พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1659-1662

 บทที่ 1659 การปกครองก็เหมือนการทอดปลา

 

“เอ่อ…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำท่าเหมือนค่อนข้างลำบากใจ นางกำลังสังเกตสีหน้าของประมุขชิง


“เอาล่ะ เอาตามนี้แล้วกัน” ประมุขชิงยืนยัน


“หม่อมฉันน้อมรับคำสั่ง!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เอ่ยรับอย่าง ‘ฝืนใจ’ แต่ที่จริงในใจปลาบปลื้มแทบแย่ ในที่สุดก็ไล่นางตัวดีนั่นออกจากวังได้แล้ว ตั้งแต่ในท้องนางมีมนุษย์ตัวน้อย ทั้งวังสวรรค์ก็เรียกได้ว่าไม่มีใครกล้ามาลูบคมดาบนางเลย แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังยอมถอยให้นางสามส่วน นี่ต่างหากความรู้สึกของการเป็นมารดาแห่งใต้หล้าอย่างแท้จริง


ภายนอกดูไม่ออกว่าในใจประมุขชิงมีความคิดเป็นอย่างไร แต่ครั้งนี้อยู่ที่ตำหนักนารีสวรรค์ได้ไม่นาน มาพักอยู่ที่นี่ประเดี๋ยวเดียวก็บอกว่ามีธุระออกไปแล้ว


หลังจากน้อมส่งประมุขชิงออกไป เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็คาดเดาได้ว่าการที่นางทำอย่างนี้ทำให้ประมุขชิงไม่ค่อยพอใจ แต่นางไม่กลัวประมุขชิงจะมาคิดบัญชีย้อนหลังเลยจริงๆ หลังจากเด็กน้อยออกมาจากท้องแล้ว นางก็ยังกำจัดเสนียดจัญไรได้เหมือนเดิม!


“ได้ยินคำพูดของฝ่าบาทแล้วใช่มั้ย?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เก็บสายตากลับมาจากข้างนอก แล้วเอียงหน้ามองเอ๋อเหมยที่อยู่ข้างกาย “เจ้าไปถ่ายทอดคำสั่งที่ตำหนักบูรพาด้วยตัวเอง เดี๋ยวนี้!”


“แล้วควรจะบอกจุดประสงค์ว่าอย่างไรเพคะ?” เอ๋อเหมยลังเลนิดหน่อย


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แสยะยิ้ม “เจ้าก็บอกนางตัวดีนั่นไปตรงๆ เลย ว่าฝ่าบาทต้องการให้ข้าตั้งครรภ์อย่างสงบสุข ให้นางกลับไปรออยู่ที่บ้านเดิมของตัวเอง ไสหัวไปเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่มีคำสั่งก็ห้ามกลับมาที่วังสวรรค์!”


“เพคะ!” เอ๋อเหมยเอ่ยรับคำสั่ง จากนั้นก็เรียกนางในสองคนให้ออกไปด้วยกัน


หลังจากมาถึงตำหนักบูรพา เอ๋อเหมยก็ย่อมไม่ถ่ายทอดคำสั่งต่ออย่างหยาบคายขนาดนั้น แต่ก็ไม่ต่างจากความหมายและคำพูดเดิมสักเท่าไร เพื่อให้ราชินีสวรรค์ตั่งครรภ์อย่างสงบสุข สั่งให้สนมสวรรค์จ้านหรูอี้กลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านตัวเองเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่มีคำสั่งก็ห้ามกลับมาที่วังสวรรค์


“หม่อมฉันน้อมรับคำสั่ง” จ้านหรูอี้ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ คำนับอย่างเนิบนาบ เอ่ยรับอย่างใจเย็น


แต่สำหรับคนของตำหนักบูรพา สิ่งนี้กลับสะเทือนใจเป็นอย่างมาก!


โดยเฉพาะหยินซวงกับไป๋เสวี่ยที่เป็นสาวใช้ประจำตัว สิ่งนี้ทำให้พวกนางเดือดดาลมากจริงๆ มีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้กลับบ้านเดิมตัวเองเพื่อให้ราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์อย่างสงบสุข นี่ไม่ใช่การสร้างความอัปยศหรอกหรือ? มิหนำซ้ำ ทั้งสองก็ไม่เชื่อเลยว่าราชันสวรรค์จะออกคำสั่งนี้กับสนมสวรรค์ได้!


“เหนียงเหนียง บ่าวไม่เชื่อว่าฝ่าบาทจะออกคำสั่งอย่างนี้ บ่าวจะไปขอหลักฐานจากฝ่าบาท!” หยินซวงยืนตัวตรงแล้วกล่าวด้วยสีหน้าคับแค้น


แต่ใครจะคิดว่าพอเอ๋อเหมยเอียงหน้ามองมา ก็มีนางในสองคนมาขวางทางหยินซวงทันที ขวางไม่ให้นางไป


“ข้าต้องไปพบฝ่าบาท พวกเจ้าจะขวางข้าทำไม? หรือว่าไม่บริสุทธิ์ใจ?” หยินซวงถามอย่างโมโห


ทว่าเพิ่งจะพูดจบ ก็มีเงาฝ่ามือตบเข้ามาอย่างแรง เสียงดังเพี้ยะ ตบเข้าที่ใบหน้าของหยินซวงอย่างแรง หยินซวงล้มลงพื้น ตรงมุมปากมีเลือดไหล


คนลงมือคือเอ๋อเหมย แต่เห็นเอ๋อเหมยจ้องต่ำลงมองหยินซวงที่เอามือปิดหน้าอยู่บนพื้น พลางกล่าวเสียงเย็น “นางบ่าวชั้นต่ำไร้ธรรมเนียม เจ้ามีสิทธิ์อะไรไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท? เจ้าคิดจะฝ่าฝืนคำสั่ง หรือกำลังสงสัยว่าราชินีสวรรค์กำลังปลอมแปลงคำสั่งต่อหน้าธารกำนัล?” พูดจบก็หันกลับมาตะคอกสั่ง “นางบ่าวชั้นต่ำนี่ฝ่าฝืนคำสั่ง ทหารลากออกไปลงโทษข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง!”


ด้านนอกมีทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาตามคำสั่งทันที


จ้านหรูอี้ถลันตัวมาขวางตรงหน้าหยินซวง บังทหารสวรรค์กลุ่มนั้นไว้


กลุ่มทหารสวรรค์มองหน้ากันเลิกลั่ก พวกเขาค่อนข้างกำลากลำบากใจ คำสั่งนี้ไม่อาจฝ่าฝืนได้ แต่คนที่เป็นสมาชิกกองทัพองครักษ์ในวัง มีใครไม่รู้บ้างว่าสนมสวรรค์คือสนมโปรดของราชันสวรรค์ หากหยาบคายกับสนมสวรรค์แล้ว ตอนหลังถ้าฝ่าบาทโมโหขึ้นมา เกรงว่าพวกเขาคงจะรักษาศีรษะตัวเองเอาไว้ลำบาก


“หรือสนมสวรรค์ก็คิดจะฝ่าฝืนคำสั่งเหมือนกัน?” เอ๋อเหมยทำสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม


“เจ้าคิดมากไปแล้ว” จ้านหรูอี้กล่าวด้วยสีหน้าเยือกเย็น แล้วหันมาสั่งว่า “ดำเนินการตามคำสั่ง เก็บของเดี๋ยวนี้…ไปกันเถอะ!”


ทุกคนของตำหนักบูรพาโมโหมาก แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ปฏิบัติตามคำสั่ง พวกไป๋เสวี่ยที่อยู่ข้างหลังรีบเข้ามาประคองหยินซวง


“นางบ่าวชั้นต่ำฝ่าฝืนคำสั่ง ยังคิดจะหนีอีกเหรอ?” เอ๋อเหมยกลับไม่ยอมปล่อยไป


จ้านหรูอี้ที่กำลังจะหันตัวไปหันขวับกลับมา แล้วกล่าวด้วยสายตาเย็นเยียบ “เอ๋อเหมย ข้าทำตามคำสั่งแล้ว ข้าแนะนำว่าเจ้าก็อย่ารังแกกันเกินไปนัก!”


“คำพูดนี้ของสนมสวรรค์ บ่าวฟังไม่เข้าใจเพคะ การที่บ่าวรักษาคำสั่งสวรรค์ก็มีความผิดด้วยหรือเพคะ?” เอ๋อเหมยตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม


“เจ้าอยากให้ข้าลากเจ้าไปเข้าเฝ้าราชันสวรรค์จริงเหรอ อยากจะลองใช่มั้ยว่าข้าจะทำให้หัวเจ้าหลุดจากบ่าได้หรือเปล่า” สายตาของจ้านหรูอี้พลันเปลี่ยนเป็นมีพลังอำนาจแล้วจ้องตรงไปที่เอ๋อเหมย จากนั้นก็กวาดมองทหารสวรรค์ทุกคนอีก พร้อมตวาดเสียงดังว่า “ข้าก็อยากเห็นว่าใครจะกล้ากำเริบเสิบสานที่ตำหนักบูรพา ไสหัวออกไปให้หมด!”


“…” เอ๋อเหมยเผยสีหน้าเดือดดาล แต่สุดท้ายก็ยังกัดริมฝีปากเอาไว้ อยู่ที่วังสวรรค์มานานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นจ้านหรูอี้ระบายความโกรธ ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง นางรู้เช่นกันว่าถ้าเรื่องนี้วุ่นวายไปถึงราชันสวรรค์จริงๆ นางก็ประจบขอความเมตตาต่อหน้าจ้านหรูอี้ไม่ได้ ทำได้เพียงย่อตัวคำนับเล็กน้อยแล้วถอยออกไป


พวกทหารมองหน้ากันเลิกลั่ก จากนั้นก็กุมหมัดคารวะจ้านหรูอี้พร้อมกัน แล้วก็รีบถอยออกไป อยู่ดีๆ ใครจะกล้าแย่งคนจากมือสนมสวรรค์ที่ตำหนักบูรพาล่ะ


เรื่องเก็บข้าวของนั้นง่ายมาก ใช่เวลาไม่นาน นางในกลุ่มหนึ่งก็ตามหลังจ้านหรูอี้ออกจากประตูใหญ่ของตำหนักบูรพาไป


ระหว่างทางที่ออกจากวัง ก็บังเอิญเจอเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่มาส่งเดินทางด้วยตัวเอง ปากก็บอกว่ามาส่ง แต่ดูจากการกระทำแล้ว บอกว่าออกมาหยามศักดิ์ศรีกันน่าจะเหมาะกว่า


จ้านหรูอี้นำกลุ่มนางในมาย่อเข่าทำความเคารพ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ท้องยื่นชำเลืองมองต่ำอย่างเหยียดหยาม พร้อมขานรับเสียงเรียบ “อืม” ราวกับแม่ทัพที่รบชนะเผชิญหน้ากับแม่ทัพที่รบแพ้บนสนามรบ กล่าวอย่างเย็นชาว่า “สนมสวรรค์รออยู่ที่บ้านเดิมให้สบายก็แล้วกัน ไปเถอะ!” แต่ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้น ราวกับกำลังเหน็บแนมจ้านหรูอี้ว่า วังสวรรค์ไม่ใช่ที่อยู่ของเจ้า ไสหัวไปซะ!


บนตำหนักหลังหนึ่งที่อยู่ไกลๆ ประมุขชิงเอามือไขว้หลังยืนอยู่ริมหน้าต่างที่สลักลายดอกไม้ มองภาพเหตุการณ์ยามสนมกับราชินีเผชิญหน้ากันผ่านลายฉลุดอกไม้


ซ่างกวนชิงยืนมองอยู่ข้างกาย มองภาพเหตุการณ์ภายนอก แล้วก็มองดูปฏิกิริยาของประมุขชิงอีก


มองส่งขบวนของจ้านหรูอี้ออกจากวังอย่างเงียบๆ ตลอดทางมีสนมจำนวนไม่น้อยกำลังหดศีรษะหลบพลางชี้ไม้ชี้มืออยู่สองข้างทาง ประมุขชิงหลับตาลงช้าๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าติดค้างนางแล้ว!”


“เฮ้อ!” ซ่างกวนชิงถอนหายใจเบาๆ ย่อมรู้ว่าประมุขชิงหมายถึงใคร “ฝ่าบาทชั่งน้ำหนักเรื่องนี้ได้อย่างเฉียบแหลม ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ พักอยู่ที่พระตำหนักอุทยานก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่ ไม่อย่างนั้นฝั่งราชินีสวรรค์ก็จะมาหาเรื่องนางบ่อยๆ ข้าน้อยแจ้งทางฝั่งกองทัพองครักษ์แล้วว่าให้คุ้มกันส่งอย่างเข้มงวดตลอดทาง ไม่เกิดปัญหาแน่ขอรับ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ทางบ้านของสนมสวรรค์ก็เพิ่มให้อีกหนึ่งเท่า มีแต่จะสะดวกสะบายความอยู่ที่นี่ ไม่ด้อยไปกว่าตอนอยู่ที่นี่ขอรับ”


จวนท่านปู่สวรรค์ สวนต้องห้าม


ต้นไม้ใหญ่ที่พุ่มสูงระฟ้าราวกับฉัตรหลวง ใต้ต้นไม้มีโต๊ะตัวเล็กที่ประณีตงดงาม สุราอาหารจัดวางอยู่บนโต๊ะ เซี่ยโห้วท่ากำลังถือตะเกียบรับประทานอย่างออกรสออกชาติ


เว่ยซูเข้ามาข้างใน พอเห็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำคนหนึ่งผูกผ้ากันเปื้อนยกถาดอาหารร้อนระอุเดินมาจากอีกด้าน เขาก็อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็รีบเดินเข้าไปต้อนรับ ตะโกนทักทายว่า “คุณชายรองมาแล้ว”


คนคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือเซี่ยโห้วหลิง ลูกชายคนรองของเซี่ยโห้วท่า ถ้าตัดเว่ยซูออก เขาก็เป็นลูกหลานคนเดียวของทั้งตระกูลเซี่ยโห้วที่สามารถเข้ามาในสวนต้องห้ามได้โดยตรง ทั้งยังเป็นคนตระกูลเซี่ยโห้วที่มียศขุนนางในตำหนักสวรรค์สูงสุด ถึงแม้จะได้นั่งตำแหน่งแต่ในนามเหมือนเซี่ยโห้วท่า แต่ก็อยู่ในระดับอจมพลแล้ว เพียงแต่ไม่มีกำลังทหารก็เท่านั้นเอง


เมื่อเห็นเว่ยซู เซี่ยโห้วหลิงก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจ “เว่ยซูมาแล้วเหรอ เร็วเข้า มากินด้วยกัน”


“คุณชายรองเข้าครัวด้วยตัวเองอีกแล้ว!” เว่ยซูกล่าวอย่างร่าเริง แล้วรีบยื่นมือไปช่วยเขาถืออาหาร


เซี่ยโห้วหลิงยกมือห้าม บอกใบ้ว่าไม่ต้องช่วย แล้วยกอาหารไปวางตรงหน้าเซี่ยโห้วท่าใต้ต้นไม้ใหญ่ด้วยตัวเอง จากนั้นถอดผ้ากันเปื้อนยื่นให้เว่ยซู ขณะที่นั่งลงก็ยื่นมือบอกใบ้ “เว่ยซู นั่งลงสิ มากินด้วยกัน ข้าเพิ่งตกปลาได้จากข้างนอก เอามานึ่งกับสุราแล้วอร่อยสุดๆ”


เว่ยซูเก็บผ้ากันเปื้อนแล้ว พอเห็นอาหารบนโต๊ะก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มโดยไม่พูดอะไร เป็นพวกกุ้งหอยปูปลาธรรมดาๆ ตามแม่น้ำลำคลองในโลกมนุษย์เท่านั้นเอง


เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยเชิญแล้ว เว่ยซูก็ไม่อิดออดเช่นกัน นั่งลงอีกด้านหนึ่งแล้วรินสุราให้สองพ่อลูก


เซี่ยโห้วท่ายื่นตะเกียบคีบเนื้อปลาสีขาวละเอียดอ่อนเข้าปาก แล้วเคี้ยวลิ้มรสชาติอย่างช้าๆ


เซี่ยโห้วหลิงที่ดื่มสุราล้างปากไปอึกหนึ่งมองดูปฏิริยาของอีกฝ่ายที่กำลังชิมอาหาร แล้วยกตะเกียบถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านพ่อ รสชาติเป็นยังไงบ้าง?”


เขามีสีหน้าอ่อนโยนร่าเริง หน้าตาก็ไม่ได้ดีเท่าไร แต่ในแววตาที่เป็นประกายกลับเผยให้เห็นความล้ำลึกที่ซ่อนอยู่ข้างใน ประกอบกับมีร่างกายกำยำล่ำสัน ทำให้เขามีลักษณะน่ากลัวเหมือนจะกินคนได้ เพียงแต่ส่วนใหญ่ถูกลักษณะภายนอกที่อ่อนโยนร่าเริงของเขากลบบังเอาไว้เท่านั้นอง


เซี่ยโห้วท่าหลับตาเคี้ยวครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าขบคิดถึงรสชาติ  “ใช้ได้ สดอร่อย เจ้ารอง ฝีมือเจ้าดีขึ้นแล้วนะ!”


“ฮ่าๆๆ!” เซี่ยโห้วหลิงหัวเราะเสียงดังอย่างร่าเริง เมื่ออยู่ต่อหน้าบิดา เขาแสดงให้เห็นว่าสามารถทำเรื่องยากให้กลายเป็นเรื่องง่ายได้ ไม่ควบคุมตัวเองมากเกินไป ใช้ตะเกียบชี้แนะนำว่า “ขนาดท่านพ่อยังชมแล้ว เว่ยซู พลาดไม่ได้นะ”


เว่ยซูส่ายหน้ายิ้ม แล้วยื่นตะเกียบไปคีบกินเช่นกัน


เซี่ยโห้วท่าชำเลืองมองลูกชายที่อยู่ตรงหน้าแวบหนึ่ง “หลักการเล็กๆ ธรรมดาสามัญในครอบครัวแบบนี้ เจ้าก็ยังอุตส่าห์ไปทำอย่างไม่เสียดายกำลังวังชา”


เซี่ยโห้วหลิงไม่ถือสาความหมายตำหนิที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนี้ ยิ้มตอบอย่างเป็นธรรมชาติ “จะหลักการเล็กหรือหลักการใหญ่ก็เป็นหลักการเหมือนกัน ไม่มีแบ่งแยกเรื่องใหญ่เรื่องเล็ก การปกครองดินแดนใหญ่ก็เหมือนการทอดปลาตัวน้อยๆ[1]!”


เซี่ยโห้วท่าทำสายตาคาดเดา จากนั้นก็ยิ้มเบาๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก


หลังจากเซี่ยโห้วหลิงสังเกตปฏิกิริยาของเว่ยซูแล้ว ก็ถามเหมือนไม่ได้ตั้งใจ “เว่ยซู มีเรื่องอะไรเหรอ?”


“ราชินีสวรรค์ก่อเรื่องในวังนิดหน่อย ไล่สนมสวรรค์ออกจากวังสวรรค์ไปแล้ว…” เว่ยซูวางตะเกียบ แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวังสวรรค์ให้ทั้งสองฟัง


หลังจากฟังจบ เซี่ยโห้วท่าก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร คีบเนื้อปลาเข้าปากอย่างช้าๆ หรี่ตาขบคิดถึงรสชาติ กินอย่างเอร็ดอร่อย


“มีเรื่องนี้ด้วยเหรอ?” เซี่ยโห้วหลิงก็ทำเหมือนไม่สนใจเช่นกัน หลังจากถามแล้วก็กินอาหารของตัวเองต่อไป


เมื่อเห็นปฏิกิริยาของสองพ่อลูก เว่ยซูก็งงทันที แล้วถามอย่างหยั่งเชิงว่า “ครั้งนี้ราชินีสวรรค์ทำเกินไปหน่อยหรือเปล่า เกรงว่าจะทำให้ประมุขชิงไม่พอใจ”


“เจ้ายังจะหวังให้เขาพอใจอยู่อีกเหรอ? อำนาจบารมีของราชินีสวรรค์คือสิ่งที่ต้องมี นายหญิงของวังหลังไงล่ะ ไม่ต้องห่วง ฟ้าไม่ถล่มหรอก ตราบใดที่ตระกูลเซี่ยโห้วยังไม่ล้ม ราชินีสวรรค์ก็ไม่มีทางเป็นอะไร” เซี่ยโห้วหลิงพูดไปเรื่อยเปื่อย ยกตะเกียบชี้เขา “รสชาติปลาแม่น้ำของข้าเป็นยังไงบ้าง?”


“ดีมากขอรับ อร่อยมาก” เว่ยซูพยักหน้าซ้ำๆ


เซี่ยโห้วหลิงรู้สึกบันเทิงแล้ว “หึ! ข้าว่านะเว่ยซู ทำไมข้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังตอบข้าแบบขอไปทีล่ะ? เป็นอะไรไป? มีเรื่องอะไรในใจ? บอกให้ข้าฟังได้นะ”


เว่ยซูลังเลนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ขมวดคิ้วบอกว่า “ที่จริงก็มีเรื่องที่บ่าวคิดไม่ตกจริงๆ ราชินีสวรรค์อาจจะไม่ใช่คนที่เหมาะสมจะเข้าวังมากที่สุด ตระกูลเซี่ยโห้วก็ใช่ว่าจะไม่มีลูกสาวที่ฉลาดปราดเปรียว ตอนแรกทำไมถึงเลือกให้ราชินีสวรรค์เข้าล่ะขอรับ?” เขาจะสื่อว่า เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ไม่ใช่คนฉลาดอะไร ทำเรื่องโง่เง่าตั้งมากมายตอนอยู่ในวัง อาจจะไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตระกูลเซี่ยโห้ว


เซี่ยโห้วท่ากินอาหารต่อไป หลังจากลูกชายคนนี้มาถึง เขาก็แทบจะไม่ได้พูดอะไรเท่าไรเลย


เซี่ยโห้วหลิงเหล่ตามองเว่ยซูแวบหนึ่ง ตอนที่ยกจอกสุราจ่อปาก ก็กล่าวอย่างไม่ตรงประเด็นหลักว่า “ลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออก หลักการนี้มีมาแต่โบราณ! คนฉลาดที่มีฐานะตำแหน่งสูงส่ง เวลาจะควบคุมขึ้นมาก็ไม่ใช่ง่ายๆ สาเหตุที่ตระกูลเซี่ยโห้วส่งนางเข้าวังไปเป็นราชินี ช่วยคิดหาหนทางให้นางมีทายาท ก็ไม่ใช่ว่าให้โอกาสนางได้พึ่งพาตัวเองหรอกนะ! แต่เลือกคนซื่อบื้อหน่อยประมุขชิงจะได้วางใจไง จะได้ยอมรับง่ายขึ้นด้วย เรื่องนี้ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว มีอะไรไม่ดีตรงไหนล่ะ?”


…………………………


[1] การปกครองดินแดนใหญ่ก็เหมือนการทอดปลาตัวน้อยๆ 若烹小鲜  หมายความว่าการปกครองดินแดนใหญ่ต้องระมัดระวัง รอบคอบเเละอดทน เหมือนกับการทอดปลาที่ต้องคอยปรับไฟอยู่ตลอดเวลา

 

 

 


บทที่ 1660 ออกล่าที่น้ำพุวังเวง

 

เมื่อชี้แนะเล็กน้อย เปิดเผยให้รู้เล็กน้อย เว่ยซูก็เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน ไม่น่าเชื่อว่าหลักการจะเรียบง่ายขนาดนี้ ส่งคนที่ไม่ค่อยฉลาดเข้าวัง ก็เพื่อให้สะดวกต่อการควบคุมนี่เอง


แต่พอลองคิดดูให้ละเอียด ก็ไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป หลังจากที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ให้กำเนิดลูกชายแล้ว นางจะยืนอยู่ฝั่งลูกชายหรือฝั่งตระกูลเซี่ยโห้วล่ะ? ในนั้นมีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้เด่นชัดเกินไป สงสัยฝ่ายนี้จะเตรียมวางแผนระยะยาวไว้ตั้งแต่ก่อนจะส่งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เข้าวังแล้ว


เพียงแต่คำว่า ‘ซื่อบื้อ’ นั้นทำให้เว่ยซูรู้สึกอับอายจนปาดเหงื่อจริงๆ การที่เซี่ยโห้วหลิงกล่าวเช่นนี้ออกมาได้ ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยพอใจเซี่ยโห้วเฉิงอวี่สักเท่าไร ถ้าให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่มาได้ยินคำพูดแบบนี้ ก็ยังไม่แน่ใจเลยว่านางจะประสาทเสียขนาดไหน


เว่ยซูเหลือบมองปฏิกิริยาของเซี่ยโห้วท่าเงียบๆ พบว่ายังคงหรี่ตาดื่มด่ำกับอาหารที่เคี้ยวอยู่ในปากเหมือนเดิม


“ทำไมล่ะ รสชาติปลาที่ข้าปรุงไม่อร่อยเหรอ?” เซี่ยโห้วหลิงชี้ตะเกียบในมือไปที่อาหารเลิศรสหลากสีสันบนถาดอาหาร เปลี่ยนประเด็นสนทนาแล้ว


เว่ยซูยิ้มเจื่อน “ฝีมือของคุณชายรองดีว่าข้าเป็นร้อยเท่า” ขณะที่พูดก็ถือตะเกียบไปคีบอาหาร


“คำกล่าวนี้คือความจริง!” เซี่ยโห้วหลิงหัวเราะลั่น


เว่ยซูหัวเราะตาม แต่ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า ลักษณะที่เป็นมิตรเข้าถึงง่ายของคุณชายรองท่านนี้ทำให้เขารู้สึกหวาดระแวงแปลกๆ เขาก็อธิบายไม่ถูกเช่นกันว่าเพราะอะไร นายท่านเซี่ยโห้วท่าทำให้เขารู้สึกถึงความลึกล้ำ จะเรียกว่าล้ำลึกคาดเดายากก็ได้ ทว่าคุณชายรองท่านนี้กลับทำให้เขารู้สึกเหมือนว่า ‘ถ้าเจ้าหันหลังเมื่อไร อีกฝ่ายจะจ้องอยู่ข้างหลังเจ้าอย่างเย็นเยียบ ทำให้เจ้าขนลุกโดยไม่รู้ตัว’


แน่นอน นี่เป็นเป็นความรู้สึกที่ไร้หลักฐานอ้างอิงของเขาเท่านั้น…


จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง ในตำหนักใหญ่ที่ประตูหน้าต่างแทบจะถูกปิดหมด แสงสว่างไม่ค่อยเพียงพอ ทำให้ดูเงียบขรึมเล็กน้อย อิ๋งจิ่วกวงกำลังนั่งอยู่ข้างในด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่สายตาวูบไหวมืดครึ้ม


จั่วเอ๋อร์ยืนก้มหน้าเล็กน้อยอยู่เบื้องล่าง นางเพิ่งจะรายงานสถานการณ์ในวังให้ท่านอ๋องฟัง ดูจากความนิ่งเงียบของท่านอ๋อง นางก็รู้สึกได้ว่าท่านอ๋องกำลังซ่อนความเดือดดาลไว้ในใจ


จุดประสงค์ที่ตระกูลอิ๋งส่งจ้านหรูอี้เข้าวังคืออะไร? ก็เพราะหวังให้จ้านหรูอี้แสดงบทบาทต่อหน้าประมุขชิงยามถึงเวลาสำคัญไม่ใช่เหรอ แต่ตอนนี้กลับถูกเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไล่ออกจากวัง จะกลับไปได้เมื่อไรก็ยังไม่รู้เลย ถ้าออกห่างจากประมุขชิงนานเกินไป ผีที่ไหนจะไปรู้ว่าจะรักษาความสัมพันธ์ได้นานเท่าไร


จู่ๆ อิ๋งจิ่วกวงที่อยู่ในความเงียบก็เอ่ยขึ้นว่า “แน่ใจนะว่าเป็นประสงค์ของประมุขชิง ที่บอกว่าถ้าไม่มีคำสั่งก็ห้ามกลับวัง?”


จั่วเอ๋อร์ตอบว่า “ทุกคนต่างรู้ว่าประมุขชิงโปรดปรานสนมสวรรค์ น่าจะไม่เปลี่ยนเป็นไร้ไมตรีขนาดนี้โดยไร้เค้าลาง มีความเป็นไปได้สูงว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถือโอกาสเล่นงาน”


“แล้วทำไมสนมสวรรค์ไม่กลับมาเยี่ยมข้าที่จวนท่านอ๋องก่อน?” อิ๋งจิ่วกวงถามอย่างสงบนิ่ง


“ได้ยินว่าราชินีสวรรค์สั่งให้นางกลับบ้านเดิมทันที สนมสวรรค์ไม่อยากให้ราชินีสวรรค์จับจุดอ่อนอะไรนางได้ จึงกลับจวนท่านโหวไปก่อนแล้ว” จั่วเอ๋อร์ตอบ


“แล้วที่นี่ไม่ใช่บ้านเดิมของนางรึไง?” อิ๋งจิ่วกวงทำเสียงฮึดฮัด แต่ก็ไม่มีอารมณ์จะต่อความยาวสาวความยืดเรื่องนี้อีก เปลี่ยนประเด็นสนทนาแล้ว “ไม่รู้ว่าเจ้าเวรน่ารำคาญใจที่ตลาดผีนั่นจะกล้าลงมือกับอิ๋งหยางจริงหรือเปล่า ถึงยังไงตาแก่โค่วก็ไม่สนใจจะปกป้องเขาแล้ว ให้โอกาสเขาได้จบเรื่องนี้เร็วๆ เถอะ จำไว้ว่าอย่าให้ตาแก่โค่วจับจุดอ่อนอะไรได้เด็ดขาด”


จั่วเอ๋อร์เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในนั้น นางพยักหน้าเอ่ยรับ “รับทราบ!”


วันต่อมา อิ๋งหยางเดินออกจากห้องสมาธิ แล้วมุ่งตรงไปยังห้องของบิดา


ห้องหนังมือค่อนข้างใหญ่ บนชั้นหนังสือหลายแถวเต็มไปด้วยคัมภีร์โบราณ อิ๋งหยางเข้ามาแล้วมองซ้ายมองขวา เมื่อมองไม่เห็นใคร ก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนถาม “ท่านพ่อ”


“ตรงนี้” ตรงจุดลึกของห้องหนังสือมีเสียงของอิ๋งอู๋หม่านตอบกลับมา


อิ๋งหยางเดินอ้อมชั้นหนังสือไปหลายแถว พอเจออิ๋งอู๋หม่านที่หลบอ่านหนังสืออยู่ข้างหลัง ก็กุมหมัดคารวะแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าท่านพ่อมีเรื่องอะไรจะกำชับ?”


อิ๋งอู๋หม่านเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง พร้อมถือโอกาสวางหนังสือกลับไปบนชั้นวาง แล้วเอามือไขว้หลังเดินออกมาพลางบอกว่า “เหมือนเจ้าจะไม่ได้ไปออกล่าที่น้ำพุวังเวงนานแล้วสินะ? ออกไปเที่ยวสักหน่อยก็ได้”


ที่เรียกว่า ‘ออกล่าที่น้ำพุวังเวง’ ก็เหมือนกับชื่อ คือการไปออกล่าที่น้ำพุวังเวง เหมือนเขาภูตพเนจรที่ตั้งชองตลาดผี น้ำพุวังเวงอยู่ที่แดนรัตติกาลเช่นเดียวกัน เพียงแต่น้ำพุวังเวงอยู่ลึกตรงบริเวณใจกลางแดนรัตติกาล ที่นั่นมีของแปลกอยู่จำนวนหนึ่ง คนทั่วไปไม่กล้าไปที่นั่นเพราะมีอันตราย แต่ลูกหลานผู้มีอำนาจอย่างอิ๋งหยางต้องการความตื่นเต้นเร้าใจ บางครั้งก็จะไปล่าของแปลกพวกนั้น


“…” อิ๋งหยางงงนิดหน่อย “ท่านพ่อสั่งให้ข้าพยายามเก็บตัวฝึกตนอยู่ในบ้านไม่ใช่เหรอ?”


“มีหย่อนบ้างตึงบ้างจะเป็นผลดีต่อการฝึกตนมากกว่า เวลาที่ควรจะผ่อนคลาย ข้าก็ไม่ห้ามเจ้าเช่นกัน ไปเถอะ” อิ๋งอู๋หม่านกล่าวเสียงเรียบโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา


“ท่านพ่อบอกว่าหนิวโหย่วเต๋ออยากจะฆ่าข้าไม่ใช่เหรอ?” อิ๋งหยางลังเลนิดหน่อย


“งั้นก็ปล่อยให้เขาฆ่าไปสิ” อิ๋งอู๋หม่านกล่าว


“หา…” อิ๋งหยางนึกว่าตัวเองฟังผิดไป เขาหยุดเดินแล้วเบิกตากว้าง


อิ๋งอู๋หม่านที่เดินไปถึงมุมชั้นหนังสือหันตัวมา แล้วเอียงหน้าบอกว่า “ถ้าไม่ให้โอกาสเขาฆ่า แล้วจะจบเรื่องนี้ได้ยังไง? ข้ากลัวก็แต่ว่าเขาจะไม่มีความกล้านั้น!”


อิ๋งหยางที่กำลังงุนงงเผยสีหน้ากระจ่างในฉับพลัน เข้าใจแล้ว…


ดาวหยกงาม ในจวนอ๋องสวรรค์ บนสะพานโค้ง โค่วหลิงซวีกำลังกำอาหารปลาโยนลงน้ำ ทำให้สิ่งที่อยู่ใต้น้ำแย่งกันกินจนผิวน้ำมีละอองน้ำกระเด็น


โค่วเจิงกับถังเฮ่อเหนียนยืนอยู่ทางซ้ายและขวา หลังจากโค่วเจิงรายงานเรื่องที่อิ๋งหยางจะไปออกล่าที่น้ำพุวังเวงแล้ว ก็ถามว่า “ท่านพ่อ ต้องบอกหนิวโหย่วเต๋อหรือเปล่า?”


โค่วหลิงซวีกำลังมีความสุขอยู่กับตัวเอง โปรยอาหารปลาในมือโดยไม่พูดอะไรตอบ กลับเป็นถังเฮ่อเหนียนที่เอามือขยี้หนวดพร้อมถามอย่างลังเล “คุณชายใหญ่ ยืนยันได้หรือว่าอิ๋งหยางออกล่าที่น้ำพุวังเวง?”


“น่าจะไม่ผิดพลาด ตามที่ได้รับข่าวมา เขากำลังชวนสหายไปด้วยกัน” โค่วเจิงพยักหน้า


ถังเฮ่อเหนียนมองไปที่โค่วหลิงซวี “นายท่านบอกอิ๋งจิ่วกวงไว้อย่างชัดเจนแล้ว ว่าข้อตกลงระหว่างตึกศาลาสัตยพรตกับพวกเราเพิ่งจะสิ้นสุด ทางนั้นก็มีข่าวเรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงออกมา นี่คือการวางกับดักรอเหยื่อ!”


โค่วหลิงซวีโยนอาหารในมือ จะใช้สองมือประคองระเบียง ก้มหน้ามองเงาที่เคลื่อนไหวในน้ำ พร้อมกล่าวอย่างใจเย็น “คำนวณผิดพลาดชั่วคราว ยากที่จะกอบกู้คืนมา ประมุขชิงไม่มีทางปล่อยให้เขาออกจากตลาดผี ตัดขาดให้เร็วๆหน่อยก็แล้วกัน ตอนหลังจะได้ไม่ถูกคนนำมากล่าวหา เจ้าใหญ่ รายงานความเคลื่อนไหวของอิ๋งหยางให้ทางตลาดผีรู้เถอะ”


โค่วเจิงกับถังเฮ่อเหนียนหนังตากระตุกพร้อมกัน สบตากันอย่างเงียบๆ ต่างก็รู้ว่าคำพูดนี้หมายความว่าอะไร


“รับทราบ!” โค่วเจิงกุมหมัดเอ่ยรับ น้ำเสียงค่อนข้างกดดัน


แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง บนตึกศาลาเล็กในลานบ้าน สามารถมองเห็นทิวทัศน์ทะเลกว้าง


ตึกศาลาเล็กนี้จินม่านสั่งให้คนปรับปรุงซ่อมแซมใหม่ นางเห็นว่าหยางชิ่งชอบมองทะเลตอนที่ครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆ ถึงได้สั่งให้คนสร้างตึกศาลาที่สามารถบังลมบังฝนบังแดดเอาไว้ให้หยางชิ่งใช้งาน


สิ่งนี้ตรงใจหยางชิ่งเช่นกัน หยางชิ่งมักจะอยู่ในนี้บ่อยๆ ส่วนจินม่านก็มักจะมาคุยงานกับหยางชิ่งที่นี่ ยกตัวอย่างเช่นวันนี้


หลังจากได้รู้ความเคลื่อนไหวของอิ๋งหยาง หยางชิ่งก็ขมวดคิ้วถามว่า “ออกล่าที่น้ำพุวังเวง?”


เขารู้ว่าเหมียวอี้อยากจะลงมือกับคนพวกนี้ที่ฐานในตลาดผี จุดแรกที่จะลงดาบก็คือบนตัวอิ๋งหยาง ดังนั้นเขาจึงจับตาดูความเคลื่อนไหวของอิ๋งหยางเช่นเดียวกัน ถึงแม้หกลัทธิที่อยู่ในอาณาเขตตำหนักสวรรค์จะไม่เป็นโล้เป็นพายไปแล้ว แต่ถ้าจะบอกว่าไม่มีสายลับเลยสักนิดนั้นเป็นไปไม่ได้ เรื่องที่ปิดบังไว้อาจจะสืบไม่เจอ แต่เรื่องที่อิ๋งหยางจะไปออกล่าที่น้ำพุวังเวงครั้งนี้เหมือนจะไม่ใช่ความลับอะไร กำลังเชิญชวนสหาย ถ้าฝั่งหกลัทธิตั้งใจจะสืบ ก็เป็นเรื่องยากที่จะไม่รู้


“ใช่แล้ว!” จินม่านที่นั่งอยู่ตรงข้ามพยักหน้าตอบ


หยางชิ่งลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ แล้วเดินไปทอดสายตามองทะเลกว้างตรงริมหน้าต่าง


จินม่านที่นั่งเงียบอยู่ที่เดิมมองตาม มองดูเงาหลังของเขา เห็นเขาหยิบระฆังดาราออกมาอันหนึ่ง ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน


หยางชิ่งกำลังติดต่อกลับเหมียวอี้ หลังจากสัญญาณติดแล้ว ก็ถามไปตรงๆ เลยว่า : นายท่านรู้เรื่องที่อิ๋งหยางจะไปออกล่าที่น้ำพุวังเวงหรือเปล่า?


เหมียวอี้ : เจ้านี้ข่าวไวมากเลยนะ ข้าเองก็เพิ่งรู้ได้ไม่นาน ตระกูลโค่วเพิ่งจะบอกข้า นี่คือโอกาสดีที่จะกำจัดอิ๋งหยาง


หยางชิ่งตกใจมาก รีบถามผ่านระฆังดารา : นายท่านไม่รู้สึกว่าการออกล่าที่น้ำพุวังเวงครั้งนี้มาได้เวลาเกินไปเหรอ? ข้อตกลงระหว่างตระกูลโค่วกับตึกศาลาสัตยพรตเพิ่งจะจบลง ก็ไม่รู้เรื่องออกล่าโผล่มาทันที ถ้าจะบอกว่าตระกูลโค่วไม่สงสัยเลยว่านี่คือกับดัก ข้าไม่เชื่อหรอก! รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นกับดัก แต่ก็ยังบอกนายท่าน ตระกูลโค่วเปิดเผยเจตนาที่จะทิ้งในท่านชัดเจนแล้ว ท่านยังจะกระโจนเข้าหาอันตรายอีกหรอ?


เหมียวอี้ช้อนสายตาขึ้นมองแสงโคมไฟของตลาดผีนอกหน้าต่าง สายตาเงียบขรึม เขาเริ่มคุ้นชินกับการถูกทรยศแล้ว ไม่โมโหง่ายๆ อีก หลังจากได้รู้เรื่องแล้วก็มีแต่ยิ่งสงบใจกว่าเดิม ตอบกลับว่า : ข้าเดาเจตนาของตระกูลโค่วออกแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก คำมั่นใจว่าจะซ้อนแผนกำจัดอิ๋งหยางได้


หยางชิ่งร้อนใจแล้ว : ผู้มีเงินทองยอมไม่เฉียดเข้าใกล้ชายคาบ้าน! นายท่านเดินมาถึงทุกวันนี้แล้ว ถ้าพุ่งออกหน้าไปเสี่ยงต่อสู้เข่นฆ่าอีกนั้นไม่เหมาะสมเลย ในเมื่ออำนาจของตระกูลอิ๋งตั้งใจจะวางกับดัก ก็จะต้องไม่ปรานีแน่นอน นายท่านได้โปรดใคร่ครวญ อย่ารีบร้อนลงมือตอนนี้!


เหมียวอี้ : ครั้งนี้ข้าต้องการใช้กำลังปะทะเพื่อทำลายพวกเขา เจ้าวางใจเถอะ อาจจะไม่ต้องลงมือเองก็ได้!


สรุปก็คือพูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์ เหมียวอี้ดูเหมือนมีความมั่นใจมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาความมั่นใจมากขนาดนี้มาจากไหน หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว หยางชิ่งก็หลับตาเอามือนวดหน้าผาก แล้วหันตัวช้าๆ เอาหลังพิงขอบหน้าต่าง สีหน้ากลัดกลุ้มกังวลใจ ถึงขั้นดูขื่นขมทรมานอยู่หลายส่วน


“ผู้ช่วยใหญ่ เจ้าเป็นอะไรไป?” จินม่านตกใจ รีบเข้ามาประคองแขนเขา


หยางชิ่งพยายามออกแรงส่ายหน้า หลังจากลืมตาแล้วก็ผลักแขนจินม่านออก “ข้าไม่เป็นอะไร!”


นี่ยังบอกว่าไม่เป็นอะไรอีกหรอ? จินม่านเบิกตากว้างมองใบหน้าซีดขาวของเขา สงสัยนิดหน่อยว่าเขาป่วยแล้วหรือเปล่า แต่ปกติแล้วนักพรตป่วยได้ด้วยหรอ?


หยางชิ่งที่ใช้มือประคองหน้าต่างยืนหลับตาใช้สมาธิครุ่นคิดอีกพักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ลืมตาแล้วหันกลับมาถาม “ข้าจำได้ว่าครั้งก่อน เหมือนเจ้าจะบอกว่ามีของอะไรสักอย่างที่สามารถป้องกันการยั่วยวนจากระบำมารสวรรค์ได้?”


จินม่านไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเอ่ยเรื่องนี้ นางพยักหน้าตอบว่า “กล้วยไม้สำรวมใจ ถ้ากินไว้ล่วงหน้าจะสามารถต้านทานการยั่วยวนของระบำมารสวรรค์ได้ ต้องกินก่อนเท่านั้น ถ้ากินทีหลังไม่มีประโยชน์”


“หาที่ตลาดผีได้หรือเปล่า?” หยางชิ่งซักไซ้


จินม่านลองนึกดู แล้วตอบอย่างลังเลว่า “น่าจะหาได้นะ ถึงแม้จะพบเห็นสิ่งนี้ได้น้อย แต่ก็ไม่ใช่ของที่หายากอะไรมาก”


หยางชิ่งบอกทันทีว่า “ดี! บอกให้คนของหกลัทธิที่ตลาดผีรีบหาทางนำของสิ่งนี้มาให้เร็วที่สุด ข้ารีบใช้!”


หลังจากนั้นไม่กี่วัน หยางเจาชิงที่อยู่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีก็เดินไปเดินมาอยู่หน้าประตูห้องเหมียวอี้ เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างลังเล แต่สุดท้ายก็แข็งใจเคาะประตู


เหมียวอี้กำลังนั่งสมาธิอยู่ในห้องลืมตาขึ้น พอเห็นหยางเจาชิงเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก็ถามว่า “มีเรื่องอะไร?”


หยางเจาชิงตอบอย่างลังเลว่า “เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ หยางชิ่งเพิ่งจะติดต่อกับข้าน้อย บอกว่าจวนแม่ทัพภาคป้องกันเข้มงวดเกินไป ต้องการให้ค่าเปิดช่องโหว่สักหน่อย ให้ค่ะข้าส่งสวีถังหรานไปหาความสำราญที่หอนางโลมทุกๆ สามวัน”


เหมียวอี้งงทันที แล้วถามด้วยความสงสัย “ให้สวีถังหรานไปหาความสำราญที่หอนางโลมเหรอ?”


หยางเจาชิงพยักหน้า “ขอรับ ไปหอนางโลม หยางชิ่งเน้นย้ำมาด้วย ว่าเวลากระชั้นชิดเกินไป ถ้าไปที่อื่นอาจจะได้ผลช้า จะต้องให้สวีถังหรานไปที่หอนางโลมให้ได้ ข้าถามเขาว่าหมายความว่าอะไร เขาบอกว่าตอนนี้ยังยืนยันไม่ได้ มีแต่ต้องให้สวีถังหรานไปหยั่งเชิงเท่านั้น ให้ข้าอย่าเพิ่งบอกนายท่าน รอให้ได้ข้อสรุปก่อนแล้วค่อยบอก”

 

 

 


บทที่ 1661 มี 'เหยียนซิว' โผล่มาอีกคน...

 

“ไปหอนางโลมเหรอ? เล่นลูกไม้อะไรอยู่?” เหมียวอี้ลงจากเตียงและลุกขึ้นยืน ไม่เข้าใจว่าหยางชิ่งกำลังเล่นอะไรกันแน่ ขมวดคิ้วมุ่นเดินไปเดินมา


หยางเจาชิงตอบ “เขายังกำชับรายละเอียดบางอย่างเอาไว้ด้วย เดี๋ยวข้าน้อยจะต้องไปรับของบางอย่างสักหน่อย บอกว่าเป็นยาที่จะให้สวีถังหรานกินก่อนไปหอนางโลม ดูว่าจะมีใครสามารถใช้วิชาระบำมอมเมาใจคนมายั่วยวนสวีถังหรานได้หรือไม่”


วิชาระบำขี้เมาใจคนเหรอ? เหมียวอี้ตกตะลึง อย่าบอกนะว่าเป็นระบำมารสวรรค์? หยางชิ่งรู้เรื่องระบำมารสวรรค์ได้อย่างไร? ตนไม่เคยบอกเขานี่นา!


ไม่นานก็เข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว นึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่ตัวเองเคยถามจินม่านเกี่ยวกับระบำมารสวรรค์


แต่หยางชิ่งสนใจระบำมารสวรรค์เพราะมีเจตนาอะไร? เกี่ยวอะไรกับการให้สวีถังหรานไปหอนางโลม? ไปหอนางโลมแล้วจะเจอระบำมารสวรรค์เหรอ? นี่หยางชิ่งกำลังเล่นลูกไม้อะไรกันแน่? เหมียวอี้ไม่ค่อยเข้าใจ เป็นเพราะความคิดของหยางชิ่งล้ำลึกจนเขาตามทันได้ยาก เขาจึงหยิบระฆังดาราเตรียมจะติดต่อไปถามหยางชิ่งตรงๆ ขี้คร้านจะเดาไปเดามา


“นายท่าน ในเมื่อหยางชิ่งบอกข้าน้อยมาแล้ว ก็คงจะไม่ได้คิดปิดบังนายท่าน เพียงแต่ที่ไม่บอกนายท่านตอนนี้ ก็เพราะเขาอาจจะยังไม่แน่ใจ จะทดสอบก่อน เมื่อได้ข้อสรุปแล้วก็คงจะบอกนายท่านเอง…” หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ กล่าวอย่างลำบากใจ เดาออกแล้วว่าเหมียวอี้ต้องการจะติดต่อหยางชิ่ง


เหมียวอี้มองดูปฏิกิริยาของเขา ลังเลนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็อดทนไว้ เก็บระฆังดาราอย่างช้าๆ เพราะหยางชิ่งสั่งให้หยางเจาชิงเก็บเป็นความลับชั่วคราว ถ้าผ่านไปประเดี๋ยวเดียวแล้วขายหยางเจาชิง ก็จะทำให้หยางเจาชิงลำบากใจ ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่หยางเจาชิงพูดก็มีเหตุผล หยางชิ่งไม่ได้มีเจตนาจะปิดบังเขาเช่นกัน


หลังจากเงียบไปสักพัก เหมียวอี้ก็โบกมือบอกว่า “เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว เจ้าไปจัดการตามที่เขาบอกก่อนเถอะ”


“ขอรับ!” ไม่ได้รับอนุญาตแล้ว หยางเจาชิงก็เอ่ยรับ ตอนนี้โล่งใจแล้วเช่นกัน นี่ก็คือจุดประสงค์พี่เขาบอกเหมียวอี้ ไม่อย่างนั้นการทำอะไรลับหลังเหมียวอี้แบบนี้ ถ้าถูกจับได้ขึ้นมาก็จะอธิบายได้ไม่ชัดเจน


หลังจากออกไปแล้ว หยางเจาชิงก็ไปคุยเรื่องนี้กับสวีถังหรานทันที เขาย่อมไม่บอกว่านี่คือความคิดของหยางชิ่ง เพราะสำหรับสวีถังหราน หยางชิ่งประสบเหตุเสียชีวิตไปแล้ว ไม่มีตัวตนอยู่แล้ว


“หา!” หลังจากได้ฟังเรื่องที่ตัวเองต้องทำ สวีถังหรานที่เดิมทีนั่งอย่างสง่าก็ผุดลุกขึ้น ถลึงตาโตถามว่า “ไปหาความสำราญที่หอนางโลมเหรอ? ข้าว่านะหยางเจาชิง จะล้อข้าเล่นหรือเปล่า? นี่มันใช่เรื่องงานที่ไหนกัน!”


หยางเจาชิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามรีบยกการินน้ำชาให้เขา “เจ้าจะร้อนใจอะไร? ข้าจะเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเจ้าเล่นได้ยังไง? ที่ให้เจ้าไปหาความสำราญในหอนางโลมก็ใช่ว่าจะไม่มีจุดประสงค์ จุดประสงค์ก็คือต้องทำงาน นายท่านทำแบบนี้จะต้องมีจุดประสงค์แน่นอน” เขาไม่ได้บอกตรงๆ ว่าเป็นความคิดของเหมียวอี้ แต่ก็ยังอ้างชื่อเหมียวอี้อย่างอ้อมๆ เขารู้ว่าสวีถังหรานตกหลุมพรางเรื่องนี้ง่ายที่สุด


“เป็นความคิดของนายท่านหรอ?” สวีถังหรานสงบลงในชั่วพริบตาเดียว นั่งลงช้าๆ แล้วยืดคอถาม


“ก็ต้องสงสัยอีกเหรอ? ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ไปถามนายท่านได้เลย” หยางเจาชิงตอบอย่างคลุมเครือ


การรับมือกับสวีถังหราน ขอเพียงอ้างชื่อเหมียวอี้ ทุกอย่างก็จะคุยง่ายแล้ว


หลังจากจัดการสวีถังหรานเรียบร้อย หยางเจาชิงก็รีบติดต่อไปถามหยางชิ่ง ว่าขั้นต่อไปจะให้ทำอย่างไร เมื่อได้รับคำสั่งจากหยางชิ่งแล้ว ก็ไปยังทะเลสาบใต้ดินของตลาดผีผ่านทางลับทันที ดำลงไปในทะเลสาบเพื่อค้นหาแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งตรงจุดที่ระบุไว้ จากนั้นก็รีบกลับไปหาสวีถังหรานอีก


ขั้นตอนนี้เหมือนค่อนข้างซ้ำซากและเกินความจำเป็น แต่หยางชิ่งก็เป็นคนอย่างนี้ ทำงานอย่างระมัดระวังจนติดเป็นนิสัยแล้ว


“ข้าจะบอกจำไว้เลยนะ ห้ามให้เสวี่ยหลิงหลงรู้เรื่องนี้เป็นอันขาด”


เมื่อเตรียมการทุกอย่างเหมาะสมแล้ว สวีถังหรานที่ปลอมตัวและเตรียมจะออกประตูก็ดึงหยางเจาชิงมาสั่งไว้


หยางเจาชิงรู้สึกแปลกใจ “เจ้าจะมาเสแสร้งทำตัวบริสุทธิ์ต่อหน้าข้าทำไม เจ้ากล้าพูดไหมว่าหลังจากแต่งงานกับเสวี่ยหลิงหลงแล้วไม่เคยไปหอนางโลมอีกเลย? ผู้หญิงที่ชอบถือพัดคนนั้นชื่อว่าอะไรนะ…”


“หุบปาก…” สวีถังหรานพูดตัดบท แล้วเหลียวซ้ายแลขวา ไม่เห็นว่าไม่มีใครได้ยิน ถึงได้ถลึงตาบอกว่า “นั่นเหมือนกันหรอ? เข้าไปส่วนตัวยังปิดบังเองได้ แต่ถ้าไปทำงานสุดท้ายเรื่องนี้ก็อาจจะเปิดโปงก็ได้ อยู่ดีๆ ข้าจะทำให้บ้านตัวเองไม่สงบทำไม? ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดเผยขึ้นมา เจ้าต้องช่วยเป็นพยานให้ข้า ช่วยยืนยันว่าข้าไปทำงาน”


“เอาล่ะ พอแล้ว รู้แล่้ว ข้าจะช่วยเป็นพยานให้เจ้า”


“ถึงแม้ผู้หญิงในสถานบันเทิงของตลาดผีจะมีเพียงพอ แต่ราคาก็สูงจนเหลวไหล ค่าใช้จ่ายนี้ใครเป็นคนออก?”


“เจ้าไปหาความสำราญ เดี๋ยวต้องให้ค่าช่วยควักเงินให้ด้วยหรอ?”


“เรียกว่าไปหาความสำราญได้ยังไงกัน ข้าไปทำงานนะ!”


“เจ้าอย่ามาพูดเลย เจ้าขาดเงินด้วยหรอ? ในบรรดาลูกน้องทุกคนของนายท่าน มีแค่เจ้าที่กอบโกยเงินโหดที่สุด! อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะ เอาแค่ร้านค้าในตลาดสวรรค์ อย่างน้อยเจ้าก็มีสิบกว่าร้านแล้วไม่ใช่เหรอ? หลังจากลูกน้องเก่าของนายท่านที่ตลาดสวรรค์ในปีนั้นแยกย้ายกันไปตามตลาดสวรรค์ดาวต่างๆ เจ้าก็เหมือนจะไม่พลาดสักคน ไปติดต่อสร้างเส้นสายเอาไว้หมด ไหนเจ้าลองบอกมาซิว่าใช้เส้นสายนี้สร้างร้านค้าไว้กี่ร้านแล้ว? ทั้งเรื่องขาดคุณธรรมยิบย่อยที่บอกใครไม่ได้อีก เจ้าลองบอกมาซิว่าหลายปีมานี้เจ้ากอบโกยเงินได้เท่าไหร่แล้ว?”


“เหลวไหล! ข้าจะเอาเงินจากไหนมาซื้อร้านค้าเยอะขนาดนั้น? จะสาดโคลนกันก็ต้องมีเหตุผลบ้างสิ ไม่ใช่อ้าปากก็พูดเลย มีสมองหน่อยได้ไหม?”


“อย่ามาเสแสร้งกต่อหน้าข้าเลย! เจ้าแอบหาเส้นสายเพื่อเอาสิทธิ์ซื้อขายของร้านค้ามา แล้วก็ให้หวงเสี้ยวเทียนช่วยรวบรวมเงินให้เจ้า แล้วเงินนั่นรวบรวมมายังไงล่ะ? หลอกคนกลุ่มหนึ่งให้รวมเงินกันซื้อร้านค้า เพราะอีกฝ่ายจ่ายเงินแล้ว เจ้าก็ใส่ร้ายแล้วเรียกกำลังพลของทางการมาจับกุมคนพวกนี้ จากนั้นก็ฮุบร้านค้าพวกนั้นไว้คนเดียว จะคิดว่าข้าไม่รู้เหรอ?”


“หยางเจาชิง มารดาเจ้าเถอะ นี่เจ้ากำลังใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่าพูดซี้ซั้ว!”


“หลักฐานหรอ? ขอเพียงเป็นร้านค้าที่มีเบื้องหลังเกี่ยวข้องกับเจ้า กลุ่มคนที่เจ้าเรียกว่าผู้ร่วมหุ้นล้วนถูกจับข้อหาครอบครองสิ่งผิดกฎหมายไปหมดแล้ว มีเรื่องบังเอิญแบบนั้นเสียที่ไหนกัน? หรือไม่พวกเราไปหานายท่านไหมล่ะ ให้นายท่านสั่งลูกน้องเก่าพวกนั้นให้ตรวจสอบสักหน่อย? ข้าว่าน่ะสวีถังหราน เจ้านี่ดำมืดใช้ได้เลย โหดพอตัว คนอื่นเขารวบรวมเงินช่วยซื้อร้านค้าให้เจ้า เจ้าไม่ขอบคุณพวกเขาก็ว่าแย่แล้ว ทั้งยังจะเอาชีวิตพวกเขาอีก จำไม่ได้จ่ายเหรียญทผลึกเลยสักก้อน จะได้ธุรกิจมากมายขนาดนั้นมาด้วยมือเปล่า ข้าว่าทั้งจวนแม่ทัพภาคตลาดผีก็มีเจ้านี่แหละที่รวยสุด!”


“พอๆๆ นี่เจ้ากำลังใส่ร้ายข้า เขาอยากจะถือสาเจ้าหรอกนะ” สวีถังหรานกินปูนร้อนท้อง น้ำเสียงอ่อนลงอย่างชัดเจน


“พูดมากอะไรอยู่ได้ รีบไป!” หยางเจาชิงผลักเขาอย่างทนรำคาญไม่ไหว


พอออกจากจวนแม่ทัพภาคแล้ว สวีถังหรานก็รู้สึกไม่ค่อยสงบใจ กลุ้มใจนิดหน่อย หยางเจาชิงมันรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไรกัน?


แต่พอคิดไปคิดมาก็เดาได้ไม่ยาก เส้นสายที่ตัวเองผูกไว้ล้วนเป็นลูกน้องเก่าของนายท่าน หลังจากนำรายงานสถานการณ์ของที่ต่างๆ รวมกันแล้ว ก็เดาได้ง่ายมากว่าในนั้นมีเงื่อนงำ แต่ก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าหยางเจาชิงจะพูดแรงขนาดนั้น ถ้าไม่ได้จ่ายเหรียญผลึกสักก้อนแล้วจะจัดการได้อย่างไร เขาเองก็จ่ายเงินใต้โต๊ะไปไม่น้อยเหมือนกัน


แต่สิ่งนี้ไม่ได้สำคัญเลย เพราะสิ่งที่สวีถังหรานกังวลก็คือ ขนาดหยางเจาชิงยังรู้หมดแล้ว คาดว่านายท่านก็ต้องรู้ตั้งแต่แรกแล้วแน่นอน เพียงแต่ที่ผ่านมายังไม่เคยเปิดโปงก็เท่านั้นเอง


เขาพอจะเข้าใจแล้ว ว่าทำไมเหมียวอี้จึงต้องให้เขาไปหาร้านค้าที่ตลาดผี


“เฮ้อ!” สวีถังหรานแอบถอนหายใจ จากนั้นก็มองซ้ายมองขวา เขาคุ้นเคยกับหอนางโลมแต่ละแห่งในตลาดผีดีมาก  ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เขาคือแขกประจำของหอนางโลม แม่นางของหอไหนดี แม่นางของหอไหนเด็ดอย่างไร เขาก็รู้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน


อันที่จริงแล้ว เวลาเขาไปหอนางโลมก็ไม่ต้องจ่ายเงินเลย เมื่อก่อนเขายังไม่รู้ แต่หลังจากแต่งงานกับเสวี่ยหลิงหลงจนมีข่าวลือในทางที่ดีเกี่ยวกับเขาแล้ว เขาถึงได้รู้ว่าตัวเองชื่อเสียงโด่งดังมากที่หอนางโลม หอนางโลมในใต้หล้าลั่นวาจาแทบทุกแห่ง ว่าสวีถังหรานคือแขกผู้มีเกียรติหมายเลขหนึ่ง  ขอเพียงเขายอมมาใช้บริการ ก็ไม่ต้องเก็บค่าใช้จ่ายเลย


สิ่งนี้ทำให้สวีถังหรานหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก มารดาเจ้าเถอะ ใครมันจะไปหอนางโลมแล้วประกาศฐานะของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยสถานการณ์ของตลาดผี เขาก็ยิ่งไม่สะดวกจะเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง ขนาดมีโอกาสเอาเปรียบแล้วยังทำไม่ได้เลย ทำให้เขาว้าวุ่นใจจริงๆ


“หอสามจันทรา” เมื่อเห็นชื่อก็รู้ถึงความหมาย ฤดูกาลบุปผาแรกแย้ม ทิวทัศน์ข้างในหอจะต้องยั่วยวนใจคนแน่นอน


สวีถังหรานเดินมาถึงใต้ป้ายชื่อของหอนางโลมที่เขาชอบที่สุดโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพียงแต่เมื่อก่อนดำน้ำมาอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ทว่าครั้งนี้เดินดุ่มๆ ออกมาจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผีโดยตรง


ข้างในมีเสียงขลุ่ยไพเราะปนเสียงร้องเพลงดังมา ทำให้เขาทนเกรงใจไม่ไหว แม่นางหลายคนที่เต้นระบำเรียกแขกเป็นฝ่ายมากอดเขาเข้าไปข้างในแล้ว…


หยางเจาชิงที่เพิ่งเดินออกมาจากทางน้ำรู้สึกแปลกนิดหน่อย เขาหันกลับไปมองชายที่ขึ้นจากผิวน้ำและตามตัวเองมา นี่คือคนที่เหมียวอี้สั่งให้เขาออกจากทางลับมารับตัว เขารู้สึกว่าคุ้นตามาก พอถอดหนังหน้าปลอมออก ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็คล้ายกับเหยียนซิว


แต่ถ้าเป็นเหยียนซิวจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาออกมารับ เพราะเหยียนซิวรู้ว่าจะเข้าออกทางลับดีอย่างไร แต่ถ้าจะบอกว่าไม่ใช่เหยียนซิว แต่ทางลับนี้ก็เปิดเผยให้คนนอกรู้ไม่ได้


ตอนเดินออกจากทางลับจนใกล้จะเข้าจวนแม่ทัพภาค จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงดัง “แคว่ก”


หยางเจาชิงหันกลับไปมองอีกครั้ง ทำให้ตะลึงงันทันที เห็นอีกฝ่ายดึงหนังปลอมบนใบหน้าออกแล้ว เผยใบหน้าชราออกมา ถ้าไม่ใช่เหยียนซิวแล้วจะเป็นใครไปได้?


แต่ไม่นานก็พบความไม่ชอบมาพากล ใบหน้าน้ำนั้นปลอมแปลงกันได้ แต่ลักษณะเย็นเยียบพิศวงของเหยียนซิวกลับเลียนแบบกันไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น อย่างน้อยคนคนนี้ก็ไม่มีสิ่งนี้บนตัว


ตอนออกจากทางลับมาแล้ว ในใจเขาก็เต็มไปด้วยความสงสัย เขาพา ‘เหยียนซิว’ เดินเข้าจวนแม่ทัพภาคอย่างโจ่งแจ้ง เดินตรงเข้าไปที่ห้องเหมียวอี้แล้ว


เคาะประตูห้องแล้วเข้าไป พอเจอเหมียวอี้ หยางเจาชิงก็ทำความเคารพ “นายท่าน พาตัวมาแล้วขอรับ…” เขาอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง อยากถามว่า ‘เหยียนซิว’ คนนี้เป็นอะไรไป


เหมียวอี้จ้องประเมิน ‘เหยียนซิว’ ศีรษะจดเท้า แล้วยกมือบอกใบ้ให้หยางเจาชิงออกไป


ตอนที่ออกไป หยางเจาชิงพบว่า ‘เหยียนซิว’ มองสำรวจไปทั่วห้องอย่างสบายใจ สิ่งนี้ทำให้เขายิ่งแน่ใจว่าคนคนนี้ไม่ใช่เหยียนซิว เพราะเหยียนซิวไม่มีทางทำอย่างนี้


พอปิดประตูแล้ว ในห้องก็ไม่มีคนนอก


เหมียวอี้เดินมานั่งด้านหลังโต๊ะยาว วางสองมือลงบนโต๊ะ ใช้นิ้วทั้งห้าเคาะที่ผิวโต๊ะเบาๆ พร้อมจ้องทุกความเคลื่อนไหวของ ‘เหยียนซิว’


‘เหยียนซิว’ เดินเพ่นพ่านทั่วห้องยังไม่เกรงกลัวอะไร เดี๋ยวลูบคลำสิ่งนั้น เดี๋ยวพลิกดูสิ่งนี้ แล้วสุดท้ายก็ยืนหันข้างหน้าโต๊ะยาว เอียงหน้ามองเหมียวอี้ พร้อมถามหาด้วยเสียงแหบพร่า “มีเรื่องอะไรทำไมคุยในระฆังดาราไม่ได้ จะต้องเรียกข้ามาให้ได้เชียวเหรอ? มีอะไรก็รีบพูดมา ข้ากำลังยุ่ง”


เหมียวอี้หยุดเคาะโต๊ะ แล้วถ่ายทอดเสียงกล่าวช้าๆ ว่า “ส่งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดล้านคันกับเครื่องแบบตำหนักสวรรค์มาให้ข้า ข้าต้องใช้!”


เหยียนซิวหัวเราะหึหึ แล้วบอกว่า “เจ้าจะให้ข้านำออกมาเหรอ ข้าเอาออกมาได้เหรอ? ของพวกนี้ใช้เงินประเมินไม่ได้ แน่นอน ถ้าเจ้าจ่ายไหว ข้าก็ไม่ถือสาที่จะขายให้เจ้า”


“เงินน่ะ! ข้าให้เจ้าไม่ได้หรอก แต่ของน่ะ เจ้าต้องให้ข้า!” เหมียวอี้กล่าว


เหยียนซิวราวกับได้ฟังเรื่องตลกมาก แสยะยิ้มแล้วถามว่า “มีสิทธิ์อะไร?”


“ก็ไม่มีอะไรหรอก สิทธิ์ที่ข้าเป็นเจ้านายของเจ้าไง!” เหมียวอี้กล่าวอย่างใจเย็น

 

 

 


บทที่ 1662 นายกับบ่าวเช่นนี้

 

เหมือนคำพูดนี้จะแทงใจดำ ‘เหยียนซิว’ แล้ว ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้ใบหน้าแสยะยิ้มของ ‘เหยียนซิว’ แข็งค้างเหมือนหิน มองเหมียวอี้อย่างพูดไม่ออก สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหวาดระแวง สุดท้ายก็พยายามฝืนทำใจเย็น “เจ้านายเหรอ? พูดโอ้อวดไร้ยางอาย!”


‘เหยียนซิว’ คนนี้ย่อมไม่ใช่ใครอื่น เป็นคนที่ซ่อนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายล้านคันและเครื่องแบบตำหนักสวรรค์เอาไว้จำนวนมาก นอกจากไป๋เฟิ่งหวงก็ไม่มีใครแล้ว การตัดสินของหยางเจาชิงย่อมไม่ผิดพลาด ไป๋เฟิ่งหวงสามารถรแปลงกายได้หลากหลาย สาเหตุที่แปลงร่างเป็นเหยียนซิวเข้ามาในตลาดผีจวนแม่ทัพภาค ก็เพราะไม่อยากให้คนสงสัย ถึงอย่างไรในจวนแม่ทัพภาคก็มีหูมีตาของตระกูลโค่วอยู่เต็มไปหมด ที่เปลี่ยนเป็นเหยียนซิวก็เพื่อให้เหมียวอี้กับไป๋เฟิ่งหวงได้ติดต่อกันเป็นการส่วนตัว


เหมียวอี้กล่าวอย่างใจเย็น “เรื่องยอมรับเป็นเจ้านายนั้นเป็นเรื่องใหญ่ คาดว่าความจำของเจ้าคงไม่แย่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง ข้าไม่ได้บังคับนะ เจ้าเองที่เป็นฝ่ายยอมรับข้าเป็นเจ้านาย?”


ทั้งร่างของไป๋เฟิ่งหวงเปลี่ยนไป ชั่วพริบตาเดียวก็เผยโฉมหน้าเดิมแล้ว กระโปรงสีขาวบริสุทธิ์ยาวลากพื้น ผมสีขาวเงิน คิ้วโก่งสีขาว ผิวขาวบริสุทธิ์ ราวกับทั้งตัวถูกสลักด้วยหยก งดงามปานเทพธิดาแต่กลับเย่อหยิ่งเหมือนไก่ตัวผู้


“ยอมรับเป็นเจ้านายเหรอ?” นางไม่ปฏิเสธเรื่องที่ตัวเองยอมรับเขาเป็นเจ้านาย แต่กลับพูดเหยียดว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าคู่ควรเหรอ?”


นางผลักคำถามกลับไปให้เหมียวอี้ ยังคงหวังว่าเหมียวอี้จะไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึก จะได้ช่วงชิงอำนาจในการเป็นอิสระให้ตัวเองต่อไป


ทว่าในครั้งนี้เหมือนเหมียวอี้จะเตรียมตัวมาแล้ว บอกตรงๆเลยว่า “คู่ควรหรือไม่คู่ควรก็ต้องถามตัวเจ้าเอง คนที่สามารถอาศัยตาทิพย์เข้าไปในทะเลดาวสับสน ทั้งยังช่วยคลายผนึกที่หัวใจให้เจ้าได้ เจ้าว่าข้ามีคุณสมบัติเพียงพอพี่จะเป็นเจ้านายของเจ้าหรือเปล่าล่ะ?”


ไป๋เฟิ่งหวงราวกับถูกมีดแทงในหัวใจ มุมปากกระตุกเล็กน้อย แล้วยิ้มทื่อๆ ในขณะที่แกล้งโง่ “ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดอะไร คลายผนึกหัวใจของข้า นั่นคือสิ่งที่เจ้ากับข้าทำเงื่อนไขแลกเปลี่ยนกัน ไม่ใช่ข้า…”


นางยังคิดจะช่วงชิงอิสระที่เกิดขึ้นอย่างยากลำบาก ทว่าเหมียวอี้พูดตัดบทอย่างแข็งกร้าวมาก “เจ้าแน่ใจเหรอว่าอยากจะต่อต้านประมุขไป๋?”


ยิ้มไม่ออกแล้ว ไป๋เฟิ่งหวงเบิกตากว้าง จ้องเหมียวอี้ไม่รับสายตา “ปั้ง” จู่ๆ นางก็ตบโต๊ะ แล้วคำรามเหมือนใกล้จะเป็นบ้า “เจ้าปั่นหัวข้าเล่นใช่ไหม? ในเมื่อรู้แล้ว ยังจะถามทำบ้าอะไรอีก! ยอมรับเป็นเจ้านายแล้วยังไงล่ะ? เจ้าเศษสวะนั่นตายไปหลายปีแล้ว ต่อให้ข้ายอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แล้วเจ้าจะทำยังไงกับข้าอีก?”


แค่ปฏิกิริยานี้ก็เพียงพอแล้ว เหมียวอี้แอบโล่งอก สงสัยจะเดาไม่ผิด ในที่สุดก็คลายปริศนาได้แล้วว่าทำไมตอนแรกปีศาจสาวตนนี้ถึงเป็นฝ่ายมาหาเขาและยอมรับเขาเป็นเจ้านายก่อน


ถ้าไม่ใช่เพราะเดินทางไปที่ซากสำนักหนานอู๋ แล้วอวิ๋นจือชิวเทียบแผนที่ที่ได้มาจากจุดซ่อนสมบัติจนระบุสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปในขั้นต้นได้ ทำให้เขาแน่ใจว่าคนซ่อนสมบัติคือประมุขไป๋ และอิงจากสิ่งนี้เป็นพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงไปถึงตาทิพย์รวมทั้งภาพเหตุการณ์ตอนบังเอิญเจอปีศาจสาวในทะเลดาวสับสน พอนำมาประกอบกับเรื่องที่ปีศาจสาวยอมรับเขาเป็นเจ้านาย จะไม่ให้สงสัยประมุขไป๋ก็คงยาก เขาถึงได้ทดสอบแบบนี้ เดาไม่ผิดจริงๆ ด้วย!


เมื่อมีความมั่นใจนี้แล้ว เหมียวอี้ก็ยื่นมือไปทางประตูใหญ่ “ถ้าเจ้าอยากกลืนคำพูดตัวเอง ข้าก็ไม่ฝืนใจ เชิญตามสะดวก เพียงแต่ว่า…เจ้าต้องรับผลที่ตามมาเองนะ!”


“ฮึ!” ไป๋เฟิ่งหวงทำเสียงฮึดฮัดอย่างเหยียดหยามเป็นพิเศษ แล้วหันตัวเดินออกไป ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยจริงๆ


เหมียวอี้วางสองมือบนโต๊ะ สีหน้าท่าทางไม่สะทกสะท้าน ไม่ยื้อนางด้วยเช่นกัน


ไป๋เฟิ่งหวงเดินยืดอกเชิดหน้าด้วยความเด็ดเดี่ยวมาจนถึงประตู นางวางสองมือบนประตู ขณะกำลังจะผลักออกไป ร่างกายก็หยุดชะงัก นางหันกลับมามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง ผลก็คือพบว่าเหมียวอี้หลับตาแล้ว ไม่มีท่าทีว่าจะรั้งนางไว้สักนิดเลยจริงๆ


ใครจะคิดว่านางที่เมื่อครู่นี้ยังเด็ดเดี่ยวกล้าหาญมาก ตอนนี้จะหันตัวกลับมาอีกแล้ว เกิดดเสียงดังปั้ง นางตบฝ่ามือลงบนโต๊ะอีกครั้ง ทำให้ของที่อยู่บนโต๊ะกระเด็นไปทั่ว แล้วถลึงตาจ้องเหมียวอี้เงียบๆ อย่างดุร้าย


เหมียวอี้ลืมตาช้าๆ แล้วมองนาง ในใจรู้สึกขำ ที่เขากล้าปล่อยนางไปย่อมมีเหตุผลอยู่แล้ว เขาจำได้ว่าตอนที่ยังอยู่ธงพยัคฆ์ดำ ครั้งแรกที่ปีศาจสาวมาค่ายของธงพยัคฆ์ดำ นางเอาเยี่ยนเป่ยหงมาบีบให้เขาคลายผนึกตรงหัวใจให้ จากนั้นนางก็ไปทันที แต่เรื่องแปลกที่เกิดขึ้นในตอนหลังก็คือ จู่ๆ ปีศาจสาวตนนี้ก็กลับมาอีก พอเห็นเขาแล้วก็คุกเข่าคารวะ แล้วบอกว่ายอมรับเขาเป็นเจ้านายเลย ทำให้เขาประหลาดใจไม่รู้ว่าเพราะอะไรกันแน่ ตอนนั้นยังไม่ค่อยกล้ายอมรับด้วย


ตอนนี้พอรู้แล้วว่าเป็นเพราะประมุขไป๋ ก็เดาสาเหตุของเรื่องประหลาดในตอนนั้นได้ไม่ยากแล้ว ผู้หญิงคนนี้เย่อหยิ่งเหมือนไก่ตัวผู้ จะเต็มใจคุกเข่ายอมรับเขาเป็นเจ้านายได้อย่างไร จะต้องถูกแรงกดดันบางอย่างที่ไม่อาจต้านทานบีบบังคับแน่นอน


ไม่มีความมั่นใจนี้แล้ว เหมียวอี้เพียงแต่กลัวนางหนีอีกหรือ? เจ้าดูสิ ปีศาจสาวที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญหายไปในชั่วพริบตาเดียว กลับมาอย่างว่านอนสอนง่ายแล้วไม่ใช่เหรอ?


“ไม่ไปแล้วเหรอ?” เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ


ไป๋เฟิ่งหวงแอบกัดฟันกรอด โบกมือโยนกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งมาตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วหันตัวไปนั่งไขว่ห้างที่เก้าอี้ข้างๆ แล้วกล่าวอย่างหงุดหงิดไม่ยอมแพ้ “ถึงยังไงเจ้าก็เคยคลายผนึกหัวใจให้ข้า ข้าไม่ใช่คนหลงลืมบุญคุณ ของที่เจ้าต้องการอยู่ในนี้หมดแล้ว นับดูเอาเอง”


เหตุผลนี้ช่างทำให้คนพูดไม่ออกจริงๆ! เหมียวอี้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นับว่าเข้าใจถึงคำกล่าวที่ว่า ‘ต่อให้เป็นเป็ดตายก็ยังปากแข็ง’ แล้ว เขานำของที่อยู่ข้างในกำไลเก็บสมบัติมาตรวจนับ


ผ่านไปได้สักพัก นับจำนวนแล้วว่าไม่ผิดพลาด เหมียวอี้ก็เก็บกำไลเก็บสมบัติ เอนหลังพิงเก้าอี้ แล้ววกกลับมาประเด็นหลัก “ไป๋เฟิ่งหวง ข้าเป็นนาย เจ้าเป็นบ่าว เจ้าไม่ปฏิเสธใช่ไหม?”


“ข้ายังไม่เคยเห็นใครหน้าด้านหน้าทนอย่างเจ้ามาก่อนเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะเอาความซาบซึ้งใจชั่วครู่ในปีนั้นมาบีบข้าไม่ปล่อย เรายังเป็นผู้ชายอยู่หรือเปล่า?” ไป๋เฟิ่งหวงกล่าว


“อย่าเปลืองคำพูดมาก เขาแค่ถามว่าเจ้าจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ?” เหมียวอี้


“เชอะ!” ไป๋เฟิ่งหวงแสยะยิ้ม “เจ้าก็แค่ได้มาเจอคนที่พูดแล้วไม่คืนคำอย่างข้าเฉยๆ หรอก ข้าทำเรื่องประเภทกลืนคำพูดตัวเองไม่ลง ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงตบเจ้าตายด้วยฝ่ามือเดียวไปแล้ว เจ้าค่อยๆ ภาคภูมิใจไปเถอะ”


ยังปากแข็งอีกเหรอ? เหมียวอี้รู้สึกขำ แต่ก็ช่างเถอะ ปากแข็งก็ส่วนปากแข็ง เพราะความจริงนางยอมแพ้แล้ว ไม่ว่าปากกับใจจะตรงกันหรือไม่ ขอเพียงยอมรับก็พอแล้ว แม้จะโดนบังคับจนหมดหนทางก็ตาม แต่ก็ยังมีปริศนาอีกอย่างที่เขาอยากจะทำความเข้าใจ “ตอนแรกที่เจ้าเข้ามาในค่ายของกองทัพข้า ข้าคลายผนึกหัวใจให้เจ้าแล้ว เจ้าออกไปได้แล้วแท้ๆ ตอนหลังจะกลับมายอมรับข้าเป็นเจ้านายอีกทำไม? ในนั้นจะต้องมีเหตุผลอะไรแน่นอน ใครบังคับให้เจ้ากลับมา?”


“อย่ามาแกล้งโง่หน่อยเลย ถ้าไม่ใช่เพราะ…” ไป๋เฟิ่งหวงที่กำลังแสยะยิ้มหยุดชะงัก แล้วค่อยๆ หรี่ตาจ้องเหมียวอี้ แววตาเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง นางเข้าใจแล้ว ว่ายังมีบางเรื่องที่เจ้าหมอนี่ยังไม่รู้! เมื่อมีความคิดแบบนี้ นางจะยังตอบอย่างซื่อสัตย์ได้อย่างไร ความคิดที่จะรักษาอิสระเอาไว้จะหายไปง่ายๆ ไม่ได้ นางจึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ก็บอกเอาไว้ชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอ ที่ยอมรับเจ้าเป็นเจ้านายก็เพราะในปีนั้นข้าซาบซึ้งใจ!”


ตอนนี้นางสบายใจแล้ว ยอมรับไปเสียเลยว่าตัวเองรับเขาเป็นเจ้านาย อย่างไรเสียก็หลบไม่พ้น เพราะนางรู้ถึงความร้ายกาจของท่านนั้น คนระดับนั้นถึงแม้จะตายแล้วแต่ก็ยังไม่หมดฤทธิ์ ต่อให้เป็นอานุภาพที่หลงเหลืออยู่ ก็ไม่ใช่สิ่งที่นางจะต้านทานไหวอยู่ดี นางเคยได้รับบทเรียนมาแล้ว ในเมื่อหลบหนีมูลเหตุไม่พ้น เช่นนั้นก็พยายามหลบเลี่ยงการถูกจูงจมูกเดิน


มารดาเจ้าเถอะ! เหมียวอี้หมั่นไส้จนคันฟัน ต่อให้เป็นคนโง่ก็ฟังออกว่าไป๋เฟิ่งหวงกำลัง ‘เบี่ยงประเด็น’


เขาข่มความโกรธเอาไว้ แล้วเปลี่ยนประเด็นถาม “ในเมื่อปีนั้นประมุขไป๋ตั้งใจเลือกเจ้ามาแล้ว ก็คงไม่ได้วางแผนให้เจ้ามารินน้ำชาให้ข้าอย่างเดียวหรอกมั้ง? คาดว่าคงจะสั่งอะไรอย่างอื่นมาอีก บอกมาเถอะ เขายังสั่งเจ้าให้ทำอะไรอีก?”


“ไม่มีละมั้ง?” จู่ๆ ไป๋เฟิ่งหวงก็ทำท่าทางเหมือนไร้เดียงสามาก ดวงตางามกระพริบปริบๆ “ข้าก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่าเขาเตรียมอะไรเอาไว้ เจ้าเตือนข้าสักหน่อยได้มั้ยล่ะ?”


มารดาเจ้าเถอะ! ถ้าพ่อรู้แล้วจะยังถามเจ้าอีกเหรอ? เหมียวอี้ถามเสียงต่ำว่า “หรือว่าเจ้าอยากจะเป็นสาวใช้ของข้าจริงๆ ต้องคอยรินน้ำชาให้ข้าไปตลอดชีวิตเหรอ?”


ไป๋เฟิ่งหวงทรงตัวไม่อยู่ทันที ใช้ท้องแขนยันไว้บนที่วางมือ ใช้มืออีกข้างเท้าคาง แล้วหรี่ตายิ้ม “ในเมื่อยอมรับเป็นเจ้านายแล้ว งานจิปาถะข้าก็ยอมรับเช่นกัน ถ้าเจ้ายินดีให้ข้ารินน้ำชาอยู่ข้างกายเจ้าตลอดไป ไม่กลัวคนอื่นเห็น ข้าก็ไม่ว่าอะไร แต่เจ้าต้องรู้เอาไว้นะ ว่าถ้าประมุขชิงรู้ว่าเจ้ากับข้าสมคบคิดกัน จะไม่ให้เขาคิดมากก็คงยาก เจ้าต้องไตร่ตรองดูให้ดีนะ ข้าไม่ได้คัดค้านอะไร”


เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน จ้องนางอย่างเย็นเยียบ ในใจด่าแม่แล้ว ก็เหมือนที่นางเพิ่งบอกเมื่อครู่นี้ เขาแน่ใจว่าประมุขไป๋ต้องสั่งอะไรปีศาจสาวตนนี้ไว้แน่นอน ดูจากเรื่องซ่อนสมบัติก็รู้แล้วว่าประมุขไป๋เป็นคนละเอียดรอบคอบ วางหมากไว้ต่อเนื่องเป็นทอดๆ ไม่มีทางที่จะเกิดช่องโหว่ใหญ่ขนาดนั้นได้ การจับคนที่มีฐานะอ่อนไหวทั้งยังเชื่อถือไม่ได้มาไว้ในแผนการเพื่อสร้างความยุ่งยากให้ผู้หาสมบัติแบบนี้ แสดงว่าต้องมีจุดประสงค์อื่นแน่นอน!


ทว่าด้วยนิสัยจอมแก่นของปีศาจสาวตนนี้ เขาก็นับว่าดูออกแล้วว่าทำเรื่องนี้ให้เป็นจริงไม่ได้ ภายใต้สถานการณ์ที่เจ้าไม่มีความมั่นใจอะไร ก็อย่าหวังเลยว่าเจ้าจะถามอะไรจากนางได้! ที่สำคัญก็คือ วรยุทธ์ของปีศาจสาวตนนี้ก็ไม่ใช่ต่ำๆ เจ้ายังไม่เหมาะจะใช้วิธีการแข็งกร้าวกับนาง


เมื่อเห็นเขายอมแพ้ ไป๋เฟิ่งหวงก็รู้สึกเบิกบานใจ กล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “นายท่าน ต่อไปท่านจะจัดให้ข้าไปอยู่ตรงไหนดีคะ?”


“รินน้ำชา!” เหมียวอี้ชี้ไปที่ถ้วยน้ำชา คิดว่าพ่อไม่กล้าจิกหัวใช้เจ้าเหมือนสาวใช้รึไง…


หอสามจันทรา!


สวีถังหรานที่ปลอมตัวแล้วเงยหน้ามองป้ายหอนางโลมตรงหน้าอีกครั้ง ตามที่หยางเจาชิงสั่งมา ให้ทิ้งกฎเกณฑ์ไว้สักหน่อย ให้มาทุกๆ สามวัน นี่ก็เป็นครั้งที่สี่แล้ว แต่ก็ไม่พบความผิดปกติอย่างที่หยางเจาชิงบอก


“นายท่าน มาแล้วเหรอคะ”


กลิ่นเครื่องประทินโฉมโชยใส่หน้า ผู้หญิงหลายคนที่แต่งตัวสวยกรูกันเข้ามาดึงตัว


สวีถังหรานก็ไม่เกรงใจเช่นกัน ในเมื่อได้รับคำสั่งให้มาหาความสำราญ ก็ย่อมไม่ทำให้ตัวเองเสียเปรียบ ใช้มือซ้ายมือขวาบีบก้นพวกนาง เดินกอดพวกนางเข้าไปข้างใน


เมื่อเห็นว่าเป็นแขกประจำ แม่เล้าวัยกลางคนที่แต่งหน้าจัดจ้านก็รีบเดินเข้ามาพูดคุยหยอกล้อสวีถังหราน “ในหอมีสาวสวยมาใหม่หลายคน อยากจะเปลี่ยนรสชาติดูมั้ยคะ?”


“ไม่ต้องแล้ว เอาเจียวอวี้แล้วกัน” สวีถังหรานโบกมือ แล้วเดินตรงขึ้นไปชั้นบน เหมือนรีบร้อนนิดหน่อย


นี่ไม่ใช่การเสแสร้ง เขาใจร้อนจริงๆ ผู้หญิงที่ชื่อเจียวอวี้นั่นมีรสชาติที่ต่างออกไป เขายังเล่นไม่เบื่อ และอีกฝ่ายก็มีวิธีการยั่วยวนแขกให้กระเหี้ยนกระหือรือ นางสัญญากับสวีถังหรานไว้แล้ว ว่าถ้าครั้งหน้าสวีถังหรานมาอุดหนุนนางอีก นางก็จะให้สวีถังหรานได้เห็นอะไรแปลกใหม่ สวีถังหรานจดจำเอาไว้ตลอด ตอนนี้ย่อมยังไม่อยากเปลี่ยนคน


แม่เล้ารีบตามไปด้านหลัง แล้วกล่าวขออภัยซ้ำๆ “นายท่าน ขออภัยจริงๆ ค่ะ มาผิดจังหวะแล้ว มันนี้เจียวอวี้ออกไปแสดงข้างนอก แต่สาวสาวหลายคนที่มาใหม่ก็ไม่ได้ด้อยกว่าเจียวอวี้เลยนะคะ รับรองว่านายท่านพอใจแน่”


มารดาเจ้าเถอะ ขนาดข้าจ่ายเงินแล้ว เจ้ายังกล้าผิดสัญญาอีก เชื่อมั้ยว่าข้าสั่งปิดหอสามจันทราได้? สวีถังหรานเดือดดาลในใจ หยุดเดินแล้วจ้องแม่เล้าด้วยสายตาเย็นเยียบ


แม่เล้าทำสีหน้าราวกับโดนตะคริวกิน จากนั้นก็รีบกล่าวขออภัยซ้ำๆ พูดแต่สิ่งดีๆ ออกมาเป็นชุด


“ฮึ! ถ้าไม่มีเจียวอวี้มาปรนนิบัติ เจ้าก็ตัดสินใจเอาเองแล้วกัน!” สวีถังหรานทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ แล้วหันหน้าเดินขึ้นตึกต่อไป


ถ้าไม่ใช่เพราะมาพร้อมภารกิจ วันนี้เขาคงไม่ได้คุยง่ายแบบนี้แน่นอน อย่าไปมองว่าตอนอยู่ต่อหน้าเหมียวอี้เขาเคารพนอบน้อมว่านอนสอนง่าย เพราะที่จริงแล้วตอนอยู่ข้างนอกเขาโหดเหี้ยมเลวทรามมาก เขาทำเรื่องดำมืดทุกอย่างมาหมดแล้ว ไม่ใช่คนถือศีลกินเจเลย ถึงแม้จะอยู่ที่ตลาดผี แต่ถ้าเขาอยากจะทำลายหอสามจันทรานี่จริงๆ ก็มีวิธีการอยู่แล้ว!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)