อัจฉริยะสมองเพชร 1654-1659

 ตอนที่ 1654

 

สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดยังอวดดี

ดูเหมือนเราจะต้องยกระดับวรยุทธของพลังปราณให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้


เท่าที่ดูจากความยโสโอหังของสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิด ก็บอกไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ที่มันจะแผลงฤทธิ์ออกมา เขาเคยคิดว่าการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ที่จิตวิญญาณของเขาเรียกมาคงสังหารมันได้ แต่ใครจะไปนึกว่าลงท้ายจะกลับกลายเป็นปัญหาบานปลายแบบนี้?


เขาจำเป็นต้องยกระดับวรยุทธของพลังปราณให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้เรียกการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์มาบ่มเพาะกายเนื้อ ด้วยวิธีนี้ เมื่อมีทั้งประสิทธิภาพของจิตวิญญาณและกายเนื้อผนวกกัน สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดจะต้องถูกกำจัดไปจนสิ้นซากอย่างแน่นอน!


เอาล่ะ เรื่องราวกับตระกูลเจียงก็คลี่คลายแล้ว เพราะฉะนั้นเราควรจะกลับไปแก้ไขความขัดแย้งระหว่างตระกูลหลัวกับตระกูลจางก่อน แล้วหลังจากนั้นเราก็จะมุ่งหน้าไปสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่!


เขาจะต้องไปเยือนสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่เพื่อค้นหากรรมวิธีฝ่าด่านวรยุทธขั้นสูงของปรมาจารย์ขง เพื่อจะได้ยกระดับวรยุทธของพลังปราณ ไม่อย่างนั้น ใครจะไปรู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าเขาจะฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ?


แต่ก่อนที่เราจะกลับตระกูลจาง จะต้องหลอมศพของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณก่อน


ตอนนี้ จิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียนเข้าถึงขั้นร่างอันทรงเกียรติแล้ว ประสิทธิภาพของมันจึงเพิ่มสูงขึ้นอีกหลายเท่า ด้วยความแข็งแกร่งระดับนี้ เขาน่าจะหลอมศพนั้นให้กลายเป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณและนำมันมาใช้ประโยชน์ได้


เมื่อเกิดความคิดนั้น จางเซวียนก็รีบเข้าสู่รังนางพญามด หลังจากหาพื้นที่ว่างได้ เขาก็สะบัดข้อมือ


พลั่ก!


ศพนั้นร่วงลงมากระแทกพื้น เกิดเป็นหลุมยุบขนาดใหญ่


จางเซวียนถอดจิตวิญญาณต้นกำเนิดออกจากหว่างคิ้วและนำมันเข้าสู่ร่างของศพนั้น


แรงกดดันมหาศาลที่ศพแผ่ออกมาเข้าโจมตีจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขา ทำให้การคืบหน้าไปแม้เพียงก้าวเดียวก็ยังเป็นเรื่องยาก


วิ้ง!


จิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียนเรืองแสงสีทองเจิดจ้าออกมา จากนั้นแรงกดดันจากศพก็ลดลงมาก เขาเริ่มรุดหน้าเข้าหาศพนั้น


ฟึ่บ!


สุดท้าย จางเซวียนก็เข้าไปอยู่ในร่างของศพได้สำเร็จ


“ใหญ่มาก!”


ทันทีที่จางเซวียนเข้าสู่ร่างของศพ ก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องที่มีขนาดใหญ่จนสุดลูกหูลูกตา จิตวิญญาณต้นกำเนิดอันใหญ่โตของเขาดูไม่ต่างอะไรจากของเด็กเล่นเมื่ออยู่ที่นี่ ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเสียด้วยซ้ำ


หากเปรียบเทียบกับศพ กายเนื้อของเขาก็เหมือนกับกระท่อมฟางที่อยู่ต่อหน้าพระราชวังโอ่อ่า


จางเซวียนทรุดตัวลงนั่งและเริ่มใช้กรรมวิธีหลอมหุ่นโลหะไร้วิญญาณเพื่อค่อยๆขัดเกลาร่างนั้นให้ประสานเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขา


…..


เวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่ง จางเซวียนลุกขึ้นยืน


เราหลอมหุ่นโลหะไร้วิญญาณสำเร็จแล้ว! เอาล่ะ ขอดูหน่อยว่าจะใช้การได้ไหม…จางเซวียนคิดด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย


โดยทั่วไป หุ่นโลหะไร้วิญญาณควรจะหลอมขึ้นจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อที่จะได้แน่ใจในการประสานงานกันระหว่างกายเนื้อกับจิตวิญญาณ แต่ด้วยการปรับเปลี่ยนที่หอสมุดเทียบฟ้าจัดให้ จางเซวียนจึงสามารถหลอมหุ่นโลหะไร้วิญญาณขึ้นจากศพของนักปราชญ์โบราณได้ แต่ถึงอย่างนั้น ความเข้ากันได้ระหว่างจิตวิญญาณกับกายเนื้อก็ยังอ่อนด้อยกว่าเล็กน้อย ทำให้ประสิทธิภาพในการควบคุมร่างนั้นลดลงด้วย


จางเซวียนใช้พละกำลังเต็มพิกัด จากนั้นก็ค่อยๆบังคับศพของนักปราชญ์โบราณให้ลุกขึ้นยืน ยกขาขึ้น และค่อยๆก้าวออกไปข้างหน้า 2-3 ก้าว


หลังจากบังคับให้มันทำการเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐานแล้ว จางเซวียนก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา


หุ่นโลหะไร้วิญญาณตัวนี้ทำให้เขาสิ้นเปลืองพลังจิตวิญญาณมากเหลือเกิน! ขนาดเดินแค่สามก้าว กว่าครึ่งของพลังจิตวิญญาณของวรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติก็ถูกใช้ไปแล้ว


ถ้าเป็นแบบนี้ อย่าว่าแต่ต่อสู้เลย จะออกหมัดได้หรือเปล่าก็ยังน่าสงสัยอยู่!


คงต้องทดลองสักหน่อย…


จางเซวียนกัดฟันและรวบรวมพลังจิตวิญญาณที่เหลือ จากนั้นศพนักปราชญ์โบราณร่างใหญ่ก็กำหมัดและเหวี่ยงหมัดออกไป


พลั่ก!


พื้นที่ในรังนางพญามดสั่นสะท้านอย่างรุนแรงทันที เกิดเสียงดังกึกก้องไปทั่ว ราวกับใครสักคนได้ฉีกกระชากโลกใบนี้ เกิดเป็นรอยร้าวสีดำสนิทอยู่ด้านล่าง


“น่าทึ่งจริงๆ…”


เมื่อเห็นว่ามิติลี้ลับที่เขาได้เพิ่มพลังให้มันครั้งแล้วครั้งเล่าเกือบจะถูกทำลายเพียงเพราะหมัดเดียว จางเซวียนถึงกับจังงัง


แม้การบังคับและควบคุมศพนักปราชญ์โบราณจะใช้พลังจิตวิญญาณของเขาไปมาก แต่ก็แน่นอนว่ามันมีประสิทธิภาพการต่อสู้อันแสนจะน่าทึ่ง!


หลังจากการทุ่มเททั้งหมดที่จางเซวียนมอบให้กับการเพิ่มพลังให้รังนางพญามด แม้แต่พลังงานที่ถูกเรียกใช้จากหยดเลือดของปรมาจารย์ขงและหอกสวรรค์กระดูกมังกรก็ยังยากที่จะฉีกกระชากมิติลี้ลับแห่งนี้ให้แยกออกจากกันได้ แต่เพียงหมัดเดียวจากศพของนักปราชญ์โบราณก็แทบจะทำลายผลงานของเขาได้ทั้งหมด…


สิ่งนี้บ่งบอกว่าต่อให้นักรบคนหนึ่งจะทรงพลังสักแค่ไหนก็ตาม หากยังไม่อาจก้าวข้ามสิ่งกีดขวางไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้ ก็ย่อมจะแหลกเละด้วยหมัดเดียวจากศพนักปราชญ์โบราณตัวนี้!


นักรบที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่กับนักปราชญ์โบราณนั้นมีความเหลื่อมล้ำในประสิทธิภาพการต่อสู้อยู่มาก


ด้วยหุ่นโลหะไร้วิญญาณที่จางเซวียนเพิ่งหลอมสำเร็จ ความปลอดภัยของเขาก็เป็นอันรับประกันได้ ตราบใดที่เขาไม่ไปปะทะกับนักปราชญ์โบราณคนอื่น หรือต่อให้เขาต้องเผชิญหน้ากับนักปราชญ์โบราณสักคน เขาก็ยังมีหน้าหนังสือสีทองอยู่กับตัว ซึ่งหลังจากนั้น…เขาก็จะได้ศพนักปราชญ์โบราณสำหรับหลอมเป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณอีกตัวหนึ่งด้วย!


“ฮ่าฮ่าฮ่า! มีของพวกนี้แล้ว เรายังจะต้องกลัวอะไรอีก?” จางเซวียนหัวเราะลั่น


เขาถอดจิตวิญญาณต้นกำเนิดออกจากหุ่นโลหะไร้วิญญาณและซึมซับสมุนไพรหลายชนิดเข้าไปเพื่อฟื้นฟูพลังจิตวิญญาณของตัวเอง จากนั้นก็กลับเข้าสู่ร่างของศพนักปราชญ์โบราณอีกครั้ง จางเซวียนเอาสองมือวางบนสะโพกและตะโกนยั่วยุตัวโคลน “ตัวโคลน ย้ายก้นมานี่หน่อยซิ!”


ตัวโคลนของเขากำลังกำลังอยู่ระหว่างการขัดเกลาวรยุทธ ก็พอดีกับที่ได้ยินเสียงตวาด จึงพุ่งออกมา


“มา ขอผมทดสอบคุณหน่อย!”


จางเซวียนไม่ใส่ใจว่าตัวโคลนจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เขาพุ่งปราดเข้าไปและปล่อยหมัดเข้าใส่


ส่วนตัวโคลนก็นึกไม่ถึงว่าร่างต้นแบบจะสามารถควบคุมศพของนักปราชญ์โบราณได้ มันตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึง เมื่อรู้ตัวแล้วว่าสายเกินไปที่จะหลบ จึงรีบป้องกันตัวโดยใช้หมัดรับ


พลั่ก!


ตัวโคลนถูกสอยกระเด็นไปก่อนจะหายลับไปจากสายตา


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” จางเซวียนหัวเราะอย่างมีความสุข


ตลอดมา เขาเป็นฝ่ายที่ต้องยับเยินทุกครั้งหากดวลกับตัวโคลน การล้างแค้นที่เขารอคอยมานานได้มาถึงแล้ว มันทำให้เขาตื่นเต้นมาก


ดีเลย! คราวต่อไปที่หมอนั่นข้ามหน้าข้ามตาเราอีก เราก็จะใช้หุ่นโลหะไร้วิญญาณตัวนี้ต่อยมัน!


ด้วยการสั่งสอนบทเรียนให้กับตัวโคลนและความตื่นเต้นที่ได้รับ พลังจิตวิญญาณของจางเซวียนจึงเหือดแห้งเกือบหมดหลังจากปล่อยหมัดไปเพียงหมัดเดียว


ดังนั้น เขาจึงรีบถอดจิตวิญญาณต้นกำเนิดออกจากศพนักปราชญ์โบราณและกลับเข้าสู่ร่างของตัวเอง ขณะที่กำลังหาข้าวของบางอย่างเพื่อมาฟื้นฟูพลังจิตวิญญาณ ก็เห็นตัวโคลนพุ่งปราดเข้ามาด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด


“กล้าดีอย่างไรมาต่อยผม? คุณอยากตายหรือ?”


ตัวโคลนโมโหจนแทบระเบิด มันเหวี่ยงหมัดเข้าใส่จางเซวียนโดยไม่ลังเล


จางเซวียนหน้าถอดสีด้วยความพรั่นพรึง “อะไรกัน? ไม่ใช่ผมนะ! ศพนักปราชญ์โบราณต่างหากที่ต่อยคุณ…เอาล่ะ ก็ได้ๆ ผมยอมรับว่าเป็นผมเอง! แต่อย่างน้อยก็รอให้ผมฟื้นตัวและกลับเข้าร่างของศพก่อน…”


“ศพบ้านคุณน่ะสิ!”


ตัวโคลนจะรอให้จางเซวียนฟื้นตัวและกลับเข้าสู่ร่างของศพได้อย่างไร?


พลั่ก! พลั่ก! ตุ้บ!


สิบนาทีต่อมา จางเซวียนที่มีใบหน้าบวมฉึ่งก็นอนแผ่อยู่กับพื้น น้ำตาไหลอาบสองแก้ม สีหน้าของเขาดูสิ้นหวังราวกับคนที่ไม่มีอะไรเหลือแล้ว


นี่มันบ้าบออะไร?


วันนี้ช่างน่าพรั่นพรึงเหลือเกิน ทั้งการที่สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดกลับเข้าสู่กายเนื้อของเขาและแสดงกิริยาอาการลิงโลดใส่ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังถูกตัวโคลนของตัวเองซ้อมจนยับเยินด้วย!


ในตอนนั้น จางเซวียนพลันรู้สึกว่าชีวิตของเขาช่างเปราะบางเหลือเกิน ตัวเขาก็ไม่ต่างอะไรกับเทียนเล่มหนึ่งที่ส่องแสงอยู่ท่ามกลางพายุกระหน่ำ พร้อมที่จะดับได้ทุกเวลา


จากนั้น จางเซวียนก็ออกจากรังนางพญามดและกลับเข้าสู่ห้องด้วยสภาพสะบักสะบอม เขาขับเคลื่อนพลังปราณเทียบฟ้าจนหายจากอาการบอบช้ำ ก่อนจะเดินออกจากห้องนั้นไป


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้ว่าตัวโคลนของตัวเองเป็นบริวารที่ไม่ได้เรื่อง พร้อมที่จะใช้กำลังได้ทุกเวลา เพราะฉะนั้น อย่างมากที่สุด ต่อไปเขาก็แค่อยู่ให้ห่างจากหมอนั่นก็พอ


เมื่อออกมาข้างนอก ก็พบว่าเวลาล่วงเข้าบ่ายคล้อย หลังจากสนทนากับเจียงฟังโหย่วอีกครู่หนึ่ง จางเซวียนก็นำหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมา เขาเปิดรอยแยกแห่งมิติ และออกจากตระกูลเจียงไป


…..


ไม่ช้าเขาก็มาถึงตระกูลจาง


เวลาผ่านไป 1 วันเต็มตั้งแต่เขาออกจากตระกูลจาง ทันทีที่จางเซวียนกลับถึงที่พักส่วนตัว ก็รีบเรียกซุนฉางมาและถามว่า “สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”


ก่อนจะออกไป เขาได้สั่งการให้ซุนฉางจับตาดูการเคลื่อนไหวของตระกูลจางกับตระกูลหลัวอย่างใกล้ชิด ระยะเวลาหนึ่งวันอาจไม่ยาวนานนัก แต่ก็ไม่สั้นเช่นกัน แน่นอนว่าทั้งสองตระกูลคงจะไม่เกิดการปะทะกันระหว่างที่เขาไม่อยู่หรอก ใช่ไหม?


“สถานการณ์ระหว่าง 2 ตระกูลยังคงสงบเรียบร้อยดี หัวหน้าตระกูลหลัวยังไม่กลับมา กลุ่มคนจากจากตระกูลหลัวจึงยังไม่แสดงทีท่าอะไร” ซุนฉางรีบสาธยาย


เหตุผลที่ตระกูลหลัวยกทัพมาเยือนตระกูลจางก็เพื่อจะล้างความอับอายที่พวกเขาเคยได้รับ แต่พวกเขาไม่อาจลงมือปฏิบัติการได้ด้วยตัวเองเพราะความสามารถที่มีจำกัด จึงทำได้แค่พึ่งพาหัวหน้าตระกูลผู้ทรงพลังของเขาให้ชำระความแค้นให้


ดังนั้น จนกว่าหัวหน้าตระกูลจะกลับมา พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรหุนหันพลันแล่นลงไป


“ค่อยยังชั่ว” เมื่อเห็นว่ายังไม่มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น จางเซวียนหายใจอย่างโล่งอก


เขาให้ซุนฉางออกไป และหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวเองอีกครั้ง


ต้องบอกว่าเครื่องรางแห่งการปลอมตัวที่หลัวลั่วชิงมอบให้เขานั้นเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มาก เขาสามารถใช้มันเมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาปลอมตัวเป็นเจียงฟังโหย่วได้แนบเนียนจนตบตาผู้อาวุโสทุกคนได้


ด้วยอานุภาพของเครื่องรางแห่งการปลอมตัว ทั้งรูปลักษณ์ รังสีของจิตวิญญาณ สายเลือด และแม้แต่ระดับวรยุทธก็จะเทียบเท่ากับตัวจริงในสายตาของคนนอก


แต่ก็แน่นอนว่าหากเกิดการต่อสู้ขึ้น ความแตกต่างจะปรากฏทันที เพราะถึงอย่างไร เครื่องรางแห่งการปลอมตัวก็เป็นเพียงเครื่องมือในการปลอมตัวเท่านั้น


ในเมื่อตระกูลหลัวกำลังรอคอยให้หัวหน้าตระกูลของพวกเขากลับมา ก็คงจะไม่ดีนักหากจะปล่อยให้คนเหล่านั้นรอนานเกินไป


ส่วนการที่หัวหน้าตระกูลหลัวจะมาถึงด้วยวิธีไหนนั้นเป็นเรื่องที่น่าคิดอยู่ แต่ถึงอย่างไร เขาก็พร้อมแล้วที่จะทำให้พวกตระกูลหลัวต้องพบกับความประหลาดใจครั้งใหญ่!

 

 

 


ตอนที่ 1655

 

ถูกตัวโคลนซ้อม

ดูเหมือนเราจะต้องยกระดับวรยุทธของพลังปราณให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้


เท่าที่ดูจากความยโสโอหังของสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิด ก็บอกไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ที่มันจะแผลงฤทธิ์ออกมา เขาเคยคิดว่าการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ที่จิตวิญญาณของเขาเรียกมาคงสังหารมันได้ แต่ใครจะไปนึกว่าลงท้ายจะกลับกลายเป็นปัญหาบานปลายแบบนี้?


เขาจำเป็นต้องยกระดับวรยุทธของพลังปราณให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้เรียกการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์มาบ่มเพาะกายเนื้อ ด้วยวิธีนี้ เมื่อมีทั้งประสิทธิภาพของจิตวิญญาณและกายเนื้อผนวกกัน สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดจะต้องถูกกำจัดไปจนสิ้นซากอย่างแน่นอน!


เอาล่ะ เรื่องราวกับตระกูลเจียงก็คลี่คลายแล้ว เพราะฉะนั้นเราควรจะกลับไปแก้ไขความขัดแย้งระหว่างตระกูลหลัวกับตระกูลจางก่อน แล้วหลังจากนั้นเราก็จะมุ่งหน้าไปสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่!


เขาจะต้องไปเยือนสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่เพื่อค้นหากรรมวิธีฝ่าด่านวรยุทธขั้นสูงของปรมาจารย์ขง เพื่อจะได้ยกระดับวรยุทธของพลังปราณ ไม่อย่างนั้น ใครจะไปรู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าเขาจะฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ?


แต่ก่อนที่เราจะกลับตระกูลจาง จะต้องหลอมศพของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณก่อน


ตอนนี้ จิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียนเข้าถึงขั้นร่างอันทรงเกียรติแล้ว ประสิทธิภาพของมันจึงเพิ่มสูงขึ้นอีกหลายเท่า ด้วยความแข็งแกร่งระดับนี้ เขาน่าจะหลอมศพนั้นให้กลายเป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณและนำมันมาใช้ประโยชน์ได้


เมื่อเกิดความคิดนั้น จางเซวียนก็รีบเข้าสู่รังนางพญามด หลังจากหาพื้นที่ว่างได้ เขาก็สะบัดข้อมือ


พลั่ก!


ศพนั้นร่วงลงมากระแทกพื้น เกิดเป็นหลุมยุบขนาดใหญ่


จางเซวียนถอดจิตวิญญาณต้นกำเนิดออกจากหว่างคิ้วและนำมันเข้าสู่ร่างของศพนั้น


แรงกดดันมหาศาลที่ศพแผ่ออกมาเข้าโจมตีจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขา ทำให้การคืบหน้าไปแม้เพียงก้าวเดียวก็ยังเป็นเรื่องยาก


วิ้ง!


จิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียนเรืองแสงสีทองเจิดจ้าออกมา จากนั้นแรงกดดันจากศพก็ลดลงมาก เขาเริ่มรุดหน้าเข้าหาศพนั้น


ฟึ่บ!


สุดท้าย จางเซวียนก็เข้าไปอยู่ในร่างของศพได้สำเร็จ


“ใหญ่มาก!”


ทันทีที่จางเซวียนเข้าสู่ร่างของศพ ก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องที่มีขนาดใหญ่จนสุดลูกหูลูกตา จิตวิญญาณต้นกำเนิดอันใหญ่โตของเขาดูไม่ต่างอะไรจากของเด็กเล่นเมื่ออยู่ที่นี่ ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเสียด้วยซ้ำ


หากเปรียบเทียบกับศพ กายเนื้อของเขาก็เหมือนกับกระท่อมฟางที่อยู่ต่อหน้าพระราชวังโอ่อ่า


จางเซวียนทรุดตัวลงนั่งและเริ่มใช้กรรมวิธีหลอมหุ่นโลหะไร้วิญญาณเพื่อค่อยๆขัดเกลาร่างนั้นให้ประสานเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขา


…..


เวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่ง จางเซวียนลุกขึ้นยืน


เราหลอมหุ่นโลหะไร้วิญญาณสำเร็จแล้ว! เอาล่ะ ขอดูหน่อยว่าจะใช้การได้ไหม…จางเซวียนคิดด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย


โดยทั่วไป หุ่นโลหะไร้วิญญาณควรจะหลอมขึ้นจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อที่จะได้แน่ใจในการประสานงานกันระหว่างกายเนื้อกับจิตวิญญาณ แต่ด้วยการปรับเปลี่ยนที่หอสมุดเทียบฟ้าจัดให้ จางเซวียนจึงสามารถหลอมหุ่นโลหะไร้วิญญาณขึ้นจากศพของนักปราชญ์โบราณได้ แต่ถึงอย่างนั้น ความเข้ากันได้ระหว่างจิตวิญญาณกับกายเนื้อก็ยังอ่อนด้อยกว่าเล็กน้อย ทำให้ประสิทธิภาพในการควบคุมร่างนั้นลดลงด้วย


จางเซวียนใช้พละกำลังเต็มพิกัด จากนั้นก็ค่อยๆบังคับศพของนักปราชญ์โบราณให้ลุกขึ้นยืน ยกขาขึ้น และค่อยๆก้าวออกไปข้างหน้า 2-3 ก้าว


หลังจากบังคับให้มันทำการเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐานแล้ว จางเซวียนก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา


หุ่นโลหะไร้วิญญาณตัวนี้ทำให้เขาสิ้นเปลืองพลังจิตวิญญาณมากเหลือเกิน! ขนาดเดินแค่สามก้าว กว่าครึ่งของพลังจิตวิญญาณของวรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติก็ถูกใช้ไปแล้ว


ถ้าเป็นแบบนี้ อย่าว่าแต่ต่อสู้เลย จะออกหมัดได้หรือเปล่าก็ยังน่าสงสัยอยู่!


คงต้องทดลองสักหน่อย…


จางเซวียนกัดฟันและรวบรวมพลังจิตวิญญาณที่เหลือ จากนั้นศพนักปราชญ์โบราณร่างใหญ่ก็กำหมัดและเหวี่ยงหมัดออกไป


พลั่ก!


พื้นที่ในรังนางพญามดสั่นสะท้านอย่างรุนแรงทันที เกิดเสียงดังกึกก้องไปทั่ว ราวกับใครสักคนได้ฉีกกระชากโลกใบนี้ เกิดเป็นรอยร้าวสีดำสนิทอยู่ด้านล่าง


“น่าทึ่งจริงๆ…”


เมื่อเห็นว่ามิติลี้ลับที่เขาได้เพิ่มพลังให้มันครั้งแล้วครั้งเล่าเกือบจะถูกทำลายเพียงเพราะหมัดเดียว จางเซวียนถึงกับจังงัง


แม้การบังคับและควบคุมศพนักปราชญ์โบราณจะใช้พลังจิตวิญญาณของเขาไปมาก แต่ก็แน่นอนว่ามันมีประสิทธิภาพการต่อสู้อันแสนจะน่าทึ่ง!


หลังจากการทุ่มเททั้งหมดที่จางเซวียนมอบให้กับการเพิ่มพลังให้รังนางพญามด แม้แต่พลังงานที่ถูกเรียกใช้จากหยดเลือดของปรมาจารย์ขงและหอกสวรรค์กระดูกมังกรก็ยังยากที่จะฉีกกระชากมิติลี้ลับแห่งนี้ให้แยกออกจากกันได้ แต่เพียงหมัดเดียวจากศพของนักปราชญ์โบราณก็แทบจะทำลายผลงานของเขาได้ทั้งหมด…


สิ่งนี้บ่งบอกว่าต่อให้นักรบคนหนึ่งจะทรงพลังสักแค่ไหนก็ตาม หากยังไม่อาจก้าวข้ามสิ่งกีดขวางไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้ ก็ย่อมจะแหลกเละด้วยหมัดเดียวจากศพนักปราชญ์โบราณตัวนี้!


นักรบที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่กับนักปราชญ์โบราณนั้นมีความเหลื่อมล้ำในประสิทธิภาพการต่อสู้อยู่มาก


ด้วยหุ่นโลหะไร้วิญญาณที่จางเซวียนเพิ่งหลอมสำเร็จ ความปลอดภัยของเขาก็เป็นอันรับประกันได้ ตราบใดที่เขาไม่ไปปะทะกับนักปราชญ์โบราณคนอื่น หรือต่อให้เขาต้องเผชิญหน้ากับนักปราชญ์โบราณสักคน เขาก็ยังมีหน้าหนังสือสีทองอยู่กับตัว ซึ่งหลังจากนั้น…เขาก็จะได้ศพนักปราชญ์โบราณสำหรับหลอมเป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณอีกตัวหนึ่งด้วย!


“ฮ่าฮ่าฮ่า! มีของพวกนี้แล้ว เรายังจะต้องกลัวอะไรอีก?” จางเซวียนหัวเราะลั่น


เขาถอดจิตวิญญาณต้นกำเนิดออกจากหุ่นโลหะไร้วิญญาณและซึมซับสมุนไพรหลายชนิดเข้าไปเพื่อฟื้นฟูพลังจิตวิญญาณของตัวเอง จากนั้นก็กลับเข้าสู่ร่างของศพนักปราชญ์โบราณอีกครั้ง จางเซวียนเอาสองมือวางบนสะโพกและตะโกนยั่วยุตัวโคลน “ตัวโคลน ย้ายก้นมานี่หน่อยซิ!”


ตัวโคลนของเขากำลังกำลังอยู่ระหว่างการขัดเกลาวรยุทธ ก็พอดีกับที่ได้ยินเสียงตวาด จึงพุ่งออกมา


“มา ขอผมทดสอบคุณหน่อย!”


จางเซวียนไม่ใส่ใจว่าตัวโคลนจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เขาพุ่งปราดเข้าไปและปล่อยหมัดเข้าใส่


ส่วนตัวโคลนก็นึกไม่ถึงว่าร่างต้นแบบจะสามารถควบคุมศพของนักปราชญ์โบราณได้ มันตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึง เมื่อรู้ตัวแล้วว่าสายเกินไปที่จะหลบ จึงรีบป้องกันตัวโดยใช้หมัดรับ


พลั่ก!


ตัวโคลนถูกสอยกระเด็นไปก่อนจะหายลับไปจากสายตา


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” จางเซวียนหัวเราะอย่างมีความสุข


ตลอดมา เขาเป็นฝ่ายที่ต้องยับเยินทุกครั้งหากดวลกับตัวโคลน การล้างแค้นที่เขารอคอยมานานได้มาถึงแล้ว มันทำให้เขาตื่นเต้นมาก


ดีเลย! คราวต่อไปที่หมอนั่นข้ามหน้าข้ามตาเราอีก เราก็จะใช้หุ่นโลหะไร้วิญญาณตัวนี้ต่อยมัน!


ด้วยการสั่งสอนบทเรียนให้กับตัวโคลนและความตื่นเต้นที่ได้รับ พลังจิตวิญญาณของจางเซวียนจึงเหือดแห้งเกือบหมดหลังจากปล่อยหมัดไปเพียงหมัดเดียว


ดังนั้น เขาจึงรีบถอดจิตวิญญาณต้นกำเนิดออกจากศพนักปราชญ์โบราณและกลับเข้าสู่ร่างของตัวเอง ขณะที่กำลังหาข้าวของบางอย่างเพื่อมาฟื้นฟูพลังจิตวิญญาณ ก็เห็นตัวโคลนพุ่งปราดเข้ามาด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด


“กล้าดีอย่างไรมาต่อยผม? คุณอยากตายหรือ?”


ตัวโคลนโมโหจนแทบระเบิด มันเหวี่ยงหมัดเข้าใส่จางเซวียนโดยไม่ลังเล


จางเซวียนหน้าถอดสีด้วยความพรั่นพรึง “อะไรกัน? ไม่ใช่ผมนะ! ศพนักปราชญ์โบราณต่างหากที่ต่อยคุณ…เอาล่ะ ก็ได้ๆ ผมยอมรับว่าเป็นผมเอง! แต่อย่างน้อยก็รอให้ผมฟื้นตัวและกลับเข้าร่างของศพก่อน…”


“ศพบ้านคุณน่ะสิ!”


ตัวโคลนจะรอให้จางเซวียนฟื้นตัวและกลับเข้าสู่ร่างของศพได้อย่างไร?


พลั่ก! พลั่ก! ตุ้บ!


สิบนาทีต่อมา จางเซวียนที่มีใบหน้าบวมฉึ่งก็นอนแผ่อยู่กับพื้น น้ำตาไหลอาบสองแก้ม สีหน้าของเขาดูสิ้นหวังราวกับคนที่ไม่มีอะไรเหลือแล้ว


นี่มันบ้าบออะไร?


วันนี้ช่างน่าพรั่นพรึงเหลือเกิน ทั้งการที่สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดกลับเข้าสู่กายเนื้อของเขาและแสดงกิริยาอาการลิงโลดใส่ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังถูกตัวโคลนของตัวเองซ้อมจนยับเยินด้วย!


ในตอนนั้น จางเซวียนพลันรู้สึกว่าชีวิตของเขาช่างเปราะบางเหลือเกิน ตัวเขาก็ไม่ต่างอะไรกับเทียนเล่มหนึ่งที่ส่องแสงอยู่ท่ามกลางพายุกระหน่ำ พร้อมที่จะดับได้ทุกเวลา


จากนั้น จางเซวียนก็ออกจากรังนางพญามดและกลับเข้าสู่ห้องด้วยสภาพสะบักสะบอม เขาขับเคลื่อนพลังปราณเทียบฟ้าจนหายจากอาการบอบช้ำ ก่อนจะเดินออกจากห้องนั้นไป


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้ว่าตัวโคลนของตัวเองเป็นบริวารที่ไม่ได้เรื่อง พร้อมที่จะใช้กำลังได้ทุกเวลา เพราะฉะนั้น อย่างมากที่สุด ต่อไปเขาก็แค่อยู่ให้ห่างจากหมอนั่นก็พอ


เมื่อออกมาข้างนอก ก็พบว่าเวลาล่วงเข้าบ่ายคล้อย หลังจากสนทนากับเจียงฟังโหย่วอีกครู่หนึ่ง จางเซวียนก็นำหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมา เขาเปิดรอยแยกแห่งมิติ และออกจากตระกูลเจียงไป


…..


ไม่ช้าเขาก็มาถึงตระกูลจาง


เวลาผ่านไป 1 วันเต็มตั้งแต่เขาออกจากตระกูลจาง ทันทีที่จางเซวียนกลับถึงที่พักส่วนตัว ก็รีบเรียกซุนฉางมาและถามว่า “สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”


ก่อนจะออกไป เขาได้สั่งการให้ซุนฉางจับตาดูการเคลื่อนไหวของตระกูลจางกับตระกูลหลัวอย่างใกล้ชิด ระยะเวลาหนึ่งวันอาจไม่ยาวนานนัก แต่ก็ไม่สั้นเช่นกัน แน่นอนว่าทั้งสองตระกูลคงจะไม่เกิดการปะทะกันระหว่างที่เขาไม่อยู่หรอก ใช่ไหม?


“สถานการณ์ระหว่าง 2 ตระกูลยังคงสงบเรียบร้อยดี หัวหน้าตระกูลหลัวยังไม่กลับมา กลุ่มคนจากจากตระกูลหลัวจึงยังไม่แสดงทีท่าอะไร” ซุนฉางรีบสาธยาย


เหตุผลที่ตระกูลหลัวยกทัพมาเยือนตระกูลจางก็เพื่อจะล้างความอับอายที่พวกเขาเคยได้รับ แต่พวกเขาไม่อาจลงมือปฏิบัติการได้ด้วยตัวเองเพราะความสามารถที่มีจำกัด จึงทำได้แค่พึ่งพาหัวหน้าตระกูลผู้ทรงพลังของเขาให้ชำระความแค้นให้


ดังนั้น จนกว่าหัวหน้าตระกูลจะกลับมา พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรหุนหันพลันแล่นลงไป


“ค่อยยังชั่ว” เมื่อเห็นว่ายังไม่มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น จางเซวียนหายใจอย่างโล่งอก


เขาให้ซุนฉางออกไป และหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวเองอีกครั้ง


ต้องบอกว่าเครื่องรางแห่งการปลอมตัวที่หลัวลั่วชิงมอบให้เขานั้นเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มาก เขาสามารถใช้มันเมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาปลอมตัวเป็นเจียงฟังโหย่วได้แนบเนียนจนตบตาผู้อาวุโสทุกคนได้


ด้วยอานุภาพของเครื่องรางแห่งการปลอมตัว ทั้งรูปลักษณ์ รังสีของจิตวิญญาณ สายเลือด และแม้แต่ระดับวรยุทธก็จะเทียบเท่ากับตัวจริงในสายตาของคนนอก


แต่ก็แน่นอนว่าหากเกิดการต่อสู้ขึ้น ความแตกต่างจะปรากฏทันที เพราะถึงอย่างไร เครื่องรางแห่งการปลอมตัวก็เป็นเพียงเครื่องมือในการปลอมตัวเท่านั้น


ในเมื่อตระกูลหลัวกำลังรอคอยให้หัวหน้าตระกูลของพวกเขากลับมา ก็คงจะไม่ดีนักหากจะปล่อยให้คนเหล่านั้นรอนานเกินไป


ส่วนการที่หัวหน้าตระกูลหลัวจะมาถึงด้วยวิธีไหนนั้นเป็นเรื่องที่น่าคิดอยู่ แต่ถึงอย่างไร เขาก็พร้อมแล้วที่จะทำให้พวกตระกูลหลัวต้องพบกับความประหลาดใจครั้งใหญ่!

 

 

 


ตอนที่ 1656

 

หลัวเทียนหยาปะทะจางเซวียน

 


ความร้อนใจคุกรุ่นไปทั่วทั้งห้องรับรองแขกของตระกูลจาง


“พูดก็พูดเถอะ หัวหน้าตระกูลของเราอยู่ที่ไหน? ทำไมป่านนี้ยังไม่กลับ?”


ผู้อาวุโสที่ 1, หลัวชิงเฉินทำลายความเงียบในห้องนั้น


“ใครจะรู้ล่ะ? ท่านหัวหน้าของเราดูจะเป็นคนรักอิสระมาก ไปไหนมาไหนตามแต่ใจ พวกเราควรจะได้ท้าทายตระกูลจางเพื่อเรียกศักดิ์ศรีของตระกูลหลัวกลับคืน แต่ดูเหมือนจะต้องมาจมอยู่ที่นี่แทน…น่าหงุดหงิดจริง!”


“ผมก็เหมือนกัน เวลาที่ผมเดินไปไหนมาไหน ก็จะเห็นเหล่าสมาชิกตระกูลจางส่งสายตาแสดงความสงสัยมาที่ผม บอกตามตรงนะ ผมไม่รู้ว่าจะทนได้อีกนานแค่ไหน!”


ผู้อาวุโสอีกสองคนของตระกูลหลัวพูดเสริมด้วยความคับข้องใจ


“พวกคุณไม่ได้ยินข่าวล่าสุดหรือ? หนานกงหยวนเฟิงกับถานไท่เจินชิงจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์มาท้าทายตระกูลจาง แต่ก็ลงเอยด้วยการพ่ายแพ้ให้กับลูกศิษย์คนหนึ่งที่จางเซวียนให้คำชี้แนะนำบางส่วนเดี๋ยวนั้น…เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านหัวหน้าของเราจะหนีไปแล้วเพราะความหวาดกลัวหลังจากได้ยินข่าวนี้?” หลัวกั้นเจินนวดหว่างคิ้ว


พวกเขาตบเท้ามาที่นี่ด้วยความหวังเต็มเปี่ยมที่ได้จากชัยชนะต่อ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ ทุกคนต่างรู้สึกว่าชัยชนะต่อตระกูลจางนั้นอยู่แค่เอื้อม จึงตั้งใจทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่โตเอิกเกริก


แต่ทันทีที่มาถึง ก็ได้ข่าวว่าหนานกงหยวนเฟิงกับคนอื่นๆมาเยือนตระกูลจางเช่นกัน และต้องล่าถอยกลับไปด้วยความพ่ายแพ้ แถมทุกอย่างยังเลวร้ายลงอีก เพราะผู้ที่ทำการดวลกับพวกนั้นไม่ใช่จางเซวียน แต่เป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของจางเซวียนที่มาจากครอบครัวสาขา และเขาก็ให้คำชี้แนะไปเพียงไม่กี่ข้อ…


เมื่อได้รู้เรื่องนั้น ตระกูลหลัวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นใจขึ้นมา


ถ้าแม้แต่ลูกศิษย์ที่จางเซวียนสอนยังแข็งแกร่งขนาดนั้น พวกเขาก็จินตนาการไม่ถูกว่าเจ้าตัวจะแข็งแกร่งขนาดไหน!


มาตอนนี้ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในสมาพันธ์นานาจักรวรรดิ ในตอนนั้น แม้แต่เซียนดาบชิงก็ยังพ่ายแพ้ให้กับจางเซวียน…แล้วหัวหน้าตระกูลของพวกเขาจะเอาชนะปีศาจตนนั้นได้หรือ?


ขณะที่ความคิดนั้นเข้าครอบงำจิตใจของแต่ละคน บรรยากาศก็ยิ่งหม่นหมองกว่าเดิม


“ตอนนี้น่ะ ในใจของผมรู้สึกขัดแย้งมาก ด้านหนึ่งผมก็หวังว่าหัวหน้าตระกูลของเราจะปรากฏตัวโดยเร็วที่สุด แต่อีกด้านหนึ่ง ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นความคิดที่ดีนักหากหัวหน้าของเราจะมาที่นี่ เพราะทันทีที่เขามาถึง ก็จะต้องเกิดการดวล หากเขาชนะก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่หากเขาแพ้ ศักดิ์ศรีของตระกูลหลัวคงป่นปี้ไม่มีเหลือ…” ผู้อาวุโสคนหนึ่งพูด


พวกเขาตบเท้ามาที่ตระกูลจางอย่างสง่าผ่าเผย ต้องการให้ทั้งโลกรู้ว่าตั้งใจมาท้าทายตระกูลจางเข้าสู่การดวล แต่หากพวกเขาต้องพ่ายแพ้ ตระกูลหลัวก็จะกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งโลก


“อันที่จริงผมก็คิดแบบนั้นนะ…”


ผู้อาวุโสอีกสองสามคนส่งเสียงแสดงความเห็นพ้อง


“แต่มันจะยิ่งน่าอับอายกว่าเดิมหากเขาไม่ปรากฏตัวเลย!” อีกเสียงหนึ่งอุทานด้วยความร้อนใจ


ฝูงชนต่างเงียบงันไปอีกครั้ง


ก็จริง ความพ่ายแพ้นั้นน่าอาย แต่จะน่าอายเสียยิ่งกว่าหากผู้เข้าท้าทายไม่แม้แต่จะปรากฏตัว


พวกเขามาที่นี่เพื่อหาเรื่องตระกูลจาง แต่ลงท้ายก็พบว่าตัวเองต้องจนมุม ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ต่างคนต่างไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร


หลัวกั้นเจินรู้สึกได้ถึงความกังวลของเหล่าผู้อาวุโส แต่เขาก็ไม่มีทางออกให้ จึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญาและหันไปพูดกับหลัวชิงเฉิน “ช่างมันเถอะ ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดมากเลย เราควรส่งข้อความไปหาท่านหัวหน้าเพื่อเร่งให้เขารีบกลับไหม?”


“ผมส่งข้อความหาเขาตลอดนะ แต่เขาก็ไม่ตอบ…” ผู้อาวุโสที่ 1, หลัวชิงเฉินส่ายหน้าและยิ้มเจื่อนๆ


“อาจเป็นเพราะเขากำลังอยู่ระหว่างการปลีกวิเวกก็เป็นได้ เขาเพิ่งรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลของพวกเราได้ไม่นาน คงยังไม่คุ้นชินกับบทบาทที่ได้รับ อันที่จริง ผมไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนชนิดที่จะหนีเอาตัวรอดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอันตรายหรอก เพราะไม่อย่างนั้น เขาคงไม่เสนอตัวเพื่อรับมือกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์อย่างในวันนั้น” หลัวกั้นเจินให้ความมั่นใจกับเหล่าผู้อาวุโส


ขณะที่เขากำลังจะพูดต่อ ชายชราคนหนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาในห้อง


“ท่านรองหัวหน้า!”


“มีอะไร?” หลัวกั้นเจินขมวดคิ้วเมื่อเห็นชายชราที่พรวดพราดเข้ามา


อีกฝ่ายคือผู้อาวุโสที่ 16 ของตระกูลหลัว, หลัวชิงหยวน


การที่ผู้อาวุโสคนหนึ่งพรวดพราดเข้ามาด้วยความร้อนใจในถิ่นของตระกูลอื่นแบบนี้ แสดงว่าจะต้องมีเรื่องใหญ่แน่


“ท่านหัวหน้าตระกูล…เขากลับมาแล้ว!” ผู้อาวุโสชิงหยวนรายงานด้วยความตื่นเต้น


“ท่านหัวหน้าอยู่ที่นี่? แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหน?” หลัวกั้นเจินชะงักขณะรีบลุกขึ้นยืน


ในตอนนั้น สีหน้าของความยินดีปรีดาก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้อาวุโสทุกคน พวกเขารีบหันไปมองที่ประตู แต่ก็ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น


“ทันทีที่เขามาถึงตระกูลจาง ก็มุ่งหน้าไปยังที่พักของจางเซวียนเลย ผมคิดว่าเขาตั้งใจจะเข้าท้าทายหัวหน้าตระกูลจางเป็นการส่วนตัว!” ผู้อาวุโสชิงหยวนรายงานอย่างแทบหายใจหายคอไม่ทัน


“เขาเข้าไปท้าทายจางเซวียนแล้ว? แล้วทำไมคุณไม่มาบอกพวกเรา?”


ทุกคนพากันอึ้งไปกับข้อมูลที่ได้รับ


เหตุผลที่พวกเขามาที่นี่ก็เพื่อท้าดวลกับหัวหน้าตระกูลจาง แต่สุดท้ายพวกเขากลับไม่รู้ว่าท่านหัวหน้าตรงเข้าท้าทายอีกฝ่ายเป็นการส่วนตัวแล้ว?


“หัวหน้าของเราเข้าไปเผชิญหน้ากับหัวหน้าตระกูลจางอย่างลับๆ พวกเรามารู้เรื่องเอาก็ต่อเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งแล้วเหมือนกัน” ผู้อาวุโสชิงหยวนอธิบาย


“เร็วเข้าเถอะ พาพวกเราไป!” เมื่อได้ยินว่าท่านหัวหน้าเข้าท้าทายจางเซวียนแล้ว หลัวกั้นเจินกับคนอื่นๆก็นั่งไม่ติด


ภายใต้การนำของหลัวชิงหยวน ไม่ช้าทุกคนก็มาถึงบริเวณหน้าที่พักขนาดใหญ่


บ้านพักหลังนั้นมีค่ายกลอันทรงพลังฝังไว้โดยรอบ ป้องกันไม่ให้พลังงานภายในหลุดรอดออกมาได้ หรือพูดอีกอย่างก็คือมันแยกตัวออกจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง


ที่บริเวณใจกลางบ้านพัก มีสังเวียนซึ่งมีชาย 2 คนกำลังยืนหันหน้าเข้าหากัน รังสีอันน่าสะพรึงแผ่ออกมาจากทั้งสองร่างนั้น


พวกเขาคือหัวหน้าตระกูลหลัวและหัวหน้าตระกูลจาง, หลัวเทียนหยากับจางเซวียน!


“ท่านหัวหน้าคงมีเหตุผลของเขาที่ไม่บอกพวกเราเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นพวกเราก็สังเกตการณ์กันอย่างเงียบๆเถอะ อย่าทำอะไรเอิกเกริกไป ดีไหม?” หลัวกั้นเจินส่งโทรจิตหาทุกคนที่อยู่บริเวณนั้น แล้วพวกเขาก็ซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ


การที่หัวหน้าตระกูลของพวกเขาไม่แจ้งข่าวเรื่องการดวลให้ทุกคนทราบ ก็ชัดเจนว่าเขาย่อมไม่อยากให้ใครล่วงรู้ถึงผลการดวล แต่จะว่าไป เรื่องนี้ก็ถือว่าดี เพราะอย่างน้อยตระกูลหลัวก็จะไม่ต้องอับอายมากนักหากพวกเขาต้องลงเอยด้วยความพ่ายแพ้


ฟึ่บ!


ชายทั้งสองที่อยู่บนสังเวียนเริ่มการโจมตี


หลัวเทียนหยาสะบัดฝ่ามือ แล้วพื้นที่บริเวณโดยรอบก็ถูกสกัดกั้น


ทุกอย่างที่อยู่ภายในบริเวณนั้นหยุดชะงักไปทันทีราวกับถูกขังไว้ในภาพวาด แม้แต่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้


เห็นท่านหัวหน้าของพวกเขาใช้ความรู้เรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติตั้งแต่แรก ฝูงชนจากตระกูลหลัวพากันใบหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น


เหมือนท่านหัวหน้าจะรู้ว่าคู่ต่อสู้มีความสามารถไร้เทียมทาน จึงตัดสินใจทุ่มสุดตัวตั้งแต่เริ่ม


แต่ความตื่นเต้นของพวกเขาก็คงอยู่ได้ไม่นาน มีเสียงหัวเราะเบาๆดังมาจากอีกด้านหนึ่ง และชายหนุ่มที่ควรจะถูกสกัดกั้นให้อยู่กับที่ก็ขยับตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย


พื้นที่โดยรอบที่ถูกสกัดกั้นไว้กลับสู่สภาพเดิมทันที พร้อมกันนั้น จางเซวียนก็ก้าวออกมา และด้วยการทะลุมิติ เขาก็มาปรากฏตัวตรงหน้าหลัวเทียนหยาในชั่วพริบตาและปล่อยหมัดเข้าใส่


เห็นวิธีการที่จางเซวียนใช้ หลัวกั้นเจินถึงกับตัวแข็งด้วยความพรั่นพรึง “นั่นมัน…แก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติเหมือนกันนี่?”


เขาอาจยังไม่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติ แต่ก็บอกได้ว่าวิธีการของจางเซวียนนั้นเหมือนกันเป๊ะกับท่านหัวหน้าของเขา พูดอีกอย่างก็คือทั้งคู่ใช้ความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติเหมือนกัน!


สมาชิกคนหนึ่งของตระกูลจางสามารถสำแดงศาสตร์การสกัดกั้นมิติของตระกูลหลัวได้?


มันเกิดอะไรขึ้น?


แน่นอนว่าไม่มีผู้อาวุโสของตระกูลหลัวคนไหนให้คำตอบกับหลัวกั้นเจินได้


ในเวลานั้น หลัวเทียนหยาที่อยู่บนสังเวียนดูเหมือนจะรู้ตัวว่ากำลังเสียเปรียบ จึงรีบถอยให้พ้นจากมิติที่ถูกสกัดกั้นอยู่รอบตัวเขา และตอบโต้ด้วยหมัดหนึ่งเช่นกัน


พลั่ก!


สองหมัดปะทะกัน แต่เป็นหลัวเทียนหยาที่หน้าซีดเผือดและถูกสอยกระเด็นออกไปกระแทกฉนวนที่อยู่รอบสังเวียน เห็นได้ชัดว่าพละกำลังของเขาสู้จางเซวียนไม่ได้


“เขาทรงพลังขนาดนี้เชียวหรือ?”


ฝูงชนจากตระกูลหลัวถึงกับพูดไม่ออก


พวกเขาเคยคิดว่าจะได้เห็นหัวหน้าตระกูลเล่นงานจางเซวียน แต่ใครจะไปรู้ว่าหัวหน้าของพวกเขากลับพ่ายแพ้ในการปะทะกันอย่างจังๆแบบนี้…


ราวกับไม่เต็มใจจะยอมรับความพ่ายแพ้ หลัวเทียนหยาลุกขึ้นยืนและพุ่งเข้าใส่ สองร่างเข้าปะทะกันอีกครั้ง


แต่ดูเหมือนจางเซวียนจะอ่านการเคลื่อนไหวของหลัวเทียนหยาได้ล่วงหน้า หลังจากแลกหมัดกันอีกสองสามครั้ง หลัวเทียนหยาก็ถูกต้อนให้จนมุมจนถึงขั้นที่แทบหายใจหายคอไม่ทัน


พละกำลังอันน่าทึ่งนั้นทำให้เกิดแสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วสังเวียน


คลื่นความสั่นสะเทือนที่แผ่ออกมาอย่างต่อเนื่องจากการปะทะของนักรบทั้งสองทำให้พื้นที่โดยรอบที่ถูกปิดกั้นดูเหมือนพร้อมจะแตกสลายได้ทุกขณะ


“พวกเขาช่างเก่งกาจจริงๆ!”


ฝูงชนจากตระกูลหลัวหน้าซีดลงเรื่อยๆขณะเฝ้ามองการต่อสู้อันดุเดือดเข้มข้นที่อยู่ตรงหน้า


ในกลุ่มคนเหล่านี้ มีอยู่ 2-3 คนที่สำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แล้ว แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าคงจะพ่ายแพ้ภายในหมัดเดียวหากต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ทั้งสองที่อยู่บนสังเวียน


ว่ากันตามตรง กระบวนท่าที่หัวหน้าตระกูลทั้งสองแสดงออกมานั้นไม่ได้ซับซ้อน และเทคนิคการต่อสู้ที่ทั้งคู่ใช้ก็เรียบง่าย แต่ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาล้วนแต่ตรงเป้าหมาย หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือชาญฉลาดมาก แต่ละกระบวนท่าส่งผลกระทบหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผู้ชมเกิดความยำเกรงกับภาพที่เห็น


ราวกับดวงตาของทั้งคู่มองเห็นอนาคตได้ ทำให้พวกเขาสามารถควบคุมกระแสของการต่อสู้ให้ตัวเองเป็นฝ่ายได้เปรียบ


“นี่คือการดวลระหว่างอัจฉริยะชั้นยอด!”


“มันไม่ได้อยู่ในระดับที่นักรบธรรมดาสามัญอย่างพวกเราจะหยั่งถึงได้เลย…”


“ใครจะไปคิดว่ากระบวนท่าธุลีเหลืองนกนางแอ่นร่อนจะนำมาใช้ในลักษณะนี้ได้? ดูเหมือนผมจะให้ความสำคัญกับรูปแบบของเทคนิคมากเกินไปจนมองไม่เห็นแก่นสารของมัน…”


“มีผมคนเดียวหรือเปล่าที่รู้สึกว่าปรมาจารย์จางคนนั้นดูจะคุ้นเคยกับเทคนิคการต่อสู้ของตระกูลหลัวของเราเหลือเกิน?”


“เดี๋ยวก่อนนะ…คุณพูดถูก! เป็นแบบนี้ได้อย่างไร?”


…..


ยิ่งเฝ้าดูการดวลต่อไป ฝูงชนก็ยิ่งตกตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงจุดนี้ ความตื่นเต้นที่พวกเขาเคยรู้สึกในตอนแรกสูญสิ้นไปหมดแล้ว เหลือไว้แต่ความหนักอึ้งในหัวใจของทุกคน

 

 

 


ตอนที่ 1657

 

คำขอของหลัวเทียนหยา

“ท่านหัวหน้าของเรา…สู้จางเซวียนไม่ได้!” หลัวกั้นเจินตั้งข้อสังเกตด้วยสีหน้าอับจนหนทาง


“คุณพูดถูก เห็นชัดว่าจางเซวียนอ่อนข้อให้หัวหน้าของเรา ไม่อย่างนั้น เขาคงเอาชนะหัวหน้าได้ภายใน 20 กระบวนท่าแล้ว” หลัวชิงเฉินพยักหน้า


ไม่นานหลังจากหลัวชิงเฉินพูดจบ หลัวเทียนหยาที่กำลังหายใจหอบก็ประกาศด้วยสีหน้าเจื่อนๆ “ผมยอมแพ้!”


ดูเหมือนตัวเขาเองก็ไม่อยากยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


“พี่หลัว อย่าเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจเลย อันที่จริงประสิทธิภาพการต่อสู้ของเราสองคนก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่…” จางเซวียนเดินเข้าหาหลัวเทียนหยาด้วยสีหน้าที่ปราศจากความยินดีในชัยชนะ เขาพูดกับอีกฝ่ายด้วยแววตาที่ดูจริงใจ “ทำไมเราถึงไม่ให้การดวลครั้งนี้เสมอกันล่ะ?”


“แพ้ก็คือแพ้สิ! ถ้าเรื่องแค่นี้ผมยังยอมรับไม่ได้ ก็ควรจะเปลี่ยนไปใช้แซ่จางเสียเลย!” หลัวเทียนหยาตอบด้วยน้ำเสียงหยิ่งทระนง “แต่ก็ต้องขอบอกว่าเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความพ่ายแพ้ของผมนั้นเป็นเหตุผลส่วนตัว ไม่ได้หมายความว่าแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติของตระกูลหลัวด้อยกว่าแก่นสารเรื่องเวลาของตระกูลจางของคุณนะ แต่มันเป็นเพราะผมอ่อนด้อยเกินกว่าที่จะสำแดงพละกำลังที่แท้จริงของมันออกมา!”


“เอาเถอะ พี่หลัว” จางเซวียนตอบ “มิติกับเวลาถือเป็นอำนาจที่ทัดเทียมกันอยู่แล้ว การจัดลำดับขั้นของมันนั้นไม่มีประโยชน์ และผมก็ไม่มีเจตนาที่จะดูถูกตระกูลหลัวด้วย พูดตามตรงนะ ผมยำเกรงในตระกูลหลัวของคุณมาก อันที่จริง เหตุผลหลักที่ผมเอาชนะได้ก็เป็นเพราะความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติของตระกูลหลัวที่ผมมีนั้นเหนือชั้นกว่าพี่เท่านั้นเอง!”


“คุณหมายความว่าอย่างไร?” หลัวเทียนหยาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย


“ผมเชื่อว่าพี่หลัวคงบอกได้ว่าผมเองก็เชี่ยวชาญในแก่นสารของมิติเช่นกัน” จางเซวียนพูด


“เอ่อ…” หลัวเทียนหยาอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะนึกได้ “ก็จริง ทำไมคุณถึงสามารถใช้พละกำลังของแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติของตระกูลหลัวได้ล่ะ?”


“ผู้ก่อตั้งตระกูลหลัวสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติก็จริง แต่ที่มาของความเข้าใจเรื่องนี้สามารถนับถอยหลังไปได้จนถึงนักปราชญ์โบราณชิวอู๋ ผมบังเอิญได้รับมรดกตกทอดของนักปราชญ์ชิวอู๋มาเพราะความโชคดี นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผมสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติ” จางเซวียนตอบ


“นักปราชญ์โบราณชิวอู๋?” หลัวเทียนหยาตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ


“นี่คืออาณาจักรโบร่ำโบราณที่นักปราชญ์โบราณชิวอู๋ทิ้งไว้” จางเซวียนสะบัดข้อมือ แล้วลูกคริสตัลทรงกลมก็มาอยู่ในมือของเขา มันแผ่รังสีของมิติลี้ลับออกมา


หลัวเทียนหยาทาบฝ่ามือลงบนลูกบอลคริสตัลนั้น ร่างของเขาสั่นสะท้าน ความอิจฉาตาร้อนฉายวาบในส่วนลึกของดวงตา “มันเป็นของล้ำค่าที่นักปราชญ์โบราณชิวอู๋ทิ้งไว้จริงๆ…ผมต้องบอกว่าน้องจางช่างโชคดีเหลือเกิน!”


“ฮ่าฮ่า ผมได้มันมาด้วยความบังเอิญหรอก เหตุผลที่น้อยคนในตระกูลหลัวสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิตินั้นไม่ใช่เพราะขาดความปราดเปรื่อง แต่เป็นเพราะมรดกตกทอดที่ถ่ายทอดกันมาหลายชั่วอายุคนนั้นขาดความสมบูรณ์” จางเซวียนอธิบายพร้อมกับหัวเราะหึๆ “ที่พระราชวังชิวอู๋แห่งนี้ ผมได้พบศาสตร์แห่งการปลดปล่อยมิติเทียบฟ้าที่นักปราชญ์โบราณชิวอู๋คิดค้นขึ้น วันนี้ผมจะมอบมันให้กับพี่หลัว ผมเชื่อว่ามีแต่เมื่อมันอยู่ในมือของพี่เท่านั้นที่จะก่อเกิดคุณค่าอย่างแท้จริง”


หลัวเทียนหยามองลูกบอลคริสตัลในมือของเขาและรีบส่ายหน้า “ผมจะรับของล้ำค่าขนาดนี้จากคุณได้อย่างไร?”


ไม่มีใครในทวีปแห่งปรมาจารย์ที่ไม่อยากได้มรดกตกทอดของนักปราชญ์โบราณ


แล้วชายหนุ่มมายื่นให้เขาง่ายๆแบบนี้…ของขวัญชิ้นนี้ล้ำค่าเกินกว่าที่เขาจะรับได้


ในเวลาเดียวกัน หลัวกั้นเจินกับผู้อาวุโสคนอื่นๆของตระกูลหลัวก็มองหน้ากันอย่างงงงัน


เป็นความจริงที่ว่ามรดกตกทอดของตระกูลหลัวมีต้นกำเนิดมาจากนักปราชญ์โบราณชิวอู๋ ดังนั้นหากพวกเขาได้ศาสตร์แห่งการปลดปล่อยมิติเทียบฟ้าฉบับสมบูรณ์มา ก็คงจะเพิ่มพูนความเข้าใจในกฎเกณฑ์แห่งมิติได้อีกมาก ต่อให้ไม่สามารถสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติได้ แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ก็คงเพิ่มสูงขึ้นอีกหลายขั้น


เพียงแต่…ทั้งสองตระกูลมีความขัดแย้งกันอยู่ อันที่จริง เหตุผลที่พวกเขามาเยือนที่นี่ก็เพื่อจะเล่นงานจางเซวียน แต่ไม่เพียงอีกฝ่ายจะไม่ใส่ใจความขุ่นเคืองของพวกเขา ยังถึงกับมอบของขวัญล้ำค่าให้ด้วย


ในตอนนั้น ฝูงชนพลันรู้สึกละอายใจกับการกระทำของตัวเอง


“อย่าเพิ่งรีบร้อนปฏิเสธเลยพี่หลัว ให้ผมพูดให้จบก่อน”


จางเซวียนเอาสองมือไพล่หลังไว้ สีหน้าของเขาเคร่งเครียด “ผมเชื่อว่าพี่หลัวคงได้ข่าวเรื่องการค้นพบภาพลวงตาของวิหารแห่งขงจื๊อที่ชูฝู่แล้ว ซึ่งตามข่าวนั้น ก็แน่นอนว่าวิหารของจริงคงจะปรากฏในอีกไม่ช้า!”


“ใช่” หลัวเทียนหยาพยักหน้า


“100 สำนักแห่งนักปราชญ์ได้พยายามเข้าท้าทายพวกเรา การเคลื่อนไหวของพวกเขานั้นมีเจตนาที่เห็นได้ชัดเจน คือหวังว่าจะได้เครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน ครั้งนี้พวกเขาอาจล้มเหลว แต่ในเมื่อมีมรดกตกทอดของปรมาจารย์ขงเป็นเดิมพัน ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆ ในอนาคตอันใกล้นี้ คนเหล่านั้นคงจะพยายามทำอะไรบางอย่างอีก และที่สำคัญกว่านั้น ตระกูลจางของเรายังได้พบหลักฐานว่าผู้เชี่ยวชาญกลุ่มหนึ่งของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นได้ลักลอบเข้ามายังทวีปแห่งปรมาจารย์แล้ว อันที่จริง ผมได้ข่าวจากสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ว่าในเวลานี้ฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจผู้เป็นตำนานตัวนั้นก็อยู่ในหมู่พวกเรา!” จางเซวียนพูดอย่างเคร่งเครียด


“ตอนนี้มวลมนุษย์อยู่ในสภาวะที่ล่อแหลมมาก การอยู่รอดของพวกเราถือเป็นเดิมพัน หากพวกเราแต่ละตระกูลแยกกันต่อสู้ในช่วงเวลาคับขันแบบนี้ ก็คงจะเป็นหายนะไม่เพียงแต่กับตระกูลของพวกเรา แต่เป็นหายนะของมนุษย์ทั้งหมดด้วย ในเวลาแบบนี้ พวกเราไม่ควรแบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่า เราควรรวมตัวกันเป็นหนึ่งและร่วมมือกันเอาชนะบททดสอบครั้งนี้ให้ได้ ไม่อย่างนั้น ผู้ที่จะได้หัวเราะเป็นคนสุดท้ายก็จะเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น!”


ได้ยินคำนั้น หลัวเทียนหยาเงียบไป


“เหตุผลที่ 3 ตระกูลชั้นนำยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งอยู่ได้ตลอดระยะเวลาหลายหมื่นปีก็เพราะพวกเราไม่ลังเลที่จะรวมตัวกันเมื่อต้องเผชิญกับข้าศึกที่แข็งแกร่งกว่า ผมรู้ว่าผมได้ทำผิดกับตระกูลหลัวของคุณเอาไว้มากเมื่อครั้งงานหมั้น แต่ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้เหตุการณ์กลับกลายเป็นแบบนั้นเลย เรื่องของความรู้สึกนั้นบังคับกันไม่ได้!”


“ลั่วชิงกับผมได้สาบานเอาไว้ว่าจะใช้อนาคตร่วมกัน หากผมแต่งงานกับหยู่ชิงโดยที่หัวใจของผมไม่ได้อยู่กับเธอ ไม่ช้าไม่นานการแต่งงานก็คงจะกลายเป็นฝันร้าย ลงท้ายผมก็มีแต่จะทำให้ทั้งตัวเธอและตระกูลหลัวต้องผิดหวัง ผมรู้ดีว่าเป็นความผิดของผมที่จัดการเรื่องราวต่างๆอย่างไม่เหมาะสมและรู้สึกผิดอย่างมากที่ทำให้หยู่ชิงกับตระกูลหลัวต้องเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน… เพราะฉะนั้น ได้โปรดรับเอาศาสตร์การปลดปล่อยมิติเทียบฟ้าและพระราชวังชิวอู๋นี้เป็นสัญลักษณ์แทนคำขอโทษของผมด้วย ผมต้องขอร้องพี่หลัวว่าอย่าปฏิเสธผมเลย ไม่อย่างนั้น เรื่องนี้จะตามหลอกหลอนผมไปชั่วชีวิต…” จางเซวียนพูด


“น้องจางช่างมีน้ำใจ ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ผมก็จะไม่ปฏิเสธละนะ” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หลัวเทียนหยารับลูกบอลคริสตัลมาและเก็บไว้ในแหวนเก็บสมบัติ


…..


“มาคิดดูอีกที ก็ดูเหมือนเจ้าหนุ่มนั่นจะทำผิดพลาดโดยไม่ได้เจตนาเลยจริงๆ…”


“หากเขาเลือกที่จะแต่งงานกับองค์หญิงน้อยในวันนั้น ผมก็คงต้องแคลงใจแล้วล่ะ เพราะถ้าเขาทิ้งคนรักของตัวเองได้ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต่อไปเขาก็คงทิ้งองค์หญิงน้อยได้เหมือนกัน!”


“พวกเราตีโพยตีพายกับเรื่องนี้เกินกว่าเหตุหรือเปล่า?”


“ขณะที่เราสนใจแต่เกียรติยศศักดิ์ศรีและชื่อเสียงของตัวเอง เขากลับมองไปที่ชะตากรรมของมวลมนุษย์และมีความคิดที่สูงส่งกว่าพวกเรามาก ช่างเป็นคนที่น่านับถือจริงๆ”


ฝูงชนจากตระกูลหลัวที่ซ่อนตัวอยู่ต่างเงียบไป ใบหน้าของพวกเขาแดงก่ำด้วยความละอาย


พวกเขาสนใจแต่กับเรื่องของตระกูลหลัวจนไม่ได้มองจากมุมมองอื่น ถ้าจางเซวียนเป็นคนไร้หัวใจจริงๆ ต่อให้เขาแต่งงานกับองค์หญิงน้อย แล้วเขาจะมอบความสุขให้เธอได้หรือ?


แน่นอนว่าไม่!


“ขอบคุณมาก พี่หลัว” จางเซวียนโค้งคำนับด้วยความสำนึกในบุญคุณ


“ผมจะแจ้งเจตนาของคุณให้ตระกูลหลัวรับทราบและอธิบายแทนคุณด้วย” หลัวเทียนหยาพูด ตอนนี้ เขาก้มหน้าลงครุ่นคิด ดูเหมือนกำลังตัดสินใจเรื่องสำคัญอะไรสักอย่าง จากนั้นก็ประสานมือและพูดว่า “น้องจาง มีบางอย่างที่ผมอยากจะขอร้องคุณ”


“พี่หลัวพูดมาเลย!” จางเซวียนเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ถ้าเป็นสิ่งที่ผมทำได้ ผมจะช่วยพี่อย่างเต็มที่!”


“มีบางอย่างที่ค้างคาใจผมมานานแล้ว และผมคิดว่าถึงเวลาที่ควรจะทําให้มันจบสิ้นเสียที ไม่ว่าผมจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ก็ดูเหมือนว่าต่อไปผมคงไม่อาจกลับสู่ตระกูลหลัวได้อีก ถึงผมจะเพิ่งเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลหลัวได้เพียงไม่กี่วัน แต่ก็ไม่อยากเห็นตระกูลหลัวต้องเสื่อมถอยหากผมหายตัวไป…” หลัวเทียนหยาพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


“ดูเหมือนว่าคุณไม่อาจกลับสู่ตระกูลหลัวได้อีก? พี่หลัว คุณตั้งใจจะเข้าสู่อาณาจักรโบร่ำโบราณ หรือจะไปล้างแค้น? หากคุณต้องการความช่วยเหลือล่ะก็ แค่บอกผมมาคำเดียว…” จางเซวียนชะงักและรีบตอบหลัวเทียนหยา


“น้องจาง ผมขอบคุณในเจตนาดีของคุณ แต่นี่เป็นธุระส่วนตัวของผม ผมจำเป็นต้องจัดการด้วยตัวเอง แม้เส้นทางที่ผมพูดถึงอาจลงเอยด้วยความตาย แต่ผมก็เต็มใจที่จะเดินไปตามเส้นทางนั้น!” หลัวเทียนหยาส่ายหน้าและตอบอย่างเด็ดเดี่ยว “เรื่องที่ผมอยากฝากฝังให้น้องจางช่วยเหลือน่ะไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก”


จางเซวียนขมวดคิ้ว


หลัวเทียนหยาสูดหายใจลึกก่อนจะสะบัดข้อมือและนำตราสัญลักษณ์อันหนึ่งออกมา มันคือตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลหลัว


“น้องจาง ผมหวังว่าคุณจะรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลหลัวแทนผม!”


“คุณอยากให้ผมรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลหลัว?” จางเซวียนตัวสั่นด้วยความประหลาดใจ เขารีบโบกมือและร้องออกมา “ผมจะทำแบบนั้นได้อย่างไร?”

 

 

 


ตอนที่ 1658

 

หัวหน้าสามตระกูล

“ท่านหัวหน้าของเราต้องการให้จางเซวียนรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลคนต่อไป เขาเสียสติไปแล้วหรือเปล่า?”


“ไม่มีทาง! ผมรับไม่ได้!”


หลัวกั้นเจินกับคนอื่นๆต่างตกตะลึงกับคำพูดของหลัวเทียนหยา


พวกเขาประทับใจกับความมีน้ำใจของจางเซวียนและยินดีจะยกโทษให้เรื่องงานหมั้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมรับเขาให้เป็นหัวหน้าตระกูลได้!


“น้องจาง ความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติของคุณนั้นอยู่ในระดับที่เชี่ยวชาญกว่าผมเสียอีก และยิ่งไปกว่านั้น คุณยังได้รับการถ่ายทอดมรดกตกทอดของนักปราชญ์ชิวอู๋ด้วย ในเมื่อนักปราชญ์ชิวอู๋ทั้งให้การยอมรับและถ่ายทอดคำสอนของเขาให้คุณ ก็ถือว่าคุณมีสถานภาพเดียวกันกับผู้ก่อตั้งของเรา เป็นธรรมดาที่คุณจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นหัวหน้าตระกูลหลัวของพวกเรา” หลัวเทียนหยาพูด


“แต่…” จางเซวียนยังคงโบกมืออย่างวุ่นวายใจ ดูจะคัดค้านความคิดนี้อย่างจริงจัง


“น้องจางแก้ไขคำพูดของผมด้วยนะถ้าหากผมพูดผิด…คุณเพิ่งรับตำแหน่งหัวหน้าของตระกูลเจียง ถูกต้องไหม?” หลัวเทียนหยาขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด


“ใช่…เรื่องนั้นเป็นความจริง!” จางเซวียนพยักหน้า


เขาสะบัดข้อมือ แล้วตราสัญลักษณ์อันหนึ่งก็ปรากฏ มันคือตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลเจียง


“เขาเป็นหัวหน้าตระกูลเจียงด้วยหรือ เอาจริงๆสิ?”


“เหลวไหลน่ะ! ตระกูลเจียงจะยอมให้คนนอกอย่างเขารับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลได้อย่างไร?”


หลัวกั้นเจินกับคนอื่นๆแทบไม่เชื่อสายตา


เรื่องนี้ราวกับหลุดออกมาจากนิยายเพ้อฝัน พวกเขาแทบปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ถูกกับสิ่งที่เกิดขึ้น


“ในเมื่อตระกูลเจียงเต็มใจยอมรับคุณเป็นหัวหน้าตระกูลของพวกเขา ผมเชื่อว่าตระกูลหลัวของเราก็คงใจกว้างพอที่จะทำแบบนั้นได้เหมือนกัน อีกอย่าง ด้วยสภาวะคับขันที่พวกเราเผชิญอยู่ตอนนี้ เรื่องสำคัญสูงสุดสำหรับ 3 ตระกูลชั้นนำก็คือพวกเราต้องผนึกกำลังกันเป็นหนึ่ง ผมไม่เห็นว่าจะมีทางอื่นที่ดีกว่าทางที่ผมกำลังเสนอ” หลัวเทียนหยาพูด


เขาประสานมือก่อนจะพูดต่อ “น้องจาง ผมขอวิงวอนคุณว่าอย่าปฏิเสธผมเลย ผมรู้มาว่าการเปิดการบรรยายของคุณที่ตระกูลเจียงและตระกูลจางนั้นได้ช่วยนักรบมากมายให้ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ หากคุณมาเป็นหัวหน้าตระกูลหลัว ผมก็คงต้องขอร้องคุณว่าอย่าแบ่งแยกตระกูลหลัวออกจากคนอื่นๆ ขอให้คุณช่วยแบ่งปันความรู้ของคุณให้กับสมาชิกตระกูลหลัวด้วย เพื่อที่ตระกูลหลัวจะได้พัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้ากว่านี้”


จางเซวียนเงียบไป


ฝูงชนจากตระกูลหลัวต่างก็พากันเงียบกริบ


ถึงพวกเขาจะไม่ได้ประทับใจในตัวจางเซวียนนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ของอีกฝ่ายนั้นน่าทึ่ง ความถนัดของเขาในฐานะครูบาอาจารย์นั้นเหนือชั้นเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ คนเดียวที่พวกเขารู้สึกว่าจะแข่งขันกับจางเซวียนได้ก็มีแต่ปรมาจารย์ขงเท่านั้น


ความจริงข้อนี้เห็นได้ชัดเจนจากเหล่าศิษย์สายตรงของเขา ในบรรดาศิษย์สายตรงเหล่านั้น ทุกคนล้วนแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี แต่ก็กลายเป็นหัวหน้ากลุ่มอำนาจชั้นนำของทวีปแห่งปรมาจารย์แล้ว แม้แต่ตระกูลหลัวก็ยังต้องพิจารณาให้ดีหากจะปะทะกับพวกเขา!


ถ้าตระกูลหลัวได้คนเก่งกาจขนาดนี้มาเป็นหัวหน้าตระกูล ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเหล่าสมาชิกในตระกูลจะต้องก้าวหน้าขึ้นอีกมาก


ซึ่งในอีกด้านหนึ่ง หากพวกเขายังคงปฏิเสธจางเซวียนต่อไป ไม่ช้าไม่นานตระกูลจางกับตระกูลเจียงก็คงทิ้งห่างไปไกลจากตระกูลหลัว กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ตระกูลหลัวก็คงต้องตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของสองตระกูลนั้น


“ถ้าน้องจางไม่ยินยอมรับคำขอของผม ผมคงไม่มีวันอยู่เป็นสุขได้ อีกอย่าง ผมจะไม่มีทางวางใจได้เลยกับการที่ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตระกูลหลัวเมื่อไม่มีผมอยู่” หลัวเทียนหยาโค้งคำนับด้วยความจริงใจ


เขาสะบัดข้อมือ แล้วตราสัญลักษณ์ตระกูลหลัวก็ลอยเข้าหาจางเซวียน


“เอ่อ…ถ้าอย่างนั้น ผมจะช่วยคุณดูแลตระกูลหลัวตอนที่คุณไม่อยู่ก็แล้วกัน ผมจะเป็นผู้นำให้ตระกูลหลัวแทนคุณ จนกว่าใครสักคนที่คู่ควรจะปรากฏตัว!” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จางเซวียนก็รับตราสัญลักษณ์มาและให้คำสัญญากับหลัวเทียนหยา


“ขอบคุณมาก น้องจาง ด้วยสิ่งนี้ หัวใจของผมจะได้สุขสงบเสียที…ลาก่อน!”


ฟึ่บ!


หลังจากเอ่ยคำอำลา หลัวเทียนหยาก็หันหลังกลับและจากมาโดยไม่ลังเล ในชั่วพริบตา เขาก็หายวับไปจากสายตาของทุกคน


“เฮ่ออออ! ก็ไม่ใช่ว่าเรากระหายอำนาจนะ แต่ด้วยการที่สามตระกูลใหญ่รวมกันเป็นหนึ่งเท่านั้นที่จะทำให้พวกเราแข็งแกร่งพอจะรับมือกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์และเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นได้ หากปราศจากความแข็งแกร่งที่เพียงพอจะต้านทานกระแสแห่งความหายนะครั้งนี้ มวลมนุษย์จะต้องถูกกำจัดจนสิ้นซาก คงกลายเป็นเพียงผงธุลีของประวัติศาสตร์”


จางเซวียนเฝ้ามองหลัวเทียนหยาจากไป เขาส่ายหน้าและถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้น ด้วยสีหน้าที่ดูซับซ้อน เขาโบกมือและเดินกลับเข้าไปในบ้านพัก


เมื่อเห็นว่าทั้งหลัวเทียนหยาและจางเซวียนหายไปจากบริเวณนั้นแล้ว หลัวกั้นเจินกับคนอื่นๆก็ออกมาจากที่ซ่อน


“ท่านรองหัวหน้า…”


นอกจากหลัวเทียนหยา หลัวกั้นเจินก็คือผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในตระกูลหลัว ฝูงชนจึงหันไปมองหน้าเขาโดยอัตโนมัติเพื่อขอความเห็น


“เทียนหยาพูดถูก เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ ตระกูลหลัวของเราจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากจางเซวียน…” หลัวกั้นเจินพูดพร้อมกับถอนหายใจอย่างจนปัญญา


“แต่เขาเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 9 นะ…” ผู้อาวุโสคนหนึ่งทักท้วง


“ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่าตอนนี้วรยุทธของเขายังอ่อนด้อย แต่เขาก็เป็นศิษย์พี่ของผู้อาวุโสสูงสุดที่ได้รับความเคารพมากที่สุดของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่นะ…ปรมาจารย์หยางไงล่ะ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นหัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์ เป็นท่านอาจารย์ของทายาทยอดขุนพล หัวหน้าห้องโถงแห่งยาพิษสำนักงานใหญ่ หัวหน้าศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็ง หัวหน้าตระกูลหยวน และประธานสมาคมผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณสำนักงานใหญ่ด้วย…กลุ่มอำนาจเหล่านี้ล้วนแต่อยู่ภายใต้คำสั่งของเขา หากเราผนึกกำลังเข้ากับตระกูลจางและตระกูลเจียง ก็คงไม่เป็นการพูดเกินเลยหากจะพูดว่าเขาคือบุรุษผู้มีอำนาจสูงสุดของทวีปแห่งปรมาจารย์ในเวลานี้ ซึ่งหากเราปล่อยให้โอกาสครั้งนี้หลุดมือไป ตระกูลหลัวของเราคงจะตกต่ำลงอย่างรวดเร็วแน่!” หลัวกั้นเจินพูด


หากพูดถึงคนคนเดียว นักรบระดับเซียนขั้น 9 อย่างจางเซวียนไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับตระกูลหลัว แต่เรื่องนี้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะเขามีตัวตนอีกมากมายอย่างที่กล่าวมาแล้ว


แม้แต่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ยังไม่มีอำนาจอยู่ในกำมือมากมายเท่าที่จางเซวียนมี อันที่จริง หากรวมปรมาจารย์หยางเข้าไปด้วย ขอบเขตอำนาจและอิทธิพลของจางเซวียนนั้นถือว่าเหนือชั้นกว่าแม้แต่กับสภาปรมาจารย์!


หากมีบุรุษผู้ทรงอำนาจขนาดนี้เป็นหัวหน้าตระกูล ก็ย่อมแน่ใจได้ว่าตระกูลหลัวจะสามารถเอาตัวรอดจากวิกฤตการณ์ที่กำลังใกล้เข้ามา


“นี่พวกเรากำลังจะ…ยอมรับเขาเป็นหัวหน้าตระกูลของเราจริงๆหรือ?” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งตั้งคำถามด้วยสีหน้าเจื่อนๆ


นี่มันบ้าบออะไร…


พวกเขาตั้งใจมาที่นี่เพื่อหยามหน้าจางเซวียน แต่ไม่เพียงจะทำไม่ได้อย่างที่ตั้งใจไว้ ยังเกือบจะต้องยอมรับศัตรูตัวฉกาจมาเป็นหัวหน้าตระกูลด้วย ใช่ว่าพวกเขาไม่เข้าใจเหตุผล แต่ยาเม็ดนี้ก็ขมเกินกว่าที่จะกลืนลงไปได้!


ยิ่งคิดก็ยิ่งคับข้องใจ


“ทุกอย่างเป็นไปเพื่อประโยชน์ของตระกูลของเราเท่านั้น!” รู้ดีว่าคนเหล่านั้นคิดอย่างไร หลัวกั้นเจินถอนหายใจอย่างจนปัญญาอีกครั้งและพูดว่า “เอาล่ะ กลับกันเถอะ เทียนหยาคงกำลังรอพวกเราอยู่ที่บ้านพัก”


ฝูงชนจึงรีบกลับสู่ที่รับรองแขก ที่นั่น พวกเขาเห็นหลัวเทียนหยานั่งอยู่ในห้องด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความลังเล


หลังจากเห็นทุกคนกลับมา หลัวเทียนหยาอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “เหล่าผู้อาวุโส…”


“ท่านหัวหน้า คุณไม่ต้องพูดอะไรแล้วล่ะ ผมคิดว่าคุณทำถูกแล้วที่สนับสนุนให้จางเซวียนรวม 3 ตระกูลชั้นนำเข้าเป็นหนึ่ง พวกเราเต็มใจจะทำตามคำสั่งของคุณ” หลัวกั้นเจินประสานมือ


หลัวเทียนหยาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ฟังคำพูดของหลัวกั้นเจิน ครู่ต่อมาเขาก็ส่ายหน้าและพูดว่า “ในเมื่อคุณรับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว ผมก็จะไม่พูดถึงละนะ นี่คือพระราชวังชิวอู๋ที่จางเซวียนมอบให้ผม รักษามันไว้ให้ดี!”


“ผมจากไปคราวนี้ คงไม่ได้กลับมาอีกแล้ว พวกคุณจะต้องฟังคำสั่งของปรมาจารย์จางและดูแลตระกูลหลัวของเราให้แข็งแกร่งกว่าที่เป็นมานะ!”


หลังจากพูดจบ หลัวเทียนหยาก็ไม่รอคำตอบ เขาเปิดรอยแยกของมิติและกระโจนเข้าไป หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


เมื่อเจอกับการจากไปของท่านหัวหน้าอย่างต่อหน้าต่อตา ฝูงชนจากตระกูลหลัวพากันเงียบกริบไปอีกนาน


…..


“ลูกชายของเรากลับมาหรือยัง?”


ในห้องโถงใหญ่ของตระกูลจาง เซียนดาบเหมิงเดินวนไปมาราวกับหนูติดจั่น สีหน้าของเธอเคร่งเครียด


“ท่านหัวหน้าตระกูลกลับมาแล้ว แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็ออกไปใหม่ คราวนี้ผมเกรงว่าผมไม่แน่ใจว่าเขาไปไหน” ผู้อาวุโสคนหนึ่งตอบ


“เฮ่อออ! เจ้าหนุ่มนั่น! เขาควรจะรู้ว่าตระกูลหลัวมารออยู่เพื่อจะท้าทายเกียรติยศศักดิ์ศรีของตระกูลจาง กลับยังมีอารมณ์จะเที่ยวร่อนไปร่อนมา…” เซียนดาบเหมิงขมวดคิ้ว


ตระกูลหลัวทำให้การมาเยือนของพวกเขาเป็นเรื่องอึกทึกครึกโครม เป็นที่ชัดเจนต่อสายตาของทุกคนว่าพวกเขาตั้งใจมาเพื่อหยามศักดิ์ศรีตระกูลจาง แต่จางเซวียนซึ่งเป็นหัวหน้าตระกูลยังมีแก่ใจจะเดินทางไปนู่นมานี่ในช่วงเวลาคับขันแบบนี้…เรื่องนี้ยอมรับไม่ได้!


“เซวียนเอ๋อเป็นเด็กฉลาด ผมเชื่อว่าเขามีเหตุผลในการทำแบบนั้น แน่นอนว่าเรื่องนี้น่ะ พวกเราเป็นฝ่ายผิด จึงเป็นธรรมดาที่เซวียนเอ๋อจะหลบหน้าพวกตระกูลหลัว เพราะหากเขาปรากฏตัว ก็มีแต่จะทำให้ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่าง 2 ตระกูลคุกรุ่นขึ้นมาอีก” เซียนดาบชิงส่ายหน้า


“เขาจะหลบหน้าพวกตระกูลหลัวก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ยื้อให้ทุกอย่างบานปลายออกไปแบบนี้น่ะไม่ดีแน่ หากฉันมีโอกาสได้พูดนะ ฉันจะจัดการให้เซวียนเอ๋อแต่งงานกับทั้งหลัวลั่วชิงและหลัวฉีฉี จะได้ไม่มีปัญหาอะไรอีก!” เซียนดาบเหมิงคำราม


ในตอนนั้น ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาในห้องโถงใหญ่


“ท่านรองหัวหน้า…” หลังจากเข้ามาในห้อง ผู้อาวุโสโค้งคำนับก่อนจะรายงาน “เรื่องราวเกี่ยวกับตระกูลหลัวได้รับการคลี่คลายแล้ว…”


ทั้งเซียนดาบชิงและเซียนดาบเหมิงถึงกับอึ้งไป เซียนดาบชิงรีบตั้งคำถาม “มันคลี่คลายอย่างไร?”


ในมุมมองของพวกเขา เรื่องนี้รับมือได้ยากมาก จนกว่าจางเซวียนจะได้ดวลกับหลัวเทียนหยา ตระกูลหลัวก็คงไม่ยอมล่าถอยง่ายๆ แต่นี่ยังไม่ทันเกิดอะไรขึ้นเลย แล้วทุกอย่างคลี่คลายได้อย่างไร?


ผู้อาวุโสรายงานด้วยสีหน้าแทบไม่อยากเชื่อ “เอ่อ…สมาชิกของตระกูลหลัว…ยอมรับจางเซวียนเป็นหัวหน้าตระกูลของพวกเขาแล้ว!”


“พวกนั้นยอมรับเซวียนเอ๋อเป็นหัวหน้าตระกูล?”


เซียนดาบชิงกับเซียนดาบเหมิงมองหน้ากัน ก่อนจะจังงังไปทั้งคู่

 

 

 


ตอนที่ 1659

 

 ไปสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่กันเถอะ!

ตระกูลหลัวตบเท้ามาด้วยความกระหายที่จะหยามศักดิ์ศรีของจางเซวียนและตระกูลจาง แต่ยังไม่ทันจะได้เกิดอะไรขึ้น พวกนั้นก็ยอมรับจางเซวียนเป็นหัวหน้าตระกูลเสียแล้ว…สมองของพวกตระกูลหลัวยังปกติดีอยู่หรือเปล่า?


ไม่อย่างนั้น ทำไมถึงทำอะไรที่โง่เง่าแบบนี้ได้?


“ผมก็ไม่รู้รายละเอียด แต่ได้ยินมาว่า…” ผู้อาวุโสชะงักไป เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าเรื่องราวที่ได้ยินมาจะเป็นความจริงหรือเปล่า จึงไม่รู้ว่าควรรายงานต่อไปหรือไม่


“พูดออกมาสิ มันคืออะไร?” เซียนดาบชิงตั้งคำถามอย่างจริงจัง


“ร่ำลือกันว่าเมื่อวานนี้หัวหน้าตระกูลของเราเดินทางไปเยือนตระกูลเจียง และไม่นานหลังจากนั้น พวกตระกูลเจียงก็จัดพิธีสถาปนาเขาขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูล!”


“….” เซียนดาบชิง


“….” เซียนดาบเหมิง


ใครบอกได้ว่าได้บ้างว่ามันเกิดอะไรขึ้น?


ทั้งตระกูลเจียงกับตระกูลหลัวยอมรับคนตระกูลจางให้เป็นหัวหน้าตระกูลของพวกเขา…


สมองของพวกตระกูลเจียงผิดเพี้ยนไปด้วยหรือเปล่า?


หรือว่ามีโรคติดต่ออะไรบางอย่างในหมู่ชนชั้นนำของทวีปแห่งปรมาจารย์? บางทีเราควรจับตาเรื่องนี้ให้ดี


เซียนดาบชิงเหมิงถึงกับสับสนไปครู่หนึ่ง ทั้งคู่เข้าใจทุกคำที่ผู้อาวุโสพูด แต่เมื่อนำทุกคำมาปะติดปะต่อกัน ก็เกิดเป็นเรื่องราวที่ไม่อาจทำความเข้าใจได้


ไม่ใช่เฉพาะเซียนดาบชิงเหมิงที่สับสน ทุกคนในตระกูลจางก็จังงังเมื่อได้ยินข่าวนั้น


สีหน้าอึ้งตะลึงปรากฏบนใบหน้าของสมาชิกตระกูลจางทุกคนขณะที่ข่าวแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว


หัวหน้าตระกูลของพวกเรา…ช่างแน่นอนจริงๆ!


กลายเป็นหัวหน้าของสามตระกูลชั้นนำ…นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์!


ไม่ช้าข่าวนี้ก็แพร่ไปถึงตระกูลหลัว ทุกคนต่างจังงังกับเรื่องราวที่ได้รับรู้


หลัวชวนฉิงกำลังอยู่ระหว่างการฝึกฝนความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติตอนที่ได้ยินข่าวนั้น


พลั่ก!


เขาทรุดฮวบลงกับพื้น นัยน์ตาเหลือกลานขณะที่สลบไป


ใครบอกเราได้บ้างว่ามันเกิดอะไรขึ้น?


หัวหน้าตระกูลกับเหล่าผู้อาวุโสเดินทางไปที่นั่นเพื่อแก้แค้นไม่ใช่หรือ?


หรือนี่คือสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าการแก้แค้น?


…..


“ในที่สุดทุกอย่างก็คลี่คลายเสียที!”


จางเซวียนไม่ได้รับรู้ถึงความอึกทึกครึกโครมที่เขาก่อขึ้น เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกและกลับเข้าห้อง


ตราบใดที่ความขัดแย้งกับตระกูลหลัวยังไม่ได้รับการคลี่คลาย มันก็จะกลายเป็นหนามที่คอยทิ่มตำเขาอยู่อย่างนั้น เพราะไม่มีทางเลือก เขาจึงต้องปลุกตัวโคลนขึ้นมาและสร้างสถานการณ์ทั้งหมดต่อหน้าตระกูลหลัว เกิดเป็นเหตุการณ์ที่หลัวกั้นเจินกับคนอื่นๆได้เห็น


การกระทำของเขาอาจไม่ถือว่าถูกต้องชอบธรรมนัก แต่ด้วยสถานการณ์ของโลกในเวลานี้ เขาไม่มีทางเลือก ขอแค่เขาแก้ไขความขัดแย้งกับตระกูลหลัวและทำให้คนพวกนั้นเต็มใจผนึกกำลังกับตระกูลจางและตระกูลเจียงเพื่อรับมือกับวิกฤตที่รออยู่ได้ ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว


เขาออกไปข้างนอกทั้งวัน แต่ก็ได้รับผลตอบแทนอันยิ่งใหญ่กลับมา


เขาได้ฝึกฝนแก่นสารของจิตวิญญาณ ยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณจนถึงขั้นร่างอันทรงเกียรติ หลอมศพของนักปราชญ์โบราณให้กลายเป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณ ได้หน้าหนังสือสีทองมาอีกหน้าหนึ่ง และที่สำคัญกว่านั้น กลายเป็นหัวหน้าของสองตระกูลชั้นนำด้วย…


ช่างเป็นวันที่ทุกอย่างสำเร็จและบังเกิดผลมากมายจริงๆ!


“ในเมื่อตอนนี้เรามีเวลาว่างแล้ว ก็ควรจะพัฒนาจิตวิญญาณต้นกำเนิดระดับร่างอันทรงเกียรติของเราให้เข้าถึงขั้นโลกจารึก”


จางเซวียนสูดหายใจลึก เขาเปิดใช้งานค่ายกลที่อยู่รอบห้องเพื่อป้องกันไม่ให้ใครมาแอบดู ก่อนที่จะถอดจิตวิญญาณต้นกำเนิดออกมาอีกครั้ง


หลังจากที่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาได้รับการบ่มเพาะจากการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาก็สำเร็จถึงขั้นร่างอันทรงเกียรติ แต่ก็ยังอีกระยะหนึ่งกว่าที่จะเข้าถึงขั้นโลกจารึก


ในเมื่อตอนนี้พอมีเวลา จึงเป็นเรื่องดีที่เขาควรจะรีบทำให้สำเร็จ ไม่อย่างนั้น ช่องว่างระหว่างตัวเขากับตัวโคลนก็มีแต่จะทำให้เขาต้องรู้สึกแย่มากขึ้นเรื่อยๆ


เพราะร่างต้นแบบจะอ่อนด้อยกว่าตัวโคลนได้อย่างไร?


เป็นเรื่องน่าเสียศักดิ์ศรีขนาดไหนที่ร่างต้นแบบต้องถูกตัวโคลนดูถูกดูแคลนแบบนี้?


จางเซวียนนำทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธออกมา 2-3 อย่าง จากนั้น จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาก็เริ่มซึมซับพลังจิตวิญญาณอย่างดุเดือด


…..


4 ชั่วโมงต่อมา…


จิตวิญญาณต้นกำเนิดทั้งดวงของจางเซวียนเปล่งประกายเจิดจ้าสีทอง ราวกับทำจากทองคำแท้


“ในที่สุดเราก็เข้าถึงขั้นโลกจารึกแล้ว…” จางเซวียนตาโตด้วยความตื่นเต้น


มันออกจะเหน็ดเหนื่อยอยู่ไม่น้อย แต่ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จหลังจากฝึกฝนอย่างหนักถึง 4 ชั่วโมง


“ด้วยระดับวรยุทธของจิตวิญญาณและระดับวรยุทธของพลังปราณที่เรามีอยู่ตอนนี้ ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับนักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ เราก็จะเอาชนะเขาได้สบาย และเมื่อมีหอกสวรรค์กระดูกมังกรอยู่ด้วย เราก็มีโอกาสเอาชนะได้แม้แต่นักรบระดับชั่วกัลปาวสานขั้นต้น!”


เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่ไหลพล่านทั่วร่างของเขา จางเซวียนยิ้มด้วยความยินดีปรีดา


แม้จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาจะอยู่ในขั้นร่างอันทรงเกียรติ โลกจารึกเท่านั้น แต่มันก็ได้รับการบ่มเพาะจากการทดสอบสถาปนาเซียน การทดสอบสายฟ้า และการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ มันเทียบชั้นกับนักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณได้แล้ว


และเมื่อประกอบกับหอกสวรรค์กระดูกมังกรที่เขามีอยู่ ตอนนี้ ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับเซียนดาบชิงโดยตรงก็คงเอาชนะได้!


“ด้วยพละกำลังระดับนี้ เราคงป้องกันตัวเองได้แล้วล่ะ”


ถึงหน้าหนังสือสีทองจะทรงพลังแค่ไหน แต่มันก็ใช้ได้เพียงครั้งเดียว เมื่อใช้แล้วมันก็จะหายไป ส่วนหุ่นโลหะไร้วิญญาณที่เขาหลอมขึ้นจากศพของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณนั้น แม้จะทรงพลัง แต่ก็ใช้พลังจิตวิญญาณสิ้นเปลืองมาก และความสามารถของเขาในการควบคุมมันก็ไม่เฉียบคมเมื่อเทียบกับการเคลื่อนไหวร่างกายของตัวเอง


ลงท้าย ก็ไม่มีอะไรที่น่าไว้วางใจไปกว่าพละกำลังของตัวเขา


“จางเซวียน!”


ขณะที่จางเซวียนนำจิตวิญญาณต้นกำเนิดกลับเข้าร่าง ก็ได้ยินเสียงเรียกอยู่ด้านนอก


เขารีบแหวกปราการออกและเดินออกจากห้องนั้นไป


หลัวลั่วชิงนั่งอยู่บนม้านั่งตัวหนึ่งในลานบ้าน เมื่อเห็นจางเซวียน ก็เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ


“คุณฝ่าด่านวรยุทธได้แล้วหรือ?”


จางเซวียนหายไปเพียงวันเดียว แต่รังสีของเขาแตกต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด มันล้ำลึกกว่าเดิมมาก ทำให้ยากที่จะกะประมาณความแข็งแกร่งของเขาด้วยการมองเพียงแวบเดียว


“ผมคิดว่าอย่างนั้น” จางเซวียนตอบพร้อมกับพยักหน้า


“คุณฝ่าด่านวรยุทธได้ก็ดีแล้ว ฉันจำเป็นต้องเดินทางไปสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่เพื่อจัดการอะไรบางอย่าง และจะได้พาคุณไปยังบริเวณที่ปรมาจารย์ขงทิ้งกรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธขั้นสูงของเขาเอาไว้ด้วย” หลัวลั่วชิงพูด


“คุณจะเดินทางไปสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่หรือ?” จางเซวียนทวนคำด้วยความแปลกใจ


“ใช่ ฉันเห็นพลังงานมหาศาลแผ่ออกจากร่างของคุณ มันใกล้จะปั่นป่วนเต็มทีแล้ว แน่นอนว่าถึงเวลาที่คุณจะต้องยกระดับวรยุทธเสียที ด้วยวิธีนี้ ต่อให้เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น คุณก็จะมีความแข็งแกร่งพอที่จะรับมือ และฉันก็จะ…” หลัวลั่วชิงหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “…วางใจได้”


“ใช่ ถึงเวลาที่ผมควรยกระดับวรยุทธแล้วจริงๆ” จางเซวียนพยักหน้า


สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดนั้นยโสโอหังมาก เขาจำเป็นต้องฝ่าด่านวรยุทธโดยเร็วที่สุดเพื่อแผดเผาเจ้านั่นให้สิ้นซากไปโดยใช้เปลวเพลิงสวรรค์


เพราะไม่อย่างนั้น หากมันเกิดบ้าดีเดือดแผลงฤทธิ์อะไรสักอย่างขึ้นมา เขาคงจะแย่แน่


ที่สำคัญกว่านั้น หากเขาฝ่าด่านวรยุทธและยกระดับวรยุทธของพลังปราณไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอีกมาก และเมื่อผนวกเข้ากับจิตวิญญาณต้นกำเนิดที่ถึงขั้นร่างอันทรงเกียรติแล้ว ต่อให้ไม่มีหยดเลือดของปรมาจารย์ขง เขาก็สามารถเอาชนะนักรบทุกคนที่มีวรยุทธต่ำกว่าขั้นนักปราชญ์โบราณได้


พูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้นอีกครั้ง ก็คงจะจับตัวหมอนั่นและเค้นให้บอกที่อยู่ของจ้าวหย่ากับคนอื่นๆออกมาได้สำเร็จ


สิ่งเดียวที่พอจะปลอบใจจางเซวียนในตอนนี้ก็คือจ้าวหย่ากับคนอื่นๆคงไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง ในฐานะหัวหน้าของกลุ่มอำนาจชั้นนำ พวกเขาน่าจะมีดวงไฟของจิตวิญญาณ ซึ่งหากเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นจริง ทางศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็ง ห้องโถงแห่งยาพิษ และตระกูลหยวนก็คงจะส่งข่าวมาแล้ว


อีกอย่าง ความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่าง 100 สำนักแห่งนักปราชญ์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ เขาจะต้องค้นหาเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการร่วมมืออันไม่ชอบมาพากลครั้งนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อจะได้รู้เสียทีว่า 100 สำนักแห่งนักปราชญ์เป็นพันธมิตรหรือศัตรู


“ถ้าอย่างนั้นก็ออกเดินทางเถอะ” หลัวลั่วชิงพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ


“ได้สิ!” จางเซวียนพยักหน้า


เขารีบเรียกซุนฉางมาเพื่อสั่งการบางอย่าง ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินทางออกจากตระกูลจางไป


หลังจากพ้นอาณาเขตตระกูลจางมาได้ไม่นาน จางเซวียนก็พลันนึกถึงเด็กชายวัยรุ่นขึ้นมาและถามหลัวลั่วชิงว่า “หวู่เฉินจะไปกับเราหรือเปล่า?”


หวู่เฉินติดตามพวกเขามาถึงตระกูลจาง แต่ดูเหมือนหลายวันมานี้เขาจะไม่ได้พบหน้าอีกฝ่ายเลย แต่จางเซวียนเองก็มีภารกิจยุ่งเหยิงอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ควรสงสัยอะไรให้มาก


“เขามีบางอย่างที่ต้องไปจัดการ จึงออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อน เรากำลังจะไปสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่เพื่อค้นหากรรมวิธีฝ่าด่านวรยุทธขั้นสูงของปรมาจารย์ขงนะ ไม่ได้ไปสู้รบกับใคร ไม่มีอะไรอันตรายหรอก เพราะฉะนั้น จะมีเขาอยู่ด้วยหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่” หลัวลั่วชิงตอบ


“คุณพูดถูก” จางเซวียนพยักหน้าก่อนจะเงียบไป


เขารีบตรวจสอบแผนที่ที่เก็บไว้ในหอสมุดเทียบฟ้าเพื่อหาตำแหน่งที่ตั้งของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ จากนั้นก็สะบัดข้อมือ แล้วหอกสวรรค์กระดูกมังกรก็ปรากฏ


“จัดการ!”


ด้วยการกวัดแกว่งหอก รอยแยกแห่งมิติก็ถูกเปิดออก เส้นทางหนึ่งปรากฏตรงหน้า


จางเซวียนนำทางไป มีหลัวลั่วชิงตามไปติดๆ


ครู่ต่อมา ทั้งคู่ก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มอาคารสูงตระหง่านที่ดูโอ่อ่าหรูหราราวกับพระราชวัง


สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)