ข้ามกาลบันดาลรัก 165.3-166.3

ตอนที่ 165-3 พูดหว่านล้อม

 

วันนี้เมิ่งเชี่ยนโยวให้สะใภ้สกุลเมิ่งทั้งสามคนทำตามที่ตัวเองบอก หั่นมันฝรั่งเป็นชิ้นเล็กๆ แตกต่างกัน แต่ละชิ้นจะต้องมีหน่ออ่อนอยู่ด้วย ส่วนเมิ่งชิงและเมิ่งเจี๋ยมีหน้าที่นำมันฝรั่งที่หั่นเสร็จแล้ววางพลิกหน่ออ่อนหงายขึ้นฟ้า สะใภ้ซุนก็เดินกระวีกระวาดเข้ามา พูดกับนาง “นายหญิง พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ข้าพาอิงจื่อมา บอกว่ามีเรื่องจะพูดกับท่าน ตอนนี้กำลังรออยู่ที่บ้านข้า”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินหยุดชะงักมือที่หั่นมันฝรั่ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ล้างมือ ตามสะใภ้ซุนมาถึงบ้านพวกเขา


 


 


พ่อแม่อิงจื่อเห็นนางเข้ามา รีบลุกขึ้นยืน เมิ่งเชี่ยนโยวทักทายพวกเขาอย่างมีมิตรไมตรี ให้พวกเขานั่งลง


 


 


หลังจากพ่ออิงจื่อนั่งลง ก็พูดขึ้นทันที “วันนี้พวกเรามาเรื่องงานแต่งงานของอิงจื่อ พวกเราตัดสินใจแล้ว จะไม่ถอนหมั้น แต่พวกเรามีเงื่อนไข”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคาดการณ์ไว้แล้วว่าพวกเขาจะไม่ถอนหมั้น จึงไม่ประหลาดใจอะไร ยิ้มถาม “มีเงื่อนไขใด เชิญพูด”


 


 


พ่ออิงจื่อพูดว่า “พวกเราอยากให้อิงจื่ออยู่ที่บ้านก่อนหนึ่งปี รอให้ถึงปีหน้าค่อยแต่งงาน” พูดจบกลัวเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจผิด รีบร้อนอธิบายต่อว่า “พวกเรามิได้ต้องการข่มขู่พวกเจ้า เดิมพวกเราคิดว่าอิงจื่ออายุยังน้อย อยากให้นางอยู่ที่บ้านก่อนอีกสักปี เป็นพวกเจ้าที่เอาแต่รบเร้า พวกเราถึงรับปากให้พวกเขาแต่งงานอย่างปัจจุบันทันด่วน เมื่อตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นกับเมิ่งเหริน ก็ประจวบเหมาะให้อิงจื่ออยู่บ้านต่ออีกสักปี เมิ่งเหรินจะได้มีเวลาทบทวนความผิดอย่างถี่ถ้วนด้วย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิดแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ข้าตัดสินใจไม่ได้ ข้าจะไปเรียกท่านป้าใหญ่มา พวกท่านพูดกับนางเองเถอะ”


 


 


แม่อิงจื่อบอกปฏิเสธ “อิงจื่อและเมิ่งเหรินยังไม่ได้แต่งงานกัน พวกเราสองครอบครัวเจอหน้ากันแบบนี้ไม่เหมาะสม เอาอย่างนี้เถอะ วันนี้พวกเราก็ไม่มีธุระอะไร จะอยู่บ้านน้องสะใภ้จนถึงเที่ยง เจ้ากลับไปปรึกษากับพวกเขาก่อน ดูว่าพอจะรับเงื่อนไขของพวกเราได้หรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่อมไม่มีความเห็นแย้ง ลุกขึ้นพลัน “ได้ ข้าจะกลับไปถามเดี๋ยวนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาถึงบ้านโดยไว นำเงื่อนไขของบ้านอิงจื่อบอกให้ภรรยาเมิ่งต้าจินฟัง


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินได้ยินว่าพวกเขาไม่ถอนหมั้น ก็ให้โล่งใจ แต่พอได้ยินว่าปีหน้าถึงจะให้อิงจื่อแต่งงาน ก็เริ่มไม่พอใจ “ปีนี้เหรินเอ๋อร์อายุสิบแปดปีแล้ว แต่งงานตอนนี้ก็นับว่าล่วงมามากแล้ว หากให้รอถึงปีหน้า เกรงจะเป็นที่ขบขันของคนอื่นได้”


 


 


เมิ่งชื่อและภรรยาเมิ่งซานถงก็รู้สึกว่าจะแต่งงานปีหน้าไม่ได้ เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มรู้สึกลำบากใจ แนะนำให้ไปปรึกษาเมิ่งจงจวี่และหญิงชราเมิ่ง ให้พวกเขาเป็นผู้ตัดสินใจ


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินก็เห็นพ้อง วางงานในมือ กลับมาบ้านใหญ่พร้อมนาง บอกเงื่อนไขของพ่อแม่อิงจื่อกับสองผู้เฒ่าเมิ่ง หญิงชราเมิ่งและภรรยาเมิ่งต้าจินคิดเหมือนกัน ย่อมไม่เห็นด้วย เมิ่งจงจวี่ที่หลังจากได้ฟังกลับทอดถอนใจ “เหรินเอ๋อร์มีพ่อตาแม่ยายเช่นนี้ นับว่าเป็นวาสนาแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเห็นดีเห็นงาม


 


 


เมิ่งจงจวี่ตะโกนไปยังห้องเมิ่งเหริน “เหรินเอ๋อร์ เจ้าออกมาหน่อยเถอะ”


 


 


เกิดเสียงกุกๆ กักๆ ขึ้นในห้องเมิ่งเหริน ครู่ใหญ่เมิ่งเหรินถึงเดินอย่างเชื่องช้าออกมา


 


 


เมิ่งจงจวี่ว่ากล่าวเขา “ดูเจ้าเสื้อผ้าหลุดลุ่ย จิตใจเลื่อนลอย ไม่เป็นผู้เป็นคนสักนิด?”


 


 


เมิ่งเหรินไม่พูดอะไร เพียงยืนเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น


 


 


เมิ่งจงจวี่ถามเขา “ปู่ถามเจ้า ตอนนี้เจ้าอยากแต่งงานหรือไม่?”


 


 


เมิ่งเหรินตอบอย่างไม่แยแส “แล้วแต่พวกท่าน พวกท่านให้ข้าแต่งข้าก็แต่ง พวกท่านไม่ให้ข้าแต่งข้าก็ไม่แต่ง”


 


 


เมิ่งจงจวี่โมโหเดือดดาล “เจ้าเศษสวะ การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต เจ้ากลับมาพูดอย่างขอไปที”


 


 


เข้าสอบขุนนางไม่ได้ หมดสิ้นความหวัง หลายวันมานี้เมิ่งเหรินมีชีวิตผ่านไปวันๆ ความโกรธแค้นอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจ ได้ยินเมิ่งจงจวี่ดุว่าเขา ความโกรธแค้นในใจพลันปะทุออกมา ร้องอาละวาดใส่เมิ่งจงจวี่อย่างไม่แยแส “พวกท่านไม่ให้ข้าไป ข้าก็ไม่ไป พวกท่านให้ข้าแต่งงาน ข้าก็ไม่คัดค้าน แบบนี้พวกท่านยังไม่พอใจ พวกท่านอยากให้ข้าทำอย่างไรกันแน่?”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินไม่คิดว่าเมิ่งเหรินจะกล้าเถียงเมิ่งจงจวี่ พูดเสียงสั่น “เหรินเอ๋อร์ พูดกับท่านปู่เช่นนี้ได้อย่างไร? รีบขอโทษท่านปู่เดี๋ยวนี้”


 


 


เมิ่งเหรินโมโหจนหน้าอกกระเพื่อม ไม่พูดอะไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเยาะหยัน “พี่ใหญ่พูดผิดแล้ว ไม่ใช่พวกเราไม่ให้ท่านไปเรียนหนังสือ แต่เป็นท่านเองที่ทอดทิ้งการเรียนหนังสือ?”


 


 


เมิ่งเหรินหันเปลี่ยนทิศทาง “ข้าทอดทิ้งการเรียนอย่างไร เป็นพวกเจ้าต่างหากที่ไม่ให้ข้าไป?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา “เหตุใดพวกเราถึงไม่ให้ท่านไป? ท่านเคยคิดหรือไม่?”


 


 


เมิ่งเหรินยังคงเกรี้ยวกราด “ก็เพราะข้าแอบใช้เงินที่เมิ่งอี้ฝากมาให้ครอบครัวโดยพลการอย่างไรเล่า? แค่เพราะเรื่องเล็กน้อยนี้ พวกเจ้าก็ตัดเส้นทางการสอบขุนนางข้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “พี่ใหญ่ยังคงไม่เข้าใจว่าตัวเองผิดที่ตรงไหน เงินทองเป็นเรื่องเล็ก สิ่งสำคัญคือพฤติกรรมของท่าน ท่านถูกครอบครัวตามใจจนเหลิง อยากได้อะไรก็ได้ ไม่เคยเข้าใจความลำบากภายในครอบครัวเลย ข้าขอถามท่าน ตอนที่ท่านใช้เงินก้อนนี้ ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ เพื่อหาเงินก้อนนี้ พี่รองต้องไม่ได้กลับบ้านปีกว่า ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ เงินก้อนนี้ คือค่าใช้จ่ายให้ท่านเรียนหนังสือหนึ่งปี ท่านคงยิ่งไม่เคยคิดเลยว่า เงินก้อนนี้จะทำให้ครอบครัวมีกินมีใช้ไปหนึ่งปี เพื่อความปรารถนาของตัวเอง ไม่สนใจความลำบากของพี่รอง ความเหนื่อยยากของครอบครัว ใช้เงินก้อนนั้นไปโดยไม่ลังเลสักนิด ท่านไม่รู้จักความทุกข์ยากของประชาราษฎร์ พวกเราจะให้ท่านไปเข้าสอบขุนนาง ให้ภายหน้ายิ่งสร้างภัยพิบัติแสนเข็ญต่อผู้คนอีกมากได้อย่างไร?”


 


 


เมิ่งเหรินนิ่งงัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “โดยเฉพาะท่านในตอนนี้ ท่านยังไม่ตระหนักถึงความผิดของตัวเอง ยังกล้ากำเริบเสิบสานโต้เถียงท่านปู่ แม้แต่คุณธรรมพื้นฐานแปดประการ[1]ท่านก็ยังไม่มี ท่านเข้าสอบขุนนางไปจะมีประโยชน์ใด?”


 


 


เมิ่งเหรินลนลานอธิบาย “ข้ามิได้มีเจตนาจะโต้เถียงท่านปู่ ข้าเพียงควบคุมตัวเองไม่ได้ชั่ววูบ ถึงระเบิดอารมณ์ใส่ท่านปู่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ท่านมิได้ควบคุมตัวเองไม่ได้ชั่ววูบ เกรงว่าท่านจะเคียดแค้นท่านปู่สุดขีดแล้ว ถึงได้ระเบิดอารมณ์ต่อท่านปู่”


 


 


เมิ่งเหรินลนลานโบกปัดมือ “ข้าไม่ได้เคียดแค้นท่านปู่ ข้าเพียงแค่รับไม่ได้ไปชั่วขณะ พวกเจ้าไม่ให้ข้ากลับไปเรียนหนังสือ ชาตินี้ข้าไม่มีวันได้สลักอักษรบนป้ายทอง ได้นำเกียรติมาสู่วงศ์ตระกูลแล้ว”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินก็ช่วยพูด “โยวเอ๋อร์ พวกเราต่างหวังดีต่อเหรินเอ๋อร์ เขาจะเคียดแค้นชิงชังได้อย่างไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจภรรยาเมิ่งต้าจิน ยังคงพูดกับเมิ่งเหริน “พี่ใหญ่คิดผิดแล้ว ท่านปู่ไม่อนุญาตท่านเข้าสอบขุนนางตอนนี้ ไม่ได้หมายความว่าภายหน้าก็จะไม่อนุญาตท่านเข้าสอบขุนนาง ขอเพียงท่านเข้าใจความทุกข์ยากของชีวิต ลบความคิดหมายแต่จะเสพสุข ท่านปู่ย่อมอนุญาตให้ท่านเข้าสอบขุนนาง”


 


 


เมิ่งเหรินได้ฟังเช่นนั้นเบิกตาโพลง ถามอย่างยินดี “เจ้าพูดเป็นความจริง? ภายหน้าท่านปู่จะยอมให้ข้าเข้าสอบขุนนาง?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “อยู่ที่การประพฤติตัวของท่านแล้ว ท่านจะรู้แจ้งถึงความผิดของตนเอง ทั้งแก้ไขข้อผิดพลาด ออกมาจากใจจริง มิใช่ทำพอเป็นพิธีแค่ผิวเผิน ท่านปู่จะต้องยินยอมตกลง”


 


 


เมิ่งเหรินหันกลับไปหาเมิ่งจงจวี่ ถามอย่างไม่เชื่อ “ท่านปู่ น้องโยวเอ๋อร์พูดเป็นความจริง?”


 


 


เมิ่งจงจวี่ถอนหายใจยาว “เสียแรงที่เจ้าร่ำเรียนมาหลายปี กลับคิดอ่านแตกฉานสู้นางไม่ได้”


 


 


เมิ่งเหรินคุกเข่าลงดัง “พลั่ก” พูดด้วยใจจริง “ท่านปู่ ข้าซาบซึ้งในความตั้งใจดีของท่านแล้ว ท่านวางใจ ข้าจะไม่ใช้ชีวิตอย่างซังกะตายไปวันๆ อีกเด็ดขาด นับแต่วันนี้ไป พวกท่านให้ข้าทำอะไรข้าก็จะทำสิ่งนั้น”


 


 


เมิ่งจงจวี่พยักหน้าปลาบปลื้มใจ “เมื่อเป็นเช่นนี้ นับตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าจงไปช่วยโยวเอ๋อร์ทำความสะอาดที่รกร้างพร้อมคนในครอบครัวเถอะ”


 


 


เมิ่งเหรินพยักหน้ารับคำ “อีกประเดี๋ยวข้าจะไป” พูดจบหันไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว “ขอบใจน้องโยวเอ๋อร์ที่เตือนสติข้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดจริงจังกับเขา “ข้าไม่ได้ทำเพื่อท่าน ข้าทำเพื่ออิงจื่อ ข้าทำใจเห็นผู้หญิงที่ดีเช่นนั้นต้องมาทุกข์ทรมานเพราะท่านไม่ได้”


 


 


เมิ่งเหรินโบกมือทันควัน “ไม่มีทางๆ อิงจื่อนำโชควาสนาที่ดีขนาดนี้มาให้ข้า เมื่อแต่งงานกันแล้วข้าจักต้องปฏิบัติดีต่อนาง”


 


 


หญิงชราเมิ่งและภรรยาเมิ่งต้าจินมองเมิ่งเหรินที่ในที่สุดก็ได้สติแล้ว ต่างยิ้มร่ายินดี


 


 


เมิ่งจงจวี่ถามเขา “เช่นนั้นเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรกับวันแต่งงาน?”


 


 


เมิ่งเหรินครุ่นคิด ตอบอย่างขึงขัง “ข้าอายุไม่น้อยแล้ว แต่งงานปีหน้าล่าช้าเกินไป เอาเช่นนี้ พวกเราพบกันครึ่งทาง ท่านไปถามพ่อแม่อิงจื่อ แต่งงานสิ้นปีได้หรือไม่?”


 


 


หญิงชราเมิ่งก็รู้สึกว่ากำหนดเป็นช่วงสิ้นปีก็ดี รบเร้าเมิ่งเชี่ยนโยวให้รีบไปถาม


 


 


เมิ่งจงจวี่กลับพูดว่า “ไม่ต้องไปถามแล้ว เมื่อพ่อแม่อิงจื่อต่างก็มาแล้ว พวกเราก็ไม่ต้องใส่ใจขนบธรรมเนียมอะไรอีก เชิญพวกเขามากินข้าวที่บ้านสักมื้อ ข้ามีเรื่องจะได้พูดกับพวกเขาโดยตรง”


 


 


หญิงชราเมิ่งไม่เห็นด้วย “พวกเราทำเช่นนี้คนในหมู่บ้านจะนินทาเอาได้”


 


 


เมิ่งจงจวี่ยืนยัน “ก็แค่กินข้าวกับบ้านฝ่ายหญิงเท่านั้น พวกเขาอยากนินทาก็ให้นินทาไป ข้ายังไม่สนใจ เจ้าจะสนใจอะไร?”


 


 


หญิงชราเมิ่งไม่เข้าใจว่าวันนี้เมิ่งจงจวี่เป็นอะไรไป? เหตุใดต้องดื้อรั้นเชิญพ่อแม่อิงจื่อมากินข้าวบ้านตัวเอง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความคิดเมิ่งจงจวี่ รับคำอย่างยินดี “ทราบแล้ว ท่านปู่ ข้าจะไปเชิญพวกเขามาเดี๋ยวนี้”


 


 


พูดจบหันหลังก้าวอาดๆ ออกไป


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินก็ไม่เข้าใจ ทำหน้าฉงนมองเมิ่งเหริน


 


 


เมิ่งเหรินส่ายหน้า แสดงว่าตนเองก็ไม่รู้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงบ้านสะใภ้ซุน บอกว่าเมิ่งจงจวี่ให้พวกเขาไปกินข้าวบ้านตนเอง พ่ออิงจื่อตกใจลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ พูดตะกุกตะกัก “ดะ..ได้อย่างไรกัน ขะ..เขาเป็นผู้อาวุโส จะเชิญพวกเรากินข้าวได้อย่างไร?”


 


 


แม่อิงจื่อก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม


 


 


สะใภ้ซุนยิ่งไม่เห็นด้วย “นายหญิง ไม่ได้เด็ดขาด หากพวกพี่สะใภ้ข้าไป จะทำให้คนติฉินได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านปู่ข้าพูดแล้ว ใครอยากนินทาก็ให้พวกเขาพูดไป อย่างไรพวกเราก็ไม่สนใจ”


 


 


สะใภ้ซุนพูดว่า “แต่พวกเราสนใจ ข้าจะให้พี่ใหญ่พี่สะใภ้มาถึงก็ถูกคนในหมู่บ้านเอาไปพูดลับหลังว่า แค่อาหารมื้อเดียวข้าก็จัดการให้ไม่ได้ได้อย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวฉวยโอกาสพูด “เช่นนี้ดีเลย ท่านก็ไปกับพวกเราด้วย พวกเขาจะได้ไม่รู้สึกเก้อเขิน”


 


 


สะใภ้ซุนไม่คิดว่าตัวเองจะมีเอี่ยวด้วย ตกใจโบกมือเป็นพัลวัน พูดอย่างไรก็ไม่ไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างเป็นจริงเป็นจังกับทุกคน “นอกจากให้พวกท่านไปกินอาหารแล้ว ท่านปู่ข้ายังมีเรื่องสำคัญจะพูดกับพวกท่านด้วย”


 


 


พ่อแม่อิงจื่อได้ฟังดังนั้นก็ขาพับขาอ่อน ถามอย่างว้าวุ่นใจ “เรื่องอะไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ไปถึงพวกท่านก็รู้เอง สรุปคือเป็นเรื่องดี”


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] (礼义廉耻,孝悌忠信)เป็นหลักคุณธรรม 8 ประการของขงจื้อ อันได้แก่ มารยาท ความซื่อตรง ความบริสุทธิ์(กายและใจ) ความละอาย ความกตัญญู ความรักใคร่ปรองดอง ความจงรักภักดี ความมีสัจจะ

 

 

 


ตอนที่ 166-1 คำสัญญาน่าสะพรึง

 

พ่อแม่อิงจื่อยิ่งให้รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง มองสะใภ้ซุนอย่างขอความช่วยเหลือ หวังว่านางจะช่วยปฏิเสธ


 


 


ในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียงนี้ เมิ่งจงจวี่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงน่าเลื่อมใสคนหนึ่ง ไม่ง่ายที่จะให้เกียรติเชื้อเชิญใครกินข้าวที่บ้าน สะใภ้ซุนรู้ว่าหากตนเองและพี่ชายพี่สะใภ้บอกปัดอีก คนอื่นรู้เข้าจะกลายเป็นมองข้ามเจตนาดีของผู้อื่น จำต้องกัดฟันพูดว่า “ได้ พวกเราไป!”


 


 


พ่อแม่อิงจื่อไม่คิดว่านางจะรับคำ เลิ่กลั่กมองหน้ากัน มีเหงื่อผดซึมออกมาบนหน้าผาก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวร้องทักอิงจื่อ “อิงจื่อ พวกเราไปก่อน”


 


 


อิงจื่อก็ไม่ขัดขืน เดินนำหน้าตามเมิ่งเชี่ยนโยวออกไปอย่างผ่าเผย


 


 


สะใภ้ซุนไม่มีเวลาเล้าโลมพี่ชายพี่สะใภ้ บอกกล่าวคนในครอบครัว หุนหันเดินตามออกไปพร้อมพี่ชายและพี่สะใภ้


 


 


ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวไปเรียกพ่อแม่อิงจื่อมากินข้าว เมิ่งจงจวี่ไม่เพียงให้เมิ่งเหรินไปเรียกเมิ่งต้าจินกลับมา ทั้งยังให้ทุกคนเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ รอการมาของครอบครัวอิงจื่อ


 


 


เมิ่งเหรินขานรับคำ สองผู้เฒ่าชราเมิ่งและภรรยาเมิ่งต้าจินรออยู่ในบ้าน


 


 


ไม่นานคนทั้งหมดก็มาถึงบ้านใหญ่ ภรรยาเมิ่งต้าจินรออยู่หน้าประตูบ้านแล้ว เห็นพวกเขามาถึง รีบออกไปต้อนรับ ดึงมือแม่อิงจื่อเข้ามาอย่างสนิทสนม “บ้านสะใภ้ รีบเข้ามานั่งในบ้านก่อน”


 


 


อิงจื่อร้องเรียกทุกคนอย่างมีมารยาท ชะลอฝีเท้า เดินตามหลังเข้าไป


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินยิ่งเห็นก็ยิ่งพอใจ เดินพาแม่อิงจื่อเข้าไปด้านในพลางตีมือนางพูดว่า “บ้านสะใภ้ ท่านเลี้ยงลูกสาวได้ดีจริงๆ เป็นบุญวาสนาของท่านแล้ว”


 


 


เห็นภรรยาเมิ่งต้าจินแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ ครอบครัวตัวเองแต่งกายซอมซ่อ แม่อิงจื่อรู้สึกต่ำต้อย ไม่พูดตอบโต้กลับ สะใภ้ซุนเห็นบรรยากาศเก้อกัง พูดแทรกขึ้น “หลานสาวข้าคนนี้ไม่เลวจริงๆ ไม่เพียงหน้าตาสะสวย ทั้งยังขยันทำงานเก่ง ข้ามิได้จะอวยนาง ในละแวกใกล้เคียงหาเด็กสาวที่ดีเช่นนี้ไม่ได้แล้ว หากไม่ใช่เพราะพวกเรารู้จักมักคุ้นกัน ข้าก็ทำใจยกนางให้ครอบครัวพวกท่านไม่ได้”


 


 


ได้ยินน้าสาวกล่าวชมตนเอง อิงจื่อหน้าแดงเป็นผลท้อ


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินพูดอย่างดีอกอีใจ “ใช่ๆๆ ข้ารู้ เหรินเอ๋อร์ของเราได้แต่งงานกับอิงจื่อ เป็นบุญวาสนาที่สั่งสมมากว่าแปดชาติภพของเขา”


 


 


สองเฒ่าชราเมิ่งเป็นผู้อาวุโส แม้จะได้ยินเสียงพูดคุยของพวกเขา กลับไม่ได้เดินออกมา


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินต้อนรับขับสู้ทุกคนเข้ามาในบ้าน พูดอย่างยินดี “ท่านพ่อ ท่านแม่ พ่อแม่อิงจื่อมาแล้ว”


 


 


หญิงชราเมิ่งพูดทักทายพวกเขาอย่างเป็นกันเอง เมิ่งจงจวี่ชี้เก้าอี้ที่เตรียมไว้นานแล้ว พูดกับพวกเขา “นั่งเถอะ”


 


 


พ่อแม่อิงจื่อรู้ว่าเมิ่งจงจวี่เป็นซิ่วไฉเพียงหนึ่งเดียวของละแวกนี้ เต็มไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธา พูดอย่างเคารพยกย่อง “ท่านปู่ท่านย่าฝ่ายลูกเขย พวกเรามาเช่นนี้ รบกวนพวกท่านแล้ว”


 


 


หญิงชราเมิ่งยิ้มพูด “ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่รบกวน” พอเห็นอิงจื่อด้านหลัง ดวงตาเปล่งประกาย กวักมือเรียกนาง “นี่คืออิงจื่อใช่ไหม รีบมาให้ข้าดูหน่อยเถอะ”


 


 


อิงจื่อเดินขึ้นหน้า ร้องเรียกอย่างมีมารยาท “ท่านย่า”


 


 


หญิงชราเมิ่งขานรับคำ ปลาบปลื้มปิติ หยิบเงินหนึ่งตำลึงที่เตรียมเอาไว้แล้วออกมา วางในมือนาง “กะทันหันไปหน่อย ย่าไม่ทันได้เตรียมของขวัญอะไรให้เจ้า เงินเล็กน้อยนี้เจ้ารับไว้ เอาไปซื้อของที่ตัวเองชอบ”


 


 


พ่อแม่อิงจื่อพอเห็นว่าให้เงินมากเช่นนี้ ก็ตกใจตัวลอย ยับยั้งห้ามปราบ “ท่านย่า ไม่ได้เด็ดขาด พวกเรามามือเปล่ารู้สึกไม่ดีพอแล้ว จะรับเงินท่านอีกได้อย่างไร?”


 


 


อิงจื่อเองก็ไม่กล้ารับ ปัดป้องเป็นพัลวัน


 


 


หญิงชราเมิ่งกุมมือนาง ยิ้มพูด “ข้าเห็นอิงจื่อก็นึกชอบพอ นี่เป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า พวกเจ้าอย่าได้ปฏิเสธเลย”


 


 


เห็นสกุลเมิ่งรับรองหลานสาวตนเองเป็นอย่างดี สะใภ้ซุนปลาบปลื้มใจ พูดหว่านล้อมอิงจื่อ “รับไว้เถอะ ภายหลังแต่งงานแล้วค่อยดูแลท่านย่าให้ดีๆ”


 


 


อิงจื่อหน้าแดงรับก่ำ รับเงินก้อนนั้นมา


 


 


พ่อแม่อิงจื่อก็ให้ปลื้มปริ่มใจ ยิ่งเคารพเลื่อมใสสองผู้เฒ่าเมิ่ง ตอบคำถามพวกเขาอย่างระวังตั้งใจ


 


 


เมิ่งต้าจินและเมิ่งเหรินรีบร้อนกลับมา เพราะการแผ้วถางที่ดินทำเสื้อผ้าสกปรก ไม่ทันได้เปลี่ยนก็เดินเข้ามาทักทายพ่อแม่อิงจื่อในบ้าน


 


 


แม้จะได้พูดคุยกับสองผู้เฒ่าเมิ่งมาครู่หนึ่งแล้ว ความประหม่าในใจพ่อแม่อิงจื่อกลับไม่ได้ลดน้อยถอยลง เห็นเมิ่งต้าจินและเมิ่งเหรินเข้ามาพร้อมกัน ก็รู้ว่าเป็นญาติฝ่ายลูกเขยของตัวเอง รีบลุกขึ้นพูดจา กลับร้องเอ่ย “ญาติฝ่ายลูกเขย” แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก


 


 


เมิ่งต้าจินมองออกว่าพวกเขาประดักประเดิด ผ่อนคลายน้ำเสียง พูดอย่างเป็นกันเอง “ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ไม่ทราบว่าพวกท่านจะมา เมื่อครู่จึงไปแผ้วถางที่ดิน เข้ามาต้อนรับช้า ขอพวกท่านอย่าเก็บไปใส่ใจ”


 


 


พ่อแม่อิงจื่อโบกมืออุตลุด พ่ออิงจื่อพูดว่า “ไม่ๆๆ เป็นพวกเราที่ไม่ได้บอกก่อนก็เข้ามา เป็นความผิดของพวกเราเอง”


 


 


เห็นทั้งสองคนยังไม่ยอมปล่อยตัวตามสบาย เมิ่งต้าจินเปลี่ยนหัวข้อพูด หันไปบอกเมิ่งเหริน “รีบเข้ามาคำนับ”


 


 


เมิ่งเหรินเพิ่งจะได้รับโอกาส เหมือนกับตายแล้วเกิดใหม่ ใบหน้าปิติยินดี มีชีวิตชีวา ได้ยินเสียงเรียกของเมิ่งต้าจิน รีบตรงเข้ามาคำนับและร้องเรียกพ่อแม่อิงจื่อทันที


 


 


พ่อแม่อิงจื่อไม่รู้หนังสือ ให้ความเคารพยกย่องบัณฑิตเป็นทุนเดิม ดังนั้นพอรู้ว่าเมิ่งเหรินเป็นบัณฑิต ก็ชื่นชมเป็นพิเศษ ยอมรับการแต่งงานนี้ทันควัน แต่ไม่คิดว่าเมิ่งเหรินจะกระทำเรื่องเช่นนั้นได้ พ่อแม่อิงจื่อเกิดความไม่พอใจเขา โดยเฉพาะหลังจากที่ได้รู้ท่าทีของเมิ่งเหรินในตอนนี้จากปากเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ยิ่งไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานนี้ หากไม่เพราะอิงจื่อยืนหยัด หลายวันก่อนพวกเขาคงเข้ามาถอนหมั้นแล้ว ตอนนี้เห็นเมิ่งเหรินดูคึกคักมีชีวิตชีวา ทั้งอ่อนน้อมมีมารยาทต่อพวกเขาสองสามีภรรยา เกิดความคลางแคลงใจ หันไปมองสะใภ้ซุน ใช้สายตาซักถามว่าเกิดอะไรขึ้น?


 


 


สะใภ้ซุนไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมิ่งเหริน แต่ก็รับรู้ได้ถึงอารมณ์ปิติเบิกบานของเมิ่งเหริน นึกว่าเป็นเพราะการมาถึงของครอบครัวอิงจื่อทำให้เขาดีใจขนาดนี้ ก็ให้รู้สึกยินดี ยิ้มพูดแหย่เย้า “เมิ่งเหรินเห็นอิงจื่อมาแล้ว เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยเทียว ดูท่าจะพอใจอิงจื่อของพวกเรามากเช่นกัน”


 


 


อิงจื่อหน้าแดงเรื่อพลัน เมิ่งเหรินก็หน้าแดงฝาดตามไปด้วย


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินกลัวจะเผลอพูดอะไรออกมา รีบพูดแก้สถานการณ์กับสะใภ้ซุน “พวกเด็กๆ อายุยังน้อย ใบหน้าบาง เจ้าอย่าหยอกเย้าพวกเขาอีกเลย”


 


 


สะใภ้ซุนกลับมาพูดแหย่เย้านางแทน “แหม สะใภ้ต้าจิน เจ้าพูดเช่นนี้เพื่อลูกชาย? หรือเพื่อลูกสะใภ้กันเล่า?”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินยิ้มพูดเออออ “ก็ต้องเพื่อลูกสะใภ้อยู่แล้ว ลูกชายข้าใบหน้ากระด้างหยาบหน้า ไฉนเลยจะหน้าบางเขินอาย?”


 


 


คำพูดนางทำคนทั้งบ้านหัวเราะครื้นเครง พ่อแม่อิงจื่อก็หัวเราะตามอย่างพออกพอใจ


 


 


อิงจื่อยิ่งหน้าแดงเรื่อ


 


 


เมิ่งเหรินแอบลอบมองนางแวบหนึ่ง เห็นใบหน้าแดงฝาดของนาง ดวงตากลมโต แฝงความเขินอายกลับแสร้งยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น เกิดอาการตะลึงค้างพลัน


 


 


หลังเสียงหัวเราะ จิตใจที่ประหม่ากังวลของพ่อแม่อิงจื่อก็ผ่อนคลายลง


 


 


เมิ่งจงจวี่ขยับลูกคอ พูดขึงขังกับทุกคน “บ้านหลานสะใภ้ ที่วันนี้เชิญพวกเจ้ามา เพราะมีเรื่องอยากพูดต่อหน้าพวกเจ้า”


 


 


เห็นท่าทีขึงขังของเขา พ่อแม่อิงจื่อตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง พ่ออิงจื่อพูดอย่างประหวั่น “ท่านปู่ เชิญท่านพูด”


 


 


เมิ่งจงจวี่มองเมิ่งเหรินแวบหนึ่ง พูดอย่างรู้สึกกระดากอาย “เรื่องที่เหรินเอ๋อร์กระทำผิด พวกเจ้าน่าจะรู้แล้ว พวกเจ้ากลับไม่เดียดฉันท์ ครอบครัวพวกเราต่างซาบซึ้งใจ วันนี้ข้าตั้งใจเรียกพวกเจ้ามา เพราะอยากแสดงท่าทีต่อหน้าพวกเจ้า”


 


 


พ่ออิงจื่อลนลานลุกขึ้นยืน พูดอย่างหวาดหวั่น “ท่านปู่ ท่านกล่าวหนักเกินไปแล้ว พวกอิงจื่อหมั้นหมายกันแล้ว ต่อให้เมิ่งเหรินเคยกระทำผิด เด็กอายุยังน้อย เลอะเลือนไปชั่วขณะ ยากจะหลีกเลี่ยง พวกเราไม่มีทางถอนหมั้นดอก”


 


 


เมิ่งจงจวี่พยักหน้าซาบซึ้งใจ กล่าวว่า “เป็นเพราะพวกเจ้าใจกว้างมีเหตุผล คำพูดต่อจากนี้อย่างไรข้าก็ต้องพูด”


 


 


พ่ออิงจื่อพูดอย่างอ่อนน้อม “เชิญท่าน”


 


 


เมิ่งจงจวี่กวาดตามองทุกคนในบ้านแวบหนึ่ง พูดอย่างน่ายำเกรง “ข้ามีสองเรื่องจะประกาศ วันนี้ทุกคนในที่นี่ล้วนเป็นพยานได้”


 


 


คนในบ้านกลั้นหายใจ รอคอยคำกล่าวจากนี้ไปของเมิ่งจงจวี่


 


 


เมิ่งจงจวี่พูดขึ้น “เรื่องแรก หลังการแต่งงานของอิงจื่อและเมิ่งเหริน การดำเนินชีวิตของพวกเขาจะมีอิงจื่อเป็นผู้นำครอบครัว”


 


 


ทุกคนตะลึงค้าง


 


 


เสียงเมิ่งจงจวี่ดังขึ้นอีกครั้ง “เรื่องที่สอง ชีวิตนี้เมิ่งเหรินจะแต่งอิงจื่อเป็นภรรยาได้เพียงคนเดียว ห้ามมีการหย่าร้าง หากวันหน้าเขาสอบขุนนางได้ เกิดมีความคิดที่ไม่สมควร ข้าจะขับเขาออกจากบ้าน ลบชื่อออกจากสกุล และพวกเราจะเห็นอิงจื่อเป็นเสมือนลูกหลานของสกุลเมิ่ง อนุญาตให้นางแต่งงานได้ตามชอบใจ”


 


 


คนในบ้านต่างตกตะลึงนิ่งอึ้งกับคำพูดเมิ่งจงจวี่ ครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้สติกลับมา


 


 


ยังเป็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่ทำลายความเงียบสงัดภายในห้อง ดึงแขนอิงจื่อมาพูดหยอกเย้า “ยังไม่ทันแต่งงานท่านปู่ก็เข้าข้างเจ้าถึงเพียงนี้ วันหน้าพี่ใหญ่ไม่กล้าหือแล้ว”


 


 


อิงจื่อหน้าแดงจนจะกลั่นเป็นเลือดได้แล้ว ลอบมองบิดามารดาตัวเอง


 


 


พ่อแม่อิงจื่อได้สติกลับมา ตื้นตันจนวางมือวางไม้ไม่ถูก แม่อิงจื่อถึงกับหลั่งน้ำตา กลัวคนขบขัน รีบร้อนเช็ดออก


 


 


เมิ่งต้าจินและภรรยาไม่คิดว่าเมิ่งจงจวี่จะกล่าวเช่นนี้ ตกตะลึงพรึงเพริด แม้แต่เมิ่งเหรินก็นิ่งอึ้ง ยืนงงงันอยู่ตรงนั้น ครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้สติ


 


 


หญิงชราเมิ่งยิ่งไม่ต้องพูดถึง อ้าปากค้าง หันไปมองเมิ่งจงจวี่อย่างไม่เชื่อ


 


 


ไม่ต้องกล่าวถึงสะใภ้ซุนแล้ว หากไม่เพราะมีคนอยู่มาก ได้ดีใจกระโดดตัวลอยไปแล้ว


 


 


เมิ่งต้าจินและภรรยาได้สติกลับมาแล้ว ภรรยาเมิ่งต้าจินกำลังจะพูดบางอย่าง เมิ่งต้าจินกลับแย่งพูดก่อน “ท่านพ่อกล่าวถูกต้อง ทุกอย่างแล้วแต่ท่านพ่อ”


 


 


หญิงชราเมิ่งงับปากหุบ แม้จะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่พูดคัดค้าน


 


 


เมิ่งจงจวี่ถามเมิ่งเหริน “เหรินเอ๋อร์ คำที่ท่านปู่พูดวันนี้เจ้าจำขึ้นใจหรือไม่?”


 


 


เมิ่งเหรินลนลานพูด “ท่านปู่ ข้าจดจำไว้แล้ว ท่านวางใจ วันหน้าข้าจะไม่มีวันรังแกอิงจื่อ”


 


 


เมิ่งจงจวี่พยักหน้าพึงพอใจ


 


 


สะใภ้ซุนพูดอย่างตื่นเต้น “พี่ใหญ่พี่สะใภ้ ครานี้ท่านวางใจแล้วสินะ”


 


 


พ่อแม่อิงจื่อก็พยักหน้าตื้นตันใจ “วางใจแล้วๆ” พูดจบหันไปโค้งคำนับให้เมิ่งจงจวี่อย่างนอบน้อม “ขอบคุณท่านปู่ ครานี้พวกเราจะได้วางใจให้อิงจื่อแต่งเข้ามาแล้ว”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินฉวยโอกาสพูด “เช่นนี้ดีแล้ว พวกเราปรึกษากันแล้ว อย่าให้พวกอิงจื่อแต่งงานปีหน้าเลย จัดงานให้พวกเขาสิ้นปีนี้เถอะ”


 


 


พ่อแม่อิงจื่อย่อมไม่มีความเห็นแย้ง “แล้วแต่พวกท่านเลย พวกท่านอยากให้อิงจื่อแต่งเมื่อใด อิงจื่อก็แต่งเข้ามาได้เมื่อนั้น”


 


 


หญิงชราเมิ่งได้ฟังก็ยินดี ความรู้สึกอึดอัดใจมลายหายไปสิ้น “เช่นนั้นก็ว่าตามนี้ เมื่อพวกเราเลือกวันดีได้แล้วจะให้สะใภ้ซุนไปบอกพวกเจ้า”


 


 


พ่อแม่อิงจื่อรับคำพร้อมเพรียง


 


 


เมื่อหารือกันเสร็จแล้ว ภรรยาเมิ่งต้าจินรีบไปเตรียมสำรับกับข้าว สะใภ้ซุนก็เข้ามาช่วย เมิ่งต้าจินอยู่คุยกับพ่อแม่อิงจื่อ ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวพูดหัวเราะต่อกระซิบกับอิงจื่อ


 


 


อาหารเที่ยงหลากหลายเต็มแน่น พ่อแม่อิงจื่อเห็นอาหารเต็มโต๊ะ ให้รู้สึกกดดันอีกครั้ง เอาแต่คีบอาหารสองอย่างที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง


 


 


เมิ่งต้าจินและภรรยาเห็นเช่นนั้น คีบอาหารให้พวกเขาอย่างเป็นกันเอง พูดหว่านล้อมให้พวกเขากินเยอะๆ


 


 


หลังจากกินข้าวเสร็จ เมิ่งจงจวี่ให้เมิ่งต้าจินและภรรยาพาพวกเขาไปดูคฤหาสน์ปลูกใหม่ ทั้งชี้ให้พวกเขาดูว่าส่วนไหนเป็นเรือนอยู่อาศัยหลังจากที่พวกเมิ่งเหรินแต่งงานกันแล้ว


 


 


แม้จะอาศัยอยู่หมู่บ้านเดียวกับสกุลเมิ่ง สะใภ้ซุนก็ยังไม่เคยเห็นคฤหาสน์หลังใหม่ที่ปลูกเสร็จแล้ว ตอนนี้ได้มาเห็นเรือนสวยสดงดงามหลังใหม่หลายหลัง ถึงกับร้องอุทาน “ได้อาศัยอยู่ในบ้านเช่นนี้ ตอนกลางคืนจะทำใจหลับลงหรือ?”


 


 


ทุกคนหัวเราะครืน


 


 


พ่อแม่อิงจื่อยิ่งตาค้าง ยิ่งรู้สึกว่าบุตรสาวตนเองเลือกคนไม่ผิดจริงๆ


 


 


แม้แต่อิงจื่อก็น้อยครั้งที่จะเผยแววตาวาดหวัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาข้างนาง พูดกระซิบกระซาบ “เจ้าไม่ต้องอิจฉาไป พอเจ้าแต่งงานกับพี่ใหญ่ ก็จะได้อยู่ที่นี่”


 


 


อิงจื่อทำหน้าไม่ถูก ยื่นมือเข้าหาเมิ่งเชี่ยนโยว “เจ้านี่นะ กล้าหยอกล้อข้า ดูว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยววิ่งหนี อิงจื่อวิ่งไล่ตาม


 


 


พ่อแม่อิงจื่อเห็นท่าทีร่าเริงของบุตรสาวตนเอง ก็ให้ดีใจปิติ


 


 


สำรวจบ้านเสร็จ พ่อแม่อิงจื่อก็กล่าวว่าตนเองยังมีธุระที่บ้าน แม้แต่บ้านสะใภ้ซุนก็ไม่ไปแล้ว จะตรงกลับบ้านทันที

 

 

 


ตอนที่ 166-2 คำสัญญาน่าสะพรึง

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยับยั้งพวกเขา ให้เมิ่งเหรินไปบอกเหวินเปียวบังคับรถม้าเข้ามา ส่งพวกเขากลับไป


 


 


พ่อแม่อิงจื่อปฏิเสธไม่พ้น จำต้องนั่งรถม้ากลับไปอย่างประดักประเดิด


 


 


ส่งครอบครัวอิงจื่อกลับไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวรีบร้อนกลับมาบ้าน กำชับเมิ่งชื่อให้รีบหั่นมันฝรั่งให้เสร็จ ส่วนตนเองให้เหวินหู่บังคับรถม้าไปหมู่บ้านหลี่


 


 


ฉั่งฉิกบนภูเขาปลูกเสร็จแล้ว คนชราและเด็กลดน้อยไปมาก เหลือเพียงคนใช้แรงงานบางส่วนแบกหามน้ำขึ้นไปรดฉั่งฉิก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินวนรอบภูเขาแต่ละลูก ตรวจดูอย่างถี่ถ้วน พบว่ามีจำนวนน้อยที่ตายไป ที่เหลือส่วนใหญ่เจริญเติบโตดี ให้รู้สึกโล่งใจ หันไปพูดกับจางจู้ “ท่านไปบอกคนในหมู่บ้าน พรุ่งนี้ยามเช้าจะมีการจ่ายเงินค่าแรงหน้าบ้านผู้ใหญ่บ้าน”


 


 


จางจู้พยักหน้ายินดี “ข้ารู้แล้ว” พูดจบ ก็ร้องตะโกนบอกชาวบ้านที่กำลังหาบน้ำ “โยวเอ๋อร์บอกว่า พรุ่งนี้ยามเช้าจะทำการจ่ายเงินค่าแรงหน้าบ้านผู้ใหญ่บ้าน พวกเจ้าเจอคนในหมู่บ้านก็ให้บอกต่อๆ กันไปด้วย”


 


 


ได้ฟังเสียงร้องตะโกนของเขา ชาวบ้านที่กำลังหาบน้ำก็ดีใจลิงโลด จะจ่ายเงินค่าแรงแล้ว แสดงว่าสิ่งที่ตนเองปลูกเติบโตแล้ว แต่ว่า พอคิดว่านับจากวันพรุ่งนี้ไป ก็จะไม่มีงานที่ดีเช่นนี้ทำอีก หาเงินค่าแรงสูงเช่นนี้ไม่ได้อีก ความปิติในใจก็มลายหายไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับจางจู้จะต้องบอกผู้ใหญ่บ้าน ให้เขาคำนวณเงินค่าแรงของแต่ละครอบครัวให้เสร็จโดยไว พรุ่งนี้นางจะเข้ามาแต่เช้า


 


 


จางจู้พยักหน้า


 


 


ทั้งสองคนเดินวนบนภูเขาอีกรอบ กระทั่งฟ้าเริ่มมืด เมิ่งเชี่ยนโยวถึงนั่งรถม้ากลับมาบ้าน


 


 


เหวินเปียวรับเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉกลับมาพอดี


 


 


ทั้งสามต่างลงจากรถม้า เมิ่งอี้เซวียนเดินหน้าตาเบิกบานมาตรงหน้านาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วสงสัย “พรุ่งนี้ยังไม่ถึงวันที่สิบ เหตุใดต้องเบิกบานเช่นนี้?”


 


 


ซุนเหลียงไฉอยู่กับเมิ่งอี้เซวียนตลอดเวลา ค่อยๆ กลายเป็นเพื่อนสนิทกับเขา ได้ฟังก็เอ่ยปากตอบแทนเขา “วันนี้อาจารย์บอกเขา อีกห้าวันจะให้เขาไปตัวจังหวัดเพื่อเข้าสอบระดับจังหวัด ให้เขาเตรียมสิ่งของให้พร้อม”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวประหลาดใจ “วันสอบระดับจังหวัดเร็วเช่นนี้เลยเชียว?”


 


 


รอยยิ้มเมิ่งอี้เซวียนพลิกคว่ำลง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเช่นนั้นร้อนรนพูด “เจ้าต้องการอะไร บอกข้า ข้าจะไปซื้อมาให้”


 


 


รอยยิ้มกลับมาเบ่งบานบนใบหน้าเมิ่งอี้เซวียน


 


 


ซุนเหลียงไฉร้องโวยวายไม่พอใจ “ทุกครั้งจะต้องเอาแต่ถามเขาว่าต้องการอะไร ไม่เคยถามข้าเช่นนี้บ้าง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขาที่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง พูดจี้ใจดำ “หากเจ้ามีคุณสมบัติเข้าสอบถงเซิงได้ เจ้าต้องการอะไร ข้าก็จะซื้อให้เจ้า”


 


 


ซุนเหลียงไฉกรอกตาขาว “เจ้าก็รู้ว่าข้าทำไม่ได้ยังจะพูดเช่นนี้ เจ้าตั้งใจพูดจี้ใจข้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ข้าตั้งใจจี้ใจเจ้าแล้วอย่างไร? แน่จริงเจ้าก็สอบถงเซิงให้ได้สิ”


 


 


ซุนเหลียงไฉสะอึกกึก สะพายกระเป๋านักเรียนเดินฟึดฟัดเข้ามาในบ้าน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองแผ่นหลังเขารู้สึกมีบางอย่างผิดปกติ ร้องตะโกนเรียก “ช้าก่อน!”


 


 


ซุนเหลียงไฉหยุดชะงัก หันกลับมาถามอย่างไม่พอใจ “มีอะไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร เดินเข้ามาในลานบ้าน ขมวดคิ้วเดินรอบซุนเหลียงไฉสองรอบ


 


 


ซุนเหลียงไฉตกใจถามตะกุกตะกัก “มะ มีอะไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้วพูด “ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ”


 


 


ซุนเหลียงไฉก้มหน้าสำรวจตัวเองแวบหนึ่ง เสื้อผ้าแต่งกายเรียบร้อย ไม่มีอะไรผิดปกติ นึกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจงใจหาเรื่อง ตกใจร้อนรนพูด “จะบอกให้นะ ช่วงเวลานี้ข้าประพฤติตัวดีมาก ไม่ได้กระทำผิดอะไร หากเจ้าจงใจหาเรื่องข้า ข้าจะนั่งร้องไห้หน้าประตูบ้านเจ้าครึ่งวัน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูด ยังคงจ้องมองเขา


 


 


ซุนเหลียงไฉตกประหม่าจนเหงื่อซึมหน้าผาก


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเห็นนางเอาแต่จ้องมองซุนเหลียงไฉ เริ่มไม่พอใจ เดินเข้ามาเตรียมตัวพูดสองสามคำ ไม่คิดว่าอยู่ๆ เมิ่งเชี่ยนโยวจะร้องพูดขึ้น “ข้ารู้แล้วว่าเจ้ามีตรงไหนผิดปกติ”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนหยุดชะงักฝีเท้า ซุนเหลียงไฉถามอึกๆ อักๆ “ตะ ตรงไหน ผิดปกติ”


 


 


“เจ้าผอมแล้ว หล่อขึ้นแล้ว!” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ


 


 


ซุนเหลียงไฉขาอ่อนโซเซ เกือบคะมำหน้าคว่ำ ตบหน้าอกตัวเอง กรอกตาขาวพูดว่า “ข้าผอมมาตั้งนานแล้ว อย่าบอกว่าเจ้าเพิ่งมาเห็นวันนี้?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สนใจเขา พูดพึมพำกับตัวเอง “ใช้ได้เลย พอเจ้าผอมลง ถือเป็นเด็กหนุ่มที่หล่อเหลาคนหนึ่งเลยเทียว”


 


 


ซุนเหลียงไฉเชิดหน้าได้ใจ “แน่นอน ตัวข้านั้นใบหน้าหล่อเหลา รูปงามสง่า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจคำพูดไร้สาระของเขา หันไปพูดกับเมิ่งอี้เซวียน “ไป ดูว่าเจ้าต้องการอะไร ข้าจะไปเตรียมให้เจ้า”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า ทั้งสองเดินเข้าบ้านไปด้วยกัน


 


 


ซุนเหลียงไฉเห็นนางไม่สนใจฟังคำพูดตนเองแม้แต่น้อย โมโหตะโกนร้อง “นังตัวดี หยุดเดี๋ยวนี้นะ ข้ายังพูดไม่จบ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักเท้า หันกลับมาเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มถามเขา “เมื่อครู่เจ้าตะโกนว่าอะไร?”


 


 


ซุนเหลียงไฉถึงรู้สึกตัวว่าตะโกนอะไรออกไป รีบปิดปากตัวเองแน่น พูดอู้อี้ฟังไม่ชัด “ข้าไม่ได้พูดอะไร” พูดจบ วิ่งแนบเข้าไปในห้องตัวเอง


 


 


ตกกลางคืน เมิ่งอี้เซวียนบอกข่าวดีนี้กับคนทั้งครอบครัวอีกครั้ง ทุกคนปิติยินดี ซักถามเมิ่งอี้เซวียนไปตัวจังหวัดต้องใช้อะไรบ้าง ปรึกษาหารืออย่างถี่ถ้วน กระทั่งถึงเวลานอนก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้


 


 


วันรุ่งขึ้น เหวินเปียว เหวินหู่ไปส่งเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉกลับมา เมิ่งเชี่ยนโยวให้พวกเขาบังคับรถม้า นำ**บเงินตรงมาบ้านผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านหลี่


 


 


เมื่อวานพอได้ยินคนในหมู่บ้านบอกต่อกัน วันนี้คนในหมู่บ้านหลี่ต่างมาออกันอยู่หน้าบ้านผู้ใหญ่บ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแต่เช้าตรู่


 


 


เมื่อคืนผู้ใหญ่บ้านคิดคำนวณบัญชีในสมุดบันทึกหลายรอบ หลังจากแน่ใจว่าไม่คิดให้ครอบครัวไหนผิด วันนี้เช้าตรู่ก็ออกมานั่งสำราญใจบนเก้าอี้ที่หลี่ฝูนำออกมาตั้งไว้หน้าประตูแต่เช้ารอการมาถึงของเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


ครอบครัวจางจู้และจางเกินก็มากันทั้งหมด แม้แต่พ่อแม่จางจู้ก็เข้ามาดูความคึกคักด้วย ตอนนี้คนในหมู่บ้านต่างประจบเอาใจพวกเขา เห็นเดินเข้ามาไกลๆ บนท้องถนนก็ส่งเสียงทักทายพวกเขา แม้แต่ผู้ใหญ่บ้านเห็นพ่อแม่จางจู้เข้ามาด้วย ก็ลุกขึ้นอย่างยินดี เชิญพวกเขามาข้างโต๊ะ แล้วสั่งหลี่ฝูไปยกเก้าอี้เตี้ยสองตัวออกมา


 


 


พ่อแม่จางจู้ต่างเป็นคนบ้านนอกซื่อๆ วันนี้ได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะเข้ามาจ่ายเงินค่าแรงให้คนทั้งหมู่บ้าน อดไม่ได้ตามมาดูด้วย ไหนเลยจะคิดว่าตอนนี้ท่าทีของคนในหมู่บ้านจะเปลี่ยนไปเช่นนี้ แม้แต่ผู้ใหญ่บ้านยังให้เกียรติพวกเขาต่อหน้าคนทั้งหมู่บ้านมากขนาดนี้ เริ่มรู้สึกเสียใจ ไม่ควรจะมาร่วมดูความคึกคักด้วย ไม่รู้จะเป็นการสร้างเรื่องยุ่งยากให้เมิ่งเชี่ยนโยวหรือไม่


 


 


หลี่ฝูยกเก้าอี้เตี้ยออกมาวางไว้ด้านหน้าโต๊ะ ผู้ใหญ่บ้านร้องเรียกพ่อแม่จางจู้ให้เข้ามานั่ง สองผู้เฒ่าหันหน้ามองกัน ยกมือบอกปัด “ขอบคุณผู้ใหญ่บ้าน พวกเราเพียงแค่มาร่วมชม ประเดี๋ยวก็กลับแล้ว”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านไหนเลยจะยอม พูดว่า “จะให้ข้าเข้าไปเชิญพวกท่านด้วยตนเองใช่หรือไม่”


 


 


พ่อแม่จางจู้ตกใจลนลานพูด “ไม่ต้องๆ พวกเราเข้าไปเอง”


 


 


ทั้งสองเดินมาข้างโต๊ะ นั่งอย่างกระสับกระส่าย


 


 


คนในหมู่บ้านต่างมองพวกเขาด้วยสายตาอิจฉา ทอดถอนใจอยากให้ตนเองมีหลานสาวมีความสามารถเช่นนี้บ้าง แม่จางเถี่ยเห็นท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ของพวกเขา เบ้ปากอย่างดูแคลน


 


 


รถม้าของเมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะเข้ามาในหมู่บ้านหลี่ได้ไม่ไกล มีคนตาไวมองเห็น ตะโกนร้องอย่างตื่นเต้น “แม่นางเมิ่งมาแล้ว”


 


 


ชาวบ้านที่มารอจ่ายเงินค่าแรงพลันตื่นเต้นยินดี ต่างหันไปจับจ้องรถม้าที่ใกล้เข้ามาโดยไม่ละสายตา ไม่นานรถม้าก็มาถึงเบื้องหน้าตนเอง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า พริบตาเดียวก็เห็นพ่อแม่จางจู้นั่งอยู่ด้านหน้าของโต๊ะ เดินไปพลางส่งเสียงร้องทักทั้งสองคน “ท่านตาท่านยาย พวกท่านก็มาด้วย” เหวินหู่ยก**บเงินรีบเดินตามหลังนาง


 


 


พ่อแม่จางจู้รีบร้อนลุกขึ้น พูดอย่างไม่สบายใจ “โยวเอ๋อร์ พวกเราเพียงแค่มาดูความครึกครื้น ผู้ใหญ่บ้านจะให้พวกเรามานั่งข้างหน้าให้ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดปลอบประโลมพวกเขา “พวกท่านอายุมากแล้ว ยืนนานๆ ร่างกายจะรับไม่ไหว โชคดีที่ผู้ใหญ่บ้านคิดรอบคอบ”


 


 


แม่จางเถี่ยได้ยินคำพูดนาง พูดงึมงำเสียงเบา “พูดเสียน่าฟัง คนอายุมากมีตั้งเยอะ ไม่เห็นเจ้าให้พวกเขาทั้งหมดมานั่งรอรับเงินค่าแรงบ้าง? ทุกคนไม่ได้โง่นะ มีใครไม่รู้ว่าบ้างเพราะผู้ใหญ่บ้านต้องการประจบพวกเจ้าถึงให้พวกเขามานั่งข้างหน้า”


 


 


ชาวบ้านโดยรอบได้ยินคำพูดนาง ต่างแยกตัวออกห่างนางอย่างไม่ได้นัดหมาย


 


 


แม่จางเถี่ยเห็นพฤติกรรมพวกเขา เบ้ปากดูแคลน ในใจคิด “พอดีเลย ข้ายังรังเกียจว่าคนเยอะแล้วอึดอัดอยู่พอดี”


 


 


พ่อแม่จางจู้เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ตำหนิโทษพวกเขา ก็ให้โล่งใจ ย่อตัวนั่งลงอีกครั้ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยืนข้างโต๊ะ เหวินหู่ยก**บเงินมาวางบนโต๊ะ


 


 


ผู้ใหญ่บ้านยื่นสมุดจดบันทึกให้นางอย่างอ่อนน้อม พูดว่า “แม่นางเมิ่ง นี่เป็นสมุดบัญชี ข้าคำนวณอย่างถี่ถ้วนแล้ว ไม่ผิดแม้แต่ครอบครัวเดียว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ขอบคุณผู้ใหญ่บ้าน”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านรีบโบกมือ “แม่นางเมิ่งเกรงใจแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ข้าสมควรทำ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงพูดกับกลุ่มคน “เมื่อวานข้าขึ้นไปตรวจดูบนเขาทุกลูกอย่างละเอียดแล้ว พบว่าเมล็ดที่ทุกคนปลูกเจริญเติบโตเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นวันนี้ข้าจึงมาจ่ายเงินให้ทุกคน ประเดี๋ยวจ่ายเงินเสร็จแล้ว ทุกคนอย่างเพิ่งไป ข้ายังมีงานต้องการหาคนไปทำ”


 


 


กลุ่มคนส่งเสียงโห่ร้อง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดพร่ำอีก เปิดสมุดบัญชีแล้วอ่าน “ครอบครัวหลี่ฝู ได้เงินทั้งหมดหกตำลึงแปดเฉียน”


 


 


กลุ่มคนส่งเสียงร้องอุทาน สวรรค์ หนึ่งเดือนกว่า ครอบครัวพวกเขาก็หาเงินได้ถึงหกตำลึงกว่า เท่ากับรายได้ตลอดทั้งปีของครอบครัวพวกเขา


 


 


นอกจากผู้ใหญ่บ้าน คนในครอบครัวหลี่ฝูต่างก็สะดุ้งตกใจ หลี่ฝูถามปากสั่น “แม่นางเมิ่ง เจ้าอ่านผิดไปหรือไม่ ครอบครัวพวกเราไหนเลยจะหาเงินได้มากเช่นนี้?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ในสมุดบัญชีบันทึกไว้ชัดเจน ครอบครัวพวกเจ้าทำงานกี่วัน แต่ละคนได้ค่าแรงเท่าใด รวมแล้วได้ยอดนี้พอดี”


 


 


แม่จางเถี่ยหวีดร้อง “ไม่มีทาง ครอบครัวพวกเขาจะทำเงินมากเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าจะต้องคิดประจบเอาใจผู้ใหญ่บ้าน ถึงจงใจให้พวกเขามากเช่นนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น มองนางแวบหนึ่ง


 


 


แม่จางเถี่ยพลันหดห่อตัว แต่ก็คิดได้ว่าต่อหน้าคนมากมายนางไม่กล้าทำอะไรตัวเอง จึงแอ่นอกพูดต่อ “หากไม่ใช่ เจ้าอ่านให้ทุกคนฟัง ให้พวกเราฟังให้ชัดแจ้ง”


 


 


แม้คนโดยรอบจะไม่พูดเช่นนี้ แต่ในใจก็อยากรู้ว่าเหตุใดครอบครัวหลี่ฝูถึงได้เงินค่าแรงมากเช่นนี้ พอได้ยินแม่จางเถี่ยพูด ต่างก็มองมาที่เมิ่งเชี่ยนโยว รอดูว่านางจะตอบอย่างไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นปฏิกิริยาของทุกคน ก็รู้ว่าพวกเขาต่างคิดอะไร รับคำทันควัน “ได้ ข้าจะอ่านให้ทุกคนฟังช้าๆ พวกเจ้าจงคำนวณให้ละเอียด”


 


 


ชาวบ้านกลั้นหายใจ ตั้งใจฟังคำพูดจากนี้ไปของเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบสมุดบัญชีขึ้นอ่าน “ผู้ใหญ่บ้าน ได้วันละห้าสิบอีแปะ ทั้งหมดสามสิบแปดวัน รวมทั้งหมดได้หนึ่งตำลึงเก้าร้อยอีแปะ”


 


 


ไม่คิดว่าผู้ใหญ่บ้านก็มีเงินค่าแรง กลุ่มคนแตกฮือส่งเสียงร้องอื้ออึง


 


 


แม่จางเถี่ยพูดเสียงลั่น “เขาทำอะไร ได้วันละห้าสิบอีแปะ ยังจะบอกว่าเจ้าไม่ได้ทำเพื่อประจบผู้ใหญ่บ้าน?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ขุ่นเคือง ยิ้มตาหยีพูดว่า “ผู้ใหญ่บ้านต้องขึ้นเขาไปตรวจดูพวกเจ้าทำงานทุกวัน ทั้งต้องตรวจสอบว่าพวกเจ้าแผ้วถางพื้นที่ผ่านหลักเกณฑ์หรือไม่ แล้วจดบันทึกแต่ละครอบครัวให้เรียบร้อย ข้าให้เขาวันละห้าสิบอีแปะเยอะไปหรือไม่? ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น แค่งานจดบันทึก พวกเจ้ามีใครทำได้หรือไม่?”


 


 


คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ต่างไม่รู้หนังสือ ไฉนเลยจะมีใครทำงานนี้ได้ กลุ่มคนต่างหุบปากเงียบเสียง แม้แต่แม่จางเถี่ยก็เงียบปากไปด้วย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “หลี่ฝู ก็ได้หนึ่งตำลึงเก้าร้อยอีแปะเช่นกัน”


 


 


เงินค่าแรงของหลี่ฝูและคนในครอบครัว เมิ่งเชี่ยนโยวบอกคนในหมู่บ้านตั้งแต่เริ่มรับสมัครคนงานแล้ว ย่อมไม่มีใครมีความเห็นแย้ง


 


 


เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้นอีก “แม่หลี่ฝูและภรรยาหลี่ฝูหาบน้ำร้อนไปส่งให้คนบนเขา ก็ได้วันละห้าสิบอีแปะ ส่งทั้งหมดสามสิบวัน สองคนได้ทั้งหมดสามพันอีแปะ”


 


 


กลุ่มคนส่งเสียงเซ็งแซ่อีกครั้ง


 


 


แม่จางเถี่ยรีบพูดด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “หาบน้ำร้อนขึ้นเขาก็ให้ห้าสิบอีแปะ ยังจะบอกว่าไม่ประจบผู้ใหญ่บ้าน?”


 


 


ครั้งนี้เริ่มมีคนพยักหน้าคล้อยตาม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่หลุบบดวงตา พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ระยะทางจากหมู่บ้านไปถึงภูเขาไม่สั้น พวกนางต้องหาบน้ำร้อนสองถังใหญ่เต็มๆ โดยไม่หยุดพัก ส่งขึ้นเขาแต่ละลูก งานที่ทำไม่น้อยไปกว่าทุกคนแม้แต่น้อย นอกจากนั้น ฟืนที่ใช้ต้มน้ำพวกเขาก็หามาเอง ลูกเด็กเล็กแดงในครอบครัวต้องมาช่วยงานทุกวัน ห้าสิบอีแปะมากตรงไหน? ลูกๆ พวกท่านไปทำงานบนเขา ก็ช่วยพวกเจ้าหาเงินได้ไม่ใช่หรือ?”


 


 


ชาวบ้านถูกตอกกลับจนพูดไม่ออก คนไม่กี่คนที่พยักหน้าคล้อยตามเมื่อครู่ก้มหน้าด้วยความละอาย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “เดิมข้าจะจ้างใครทำงาน ให้เงินค่าแรงเท่าใด ก็เป็นเรื่องของข้า ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า ที่วันนี้ข้าอธิบายให้ทุกคนฟังเพราะเป็นคนจะไร้มนุษยธรรมไม่ได้ ผู้ใหญ่บ้านหลี่เป็นผู้ใหญ่บ้านมานานหลายปี พวกท่านถามใจตัวเองดู เขาปฏิบัติต่อทุกคนอย่างไร? เขาเคยโกงกินเงินบ้านไหนสักอีแปะ หรือเคยทำสิ่งใดที่ผิดต่อลูกบ้านหรือไม่? เขามีแต่มุ่งมั่นคิดแทนลูกบ้าน ไม่คิดว่าพวกเจ้ากลับไม่เชื่อใจเขา ข้าบอกทุกคนตามจริง ในตอนแรกหากไม่ใช่เพราะท่าทีที่ผู้ใหญ่บ้านหลี่คิดแทนลูกบ้านทำให้ข้าประทับใจ ข้าไม่มีวันซื้อภูเขาร้างของหมู่บ้านพวกเจ้า พวกเจ้าก็จะไม่อาจ ไม่ต้องเดินทางไกลก็มีโอกาสหาเงินได้เช่นนี้”


 


 


สิ้นเสียงนาง คนในหมู่บ้านต่างก้มหน้าละอาย

 

 

 


ตอนที่ 166-3 คำสัญญาน่าสะพรึง

 

เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวพูดปกป้องตนเองเช่นนี้ผู้ใหญ่บ้านตื้นตันใจยิ่งนัก หุนหันลุกขึ้น หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง ท่านพูดเกินไปแล้ว ในฐานะผู้ใหญ่บ้าน การคิดแทนลูกบ้านเป็นเรื่องสมควรแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านไม่ต้องเกรงใจ ที่ข้าพูดล้วนเป็นความในใจ หากท่านมิใช่ผู้ใหญ่บ้านที่ดี ไม่แน่ว่าข้าคงไม่ซื้อภูเขาร้างของหมู่บ้านพวกท่านจริงๆ เพราะภูเขาร้างหมู่บ้านไหนก็มี ข้าจะซื้อลูกไหนก็ได้”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านยิ่งตื้นตันใจจนพูดไม่ออก


 


 


กลุ่มคนเริ่มมีคนส่งเสียง “ใช่ หลายปีมานี้ผู้ใหญ่บ้านมีแต่คิดแทนพวกเรามาตลอด เมื่อครู่พวกเราไม่สมควรคิดเช่นนี้จริงๆ พวกเราขออภัยผู้ใหญ่บ้านด้วย ท่านวางใจเรื่องไม่เชื่อใจท่านเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้าปลาบปลื้มใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นว่าบรรลุวัตถุประสงค์ตนเองแล้ว ก็พยักหน้าพอใจ หยิบสมุดบัญชีขึ้นอ่านใหม่ “ครอบครัวหลี่ฝู ได้รับเงินทั้งหมดหกตำลึงแปดเฉียน”


 


 


ครั้งนี้ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดมาจากกลุ่มคน


 


 


เหวินหู่นับเงินเสร็จมอบให้กับมือหลี่ฝู


 


 


หลี่ฝูไม่เคยเห็นเงินมากเช่นนี้มาก่อน เกิดความประหม่า มือทั้งสองที่ประคองเงินสั่นไหวไม่หยุด ภรรยาหลี่ฝูรีบเดินขึ้นหน้า กุมมือทั้งสองของเขา พูดอย่างวิตก “ระวังหน่อย อย่าทำเงินหล่นเด็ดขาด”


 


 


ผ่อนคลายความรู้สึกครู่หนึ่ง หลี่ฝูถึงสงบนิ่งลงได้ โค้งคำนับอย่างอ่อนน้อมให้เมิ่งเชี่ยนโยว แล้วพูดเสียงลั่น “ขอบคุณแม่นางเมิ่งๆ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจตัวโยน รีบร้อนพูด “ท่านอย่าทำเช่นนี้เด็ดขาด เหล่านี้เป็นสิ่งที่ท่านได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง ไม่เกี่ยวกับข้าเลย”


 


 


หลังจากจ่ายเงินให้ครอบครัวหลี่ฝูเสร็จ ครอบครัวที่สองเป็นของบ้านจางจู้และบ้านจางเกิน ทั้งสองบ้านรวมกัน ก็ได้หกตำลึงแปดเฉียน


 


 


มีผู้ใหญ่บ้านเป็นตัวอย่าง ครั้งนี้คนในหมู่บ้านไม่มีใครมีความเห็นต่างอีก


 


 


ลำดับต่อมาเป็นสองสามครอบครัวที่ช่วยแบ่งเขตพื้นที่ ก็ได้เงินสี่ตำลึงกว่า


 


 


คนที่เหลือเป็นการจ่ายค่าแรงให้ตามรายชื่อที่เข้ามาสมัครก่อนหลัง ยังคงเป็นเมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยเรียกคน เหวินหู่เป็นคนจ่ายเงิน แต่ละครอบครัวได้ค่าแรงไปไม่น้อย มีบางครอบครัวมีแรงงานในวัยทำงานสิบกว่าคน ได้เงินไปเกือบสิบตำลึง ตอนที่กลุ่มคนได้ยินเสียงเมิ่งเชี่ยนโยวตะโกนพูด เกิดเสียงดังอื้ออึงอีกครั้ง ทุกคนต่างมองไปที่ครอบครัวที่เมื่อก่อนเคยยากจนที่สุดในหมู่บ้าน


 


 


มีบางครอบครัวที่หักเงินค่าแรงไปบางส่วนแล้ว พอเทียบกันก็เลยน้อยไปบ้าง ทว่าก็ยังได้สองตำลึง


 


 


แม่จางเถี่ยเป็นคนสุดท้ายที่มาสมัครทำงาน ดังนั้นจึงเป็นคนสุดท้ายที่ได้รับเงินค่าแรง ครั้งนี้นางไม่โวยวาย นับเงินหนึ่งตำลึงสองร้อยอีแปะในมือเดินกลับไปอย่างหน้าชื่นตาบาน อยู่ๆ จางเถี่ยก็พุ่งตัวออกมาจากฝูงคน คว้าแย่งเงินในมือนาง วิ่งแผ่นแนบจากไป


 


 


ชาวบ้านตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ งงงวยไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง


 


 


แม่จางเถี่ยได้สติกลับมาก่อน กรีดร้องเสียงหลง “เจ้าอัปรีย์จัญไร เอาเงินข้าคืนมาเดี๋ยวนี้”


 


 


จางเถี่ยวิ่งออกไปไกลแล้ว ได้ยินเสียงร้องของแม่ตัวเอง หยุดฝีเท้า หันกลับมาร้องโวยวาย “ข้าไม่ให้ ใครอยากให้ท่านลำเอียง ให้เงินครอบครัวชิงเอ๋อร์ห้าตำลึง นี่ถือเป็นการชดเชยให้ข้า”


 


 


แม่จางเถี่ยแยกกลุ่มคนเดินออกมาพลางร้องก่นด่า “เจ้าคนใจสุนัข ข้าลำเอียงอย่างไร ข้าก็ให้เจ้าแปดตำลึงไม่ใช่เรอะ?”


 


 


จางเถี่ยไม่กลัวมารดาจะตามทัน ยังร้องโวยวายด้านนอกกลุ่มคน “จะเหมือนกันได้อย่างไร? บุตรสาวที่แต่งงานแล้วก็คือน้ำที่สาดออกไป นางไม่ควรได้รับเงินแม้สักอีแปะเดียว สมควรเป็นของข้าทั้งหมด”


 


 


แม่จางเถี่ยร้องด่า “นั่นเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเจ้า ครอบครัวยากแค้นแทบไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ แม่ช่วยนางสักหยิบมือไม่ได้เรอะ?”


 


 


จางเถี่ยสบถ “ดีแต่พูดพ่นคำลวง ครอบครัวนางมีกินมีดื่มสุขสบาย ไหนเลยจะไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ”


 


 


แม่จางเถี่ยเดินออกมาด้านนอกกลุ่มคนแล้ว เห็นจางเถี่ยยืนอยู่ด้านนอก กรีดร้องลั่น “เจ้าเอาเงินข้าคืนมา!” แล้วพุ่งทะยานตัวเข้าหาเขา


 


 


จางเถี่ยเบี่ยงหลบอย่างเบาสบาย หันไปพูดใส่นาง “ท่านอยากลำเอียงเอง ข้าไม่ให้”


 


 


แม่จางเถี่ยถอนแรงคืนไม่ทัน ล้มฟุบไปกับพื้นร้อง “โอดโอย”


 


 


จางเถี่ยทำเป็นมองไม่เห็น คว้าเงินวิ่งแผ่นแนบ


 


 


แม่จางเถี่ยโมโหถอดรองเท้าข้างหนึ่งขว้างไปที่เขา โดนจางเถี่ยพอดี เขารู้สึกอับอายต่อหน้าคนหมู่มาก จึงหยิบรองเท้าโยนออกไปไกลขึ้น แล้วพูด “เมื่อท่านไม่อยากใส่ก็ไม่ต้องใส่แล้ว”


 


 


แม่จางเถี่ยโมโหทุบหน้าขาร้องโอดครวญ “ข้าไปทำบาปทำกรรมอะไรไว้ ถึงมีลูกที่หมูหมาก็ยังสู้ไม่ได้”


 


 


คนในหมู่บ้านต่างมองนางอย่างเห็นใจ มีบางคนเห็นสภาพที่น่าสังเวชของนาง จึงวิ่งไปช่วยเก็บรองเท้ากลับมาให้อย่างหวังดี


 


 


แม่จางเถี่ยใส่รองเท้าแล้ว ยังนั่งฟูมฟายบนพื้นต่อ


 


 


คนในหมู่บ้านชี้นิ้วกระซิบกระซาบ นินทากันสนุกปาก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ขมวดคิ้วมุ่น


 


 


ผู้ใหญ่บ้านเห็นนางแสดงสีหน้าไม่พอใจ รีบเบี่ยงเบนประเด็น พูดเสียงดัง “แม่นางเมิ่ง ท่านบอกว่ายังมีงานจะให้คนในหมู่บ้านทำไม่ใช่หรือ? ไม่ทราบว่าเป็นงานอะไร?”


 


 


คนในหมู่บ้านได้สติกลับมา ไม่สนใจแม่จางเถี่ยอีก ต่างหันมองมาที่เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างมีความหวัง


 


 


แม่จางเถี่ยก็หยุดคร่ำครวญ รีบลุกขึ้นยืน ปัดดินตามตัว เบียดเข้ามาในกลุ่มคน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “งานนี้ง่ายมาก คือการขึ้นไปรดน้ำเมล็ดพันธุ์บนภูเขา คนที่ได้รับเลือกจะได้วันละสามสิบอีแปะ”


 


 


คนในหมู่บ้านทำไร่ไถนาทุกวัน ร่างกายแข็งแรงกำยำ เรื่องหาบน้ำเป็นงานที่ทำปกติทั่วไป ได้ยินว่าจะได้วันละสามสิบอีแปะ ต่างก็ดีใจ แย่งกันขอสมัครชื่อ


 


 


ครั้งนี้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้รับปากพวกเขาทันควันอีก แต่พูดว่า “แม้นี่จะเป็นงานง่าย แต่ต้องใช้แรงมาก ดังนั้นครั้งนี้ข้าจะรับสมัครแรงงานที่กำยำ สักสามสิบคน”


 


 


ได้ยินคำพูดนาง คนที่เริ่มมีอายุมากหน่อยไม่พอใจ “แม่นางเมิ่ง อย่าเห็นพวกเราอายุมาก กำลังของพวกเราไม่ด้อยไปกว่าพวกเขาเลย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ข้ารู้ แต่งานรดน้ำไม่ต้องการกำลัง แต่ต้องการความทนทาน พวกท่านอายุมากแล้ว เวลานานเข้า เกรงว่าแรงกำลังจะถดถอยลง”


 


 


ความทนทานของตัวเองย่อมสู้คนหนุ่มไม่ได้จริงๆ คนที่อายุมากไม่พูดอะไรอีก


 


 


คนแก่ หญิงสาวและเด็กในหมู่บ้านแยกไปอีกด้าน เหลือเพียงแรงงานกำยำของหมู่บ้านยืนตรงกลาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดกับจางจู้และจางเกิน “ท่านลุงใหญ่ ลุงรอง ข้าไม่คุ้นเคยคนในหมู่บ้าน พวกท่านช่วยข้าเลือกคนออกมาสามสิบคนเถอะ”


 


 


ทั้งสองพยักหน้า เดินเข้าไปเลือกคนออกมาสามสิบคน เมิ่งเชี่ยนโยวมองดู ส่วนใหญ่เป็นคนที่เคยทำงานในโรงงานตัวเอง จึงยิ้มพูด “เมื่อเป็นพวกเจ้า ข้าจะไม่พูดให้มากความอีก พวกเจ้าจำไว้ให้ดี คนที่กินแรงแอบอู้ภายหน้าข้าจะไม่เรียกใช้อีก”


 


 


ทำงานในโรงงานมานาน คนงานต่างรู้จักนิสัยนางเป็นอย่างดี ได้ฟังก็รับประกันโดยพร้อมเพรียง “วางใจเถอะ นายหญิง พวกเราจะไม่แอบอู้เด็ดขาด”


 


 


แม่จางเถี่ยเห็นว่าเลือกคนเสร็จแล้ว ร้อนรุ่มใจ ปัดคนข้างกายออกเดินมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว หน้าหนาหน้าทนพูดว่า “โยวเอ๋อร์เอ๊ย เจ้าดูว่าสิว่ายายรองน่าสงสารเพียงใด เงินที่เพิ่งได้มายังร้อนๆ ก็ถูกเจ้าลูกอกตัญญูแย่งไป เจ้าช่วยยายด้วย เห็นแก่ที่เราเป็นญาติกัน เจ้าให้งานข้าทำด้วยเถอะ ข้าไม่เอาสามสิบอีแปะ ให้ข้ายี่สิบอีแปะก็ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว ย้อนถาม “ใครเป็นญาติกับเจ้า พวกเรารู้จักกันหรือ?”


 


 


แม่จางเถี่ยสะอึกกึก


 


 


ผู้ใหญ่บ้านเกรงเมิ่งเชี่ยนโยวจะโมโหอีก รีบเข้าไปดุว่าแม่จางเถี่ย “ครั้งนี้เลือกแต่แรงงานกำยำ เจ้าไม่ต้องมาหาเรื่องแล้ว”


 


 


แม่จางเถี่ยโมโหแล้ว เหล่ตามองพ่อแม่จางจู้ที่นั่งเงียบแวบหนึ่ง พูดอย่างคลุมเครือ “แม้เราจะตัดขาดความสัมพันธ์ไปแล้ว แต่กระดูกที่หักยังมีเส้นเอ็นเชื่อมต่อ ตาเฒ่าของข้าวันๆ เอาแต่ทอดถอนใจโอดครวญ ห่วงพะวงถึงแต่พี่ชายพี่สะใภ้ที่แสนดี ไม่เหมือนใครบางคน ถือว่าตนเองมีญาติที่ดี แม้แต่ความเป็นตายของพวกเราก็ไม่แยแส”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งขมวดคิ้วยู่ย่น


 


 


ภรรยาจางจู้ทนไม่ได้โต้กลับ “ตอนนี้มาพูดเช่นนี้ ตอนนั้นใครกันที่เห็นเงินสามสิบตำลึง จะตัดขาดกับพวกเราให้ได้”


 


 


แม่จางเถี่ยพูดอย่างฉุนเฉียว “พวกเราไม่ได้อยากตัดขาดความสัมพันธ์ เป็นพวกเจ้าที่บีบคั้น”


 


 


ภรรยาจางจู้ไม่ไว้หน้านางแม้แต่น้อย พูดเสียงแหลมสูง “หากไม่ใช่เจ้าเห็นเงินแล้วตาลุก ใครจะไปบีบคั้นเจ้าได้?”


 


 


แม่จางเถี่ยโมโหตัวสั่น แต่ก็หาเหตุผลมาโต้แย้งไม่ได้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงเย็นเยียบประโยคหนึ่ง “นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย หากเจ้ายังกล้ามาอาละวาดต่อหน้าข้าอีก อย่าหวังจะหางานทำจากข้าอีก”


 


 


แม่จางเถี่ยรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดข่มขู่ หุบปากแต่โดยดี


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่แม้แต้จะเหลียวแล ให้คนที่ได้รับเลือกสามสิบคนอยู่ต่อ คนที่เหลือให้พวกเขาแยกย้ายกันกลับไป


 


 


ทุกคนหยิบเงินที่ได้เดินกลับบ้านไปอย่างมีความสุข มีเพียงแม่จางเถี่ยที่โมโหกระทืบเท้า รีบเดินไปทางบ้านจางเถี่ย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับคนทั้งสามสิบคนอย่างเอาจริงเอาจัง จะต้องรดน้ำทุกวัน ไม่เช่นนั้นเมล็ดพันธุ์จะไม่งอกออกมา


 


 


ทั้งสามสิบคนพยักหน้าพร้อมเพรียง รับประกันอีกครั้งว่าตัวเองจะไม่แอบอู้ จะตั้งใจหาบน้ำทุกวันอย่างแข็งขัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปกำชับจางจู้จางเกินรวมถึงหลี่ฝูอีกรอบ บอกว่าสองสามวันนี้มีธุระมาไม่ได้ ให้พวกเขาตรวจตราการรดน้ำของทุกคน หากพบอะไรผิดปกติให้รีบไปบอกนาง


 


 


ทั้งสามพยักหน้าหนักแน่น


 


 


เมื่อจัดการเรื่องเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวบอกปัดการดึงรั้งของครอบครัวจางจู้ เดินทางกลับมาบ้าน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)