คัมภีร์วิถีเซียน 1656-1657
ตอนที่ 1656 พลาดโอกาส
หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ สมบัติสวรรค์ทมิฬโฮ่วเทียนชิ้นนี้ก็มีความหมายต่อเขาเป็นอย่างมาก
และยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่ายอดเขาห้าลูกจะไม่อาจหลอมได้ แต่ขอแค่มีสองสามลูก ก็สามารถช่วยลดพลังของอัสนีได้เช่นกัน
ยามนี้เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาแล้ว ทุกๆ สามพันปีจะต้องผ่านเคราะห์สวรรค์ครั้งหนึ่ง ดูเหมือนว่าเวลาจะยาวนาน แต่ความร้ายแรงของเคราะห์สวรรค์นั้นก็เหนือกว่าระดับเทพแปลงหรือก่อกำเนิดเป็นอย่างมาก
สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาแล้ว เคราะห์สวรรค์ครั้งแรกล้วนผ่านไปได้อย่างปลอดภัยอยู่แล้ว แต่ครั้งที่สอง และสาม ก็เริ่มมีคนเพลี่ยงพล้ำแล้ว
หากทนได้ถึงครั้งที่สี่ครั้งที่ห้า ปกติแล้วล้วนเป็นผู้ที่อยู่ในระดับหลอมสุญตาที่มีอายุขัยเกินหมื่นปี แต่สิ่งมีชีวิตที่รอดมาได้จากเคราะห์สวรรค์สองครั้งนี้ก็น้อยแสนน้อย มีแค่สามในสิบส่วนเท่านั้น
ส่วนเคราะห์สวรรค์ครั้งหลังๆ ทุกครั้งที่ผ่านเคราะห์สวรรค์ผู้บำเพ็ญเพียรในระดับเดียวกันล้วนเพลี่ยงพล้ำไปอีกแปดในสิบส่วน
ว่ากันว่าตั้งแต่ที่ขึ้นมาแดนวิญญาณจากแดนมนุษย์ สิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาก็ไม่อาจผ่านเคราะห์สวรรค์ครั้งที่เก้าได้ ปกติแล้วผู้ที่ผ่านเคราะห์สวรรค์ครั้งที่เก้าขึ้นไป ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ ต่อให้อิทธิฤทธิ์เหนือกว่าผู้บำเพ็ญเพียรในระดับเดียวกันอย่างระดับหลอมสุญตา หากไม่พัฒนาขึ้นไปอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ ยามที่เผชิญกับเคราะห์สวรรค์ครั้งที่เก้า ก็จะต้องเพลี่ยงพล้ำอย่างไม่ต้องสงสัย
แน่นอนว่านี้เป็นสถานการณ์การผ่านเคราะห์สวรรค์ของผู้บำเพ็ญเพียรในเผ่ามนุษย์ ส่วนเผ่าปีศาจนั้นหลังจากแปลงกายได้ เคราะห์สวรรค์ก็ใกล้เคียงกับเผ่ามนุษย์ แต่เผ่าอื่นๆ ในแดนวิญญาณนั้นเป็นเพราะเดิมทีก็มีอายุขัยและพรสวรรค์ด้านเคล็ดวิชาที่ไม่เหมือนกัน แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับเคราะห์สวรรค์ทุกๆ ช่วงระยะเวลาหนึ่งเช่นกัน แต่ระยะเวลาความห่างและระดับความร้ายกาจกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
ว่ากันว่าระดับที่แข็งแกร่งนั้นเหนือกว่าเคราะห์สวรรค์ของชนต่างเผ่ามาก ทุกหมื่นปีถึงจะเผชิญหน้ากับเคราะห์สวรรค์ครั้งหนึ่ง และยังมีเผ่าที่มีอายุขัยสั้นกว่าเผ่ามนุษย์อยู่อีกมาก คาดไม่ถึงเลยว่าต้องเผชิญกับเคราะห์สวรรค์ทุกๆ ยี่สิบสามสิบปี แต่อานุภาพกลับไม่ถึงสองในสิบส่วนของเคราะห์สวรรค์เผ่ามนุษย์ในระดับเดียวกัน
ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกฝนจนไปถึงระดับผสานอินทรีย์นั้น อานุภาพของเคราะห์สวรรค์ก็เหนือกว่าที่ระดับหลอมสุญตาจะเทียบเทียมได้ เคราะห์สวรรค์ทุกครั้งล้วนดูเหมือนว่าจะทำลายชีวิตอย่างไรอย่างนั้น หากไม่ผ่าน แน่นอนว่าต้องถูกส่งไปในเส้นทางวัฏสงสาร ส่วนผู้ที่ผ่านได้นั้นก็เหมือนกับได้เกิดใหม่บนขี้เถ้าอย่างไรอย่างนั้น พลังยุทธ์จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มีบางส่วนที่แม้กระทั่งทะลวงขุดคอขวดได้ระหว่างผ่านเคราะห์สวรรค์
ดังนั้นในระดับผสานอินทรีย์ขึ้นไป นอกจากจะมีเรื่องยิ่งใหญ่อย่างการเป็นตายของเผ่าตนแล้ว ก็ไม่ค่อยออกมาเคลื่อนไหวภายนอก เวลาแทบทั้งหมดก็ใช้ไปกับการฝึกบำเพ็ญเพียร และเตรียมการเผชิญหน้ากับเคราะห์อัสนีครั้งต่อไป
แน่นอนว่าเคราะห์สวรรค์เหล่านี้ไม่ใช่เคราะห์อัสนีที่บริสุทธิ์ทั้งหมด แต่ก็ไม่น่าสงสัยเลย ทุกครั้งล้วนต้องมีอัสนีดำรงอยู่ด้วย และใช้เคราะห์อัสนีเป็นหลัก
ดังนั้นภูเขาผสานปราณขั้นที่ห้าที่สามารถลดระดับพลังของเคราะห์อัสนีได้จะสำคัญขนาดไหน แค่คิดก็รู้แล้ว
หากหลอมภูเขานี้ได้ล่ะก็ ก็เท่ากับเพิ่มอัตราการผ่านเคราะห์สวรรค์ได้กว่าครึ่งแล้ว
ทว่าหานลี่นั้นนอกจากจะมีภูเขาเทวะดูดปราณอยู่ในมือแล้ว เบาะแสของยอดเขาที่เหลือทั้งสี่ก็ไม่มีเลยสักนิด นอกจากยอดเขาทั้งสี่ที่มีอานุภาพยิ่งใหญ่แล้ว วัตถุดิบช่วยเสริมอื่นๆ ที่ต้องใช้ก็เป็นของที่หายากทั้งหมด บางอันก็เป็นสิ่งที่หานลี่แค่เคยได้ยินแต่ไม่เคยเห็นมาก่อน
นี่จึงทำให้เขารู้สึกกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก
หานลี่ขบคิดอยู่ในห้องลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึมสลับกับสดใสอยู่นาน ถึงได้ค่อยๆ มีสีหน้าฟื้นฟูเป็นปกติ
กวาดสายตาไปบนตำราหยกในมือ อีกมือหนึ่งพลันพลิกฝ่ามือ ชั่วขณะนั้นกล่องหยกพลันปรากฏขึ้น
เขาวางตำราหยกเล่มนั้นลงในกล่อง และใช้ยันต์อาคมแปะเอาไว้ แล้วเก็บเข้าไป
แม้ว่าจะมีวิธีการหลอม แต่จะหลอมภูเขาสองสามลูกนั้นได้จริงหรือไม่ เขาก็ไม่มั่นใจเลยสักนิด
กว่าครึ่งสมบัติวิเศษชนิดนี้คงไม่อาจบีบบังคับใดๆ ได้ คงต้องดูว่าวันข้างหน้าเขาจะมีวาสนามากขนาดนั้นหรือไม่เท่านั้น
เมื่อคิดเรื่องนี้ออกแล้ว หลังจากที่หานลี่นั่งสมาธิอยู่เงียบๆ อีกชั่วครู่ ในที่สุดระดับจิตใจก็เข้าสู่สภาวะปกติ
เขาพลันสะบัดแขนเสื้อ วงแหวนกลมๆ วงหนึ่งบินออกมาจากแขนเสื้อ
หลังจากที่วงแหวนนั้นหมุนวนโคจร ก็เปล่งแสงเจิดจ้าออกมา ลำแสงสีดำกลุ่มหนึ่งร่อนลงมาจากด้านบน และค่อยๆ ลอยพลิ้วลงสู่พื้น
ท่ามกลางลำแสงสีดำ วานรน้อยสีดำตัวหนึ่งขดตัวอยู่ไม่ขยับเขยื้อน
นั่นก็คืออสูรวิญญาณครวญ
ตั้งแต่วันนั้นที่อสูรตัวนี้สำแดงอานุภาพยิ่งใหญ่ออกมาจนสังหารรังวิญญาณที่ถูกร่างแยกราชามารเหนือฟ้าสิงร่างได้ ตัวมันก็ตกอยู่ในสภาวะหลับใหลราวกับถูกปลดปล่อย จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีท่าทีจะตื่นขึ้นมา
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้พลันมีสีหน้าเคร่งขรึม แต่มือหนึ่งพลันตะปบไปทางวานรน้อย
ม่านลำแสงสีเขียวผืนหนึ่งบินออกมาจากหว่างนิ้วทั้งห้า ชั่วครู่ก็ดูดวานรเข้ามาข้างใน และดูดมาอยู่ตรงหน้าอย่างง่ายดาย
หานลี่มองอสูรน้อยตรงหน้า สองตาหรี่ลงเล็กน้อย หว่างคิ้วมีผลึกเส้นไหมที่ดูเหมือนจริงพุ่งออกมาเป็นเส้นๆ จากนั้นก็พุ่งเข้าไปในร่างของวานรน้อยอย่างเงียบเชียบ
เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงของอสูรวิญญาณครวญ คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะใช้จิตสัมผัสรวมตัวกันเป็นเส้นไหมและพุ่งออกจากร่าง ลองเข้าไปทดสอบในร่างของอสูรตนนี้
ผลึกเส้นไหมจมหายเข้าไปในร่างของวานรน้อย อสูรวิญญาณครวญยังคงไม่ขยับเขยื้อน ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักนิด
ส่วนหานลี่กลับปรือตาทั้งสองข้าง เริ่มควบคุมผลึกจิตสัมผัสตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในร่างของอสูรตัวนี้
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่ก็เอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“เป็นไปไม่ได้ เหตุใดถึงมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น!”
พลังปราณที่สูญเสียไปแต่เดิมของอสูรวิญญาณครวญไม่เพียงจะฟื้นฟูกลับมาตั้งนานแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อหรือว่าพลังปราณที่ปะปนอยู่ในชีพจรก็มากกว่าก่อนหน้ากว่าครึ่ง เมื่อเขาพิจารณาอย่างละเอียด ระดับการกลายพันธุ์ที่เชื่องช้าอย่างสุดๆ ในร่างของอสูรตัวนี้ก็เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าไม่หยุดพักแม้เพียงครู่
“หรือจะบรรลุระดับขั้นแล้ว” หานลี่มองวานรน้อยตรงหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าแปลกใจ
ก่อนหน้านี้อสูรวิญญาณครวญดูเหมือนว่าจะไม่ได้กลืนกินสิ่งใดเข้าไป เหตุใดยามนี้ถึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลมปราณระเบิดออกมาจากกายเนื้อเช่นนี้ หรือว่าทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับที่อสูรตัวนี้สำแดงพลังประหลาดออกมาเมื่ออยู่ในเทือกเขามารสีทอง
หานลี่พลันตกตะลึงไปพลาง เพิ่มพลังของจิตสัมผัสไปพลาง ตรวจสอบในร่างกายของอสูรวิญญาณครวญทั้งหมดอย่างละเอียด
“ไม่ถูก นี่คืออันใด ก่อนหน้านี้ในร่างของมันไม่มีสิ่งนี้” ฉับพลันนั้นหานลี่หน้าถอดสี
คาดไม่ถึงว่าเขาจะพบเม็ดผลึกโปร่งใสที่เบาบางจนแทบจะมองไม่เห็นจำนวนนับไม่ถ้วนในส่วนลึกของจุดตันเถียนของอสูรวิญญาณ
เม็ดผลึกเหล่านี้ดูลึกลับมาก แม้กระทั่งมีขนาดเล็กกว่าเมล็ดข้าวสารหนึ่งในสิบส่วน ไม่มีกลิ่นไอชีวิตเลยแม้แต่น้อย แต่ถูกม่านลำแสงดูดวิญญาณในร่างของอสูรวิญญาณครวญห่อหุ้มเอาไว้ ดูเหมือนว่าจะถูกหลอมไม่หยุด
ความคิดของหานลี่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แทบจะนึกถึงสถานการณ์ที่อสูรตัวนี้สังหารจิตวิญญาณดั้งเดิมของรังวิญญาณและกลืนมันลงท้องไปในเทือกเขามารสีทองออกทันที
หรือว่าเจ้าสิ่งนี้ก็คือสิ่งที่หลอมมาจากจิตวิญญาณดั้งเดิมของรังวิญญาณตนนั้น หรือว่าเป็นสิ่งที่ราชามารเหนือฟ้าที่สิงสู่อยู่ทิ้งเอาไว้
ทว่าก่อนหน้านี้ไม่ว่าอสูรวิญญาณครวญจะกลืนกินวิญญาณชั่วร้ายใดๆ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เกิดความเปลี่ยนแปลง
เขาอดที่จะขบคิดโดยไม่ปริปากไม่ได้…
หรือว่าเป็นสิ่งนั้น?
ในหัวของหานลี่มีลำแสงสว่างวาบ ฉับพลันนั้นก็นึกถึงของเดียวกัน แล้วพลันหน้าเปลี่ยนสี
เขาแทบจะขยับเส้นไหมผลึกสายหนึ่งเข้าไปในร่างของวิญญาณครวญโดยไม่ต้องขบคิด ชั่วขณะนั้นพลันม้วนเม็ดผลึกในจุดตันเถียนของวิญญาณครวญเข้ามา และเปล่งแสงสว่างวาบดึงออกมาจากร่าง
เม็ดผลึกปรากฏด้านนอกวิญญาณครวญแทบจะไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ส่วนผลึกเส้นไหมพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วสลายหายไป
หานลี่ชี้ไปที่เม็ดผลึกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เส้นไหมเส้นนี้พุ่งแหวกอากาศไป ชั่วครู่ก็เกาะติดเม็ดผลึกนี้ไว้แน่น และม้วนเข้ามา ส่งมาอยู่ในระดับสายตาของเขา
รูม่านตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าเจิดจ้า ชั่วครู่ก็ควบคุมเนตรวิญญาณวารีกระจ่างจนถึงขีดสุด จ้องเขม็งไปยังเม็ดผลึกโดยไม่กะพริบตา
ผ่านไปนานเข้าหานลี่ก็พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ฉับพลันนั้นพลันพลิกฝ่ามือ ในมือมีขวดหยกขนาดเท่าหัวแม่มือปรากฏขึ้น
เส้นไหมสีเขียวพลันเคลื่อนไหว นำเม็ดผลึกใส่เข้าไปในขวดเล็กๆ
ส่วนขวดเล็กๆ พลันเปล่งแสงสว่างวาบ สลายหายไปจากฝ่ามือ
จากนั้นแขนเสื้อของหานลี่ก็มีลำแสงม้วนออกมาอย่างรวดเร็ว
ชั่วขณะนั้นกำไลเก็บอสูรวิญญาณที่เดิมลอยอยู่กลางอากาศก็ร่อนลงมา พ่นลำแสงเจิดจ้าออก ชั่วครู่ก็ดูดอสูรวิญญาณที่อยู่บนพื้นเข้าไปข้างใน
หานลี่เก็บกำไลเก็บอสูรวิญญาณไปอีกครั้ง คนก็ยืนขึ้น สาวเท้ายาวๆ ตรงไปยังประตูหิน แล้วออกไปจากห้องลับอย่างร้อนรนทั้งอย่างนั้น
แทบจะที่เขาออกจากประตูห้องลับ หานลี่พลันเคลื่อนไหวจิตสัมผัส ออกคำสั่งให้ ‘หวาหวา’ ที่รออยู่ในสวนสมุนไพรดูแลถ้ำพำนักให้ดี ส่วนตนก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนี กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งออกไป
หลังจากผ่านไปชั่วครู่หานลี่ก็มาปรากฏตัวด้านนอกถ้ำพำนัก และบินไปที่ตีนเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เรียกรถม้าคันหนึ่ง ตรงไปยังใจกลางของเมืองเมฆา
สิบกว่าวันต่อมาคาดไม่ถึงว่าหานลี่จะเข้าไปในร้านค้าขายคัมภีร์ทั้งหมด และเลือกซื้อคัมภีร์เบ็ดเตล็ดที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยสนใจ คัมภีร์เหล่านี้มีอยู่มากมาย มีทั้งเคล็ดวิชาลับเฉพาะ และมีคัมภีร์ที่แนะนำเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอยู่ด้วย
และหลังจากที่นำคัมภีร์เหล่านี้กลับไปที่ถ้ำพำนัก หานลี่ก็เริ่มอ่านเนื้อหาที่อยู่ด้านในโดยใช้ความเร็วที่น่าตกตะลึงทันที ดูเหมือนว่าจะกำลังตามหาอันใดอยู่ แต่หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งคืน เขากลับเดินออกจากห้องลับด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง จากนั้นก็ออกจากถ้ำพำนักอีกครั้ง ไปยังร้านขายคัมภีร์ที่ค่อนข้างใหญ่ในเมืองเมฆา แล้วพิจารณาเลือกซื้อคัมภีร์ต่างๆ กลับไป
ผ่านไปห้าหกวัน หานลี่แทบจะทำเช่นนี้ทุกวัน ช่วงนี้เขาซื้อคัมภีร์มาจำนวนมาก เสียศิลาวิญญาณไปกับสิ่งนี้จำนวนมาก เป็นจำนวนที่น่าตกตะลึง
แต่วันนี้เมื่อหานลี่กลับมาจากเมืองเมฆาอีกครั้ง และถือแผ่นหยกโบราณอยู่ในห้องลับ ยามที่กวาดสายตาผ่านอย่างรวดเร็ว ใบหน้าพลันเผยสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจออกมา
“ไม่เลว ในที่สุดก็หาเจอแล้ว ข้าบอกแล้ว ต่อให้ต้นกำเนิดของจิตวิญญาณเที่ยงแท้จะมีคนรู้อยู่น้อยเพียงใด แต่ในคัมภีร์โบราณย่อมต้องมีบันทึกเอาไว้”
เขาเอ่ยพึมพำ จากนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึม เริ่มรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง พิจารณาเนื้อหาบนแผ่นหยกในมือต่อ
เงาร่างของหานลี่ไม่ขยับเขยื้อนราวกับก้อนหินอย่างไรอย่างนั้น ความสนใจทั้งหมดถูกแผ่นหยกในมือดึงดูดไป
หลังจากไม่รู้ว่าผ่านไปเท่าไหร่ ร่างกายของเขาก็ขยับเล็กน้อย จากนั้นพลันถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง โยนแผ่นหยกในมือลงพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าโศกเศร้าอย่างสุดๆ
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ ความบังเอิญขนาดนี้คาดไม่ถึงว่าจะมาเฉียดผ่านตัวข้าไป”
เขาเอ่ยพึมพำอย่างผิดหวัง ฝ่ามือแทบจะพลิกไปตามจิตสำนึก ขวดเล็กๆ ที่บรรจุเม็ดผลึกนั้นพลันปรากฏออกมา
เมื่อฝาขวดเปิดออก เม็ดผลึกนั้นก็บินออกมาอย่างแช่มช้า และลอยอยู่ตรงปากขวดไม่ขยับเขยื้อน
มองเม็ดผลึกที่ดูธรรมดาๆ ริมฝีปากของหานลี่ขยับเล็กน้อย กลับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
ตอนที่ 1657 ตัวประหลาดเฒ่าสวี่
ตามในบันทึกในคัมภีร์ที่เขาหาพบ สิ่งที่เรียกว่า ‘ต้นกำเนิดจิตวิญญาณเที่ยงแท้’ เป็นเศษเสี้ยวไอแผ่กระจายไร้ทิศทางอยู่รอบๆ เมื่อยามที่จิตวิญญาณเที่ยงแท้ถือกำเนิด
หากคนธรรมดากลืนมันเข้าไป ก็จะมีประสิทธิภาพที่น่าเหลือเชื่อ
แม้ว่าจะไม่อาจพัฒนากลายเป็นจิตวิญญาณเที่ยงแท้ได้ แต่ก็สามารถถอดรกเปลี่ยนกระดูกเพิ่มพลังยุทธ์ได้ มีโอกาสที่จะพัฒนาไประดับผสานอินทรีย์ได้เป็นอย่างมาก
เมื่อคิดถึงจำนวนที่น้อยนิดในแดนวิญญาณแล้ว ก็รู้ถึงระดับความน้อยของต้นกำเนิดจิตวิญญาณเที่ยงแท้
ประกอบกับหลายปีมานี้ยังถูกผู้มีความสามารถของเผ่าต่างๆ มาค้นหาเอาไปใช้กันหมด ดังนั้นจิตวิญญาณเที่ยงแท้ที่อยู่ในแดนวิญญาณยามนี้ก็อาจจะมีอยู่แค่หร็อมแหร็ม
ตามหลักการแล้วต้นกำเนิดจิตวิญญาณเที่ยงแท้ก็เป็นแค่ร่างไอ แต่เป็นเพราะมีพลังของต้นกำเนิดแฝงอยู่มากเกินไป จึงถูกคนอื่นกินเข้าไปแล้วไม่อาจหลอมเหลวได้ในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นหากผ่านเวลาที่กำหนดไป ต้นกำเนิดจิตวิญญาณเที่ยงแท้จะกันรวมตัวกันกลายเป็นเม็ดผลึกในร่างของผู้ที่หลอม
ในเม็ดผลึกมีปราณแท้ของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ผสมอยู่อย่างยากที่จะจินตนาการได้ ย่อมต้องดูลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล มากน้อยก็สองสามร้อยปี น้อยหน่อยยี่สิบสามสิบปีถึงจะมีโอกาสถูกหลอมไปจริงๆ
เมื่อหานลี่อ่านเนื้อหาข้างในนั้น ก็รู้สึกดีอกดีใจอย่างบ้าคลั่ง แต่คำอธิบายด้านล่างก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนเอาน้ำเย็นราดหัว
บันทึกต่อจากนี้คาดไม่ถึงว่าจะกล่าวตรงๆ ว่า เมื่อต้นกำเนิดจิตวิญญาณเที่ยงแท้กลายเป็นลูกทรงเม็ดผลึก ก็หมายความว่าถูกปราณแท้ในตัวผู้หลอมหลอมจนเสร็จสิ้นแล้ว และไม่อาจถูกคนที่สองดูดซับไปหลอมได้อีก
หากคนอื่นฝืนหลอมปราณแท้ด้านใน เม็ดผลึกก็จะกลับเป็นพลังฟ้าดินธรรมดาๆ กลับคืนสู่สวรรค์และยุทธภพอีกครั้ง
สุดท้ายยังระบุไว้เป็นพิเศษว่าการหลอมด้วยกันนั้นมีความเฉพาะเจาะจงเป็นอย่างมาก ไม่อาจคิดว่าจะย้อนกลับได้ ทำให้ผู้ที่ได้พลังต้นกำเนิดมาต้องจดจำจุดนี้เอาไว้ให้ดี
เมื่อหานลี่อ่านสิ่งที่อธิบายเสร็จ แน่นอนว่าย่อมรู้สึกตกตะลึงจนตาค้าง สีหน้าสลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก
“ที่กล่าวในคัมภีร์ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นจริงเสมอไป กล่าวอันใดก็ต้องลองทดสอบสักหน่อย” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่ก็เอ่ยพึมพำออกมาด้วยความไม่เต็มใจ
จากนั้นมือหนึ่งพลันร่ายอาคม นิ้วอีกข้างชี้ไปที่เม็ดผลึก
หลังจากเสียง “สวบ” ดังขึ้น เส้นไหมสีเขียวสายหนึ่งก็พุ่งออกมา หลังจากกะพริบวาบ ก็ห่อหุ้มเม็ดผลึกเอาไว้ข้างใน
หานลี่ร่ายอาคมออกไปอย่างต่อเนื่องด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ทยอยกันจมหายเข้าไปในลำแสงสีเขียว
เม็ดผลึกในลำแสงสีเขียวสั่นเทาแล้วหมุนติ้วๆ จากนั้นสีของร่างเดิมก็เปลี่ยนไปไม่แน่นอน
ยามแรกโปร่งใส เปลี่ยนเป็นสีแดงอ่อน จากนั้นก็เปลี่ยนจากสีแดงอ่อนกลายเป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก สุดท้ายก็กลายเป็นสีทองเรืองรองราวกับทองคำขณะที่ลำแสงวิญญาณกำลังกะพริบวาบๆ
หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนั้นพลันหรี่ตาทั้งสองข้างลง อาคมในมือเปลี่ยนแปลงไป
ฉับพลันนั้นลำแสงสีเขียวที่ห่อหุ้มเม็ดผลึกอยู่พลันมีอักขระจำนวนมากปรากฏขึ้น บินวนล้อมรอบเม็ดผลึก ชั่วพริบตาก็กลายเป็นเขตอาคมขนาดเล็ก
ส่วนเม็ดผลึกสีทองก็อยู่ตรงใจกลางของเขตอาคมอย่างพอดิบพอดี
หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้พลันอ้าปากออก พ่นเพลิงทารกสีเขียวออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในเขตอาคมขนาดเล็ก
เสียงอึกทึกดังขึ้น อักขระทั้งหมดบนเขตอาคมเปล่งแสงเจิดจ้า เพลิงทารกสีเขียวรวมร่างกับเขตอาคมได้อย่างง่ายดาย
ครู่ต่อมาในเวลาเดียวกันก็มีลูกเพลิงสีเขียวพ่นออกมาจากจุดต่างๆ ของเขตอาคม ห่อหุ้มเม็ดผลึกเอาไว้ แล้วเริ่มหลอมเหลว
ท่ามกลางเปลวเพลิงสีเขียวที่หมุนวน ยามแรกเม็ดผลึกสีทองนั้นเงียบกริบไม่มีการเคลื่อนไหว แต่เมื่อเวลาผ่านไปทีละนิดๆ ลำแสงสีทองบนพื้นผิวพลันพลิ้วไหว และยิ่งไปกว่านั้นยังเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็เปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมา
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นพลันรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง ยังไม่ทันได้อาคมในมือ ยามนั้นเสียงอึกทึกก็ดังออกมาจากเขตอาคม
คาดไม่ถึงว่าเม็ดผลึกสลายหายไปจากที่เดิม กลับเป็นหมอกลำแสงสีทองขนาดเท่าไข่ไก่เข้ามาแทนที่
หมอกลำแสงนี้หมุนวน เปล่งเสียงฟ้าคำรามที่น่าตกตะลึงออกมา จากนั้นก็ขยายใหญ่ขึ้นยี่สิบสามสิบเท่า จนมีขนาดสองสามจั้ง และยิ่งไปกว่านั้นยังขยายใหญ่ขึ้นไม่หยุด
เปลวเพลิงสีเขียวและหมอกลำแสงที่ห่อหุ้มอยู่ด้านนอกถูกดันจนแตกออก
ผิวของหมอกลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างไสวและมืดมนสลับกันไปมา เห็นได้ชัดว่าเสียการควบคุม พร้อมจะระเบิดได้ตลอดเวลา
เมื่อหานลี่คิดถึงความน่ากลัวของพลังที่แฝงอยู่ ก็หน้าเปลี่ยนสี
มือหนึ่งของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกอย่างไม่ต้องขบคิด และตะปบไปยังหมอกสีทองตรงหน้า
เสียงแหวกอากาศดัง “สวบๆ” ดังขึ้น
ลำแสงสีเทาพุ่งออกมาจากปลายนิ้วเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วกลายเป็นม่านลำแสงสีเทาชั้นหนึ่ง ห่อหุ้มหมอกสีทองเอาไว้
ลำแสงสีเทาและลำแสงสีทองพร้อมจะตัดสลับกันไปมาได้ตลอดเวลา เปล่งเสียงอึกทึกออกมา
ผิวของลำแสงเทวะดูดปราณเปล่งแสงระยิบระยับ คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทีทานไม่ไหวในทันที ไม่อาจควบคุมความเปลี่ยนแปลงของหมอกลำแสงสีทองได้
ใบหน้าของหานลี่มีสีหน้าตกตะลึงฉายวาบผ่าน สองเท้าไม่ได้ยืนขึ้น แต่กายท่อนล่างกลับดูเหมือนจะติดตั้งรถหมุนอย่างไรอย่างนั้น ลื่นไถลมาที่มุมห้องลับอย่างเงียบเชียบทันที ในเวลาเดียวกันแขนเสื้อข้างหนึ่งสะบัดไปตรงหน้า
ผลึกลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ โล่ขนาดเล็กเปล่งแสงผลึกแวววาวโล่หนึ่งต้านทานอยู่เบื้องหน้า และยิ่งไปกว่านั้นยังพลิ้วไหวเล็กน้อย ขยายใหญ่จนมีขนาดสองสามจั้ง ต้านทานอยู่เบื้องหน้าอย่างแน่นหนา
แทบจะในชั่วพริบตาที่หานลี่ทำทุกอย่างเสร็จ ในที่สุดลำแสงเทวะดูดปราณก็เปล่งเสียงปริแตกออกมา ลำแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งทะลวงผ่านไปด้านใน
หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันมีสีหน้าเคร่งขรึม แต่ชั่วพริบตาลมปราณในร่างพลันทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง บรรจุเข้าไปในโล่ยักษ์ตรงหน้า
ในเวลาเดียวกันผิวก็มีลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ ผิวเปลี่ยนเป็นสีทองเรืองรอง และมีเกล็ดสีทองปรากฏขึ้น
ดูแล้วเขาคงเตรียมตัวรับการโจมตีที่รุนแรงแล้ว ส่วนจะป้องกันห้องลับหรือแม้กระทั่งถ้ำพำนักให้ไม่ได้รับความเสียหายได้หรือไม่นั้น ก็มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้
แต่ฉากที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายพลันปรากฏขึ้น
เมื่อม่านหมอกสีทองออกจากการควบคุม ก็ไม่ได้ขยายใหญ่ขึ้นอีกแล้วระเบิดออก แต่กลับเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นเสาลำแสงสายหนึ่งทะลวงผ่านเพดานห้องลับไป
เพดานห้องและเขตอาคมทั้งหมดที่วางอยู่ถูกทะลวงออกจนเป็นรูขนาดครึ่งฉื่อราวกับกระดาษ ไม่อาจต้านทานได้เลยสักนิด
ส่วนหมอกลำแสงสีทองนั้นก็สลายหายไปจากในห้องลับอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่เงยหน้าขึ้นด้วยความตกตะลึง เห็นเพียงลำแสงสีขาวสองสามดวงพุ่งเข้าไปในรูนั้น แต่ทันใดนั้นก็มีพลังวิญญาณมหาศาลที่ทำให้ขนลุกซู่ส่งมา ปราณแท้ฟ้าดินทั้งภูเขาวิญญาณดูเหมือนว่าหมุนวนอย่างรุนแรง
ริมฝีปากเขาสั่นระริกเล็กน้อยแต่พลันชูมือหนึ่งขึ้น
ปล่อยอาคมสีขาวสายหนึ่งออกไป ชั่วครู่ก็จมหายเข้าไปในเพดานห้องลับอย่างไร้ร่องรอย
ชั่วขณะนั้นเพดานห้องลับที่แต่เดิมถูกทะลวงออกมาพลันลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ รูทั้งรูหดเล็กลงผสานเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาผสานกันดังเดิม
ส่วนหานลี่เองก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสายหนึ่งบินออกไปจากห้องลับ
หลังจากกะพริบวาบสองสามครั้ง ลำแสงหลีกหนีก็หม่นแสงลง หานลี่ปรากฏตัวขึ้นเหนือถ้ำพำนัก เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า อดที่จะขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้
เห็นเพียงท้องฟ้าในยามนี้ คาดไม่ถึงว่าจะพายุหมุนสีทองอ่อนเป็นกลุ่มๆ ปรากฏขึ้น และกำลังร้องคำรามอยู่บนอากาศ
และต่ำลงมาจากพายุหมุนสีทองนั้นทุกหนแห่งล้วนมีลำแสงปรากฏขึ้นเป็นดวงๆ ลำแสงห้าสีสันจากทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้านหมุนวนและรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น ท่าทางน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
หานลี่ดูจนมาถึงยามนี้ก็รู้สึกตกตะลึง อดที่จะเบะปากเล็กน้อยไม่ได้
โชคดีที่เขาไม่ได้กลืนเม็ดผลึกเข้าไปหลอมตรงๆ มิเช่นนั้นหากกำเริบ จุดจบจะน่าอนาถแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว
แต่การเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่าต่างๆ ที่อยู่บนภูเขาวิญญาณแถวนี้ตกตะลึงเช่นกัน
จุดต่างๆ บนภูเขาวิญญาณมีลำแสงสว่างวาบ เงาร่างคนหลากสีสันปรากฏขึ้นตามลำดับ บางคนที่รู้จักกันยังเข้ามารวมตัวกัน และชี้ไปที่ปรากฏการณ์น่าตกตะลึงบนท้องฟ้า พลางถกเถียงกันไม่หยุด
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็อดที่จะลูบหน้าผากตนเองไปมาไม่ได้ ในเวลาเดียวกันความคิดก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หากมีคนเข้ามาตรวจสอบ ควรจะหาข้ออ้างอันใดมาปกปิดเรื่องนี้ดี
แต่ในยามนี้ ฉับพลันนั้นพลันมีเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังมาจากจุดหนึ่งของภูเขา
“ฮ่าๆ ผู้ใดลองทดสอบเคล็ดวิชาลับใหม่เนี่ย คาดไม่ถึงว่าจะเรียกปราณแท้ฟ้าดินมากมายถึงเพียงนี้ แถมยังบริสุทธิ์มาก ตาเฒ่าจะหลอมสมบัติชิ้นหนึ่ง ต้องการปราณแท้จำนวนมากมาเป็นเครื่องชักพา ช่างประหยัดแรงตาเฒ่าเสียจริง”
สิ้นเสียงสายรุ้งสีแดงสายหนึ่งก็บินมาจากด้านล่าง หลังจากกะพริบวาบ ก็พุ่งเข้าไปในปรากฏการณ์บนท้องฟ้า
แต่ในยามนั้นเองสายรุ้งสีแดงก็มีเปลวเพลิงสูงสองสามจั้งทะลักออกมา ชั่วครู่ก็กลายเป็นมังกรวารีเพลิงสีแดงความยาวสิบจั้งเศษ สะบัดหางสะบัดหัว อ้าปากออก
เสียงอึกทึกดังขึ้น ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีแดงสดก็ถูกพ่นออกมาจากปากของมังกรวารีเพลิง
คาดไม่ถึงว่าลำแสงทั่วทั้งท้องฟ้าและพายุหมุนสีทองที่ดูน่าตกตะลึงบนท้องฟ้าจะถูกหมอกลำแสงสีแดงที่พวยพุ่งขึ้นไปกวาดไปจนเกลี้ยงภายในไม่กี่ชั่วอึดใจ
มังกรวารีเพลิงสีแดงมีขนาดยักษ์ยี่สิบจั้งเศษแล้ว จากนั้นก็เปล่งเสียงร้องยาวๆ ฉับพลันนั้นลำแสงสีแดงก็กลายเป็นเงาร่างสูงสองสามจั้ง ลอยอยู่กลางอากาศอย่างแช่มช้า
คนผู้นี้ดูเหมือนอายุหกสิบปีเศษ ใบหน้าหยาบกร้าน เรือนผมสีขาว แต่สวมชุดสีม่วง กำลังเหลือบมองสิ่งที่ถืออยู่ในมือด้วยสีหน้าพึงพอใจ
นั่นคือน้ำเต้าสีแดงสดความสูงครึ่งฉื่อ ผิวของมันมีสัญลักษณ์เปลวเพลิงเป็นดวงๆ และมังกรวารีหน้าตาดุดันเปล่งแสงสีเรืองๆ ตัวหนึ่งสลักอยู่ คาดไม่ถึงว่าจะเหมือนกับมังกรวารีเพลิงตัวนั้นที่สร้างขึ้นก่อนหน้าทุกระเบียบนิ้ว
“อันใด นี่คือตัวประหลาดเฒ่าสวี่”
“ตัวประหลาดเฒ่าผู้นี้กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“อิทธิฤทธิ์ของตัวประหลาดดูเหมือนจะร้ายกาจกว่าเดิมแล้ว”
ชนต่างเผ่าทั้งหมดที่อยู่ด้านล่างเห็นชายชราชุดสีม่วง กลับเกิดเสียงอื้ออึงขึ้น คาดไม่ถึงว่าคนกว่าครึ่งจะรู้จักคนผู้นี้ และกำลังซุบซิบนินทากัน
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ พลันตกตะลึง แต่หลังจากที่กวาดจิตสัมผัสไปบนเรือนร่างของชายชราแล้ว ก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาขั้นปลายผู้หนึ่งทันที
พลังยุทธ์เช่นนี้ บนภูเขาวิญญาณที่ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อาศัยอยู่ แน่นอนว่าย่อมเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในลำดับที่สูงที่สุดแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ทำให้ชนต่างเผ่าระดับหลอมสุญตาเช่นเดียวจำนวนมากหวาดกลัวเช่นนี้
หานลี่พลันรู้สึกฉงนเล็กน้อย
ทว่าในเมื่อปรากฏการณ์ที่เม็ดผลึกสร้างขึ้นถูกคนอื่นแย่งไปแล้ว และไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้อื่นมากนัก เขาย่อมผ่อนคลายลง
ดังนั้นหานลี่จึงเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ ทันใดนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งสายหนึ่งพุ่งไปยังถ้ำพำนักด้านล่าง
เมื่อเขามาปรากฏตัวในถ้ำพำนักอีกครั้ง ก็วางเขตอาคมด้านนอกถ้ำพำนักและในห้องลับอีกครั้ง แล้วถึงได้กลับไปนั่งสมาธิในห้องลับอย่างสบายใจ
เมื่อยกมือขึ้นหมอกลำแสงสีดำพลันม้วนวน เงาร่างอสูรกลืนวิญญาณปรากฏขึ้นอีกครั้ง และลอยอยู่ใกล้ๆ ห่างออกไปแค่คืบ
หานลี่มองอสูรตัวนี้ด้วยความตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายถึงได้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น