขบวนทหารเรียงแถวกันยาวลี้กว่าๆ ทั้งยังมีคนจำนวนมากที่มาจากเส้นทางต่างๆ มารวมตัวกันที่แนวหลังทหารอย่างรวดเร็ว
นอกประตูเมืองทั้งสองด้าน มีนักรบเกราะขาวเกือบร้อยคนยืนตรงอยู่ และต่างก็พากันซักถามขบวนรถที่ต้องการเข้าเมือง
และกำแพงขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านบนของประตูเมือง จะเห็นทหารชุดเกราะถือดาบเป็นจำนวนมากอยู่รำไร และยังมีธนูยักษ์ยาวหลายจั้งตั้งลอยอยู่บนนั้น ซึ่งสามารถมองเห็นลูกธนูสีดำขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนนั้นรำไร ตรงปลายของมันมีแสงสีน้ำเงินเปล่งประกายออกมาอย่างเยือกเย็น ดูเหมือนกับว่าพวกมันไม่ใช่ลูกธนูธรรมดา
ถึงแม้จะอยู่ไกล แต่หลิ่วหมิงก็ยังหรี่ตามองเห็นลักษณะของธนูยักษ์กับลูกธนูที่อยู่บนนั้นอย่างชัดเจน
ธนูยักษ์เหล่านั้นไม่เท่าไหร่ มันเพียงแค่มีขนาดใหญ่โตเล็กน้อยเท่านั้น แต่ลูกธนูเหล่านั้นกลับมีอักขระหลากสีสลักอยู่บนนั้น มันคือลูกธนูอาญาสิทธิ์ที่ใช้แล้วหมดไป
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้
แค่เท่าที่ตาเขามองเห็น ธนูยักษ์เหล่านี้มีมากกว่าหลายสิบอัน ถ้าหากมันโจมตีไปยังคนผู้หนึ่งพร้อมกันล่ะก็ เกรงว่าแม้แต่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายก็คงเสียชีวิต ณ ที่นี้ทันที
และในบรรดาทหารชุดเกราะที่เฝ้าประตูอยู่ จิตของเขารับรู้ได้ว่ามีกลิ่นไอของผู้ฝึกปราณอยู่หลายคน
เสวียนจิงสมกับเป็นเมืองหลวงของแคว้นต้าเสวียน พอที่จะเรียกได้ว่าเตรียมพร้อมป้องกันได้อย่างแน่นหนา แม้แต่ทหารเฝ้าประตูเมืองยังมีพลังขนาดนี้ ถ้าศิษย์จิตวิญญาณทั่วไปเข้าไปล่ะก็ เกรงว่าคงต้องเชื่อฟังแต่โดยดี และคงไม่กล้าฝ่าฝืนกฎของเสวียนจิงอย่างเด็ดขาด
ในขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดใคร่ครวญอยู่นั้น ขบวนรถที่ห้อมล้อมด้วยกองทหารหน่วยพยัคฆ์ทมิฬก็มาถึงนอกประตูเมือง
หญิงแซ่ตู้กระตุ้นม้าไปยังหน้าประตูเมืองแล้วโยนป้ายไปให้ทหารตรวจสอบ จากนั้นก็กล่าวอย่างราบเรียบ
“หน่วยพยัคฆ์ทมิฬจากเขตหนานไห่ รับคำสั่งจากท่านเจ้าเมืองให้คุ้มกันบุคคลสำคัญกลับเมืองหลวง ท่านลองตรวจสอบป้ายก่อนว่ามีสิ่งใดผิดพลาดหรือไม่”
“ที่แท้ก็เป็นท่านนายกองของหน่วยพยัคฆ์ทมิฬ ป้ายถูกต้อง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรต้องตรวจสอบแล้ว” ทหารเกราะขาวที่ทำหน้าที่ตรวจสอบมองป้ายในมือสองสามทีแล้วก็โยนกลับไป
ดังนั้นขบวนรถม้าก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้าประตูเมืองไป
สองชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงก็มาอยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่ของจวนหลังหนึ่งที่อยู่ในเมืองเสวียนจิง เฉียนหรูผิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ขนาดเล็กที่อยู่ติดกับเขา
เก้าอี้ตัวหลักที่อยู่ตรงกลางห้องมีชายสวมชุดคลุมผ้าดิ้น บุคลิกภูมิฐานนั่งอยู่ เขากำลังกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณคุณชายเฉียนที่ยื่นมือเข้าช่วย ทำให้ฮูหยินกับลูกชายข้ากลับเข้าเมืองได้อย่างปลอดภัย คุณชายวางใจเถอะ! หญ้าน้ำแข็งเงินที่ท่านตามหา ข้าได้ให้คนของข้าไปตรวจดูที่ร้านแล้ว ถ้าหากมีล่ะก็จะรีบนำมาให้คุณชายโดยเร็ว”
“อืม! หากหาหญ้าน้ำแข็งเงินได้อย่างราบรื่นล่ะก็ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างมาก ถึงแม้อาการป่วยของหลานสาวข้าจะถูกข้าควบคุมไว้ได้ แต่ก็ไม่อาจยืดเยื้อได้นานนัก” หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วกล่าวด้วยสีหน้าปกติ
“ท่านพี่ นอกจากหญ้าน้ำแข็งเงินแล้ว ตระกูลเฉียนยังต้องตอบแทนคุณชายด้วยสิ่งของอย่างอื่นอีก เพราะพิษในร่างของหู่เอ๋อร์ถูกคุณชายตรวจพบและบรรเทาอาการไว้ได้” ฮูหยินหมีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหลิ่วหมิง ก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“อืม! ย่อมเป็นเช่นนั้น ข้ารู้ว่าคุณชายเฉียนเป็นศิษย์จิตวิญญาณ คงไม่สนใจสิ่งของธรรมดา เอาอย่างนี้เถอะ! อีกเดือนกว่าๆ เรือนร้อยวิญญาณของเราจะจัดงานประมูลซื้อขาย พอถึงตอนนั้นถ้าคุณชายถูกใจสิ่งของอะไร ไม่ว่ามูลค่าของมันจะเท่าไหร่ ข้าก็จะขายให้ท่านครึ่งราคาดีไหม? แต่พิษในร่างของหู่เอ๋อร์ คงต้องรบกวนท่านให้ช่วยขับพิษต่อไป” เฉียนเชาลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวออกไปโดยไม่ต้องคิด
“ในเมื่อข้ายื่นมือเข้าช่วยแล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะทิ้งไปกลางคันได้ ท่านเฉียนวางใจเถอะ! พิษในร่างลูกชายท่านเพียงแค่ขับออกไปอีกไม่กี่ทีก็ไม่มีปัญหาแล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้ากล่าว
ชายชุดคลุมผ้าดิ้นได้ยินย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขากล่าวขอบคุณหลิ่วหมิงอยู่ไม่หยุด
“ใช่สิ! ฮูหยินข้าบอกว่าคุณชายมาเสวียนจิงครั้งนี้ นอกจากจะหาสมุนไพรรักษาอาการป่วยของหลานสาวแล้ว ยังบากหน้ามาพึ่งญาติด้วย แต่เสวียนจิงกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ ถ้าคุณชายอยากจะหาคนล่ะก็ เกรงว่ามันคงไม่ง่าย ไม่สู้คุณชายพักอยู่ในจวนของข้าชั่วคราวก่อนดีไหม? ถึงแม้จวนเฉียนจะไม่ใหญ่โตหรูหรา แต่รองรับคุณชายกับหลานสาวได้สบายๆ” ชายชุดคลุมผ้าดิ้นเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้วกล่าวอย่างมีน้ำใจ
“พักที่จวนของท่านชั่วคราว! ก็ดีเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องรบกวนท่านสักระยะแล้ว” หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย และตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ
ชายชุดคลุมผ้าดิ้นได้ยินก็รู้สึกดีใจมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่พูดคุยกันต่ออีกไม่กี่ประโยค เขาก็สั่งให้หญิงรับใช้วัยกลางคนเข้ามาพาหลิ่วหมิงกับเด็กหญิงไปยังห้องพักรับรองที่เตรียมไว้โดยเฉพาะ
“น้องพี่ แท้จริงแล้วเจ้าพบเจอคนผู้นี้ได้อย่างไร ช่วยเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียดอีกรอบสิ” พอร่างของหลิ่วหมิงหายลับไปจากประตูห้องโถงอย่างรวดเร็วแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของชายชุดคลุมผ้าดิ้นก็หายไป เขาสอบถามฮูหยินหมีด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น