พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1655-1658
บทที่ 1655 นึกไม่ถึงเลย
ความหมายลึกล้ำในคำพูดนี้ทำความเข้าใจได้ไม่ยาก ประมุขชิงที่กำลังใช้มือขยี้หนวดเริ่มทำสีหน้าแปลกๆ
หลังจากจุดประกายความคิดแล้ว เกาก้วนก็ยืนอย่างเย็นชาอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไรอีก
ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนต่างก็ทำสีหน้าครุ่นคิดเช่นกัน
หลังจากนั้น ซือหม่าเวิ่นเทียนที่เงียบไปครู่หนึ่งก็พยักหน้าบอกว่า “ไม่เลว! การที่ฝ่าบาทโยนหนิวโหย่วเต๋อไว้ที่ตลาดผีเป็นแผนการที่ดี ตาแก่โค่วสิ้นเปลืองกำลังความคิดไปมากขนาดนั้น แต่กลับดีใจโดยเสียแรงเปล่า จะกินก็กินไม่ลง จะคายทิ้งตรงๆ ก็ไม่ได้ กลายเป็นเรื่องน่าขันไปแล้ว ตอนนี้ตาแก่โค่วมีความคิดที่จะทิ้งหนิวโหย่วเต๋อ มีหรือที่จะให้เขาสมหวังง่ายๆ ถ้าตาแก่โค่วทอดทิ้ง ฝ่าบาทก็ช่วยประคองขึ้นมาสักครั้ง ถ้าตาแก่โค่วดึงไว้ ฝ่าบาทก็ค่อยกดอีกที ก็แค่ทำให้ตาแก่โค่วขึ้นไม่ได้ลงไม่ได้”
เมื่อเห็นประมุขชิงเริ่มทำสีหน้าอัศจรรย์ใจ ซ่างกวนชิงก็ยิ้มเบาๆ แล้วพูดเสริมตามว่า “ทางที่ดีต้องทำให้คลุมเครือสักหน่อย”
“เฮ่อๆ! พวกเจ้านี่นะ นี่กำลังกลัวว่าตลาดผีจะไม่วุ่นวายใช่มั้ย กำลังสอนให้ข้ากระพือลมจุดไฟชัดๆ!” ประมุขชิงหัวเราะนานมาก จากนั้นก็โบกมืออย่างอารมณ์ดีทันที “เอาล่ะ เรื่องเล็กน้อยไม่ควรค่าให้พวกเราพิจารณาไม่รู้จักหยุดหย่อน คุยธุระสำคัญเถอะ ช่วงนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
เกาก้วนกับซือหม่าเวิ่นเทียนทยอยกันรายงานทันที
สำหรับพวกเขา เมื่อเทียบกับทั้งใต้หล้าแล้ว เรื่องเล็กน้อยของเหมียวอี้คนเดียวไม่นับว่าสำคัญอะไรเลย ในใต้หล้ามีนักพรตมากมายนับไม่ถ้วน มีเรื่องใหญ่ๆ ตั้งมากมาย ไม่คุ้มค่าที่พวกเขาจะพูดถึงเหมียวอี้คนเดียวไม่จบไม่สิ้น เพียงจัดให้อยู่ในรายชื่อที่ต้องจับตาดูก็เท่านั้นเอง อย่างน้อยตอนนี้เหมียวอี้ก็ไม่ได้สำคัญถึงขั้นนั้น
“ยินดีกับนายท่าน ยินดีด้วย”
ในจวนแม่ทัพภาคตลาดผี เมื่อผู้แจกรางวัลจากตำหนักนารีสวรรค์ไปแล้ว สวีถังหรานก็กล่าวแสดงความยินดีกับเหมียวอี้ที่เลี่ยนใส่เครื่องแบบเกราะม่วงหนึ่งแถบ พวกหยางเจาชิงก็กล่าวแสดงความยินดีเช่นกัน
เหมียวอี้ชำเลืองเกราะม่วงสามแถบบนตัวสวีถังหราน แล้วพูดหยอกล้อ “ควรจะยินดีกับนายท่านสวีสิถึงจะถูก”
“…” สวีถังหรานทำสีหน้าอับอายทันที มองบนร่างกายตัวเอง พบว่าตัวเองยศสูงกว่าผู้บังคับบัญชาเสียอีก จึงรีบกุมหมัดคารวะ “ล้วนได้อาศัยบารมีของนายท่าน”
ไม่ใช่แค่เขา หยางเจาชิงกับเหยียนซิวก็ได้เป็นแม่ทัพเกราะม่วงเช่นกัน ในบรรดาคนที่ตระกูลโค่วส่งมาก็มีจำนวนหนึ่งที่ได้เป็นแม่ทัพเกราะม่วง ส่วนคนที่เหลือก็มียศเกราะม่วงอยู่แล้ว และได้เลื่อนยศอีกหนึ่งขั้นเช่นกัน คนระดับล่างของจวนแม่ทัพภาคก็ยิ่งได้เลื่อนยศเป็นวงกว้าง จะไม่ให้เลื่อนยศคงไม่ได้หรอก เพราะทั้งข้างล่างทั้งข้างบนสร้างผลงานถี่เกินไป นักโทษร้ายแรงที่ตำหนักสวรรค์จับตัวไม่ได้มาหลายปีก็ถูกพวกเขาจับได้หมด จะอาศัยแต่เงินทองมาเป็นรางวัลอย่างเดียวก็ไม่ได้ เมื่อสะสมผลงานได้มากก็ต้องได้เลื่อนยศอยู่แล้ว จะกดอย่างไรก็กดไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นในภายหลังใครจะยังทุ่มเทกำลังทำงานให้อีกล่ะ
ดังนั้นหลังจากสวีถังหรานกล่าวด้วยสีหน้าเก้อเขินแล้ว กลุ่มคนตรงนั้นก็หัวเราะร่าทันที เรียกได้ว่าสมัครสมานหรรษา คนเราพบเจอเรื่องราวดีๆ ก็ย่อมอารมณ์ดี
เหมียวอี้ก็มีรอยยิ้มเต็มใบหน้าเช่นกัน แต่ในใจกลับรู้สึกหนักอึ้ง เพราะว่าเขาเข้าใจแจ่มชัด ว่าถ้าเลื่อนยศอีกขั้นหนึ่ง หลังจากได้ยศเกราะม่วงสองแถบแล้ว การคุ้มครองจากตึกศาลาสัตยพรตก็จะต้องจบลง เกรงว่าคนจำนวนหนึ่งคงจะอดทนไม่ไหวแล้ว
หลังจากรอให้คนกลุ่มนี้แยกย้ายกันไป เหมียวอี้ก็กล่าวว่า “สวีถังหรานอยู่ต่ออีกสักหน่อย”
หลังจากในโถงเหลือเพียงหยางเจาชิงกับสวีถังหราน เหมียวอี้ก็เอียงหน้าบอกใบ้หยางเจาชิง “เจ้าไปจัดการสักหน่อย”
หยางเจาชิงกุมหมัดเอ่ยรับ แล้วหันตัวเดินออกไป สวีถังหรานงงงันเล็กน้อย จึงถามขอคำชี้แนะ “นายท่านมีอะไรจะกำชับขอรับ?”
“เตรียมตัวสักหน่อย ไปวัดพระกษิติครรภ์สักรอบ” เหมียวอี้กล่าว
“อ้อ…ขอรับ!” สวีถังหรานรีบเอ่ยรับ แต่ในใจกลับพึมพำว่า นายท่านเป็นอะไรไป ทำไมถึงไปกระโจนหาวัดพระกษิติครรภ์ได้ นี่ไปมาหลายครั้งแล้วนะ
ใช้เวลาไม่นาน ก็เตรียมการเรื่องทุกอย่างในจวนแม่ทัพภาคไว้อย่างเหมาะสมแล้ว หลังจากทั้งสามคนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เหมียวอี้ก็นำหยางเจาชิงและสวีถังหรานเข้าไปในทางลับด้วยกัน
ในทางลับถูกน้ำท่วมปิดบังไว้ ทั้งสามจึงดำน้ำออกไปโดยตรง ไม่นานก็มุดออกมาจากปากทางลับในทะเลสาบใต้ดินของ แล้วดำน้ำต่อไปด้วยความรวดเร็ว
ตอนที่ออกมาอีกครั้ง พอเข้าใกล้บริเวณวัดพระกษิติครรภ์แล้ว หยางเจาชิงก็โผล่จากน้ำขึ้นมาสำรวจบริเวณใกล้เคียงนิดหน่อย หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนจับตาดู ถึงได้เรียกเหมียวอี้กับสวีถังหรานออกมา
เหมียวอี้ในตอนนี้กลายเป็นแขกประจำของวัดพระกษิติครรภ์ไปแล้ว ไม่ได้ถูกกันไว้หน้าประตูเหมือนตอนที่มาครั้งแรก พอตรวจสอบตัวตนเพื่อป้องกันคนปลอมแปลงแล้ว ก็ปล่อยเข้าไปดื่มน้ำชาในวัดก่อน แล้วค่อยไปรายงานอีกที
พอเข้ามาในโถงรับแขกแล้ว ก็ย่อมมีพระลูกวัดนำน้ำชามาวางให้ เหมียวอี้กำลังนั่งรอ สวีถังหรานยืนอยู่ข้างกาย ส่วนหยางเจาชิงก็ยืนอยู่นอกประตู
พอหยางเจาชิงที่รออยู่ข้างนอกพยักหน้าส่งสัญญาณเข้ามาในห้อง เหมียวอี้ก็อยู่ข้างในก็รู้ทันทีว่าพระอาจารย์จี้คงมาแล้ว
พอพระอาจารย์จี้คงเข้ามาในโถงรับแขกแล้วเห็นเหมียวอี้ ก็รู้สึกค่อนข้างปวดหัว เขาไม่ได้ไปหาเรื่องใครเสียหน่อย ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงถูกท่านนี้มาเกาะแกะพัวพันเสียแล้ว
“พระอาจารย์ ข้ามารบกวนอีกแล้ว ขออภัยเป็นอย่างสูงจริงๆ” เหมียวอี้ยืนประนมมือ
พระอาจารย์จี้คงประนมมือตอบ หลังจากยื่นมือเชิญให้เหมียวอี้นั่งลงแล้ว ก็นั่งลงร่วมโต๊ะน้ำชาเดียวกับเขา แล้วถามอย่างค่อนข้างจนใจว่า “ไม่ทราบว่าแม่ทัพภาคหนิวมีอะไรจะกำชับอาตมาหรือ?”
เหมียวอี้ก็ถอนหายใจอย่างอับจนปัญญาเช่นกัน “ยังจะมีเรื่องอะไรได้อีก ก็ว่าจะมาถามสักหน่อยไม่ทราบว่าฝั่งแดนสุขาวดีจับกุมพระอรหันต์ตัวลี่ที่ยุงยงศิษย์ให้มาลอบสังหารหนิวได้หรือยัง?”
ไม่รู้ว่าเขาถามเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว ขนาดสวีถังหรานที่มาด้วยหลายครั้งก็ยังรู้สึกแปลกๆ เลย คิดในใจว่า เจ้าเอาแต่มากดดันจี้คงแบบนี้จะมีประโยชน์อะไร
จี้คงยอมแพ้เขาแล้วจริงๆ เป็นอย่างที่คาดไว้ มาเพราะเรื่องนี้อีกแล้ว ถ่อมาถามเขาเรื่องนี้ทุกสามวันห้าวัน หูเขาใกล้จะด้านแล้ว พระอาจารย์เล็กๆ อย่างเขาจะไปรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรล่ะ เกี่ยวอะไรกับข้า? เจ้าถามข้า แล้วจะให้ข้าไปถามใคร? ทำได้เพียงรายงานขึ้นไปเบื้องบน ส่วนผลจะเป็นอย่างไร ก็ทำได้เพียงรอข่าวจากเบื้องบนเช่นกัน
ส่วนเบื้องบนก็ไม่ได้อยากจะแยแสหนิวโหย่วเต๋อเลย แต่เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อถูกลอบสังหารดันทำให้แดนสุขาวดีแก้ตัวลำบาก กอปรกับมีอ๋องสวรรค์โค่วหนุนหลังอยู่ คงไม่ดีหากจะไม่ต้อนรับขับสู้เลยสักนิด ไม่อย่างนั้นถ้าเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาทั่วไป เกรงว่าแม้แต่ประตูวัดพระกษิติครรภ์ก็เข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ ถึงได้ผลักมาให้จี้คง ให้เขามารับมือด้วยอย่างขอไปที แล้วเขาจะทำอย่างไรได้ล่ะ? ทำได้เพียงอดทนมาต้อนรับขับสู้กับเหมียวอี้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ครั้งนี้ไม่ต้องปวดหัวเท่าไรแล้ว เพราะเบื้องบนส่งคนมารับมือให้แล้ว
“แม่ทัพภาคหนิวใช้ระฆังดาราติดต่อไปถามเองเลยก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ด้วยตัวเองเพราะเรื่องนี้ทุกรอบ”
“โถ่ นั่นอาจจะเสียมารยาทเกินไป แต่ในเมื่อมาแล้ว พระอาจารย์ก็ได้โปรดบอกหน่อย ว่ามีเบาะแสเรื่องมือสังหารหรือยัง?”
จี้คงยิ้มอย่างขื่นขม แล้วยื่นมือเชิญอย่างเกรงใจ “แม่ทัพภาคหนิว เชิญมากับข้า”
เหมียวอี้งงทันที จึงลุกขึ้นยืนแล้วถามอย่างแปลกใจ “ไปไหนเหรอ?”
“คนที่จะมาตอบคำถามเรื่องที่แม่ทัพภาคซักไซ้ได้” จี้คงตอบ
“ใครเหรอ?” เหมียวอี้งุนงง
“แม่ทัพภาคหนิวเห็นแล้วก็จะทราบเอง” จี้คงยิ้มบางๆ
ยังมาใช้มุกรักษาความลับอีกเหรอ? เหมียวอี้มองเขาศีรษะจดเท้าด้วยแววตาฉงน ไม่สะดวกจะปฏิเสธ จึงทำได้เพียงยื่นมือเชิญ แล้วเดินตามเขาออกมาจากห้องรับแขก
พวกเขามาถึงลานบ้านด้านหลังจองวัดพระกษิติครรภ์ จี้คงยกมือห้ามหยางเจาชิงกับสวีถังหรานให้หยุดก่อน เหมียวอี้จึงพยักหน้าบอกใบ้เล็กน้อง ทั้งสองทำได้เพียงรออยู่ที่ลานบ้านด้านหลัง
เหมียวอี้ไม่กลัวว่าวัดพระกษิติครรภ์จะทำอะไรเขาตอนอยู่ที่นี่ได้ จึงเดินตามจี้คงขึ้นตึกไปอีกครั้ง
บันไดขึ้นชั้นบนเลี้ยวแล้วเลี้ยวอีก พอขึ้นไปบนชั้นสิบซึ่งใกล้จะถึงผิวดิน จี้คงถึงได้นำทางเข้าไปในทางเดินที่ลึกและมีแสงจากโคมไฟสลัว พระพุทธรูปแบบต่างๆ บนผนังทั้งสองข้างทำให้ดูลี้ลับยากจะคาดเดาขึ้นไม่น้อย
หน้าห้องห้องหนึ่งซึ่งมีประตูใหญ่สีทองแดงสะท้อนแสงวิบวับ จี้คงหยุดฝีเท้า แล้วยื่นมือบอกใบ้ให้เข้าไป ทั้งยังสื่อความหมายว่าให้เหมียวอี้ผลักประตูเข้าไปเองด้วย
ดวงตาเหมียวอี้ฉายแววระแวงสงสัย เขามองจี้คงที่มีใบหน้าเจือรอยยิ้ม แล้วมองประตูใหญ่ที่ปิดสนิท ไม่รู้ว่าพระรูปนี้จะมาไม้ไหน เขาก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง แล้วยื่นมือกดบนบานประตู ออกแรงผลักอย่างช้าๆ
ท่ามกลางเสียงประตูที่หนักทึบ ซอกระหว่างประตูเปิดออกอย่างช้าๆ ภาพที่อยู่ด้านหลังขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเหมียวอี้ที่เฝ้าระแวดระวังเห็นภาพข้างในชัดเจนแล้ว ก็รู้สึกพูดไม่ออกนิดหน่อย
ในห้องที่เดิมทีเงียบเหงาและอยู่ท่ามกลางความมืด ไม่รู้ว่ามีลำแสงสายหนึ่งที่เหมือนเสาแสงยิงสะท้อนออกมาจากไหน แสงนั้นสาดส่องบนพระพุทธรูป ทำให้พระพุทธรูปหลุดออกจากความมืดมิด ให้ความรู้สึกเงียบขรึมอย่างบอกไม่ถูก และตรงใต้พระพุทธรูปองค์สูงใหญ่ ร่างอันงดงามชดช้อยของสตรีคนหนึ่งกำลังนอนเอนกาย เสื้อผ้าบางเบาเปิดเผย อยู่ภายใต้แสงสว่างจ้าแต่กลับมองเห็นใบหน้าไม่ชัด ทว่านั่นก็ยิ่งทำให้เย้ายวนดึงดูดใจมากขึ้น เห็นแล้วเลือดลมสูบฉีด
เหมียวอี้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองในชั่วพริบตาเดียว ผู้หญิงที่นอนเอนกายใช้มือยันศีรษะกำลังยิ้มบางๆ ให้เขา ไม่ใช่ใครที่ไหน นางคือพระโพธิสัตว์เม่ยจีที่เขาเคยเจอที่แดนสุขาวดีนั่นเอง
เหมียวอี้นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอผู้หญิงคนนี้ที่นี่ เขารีบมองไปทางจี้คง แต่จี้คงกลับประนมมือโค้งตัว แล้วหันตัวเดินจากไปแล้ว
พอหันกลับไปมองด้านหลังอีกครั้ง พระโพธิสัตว์เม่ยจีก็กางแขนที่ขาวงามดุจหยก กวักมือเบาๆ พร้อมถามด้วยรอยยิ้ม “นายท่านหนิวไม่กล้าเข้ามาเหรอ กลัวอาตมาจะกินเจ้าหรือไง?”
อาตมาเหรอ? ข้าว่าเจ้าคล้ายกับปีศาจมากกว่า! เหมียวอี้ตำหนิในใจ แต่บนใบหน้ากลับฝืนยิ้ม เขาผลักประตูเข้ามา ภายนอกดูผ่อนคลายแต่ภายในตึงเครียด ระแวดระวังตัวอยู่ตลอด
แต่จะไม่เข้าไปก็ไม่ได้ อาศัยพลังของอีกฝ่าย ถ้าอีกฝ่ายมีเจตนาอะไรไม่ดีจริงๆ ตัวเขาเองก็หนีไม่พ้นอยู่ดี เพียงแต่ในกระบอกแขนเสื้อกลับคลำระฆังดาราติดต่อกับภายนอกเล็กน้อย บอกให้รู้ว่าตัวเองมาเจอกับใคร
ทว่าเมื่อเข้ามาในห้องโถงที่กว้างใหญ่ ก็ได้ยินเสียงหมุนดัง ‘แกร๊ก’ รอบด้านมีเสาแสงหลายต้นปรากฏวาดผ่านความมืดทันที เห็นเพียงผู้หญิงที่แต่งกายไม่มิดชิดยืนรียงแถวสองฝั่งในท่วงท่าที่ยั่วยวน แต่ละคนหมุนกระจกบานใหญ่พร้อมกัน ทำให้มีเสาแสงหลายสายส่องสะท้อนอยู่ในโถงใหญ่ทันที ชั่วพริบตาเดียวไฟในโถงใหญ่ก็สว่างไสว รายละเอียดเล็กน้อยปรากฏออกมาหมด กวาดล้างความมืดครึ้มพิศวงก่อนหน้านี้ออกไป เพียงแต่ลำแสงที่อยู่ในห้องทำให้รู้สึกเหมือนเหตุการณ์นี้ไม่ใช่ความจริง
ด้านหลังมีเสียง “วึงๆ” ดังขึ้นอีก เหมียวอี้หันกลับมามองแวบหนึ่ง เห็นเพียงผู้หญิงสองคนกำลังดันปิดประตูบานใหญ่หนาหนัก
พอประตูปิดแล้ว ผู้หญิงที่อยู่ฝั่งซ้ายและขวาก็หันตัวมาพร้อมกัน แล้วเดินเรียงแถวหายเข้าไปในประตูด้านข้างสองฝั่งที่อยู่หลังห้องโถง มีเพียงหนึ่งคนที่โดดเด่นออกมา เดินไปคุกเข่าอยู่ตรงตีนบันไดตรงพระพุทธรูปในโถงหลัก ท่าทางเหมือนปรนนิบัติรับใช้พระโพธิสัตว์เม่ยจี อีกฝ่ายเอียงหน้าเล็กน้อยมองเหมียวอี้ที่กำลังเดินเข้ามา ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นคนที่เหมียวอี้เคยเจอมาแล้ว ชางหงที่เคยมีเรื่องกับเขาที่ดาวพิษนั่นเอง
เหมียวอี้พึมพำในใจอีกครั้ง นี่มันเรื่องบ้าบออะไร คงไม่ถึงขั้นใช้วิธีการนี้มาคิดบัญชีกับตนหรอกใช่มั้ย
“หนิวโหย่วเต๋อนมัสการพระโพธิสัตว์เม่ยจี” เหมียวอี้ที่เดินไปตรงหน้าบันไดกุมหมัดคารวะ จงใจเผยระฆังดาราในมือให้อีกฝ่ายเห็น เป็นการบอกใบ้ไม่ให้อีกฝ่ายทำซี้ซั้ว ข้ารายงานสถานการณ์ในนี้ให้คนนอกรู้แล้ว ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าก็อย่าได้คิดว่าจะหนีพ้นเลย
“หึหึ…” เม่ยจีหัวเราะเสียงใส แล้วบิดเอวเบาๆ ลุกขึ้นนั่งอย่างเกียจคร้าน เท้าเปลือยสองข้างไหลลงตามบันไดขั้นหนึ่งแล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นบิดเอวอันน่าหลงใหลเดินเนิบนาบลงบันไดมา ดวงตางามเป็นประกายทว่าล้ำลึก ยังคงดึงดูดใจเหมือนเดิม นางจ้องเหมียวอี้พร้อมเดินเข้ามาทีละก้าว
บทที่ 1656 เรื่องน่าเสียดายในชีวิตเหม...
ในสายตาเหมียวอี้ ในตอนนี้นางไม่ต่างอะไรกับโครงกระดูกที่งดงาม จะยังมาสนใจความสวยของนางได้อย่างไร เขากังวลมากกว่าผู้หญิงคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่?
สุดท้ายทั้งสองก็ยืนอยู่ตรงข้ามกัน สบตากันครู่หนึ่ง แล้วเม่ยจีก็ยื่นมือไปคว้าข้อมือข้างหนึ่งของเหมียวอี้อย่างช้าๆ
เหมียวอี้ตะลึงงัน หดมือกลับมาโดยจิตใต้สำนึก ทว่าอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย เขาจึงออกแรงดึง แต่กลับดึงไม่ออก จึงถามด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป “พระโพธิสัตว์มีเจตนาอะไร?”
เม่ยจีหยิบระฆังดาราอันนั้นขึ้นมาจากมือเหมียวอี้ หิ้วมาไว้ตรงหน้าทั้งสอง บุ้ยปากไปทางระฆังดาราของเหมียวอี้ พร้อมถามด้วยรอยยิ้มเย้ายวน “ทำไมล่ะ? กลัวอาตมาเหรอ?”
“ไม่ใช่ว่ากลัว แต่ชายหญิงมีความแตกต่างกัน” เหมียวอี้ตอบ
เม่ยจีจึงกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “รูปคือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าก็คือรูป ยิ่งไปกว่านั้น สำนักหลัวช่าก็ฝึกบำเพ็ญโดยการเสพสังวาส ไม่ได้มีข้อห้ามเรื่องระหว่างชายหญิง ขอเพียงพอใจ ยิ่งทำมากก็ยิ่งดี หากนายท่านหนิวสามารถทำให้ศิษย์ของอาตมามีความสำราญได้ เจ้าก็เลือกศิษย์ของอาตมาไปทำเรื่องสำราญด้วยกันได้ตามใจชอบเลย รวมทั้งอาตมาด้วย” นางเผยอปากพ่นลมหายใจหอมใส่หน้าเหมียวอี้ พอพูดจบก็คลายนิ้วทั้งห้า ปล่อยข้อมือเหมียวอี้ออก แล้วถือโอกาสใช้นิ้วปลุกปลั่น ลูบไล้บนใบหน้าเหมียวอี้
เหมียวอี้ยังมีสีหน้าเรียบเฉย ในขณะนี้เวลานี้ ต่อให้ผู้หญิงคนนี้จะยั่วยวนขนาดไหน แต่เขาก็ไม่สนใจอยู่ดี เขาเอนศีรษะไปข้างหลัง ก้าวถอยไปข้างหลังเพื่อหลบคู่ต่อสู้ แล้วกล่าวด้วยใบหน้าที่ตึงนิ่ง “ไม่ทราบว่าพระโพธิสัตว์เรียกข้ามาด้วยธุระอะไร ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว หนิวยังมีงานต้องทำอีก”
“กลัวอะไรกันล่ะ กังวลว่าอาตมาจะกินเจ้าจริงๆ น่ะเหรอ?” เม่ยจีทำสีหน้าหยอกเย้า
“พระโพธิสัตว์พูดติดตลกแล้ว หนิวไม่คุ้นชินกับกรล้อเล่นอย่างนี้ ขอตัวลา!” พอกุมหมัดคารวะแล้ว เหมียวอี้ก็หันตัวเดินออกมาอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
เม่ยจีมองแผ่นหลังของเขาพลางหัวเราะ “เจ้ามาสืบไม่ใช่เหรอว่าพระอรหันต์ตัวลี่ถูกจับหรือยัง?”
เหมียวอี้หยุดฝีเท้า แล้วพึมพำในใจว่า อย่าบอกนะว่าพระอรหันต์ตัวลี่นั่นถูกจับแล้วจริงๆ? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ยุ่งยากนิดหน่อย เขาหันตัวมาช้าๆ แล้วถามว่า “พระโพธิสัตว์หมายความว่า ได้ข่าวของพระอรหันต์ตัวลี่แล้วเหรอ?”
เม่ยจีก้าวเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ “ตอนนี้ยังไม่ถูกจับ ทางจี้คงทนตอบคำถามนายท่านซ้ำไปซ้ำมาไม่ไหวแล้วจริงๆ ถ้าถูกจับเมื่อไร อาตมาจะติดต่อนายท่านหนิวมาทันที”
“ขอบคุณพระโพธิสัตว์ที่เตือน” เหมียวอี้ประนมมือทำความเคารพ ไม่อยากพัวพันกับผู้หญิงที่มีใจคิดไม่ซื่อคนนี้ เรื่องที่ควรต้องไปหาจี้คงก็ยังต้องไปหาจี้คง จึงหันตัวเดินออกไปอีกครั้ง ท่าทีดูไม่ค่อยเกรงใจสักเท่าไร และแน่ใจด้วยว่าอีกฝ่ายไม่กล้าทำอะไรตน
เม่ยจีหรี่ดวงตางาม ถ้าจะบอกว่าไม่โมโหเลยสักนิดก็แปลว่าโกหกแล้ว แต่ฐานะลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วของอีกฝ่ายก็เห็นๆ กันอยู่…นางจึงหัวเราะคิกคักต่อไป “นายท่านหนิวรีบไปรีบมาขนาดนี้ ถ้าเรื่องแพร่ออกไป คนจะไม่คิดว่าอาตมาต้อนรับแขกไม่ดีหรอกเหรอ ไม่ทราบว่านายท่านเคยได้ยินระบำมารสวรรค์หรือเปล่า? ระบำมารสวรรค์ของสำนักหลัวช่าคือสิ่งที่บุรุษโปรดปรานที่สุด โดยทั่วไปไม่แสดงให้คนทางโลกดูหรอกนะ นายท่านหนิวไม่อยากชมสักหน่อยเหรอ?”
ระบำมารสวรรค์? เหมียวอี้ที่เตรียมจะยื่นมือไปผลักประตูต้องหยุดชะงักอีกครั้ง อวิ๋นจือชิวก็เต้นระบำมารสวรรค์ได้เหมือนกัน แต่จนใจที่ไม่เคยเต้นให้เขาดูมาก่อนเลย เพียงแต่ไม่รู้ว่าระบำมารสวรรค์นี้จะเป็นระบำมารสวรรค์เดียวกันหรือเปล่า?
เขาหันกลับมาดูการแต่งตัวที่วาบหวิวของเม่ยจีอีกครั้ง จึงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงการแต่งตัวของอวิ๋นจือชิวในปีนั้น ถึงแม้นางจะไม่ได้แต่งตัววาบหวิวขนาดนี้ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้คนในสังคมแตกตื่นได้
รอยยิ้มบนใบหน้าเม่ยจีเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ นึกว่าทำให้เหมียวอี้หวั่นไหวได้แล้ว
ทว่าเหมียวอี้มีความคิดอีกอย่างหนึ่ง ถึงแม้จะอยากเห็นมากว่าระบำมารสวรรค์หน้าตาเป็นอย่างไร แต่ก็เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้มีเจตนาอื่นแอบแฝง เขาไม่อยากตกอยู่ในจังหวะการควบคุมของผู้หญิงคนนี้ จึงใช้สองมือดึงประตูใหญ่ออก
เม่ยจีสีหน้าอึมครึมลง จู่ๆ น้ำเสียงก็ทุ้มต่ำลง “เหมือนนายท่านหนิวจะสนใจสำนักหนานอู๋มากเชียวนะ!”
เหมียวอี้หัวใจกระตุกวูบทันที แต่กลับทำเหมือนไม่สะทกสะท้าน แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ ได้แต่หันหลังให้อีกฝ่าย เดินก้าวยาวออกไปแล้ว
เม่ยจีที่ยืนอยู่กับที่หรี่ตามองโดยไม่พูดอะไร ในร่องตาเป็นประกายวูบไหว
ชางหงที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงตีนบันไดลุกขึ้น เดินมาข้างหลังนางแล้วถามว่า “พระโพธิสัตว์ เหตุใดท่านจึงเปิดเผยไปตรงๆ จะไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นหรือคะ?”
เม่ยจีกล่าวว่า “เขามีอ๋องสวรรค์โค่วหนุนหลัง บวกกับตอนนี้เขาถูกอำนาจหลายฝ่ายจับจ้อง แม้แต่พุทธะหน้าหยกยังไม่สะดวกจะใช้วิธีการแข็งกร้าวกับเขาเลย แล้วพวกเราก็ยังคลำหาเบาะแสของเขาไม่เจอเลย ถ้าไม่แหวกหญ้าให้เขาเคลื่อนไหวสักหน่อย พวกเราจะตัดสินจุดประสงค์ที่แท้จริงในการไปดาวพิษของเขาได้ยังไง พุทธะหน้าหยกให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้ข้ามาที่ตลาดผีด้วยตัวเอง มีหรือที่ข้าจะรออยู่ที่นี่เฉยๆ ได้”
“พระโพธิสัตว์ แล้วขั้นต่อไปจะทำยังไงคะ?” ชางหงถาม
เม่ยจีหรี่ตา “ต้องรู้ทุกการเคลื่อนไหวของเขา ถ้าอยากจะรู้ถึงความเคลื่อนไหวของเขา ก็ต้องเข้าใกล้เขา…”
พอออกจากวัดพระกษิติครรภ์แล้ว เหมียวอี้ก็ดำน้ำกลับมาที่จวนแม่ทัพภาค เรื่องแรกที่ทำก็คือติดต่อกับอวิ๋นจือชิว ถามว่าเรื่องระบำมารสวรรค์เป็นอย่างไรกันแน่
อวิ๋นจือชิวแปลกใจ : เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม?
เหมียวอี้เล่าเรื่องตอนเจอเม่ยจีที่วัดพระกษิติครรภ์ให้ฟังคร่าวๆ ทันที แต่อวิ๋นจือชิวก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าระบำมารสวรรค์ที่ตัวเองฝึกเกี่ยวข้องกับระบำมารสวรรค์ของสำนักหลัวช่าหรือเปล่า นางได้รับถ่ายทอดมาจากอนุภรรยาคนหนึ่งของอวิ๋นอ้าวเทียน นางเคยถามที่มาของระบำมารสวรรค์กับท่านย่าบุญธรรมแล้ว ท่านย่าบุญธรรมรู้เพียงว่าได้รับถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ ไม่เคยบอกว่าเกี่ยวข้องกับพิภพใหญ่
เหมียวอี้ : ถ้าอย่างนั้น ระบำมารสวรรค์ที่เจ้าฝึกเป็นยังไงกันแน่?
อวิ๋นจือชิว : จะเป็นยังไงได้ล่ะ ก็เป็นแค่ระบำที่เอาไว้ยั่วยวนผู้ชายก็เท่านั้นเอง ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือทักษะการยั่วยวนประเภทหนึ่ง ตามที่ท่านย่าบุญธรรมข้าบอกมา เมื่อได้ปลุกปั่นผู้ชายแล้ว ผู้ชายก็จะอดใจไม่ไหวกับผู้ที่เต้นระบำ ถึงข้าจะไม่รู้ว่าระบำมารสวรรค์ของเม่ยจีนั่นเป็นยังไง แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่บอกหรอกว่าเป็นสิ่งที่ผู้ชายโปรดปรานที่สุด เจ้าระวังตัวไว้หน่อยนะ อย่าไปติดกับดักโดยไม่รู้ตัว!
เหมียวอี้แปลกใจแล้ว : ตามที่ท่านย่าบุญธรรมเจ้าบอกเหรอ? อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เคยเห็นให้ผู้ชายคนอื่นดู…ข้าหมายถึงว่า ตอนที่เจ้าฝึกก็ต้องมีคู่ฝึกสิ ไม่อย่างนั้นจะรู้ผลลัพธ์ได้ยังไง?
อวิ๋นจือชิวอับอายจนหงุดหงิด : ไปตายซะ!
แต่จากนั้นก็สงบสติอารมณ์ แล้วตอบว่า : ตอนฝึกระบำมารสวรรค์ก็ต้องหาผู้ชายมาพิสูจน์อยู่แล้ว ตอนนั้นล้วนเป็นท่านย่าบุญธรรมที่หาคนพิสูจน์มาให้ เมื่อเห็นว่าได้ผล หลังจากฝ่ายที่ถูกยั่วยวนหลงใหลจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ พวกเขาก็จะถูกท่านย่าบุญธรรมฆ่าทิ้ง ไม่ใช่แค่คนที่ถูกยั่วยวนนะ แต่ผู้ชายคนไหนที่เคยเห็นข้าเต้นระบำนี้ ก็จะถูกท่านย่าบุญธรรมฆ่าทิ้งหมด ดังนั้นข้าจึงเคยเห็นผลลัพธ์แค่เวลาสั้นๆ ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นแล้ว คนที่ถูกข้ายั่วยวนจะอดใจไม่ไหวกับข้าจริงๆ หรือเปล่า แต่ในเมื่อท่านย่าบุญธรรมบอกอย่างนั้น ในฐานะที่ท่านเคยผ่านประสบการณ์มาก่อน ก็น่าจะไม่ผิดแน่
เหมียวอี้สงสัยว่าระบำมารสวรรค์ที่อวิ๋นจือชิวฝึกจะเกี่ยวข้องกับพิภพใหญ่ ขนาดหกเคล็ดวิชาพิเศษยังไปถึงพิภพเล็กได้เลย อาจจะเป็นประเภทเดียวกันจริงๆ เขาจึงทำความเข้าใจมากขึ้นเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด จึงถามอีกว่า : หลังจากถูกระบำมารสวรรค์ยั่วยวนแล้ว จะมีวิธีแก้หรือเปล่า?
อวิ๋นจือชิว : เรื่องนี้แก้ไม่ยากหรอก มีหลายวิธีที่จะแก้เสน่ห์นี้ได้ คนที่ใช้ทักษะนี้สามารถระบำย้อนเพื่อแก้ไข ผู้ที่ถูกยั่วยวนให้ตกใจเกินไปก็สามารถแก้ไขได้เช่นกัน หรือไม่ก็จับคนยั่วกับคนถูกยั่วให้แยกจากกันเป็นเวลานาน เมื่อเวลานานไปก็ย่อมแก้ได้เอง…หนิวเอ้อร์ ในเมื่อพูดถึงตรงนี้แล้ว มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าสงสัยมาตลอด เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดกับเจ้าหรือเปล่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเฟิงเสวียน
จู่ๆ ก็ดึงมาถึงประเด็นนี้ เหมียวอี้เดาออกทันทีว่านางต้องการจะพูดอะไร เขาถามด้วยสีหน้าที่แย่นิดหน่อย : เจ้าคงไม่ได้จะบอกใช่มั้ย ว่าเจ้าเคยเต้นระบำมารสวรรค์ให้เขาดู?
อวิ๋นจือชิว : ใช่! ข้ารับรองกับเจ้าได้เลย ว่าข้าไม่เคยเต้นระบำมารสวรรค์ให้เขาดูจริงๆ แต่ตอนหลังข้าก็สงสัยนิดหน่อย เพราะข้ากับเฟิงเสวียนเจอกันครั้งแรกที่ทะเลทรายท่านเมฆา ตอนนั้นข้าเต้นระบำภายใต้แสงจันทร์อยู่ลำพังกลางทะเลทราย หลังจากเต้นเสร็จแล้ว ระหว่างทางกลับก็บังเอิญเจอเฟิงเสวียน…และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เฟิงเสวียนก็ตามจีบข้าอย่างบ้าคลั่งมาตลอด ตอนหลังที่เฟิงเสวียนถูกขังที่นภาแดนมาร ตอนข้าผิดหวังกับปฏิกิริยาของเขาอย่างต่อเนื่อง ข้าก็เริ่มสงสัยอะไรบางอย่างเหมือนกัน ที่จริงแล้วเขาเป็นคนขี้ขลาดกลัวตายมาก ทำไมถึงกล้ามาตามจีบข้าทั้งๆ ที่รู้ว่าภูมิหลังข้าเป็นยังไงล่ะ? ข้าก็เลยนึกขึ้นได้ถึงวันแรกที่เจอกัน ข้าสงสัยมาตลอดว่าก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นข้าเต้นที่กลางทะเลทรายแล้วถูกระบำมารสวรรค์ยั่วยวนหรือเปล่า?
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า : เจ้ามาพูดตอนนี้มีความหมายอะไรล่ะ?
อวิ๋นจือชิว : นี่เป็นความสงสัยของข้าเท่านั้นเอง พอพูดถึงเรื่องนี้ข้าก็ไม่อยากปิดบังอะไรเจ้า แล้วข้าก็อยากจะถือโอกาสถามเจ้าเรื่องหนึ่งเหมือนกัน…หนิวเอ้อร์ ข้าต้องการได้ยินความคิดที่แท้จริงในใจเจ้า เจ้าถือสาเรื่องในอดีตช่วงนั้นระหว่างข้ากับเฟิงเสวียนหรือเปล่า? พูดความจริงมานะ อย่าหลอกข้า! เรื่องอื่นเจ้าหลอกข้าได้ แต่เรื่องนี้เจ้าหลอกข้าไม่ได้จริงๆ!
เหมียวอี้เงียบไปนานถึงได้ตอบกลับ : ก็มีทั้งถือสาและไม่ถือสา ที่ไม่ถือสาก็เพราะเจ้ายังไม่ได้เสียความบริสุทธิ์ให้เขา ส่วนเรื่องที่ข้าถือ! ไม่ใช่เพราะเรื่องในอดีตช่วงนั้นระหว่างเจ้ากับเฟิงเสวียนหรอก แต่เป็นเพราะตัวเจ้าในอดีตกับตัวเจ้าหลังจากมาอยู่ที่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุไม่เหมือนกันแน่นอน ตัวเจ้าในอดีตไม่มีทางมานั่งดื่มสุราดูพระอาทิตย์ตกดินคนเดียวบนหลังคาแน่นอน ตอนที่เจ้ายังสดใสอ่อนเยาว์ที่สุดเจ้าไม่ได้อยู่กับข้า ต่อให้ข้าจะอยู่กับเจ้าไปทั้งชีวิตได้ แต่ทั้งชีวิตนี้ข้าก็ไม่มีวันได้โอกาสอยู่กับน้องชิวผู้อ่อนเยาว์สดใสคนนั้นเลย นี่คือเรื่องที่น่าเสียดายในชีวิตเหมียวอี้ และเฟิงเสวียนก็โชคดีมาเจอก่อน! แต่ข้าก็ไม่โทษเจ้าหรอก ตอนนั้นข้าอยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้เลย ไม่ว่าใครก็ไม่อาจขอให้เจ้ารอคอยคนที่อีกหลายหมื่นปีหลังจะเกิดขึ้นมาบนโลกนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้!
อวิ๋นจือชิวที่กำลังอยู่ในห้องกำระฆังดาราแน่นไว้ตรงอก นางกัดริมฝีปากแน่นจนห้อเลือด น้ำตาสองสายไหลอาบแก้มอย่างเงียบๆ สุดท้ายก็เขย่าระฆังดาราตอบ : หนิวเอ้อร์ ขอบใจนะที่เจ้าพูดความจริงจากใจ บางทีเฟิงเสวียนอาจจะเคยเห็นข้าเต้นระบำมารสวรรค์ แต่ข้ายังไม่อยากเต้นให้เจ้าดู ไม่ใช่ว่าข้าเห็ต้นให้เจ้าดูไม่ได้ แต่ข้าไม่อยากเต้นให้เจ้าดู เจ้าเข้าใจสิ่งที่ข้าพูดมั้ย?
เหมียวอี้ตอบว่า : ก่อนหน้านี้ไม่เข้าใจ นึกว่าเจ้าหลอกให้ข้าอยากเฉยๆ ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าระบำมารสวรรค์คือวิชายั่วยวนใจคน…ข้าเข้าใจแล้ว! น้องชิว ก็อย่างที่ข้าเคยบอก ทั้งชีวิตนี้ไม่มีผู้หญิงคนไหนแทนที่ตำแหน่งของเจ้าในใจข้าได้
หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จ อวิ๋นจือชิวก็น้ำตาไหลพรากล้มลงเตียง นางเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น แล้วก็ค่อยๆ เอาหน้าซุกผ้าห่มกรีดร้องคร่ำครวญ ร้องไห้เหมือนจะขาดใจ…
ส่วนเหมียวอี้ที่อยู่ในตลาดผีก็มองไปนอกหน้าต่างแล้วถอนหายใจ ก่อนจะหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อจินม่านที่อยู่แดนอเวจี
จินม่านได้ยินแล้วถามอย่างแปลกใจ : ระบำมารสวรรค์? ระบำมารสวรรค์ของอวี้หลัวช่าเหรอ?
เหมียวอี้ : ใช่แล้ว!
จินม่าน : ระบำมารสวรรค์เป็นวิชายั่วยวน ส่วนรายละเอียดข้าก็ไม่รู้หรอก เพราะข้ายังไม่เคยพบเจอมาก่อน แต่ว่ากันว่าแรกเริ่มระบำมารสวรรค์มาจากสำนักหนานอู๋ สำนักหนานอู๋ใช้วิชานี้กับศิษย์สำนักพุทธที่ต้องผ่านด่านจิตมารตอนฝึกบำเพ็ญ ข้าก็ไม่รู้แน่ชัดว่าจริงหรือเท็จ
สำนักหนานอู๋? เหมียวอี้รีบถาม : อย่าบอกนะว่าพุทธะหน้าหยกนั่นออกมาจากสำนักหนานอู๋?
จินม่าน : ไม่แน่ใจ ตามหลักแล้วศิษย์สำนักหนานอู๋ในปีนั้นน่าจะถูกพระปีศาจหนานโปฆ่าตายหมดแล้ว แต่ในปีนั้นสำนักหนานอู๋มีศิษย์เยอะมาก เป็นไปได้ว่าจะมีปลาลอดแห ถ้าคำนวณตามเวลา เรื่องที่อวี้หลัวช่ามาจากสำนักหนานอู๋ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ คงจะเกี่ยวข้องกับสำนักหนานอู๋ก่อนที่สำนักจะถูกกวาดล้างก็ได้
บทที่ 1657 สมบัติที่สำนักหนานอู๋
ในตอนแรก เหมียวอี้ก็แค่อยากจะทำความเข้าใจเรื่องระบำมารสวรรค์ว่าเป็นอย่างไรกันแน่ ใครจะคิดว่าจะได้รู้เรื่องสำนักหนานอู๋จากปากจินม่านอีก
ก่อนหน้านี้เม่ยจีเอ่ยถึง ‘สำนักหนานอู๋’ เขาก็ยังนึกว่าตัวเองทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้ตอนปัดกวาดซากสำนักหนานอู๋ ตอนนี้พบว่าสำนักหลัวช่าอาจจะเกี่ยวข้องกับสำนักหนานอู๋ ก็ทำให้เขาต้องสงสัยว่าคำพูดนั้นของเม่ยจีมีความหมายล้ำลึกอีกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ตรงหน้าเหมียวอี้ก็มีเรื่องที่ต้องรับมือ ยังไม่อยากไปเกี่ยวข้องอะไรกับเม่ยจี ในสถานการณ์ปกติแดนสุขาวดีกับตำหนักสวรรค์จะไม่เกี่ยวข้องกัน คาดว่าอีกฝ่ายคงไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้วเช่นกัน เขาไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้ตัวเองมากกว่านี้
แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่สนใจใยดีทางนั้นเลย เขาสั่งให้หยางเจาชิงแอบเตรียมคนให้ไปจับตาดูทางวัดพระกษิติครรภ์ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ ถ้ามีความผิดปกติก็ให้รายงานทันที
ทางนี้เพิ่งจะกำชับลงไปได้ไม่นาน หยางชิ่งก็เป็นฝ่ายติดต่อมาซักถามเขาก่อนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมถึงสั่งจับตาดูทางวัดพระกษิติครรภ์
แค่ได้ยินเหมียวอี้ก็รู้แล้วว่าหยางเจาชิงบอกหยางชิ่ง เขารู้สึกโมโหนิดหน่อย ทว่าไม่นานก็เปลี่ยนความคิด เพราะนี่คือสิ่งที่เขาตอบตกลงไว้แล้วในตอนแรก รับปากหยางชิ่งไว้แล้วว่าสามารถจับตาดูความเคลื่อนไหวทางนี้ได้ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นหยางเจาชิงก็คงไม่ทำอย่างนี้หรอก คิดไปคิดมาก็เล่าเรื่องที่เม่ยจีมาวัดพระกษิติครรภ์ให้หยางชิ่งรู้ แต่เรื่องบางเรื่องก็ยังต้องปิดบังไว้ ย่อมไม่บอกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับซากสำนักหนานอู๋ ความลับที่เกี่ยวกับจุดซ่อนสมบัติ บอกเพียงว่าเม่ยจีอาจจะอยากมาล้างความอัปยศ
ข้ออ้างนี้หยางชิ่งจะเชื่อหรือไม่ก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าหลังจากหยางชิ่งรู้สาเหตุที่จับตาดูแลววัดพระกษิติครรภ์แล้วก็ไม่ถามอะไรมากอีก
ตลาดผี มีเรือแล่นสัญจรไปมา ใต้ผิวทะเลสาบที่คลื่นสะท้อนแสงระยิบระยับซ่อนความลับเอาไว้มากแค่ไหนก็ไม่มีใครรู้
บนถนน ชายเคราหยิกคนหนึ่งเลี้ยวเข้ามาในซอย พอมาถึงทางน้ำที่อยู่ปลายทางก็สังเกตการณ์โดยรอบครู่หนึ่ง พอเห็นว่าไม่มีใครสนใจ ก็รีบถลันตัวเข้ามาในทางน้ำ แล้วผ่านมากลางทะเลสาบเพื่อดำน้ำต่อไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อมาถึงกลางทาง จู่ๆ ตรงก้นทะเลสาบขมุกขมัวก็มีเงาคนคนหนึ่งพุ่งเข้ามา ชายเคราหยิกยังไม่ทันได้รู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร ก็ถูกก่อกวนจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว
รอจนกระทั่งเขาโผล่ศีรษะขึ้นสู่ผิวน้ำ ก็ได้กลายเป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งที่ผมเปียกยาวสยายคลุมบ่าแล้ว ข้างกายมีหน้ากากของชายเคราหยิกลอยขึ้นมา
ผู้หญิงสวยมองไปรอบๆ ไม่รู้แล้วว่าคนที่ลอบจู่โจมตนไปไหนแล้ว นางพลันก้มหน้ามองหน้าอกตัวเอง เสื้อผ้าถูกดึงออกจนเผยหน้าอกขาวอวบอิ่มออกมาครึ่งหนึ่งแล้ว พอดึงเสื้อขึ้นมาปิดหน้าอก สายตาก็ไปหยุดอยู่บนข้อมืออย่างงุนงง นางรีบยกข้อมือขึ้นมาดู พบว่ากำไลเก็บสมบัติได้หายไปแล้ว
ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนปล้น! ผู้หญิงสวยทุบหมัดบนผิวน้ำอย่างโมโห
ทว่าเรื่องแบบนี้พบเจอได้บ่อยมากที่ตลาดผี ปลาใหญ่กินปลาเล็กคือเรื่องปกติมาก ตอนนี้ไม่รู้แม้กระทั่งว่าคนที่ปล้นนางหายไปไหนแล้ว จะไม่ให้อับจนปัญหาได้อย่างไร? แต่การที่อีกฝ่ายปล้นโดนไม่ฆ่าก็นับว่าเป็นโชคดีของนางแล้ว เพราะศพที่ลอยเกลื่อนบนผิวทะเลสายที่ตลาดผีเป็นเรื่องปกติมาก
หลังจากหงุดหงิดในความอับจนปัญญา นางก็คว้าหน้ากากชายเคราหยิกที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ แล้วดำน้ำจากไปอย่างรวดเร็ว
บนชั้นกลางของตึกศาลาสัตยพรต ชีเจวี๋ยเดินสาวเท้ามาเคาะประตูห้องเฉาหม่าน
“เถ้าแก่!” เขาเข้าประตูมาทำความเคารพ
เฉาหม่านกำลังนั่งพลิกอ่านแผ่นหยกอยู่หลังโต๊ะยาวตอบ “อืม”
ชีเจวี๋ยเดินเข้ามาใกล้หน้าโต๊ะยาว แล้วรายงานว่า “สืบรู้ประวัติคนที่จับตาดูจวนแม่ทัพภาคตลาดผีช่วงนี้แล้ว เกรงว่าเถ้าแก่คงคิดไม่ถึงเช่นกันว่าเป็นใคร”
“อ้อ!” เฉาหม่านเงยหน้า แล้วถามอย่างสนใจ “อย่าบอกนะว่าเป็นคนของบรรดาตระกูลที่อาจจะลงมือกับหนิวโหย่วเต๋อ?”
“ไม่ใช่ขอรับ เป็นคนของแดนสุขาวดี” ชีเจวี๋ยส่ายหน้า
“แดนสุขาวดี?” เฉาหม่านตกตะลึงนิดหน่อย วางแผ่นหยกในมือลงแล้วถามว่า “ทำไมถึงเป็นคนของแดนสุขาวดีได้? คนของแดนสุขาวดีจะจับตาดูหนิวโหย่วเต๋อทำไม?”
ชีเจวี๋ยตอบว่า “สาเหตุที่จับตาดูนั้นไม่ทราบแน่ชัด หลังจากพบว่ามี ‘คนกลุ่มหนึ่ง’ จับจ้องจวนแม่ทัพภาค ฝั่งพวกเราก็เฝ้าจับตาดูทันที ตอนหลังถึงได้พบว่าอีกฝ่ายมีการไปมาหาสู่กับทางวัดพระกษิติครรภ์ แค่เกี่ยวข้องกับแดนสุขาวดีก็เหลือเชื่อมากแล้ว ใครจะไปคาดคิดว่า หลังจากหาทางยืนยันแล้วถึงได้พบว่าเป็นคนของสำนักหลัวช่า และตามที่สายลับวัดพระกษิติครรภ์รายงานมา อุโบสถที่ใช้รับแขกผู้มีเกียรติของวัดพระกษิติครรภ์ก็ไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้แล้ว หนิวโหย่วเต๋อเคยเข้าไปแล้วครั้งหนึ่ง จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่า คงจะมีบุคคลฐานะสูงส่งอะไรสักอย่างมาที่วัดพระกษิติครรภ์ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นตัวละครสำคัญของสำนักหลัวช่า”
“สำนักหลัวช่าจับตาดูหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?” เฉาหม่านแปลกใจ แล้วลุกขึ้นยืน เดินอ้อมออกมาจากโต๊ะยาว แล้วเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาพลางครุ่นคิด “หนิวโหย่วเต๋อมีเรื่องกับคนของสำนักหลัวช่าที่แดนสุขาวดี ไม่รู้ว่าท่านไหนของสำนักหลัวช่ามาที่นี่? คนที่เคยเจอกับหนิวโหย่วเต๋อทางนั้นคือเม่ยจีใช่มั้ย หรือว่าเม่ยจีจะมาแล้ว?”
“เข้าใกล้ไม่ได้ จึงไม่อาจยืนยัน หนิวโหย่วเต๋อน่าจะเคยพบแล้ว บางทีอาจจะถามหนิวโหย่วเต๋อได้ หรือไม่ก็สืบจากฝั่งแดนสุขาวดีสักหน่อย” ชีเจวี๋ยตอบ
“ยังไม่รู้ว่าระหว่างพวกเขามีอะไรในกอไผ่ ถ้าบุ่มบ่ามถามหนิวโหย่วเต๋อจะไม่เหมาะสม ข้าขอให้ทางแดนสุขาวดีช่วยตรวจสอบก็แล้วกัน” เฉาหม่านพูดจบก็หยิบระฆังดาราออกมา ไม่รู้ว่าติดต่อไปหาใคร
ชีเจวี๋ยจ้องระฆังดาราในมือเขาแวบหนึ่งแล้วเก็บสายตากลับมา คนที่รับผิดชอบข่าวอยู่ทางแดนสุขาวดีนั้นไม่รู้ว่ามีอยู่กี่กลุ่ม ก็เหมือนกับคนที่รับผิดชอบอยู่ทางตำหนักสวรรค์ที่ไม่ได้มีแค่กลุ่มของเฉาหม่านกลุ่มเดียว ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีทางรวมอำนาจไว้ในมือของคนคนเดียว การทำแบบนั้นเป็นอันตรายต่อตระกูลมากเกินไป และสำหรับตระกูลเซี่ยโห้ว เฉาหม่านก็นับว่ามีอำนาจค่อนข้างมาก รับผิดชอบอำนาจใต้ดินทั้งหมดของตระกูลเซี่ยโห้ว นับว่าเปิดเผยตัวตนได้ครึ่งหนึ่ง
ส่วนฐานะของผู้รับผิดชอบคนอื่นๆ นั้นไม่อาจเปิดเผยได้ คาดว่านอกจากบุคคลที่สำคัญของที่สุดของตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว ก็ไม่น่าจะมีใครรู้ฐานะของคนพวกนั้น
และคนพวกนั้นก็ไม่ยอมรับการควบคุมจากเฉาหม่านเช่นกัน ดังนั้นชีเจวี๋ยจึงไม่รู้ชัดว่าเฉาหม่านกำลังติดต่อกับใครทางแดนสุขาวดี
สรุปก็คือ หลังจากติดต่อแล้ว เฉาหม่านก็กลับมานั่งอ่านแผ่นหยกหลังโต๊ะยาวอีกครั้ง โดยที่ชีเจวี๋ยอยู่ข้างกายอย่างเงียบๆ
รออยู่ไม่นานเท่าไรนัก เฉาหม่านก็หยิบระฆังดาราออกมารับข่าว หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว เขาก็พยักหน้าเบาๆ บอกว่า “ทางนั้นก็ยืนยันไม่ได้ว่าเม่ยจีออกมาหรือยัง บอกว่ากำลังเก็บตัวฝึกวิชา แต่คนที่มักติดตามเม่ยจีออกมาก็กำลังเก็บตัวฝึกวิชาเช่นกัน แบบนี้ไม่ค่อยปกติแล้ว สงสัยคนที่ซ่อนตัวอยู่ดพระกษิติครรภ์คงจะเป็นเม่ยจี หึหึ ผู้หญิงคนนี้จับตาดูหนิวโหย่วเต๋อซะแล้ว หมายความว่ายังไง?”
“ให้ทางแดนสุขาวดีตรวจสอบได้หรือไม่ว่าทำไมถึงจับตาดูหนิวโหย่วเต๋อ?” ชีเจวี๋ยถาม
เฉาหม่านตอบว่า “ข้าเคยเอ่ยขอแล้ว เพียงแต่เรื่องนี้ใช่ว่าใช้เวลาประเดี๋ยวเดียวแล้วจะสืบได้ ทางนั้นบอกมาว่า เม่ยจีเคยไปพบพุทธะหน้าหยก หลังจากกลับมาก็เริ่มเก็บตัวฝึกตน”
“หรือว่าได้รับความอับอายอะไรที่ดาวพิษ แล้วอยากจะมาคิดบัญชีกับหนิวโหย่วเต๋อ?” ชีเจวี๋ยถาม
เฉาหม่านโบกมือ “แบบนั้นนับว่าเป็นความอับอายอะไรล่ะ ถูกอำนาจของตระกูลโค่วข่มเหงไม่นับว่าเสียเปรียบหรอก มีผู้ชายแบบไหนบ้างที่เม่ยจีไม่เคยนอนด้วย หนังหน้าด้านมาตั้งนานแล้ว เรื่องแค่นี้ไม่ถึงขั้นใจกว้างไม่ได้หรอก แต่ประเด็นสำคัญคือนาง ‘เก็บตัวฝึกวิชา’ หลังจากไปพบพุทธะหน้าหยก ไม่น่าเชื่อว่าจะเกี่ยวข้องกับคนระดับพุทธะหน้าหยกด้วย…ไม่รู้ว่านายท่านจะมีความเห็นอย่างไร” เขาพลิกมือหยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมาติดต่อเซี่ยโห้วท่า
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เฉาหม่านก็เก็บระฆังดาราด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เถ้าแก่ เป็นอะไรไป?” ชีเจวี๋ยถามหยั่งเชิง
เฉาหม่านกล่าวเสียงต่ำ “นายท่านเตือนอะไรบางอย่างมา สาเหตุที่พระปีศาจหนานโปฆ่าล้างสำนักหนานอู๋ในปีนั้น การล้างแค้นเป็นเพียงเหตุผลหนึ่ง แต่สาเหตุที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เหมือนสำนักหนานอู๋จะมีบางสิ่งที่สามารถสยบพระปีศาจหนานโปได้ มีข่าวแว่วมาว่าสำนักหนานอู๋เหมือนจะมีห้องซ่อนสมบัติอะไรสักอย่าง เพียงแต่พระปีศาจหนานโปหาเท่าไรก็หาไม่เจอ ตระกูลเซี่ยโห้วเครียดกับเรื่องนี้มาก ทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงว่าพุทธะหน้าหยกอาจเป็นผู้รอดชีวิตจากสำนักหนานอู๋ ตอนที่หนิวโหย่วเต๋อมีเรื่องกับสำนักหลัวช่าที่แดนสุขาวดี ก็เกี่ยวข้องกับการขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัวอะไรสักอย่าง ตอนนี้ก็เม่ยจีก็อาจจะได้รับคำสั่งจากพุทธะหน้าหยกให้มาจับตาดูหนิวโหย่วเต๋อก็ได้ เมื่อนำเรื่องพวกนี้มาเชื่อมโยงกัน นายท่านสงสัยว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับสมบัติในสำนักหนานอู๋ตามข่าวลือในปีนั้น ให้พวกเราเฝ้าสังเกตการณ์เอาไว้”
ชีเจวี๋ยจัดระเบียบความคิดครู่หรึ่ง แล้วถามอย่างฉงนใจ “ถ้าสำนักหนานอู๋มีของที่ใช้ควบคุมพระปีศาจหนานโปได้จริงๆ ก็น่าจะนำมาสู้กับพระปีศาจหนานโปตั้งแต่แรกแล้วสิขอรับ จะถึงขั้นถูกล้างสำนักเหรอ? เรื่องนี้มีจุดไหนที่ลือกันผิดพลาดหรือเปล่าขอรับ?”
เฉาหม่านพยักหน้า “เหมือนที่เจ้าบอก นายท่านก็รู้สึกว่ามีจุดที่ไม่สอดคล้องเช่นกัน เพียงแต่เรื่องที่สำนักหลัวช่ากำลังจับตาดูหนิวโหย่วเต๋อตอนนี้ค่อนข้างแปลก ทำให้นายท่านต้องนึกเชื่อมโยงไปสักหน่อย ก็เป็นเพราะไม่มีทางยืนยันได้นี่แหละ นายท่านจึงทำได้เพียงให้พวกเราเฝ้าสังเกตการณ์ไว้”
“บ่าวจะไปดำเนินการเดี๋ยวนี้ขอรับ” ชีเจวี๋ยพยักหน้า
เฉาหม่านเอามือลูบคางหัวเราะ “น่าสนใจ! แม้แต่แดนพุทธก็เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว หนิวโหย่วเต๋อนี่ยิ่งนับวันก็ยิ่งน่าสนใจมากขึ้น…”
“อ้าว! คุณชายชี ไม่ได้เจอท่านมานานแล้วนะ”
เมื่อเรือในอุโมงค์น้ำเทียบฝั่ง เหมียวอี้เดินออกจากห้องโดยสารเรือแล้วเห็นชีเจวี๋ยมาต้อนรับด้วยตนเอง ก็กุมหมัดคารวะอย่างร่าเริงทันที
“บ่าวยุ่งอยู่กับงาน นายท่านหนิวให้เกียรติกันเกินไปแล้ว” ชีเจวี๋ยกุมหมัดคารวะตอบ แล้วหลีกทางยื่นมือเชิญ เขาชำเลืองมองสวีถังหรานที่ตามหลังมาแวบหนึ่ง ก่อนหน้านี้มีแต่เหยียนซิวที่ติดตามอยู่ข้างกายเหมียวอี้ แต่ตอนนี้เปลี่ยนคนแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะมองสองครั้ง
สวีถังหรานได้ติดตามเหมียวอี้มาที่นี่เป็นครั้งแรก เขาเหลียวซ้ายแลขวาตลอดทาง ประกอบกับหน้าตาโดยธรรมชาติ ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นโจรอยู่หลายส่วน แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดีอะไร
ตามธรรมเนียมเดิม บางสถานที่ไม่ใช่ว่าเขาจะเข้าไปได้ ทำได้เพียงรอคอย ยืนอยู่นอกทางเดินและมองส่งเหมียวอี้เดินจากไป
ในโถงรับแขก หลังจากเจ้าบ้านกับแขกนั่งลงและทักทายกันตามมารยาทแล้ว เฉาหม่านที่ยกถ้วยจิบน้ำชาเนิบๆ ก็เอียงหน้าบอกใบ้
ชีเจวี๋ยก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ผลักแผ่นหยกแผ่นหนึ่งมาตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นี่คือสถานที่และเวลาปรากฏตัวของผู้ต้องหากลุ่มสุดท้ายขอรับ”
เหมียวอี้หยิบขึ้นมาอ่าน แล้วพูดเย้ยตัวเอง “ดูเหมือนวันดีๆ ของข้ากำลังจะจบสิ้นแล้ว”
“เหตุใดต้องกลัว นายท่านออกจะหน้าใหญ่” เฉาหม่านเป่าไอร้อนของน้ำชา แล้วกล่าวอย่างผ่อนคลายสบายใจ “ยกตัวอย่างเช่นสำนักหลัวช่าส่งคนจำนวนหนึ่งมาเฝ้าอยู่นอกจวนแม่ทัพภาค ก็ไม่ใช่ว่ากำลังปกป้องนายท่านหรอกเหรอ?”
เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย สำนักหลัวช่าจับตาดูตนแล้ว แต่ตนกลับไม่รู้ตัวสักหน่อยเลยเหรอ? คิดจะทำอะไรกันแน่? อย่าบอกนะว่ากล้าทำซี้ซั้วที่ฝั่งตำหนักสวรรค์?
พอชำเลืองมองปฏิกิริยาของเหมียวอี้แวบหนึ่ง เฉาหม่านก็กล่าวด้วยรอยยิ้มอีกว่า “อย่าบอกนะว่านายท่านไม่รู้? นายท่านไปเจอกับเม่ยจีที่วัดพระกษิติครรภ์มาแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เหมียวอี้เหลือบตามอง นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรู้แม้กระทั่งเรื่องนี้ เขาเคยเห็นท่าทีของจี้คงที่รักษาความลับอย่างเข้มงวดมาแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาบังพร้อมยิ้มเจื่อน “โลกนี้มีเรื่องอะไรบ้างที่ตึกศาลาสัตยพรตไม่รู้?”
เมื่อได้พิสูจน์การคาดเดาแล้ว เฉาหม่านก็ยิ้มบางๆ พบว่าเป็นเม่ยจีจริงๆ ด้วย
บทที่ 1658 สนมสวรรค์ไม่พอใจหรือเปล่า
“นายท่านหนิวถ่อมตัวเกินไปแล้ว ใต้หล้ากว้างใหญ่ขนาดนี้ เรื่องที่ตึกศาลาสัตยพรตไม่รู้มีเยอะเกินไป ยกตัวอย่างเช่น ไม่รู้ว่านายท่านกับเม่ยจีคุยอะไรกัน”
เหมียวอี้สบสายตาที่สื่อความหมายล้ำลึกของอีกฝ่าย จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างจนใจทันที “ยังจะคุยอะไรได้อีกล่ะ ก็เรื่องไม่สบอารมณ์ที่เคยเกิดขึ้นที่แดนสุขาวดี นางตามมาคิดบัญชีข้า จะมาปกป้องอะไรที่ไหนกัน”
“เฮ่อๆ!” เฉาหม่านราวกับได้ฟังเรื่องราวน่าขัน พูดหยอกว่า “อย่าว่าแต่เม่ยจีเลย ต่อให้พุทธะหน้าหยกมาด้วยตัวเอง แต่ก็คงไม่กล้าหาเรื่องนายท่านในเขตตำหนักสวรรค์อย่างเปิดเผยอยู่ดี?”
“อ๋อ!” เหมียวอี้แปลกใจ “อย่าบอกนะว่าเถ้าแก่คิดว่าพวกนางมาปกป้องข้าจริงๆ?”
เฉาหม่านอมยิ้ม “เช่นนั้นก็เกรงว่าต้องถามนายท่านเองแล้ว อย่างไรเสียก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกท่านคุยอะไรกัน” พูดจบก็จิบน้ำชาอย่างเนิบช้า
ตอนออกจากตึกศาลาสัตยพรต เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารเรือก็ยังครุ่นคิดว่าคำพูดคลุมเครือของเฉาหม่านหมายความว่าอะไร เขาไม่รู้ว่าเฉาหม่านรู้อะไรมาบ้างแล้วหรือเปล่า เพียงแต่คำพูดของอีกฝ่ายก็ได้เตือนเขาแล้วเช่นกัน อย่างน้อยก็ทำให้เขารู้แล้วว่าเม่ยจีกำลังจับตาดูเขาอยู่
ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่รู้ชัดว่าเม่ยจีมีเจตนาอะไรกันแน่ แต่จะไม่ป้องกันก็ไม่ได้ พอกลับมาถึงจวนแม่ทัพภาคก็เสริมการป้องกันทันที
แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง หยางชิ่งยืนอยู่ริมหน้าผาเพียงลำพัง ผ้าคลุมปลิวพลิ้วไหวตามสายลม ระฆังดาราในถูกเก็บไปแล้ว ตอนนี้กำลังแหงนหน้ามองดวงตามเกลื่อนท้องฟ้าพลางขมวดคิ้วมุ่นเงียบๆ
หยางเจาชิงรายงานความเคลื่อนไหวทางจวนแม่ทัพภาคตลาดผีแล้ว และพอถามาสาเหตุเหมียวอี้ไป เหมียวอี้ก็บอกเพียงว่าตึกศาลาสัตยพรตเตือนมาว่ารู้แล้วว่าสำนักหลัวช่ากำลังจับตาดูเหมียวอี้อยู่ ส่วนสาเหตุว่าจับตาดูทำไม เหมียวอี้ไม่ยอมบอกความจริง ไม่มีทางที่เหมียวอี้จะบอกเขาเรื่องซากสำนักหนานอู๋
และหยางชิ่งก็รู้เช่นกันว่าเหมียวอี้จะต้องมีเรื่องบางอย่างปิดบังเขาอยู่แน่นอน ถึงแม้จะจนปัญญาแต่เขาเองก็เข้าใจ ไม่ว่าใครก็ไม่อยากบอกความลับกับภายนอกทั้งนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น เหมียวอี้ก็เปลี่ยนแปลงท่าทีต่อหยางชิ่งไปเยอะแล้ว แสดงความเชื่อมั่นเป็นอย่างมาก เขาไม่อาจเรียกร้องให้คนที่ดิ้นรนอยู่บนคาบเส้นความตายมาเนิ่นนานอย่างเหมียวอี้ไม่ป้องกันอะไรเขาเลย ดังนั้นเขาจึงกำลังครุ่นคิดว่าจะต้องปรับทัศนคติตัวเอง จะเรียกร้องให้เหมียวอี้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ เพราะแบบนั้นไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง นั่นจะทำให้ความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายลึกลงกว่าเดิมได้ง่าย เขาจะต้องอาศัยท่าทีที่สอดคล้องกับความจริงมาพิจารณาและเผชิญหน้ากับความสัมพันธ์ระหว่างกัน หาวิธีการจัดการเรื่องนี้อย่างสมดุล
เพียงแต่เมื่อเป็นอย่างนี้ เขาก็จะต้องใช้พลังความคิดและสมาธิเยอะมากแน่นอน
จินม่านสวมชุดกระโปรงยาวสีทองบนเรือนร่างที่อ่อนช้อยงดงาม ใบหน้างดงามภูมิฐานทั้งยังดูสูงส่ง นางเดินมายืนอยู่ข้างกายหยางชิ่งเงียบๆ ตอนนี้กำลังเอียงหน้ามองประเมินหยางชิ่ง
จากคิ้วที่ขมวดมุ่นของหยางชิ่งก็มองออกแล้วว่าเขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างจนใจลอย ถึงขั้นไม่ได้สังเกตเห็นว่านางมาถึงแล้ว
ดวงตางามหยุดนิ่งอยู่บนขมับที่มีผมขาวแซมของหยางชิ่ง
แม้หยางชิ่งจะมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน แต่ความเปลี่ยนแปลงบนร่างกายหยางชิ่งก็เห็นชัดเจนเกินไป ริ้วรอยแห่งวัยที่เกิดขึ้นเนื่องจากใช้สมองทำงานหนักแบบนั้นทำให้นางอดสะเทือนใจไม่ได้ นี่คือนักพรตเหรอ? นางแอบสังเกตโดยไม่รู้ตัว เมื่อสังเกตมาเนิ่นนานก็นึกไม่ถึงว่าจะค้นพบอะไรอย่าง นางพบว่ายามผู้ชายคนนี้ใช้ความคิด บนตัวเขาก็เกิดเสน่ห์เฉพาะตัวบางอย่างที่นางอธิบายไม่ถูก เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวไร้การเสแสร้งที่แฝงเร้นอยู่ในความล้ำลึกและเอาจริงเอาจังของเขา
บางครั้งก็จะเห็นเขาเงยหน้ามองใบไม้เงียบๆ อยู่ใต้ต้นไม้นานมาก บางครั้งก็จะเห็นเขายืนอยู่หน้ากระถางดอกไม้แล้วยื่นมือไปสัมผัสกลีบดอกไม้ค้างไว้ บางครั้งก็จะเห็นเขาเอามือไขว้หลังมองฟ้าโดยไม่พูดอะไร…ที่นี่เหมือนจะทิ้งเงาร่างอันเงียบงันของเขาเอาไว้ทุกจุด ทุกที่ล้วนทิ้งร่องรอยความคิดของเขาเอาไว้ ความเอาจริงเอาจังที่สลักลึกอยู่ในใจ ทำให้ทุกคนที่นี่แทบจะไม่กล้ามารบกวนเขายามอยู่ในสภาวะนี้
บางครั้งที่มองเขาจากที่ไกลๆ จินม่านก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดชายคนนี้จึงจมอยู่ในความล้ำลึกไร้ขอบเขตอยู่เสมอ ความล้ำลึกแบบนั้นถึงขั้นทำให้สายตาของคนที่กำลังมองเขาล้ำลึกตามไปด้วย ถูกเขาดึงดูดจนละสายตาไม่ได้โดยไม่รู้ตัว
จินม่านไม่รู้ว่าเขากำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรอยู่ แต่กลับรู้ว่าผู้ชายคนนี้ได้เปลี่ยนท่าทีที่หกลัทธิมีต่อเขาไปแล้วอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตอนแรกทุกคนถูกบังคับให้ยอมรับ ‘ผู้ช่วยใหญ่’ อย่างเขา ที่จริงตอนแรกไม่ได้เห็นผู้ช่วยใหญ่คนนี้สำคัญอะไรเลย แต่ตอนนี้หกลัทธิเหมือนจะยอมรับผู้ช่วยใหญ่คนนี้อย่างแท้จริงแล้ว เมื่อไม่มีเขาเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หกลัทธิก็จะวุ่นวายทันที อย่างน้อยการใช้กำลังควบคุมจนนองเลือดก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้
หลังจากมีคนมามากมายขนาดนั้น คนเก่าคนแก่ส่วนใหญ่ของหกลัทธิก็แต่งงานมีภรรยาแล้ว มีครอบครัวกันหมดแล้ว ฝ่ายหญิงมักไม่ได้มีแค่คนเดียว มีเป็นศิษย์ในสำนัก มีผู้อาวุโส บางทีอาจจะใช้กำลังควบคุมได้ แต่ผลที่ตามมาหลังจากควบคุมล่ะ?
สรุปก็คือผู้ชายคนนี้สามารถลงหลักปักฐานที่แดนอเวจีได้ภายในเวลาอันสั้น ตอนนี้ที่หกลัทธิยังไม่มีใครต่อต้านผู้ชายคนนี้อีก
“ผู้ช่วยใหญ่กำลังคิดอะไรจนใจลอยขนาดนี้?” จินม่านเอ่ยถามหลังจากจ้องเขาเงียบๆ มาครู่หนึ่งแล้ว
“เอ่อ…” หยางชิ่งดึงสติกลับมา หันไปสบดวงตางามที่กำลังมองตนอยู่ แล้วชั่วพริบตาเดียวก็มองค้างไว้อย่างนั้น เหมือนมีเจตนาจะค้นหาความคิดภายในของอีกฝ่าย
จินม่านยิ้มบางๆ รอยยิ้มอ่อนโยนที่พบเห็นได้ยากแผ่กระจายอยู่บนใบหน้านาง ทำให้หยางชิ่งตะลึงเล็กน้อย
จากนั้นทั้งสองก็ต่างคนต่างหันมองไปข้างหน้า หยางชิ่งส่ายหน้าตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ตอนนี้สถานการณ์ของราชาปราชญ์น่ากังวล ถ้าเกิดเรื่องกับราชาปราชญ์เมื่อไร เจ้าก็รู้ถึงผลที่ตามมา”
จินม่านพยักหน้า “ข้าได้ยินข่าวมาแล้วเช่นกัน ราชาปราชญ์เหมือนจะสร้างความเคลื่อนไหวไม่ใช่เล็กๆ ที่ตลาดผี ลากผู้ร้ายหลบหนีเดินในตลาดผีติดต่อกันหลายครั้ง ไม่รู้ว่าตึกศาลาสัตยพรตจะคิดยังไง ก่อนหน้านี้ราชาปราชญ์ส่งข่าวมาถามข้าเรื่องระบำมารสวรรค์ ข้ายังอยากจะถามเขาว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่ แต่คิดไปคิดมาก็ไม่ถามดีกว่า รู้ว่าถ้าราชาปราชญ์ไม่อยากบอก ถามไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาทำแบบนี้แปลว่ามีจุดประสงค์แน่นอน”
“ระบำมารสวรรค์?” หยางชิ่งงุนงง หันกลับมาถามว่า “ระบำมารสวรรค์อะไร?” เหมียวอี้ไม่ได้บอกสิ่งนี้กับเขา
“เป็นวิธีการชั้นต่ำบางอย่างเท่านั้นเอง เป็นระบำที่ใช้ยั่วผู้ชาย…” จินม่านเล่า
“ยินดีกับนายท่าน ยินดีด้วยนายท่าน”
จวนแม่ทัพภาคตลาดผี หลังจากส่งคนมอบรางวัลจากตำหนักนารีสวรรค์กลับไปแล้ว พอหันตัวมา สวีถังหรานก็เป็นคนแรกที่ชิงกล่าวแสดงความยินดีกับเหมียวอี้ แล้วทุกคนก็กล่าวแสดงความยินดีตาม
เหมียวอี้ได้สร้างผลงานใหม่อีกครั้ง เกราะรบสีม่วงบนตัวเปลี่ยนเป็นยศสองแถบ ตอนนี้เขามองสวีถังหรานด้วยสายตาหยอกล้อ พบว่าเจ้าเวรนี่ช่างหน้าด้านจริงๆ ครั้งก่อนตำหนิไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ก็ยังไม่แก้ไขเหมือนเดิม ราวกับว่าถ้าไม่ได้พูดประจบแล้วจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้
เมื่อนำทุกคนกลับมาในห้องโถงใหญ่ เหมียวอี้ก็ยืนอยู่เบื้องบนแล้วหันตัวมา จากนั้นกวาดสายตาอันล้ำลึกมองทุกคนที่อยู่เบื้องล่างเหมียวอี้ “ตั้งแต่นี้ไป ตรึงกำลังพลตลาดผี เสริมการป้องกันทั้งในและนอกจวนแม่ทัพภาค!”
เมื่อเอ่ยคำสั่งนี้ออกมา ก็หมายความว่าตึกศาลาสัตยพรตตอบแทนน้ำใจตระกูลโค่วหมดแล้ว จะไม่คุ้มครองเขาอย่างเปิดเผยอีก
ฝ่ายเขารู้ถึงท่าทีลับๆ ของตึกศาลาสัตยพรต แต่เกรงว่าบางคนคงยังไม่รู้ ว่าอันตรายกำลังจะมาเยือนแล้ว!
ตำหนักนารีสวรรค์ ประมุขชิงเดินเข้ามาด้วยความเร็วปกติ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่รู้ข่าวนำกลุ่มคนออกมาต้อนรับแล้ว นางย่อเข่าคำนับพร้อมรอยยิ้ม “หม่อมฉันคำนับฝ่าบาทเพคะ”
“ไม่ต้องมากพิธี” ประมุขชิงรีบก้าวมาข้างหน้า ประคองแขนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ขึ้นมาด้วยตัวเอง เขามองท้องของนางที่ยื่นออกมาครึ่งหนึ่ง แล้วจูงมือนางเดินเข้าไปด้วยกัน “กำลังตั้งครรภ์ ต่อไปไม่ต้องมากพิธีรีตองแบบนี้แล้ว”
“ทำแบบนั้นได้อย่างไรเพคะ จะให้เสียธรรมเนียมไม่ได้!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตอบกลับอย่างมีไหวพริบ
ประมุขชิงหัวเราะเบาๆ พอเห็นนางในหน้าใหม่หลายคนในตำหนัก จึงถามว่า “คนใหม่ๆ ที่ตระกูลเซี่ยโห้วส่งมา เจ้าใช้งานคล่องแล้วสินะ?”
นางในพวกนี้ไม่ใช่คนของในวังเลย ล้วนเป็นคนที่ตระกูลเซี่ยโห้วคัดเลือกและส่งมา บอกว่าส่งมาให้ปรนนิบัติราชินีสวรรค์ ต่อให้ใช้เพื่อปกป้องก็ต้องมีมากๆ หน่อย ภายใต้สถานการณ์ปกติ จะไม่อนุญาตให้คนนอกวังเข้ามาในวัง แต่ครั้งนี้ประมุขชิงยกให้เป็นกรณีพิเศษ เพราะเขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าที่วังหลังมีเรื่องสกปรกโสมมบางอย่าง กอปรบกับในวังหลังเกี่ยวโยงไปถึงการแข่งขันของอำนาจฝ่ายต่างๆ เรื่องบางเรื่องป้องกันไม่ชนะเลยจริงๆ
เขาจะโปรดปรานเซี่ยโห้วเฉิงอวี่หรือไม่นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ในเมื่อให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่มีทายาทให้แล้ว อย่างไรเสียในท้องเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา เป็นการสืบทอดชีวิตครั้งแรกของประมุขชิง ในใจเขามีความรู้สึกพิเศษอยู่บ้าง มีหรือที่จะปล่อยให้คนเจตนาไม่ดียื่นมือพิษเข้ามาที่เลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง
เขารู้อย่างแจ่มแจ้ง ถ้าถามว่าตอนนี้มีอำนาจฝ่ายไหนในใต้หล้าที่ปกป้องเซี่ยโห้วเฉิงอวี่และลูกในท้องอย่างสุดจิตสุดใจ พร้อมทั้งมีความสามารถที่จะทำอย่างนี้ คำตอบก็มีเพียงตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว เขาก็เลยอนุญาตให้ตระกูลเซี่ยโห้วเลือกคนที่ไว้ใจได้มาคอยดูแลเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ตำหนักนารีสวรรค์เป็นพิเศษ
“ทางบ้านหม่อมฉันใช้ความคิดเยอะมาก ตั้งใจดูแลหม่อมฉันดีมาก” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตอบพร้อมรอยยิ้ม
“อื้ม! เช่นนั้นก็ดี” ประมุขชิงพยักหน้า มองซ้ายมองขวาแล้วโบกมือบอกว่า “ตบรางวัลให้ทุกคน!”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” นางในทางด้านขวาย่อเข่าคำนับเป็นอแถบๆ
พอเข้ามาในตำหนักแล้ว ประมุขชิงก็นั่งลงแล้วจูงมือเซี่ยโห้วเฉิงอวี่มาตรงหน้าตัวเอง จากนั้นใช้สองมือประคองเอวนาง แนบหูไว้บนท้องที่ยื่นออกมาครึ่งหนึ่งของนาง
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ปิดปากหัวเราะ หลังจากนางตั้งครรภ์ นี่คือเรื่องที่ประมุขชิงต้องทำทุกครั้งที่มา
ถ้าเป็นไปได้ นางก็หวังว่าท้องของนางจะใหญ่อย่างนี้ตลอดไป ตั้งแต่นางตั้งท้อง ท่าทีของประมุขชิงที่มีต่อนางก็ดีมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นอกจากจะอ่อนโยนเอาใจใส่แล้ว ก็มาหานางทุกสามวันห้าวัน บางทีอาจจะเห็นแก่ที่นางตั้งท้องก็ได้ แต่ความรู้สึกแบบนี้ดีมากจริงๆ
เพียงแต่เรื่องเดียวที่ไม่ดีก็คือ ประมุขชิงไม่แตะต้องนางเรื่องบนเตียงอีก ต่อให้นางจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่ประมุขชิงก็จะอ้างว่าต้องระวังตัว แทบจะไปพักอยู่ที่ตำหนักบูรพาอยู่แล้ว
พอนึกถึงตรงนี้นางก็แค้นจนกัดฟันกรอด รอจนกระทั่งประมุขชิงย้ายหูออกจากท้องนางด้วยใบหน้าชื่นบานแล้ว นางก็คลำท้องพร้อมบ่นอย่างน้อยใจ “ฝ่าบาท หม่อมฉันตั้งท้องแล้ว สนมสวรรค์จะไม่พอใจหรือเปล่าเพคะ?”
“เอ๋…” ประมุขชิงงงงวย “ทำไมถามอย่างนี้ล่ะ?”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตอบว่า “ทุกครั้งที่เห็นสนมสวรรค์ สนมสวรรค์ก็มักจะทำสีหน้าเย็นชา ทำอย่างกับลูกในท้องข้าติดหนี้นางอย่างนั้นแหละเพคะ”
ประมุขชิงกระตุกมุมปาก ก็รู้ว่านางหาเรื่องแล้ว เขายิ้มแห้ง “นิสัยของสนมสวรรค์ก็เป็นอย่างนั้นมาตลอด ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้”
“ใช่ว่าฝ่าบาทจะไม่รู้เรื่องในวังหลัง ไม่ให้หม่อมฉันคิดมากไม่ได้หรอกเพคะ พอเห็นสนมสวรรค์ทีไร หม่อมฉันก็รู้สึกตึงท้องทุกที บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะหม่อมฉันจิตใจคับแคบเกินไป ฝ่าบาทเพคะ หรือไม่อย่างนั้นก็ให้หม่อมฉันกลับไปคลอดลูกที่บ้านตัวเองเถอะ” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าว
ประมุขชิงขมวดคิ้ว มองดูท้องที่ยื่นอยู่ตรงหน้า แล้วสุดท้ายก็กล่าวอย่างลังเลว่า “ให้สนมสวรรค์กลับไปรออยู่ที่บ้านตัวเองก็แล้วกัน เดียวข้าจะออกคำสั่งไป!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น