ลำนำบุปผาพิษ 1658-1663

 บทที่ 1658 เห็นทีว่ารสนิยมของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะเปลี่ยนไปอีกแล้ว


“เปิ่นจุนบอกไปแล้ว เปิ่นจุนเบื่อหน่ายเรื่องพวกนั้นแล้วเช่นกัน ยากนักที่จะพบบุคคลที่มีความสามารถด้านนี้เช่นนาง ส่งมอบเรื่องพวกนี้แก่นาง เปิ่นจุนก็จะพักผ่อนอย่างสบายใจได้ เจ้าก็เคยกล่าวไว้มิใช่หรือ นางเฉลียวฉลาดพอ สามารถจัดการเรื่องทุกอย่างนี้ได้?”


มู่เฟิงเงียบไป


ที่แท้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็หน่ายแหนงอำนาจแล้วเช่นกัน ถ้าว่าตามศัพท์สมัยใหม่ที่แม่นางกู้เอ่ยไว้ เช่นนี้คือท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะเกษียณอายุราชการรับเงินบำนาญแล้วสินะ?


เพ้ย ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทางแก่! เขาเป็นอมตะ ยืนยงเทียมฟ้าดิน


บางทีท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ตรากตรำมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้คงจะเหนื่อยแล้วจริงๆ กระมัง คงคิดจะปลดเปลื้องภาระแล้วพักผ่อนบ้างเช่นกัน


แต่เขารู้สึกอยู่เสมอว่าไม่ค่อยปกติ ทว่าบอกไม่ได้เช่นกันว่าผิดปกติที่ตรงไหน


จู่ๆ สายตาเขาก้หันเหไปที่เรือนผมของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ เรือนผมสีเงินนั้นขาวพิสุทธิ์ดุจหิมะ…


ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ผมเงินบ้างเป็นครั้งคราวจริงๆ ยามที่เขาฝึกฝนบำเพ็ญก็จะมีผมเงิน แต่ยามปกติเขาปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่นด้วยผมดำ ฉบับผมเงินมีเพียงพวกเขาทั้งสี่ที่เคยเห็น แต่ตอนนี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กลับชอบปล่อยเรือนผมสีเงินนี้ให้แกว่งไปแกว่งมา ซ้ำยังปรากฏให้สาธารณชนเห็นด้วย…


“นายท่าน เส้นผมของท่าน?”


เทพศักดิ์สิทธิ์ยกถ้วยชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง “ผมของเปิ่นจุนเป็นอันใด?”


“มันเป็นสีขาวอยู่ตลอด…”


“เปิ่นจุนผมเงินมิใช่หล่อเหลาขึ้นกว่าเดิมหรอกหรือ?” เทพศักดิ์สิทธิ์ดื่มชาอีกคำหนึ่ง ตอบอย่างกำปั้นทุบดินนัก


มู่เฟิงพูดไม่ออกแล้ว เอาเถอะ เห็นทีว่ารสนิยมของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะเปลี่ยนไปอีกแล้ว เพียงแต่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผมเงินก็หล่อกว่าจริงๆ


อีกทั้งหนนี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ฝึกฝนบ่มเพาะอยู่ที่วังมรกตตั้งหลายเดือน ยามที่ออกมาอีกครั้ง ถึงแม้เส้นผมจะเปลี่ยนเป็นสีขาว แต่วรยุทธ์ก็เพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมจริงๆ! ไม่ต่างจากช่วงที่สมบูรณ์พร้อมเลย…


เทพศักดิ์สิทธิ์ดื่มชาต่อไป มู่เฟิงรายงานเรื่องราวบางอย่างแก่เขา


“นายท่าน คนของเราจับตามองภายในวังหลวงอยู่ตลอด แต่หรงเจียหลัวไม่มีอะไรเลยจริงๆ ขอรับ ทุกวันล้วนทำงานและพักผ่อนตามเวลา หารือเรื่องราชกิจกับเหล่าขุนนางในท้องพระโรง ในวังมีวิญญาณอาฆาตอาละวาดอยู่ระยะหนึ่ง แต่หลังจากแม่นางกู้ไปส่งวิญญาณอยู่ไม่กี่ครั้ง ภายในวังส่วนใหญ่ก็ได้รับการชำระล้างแล้ว ไม่มีเรื่องวิญญาณอาฆาตอาละวาดแพร่ออกมาอีก นอกจากนี้คือจวบจนวันนี้หรงเจียหลัวก็ยังไม่รับนางสนมเลย วังหลังเปลี่ยวร้าง ห้องหับส่วนใหญ่ในวังหลังว่างเปล่า ต่อให้มีผู้อยู่อาศัยก็เป็นสนมชายาของจักรพรรดิในรัชกาลก่อน ยามนี้เป็นไท่เฟยแล้ว ไท่เฟยเหล่านี้ล้วนเก็บเนื้อเก็บตัว สงบเสงี่ยมยิ่งนัก ข้ารับใช้นางกำนัลในวังก็น้อยเช่นกัน จำนวนคนในวังน้อยกว่ารัชสมัยของบิดาเขาครึ่งหนึ่ง จักรพรรดิองค์นี้เป็นจักรพรรดิที่ปรีชาสามารถทำนุบำรุงบ้านเมืองได้ดีคนหนึ่งเลย ในวังไม่พบเห็นไอชั่วร้ายอันใด สายสืบของพวกเราจับตามองเขาเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว ก็ยังไม่พบความผิดปกติใด” นี่เป็นเรื่องแรกที่มู่เฟิงกล่าวรายงาน


เทพศักดิ์สิทธิ์หมุนถ้วยชาในมือ “เขาไม่มีสนมชายา แล้วยามราตรีไปอยู่ที่ใด?”


“ตำหนักคุ้มหทัยขอรับ สายสืบของพวกเราทุกคืนหลังจากเห็นเขาเข้านอน จะลอบเฝ้าอยู่นอกประตู ไม่เคยเห็นเขาออกมาเลย ทุกเช้าเขาจะตื่นนอนยามกะห้าตรงเวลาทุกวัน นางกำนัลขันทีล้วนติดตามอยู่ด้วยเสมอ”


“ช่วงหลายชั่วยามนี้ที่เขานอนสายสืบเคยเข้าไปตรวจสอบหรือไม่?”


“เคยตรวจสอบแล้วขอรับ หลับสนิทดี”


เทพศักดิ์สิทธิ์ไม่พูดอะไรอีก นัยน์ตาฉายแววใคร่ครวญ


“ด้านเผ่าจิ้งจอกครามก็ไม่เรื่องใหญ่อื่นใดเช่นกันขอรับ เพียงแต่เมื่อไม่นานมานี้หลานเยวี่ยรัชทายาทของเผ่าจิ้งจอกครามที่จัดเตรียมงานวิวาห์อยู่ตลอด แต่เจ้าสาวกลับหลบหนีไปเมื่อคืนนี้ เผ่าจิ้งจอกครามกำลังส่งคนออกค้นหานางทั่วสารทิศ ผ่านมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ยังไม่มีข่าวของนางเลยขอรับ”


เทพศักดิ์สิทธิ์วางถ้วยชาในมือลง ผ่านไปสักพักจู่ๆ ก็ยิ้มแวบหนึ่ง “นึกไม่ถึงว่านางจะมีความใจกล้าเช่นนี้ด้วย”


มู่เฟิงก็พยักหน้าเช่นกัน “ข้าน้อยก็คิดไม่ถึงเช่นกันขอรับ นางขี้ขลาดยิ่งนักมาตลอด ตัวคนก็ว่านอนสอนง่าย” พลางเอ่ยอย่างทอดถอนใจอีกประโยคหนึ่ง “นางยังละวางเยี่ยนเฉินไม่ได้จริงๆ ยิ่งใกล้ถึงวันวิวาห์ก็ยิ่งหวาดกลัว ท้ายที่สุดแล้วต้องเสียค่าตอบแทนมากแค่ไหนก็ยอม! เมื่อชมชอบคนผู้หนึ่งอย่างแท้จริงไหนเลยจะปล่อยวางได้ง่ายดายปานนั้น…”


————————————————————————


บทที่ 1659 เขารู้สึกถูกโจมตีจุดสำคัญหมื่นจุด!


ไม่เหมือนนายท่าน บอกว่าปล่อยวางก็ปล่อยวางเลย ช่างง่ายดายเหลือเกิน! ช่างโหดร้ายเหลือเกิน!


แน่นอนว่าไม่กี่ประโยคด้านหลังมู่เฟิงไม่กล้าพูดออกมา ได้แต่พูดอยู่ในใจเบาๆ


เทพศักดิ์สิทธิ์เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “เจ้าเคยชอบใครสักคนจริงๆ หรือไม่?”


มู่เฟิงนิ่งอึ้ง เขารู้สึกถูกโจมตีจุดสำคัญหมื่นจุด!


เทพศักดิ์สิทธิ์ลุกขึ้นมองรอบด้าน เขาอยู่จวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายนี้มานับหลายสิบปี บัดนี้คงถึงเวลาที่จะปิดประตูได้แล้ว


“มู่เฟิง อีกไม่กี่วันปลดระวางคนเหล่านั้นในจวนทูตสวรรค์ได้แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่อีกต่อไป”


มู่เฟิงกล่าว “…ขอรับ!”


เทพศักดิ์สิทธิ์หันกายเดินจากไป มู่เฟิงมองไปรอบด้าน จู่ๆ ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ


ทุกครั้งที่เทพศักดิ์สิทธิ์ละทิ้งตัวตนหนึ่ง ก็จะละทิ้งสิ่งของทั้งหมดที่ตัวตนนั้นเป็นเจ้าของ อย่างเช่นจวน ข้ารับใช้ มิตรสหายและอื่นๆ


ในที่สุดก็ถึงเวลาละทิ้งจวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายนี้แล้ว…


อันที่จริงหลายวันมานี้คนในจวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีไม่มาก คนส่วนมากในหมู่คนเหล่านั้นถูกเจ้าตัวปลอมทำร้ายจนดับดิ้นไปแล้ว คนที่เหลืออยู่มีไม่ถึงหนึ่งส่วนจากห้าส่วน หลังตี้ฝูอีกลับมาจากเขตหวงห้ามก็วิ่งเต้นไปทั่ว เวลาอาศัยที่จวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีจำกัด ดังนั้นจึงไม่ได้จ้างคนเพิ่มอีก


เดิมทีมู่เฟิงวางแผนรอให้นายท่านปักหลักมั่นคงเสียก่อนค่อยจัดการจ้างคน ยามนี้ดูเหมือนจะไม่จำเป็นแล้ว คนที่เหลือเหล่านี้ก็ต้องปลดระวาง…



เมื่อเทียบกับจวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอันโดดเดี่ยวเวิ้งว้าง หลายวันมานี้ จวนทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินของกู้ซีจิ่วกลับครึกครื้นยิ่งนัก


ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาแสดงความยินดีกับเธอไม่ขาดสาย


กู้ซีจิ่วมีเวลาก็มาพบปะพวกเขา ไม่มีเวลาก็ผลักไสไป


วันถัดมาหลังจากที่เธอทดสอบสานุศิษย์สวรรค์ ก็ได้รับข่าวหนึ่งมา ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยื่นหนังสือลาออกต่อองค์จักรพรรดิ ขอลาออกจากตำแหน่งทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ฝ่าบาทและเหล่าขุนนางข้าราชบริพารทำอย่างไรก็รั้งไว้ไม่อยู่…


ตอนที่ได้รับข่าวสารนี้ กู้ซีจิ่วกำลังร่ำสุรากับเหล่ามิตรสหาย เธอยกจอกสุราขึ้นเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา


เนื่องจากการทรยศหักหลังของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายต่อกู้ซีจิ่ว ผองเพื่อนของกู้ซีจิ่วเหล่านั้นต่างเป็นเดือดเป็นร้อนแทนกู้ซีจิ่ว หลังจากได้ยินข่าวนี้ ทุกคนล้วนปรบมือโห่ร้องดีใจ พูดว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีต้องริษยาที่นางแข็งแกร่งเหลือเกินในตอนนี้เป็นแน่ และบดบังความสามารถของเขา ดังนั้นจึงได้ทำเช่นนี้


“ซีจิ่ว ยามนี้เทพศักดิ์สิทธิ์ให้ความสำคัญเจ้า เขาต้องริษยาเป็นแน่”


“ริษยาแล้วอย่างไร? เดิมทีโลกใบนี้ก็มีคนรุ่นใหม่เข้ามาแทนที่คนเก่า เขาก็ควรสละตำแหน่งให้คนที่ดีกว่าขึ้นมา”


“ซีจิ่ว เจ้าต้องพยายามให้มาก แสดงออกมาให้เขาได้เห็น! ทำให้เขาเห็นว่าเจ้าไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา ถึงขั้นที่ดียิ่งกว่าเขา!”


ผู้คนมากมายกำลังหัวเราะ พูดคุย ยินดี ทุกคนต่างรู้สึกว่าที่เขาถูกแทนที่เป็นการลงโทษของสวรรค์ต่อคนทรยศ…


หลังจากกู้ซีจิ่วเหม่อลอยไปสักพัก ก็ยกมือขึ้นดื่มสุราจอกหนึ่ง กล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “บางทีเขาอาจไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้เลย…


ดูเหมือนเขาตัดสินใจละทิ้งตัวตนตี้ฝูอีนี้แล้วจริงๆ…


ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของตี้ฝูอี เขาล้วนไม่ต้องการมันอีกต่อไป อำนาจ ตำแหน่ง หรือแม้กระทั่ง…ความรัก


เขาเป็นเหมือนตัวแสดงหลักระดับจักรพรรดิสวรรค์ ทว่าตี้ฝูอีก็แค่บทบาทหนึ่งที่เขาแสดง อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ของบทบาทนั้นก็สิ้นสุดลงเมื่อบทละครจบลง เขาถอนตัวอย่างสง่างาม ไม่อาลัยอาวรณ์ต่อบทบาทนี้อีกต่อไป แต่เธอ คนที่เธอรักก็เป็นเพียงแค่บทบาทหนึ่งในละคร…


เมื่อละทิ้งตัวตนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายนี้แล้ว ต่อไปเขาจะเป็นใครอีก?


คงยังแสดงเป็นอีกคนหนึ่งกระมัง?


เพียงแต่คนผู้นี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเธออีกต่อไป…


เธอจำได้มู่เฟิงเคยบอกว่า ทุกครั้งที่เทพศักดิ์สิทธิ์ละทิ้งตัวตนหนึ่งก็จะเปลี่ยนเป็นอีกตัวตนหนึ่ง ทว่าเมื่อเปลี่ยนตัวตนใหม่แล้ว นอกจากพวกเขาสี่ทูต ก็จะไม่มีทางคบหากับมิตรสหายเก่าคนอื่นอีก…


เธอยกสุราที่เย็นชืดแล้วดื่มจนหมด ในขณะที่กำลังจะพูดอะไร จู่ๆ ยันต์ถ่ายทอดเสียงที่เอวก็ส่องสว่างขึ้นมา


เธอหยิบมันขึ้นมาเดินไปรับสายในที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง ใบหน้าพลันถอดสีหลังจากเพิ่งได้ยินถ้อยคำไม่กี่ประโยค!


บทที่ 1660 ข้าชอบเขา…


ผู้ที่ติดต่อเธอมาคือเยี่ยนเฉิน เยี่ยนเฉินที่สุขุมเยือกเย็นมาตลอดกล่าวด้วยน้ำเสียงเร่งรีบยิ่งนัก “ซีจิ่ว จิ้งจอกน้อยอยู่กับเจ้าหรือไม่?”


กู้ซีจิ่วตกตะลึงเล็กน้อย “นางไม่ได้ไปเผ่าจิ้งจอกครามแล้วหรอกหรือ? กำลังตระเตรียมงานแต่งงานอยู่…”


“นางหนีการแต่งงานแล้ว!”


กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง


ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ จิ้งจอกน้อยติดต่อหาเธอ บอกว่าตัวเองกำลังเตรียมงานแต่งงานกับหลานเยวี่ย


น้ำเสียงของจิ้งจอกน้อยที่ร่าเริงมาโดยตลอดในตอนนั้นดูไม่เหมือนมาบอกข่าวดี กลับเหมือนมาบอกข่าวร้ายเสียมากกว่า สั่นเครือเล็กน้อย


กู้ซีจิ่วนึกไม่ถึงว่านางกับหลานเยวี่ยจะพัฒนาไปรวดเร็วปานนี้ จึงถามนางหนึ่งประโยค “เจ้ารักเขาไหม?”


จิ้งจอกน้อยนิ่งเงียบอยู่นาน ก่อนจะตอบกลับมาหนึ่งประโยค “ข้าชอบเขา…”


ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น กู้ซีจิ่วก็ไม่อาจพูดอะไรได้มาก เพียงให้นางจัดการงานแต่งงานอย่างละเอียดรอบคอบ อย่าทำเรื่องที่จะเสียใจไปชั่วชีวิต แน่นอนว่าสุดท้ายก็ยังอวยพรให้นางมีความสุข


ตอนนั้นวันมงคลที่จิ้งจอกน้อยบอกเธอไว้คือวันที่ยี่สิบหกเดือนนี้ กู้ซีจิ่วยังวางแผนจะเดินทางไปร่วมงานแต่งของนางในอีกไม่กี่วัน นึกไม่ถึงว่านางกลับหนีงานแต่งงานไปแล้ว!


จิ้งจอกน้อยที่ว่านอนสอนง่ายมาตลอดกลับทำเรื่องที่สั่นสะเทือนแผ่นดินเช่นนี้ได้ กู้ซีจิ่วก็ประหลาดใจมากเช่นกัน พูดคุยกับเยี่ยนเฉินไม่กี่ประโยค ในที่สุดก็รู้เรื่องราวคร่าวๆ ทั้งหมดแล้ว


จิ้งจอกน้อยหนีไปเมื่อสามวันก่อน ไม่ได้บอกกล่าวผู้ใดก่อนที่จะหนีไป เพียงทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งไว้ให้หลานเยวี่ย เนื้อความในจดหมายเยี่ยนเฉินไม่ทราบ หลานเยวี่ยก็ไม่ได้เอ่ยถึง


หลานเยวี่ยเป็นประมุขเผ่าจิ้งจอกคราม เจ้าสาวกลับหนีไปก่อนหน้าวันแต่งงานไม่กี่วัน นี่ทำให้หลานเยวี่ยโกรธเคืองเป็นอย่างมาก ในตอนแรกยังคงปิดข่าว เพียงส่งสายลับของเผ่าจิ้งจอกครามจำนวนมากออกตามหาเบาะแสของหลานไว่หู่ ต้องการนำคนกลับมาอย่างเงียบๆ แล้วค่อยว่ากัน


ในมุมมองของหลานเยวี่ย หลานไว่หู่เป็นคนจิตใจบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมมากมายเท่าใดนัก ต่อให้หนีไปก็อาจทิ้งร่องรอยไว้ไม่น้อย สายลับของเผ่าจิ้งจอกครามก็ไม่ใช่อ่อนด้อย ต้องจับคนกลับมาได้ภายในสองวันอย่างแน่นอน


นึกไม่ถึงว่าพวกเขาตามหาทั่วทุกสารทิศ ก็หาไม่พบแม้แต่ชายผ้าของหลานไว่หู่ หลานไว่หู่ออกจากเผ่าจิ้งจอกครามไปแล้วจริงๆ ทว่าร่องรอยของนางจู่ๆ ก็หายไปอย่างไร้เงาบนถนนสายหนึ่ง เหมือนมีผู้มีพลังยุทธ์สูงส่งช่วยเหลือหลบหนี…


หลานเยวี่ยตามหาอยู่สองวันก็หาไม่พบ ย่อมต้องนึกถึงเยี่ยนเฉิน รู้สึกว่าเยี่ยนเฉินเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง จึงติดต่อเยี่ยนเฉินทันทีด้วยความโกรธเคือง และไล่บี้ถามหาเบาะแสของหลานไว่หู่จากเขา


ความจริงวันคืนเหล่านั้นเยี่ยนเฉินก็รู้สึกขัดแย้งในใจ เขารู้สึกผิดต่อหลานไว่หู่ ไม่กล้าทวงนางคืนกลับมาอีก ทว่ากลับปล่อยวางนางไม่ลง


หลังจากได้ยินข่าวการแต่งงานของนาง จิตใจเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในขณะที่กำลังลังเลใจว่าจะลักพาตัวเจ้าสาวดีหรือไม่ นึกไม่ถึงว่ายังไม่ทันได้ตัดสินใจก็ได้รับข่าวหนีการแต่งงานของหลานไว่หู่แล้ว…


เมื่อได้รับข่าวนี้ เขาทั้งรู้สึกดีใจและกังวลใจ จึงเริ่มออกตามหานางในทันที


อย่างไรเสีย เขาก็รู้จักจิ้งจอกน้อยเป็นอย่างดี นางไม่มีครอบครัวที่อื่น อีกทั้งยังใจเสาะ ว่านอนสอนง่าย หากหนีไปคนที่นางจะติดต่อเป็นคนแรกก็ควรจะเป็นกู้ซีจิ่วหรือสหายคนอื่นๆ หรือไม่ก็เป็นเขา…ความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือหนีกลับสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์


ทว่าเขาติดต่อสหายที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แล้ว คนที่นั่นไม่มีผู้ใดรู้เลย


ติดต่อคนอื่นที่จิ้งจอกน้อยรู้จักก็ไม่มีใครเห็นนาง


ดังนั้นเขาจึงติดต่อกู้ซีจิ่ว ผลลัพธ์คือกู้ซีจิ่วก็ไม่รู้เรื่องอะไรเช่นกัน…


น้ำเสียงเยี่ยนเฉินแปรเปลี่ยนแล้ว!


นิสัยใจคอของจิ้งจอกน้อยไม่เหมือนกันกับกู้ซีจิ่ว


หากเป็นกู้ซีจิ่วหนีการแต่งงาน นางไม่มีทางพึ่งพาผู้ใด นางจะหาสถานที่ที่ไม่มีใครและไม่มีผู้ใดตามหาพบใช้ชีวิตต่อไปอย่างดี ต่อให้ตามหานางไม่พบหนึ่งปีก็ถือเป็นเรื่องปกติ


ทว่าจิ้งจอกน้อยไม่เหมือนกัน นางใสซื่อไร้เดียงสา อีกทั้งยังขี้ขลาดไม่มั่นใจในตัวเอง ด้วยนิสัยของนาง นางไม่อาจหาสถานที่หลบซ่อนได้เพียงลำพัง และยิ่งไม่มีความสามารถจะทำให้สายลับเหล่านั้นตามหาไม่เจอ


——————————————————————–


บทที่ 1661 มีความเป็นไปได้เก้าในสิบส่วนว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น…


จู่ๆ นางก็หายตัวไป มีความเป็นไปได้เก้าในสิบส่วนว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น…


สิ่งที่เยี่ยนเฉินพอนึกออกเหล่านี้ กู้ซีจิ่วย่อมคิดออกเช่นกัน ดังนั้นใบหน้าเธอจึงถอดสี


จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับจิ้งจอกน้อย? คนที่ช่วยเหลือนางหลบหนีไปเป็นใครกัน? มีจุดมุ่งหมายอะไร?!


ยามนี้ดูเหมือนหลานไว่หูถูกใครบางคนลักพาตัวไป ตกใจกลัวจนน้ำตารินไหล ท่าทางหดเกร็งอยู่ที่มุม กู้ซีจิ่วไม่สงบเยือกเย็นแล้ว!


จิ้งจอกน้อยตัวนั้นเป็นคนที่เธอต้องปกป้อง เธอจำเป็นต้องรีบหาตัวนางให้พบ!


เธอติดต่อหลีเมิ่งซย่าแห่งหอเงาราตรีก่อน ให้นางช่วยตามหาคน


หลีเมิ่งซย่าย่อมไม่มีทางปฏิเสธ ออกไปตรวจสอบด้วยตัวเอง


กู้ซีจิ่วหาทางติดต่อหลานเยวี่ย สอบถามเรื่องราวก่อนและหลังที่หลานไว่หูหายตัวไป เธอถามอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่ปล่อยให้เบาะแสใดๆ ที่เป็นไปได้เล็ดรอดไปได้เลย…


ท้ายที่สุดเธอสรุปประเด็นได้ดังต่อไปนี้ ประการแรก หลังจากหลานไว่หูกลับเผ่าจิ้งจอกครามกับหลานเยวี่ยก็ค่อนข้างเศร้าหมอง หรือพูดได้ว่านางค่อนข้างฝืนยิ้มแย้ม นางเป็นธิดาของราชครูเผ่าจิ้งจอกคราม ควรสืบทอดตำแหน่งราชครู ความสามารถของนางก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นเมื่อกลับถึงเผ่าจิ้งจอกครามไม่นาน ก็ถูกหลานเยวี่ยผลักดันให้ดำรงตำแหน่งราชครู และได้รับการเคารพบูชาจากคนเผ่าจิ้งจอกครามแล้ว ทว่านางรู้สึกประหม่าตลอดเวลา ไม่อยากดำรงตำแหน่งนี้ นางจัดการราชกิจอันซับซ้อนเหล่านั้นของราชครูไม่ไหว ราชกิจเหล่านั้นทำให้ว้าวุ่นอึดอัดใจเป็นอย่างมาก ช่วงหลังนางจึงฝันร้ายอยู่บ่อยครั้ง ละเมออย่างไม่หยุดหย่อน


ประการที่สอง นางไม่ชอบพบปะผู้คน และนางก็มีสายเลือดคนธรรมดา ยังคงถูกต่อต้านจากเหล่าขุนนางเผ่าจิ้งจอกครามอยู่บ้าง


บวกกับการที่นางถูกบังคับให้ปีนขึ้นไปตำแหน่งสูงส่งนั้น เบื้องล่างไม่รู้ว่าสายตามากมายเท่าใดคอยจับจ้อง ต้องการทำให้นางเดือดร้อน อยากเห็นเรื่องน่าอับอายของนาง ทว่านางก็ไม่ถนัดจัดการเรื่องเหล่านี้ จึงทำเรื่องน่าอับอายหลายครั้ง จนกลายเป็นเรื่องขบขันให้ผู้อื่นพูดถึง


นางแทบจะไม่มีเพื่อนที่เผ่าจิ้งจอกครามเลย มีเพียงแค่สาวใช้สองคนที่สนิทสนมด้วยเล็กน้อย


หลังจากที่หลานเยวี่ยกลับเผ่าจิ้งจอกคราม ก็เริ่มยุ่งเรื่องของตัวเขาเอง มีหลายสิ่งหลายอย่างรอให้เขาไปจัดการ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สังเกตเห็นความยากลำบากที่แท้จริงของหลานไว่หู จนกระทั่งถึงแม้นางได้เป็นราชครูเผ่าจิ้งจอกคราม แต่กลับกลายเป็นราชครูที่โดดเดี่ยวที่สุด…


ประการที่สาม เผ่าจิ้งจอกครามคุ้มกันอย่างแน่นหนาตลอดเวลา ด้านนอกยังมีเขตแดน เมื่อถึงยามค่ำคืนไม่เพียงแต่คนนอกไม่มีทางเข้ามา ต่อให้เป็นคนเผ่าจิ้งจอกครามก็ไม่มีทางออกไปได้


และการเปิดปิดเขตแดนอยู่ภายใต้การควบคุมของคนจำนวนน้อยมาก มีเพียงหลานเยวี่ยกับขุนนางชั้นสูงผู้รักษาเมืองเท่านั้นที่รู้


หลานเยวี่ยไม่มีทางช่วยเหลือนาง หลานไว่หูก็ไม่รู้จักขุนนางชั้นสูงผู้นั้น


ทว่าหลานไว่หูกลับหนีออกไปโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้! จากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยบนทางเล็กๆ ระหว่างภูเขา ไม่เหลือไว้แม้แต่กลิ่นอายเพียงเล็กน้อย


จากทั้งสามประเด็นที่กล่าวมาข้างต้น กู้ซีจิ่วอนุมานอย่างกล้าหาญขึ้นมาข้อหนึ่ง


จากนั้นให้หลานเยวี่ยมุ่งเน้นไปที่การสอบปากคำอย่างกะทันหันกับสาวใช้ทั้งสองที่เคยดูแลหลานไว่หู ส่วนเธอก็รีบขี่เพรียกวายุมุ่งหน้าไปยังเผ่าจิ้งจอกครามในทันที


ผ่านไปสองชั่วยาม หลานเยวี่ยส่งข่าวกลับมา หนึ่งในสาวใช้สองคนนั้นค่อนข้างผิดปกติอย่างที่คิดไว้จริงๆ!


เดิมทีทั้งสองคนเป็นสาวใช้ที่หลานเยวี่ยไว้ใจมากที่สุด ที่ส่งไปดูแลข้างกายหลานไว่หู หนึ่งก็เพื่อรับใช้นาง สองก็เพื่อเป็นหูเป็นตาให้


เขาไม่ได้สั่งการให้สาวใช้ทั้งสองตีสนิทหลานไว่หู เพียงแค่คอยเฝ้าดูนางไม่ให้นางหนีไปหรือไปก่อเรื่องขึ้นที่ใด


แรกเริ่มสาวใช้ทั้งสองยังคงทำตามคำสั่งของหลานเยวี่ย รักษาระยะห่างไม่ไกลไม่ใกล้กับหลานไว่หู


ทว่าต่อมาหนึ่งในสาวใช้กลับสนิทชิดเชื้อกับหลานไว่หูขึ้นมา หลานไว่หูกำลังโดดเดี่ยวเดียวดาย สาวใช้ก็แสดงความเป็นมิตรต่อนาง นางย่อมรู้สึกดีกับสาวใช้คนนั้นขึ้นมาบ้าง ต่อมาก็แทบจะคุยกันได้ทุกเรื่อง บางทียามค่ำคืนจิ้งจอกน้อยก็ให้สาวใช้คนนั้นอยู่เป็นเพื่อนนางบ่อยครั้ง…


บทที่ 1662 เจ้านั่นแหละที่เป็นของพรรค์นี้!


ทว่าหลังจากจิ้งจอกน้อยหายตัวไป สาวใช้คนนั้นกลับไม่ยอมรับว่าเคยสนิทสนมกับหลานไว่หู นางถึงขั้นละทิ้งความทรงจำส่วนหนึ่ง จำได้ไม่ชัดเจนว่านางเคยพูด เคยทำอะไรกับจิ้งจอกน้อย…


……


ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม กู้ซีจิ่วขี่เพรียกวายุร่อนลงบนทางเล็กๆ ระหว่างภูเขาเส้นนั้น


หลานเยวี่ยกับเยี่ยนเฉินก็อยู่ตรงนั้น ทั้งสองร้อนใจประหนึ่งมดบนกระทะร้อนๆ กำลังตรวจสอบบนถนนสายเล็กระหว่างภูเขานั้นอยู่หลายรอบ ต้นไม้ใบหญ้าสักต้นก็ไม่ปล่อยเล็ดลอดไปได้ ทว่ากลับยังไม่พบเบาะแสอะไร


การมาถึงของกู้ซีจิ่วทำให้คนทั้งสองรู้สึกเหมือนพบสมบัติล้ำค่า ก้าวเดินมาทักทายพร้อมกัน


ยามนี้กู้ซีจิ่วไม่มีเวลามากล่าวโทษทั้งสองคนนี้ ให้หลานเยวี่ยนำตัวสาวใช้คนนั้นกับขุนนางชั้นสูงที่รักษาการณ์มา เธอต้องการซักถามโดยละเอียด


สองคนนั้นมาถึงอย่างรวดเร็ว กู้ซีจิ่วเอ่ยถามพวกเขาอีกไม่กี่ประโยค ใบหน้าสาวใช้คนนั้นก็สับสนงงงวย สายตาขุนนางรักษาการณ์ผู้นั้นวาบไหวเล็กน้อย


คำตอบของทั้งสองคนดูเหมือนจะไร้ที่ติเมื่อฟังครั้งแรก เรียกได้ว่าไม่รู้จักกัน…


กู้ซีจิ่วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ปล่อยเจ้าหอยยักษ์ออกมาในทันที ตบเจ้าหอยยักษ์เบาๆ “ดึงความทรงจำของพวกเขาแต่ละคนออกมา!”


สาวใช้คนนั้นตอบตกลงอย่างสุขุมเยือกเย็น ทว่าขุนนางรักษาการณ์ผู้นั้นกลับบ่ายเบี่ยง ซึ่งก็คือไม่ยอม เห็นได้ชัดว่ามีพิรุธ


ยามนี้หลานเยวี่ยกับเยี่ยนเฉินล้วนเกิดความสงสัย หลานเยวี่ยสอบสวนด้วยตัวเอง จนท้ายที่สุดขุนนางรักษาการณ์ผู้นั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ พูดความจริงออกมา


เขาเล่าว่าเขามีความสัมพันธ์กับสาวใช้คนนี้เมื่อหนึ่งเดือนก่อน สาวใช้คนนี้มาหาเขาอยู่เป็นประจำ เดินหมากกับเขา พูดคุยเรื่องราวชีวิตกับเขา


เขาเกิดความรู้สึกต่อสาวใช้ผู้นี้ ดังนั้นเมื่อสามคืนก่อนยามนางจะพาสตรีผู้หนึ่งออกไป เขาจึงแอบเปิดประตูใหญ่ของเผ่าจิ้งจอกครามให้พวกนาง…


ขุนนางรักษาการณ์ผู้นี้กล่าวสิ่งเหล่านี้จบก็โค้งคำนับครั้งแล้วครั้งเล่า บอกไม่รู้ว่าสตรีที่สาวใช้คนนี้พาออกไปก็คือว่าที่มเหสีของเผ่าจิ้งจอกคราม มิเช่นนั้น ต่อให้เขาอาจหาญแค่ไหนก็ไม่กล้าปล่อยนางออกไปเด็ดขาด


ใบหน้าหลานเยวี่ยเขียวคล้ำ มองไปทางสาวใช้คนนั้น สาวใช้ลับร้องลั่นว่าถูกปรักปรำ นางไม่รู้จักขุนนางรักษาการณ์คนนี้แม้แต่น้อย และไม่เคยนัดหมายกับเขากลางดึกด้วย ขุนนางรักษาการณ์คนนั้นใส่ร้ายป้ายสีนาง…


ยามนี้สาวใช้คนนั้นกับขุนนางรักษาการณ์เริ่มโต้เถียงกัน กู้ซีจิ่วจึงโบกมือให้พวกเขาหยุดพูด จากนั้นให้เจ้าหอยยักษ์ดึงความทรงจำของทั้งสองแยกออกจากกัน


ผลลัพธ์คือ ภายในความทรงจำของสาวใช้คนนั้นไม่มีการนัดหมายกับขุนนางรักษาการณ์ผู้นี้จริง ทว่าความทรงจำของขุนนางรักษาการณ์ผู้นี้กลับตรงตามคำรับสารภาพของเขาทุกประการ เขามีความสัมพันธ์กับสาวใช้นางนี้จริง…


หลานเยวี่ยงุนงงไปหมด มองกู้ซีจิ่วแล้วค่อยมองไปที่เจ้าหอยยักษ์ “หอยยักษ์ของเจ้าตัวนี้ทำผิดพลาดอะไรหรือไม่? ของพรรค์นี้ดึงความทรงจำของคนออกมาได้อย่างถูกต้องจริงหรือ?”


เจ้าหอยยักษ์โกรธเคือง “ไอ้จิ้งจอกอย่างเจ้าสิที่ผิดพลาด! เจ้านั่นแหละที่เป็นของพรรค์นี้! ข้าไม่เคยเกิดความผิดพลาดในด้านนี้แม้แต่น้อย!”


กู้ซีจิ่วสูดลมหายใจเข้าเบาๆ ให้หลานเยวี่ยนำตัวทั้งสองคนไปคุมขังไว้ก่อน หลังจากรอให้ผู้คุมนำตัวสองคนนั้นไปขัง ถึงได้เอ่ยปาก “หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด สาวใช้คนนี้ถูกสิงสู่เข้าร่างตอนกลางคืน! จากนั้นก็ไปล่อลวงขุนนางรักษาการณ์…”


หลานเยวี่ยกับเยี่ยนเฉินต่างตกตะลึงเมื่อนางพูดออกมา


หลานเยวี่ยพูดโพล่ง “เป็นไปได้อย่างไร? ไม่มีผู้ใดสิงสู่เข้าร่างคนอื่นได้ตามใจชอบหรอก ผู้ใดมีความสามารถนี้กัน?”


“อูอู๋เหยียน” กู้ซีจิ่วโพล่งออกมาสามคำ


สีหน้าเยี่ยนเฉินแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “เจ้าหมายถึงสตรีคนที่ปลอมตัวเป็นเจ้าตอนนั้นหรือ?”


กู้ซีจิ่วพยักหน้าเล็กน้อย “หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด คนที่ช่วยเหลือจิ้งจอกน้อยหลบหนีออกไปก็คือนาง!”


เยี่ยนเฉินนิ่งอึ้ง สีหน้าของเขาซีดขาว


ตอนนั้นอูอู๋เหยียนเป็นคนของโม่เจ้า เคยสิงสู่เข้าร่างเดิมของกู้ซีจิ่ว รอโอกาสที่จะลอบทำร้ายตี้ฝูอี ทว่าตี้ฝูอีรู้ทัน ซ้อนกลทำลายแผนของโม่เจ้าเสีย…


เยี่ยนเฉินพอรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนั้นอยู่บ้าง ยามนี้เมื่อได้ยินว่าคนที่พาตัวจิ้งจอกน้อยไปคือนาง จิตใจเขาก็หนักอึ้งขึ้นมา!


———————————————————————


บทที่ 1663 ทุกอย่างนี้ล้วนยังไม่ทราบกระจ่าง


สตรีนางนั้นเจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง และสามารถอดทนในแบบที่ผู้อื่นไม่อาจทานทนได้ ซ้ำยังจงรักภักดีต่อโม่เจ้า จิ้งจอกน้อยตกอยู่ในกำมือนาง…


“โม่เจ้าตายไปแล้วมิใช่หรือ? หรือว่าอูอู๋เหยียนจะจับจิ้งจอกน้อยไปเพื่อล้างแค้น? หรือบางทีนางอาจจะมีจุดประสงค์อื่นอยู่?” นิ้วมือของเยี่ยนเฉินกำแน่น


กู้ซีจิ่วสูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง ตี้ฝูอีเคยบอกไว้ ถ้าโม่เจ้าต้องการจะคืนชีพต้องใช้เวลาสี่สิบห้าสิบปี ตอนนี้เพิ่งจะผ่านไปเก้าปีกว่าๆ เท่านั้น ว่ากันตามเหตุผลแล้วโม่เจ้ายังไม่สมควรจะฟื้นคืนชีพได้


แต่โม่เจ้าเป็นมารสวรรค์ที่ถือกำเนิดจากไอพยาบาท หากว่าโลกนี้ไม่โกลาหลวุ่นวาย ดำเนินไปตามปกติ เขาต้องใช้เวลาฟื้นฟูสี่สิบห้าสิบปีจริงๆ ถึงจะคืนชีพได้ แต่เธอกับตี้ฝูอีติดอยู่ในเขตหวงห้ามแปดปี แปดปีมานี้แผ่นดินวุ่นวายเละเทะปานโจ๊กหม้อหนึ่ง ประชาชนผู้บริสุทธิ์ล้มตายไปนับไม่ถ้วน ด้วยเหตุนี้แดนมนุษย์จึงท่วมท้นไปด้วยไอพยาบาทพวยพุ่งสูงเทียมฟ้า…


และไอพยาบาทนี้ก็เป็นอาหารบำรุงชั้นดีสำหรับการฟื้นฟูของโม่เจ้า ไม่แน่ว่าอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้มารสวรรค์ตนนี้ฟื้นคืนชีพได้ก่อนกำหนดกระมัง?!


แน่นอนว่าไม่ได้ตัดเรื่องที่ว่าอูอู๋เหยียนกำลังเล่นเล่ห์ด้วยมีแผนการอันใดเป็นของตนออกไปเช่นกัน


ทุกอย่างนี้ล้วนยังไม่ทราบกระจ่าง


หากว่าอูอู๋เหยียนเล่นเล่ห์ด้วยตัวเองยังพอว่า แต่หากโม่เจ้าอยู่เบื้องหลัง…


“ไม่ว่าจุดประสงค์ของเขาคืออะไร ยามนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องตามหาตัวจิ้งจอกน้อย!” กู้ซีจิ่วเอ่ย เธอวนเวียนบนทางสายเล็กเส้นนี้หลายรอบ ถึงอย่างไรสถานที่แห่งนี้ก็เคยมีผู้คนมากมายตรวจค้นดูแล้ว ต่อให้อูอู๋เหยียนเหลือเบาะแสร่องรอยอันใดไว้ ก็คงถูกทำลายสิ้นไปนานแล้ว


เธอมองไปที่หลานเยวี่ย “คนของพวกเจ้าพบอะไรที่นี่บ้างไหม?”


หลานเยวี่ยส่ายหน้า “ไม่มีอะไรเลย เผ่าจิ้งจอกครามของพวกเรามีสัตว์สืบรอยอยู่ชนิดหนึ่ง ประสาทการรับกลิ่นเฉียบไวอย่างยิ่ง สามารถสืบหาจากกลิ่นอายที่เหลืออยู่ของผู้คนได้ ขอเพียงเป็นกลิ่นอายที่หลงเหลืออยู่ภายในสองวัน ต่อให้คนที่ถูกตามหาจะอยู่ในย่านตัวเมืองที่พลุกพล่าน ก็จะถูกสัตว์สืบรอยหาตัวพบอยู่ดี แต่หลังจากสัตว์สืบรอยค้นหามาจนถึงที่นี่ก็ไม่ยอมก้าวเดินต่อ”


กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว “พวกเจ้าส่งสัตว์สืบรอยออกค้นหาหลังจากนางหายไปนานแค่ไหนแล้ว?”


“วันถัดมาเมื่อพวกเราพบว่านางหายตัวไป ก็ส่งสัตว์สืบรอยออกค้นหายามนั้นเลย ค้นหาอยู่หนึ่งวันถึงตามมาพบที่นี่”


“หนึ่งวัน? นานถึงเพียงนี้เชียว?”


หลานเยวี่ยถอนหายใจ “ตอนที่จิ้งจอกน้อยหลบหนีไม่ทราบว่าใช้อาคมอันใดเปลี่ยนกลิ่นอายบนร่าง เริ่มแรกยามที่สัตว์สืบรอยออกค้นหา ได้ยึดตามกลิ่นอายเดิมของนางเป็นหลักเดินวนเวียนอยู่ในวังตลอด ต่อมาข้าพบว่าผิดปกติ จึงพาสัตว์สืบรอยไปตระเวนหานอกเมือง ถึงได้ตามมาพบที่นี่ได้”


“เช่นนั้นหลังจากนางมาถึงที่นี่แล้ว ได้เปลี่ยนแปลงกลิ่นอายเพื่อหลบหนีอีกครั้งหรือไม่?”


หลานเยวี่ยส่ายหน้า “เผ่าจิ้งจอกครามมีอาคมปรับเปลี่ยนกลิ่นอายประเภทหนึ่งอยู่จริงๆ แต่ส่งผลอยู่ประมาณครึ่งชั่วยามเท่านั้น และภายในระยะเวลาสามวันไม่อาจปรับเปลี่ยนได้อีก ตอนแรกพวกเราสงสัยว่าหลังจากนางมาถึงที่นี่ น่าจะขึ้นสัตว์พาหนะที่สามารถเหาะเหินได้บินหนีไปเสียแล้ว”


ลู่อู๋น้อยที่ลาดตระเวนอยู่รอบๆ ตลอดเสมือนผู้ใหญ่ตัวน้อยก็ไม่ปานพลันเอ่ยสอดขึ้นมา “ไม่มี! ที่นี่ไม่มีสัตว์พาหนะที่บินได้ผ่านทางมาห้าวันแล้ว!”


หลานเยวี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง “…เช่นนั้นนางจากไปได้อย่างไร? ต่อให้นางขึ้นรถม้าใดไป ขอเพียงยังเดินทางอยู่บนแผ่นดิน สัตว์สืบรอยก็สามารถหาตัวพบ!”


กู้ซีจิ่วครุ่นคิดแวบหนึ่ง “พื้นดินของเผ่าจิ้งจอกครามสามารถใช้วิชาดำดินได้หรือไม่?”


หลานเยวี่ยยังคงส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่ได้ ใต้ดินมีเขตแดน ไม่อาจใช้วิชาดำดินหลบหนีได้” ทันใดนั้นคล้ายว่าเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “เจ้าคงไม่ได้จะบอกว่า หลังจากนางมาถึงนอกเมืองก็ใช้วิชาดำดินหนีไปกระมัง?! แต่ว่าตามหลักแล้ววิชาดำดินมีเพียงผู้ที่บรรลุพลังวิญญาณขั้นเก้าแล้วถึงจะสามารถใช้ได้ จิ้งจอกน้อยยังไม่ถึงขั้นเก้าเลยนะ”


“หากว่าคนที่พานางหลบหนีผู้นั้นบรรลุขั้นเก้าแล้วเล่า?” กู้ซีจิ่วถามกลับ


หลานเยวี่ยเอ่ยวาจาไม่ออกแล้ว


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)