คัมภีร์วิถีเซียน 1653-1655
ตอนที่ 1653 ซากศพกับโลหิตเที่ยงแท้
ในยามที่หานลี่กลับมาถึงเมืองเมฆานั้น ก็เดินเข้าประตูเมืองไปอย่างทระนงองอาจ
ห่างออกไปตั้งไม่รู้กี่หมื่นลี้ ที่หนองน้ำเปียกชื้นและเย็นยะเยือกในเทือกเขามารสีทองแห่งหนึ่ง ชายร่างใหญ่หน้าตาอัปลักษณ์ดำมืดสวมชุดคลุมยาวสีดำกำลังนั่งสมาธิหลับตาปรับลมหายใจอยู่บนก้อนหินสีเขียวมรกตก้อนหนึ่ง
จากนั้นชายร่างใหญ่พลันสูดลมหายใจ ไอมารสีดำสนิทรอบๆ วนล้อมรอบชายร่างใหญ่ไปมา ราวกับมีจิตวิญญาณ
เห็นได้ชัดว่าชายร่างใหญ่หน้าตาน่าเกลียดฝึกฝนเคล็ดวิชาลึกลับอะไรสักอย่าง และยิ่งไปกว่านั้นยังมีท่าทีเคลิบเคลิ้มเป็นอย่างยิ่ง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ชายร่างใหญ่พลันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง อ้าปากออก สูดไอมารในบริเวณรอบเข้าไปในท้อง จากนั้นก็เบิกตาโพลงพร้อมเผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา
แต่หลังจากที่กวาดสายตาไปรอบด้านอย่างส่งเดช ชั่วขณะนั้นใบหน้าพลันแข็งค้าง
เพราะว่าห่างจากเขาไปแค่สองสามจั้ง หญิงสาวผมดำสองเท้าเปลือยเปล่าสวมกระโปรงสีขาวหิมะคนหนึ่งกำลังมองมาทางนี้พร้อมหัวเราะคิกคัก
บางทีหญิงสาวผู้นี้อาจจะไม่ได้มีใบหน้างดงามมากนัก แม้กระทั่งริมฝีปากยังใหญ่ไปหน่อย แต่ดวงตาสุกใสราวกับดวงดาราคู่นั้น จมูกตรงแน่วราวกับหยกแกะสลัก ผิวละเอียดสีขาวหิมะ ก็เพียงพอที่จะทำให้บุคลิกของนางเหนือกว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘เทพเซียน’ ในยุทธภพแล้ว
“นายท่านบรรพบุรุษ! จระเข้ดำคารวะนายท่าน” หลังจากที่ชายร่างใหญ่หน้าตาน่าเกลียดมองเห็นใบหน้าของหญิงสาวชัดเจนแล้ว ก็ร้องอุทานออกมาพร้อมกับหน้าถอดสี คาดไม่ถึงว่าจะหมุนตัวลงมาจากก้อนหินในทันใด คารวะให้หญิงสาวอย่างนอบน้อม
ชายร่างใหญ่ผู้นี้คือจระเข้ดำที่เพิ่งบรรลุระดับสำเร็จตนนั้น
แม้ว่ายามนั้นเขาจะไล่ตามชายชราแซ่เยี่ยน และสังหารเขาได้ แต่ก็ไม่ได้เห็ดเซียนมา แน่นอนว่าจึงต้องกลับมาทางเดิม
ผลคือหลังจากนั้นไม่นานก็ได้ข่าวกบยักษ์ถูกหานลี่สังหาร เช่นนั้นมารตนนี้จึงรู้สึกตกตะลึง ทำได้เพียงจากไปอย่างหดหู่ใจ
ต่อมาเขาพลันค้นหาที่นี่เพื่อเตรียมการฝึกบำเพ็ญเพียร จะได้ทำให้ระดับที่ยังไม่มั่นคงแข็งแกร่งขึ้น
แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า ผ่านไปแค่สองสามเดือน หญิงสาวชุดขาวที่หลับใหลมาตลอดในความคิดของเขา จะมาหาถึงที่
และจากพลานุภาพที่ลึกล้ำยากจะคาดเดาของอีกฝ่ายนั้น การสังหารมันก็เป็นเรื่องแค่พลิกฝ่ามือเท่านั้น นี่จึงทำให้มารตัวนี้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องร้ายหรือดี
“ลุกขึ้นเถิด อือ บรรลุระดับศักดิ์สิทธิ์แล้วจริงๆ ไม่เลวๆ ดูแล้วที่น้องหญิงหมิงลัวเอาสมุนไพรวิญญาณให้เจ้ากินจำนวนนับไม่ถ้วนในตอนนั้นจะไม่เสียเปล่า นอกเสียจากว่าเจ้าจะไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตเลย การบรรลุระดับศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น ดูแล้วโลหิตเที่ยงแท้มังกรชั่วในตัวเจ้าคงจะถูกเปิดแล้ว” หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างแผ่วเบา
“นายท่านก็ทราบเรื่องนี้!” ชายร่างใหญ่หน้าตาอัปลักษณ์หน้าเปลี่ยนสี จากนั้นก็หัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
“ย่อมรู้อยู่แล้ว มิใช่แค่นั้น ตอนนั้นแม้ว่าหมิงลัวจะโปรดปรานเจ้ามาก ก็คงไม่เอาสมุนไพรวิญญาณให้เจ้ากินมากขนาดนั้น มังกรชั่วนั้นเป็นสิ่งที่มีธาตุมารแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้ แม้กระทั่งสามารถกลืนกินมารเหนือฟ้าได้ ไม่ด้อยไปกว่าราชันมารเหนือฟ้า แม้ว่ายามนี้เจ้าจะแค่สืบทอดโลหิตเผ่ามังกรมา แต่คิดดูแล้วอิทธิฤทธิ์ก็คงไม่ด้อยไปกว่าระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลาง สมุนของข้าสามตนนั้น หากประมือกับเจ้าตัวต่อตัวเพียงลำพัง คิดดูแล้วก็ไม่อาจเป็นฝ่ายได้เปรียบได้แน่” หญิงสาวเอ่ยอย่างมีเลศนัย
“นายท่านบรรพบุรุษมองอิทธิฤทธิ์ของผู้น้อยสูงไปแล้ว ผู้น้อยจะกล้าเปรียบเทียบกับแขนโลหิตและมารปีกเหล็กได้อย่างไร”
ชายร่างใหญ่หน้าตาอัปลักษณ์เอ่ยอย่างถ่อมตน
“น้องหญิงหมิงลัวหายตัวไปอย่างไม่รู้สาเหตุในสงครามแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้าและนางนับถือกันดุจพี่น้อง ในเมื่อเจ้าบรรลุระดับแล้ว ก็ติดตามข้าชั่วคราวเถิด ข้าจะออกไปข้างนอกสักระยะ เจ้าเองก็เตรียมตัวเถิด” หญิงสาวเปลี่ยนน้ำเสียง เอ่ยถึงประเด็นหลัก
“นายท่านจะออกจากเทือกเขามารสีทอง!” ชายร่างใหญ่ได้ฟังพลันตกตะลึง
“ใช่แล้ว อันใด ไม่ยอมติดตามข้าหรือ”
“ได้อยู่ข้างกายนายท่านเป่าฮัว ช่างเป็นวาสนาของผู้น้อยที่ไม่รู้ต้องใช้เวลาอีกกี่ชาติแล้ว ขอแค่นายท่านสั่งการ ผู้น้อยก็พร้อมเคลื่อนไหวได้ตลอดเวลา” หญิงสาวชุดขาวเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล ทำให้ชายร่างใหญ่หน้าตาอัปลักษณ์มีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มหน้าผาก รีบร้อนเอ่ยปากอธิบาย
“ในเมื่อคิดเช่นนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บของอันใดแล้ว ไปกับข้าเถิด” หญิงสาวชุดขาวกลับดูเหมือนจะรู้สึกว่าสีหน้าของชายร่างใหญ่น่าสนใจ จึงเอ่ยออกมาด้วยแววตายิ้มๆ
“ขอรับ ผู้น้อยตัวคนเดียว จึงไม่มีอะไรต้องเก็บ” ชายร่างใหญ่พยักหน้าพร้อมโก้งโค้งด้วยรอยยิ้ม
หญิงสาวชุดขาวฉีกยิ้มเห็นไรฟัน สะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่ง
แสงสีชมพูแผ่ออกมา ชั่วพริบตากลิ่นหอมประหลาดก็โชยเข้าจมูก ลำแสงเจิดจ้า ห่อหุ้มหญิงสาวและชายร่างใหญ่เอาไว้ข้างใน
เมื่อลำแสงหม่นแสงลง บรรยากาศรอบๆ กลับว่างเปล่า ไม่มีเงาร่างผู้ใดอีก
คาดไม่ถึงว่าหญิงสาวชุดขาวจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ออกมา เคลื่อนย้ายตนและชายร่างใหญ่ไปจากที่นี่
ในภูเขาเมฆานิทราของเมืองเมฆา หานลี่เพิ่งกลับมาถึงถ้ำพำนัก ก็ตรวจสอบเขตอาคมตามจุดต่างๆ ในถ้ำอีกครั้ง เมื่อมั่นใจว่าไม่มีร่องรอยบุกรุกของผู้ใด ถึงได้เข้าไปหลับฝันหวานบนเตียงในห้องนอนอย่างวางใจ
การเดินทางไปเทือกเขามารสีทองในครั้งนี้ แม้ว่าจะใช้ระยะเวลาไม่นาน แต่อันตรายในระหว่างนั้นก็ยังคงมีไม่น้อย ทำให้เขานอกจากจะสูญเสียพลังปราณไปจำนวนมาก ยังรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก จึงจำใจต้องปรับให้เหมาะ
ผลคือการหลับครั้งนี้กินเวลาไปสองวันสองคืน
เมื่อหานลี่ตื่นขึ้นมา ก็รู้สึกสดชื่น ร่างทั้งร่างพลันฟื้นฟูกลับมากระปรี้กระเปร่า
ทันใดนั้นเขาก็เดินออกจากห้องนอน ตรงไปยังห้องลับอย่างไม่ลังเล
การเดินทางไปเทือกเขามารสีทองของเขาในครั้งนี้นับว่าได้ประโยชน์มาไม่น้อย จำต้องจัดการสักหน่อย
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่ก็มาอยู่ในห้องลับที่กว้างถึงยี่สิบสามสิบจั้ง สะบัดแขนเสื้อไปทางประตูหิน ไม่เพียงประตูใหญ่จะปิดลงโดยอัตโนมัติ กำแพงหินรอบด้านยังมีม่านลำแสงสีเขียวปรากฏขึ้นมาชั้นหนึ่ง ปกคลุมห้องลับเอาไว้อย่างแน่นหนา
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ หานลี่ถึงได้นั่งลงบนฟูกกลางห้อง และใช้มือหนึ่งถือจับคางเอาไว้พลางครุ่นคิด
แววตาเปล่งประกายวาวโรจน์ฉับพลันนั้นเขาพลันสะบัดข้อมือ ลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็ลอยตัวอยู่กลางอากาศ
นั่นก็คือกำไลเก็บของของเขาวงนั้น
หานลี่ใช้มือหนึ่งชี้ไปกลางอากาศอย่างไม่ต้องขบคิด
ชั่วขณะนั้นม่านลำแสงพันม้วนวนออกมา ของสีดำชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ
เสียง “ตึง” ดังขึ้น ของสิ่งนั้นร่อนลงบนพื้น เกิดเป็นเสียงอันหนักอึ้ง
นั่นก็คือซากแห้งของวานรมารระดับศักดิ์สิทธิ์ที่เหมือนกับมัมมี่ร่างนั้น จุดตันเถียนของมันเป็นรูขนาดใหญ่ แต่กลับไม่มีโลหิตสดๆ เลยสักนิด จึงดูสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
หานลี่มองซากแห้งยาวสองสามจั้งตนนั้น ใบหน้ากลับเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา
แม้ว่าแกนมารในซากศพของวานรมารจะถูกเขาเอาออกไปแล้ว ดูเหมือนว่าโลหิตบริสุทธิ์จะสูญเสียไปแปดเก้าส่วนแล้ว แต่ความแข็งแกร่งของร่างกายก็ยังคงไม่ธรรมดา ไม่ว่าเส้นเอ็นหรือกระดูกก็ล้วนเป็นวัตถุดิบที่หายาก มีประโยชน์ในการหลอมอาวุธเป็นอย่างมาก
แต่ตอนแรกที่เขาพาซากนี้ไป ก็ไม่ใช่เพื่อหลอมอาวุธ แต่เพื่อโลหิตเที่ยงแท้ของวานรมารภูเขาที่ผสมอยู่ในร่างของวานรมาร
ทว่าสิ่งนี้เปลี่ยนเป็นแห้งกรอบเช่นนี้ เขาก็ไม่มั่นใจนักว่าจะเอาสิ่งนี้ออกมาได้ จึงทำได้เพียงพยายามดูสักตั้ง
หากเป็นคนธรรมดาบางทีอาจจะปวดหัวกับการหลอมโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้นี้ แต่คาถาตื่นจากจำศีลกับร่างของหานลี่กลับไม่ได้เป็นปัญหาอะไร
ขอแค่เป็นโลหิตเที่ยงแท้ในตื่นจากจำศีลแปลงกายสิบสองเขา แน่นอนว่าเขาย่อมมีวิธีใช้เคล็ดวิชาลับหลอมเอาโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้ที่สืบทอดมาในกายเนื้อของอสูรวิญญาณออกมาได้
แน่นอนว่าจะหลอมโลหิตของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ได้เท่าไหร่และระดับความบริสุทธิ์เท่าใดนั้น ต้องดูระดับความเข้มข้นและระดับความแข็งแกร่งที่อสูรตัวนั้นสืบทอดโลหิตของจิตวิญญาณเที่ยงแท้มา ถึงอย่างไรเสียแม้ว่าจะสืบทอดโลหิตมาน้อยนิดตั้งแต่กำเนิด ก็อาจจะเพิ่มขึ้นตามระดับพลังยุทธ์ของตนได้ ทำให้โลหิตของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ในร่างบริสุทธิ์และเข้มข้นขึ้นได้
โลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้ที่ได้มาก่อนหน้า จากระดับความบริสุทธิ์แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นโลหิตเที่ยงแท้คุนเผิงของเผ่าวิหคสวรรค์ แต่ความเข้มข้นกลับเป็นโลหิตเที่ยงแท้ของนกยูงห้าสี
ที่น้อยที่สุดคือโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้ของมังกรเที่ยงแท้และหงส์สวรรค์
โลหิตวิญญาณสองชนิดหลังเป็นสิ่งที่เขาบังเอิญได้มาจากสิ่งที่ไม่สะดุดตา หนำซ้ำยังเป็นโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้จากมนุษย์ และยิ่งไปกว่านั้นพลังยุทธ์ของทั้งสองยังอยู่แค่ระดับเทพแปลง แน่นอนว่าจึงไม่อาจกล่าวว่าบริสุทธิ์อันใดได้
แม้ว่ามังกรเที่ยงแท้หงส์สวรรค์จะถูกจัดอันดับอยู่ในระดับหน้าๆ แต่หลังจากหานลี่หลอมทั้งสองชนิดนี้ ไม่ว่าอานุภาพหลังจากการแปลงกายกลับสู้การแปลงกายของคุนเผิงและนกยูงห้าสีไม่ได้ ประกอบกับเขาได้คาถาแปลงกายต่างๆ มาจากจิตของอาวุโสเผ่าคุนเผิง จึงแปลงเป็นคุนเผิงและวิหคอื่นๆ มากที่สุด
ดังนั้นหานลี่จึงใช้การแปลงกายเป็นมังกรเที่ยงแท้และหงส์สวรรค์น้อยมาก และใช้การแปลงกายเป็นคุนเผิงและนกยูงห้าสีต่อกรกับศัตรูมากที่สุด
แต่วานรมารภูเขาที่อยู่ตรงหน้ากลับเป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางของจริง ต่อให้เดิมทีมันสืบทอดโลหิตของวานรยักษ์ภูเขามาน้อยนิดสักแค่ไหน ฝึกฝนจนมาถึงขั้นนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นระดับความบริสุทธิ์และจำนวนก็ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
แน่นอนว่านี่ย่อมทำให้หานลี่ตั้งตารอคอย
แน่นอนว่าทุกสิ่งที่เอ่ยไปก่อนหน้า โลหิตของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ในซากวานรมารตัวนี้ต้องยังอยู่ถึงได้
ยามนี้หานลี่หลับตาทั้งสองข้างลง ปากก็เริ่มบริกรรมคาถา และร่ายนิ้วไปทางซากยักษ์เบื้องหน้าไม่หยุด
ชั่วขณะนั้นอาคมหลากสีสันเป็นสายๆ พลันพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว จากนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในซากศพ
ชั่วขณะนั้นผิวของซากวานรมารที่เดิมนิ่งสนิทพลันเริ่มเปล่งแสงหลากสีออกมา และมีอักขระน้อยใหญ่ปรากฏออกมา
จากนั้นเสียงบริกรรมคาถาพลันยิ่งยืดยาวขึ้น ซากทั้งซากถูกม่านลำแสงห่อหุ้มเอาไว้ ราวกับสวมชุดคลุมหลากสีสันที่งดงามมาก
“ขึ้น”
ดวงตาทั้งสองของหานลี่เบิกตาขึ้นลำแสงบริสุทธิ์พุ่งออกไปรอบด้าน พลางตะโกนด้วยเสียงต่ำๆ ออกมา
ซากศพที่แต่เดิมนอนนิ่ง พลันเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะลอยขึ้นไปกลางอากาศ
จากนั้นฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น
ม่านลำแสงสีสันงดงามพลันแข็งตัวในชั่วพริบตา
ในม่านลำแสงนับหมื่นสายดูเหมือนจะมีพลังมหาศาลที่น่าเหลือเชื่อแฝงอยู่ คาดไม่ถึงว่าจะมัดร่างของวานรมารแน่นจนเกิดเสียงดัง ‘กร๊อบ’ เริ่มหดเล็กลงทีละนิดๆ จากสามสี่จั้ง เป็นสองจั้ง และจากสองจั้งกลายเป็นหนึ่งจั้ง
เห็นเพียงซากวานรมารยาวสองสามจั้งกลายเป็นซากคนแคระขนาดสามสี่ฉื่อในชั่วพริบตา
หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันหยักมุมปากขึ้น รอยยิ้มปรากฏขึ้น แต่ครู่ต่อมาเขาพลันตบไปที่หน้าผากของตนเอง
ชั่วขณะนั้นม่านลำแสงสีทองเขียวสองสีพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ทารกวิญญาณสูงสามชุ่นตัวอ้วนกลมปรากฏออกมา
เมื่อมันปรากฏตัวแววตาก็เปล่งประกาย จ้องเขม็งไปยังซากวานรมารกลางอากาศ จากนั้นก็ฉีกยิ้มหัวเราะคิกคัก พ่นเพลิงสีเขียวขนาดเท่านิ้วมือออกมาจากปาก ตรงไปหาซากวานรมาร
ตอนที่ 1654 เทวรูปและใบมีดชำรุด
หลังจากเสียง “ฟู่” ดังขึ้น เพลิงลูกไฟสีเขียวพลันสัมผัสเข้ากับวานรมาร คาดไม่ถึงว่าจะแผดเผาหมอกลำแสงที่ผิว
ชั่วขณะนั้นซากศพแห้งพลันถูกเปลวเพลิงร้อนแรงห่อหุ้มเอาไว้
และในยามนั้นเองทารกวิญญาณของหานลี่ก็นั่งสมาธิอยู่ มือหนึ่งร่ายอาคมเป็นรูปทรงประหลาด และหลับตาทั้งสองข้างลง
ส่วนกายเนื้อที่ด้านล่างก็นิ่งงันด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ราวกับจมสู่ห้วงสมาธิ
ภายใต้การกระตุ้นอาคมของทารกวิญญาณ เพลิงทารกสีเขียวพลันแผดเผาไปสามวันสามคืน แม้ว่าจากระดับหลอมสุญตาขั้นต้นของหานลี่ในยามนี้ จนถึงวันสุดท้ายก็ยังรู้สึกกินแรงไม่น้อย เพลิงสีเขียวที่พ่นออกมาเล็กบางลงไปส่วนหนึ่ง
โชคดีที่วันที่สามไม่ทันได้จบลง ในที่สุดเคล็ดวิชาลับก็สำเร็จ
เพลิงวิญญาณสีเขียวมีเสียงระเบิดดังออกมา ควันสีดำแผ่ออกมาจากเปลวเพลิง ซากศพวานรมารที่แต่เดิมดูเหมือนจะคงรูปไม่เปลี่ยนแปลง พลันกลายเป็นกลุ่มควันในชั่วพริบตา โชคดีที่เหลือของเรืองแสงขนาดเท่ากำปั้นเอาไว้
ทารกวิญญาณลืมตาขึ้นจ้องไปยังของที่มีเปลวเพลิงเปล่งแสงระยิบระยับล้อมรอบอยู่ เผยรอยยิ้มออกมาในเวลาเดียวกันก็หยุดพ่นเพลิงทารกออกมาจากปาก
ม่านลำแสงสีทองและเขียวเปล่งแสงสว่างจ้า ทารกวิญญาณหายวับไป
ครู่ต่อมากายเนื้อที่อยู่ด้านล่างกลับไม่ไหวติง และลืมตาขึ้นสะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่งไปกลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นหลังจากที่ม่านลำแสงม้วนวนผ่านไป เพลิงทารกทั้งหมดก็มอดไหม้ เผยสิ่งที่อยู่ด้านในออกมา
เป็นลำแสงสีโลหิตราวกับสร้างขึ้นจากผลึกก็ไม่ปราณ
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลงพลางงอนิ้วชี้ในแขนเสื้อ
เสียงแหวกอากาศดังขึ้น วายุสายหนึ่งพุ่งออกมา แค่กะพริบวาบก็โจมตีไปยังผลึกสีแดงโลหิต
หลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้น ผลึกพลันปริแตกคาดไม่ถึงว่าจะมีของเหลวสีดำแดงที่ข้นเหนียวไหลออกมา
เมื่อของเหลวออกมากลางอากาศก็หมุนวนแล้วผนึกรวมตัวกันกลายเป็นวานรน้อยสีดำแดงสูงครึ่งฉื่อ
วานรตัวนี้เปล่งเสียงร้อง ฉับพลันนั้นก็แผ่กลิ่นอายป่าเถื่อนที่ทำให้หานลี่หน้าเปลี่ยนสีออกมา จากนั้นลำแสงสีดำแดงพลันสว่างวาบ วานรสลายหายไป
แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นจากในกำแพงด้านหนึ่งในห้องลับ ลำแสงสีดำแดงกลุ่มหนึ่งชนเข้ากับมัน แต่ถูกพลังต้องห้ามดีดกลับมา
ลำแสงสีดำแดงเปล่งแสงสว่างวาบแล้วกลายร่างเป็นวานรอีกครั้ง พุ่งไปอีกทางราวกับแมลงวันไร้หัว
แต่ในยามนั้นหานลี่ที่เตรียมตัวเอาไว้นานแล้วพลันพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ชั่วขณะนั้นในมือพลันมีลำแสงสีขาวเจิดจ้า ขวดหยกปากขวดเล็กแคบปรากฏขึ้น
โยนขึ้นไปกลางอากาศ ขวดหมุนติ้วๆ ปากขวดชี้ไปทางกลางอากาศ
ม่านลำแสงสีขาวด้านในปรากฏขึ้นรางๆ
เสียง “สวบๆ” ดังขึ้น เส้นไหมสีขาวพ่นออกมาจากด้านใน แค่เคลื่อนไหวก็ม้วนเอาวานรสีดำแดงเข้าไปข้างในแล้วดึงกลับมาใส่เข้าไปในขวดหยกได้อย่างง่ายดาย
หานลี่พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ยกมือข้างหนึ่งกวักไปกลางอากาศ
ขวดเล็กพลันสั่นเทาร่อนลงมาด้านล่างอย่างเงียบเชียบ ถูกฝ่ามือรองเอาไว้อย่างมั่นคง
หานลี่แผ่จิตสัมผัสเข้าไปตรวจสอบในขวด หลังจากผ่านไปชั่วครู่แววตาก็ฉายแววตื่นเต้นดีใจ
“เยี่ยม เยี่ยมมาก เป็นโลหิตของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ของวานรยักษ์ภูเขาดังคาด คิดไม่ถึงว่าโลหิตเที่ยงแท้ที่หลอมขึ้นใหม่จะบริสุทธิ์ถึงเพียงนี้ หากหลอมเสร็จคิดดูแล้วตอนแปลงร่างเป็นวานรยักษ์คงจะเหนือกว่าวิหคสวรรค์เป็นแน่” หานลี่เอ่ยพึมพำกับตัวเองด้วยความดีใจ อีกมือหนึ่งตะปบไปกลางอากาศ ยันต์วิเศษสีทองและเงินสองแผ่นปรากฏขึ้น ถูกแปะลงไปบนปากขวด
จากนั้นขวดหยกก็ถูกเขาเก็บลงไปอย่างระมัดระวัง
แม้ว่าจะหลอมโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้ได้แล้ว แต่ตอนนี้ก็ไม่สามารถหลอมให้หมดได้ในทันที
ผ่านการพ่นเพลิงทารกใส่ซากวานรมารไปสองสามวัน ก็สูญเสียปราณแท้ไปไม่น้อย เขาจำต้องฟื้นฟูพลังลมปราณก่อนแล้วค่อยว่ากัน
กินยาลูกกลอนไปเล็กน้อย แล้วหยิบศิลาวิญญาณสองก้อนออกมาจากกำไลเก็บของ หานลี่เข้าสู่ห้วงแห่งสมาธิด้วยสีหน้าราบเรียบ
หนึ่งวันต่อมาเมื่อเขานั่งสมาธิเสร็จพลังปราณรอบกายก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิม
หลังจากที่เขารู้สึกว่าพลังปราณในร่างกลับมาเต็มเปี่ยมและบริสุทธิ์เหมือนเดิมแล้ว ทันใดนั้นก็พลิกฝ่ามือด้วยรอยยิ้ม ใบมีดชำรุดความยาวครึ่งฉื่อเปล่งแสงเรืองรองปรากฏขึ้นในมือ
นั่นก็คือใบมีดชำรุดที่ดูคล้ายสมบัติสวรรค์ทมิฬ ซึ่งได้มาจากวานรมารชิ้นนั้น
วันนั้นที่เขาได้สมบัติชิ้นนี้มาก็อยู่ในอารามรีบร้อนจึงไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด ระหว่างทางก็กลับมายังเมืองเมฆาพร้อมเซียนเซียนจึงไม่ได้หยิบสมบัติชิ้นนี้ออกมา
ยามนี้หานลี่ใช้นิ้วลูบไปบนอักขระบนผิวใบมีดชำรุดที่เว้านูนไม่เรียบเกลี้ยง แล้วเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
จิตสัมผัสกวาดซ้ำไปซ้ำมาเป็นสิบครั้ง แต่เหมือนกับผลสวรรค์ทมิฬอย่างไรอย่างนั้น เมื่อสัมผัสผิวของมันก็จะถูกพลังลึกลับกลุ่มหนึ่งบีบกลับมา และยิ่งไปกว่านั้นจนถึงยามนี้ เจ้าสิ่งนี้ก็ยังไม่มีไอวิญญาณเลยสักนิด ดูแล้วเหมือนกับเหล็กกร่อนที่ธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่ง
แต่ใบมีดชำรุดที่ไม่สะดุดตาชิ้นนี้กลับสำแดงอานุภาพที่น่าตกตะลึงออกมาในวันนั้น หากไม่ใช่เพราะผลสวรรค์ทมิฬถูกกระตุ้นจนบินออกมากลายเป็นกระบี่สวรรค์ทมิฬอีกครั้ง เกรงว่าก็คงเพลี่ยงพล้ำไปภายใต้ใบมีดชำรุดที่สับลงมา
เมื่อนึกถึงอานุภาพที่น่าตกตะลึงของใบมีดชำรุดในวันนั้น แววตาของหานลี่ก็มีลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ ใช้เนตรวิญญาณวารีกระจ่างตรวจสอบอย่างละเอียด
เนตรวิญญาณสามารถมองทะลุผ่านใบมีดชำรุดได้ดังคาด แต่นอกจากอักขระสีทองขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว ก็มองไม่เห็นสิ่งอื่นอีก
หานลี่เลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเดิมทีด้านในของใบมีดชำรุดก็เป็นเช่นนี้หรือว่าถูกพลังเทวรูปของเขากระตุ้นให้เป็นเช่นนี้กันแน่
ทว่าหลังจากที่ขบคิดอีกที เขาก็ฉีกยิ้มออกมา
ไม่ว่าเดิมทีใบมีดชำรุดจะมีหน้าตาอย่างไร แต่นั่นมันเกี่ยวอะไรกับเขาล่ะ เขาแค่ต้องทำให้สมบัติชิ้นนี้กลายเป็นเครื่องมือสังหารอีกชิ้นหนึ่งของตนก็พอแล้ว
แม้ว่าวันนั้นเขาจะใช้พลังเทวรูปกระตุ้นผลสวรรค์ทมิฬอีกครั้งแต่ไม่ได้ตกอยู่ในสภาพที่สูบเสียพลังลมปราณและโลหิตบริสุทธิ์ไปจนหมด แต่พลังของเทวรูปก็ถูกสูบไปเกือบครึ่ง นั่นก็ร้ายแรงมาก การฟื้นฟูในภายภาคหน้าจะต้องใช้เวลาไม่น้อยเช่นกัน
และยิ่งไปกว่านั้นยามนี้ผลสวรรค์ทมิฬก็ถูกผนึกอยู่ในแขนยังคงไม่อาจเรียกออกมาได้ ผู้ใดจะรู้ว่าครั้งต่อไปที่จะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูจะบังเอิญถูกกระตุ้นออกมาอีกหรือไม่
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตน้อยๆ ของตัวเองจะต้องนำไปฝากไว้กับเครื่องมือสังหารที่พึ่งพาไม่ได้ชนิดนี้ แม้ว่าเครื่องมือสังหารชนิดนี้จะมีพลังอานุภาพลึกล้ำยากจะคาดเดา แม้กระทั่งเคยช่วยชีวิตเขาอย่างต่อเนื่องมาแล้วสองครั้ง
เทียบกับกระบี่ยาวที่สร้างขึ้นจากผลสวรรค์ทมิฬแล้วพลานุภาพของใบมีดชำรุดชิ้นนี้ก็เทียบกับมันไม่ได้เลย แต่ด้วยเหตุนี้เวลาที่สำแดงสมบัติชิ้นนี้จึงสูญเสียน้อยกว่าผลสวรรค์ทมิฬ อาจจะถูกเขากระตุ้นได้ดั่งใจ
เมื่อขบคิดเช่นนั้นแววตาของหานลี่พลันมีแสงสีฟ้าไหลวนโคจร แน่นอนจึงคิดอยากจะลองดูสักครั้ง
เห็นเพียงเขาโยนใบมีดสีทองในมือออกไป จากนั้นสองมือพลันร่ายอาคม ชั่วขณะนั้นรอบกายพลันเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า เกราะเกล็ดสีทองพลันปรากฏขึ้นเป็นชั้นๆ บนผิว
จากนั้นเทวรูปสีทองสูงสองสามจั้งพลันปรากฏขึ้นที่แผ่นหลังของเขา สามเศียรหกกรเปล่งแสงสีทองระยิบระยับ
เมื่อมองผ่านๆ เทวรูปตนนี้ดูเหมือนมีขนาดเท่าเดิมอย่างไรอย่างนั้น แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดก็จะพบว่าร่างกายรางเลือนกว่าก่อนหน้าเป็นอย่างมาก แม้แต่ลำแสงสีทองที่ปล่อยออกมาก็หม่นแสงลงเล็กน้อย
เมื่อเทวรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้ปรากฏตัวแขนข้างหนึ่งก็ขยับคว้าใบมีดชำรุดสีทองกลางอากาศเข้ามาอยู่ในมือ
หานลี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง แต่ในใจพลันร่ายคาถา
เทวรูปกลางอากาศเปล่งแสงสีทองนับหมื่นสายออกมา ปล่อยลำแสงเจิดจ้าเป็นอย่างยิ่ง ในเวลาเดียวกันลำแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศในบริเวณนั้น ชั่วครู่ก็เรียงตัวกันเต็มห้องลับ
หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันเลิกคิ้ว ฉับพลันนั้นพลันอ้าปากร้องตะโกนเสียงต่ำๆ
เทวรูปด้านบนสะบัดใบมีดชำรุดสีทองในมือที่กำอยู่เบาๆ
เสียงร้องแหลมสูงดังขึ้น ลำแสงสีทองบนร่างของเทวรูปทั้งหมดทะลักไปหาใบมีดราวกับน้ำไหลหลาก ในเวลาเดียวกันลำแสงสีทองกลางอากาศก็สั่นเทา กลายเป็นอักขระสีทองน้อยใหญ่ไม่เท่ากัน
หลังจากที่อักขระเหล่านี้หมุนวนก็เหมือนกับถูกเรียกอย่างไรอย่างนั้น กลายเป็นลำแสงสีทองพุ่งไปหาใบมีดชำรุด สุดท้ายก็ทยอยกันจมหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ตัวใบมีดชำรุดถูกลำแสงสีทองกลืนกิน เสียงกรีดร้องแหลมสูงแต่เดิมหยุดลง
และในยามนั้นเสียงเสียงหนึ่งของเทวรูปก็ดูเหมือนจะหดเล็กลงเท่าหนึ่ง
แต่ครู่ต่อมาลำแสงสีทองที่ปกคลุมใบมีดชำรุดก็หม่นแสงแล้วสลายหายไป
ใบมีดนี้แต่เดิมก็ขาดตัวมีดครึ่งหนึ่งไป ชั่วครู่ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ บนผิวมีอักขระสีทองสามตัวไหลเวียนอยู่รางๆ
หานลี่เงยหน้าขึ้นมองใบมีดสีทองกลางอากาศ สัมผัสได้ถึงพลังแรงกดน่าตกตะลึงที่แผ่ออกมาจากด้านบนและพลังปราณในร่างที่ไหลออกไปอย่างรวดเร็วได้อย่างชัดเจน ใบหน้ากลับอดที่จะเผยสีหน้ายินดีออกมาไม่ได้
ดังคาดเขาสามารถอาศัยเทวรูปควบคุมสมบัติชิ้นนี้ได้ แม้ว่าพลังของเทวรูปและพลังปราณจะยังคงถูกดูดออกไป แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่เขาทนไหว
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ฉับพลันนั้นพลันพิจารณาอักขระสีทองสามตัวบนใบมีดสีทองอย่างละเอียด
อักขระสามตัวนี้คล้ายกับอักขระบนกระบี่ที่สร้างขึ้นจากผลสวรรค์ทมิฬ แค่มองก็รู้ว่าเป็นตัวอักษรชนิดเดียวกัน
“อักษรจ้วนทอง เจ้าสิ่งนี้คือสมบัติสวรรค์ทมิฬอีกชิ้นหนึ่งดังคาด” หานลี่เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาและไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
แต่ฉับพลันนั้นเขาพลันสัมผัสอะไรได้ เลื่อนสายตาไปที่เทวรูปสามเศียรหกแขนอีกครั้ง
เห็นเพียงลำแสงสีทองบนร่างเทวรูปแม้จะไม่เหมือนตอนแรกที่ทะลักไปหาใบมีดสีทอง แต่ก็ยังคงส่งออกมาอย่างช้าๆ ทีละนิดๆ
หลังจากสมบัติชำรุดสวรรค์ทมิฬชิ้นนี้เริ่มคืนร่าง คาดไม่ถึงว่าจะดูดซับพลังของเทวรูปไปไม่หยุด
หานลี่รู้สึกประหลาดใจไปเล็กน้อย แต่หลังจากที่ขมวดคิ้วมุ่น มือหนึ่งก็ชี้ไปที่เทวรูปกลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นแขนของเทวรูปพลันขยับ ใบมีดสีทองถูกนิ้วทั้งห้าคลายออกแล้วโยนออกมา จากนั้นใบหน้าของทั้งสองพลันชัดเจนขึ้น และอ้าปากออกพร้อมกัน
พ่นพายุสีทองกลุ่มหนึ่งออกมา แค่กะพริบวาบ ก็ม้วนเข้าไปในใบมีดสีทอง
ชั่วขณะนั้นเสียงอึกทึกพลันดังขึ้น ครึ่งหนึ่งของใบมีดสีทองกลายเป็นหมอกลำแสงสีทองถูกพายุม้วนเข้าไป เปล่งแสงสว่างวาบแล้วบินกลับไปหาเทวรูปอีกครั้ง
หลังจากที่เทวรูปสามเศียรหกแขนดูดซับหมอกลำแสงสีทองไปจนหมดเกลี้ยง ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า ฟื้นฟูกลับมีขนาดเท่าตอนที่สำแดงออกมา
ใบมีดสีทองกลางอากาศฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาพชำรุดเช่นเดิม และร่อนลงมาจากกลางอากาศ
หานลี่ใช้มือหนึ่งกวักเรียก
หลังจากลำแสงสีทองสว่างวาบ ใบมีดชำรุดก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
จากอานุภาพที่น่ากลัวของสมบัติสวรรค์ทมิฬชิ้นนี้ วันข้างหน้าก็จะกลายเป็นเครื่องมือสังหารอีกชิ้นหนึ่งของเขา แน่นอนว่าต้องเก็บเอาไว้อย่างระมัดระวัง
ได้สมบัติวิเศษมาสองชิ้นต่อเนื่องกัน แน่นอนว่าหานลี่ย่อมพึงพอใจเป็นอย่างมาก
ทว่าเขาก็ไม่ได้ได้ของจากเทือกเขามารสีทองมาเพียงเท่านี้
หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย ก็สะบัดแขนเสื้อ ของอีกสองชิ้นบินออกมา หยุดอยู่ตรงหน้าห่างออกไปแค่คืบ
ตอนที่ 1655 ไข่มุกกระจกวารีกับภูเขาผส...
อันหนึ่งเปล่งแสงสีฟ้าสดใส อันหนึ่งเปล่งแสงสีขาวนวล
เป็นไข่มุกกลมสีฟ้าเม็ดหนึ่งและกล่องหยกสีขาวใบหนึ่ง
ทั้งสองลอยอยู่กลางอากาศ ไม่ขยับเขยื้อน
หานลี่ยกมือขึ้น ดูดไข่มุกสีฟ้าเข้ามาอยู่ในมือ
ผิวของไข่มุกเม็ดนี้โปร่งใสและเรียบลื่นเป็นพิเศษ ราวกับว่าทำขึ้นจากกระจกอย่างไรอย่างนั้น แต่ไอวิญญาณวารีบริสุทธิ์ที่แผ่ออกมา สิ่งนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นสมบัติวิญญาณธาตุวารีบริสุทธิ์ชิ้นหนึ่ง
ใช้สองนิ้วคีบเอาไว้ ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบลำแสงสีฟ้าซ้ำไปซ้ำมา ทันใดนั้นหานลี่ก็ตกอยู่ในภวังค์ความครุ่นคิด
ผ่านไปนานเท่าไหร่ก็สุดจะรู้ได้ ในหัวของเขาพลันมีลำแสงสว่างวาบ สีหน้าเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดใจ
“หรือว่านี้คือสิ่งที่กล่าวเอาไว้ในตำนานชิ้นนั้น?” หานลี่เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา ใบหน้าเผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมา
ทันใดนั้นสองนิ้วก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ พลังวิญญาณบริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งทะลักเข้าไปในไข่มุกทรงกลม
เสียง “ตูม” ดังขึ้น ไอวิญญาณที่โคจรอยู่รอบผิวของไข่มุก พ่นวารีสีฟ้าใสออกมา จากนั้นพลันพลิ้วไหวกลายเป็นม่านน้ำผลึกวารีบางๆ ชั้นหนึ่ง ห่อหุ้มลงมาที่ร่างของหานลี่
หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสีอ้าปากออกพ่นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งออกไปโดยมิได้ปริปากพูดใดๆ
เปล่งแสงสว่างวาบ สับลงมาที่ม่านลำแสง
หลังจากที่เสียงราวกับเหล็กกระทบดังขึ้น ลำแสงสีเขียวก็ถูกดีดออกไปกลายเป็นกระบี่เล่มเล็กขนาดสองสามชุ่นเปล่งแสงสีเขียวเปล่งแสงระยิบระยับ
การฟันลงมาของกระบี่บินเล่มนี้เมื่อครู่ราวกับฟันลงบนเหล็กกล้า ไม่อาจทำลายม่านวารีได้เลยสักนิด
จากความแหลมคมของกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆานี้ แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงเป็นอย่างมาก
“กระจกวารีสวรรค์! นี่คือไข่มุกกระจกวารี!”
หานลี่พลันร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
แต่ครู่ต่อมาสีหน้าตกตะลึงบนใบหน้าของเขาพลันหายไป เขาพลันขบคิดเล็กน้อยแล้วอ้าปากออกดูดกระบี่เล่มเล็กสีเขียวเข้าไปในท้อง แล้วใช้นิ้วชี้ชี้ไปม่านวารีกลางอากาศ
ลำแสงสีแดงเปล่งแสงสว่างวาบ ดวงแสงเพลิงสีแดงสดขนาดเท่าไข่ไก่ลูกหนึ่งปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้ว และเคลื่อนไหวโจมตีไปที่ม่านวารี
อย่างไร้สุ้มเสียง!
หากสัมผัสเข้ากับม่านวารี ดวงแสงเพลิงก็จะเปล่งแสงสว่างวาบแล้วมลายหายไปในทันที ไม่ได้เผยอานุภาพออกมาเลยสักนิด
หานลี่พลันเลิกคิ้ว สะบัดแขนเสื้อไปทางม่านวารี
เสียงไพเราะดังขึ้น วิหคเพลิงสีเงินขาวตัวหนึ่งบินออกมาจากแขนเสื้อ
นั่นก็คือวิหคเพลิงกลืนวิญญาณ
วิหคตัวนี้บินวนล้อมรอบร่างกายของหานลี่แล้วก็สยายปีกทั้งสองออกพุ่งไปทางม่านวารี
เสียง “เปรี๊ยะๆ” ดังขึ้น เปลวเพลิงสีเงินและลำแสงสีฟ้าตัดสลับกันไปมา แล้วพากันสั่นไหวดีดตัวออก
ในยามนั้นเพลิงกลืนวิญญาณเองก็ไม่อาจทำอันใดม่านวารีได้
“ไม่ผิดแน่ เป็นกระจกวารีสวรรค์ไม่ผิดแน่!” หานลี่เอ่ยพึมพำ สะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง ดูดวิหคเพลิงสีเงินกลับมา แต่สายตาที่ก้มหน้าลงเหลือบมองไข่มุกทรงกลมในมือพลันร้อนแรงในชั่วครู่
แต่ครู่ต่อมา สายตาที่ร้อนแรงของเขาก็ค่อยๆ สลายหายไป
“น่าเสียดายจัง ข้าไม่ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาธาตุน้ำ สมบัติชิ้นนี้คงเป็นได้เพียงสมบัติธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่ง มิเช่นนั้นล่ะก็ ขอแค่นำสมบัติชิ้นนี้ไปหลอมแล้วค่อยๆ ดูดซับอย่างช้าๆ ก็เพียงพอที่จะทำให้ร่างของตนกลายเป็นร่างของกระจกวารีในตำนานแล้ว” หานลี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง หน้าเปลี่ยนสีเป็นเสียดายอย่างยิ่ง
หากมีร่างกระจกวารีล่ะก็ ไม่ว่าจะฝึกฝนเคล็ดวิชาธาตุน้ำชนิดใด ล้วนจะได้ผลเป็นสองเท่า และยิ่งไปกว่านั้นว่ากันว่ายังสามารถบรรลุโครงร่างของวารีบางชนิดหรือกฎของฟ้าดินได้ เพียงพอที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ใจเต้น
ฝ่ามือของหานลี่พลิ้วไหว
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีฟ้าบนผิวของไข่มุกพลันหม่นแสง ม่านวารีที่ห่อหุ้มลงมารอบด้านพลันกลายเป็นลำแสงวารีผินหนึ่งถูกดูดเข้ามา
เขาใช้มือหนึ่งถือไข่มุกเม็ดนั้นเอาไว้ แววตาเปล่งประกายขบคิดอันใดสักอย่างไร
ฉับพลันนั้นแววตาของหานลี่พลันเปล่งแสงเจิดจ้า ดูเหมือนว่าจะนึกอันใดออก มืออีกข้างหนึ่งพลันร่ายอาคม เงาสีขาวเลือนรางสายหนึ่งบินออกมาจากหว่างเอว หลังจากหมุนวนรอบหนึ่งก็กลายเป็นอสรพิษสีขาวนวลขนาดสองสามฉื่อตัวหนึ่ง ลอยอยู่เบื้องหน้าของเขา
นั่นก็คือหุ่นเชิดสะท้านฟ้าที่ถูกหานลี่ตั้งชื่อให้ว่า ‘หวาหวา’
เป็นเพราะหุ่นเชิดตัวนี้มีอิทธิฤทธิ์แค่ระดับหลอมสุญตาขั้นต้น จึงไม่มีประโยชน์ต่อการต่อสู้ในเทือกเขามารสีทองมากนัก ดังนั้นหานลี่จึงไม่เคยเรียกนางออกมา
ถึงอย่างไรเสียเขาก็ให้ความสำคัญกับหุ่นเชิดตัวนี้ว่าเป็นจิตวิญญาณของเขาและอาจจะพัฒนาศักยภาพได้ จึงไม่อยากให้มันได้รับความเสียหายง่ายๆ
ยามนี้ปากของหานลี่กำลังบริกรรมคาถา มือหนึ่งชี้ไปที่หุ่นเชิดตัวนั้น
อสรพิษสีขาวเปล่งแสงวาววับ กลายเป็นหญิงงามท่าทางองอาจคนหนึ่ง
หลังจากที่หญิงสาวผู้นี้ร่อนลงมาจากกลางอากาศ แววตาสดใสก็จ้องหานลี่เขม็ง ใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก แต่ไอเย็นเยียบสีขาวที่แผ่ออกมาจากร่างกายกลับดูเหมือนร่างของน้ำแข็งทมิฬอย่างไรอย่างนั้น
หานลี่สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบบนร่างของสตรีผู้นี้ ก็มองไปที่ไข่มุกทรงกลมสีฟ้าในมือ สีหน้าลังเลเล็กน้อย
“ธาตุน้ำแข็งเป็นธาตุที่แปลงมาจากธาตุน้ำ หากเอาไข่มุกกระจกวารีห้อยไว้กับหุ่นเชิดสะท้านฟ้าธาตุน้ำแข็ง ไม่ทราบว่าจะมีประโยชน์หรือไม่”
หลังจากผ่านไปชั่วครู่หานลี่ก็เอ่ยพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงแผ่วเบา ในที่สุดก็ตัดสินใจโยนไข่มุกกลมสีฟ้าในมือให้ ‘หวาหวา’
ไข่มุกกระจกวารีกลายเป็นลำแสงสีฟ้า บินไปหาสตรีผู้นั้น ยังไม่ทันถึง ไอวิญญาณหนาแน่นกลุ่มหนึ่งพลันห่อหุ้มหุ่นเชิดตัวนี้เอาไว้
จะว่าไปแล้วก็แปลกหลังจากที่หวาหวา สัมผัสกับไอวิญญาณวารีหนาแน่นนั้น ใบหน้าที่เดิมแข็งทื่อพลันเปลี่ยนไป ดวงตาเลื่อนออกจากร่างของหานลี่ จ้องเขม็งไปยังไข่มุกที่บินมาตรงหน้า
ฉับพลันนั้นนางพลันอ้าปาก พ่นหมอกสีขาวกลุ่มหนึ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบ ม้วนเอาไข่มุกเม็ดนั้นไว้ข้างใน จากนั้นก็สูดเข้าไปในปากบาง
สีหน้าแปลกประหลาดของหวาหวา พลันมีหมอกสีฟ้าปรากฏขึ้น คิ้วดำแม้กระทั่งย่นขึ้นเล็กน้อย
แต่ครู่ต่อมาชั่วขณะนั้นใบหน้าของสตรีผู้นี้ก็ผ่อนคลายลง ลำแสงสีฟ้าบนใบหน้าสลายหายไป เปลี่ยนเป็นเหมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้น
แน่นอนว่าหานลี่ย่อมมองไปที่ ‘หวาหวา’ โดยตลอด เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ลูบใต้คาง ไม่ได้เผยสีหน้าผิดหวังอันใดออกมา
ถึงอย่างไรเสียต่อให้มีประโยชน์จริงๆ ก็ไม่อาจมองออกได้ในระยะเวลาสั้นๆ แน่ แต่เขาก็ยังไม่ได้มีเจตนาจะเก็บหุ่นเชิดสะท้านฟ้าตนนี้ในทันที แต่ชี้ไปที่ประตูหิน ใช้น้ำเสียงออกคำสั่งเอ่ยว่า
“ข้าต้องกักตัวต่อ เจ้าอยู่ในถ้ำพำนักได้อย่างอิสระ และคอยดูสวนสมุนไพรให้ข้าด้วยแล้วกัน”
แม้ว่าหุ่นเชิดตัวนี้จะมีสติปัญญาไม่สูงส่งนัก แต่คำสั่งง่ายๆ แน่นอนว่าย่อมเข้าใจได้
และยิ่งไปกว่านั้นยังมีเพียงการปล่อยหุ่นเชิดสะท้านฟ้าออกมาเคลื่อนไหว ถึงจะมีโอกาสพัฒนาสติปัญญาของมันได้ จุดนี้ไม่แตกต่างกับการเลี้ยงอสูรวิญญาณนั้น
หวาหวา พยักหน้าอย่างเงียบๆ เงาสีขาวพลิ้วไหว เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปจากประตูหินราวกับภูตผี
ด้านเขตอาคมนั้นดูเหมือนจะไม่อาจขวางกั้นได้เลยสักนิด
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้น หานลี่ที่คิดจะเปิดเขตอาคมพลันตกตะลึง อดที่จะรู้สึกรอคอยหุ่นเชิดสะท้านฟ้าตัวนั้นขึ้นมาไม่ได้
แต่จากนั้นเขาพลันเลื่อนสายตา ตกอยู่ที่กล่องหยกที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ผิวของกล่องหยกใบนี้มียันต์วิเศษสองสามแผ่นแปะอยู่ กำลังเปล่งแสงรางๆ
หานลี่พลันขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย แต่ก็ยังคงยกมือขึ้นร่ายอาคมสายหนึ่งออกไป
ชั่วขณะนั้นอาคมพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป จมหายเข้าไปในกล่องหยก
ผิวของกล่องหยกมีลำแสงไหลวนโคจรอยู่ ยันต์วิเศษสองสามแผ่นที่แปะอยู่ด้านบนปลิวลงมาอย่างเงียบเชียบ
ฝากล่องเปิดขึ้นอัตโนมัติ
ลำแสงสีเงินกลุ่มหนึ่งบินออกมาจากกล่องหยก หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็บินไปที่ขอบฟ้า
แต่หานลี่กลับเตรียมการเอาไว้นานแล้ว อีกมือหนึ่งมีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ตะปบออกไปกลางอากาศ
เสียง “สวบ” ดังขึ้น
ลำแสงสีเงินถูกพลังมหาศาลไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มลงมา ถูกดูดเข้าไปกลายเป็นแผ่นป้ายหยกสีขาวนวลแผ่นหนึ่ง
ผิวของแผ่นป้ายหยกมีอักขระสีเงินจำนวนมากเปล่งแสงระยิบระยับไม่หยุด นั่นก็คือตำราหยกพระราชวังทองคำอีกม้วนหนึ่งที่ได้มาจากเตียงโลหิตวานรมาร
ในนี้บันทึกวิธีการหลอมอาวุธชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘เคล็ดวิชาหลอมสวรรค์ทมิฬ’ เอาไว้ วิธีการที่บันทึกไว้ทั้งหมดล้วนน่าเหลือเชื่อ ดูเหมือนว่าจะเหนือกว่าที่ระดับของหานลี่ในครานี้จะเรียนรู้ได้
แต่วันนั้นเขามีเวลาจำกัด จึงอ่านแค่ผ่านๆ ไม่ได้อ่านให้ละเอียดใดๆ ยามนี้แน่นอนว่าย่อมต้องเอาออกมาพิจารณาให้ละเอียด ดูว่าจะมีอะไรให้เรียนรู้ได้หรือไม่
หานลี่นำแผ่นป้ายหยกในมือแตะเข้ากับหน้าผาก แผ่จิตสัมผัสเข้าไปข้างใน แล้วค่อยๆ หลับตาลงอย่างเชื่องช้า ร่างกายไม่ขยับเขยื้อนอีก
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป การเรียนรู้ของหานลี่ คาดไม่ถึงว่าจะใช้เวลายาวนานมากจนน่าประหลาดใจ
หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งวัน เงาร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่ถึงได้ค่อยๆ เคลื่อนไหว และลืมตาทั้งสองขึ้น ด้านในมีแววตาตื่นตระหนกที่ยังหลงเหลืออยู่
“ภูเขาผสานปราณขั้นที่ห้า คาดไม่ถึงว่าจะมีวิธีการนำสมบัติวิญญาณสะท้านฟ้าห้าชิ้นมาหลอมให้กลายเป็นกายเนื้อ ช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริง! หากวิธีที่บันทึกอยู่ได้ผล ขอแค่มีกำลังทรัพย์และเวลาพอ บางทีก็อาจจะหลอมสมบัติสวรรค์ทมิฬโฮ่วเทียนสำหรับคนคนหนึ่งในแดนวิญญาณได้ แต่เรื่องเช่นนี้เกรงว่าอาศัยเพียงพลังของเผ่าธรรมดาๆ คงไม่อาจทำได้ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้การประกอบสมบัติ ‘ภูเขาผสานปราณขั้นที่ห้า’ ก็เพียงพอจะถอนภูเขาพลิกมหาสมุทรแล้ว การหลอมสมบัติทั้งห้านั้นเป็นไปไม่ค่อยได้ แต่หากหลอมสักสองชิ้น และผสมกันละก็ อานุภาพก็น่าเหลือเชื่อแล้ว” หานลี่เอ่ยพึมพำอย่างมีแผนการ
ที่แท้คาดไม่ถึงว่าเคล็ดวิชาการหลอมสวรรค์ทมิฬในตำราหยกส่วนสุดท้ายจะมีวิธีการหลอมสมบัติสวรรค์ทมิฬ วัตถุดิบที่จำเป็นสองสามชนิด ไม่ใช่สิ่งที่เคยหลอมมาแล้วอย่างธุลีดาราที่ไม่อาจปรากฏตัวในแดนวิญญาณได้ ก็เป็นสิ่งที่หานลี่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
มีเพียงวัตถุดิบและวิธีการหลอมทั้งหมดของ ‘ภูเขาผสานปราณขั้นที่ห้า’ ที่ดูเหมือนว่าจะมีความเป็นไปได้ในแดนวิญญาณ
วิธีการหลอมของเขานั้นไม่ต้องพูดถึง จำต้องอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขึ้นไปถึงจะมีโอกาสหลอมขึ้นได้ ส่วนวัตถุดิบหลักในการหลอมสมบัติชิ้นนี้ คาดไม่ถึงว่าจะต้องเป็นยอดเขาเที่ยงแท้ถึงจะได้
แน่นอนว่ายอดเขาเหล่านี้ไม่อาจเป็นภูเขาธรรมดาๆ ได้ จำต้องเป็นยอดเขาที่มีธาตุหายากและมีพลังพิเศษ
หนึ่งในบรรดายอดเขาเทวะดูดปราณที่มีชื่อเสียง
แน่นอนว่าภูเขาดูดปราณในมือของเขาไม่อาจเทียบกับในบันทึกของตำราหยกได้ จำต้องใส่วัตถุดิบล้ำค่าไปจำนวนมาก ประกอบกับผ่านการหลอมด้วยขั้นตอนพิเศษในระยะเวลานาน ถึงจะสำเร็จได้ อานุภาพก็จะเพิ่มขึ้นหลายเท่า
ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็มีวัตถุดิบหลักหนึ่งในยอดเขาแล้ว นี่จึงหนึ่งในสาเหตุที่หานลี่ใจเต้น
ส่วนยอดเขาที่เหลือทั้งสี่ชนิด ก็จำต้องหนึ่งในบรรดายอดเขาปราณเหนือที่มีลำแสงปราณเหนือผสมอยู่จำนวนมาก
เขาใช้มือหนึ่งถือแผ่นป้ายหยกเอาไว้ ร่างทั้งร่างจมลงสู่ภวังค์แห่งความครุ่นคิด
ตามหลักการแล้วหานลี่มีสมบัติสวรรค์ทมิฬชิ้นหนึ่งและสมบัติชำรุดสวรรค์ทมิฬชิ้นหนึ่ง จึงไม่ควรสนใจสมบัติสวรรค์ทมิฬโฮ่วเทียนมากนัก
แต่ในส่วนสุดท้ายที่กล่าวถึงประสิทธิภาพและประโยชน์ใช้สอยของ ‘ภูเขาผสานปราณขั้นที่ห้า’ คาดไม่ถึงว่าเมื่อสำแดงออกมาจะมีอานุภาพที่น่าเหลือเชื่ออย่างการทำให้อานุภาพของอัสนีอ่อนแรงลง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น