ยอดหญิงสกุลเสิ่น 165.1-166.2
ตอนที่ 165-1 อีกด้านหนึ่งของสงคราม
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว” ฟังจงหลี่ลูกชายคนเล็กของฟังต้าฉุยวิ่งเข้าประตูบ้านร้องตะโกนเสียงดัง
ฟังต้าฉุยกับฮูหยินเฉิงที่กำลังเตรียมตัวจะออกจากจวนก็ออกจากห้องหลักมาต้อนรับพร้อมกัน “หลี่เกอเอ๋อร์ เร็ว มาให้แม่ดูหน่อย” ฮูหยินเฉิงวิ่งเข้ามาดึงแขนของลูกชายอย่างร้อนใจ ต่อให้นางจะใจกว้าง แต่ลูกชายก็เป็นเลือดเนื้อที่ออกมาจากร่างนาง ไม่ได้เจอกันครึ่งเดือน แม้จะนอนหลับนางก็ยังเป็นห่วง
ทว่าฟังต้าฉุยกลับไม่ได้สนใจ “มีอะไรให้ดูกัน อยู่จวนโหวแล้วยังจะปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่เป็นธรรมได้ด้วยหรือ” แม้ว่าปากจะพูดเช่นนี้ แต่ดวงตากลับจ้องมองร่างลูกชายนิ่ง เห็นลูกชายมีสีหน้าท่าทางไม่เลว จึงวางใจลง
ฟังจงหลี่บิดตัวอย่างอึดอัดเล็กน้อย “ท่านแม่ ท่านรีบปล่อยมือเถอะ ข้าโตแล้วมิใช่หรือ” เขาอายุสิบสามแล้ว แม่เขายังทำเหมือนเขาเป็นเด็กๆ อายคนอื่นจะแย่
“เจ้าเด็กนี่ เมินแม่หรือ” ฮูหยินเฉิงเห็นลูกชายคนเล็กสบายดีก็วางใจลงเช่นกัน ตบหลังมือลูกชายเบาๆ พลางกล่าวเอ็ด
“หลี่เกอเอ๋อร์กินข้าวมาแล้วหรือยัง เดี๋ยวแม่จะไปทำอาหารให้เจ้า ทำขาหมูที่เจ้าชอบกินที่สุด” ฮูหยินเฉิงเป็นห่วงเรื่องอาหารการกินของลูกชาย
ฟังจงหลี่รั้งมารดาไว้ “ท่านแม่ไม่ต้องลำบากแล้ว ลูกกินข้าวที่จวนโหวมาแล้ว ยังอิ่มอยู่เลย” กับข้าวที่จวนโหวดีอย่างยิ่ง ดีกว่าที่เขากินที่บ้านเสียอีก
เขามองไปในลานบ้าน “พี่รองเล่า เหตุใดถึงไม่เห็นเขาออกมาเลย”
“พี่รองเจ้าอยู่ที่ค่าย เจ้าหาเขาทำไมหรือ” ฟังต้าฉุยกล่าวอย่างงุนงงเล็กน้อย
ฟังต้าฉุยมีลูกชายสามคน ได้แก่ลูกชายคนโตฟังจงเหริน ลูกชายคนรองฟังจงอี้และลูกชายคนที่สามฟังจงหลี่ ชื่อตั้งตามหลักคำสอนเหริน อี้ หลี่ จือ ซิ่น[1] ความเสียดายที่สุดในชีวิตนี้ของเขาก็คือไม่สามารถมีลูกชายห้าคนได้ มิเช่นนั้นจะได้ใช้ชื่อเหริน อี้ หลี่ จือ ซิ่นทั้งหมด
ปีนี้ลูกชายคนโตฟังจงเหรินอายุสิบเก้าปีแล้ว ตามฟังต้าฉุยเข้าค่ายทหารมานานแล้ว ปีนี้ลูกชายคนรองก็อายุสิบห้าปีแล้ว ไม่กี่วันก่อนก็เพิ่งเข้าค่ายทหาร ลูกชายคนที่สามก็คือลูกชายคนเล็กฟังจงหลี่ผู้นี้ ปีนี้เพิ่งจะอายุสิบสามปี
ไม่ผิดที่ฟังต้าฉุยจะรู้สึกแปลก ความจริงแล้วลูกชายคนรองและลูกชายคนเล็กเป็นคู่รักคู่แค้นที่สุด เมื่ออยู่ด้วยกันก็ทะเลาะต่อยตีกันทั้งวัน ไม่มีเวลาสงบสุขเลยสักครั้งเดียว
“แน่นอนว่าหาพี่รองเพื่อที่จะประลองอย่างไรเล่า หึๆ ครึ่งเดือนนี้ข้าเรียนกระบวนท่าต่อสู้ที่มีประโยชน์ไปไม่น้อย คอยดูข้าจะตีพี่รองให้ฟันร่วงเลย” ฟังจงหลี่กล่าวด้วยความมั่นใจ
เขากับพี่รองเดิมทีก็อายุห่างกันไม่มาก แน่นอนว่าสามารถเล่นด้วยกันได้ ด้วยความที่พี่รองโตกว่าเขาสองปี พละกำลังจึงมากกว่าเขา ทุกคนล้วนแต่ชนะเขา เขาอัดอั้นอยู่นานแล้ว
ครั้งนี้เขาเข้าไปฝึกฝนที่จวนโหวแล้ว พี่รองคิดว่าตัวเองอายุมากแล้ว รู้สึกขัดเขิน ไม่อยากตามไปคลุกคลีอยู่กับเด็กน้อยจึงไม่ได้ไปด้วย
ในจวนโหวเขาได้เปิดโลกทัศน์ อย่าว่าแต่ฝีมือของคุณชายสี่ แม้แต่ลูกน้องของคุณชายสี่ สุ่มเลือกมาหนึ่งคนล้วนแต่เก่งกาจทั้งหมด ในขณะที่เขาอิจฉาก็ตัดสินใจว่าจะต้องตั้งใจร่ำเรียน ไม่เห็นหรือว่า เมื่อกลับบ้านมาก็เรียกหาพี่รอง อยากแก้แค้นอย่างทนรอไม่ได้
ฮูหยินเฉิงได้ยินแล้ว นิ้วมือก็จิ้มหน้าผากของลูกชายคนเล็กไปทีหนึ่ง “ตีๆๆ รู้จักแต่จะทะเลาะ เพิ่งจะกลับมาถึงบ้านก็เริ่มก่อเรื่องอีกแล้ว แม่ไม่อนุญาต เจ้าเล่ามาตามตรงดีกว่าจวนโหวสอนอะไรบ้าง”
ทว่าฟังจงหลี่กลับไม่ยอมแพ้ “ท่านแม่ ข้าอยากแลกเปลี่ยนความรู้กับพี่รอง แลกเปลี่ยนศิลปะการต่อสู้ต่างหาก” เหอะ คราวนี้เขาจะต้องชนะพี่รองให้ได้ “ท่านแม่ ท่านไม่รู้ ลูกเรียนที่จวนโหวเยอะอย่างยิ่ง ครั้งนี้ข้าจะต้องชนะพี่รองได้แน่” เอ่ยถึงการฝึกฝนที่จวนโหวเขาก็ร่าเริงเบิกบาน แม้ว่าจะเหนื่อยอย่างยิ่ง แต่ก็ได้ประโยชน์เยอะอย่างยิ่งเช่นกัน
คราวนี้แม้แต่ฟังต้าฉุยบิดาเขาก็ยังสนใจ มองประเมินลูกชายอย่างละเอียด ลูกชายดูผอมลงเล็กน้อย แต่ร่างทั้งร่างกลับดูมีกำลังวังชามากเป็นพิเศษ คล้ายต้นอ่อนเล็กๆ ที่ทรงพลังต้นหนึ่ง กิริยาท่าทางก็ต่างจากเมื่อก่อนมาก นี่ทำให้ฟังต้าฉุยรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง เพียงแค่เวลาครึ่งเดือนสั้นๆ ลูกชายเปลี่ยนไปมากเพียงนี้ได้อย่างไร
“พี่รองเจ้าไม่อยู่บ้าน มาๆๆ เดี๋ยวพ่อจะประลองเป็นเพื่อนเจ้า ดูว่าครึ่งเดือนนี้เจ้าเรียนอะไรมาบ้าง” ฟังต้าฉุยตบบ่าลูกชายคนเล็กแล้วกล่าว
“จริงหรือ ดียิ่งนัก ท่านพ่อ ดูนะ” ฟังจงหลี่ตะโกนอย่างดีใจ ชิงโจมตีบิดาของเขาก่อน
สองพ่อลูกผลัดกันประลองกระบวนท่าอยู่ในลานบ้าน ฮูหยินเฉิงชี้สองพ่อลูกคู่นี้อย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี พ่อลูกห้าคนในครอบครัวสี่คนต่างก็ชอบต่อยตีฆ่าฟัน ดังนั้นนางจึงหวังจะมีลูกสาวคนเล็กน่ารักได้สักคน เมื่อเห็นว่าทำอะไรไม่ได้ ฮูหยินเฉิงก็ถือโอกาสเข้าไปในห้องคนเดียว ทิ้งพวกเขาสองพ่อลูกกลิ้งตลบกันอยู่ในลานบ้าน
สองพ่อลูกแลกเปลี่ยนความรู้กันเพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งก้านธูป แม้ว่าท้ายที่สุดจะจบลงด้วยการที่ฟังจงหลี่ถูกบิดาเขาจับตัวไว้ แต่ฟังต้าฉุยก็ดีใจอย่างยิ่ง มือใหญ่ๆ ของเขาตบลงบนหลังของลูกชาย กล่าวชม “เด็กดี พัฒนาขึ้นแล้วจริงๆ” กระบวนท่าที่ง่ายๆ นั้นแม้ว่าจะยังไม่ถึงขั้นชำนาญ แต่ก็เกิดผลอย่างยิ่ง มีสองครั้งที่เขาถูกลูกชายโจมตีจนรับมือไม่ทัน หากไม่ใช่ว่าเขาแก่ประสบการณ์ก็คงจะจับลูกชายไว้ไม่ได้
“มาๆๆ รีบบอกพ่อมา คุณชายสี่สอนพวกเจ้าอย่างไร” ฟังต้าฉุยเองก็ไม่ไปค่ายหทารแล้ว เขาอยากรู้อย่างยิ่งว่าคุณชายสี่ทำให้ลูกชายของเขาก้าวหน้ามากเพียงนี้ภายในระยะเวลาครึ่งเดือนสั้นๆ ได้อย่างไร เพียงแค่ลูกชายเขาที่เป็นเช่นนี้ หรือว่ากองทหารเด็กทั้งหมดล้วนเป็นแบบนี้
พ่อลูกเข้าไปในห้อง คนหนึ่งก็พูดน้ำไหลไฟดับด้วยความเริงร่าเบิกบาน อีกคนหนึ่งก็ฟังด้วยความตื่นเต้น
ฟังต้าฉุยยิ่งฟังก็ยิ่งตกใจ อดไม่ได้ถามแทรก “คุณชายสี่สอนตำราพิชัยสงครามเจ้าด้วยหรือ”
“แน่นอนอยู่แล้ว เคลื่อนพลสู้รบจะไม่รู้ตำราพิชัยสงครามได้อย่างไร คุณชายสี่บอกแล้วว่า เพียงแค่สังหารโหดต่อสู้ได้โหดแต่ไม่รู้จักใช้สมอง เช่นนั้นก็จะเป็นคนไร้ปัญญา สังหารศัตรูได้เยอะก็เป็นได้เพียงทหารไม่อาจเป็นแม่ทัพ” ฟังจงหลี่แสยะปากกล่าวอย่างมีเหตุผล “ช่องทางนำทัพสู้รบมีเยอะ ไม่เพียงแต่ใช้แผนการ ยังต้องดูตามสถานการณ์จริงด้วย บางครั้งก็ดูตำแหน่งที่ตั้ง การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ กระทั่งทิศทางกระแสน้ำก็ล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อผลแพ้ชนะของการต่อสู้” ฟังจงหลี่เลียนแบบคำพูดคุณชายสี่ของพวกเขาได้อย่างเป็นระเบียบแบบแผน
เห็นใบหน้าเล็กๆ ที่ดีใจจนเปล่งประกายของลูกชาย ในใจฟังต้าฉุยก็มีความรู้สึกแปลกๆ ราวกับโชคหล่นทับ ลูกคนเล็กวาสนาดีจริงๆ
ลูกชายอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายในคำที่เขาพูด แต่เขาผู้มีประสบการณ์ในการนำทัพสู้รบโชกโชนกลับเข้าใจถึงความสำคัญของคำพูดนี้ได้เป็นอย่างดี มีเพียงคนที่เคยผ่านมาด้วยตัวเองจึงจะเข้าใจได้
มีครั้งหนึ่งเขานำทัพคนร้อยกว่าคนถูกกองทัพศัตรูล้อมอยู่บนเขา กองทัพศัตรูวางเพลิงเผาภูเขา ชั่วพริบตากองเพลิงก็ใกล้จะลามขึ้นมา เขาคิดว่าจะต้องสละชีวิตลงที่นี่แล้ว ใครจะรู้ว่าฟ้าที่แจ่มใสจะมีพายุฝนตกลงมาได้ กองเพลิงถูกฝนดับจนหมด ในที่สุดก็ทำให้เขารอจนได้พบกองกำลังหนุน
ในช่วงเวลายี่สิบกว่าปีที่เขานำทัพสู้รบ เรื่องต่างๆ ก็พบมาหลายต่อหลายครั้ง เหมือนอย่างที่ลูกชายพูดเลยมิใช่หรือ เพียงแต่แม้ว่าในใจเขาจะเข้าใจ แต่กลับไม่อาจสรุปได้ครบรอบด้านเช่นนั้น พูดได้ฉลาดหลักแหลมอย่างเช่นคุณชายสี่
“เด็กดี เจ้ามีวาสนา ตั้งใจเรียนกับคุณชายสี่ให้ดีๆ รู้หรือไม่ เจ้าเรียนรู้จากคุณชายสี่ในภายหน้าก็แข็งแกร่งกว่าข้าแล้ว ตระกูลฟังของพวกเราก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” ฟังต้าฉุยตั้งใจกล่าวกับลูกชายคนเล็กมากเป็นพิเศษ แอบเสียดายที่ไม่ได้ยืนกรานให้ลูกชายคนรองเข้าจวนโหวไปฝึกฝนด้วย มิเช่นนั้นอนาคตของลูกชายทั้งสองของเขาก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มแล้ว
[1] หลักคำสองเหริน อี้ หลี่ จือ ซิ่น เป็นหลักคำสอนของขงจื่อ ได้แก่ความเมตตา ความเที่ยงธรรม ความสุภาพ สติปัญญา ความจริงใจ
ตอนที่ 165-2 อีกด้านหนึ่งของสงคราม
ในขณะเดียวกัน หลี่จื้อที่อายุเท่าฟังจงหลี่ก็กลับไปที่บ้านของตนเองทางฝั่งตะวันตกของเมืองชายแดนแล้วเช่นกัน บ้านฟางเตี้ยๆ สองห้อง เมื่อผลัดประตูออกก็เห็นน้องสาวคนเล็กที่ขดตัวอยู่บนเตียงเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นตระหนก เมื่อเห็นว่าเป็นตนเองจึงเผยรอยยิ้มดีใจออกมา “พี่ใหญ่กลับมาแล้ว” นางลุกขึ้นจากเตียงโผเข้ามาทันที
หลี่จื้อเดินสองสามก้าวก็รับนางไว้ได้แล้ว ทว่าในใจกลับเจ็บปวด น้องสาวคนเล็กอายุแปดปีแล้ว ยังหนักไม่เท่าเด็กอายุหกปีคนอื่นเลย ใบหน้าเล็กๆ ทำให้ดวงตาดูใหญ่มากขึ้น ผมก็ทั้งบางทั้งหยาบ
ตั้งแต่ที่บิดาตายในศึก มารดาป่วยตาย ชีวิตของพวกเขาสามพี่น้องก็ลำบากขึ้นเรื่อยๆ มีเพื่อนบ้านที่สนิทเห็นพวกเขาน่าสงสารจึงช่วยส่งเสียเล็กน้อย แต่ตอนนี้ไม่ว่าชีวิตของใครก็ลำบากทั้งนั้น ไหนเลยจะยังเลี้ยงเด็กสามคนได้อีก
“พี่รองเจ้าเล่า เหตุใดถึงทิ้งเจ้าอยู่บ้านคนเดียว” หลี่จื้อลูบมือที่เย็นเฉียบของน้องสาว จากนั้นก็มองเสื้อผ้าชั้นเดียวบนร่างนาง จึงดันนางกลับเข้าไปในผ้าห่มอีกครั้ง แม้ว่าผ้าห่มโทรมๆ จะบาง แต่อย่างไรเสียก็ยังกันไอหนาวได้เล็กน้อย
“พี่รองออกไปแล้ว ไปเก็บฟืน” หลี่เสี่ยวเม่ยกลับพูดจาชัดถ้อยชัดคำ นางมองพี่ชายของตน ในดวงตาเต็มไปด้วยความรัก
หลี่จื้อมองเตาที่เย็นเฉียบและห้องที่ว่างเปล่า ล้วงหมั่นโถวหนึ่งลูกออกมาจากอกด้วยความระมัดระวัง “เสี่ยวเม่ยยังไม่กินข้าวใช่หรือไม่ รีบกินหมั่นโถวลูกนี้เสีย” นี่คือหมั่นโถวที่เขาฉวยโอกาสแอบซ่อนไว้ในอกตอนที่พ่อครัวผู้ทำกับข้าวไม่ได้สนใจ
“โห หมั่นโถว” หลี่เสี่ยวเม่ยร้องอุทาน มองหมั่นโถวสีขาวๆ ลูกนั้นในมือของพี่ใหญ่อย่างเหลือเชื่อ แต่กลับไม่ยอมรับมา
นางส่ายหน้าถอยไปข้างหลัง “พี่ใหญ่ท่านกินเถอะ ท่านกินแล้วจะได้มีแรงไปฝึก”
เห็นน้องสาวคนเล็กที่รู้ประสาเช่นนี้ ในใจหลี่จื้อก็ยิ่งสงสาร “เสี่ยวเม่ยกินเถอะ พี่ใหญ่กินอิ่มมาจากจวนโหวแล้ว” เขาไม่อยู่ครึ่งเดือนนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าน้องรองใช้ชีวิตผ่านไปกับเสี่ยวเม่ยอย่างไรบ้าง
เขาอยากอยู่ดูแลน้องชายน้องสาวอยู่ที่บ้านจริงๆ แต่สติปัญญาที่มีอยู่บอกเขาว่าไม่ได้เด็ดขาด เขาต้องไปรับการฝึกที่จวนโหวเท่านั้นจึงจะมีโอกาสได้ลืมตาอ้าปาก น้องชายน้องสาวจึงจะมีชีวิตที่ดีได้ เขาอยู่บ้าน ไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องหิวตายไปด้วยกัน
“จริงหรือ พี่ใหญ่ไม่ได้หลอกข้าแน่นะ” หลี่เสี่ยวเม่ยเอียงคอมองพี่ชาย ท่าทางคล้ายไม่เชื่อ หมั่นโถวที่ล้ำค่าเช่นนี้จวนโหวจะอนุญาตให้พี่ใหญ่เอากลับบ้านเองได้อย่างไร หมั่นโถวที่ขาวเช่นนี้ต่อให้พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่บ้านพวกเขาก็กินไม่ได้
หลี่จื้อฝืนยิ้มกล่าว “จริง พี่ใหญ่กินมาแล้วจริงๆ จวนโหวดีต่อพวกข้าอย่างยิ่ง หมั่นโถวมีกินเพียงพอ ยังมีเนื้อ มีแกง อีกทั้งยังให้เสื้อผ้าชุดใหม่กับพวกข้าทั้งหมด อุ่นยิ่งนัก” เขาบรรยายชีวิตที่ดีงามในจวนโหวให้น้องสาวฟัง แต่กลับไม่ได้บอกว่าทุกวันก็ต้องฝึกหลายสิ่งหลายอย่าง ทำการฝึกฝนระดับสูง ทุกคนเมื่อล้มตัวลงบนเตียงก็ไม่อยากจะขยับอีกเลย
“ดีจริงๆ พี่ใหญ่ หากข้าโตกว่านี้สักสองปีก็คงจะดี” ในดวงตาของหลี่เสี่ยวเม่ยเต็มไปด้วยความอิจฉา จวนโหวเองก็รับสมัครเด็กผู้หญิง หากนางโตกว่านี้สักสองปีก็สามารถไปสมัครได้แล้ว “พี่ใหญ่ พี่ต้า
ฮวาบอกว่าคุณชายสี่นิสัยดี นางช่วยทำเครื่องแบบทหารในกองทัพ ไม่เพียงแค่เลี้ยงข้าวเที่ยง ทุกห้าวันยังมีแป้งและเนื้อ น่าเสียดายที่ข้าทำงานเย็บปักถักร้อยไม่เป็น” ในน้ำเสียงนางเต็มไปด้วยความผิดหวัง นางทำเป็นเพียงแต่ปะชุนเสื้อผ้า มารดายังไม่ทันได้สอนนางเย็บเสื้อผ้าก็จากไปเสียแล้ว
หลี่จื้อลูบผมที่บางตาของเสี่ยวเม่ย กล่าวเสียงแหบ “เสี่ยวเม่ยกินเถอะ เดี๋ยวจะเย็นเอา”
หลี่เสี่ยวเม่ยพึ่งจะรับหมั่นโถวมาช้าๆ แบ่งเป็นครึ่งชิ้นเล็กอย่างระมัดระวัง อีกครึ่งชิ้นใหญ่วางกลับไปในฝ่ามือของพี่ใหญ่ “ครึ่งชิ้นนี้เก็บไว้ให้พี่รอง” ช่วงเวลาเหล่านี้ที่พี่ใหญ่ไม่อยู่ อาหารที่พี่รองสามารถหามาได้ก็น้อยลงทุกวันๆ แต่พี่รองกลับแบ่งให้นางกินเกินครึ่ง ตนเองกินน้ำเย็นแก้หิวแทน
“เสี่ยวเม่ยกินให้หมดเลย พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ยังมีอีก” เดิมหลี่จื้อก็ซ่อนหมั่นโถวไว้สองลูกอยู่แล้ว คิดจะให้น้องชายน้องสาวได้กินกันคนละลูก
ทว่าหลี่เสี่ยวเม่ยกลับยืนกรานส่ายหน้า “ข้ากินน้อย แค่นี้ก็พอแล้ว” นางจรดหมั่นโถวไว้ข้างปากกัดเบาๆ หนึ่งคำ เคี้ยวช้าๆ ตักตวงความสุขราวกับกินอาหารเลิศรส
หลี่จื้อรู้สึกเพียงดวงตาทั้งคู่ร้อนผ่าว น้ำตาแทบจะร่วงลงมา ก่อนท่านแม่จากไปก็จับมือของเขาไว้ขอให้เขาดูแลน้องชายน้องสาวให้ดี แต่เขา…หลี่จื้อเกลียดตัวเองที่ไร้ประโยชน์ยิ่งนัก
“เสี่ยวเม่ย เสี่ยวเม่ย” ข้างนอกมีเสียงร้องตะโกนที่ตื่นตระหนกและเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังเข้ามา
หลี่เสี่ยวเม่ยที่กำลังกินหมั่นโถวอยู่ก็ตาลุกวาว “พี่รองกลับมาแล้ว”
“เจ้าอยู่นิ่งๆ เดี๋ยวข้าไปดูเอง” หลี่จื้อกดน้องสาวลงแล้วจึงเดินไปหน้าประตู เห็นหลี่ซวี่น้องรองของเขาวิ่งเข้ามาอย่างตาลีตาลาน
“เสี่ยวซวี่ เป็นอะไรไป” หลี่จื้อเดินเข้าไป
หลี่ซวี่เห็นว่าพี่ใหญ่ของตนกลับมาแล้ว หัวใจที่กลัดกลุ้มก็เบาลง เมื่อครู่เขาเห็นประตูบ้านตนเปิดอยู่ ยังคิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับน้องสาว
“พี่ใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว” หลี่ซวี่เห็นพี่ใหญ่ของตนก็ดีใจอย่างยิ่ง ทันใดนั้นสีหน้าก็ดำมืด กล่าวอย่างตะกุกตะกัก “พี่ใหญ่ ข้า ข้าไร้ประโยชน์เกินไปแล้ว ในบ้านไม่มีฟืนใช้แล้ว ข้า…” ดวงตาเขาแดงก่ำก้มหน้าลง ท่าทางลำบากอย่างยิ่ง
ก่อนหน้านี้ตอนที่พี่ใหญ่อยู่ พี่ใหญ่แรงเยอะ กล้าหาญ พวกเขายังพอกินอิ่มท้องได้ ตอนนี้พี่ใหญ่ไม่อยู่บ้าน เขาไร้ความสามารถ หาอาหารที่เยอะพอไม่ได้ ลำบากจนเสี่ยวเม่ยต้องทนหิวไปด้วย
หลี่จื้อมองชุดบางๆ ที่น้องชายสวม ใบหน้าหนาวเย็นจนเป็นสีม่วง ในมือว่างเปล่าอย่างเช่นที่เขาคาดการณ์ไว้ เขาตบบ่าน้องชายพาเขาเข้าบ้าน ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น
พวกเขาไม่สามารถแม้กระทั่งจะออกจากเมือง จะไปเอาฟืนมาจากที่ไหนได้ ต้นไม้เล็กน้อยในเมืองก็ถูกตัดเกลี้ยงไปนานแล้ว น้องรองเป็นเพียงแค่เด็กอายุสิบเอ็ดปี ไหนเลยจะแย่งผู้ใหญ่ได้
“พี่รองมานี่เร็ว พี่ใหญ่เอาหมั่นโถวกลับมาให้พวกเราด้วย อร่อยยิ่งนัก” หลี่เสี่ยวเม่ยที่ขดตัวอยู่บนเตียงชูหมั่นโถวในมือตะโกนกล่าว
หลี่ซวี่เห็นหมั่นโถวในมือเสี่ยวเม่ยก็ตกใจ หมั่นโถว เขายังไม่เคยกินมาก่อนเลย เขาหันหน้ามองพี่ชายของตน
หลี่จื้อล้วงหมั่นโถวครึ่งชิ้นออกมา ส่งให้น้องชายทั้งชิ้น “เสี่ยวซวี่รีบกินเถอะ”
หลี่ซวี่ยืนนิ่งไม่ขยับ หลี่จื้อเร่งรัดอีกครั้ง เขาจึงยื่นมือมาช้าๆ “ข้ากินครึ่งเดียวก็พอแล้ว พี่ใหญ่ท่านกินเถอะ”
หลี่จื้อเองก็ไม่โน้มน้าว แต่กลับไม่ได้กินหมั่นโถวชิ้นนั้น เก็บกลับไปอีกครั้ง เขานั่งลงข้างเตียงมองน้องชายน้องสาวกินหมั่นโถวคำเล็กๆ ราวกับได้กินอาหารรสเลิศบนโลกมนุษย์ เสี่ยวเม่ยกินหมั่นโถวเสร็จแล้วยังเลียนิ้วมือหนึ่งรอบ จากนั้นจึงมองบ้านที่ยากจนข้นแค้น หลี่จื้อกำหมัดแน่น ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว “เสี่ยวซวี่ เสี่ยวเม่ย ไปกันเถอะ”
เขาจะต้องพาน้องชายน้องสาวไปให้ได้ มิเช่นนั้นเขากลับมาครั้งหน้าก็คงเห็นแค่เพียงศพที่เย็นเฉียบของพวกเขา เมื่อครู่เขามองดูแล้ว ในบ้านไม่มีของกินเลยแม้แต่นิดเดียว อากาศก็หนาวขึ้นเรื่อยๆ เสี่ยวซวี่กับเสี่ยวเม่ยไม่มีทางใช้ชีวิต่อไปได้แน่นอน เขาไม่อาจทอดทิ้งละเลยพวกเขาได้ นี่คือญาติเพียงสองคนบนโลกของเขา
“ไปไหน” หลี่ซวี่กับหลี่เสี่ยวเม่ยตกใจถามพร้อมกัน
“ไปจวนโหว” หลี่จื้อพูดไปพลางสวมรองเท้าให้เสี่ยวเม่ยไปพลาง “ข้าจะไปขอร้องคุณชายสี่ ขอให้เขาให้ข้าวพวกเจ้ากิน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องผ่านฤดูหนาวไปให้ได้” ผ่านฤดูหนาวนี้ไป ไม่แน่ว่าซีเหลียงอาจจะถอยทัพแล้ว ถึงตอนนั้นผักป่าทั่วภูเขาก็เพียงพอให้พวกเขามีชีวิตอยู่ได้แล้ว
“จะได้หรือ จวนโหวจะรับเลี้ยงพวกเราได้หรือ” หลี่ซวี่กับหลี่เสี่ยวเม่ยตาลุกวาว แต่กลับยังมีความลังเลอยู่สิบสองส่วน
ในใจหลี่จื้อเองก็ไม่แน่ใจ แต่กลับพูดปลอบน้องชายน้องสาว “พวกเราเองก็ไม่ได้กินเฉยๆ อยู่เฉยๆ พวกเราช่วยจวนโหวทำงาน คุณชายสี่นิสัยดีอย่างยิ่ง”
หลี่จื้อนึกถึงคุณชายสี่ที่ราวกับเดินออกมาจากภาพวาดผู้นั้น หัวใจก็ร้อนแผดเผา คุณชายสี่ดีต่อพวกเขาอย่างยิ่งจริงๆ คุณชายที่มีความอดทนสูงส่งอย่างยิ่งเช่นนั้น กลับพูดคุยกับพวกเขาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มอ่อนโยน สอนวิทยายุทธ์พวกเขาด้วยความอดทน ให้พวกเขากินอิ่มมีเสื้อผ้าอุ่นๆ ใส่ทั้งยังสามารถเรียนรู้ฝึกฝน บิดามารดาแท้ๆ ยังให้ไม่ได้เท่านี้
หลี่จื้อแบกเสี่ยวเม่ยจูงน้องชายเดินไปยังจวนโหว ตลอดทางในใจเขาพะว้าพะวงทั้งยังเต็มไปด้วยความหวัง เขากระทั่งคิดว่า ขอเพียงแค่คุณชายสี่รับเลี้ยงน้องชายน้องสาวของเขาได้ ต่อให้เขาต้องเอาชีวิตมาแลกก็ยอม
เสิ่นเวยกำลังก้มหน้าก้มตาปรับแก้แผนที่อยู่บนโต๊ะหนังสือตัวใหญ่ ช่วงนี้นางแทบจะเดินรอบพื้นที่บริเวณสองสามร้อยลี้นอกเมืองชายแดนหมดแล้ว ความจำนางดีเลิศ จำได้อย่างชัดเจนว่าตรงไหนมีเขา ตรงไหนมีแม่น้ำ ตรงไหนมีป่า เปรียบเทียบกับแผนที่เดิม เพิ่มตำแหน่งที่ไม่เคยบันทึกพิกัดมาก่อน แก้ไขข้อผิดพลาด พยายามทำให้แผนที่ถูกต้องสมบูรณ์มากขึ้น
“นี่ๆๆ ออกไป เข้ามาใกล้ข้าขนาดนี้ทำไม” สำหรับหนุ่มรูปงามที่เขยิบเข้ามาอย่างหน้าไม่อาย เสิ่นเวยผลักเขาออกไปอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่นิดเดียว
“ไม่ใช่ว่าช่วยเจ้าอยู่หรือ” สวีโย่วเองก็ไม่โกรธ ช่วงนี้สวีโย่วนับได้ว่าสังเกตเห็นชัดแล้ว กับเด็กน้อยคนนี้ต้องหน้าหนาหน่อย รุกให้มากหน่อย อยู่กับนางให้มากขึ้นสร้างตัวตนให้มาก จะรอให้นางคิดถึงเจ้างั้นหรือ เช่นนั้นเจ้าก็รอไปเถอะ ต้นหญ้าต้นไม้เมืองชายแดนยังสำคัญกว่าเขาเสียอีก
เพื่อที่จะชนะใจหญิงงามในเร็ววัน สวีโย่วเองก็พยายามสุดขีด กับภรรยาของตนยังมีอะไรให้ต้องเกรงใจอีกเล่า
เสิ่นเวยกลอกตาใส่เขา เจ้าคนโรคจิตหน้าไม่อายผู้นี้ เขาจะยังมีหน้าอยู่ได้หรือไม่ เขาช่วยนางชี้ข้อผิดพลาดไม่น้อยบนแผนที่เดิม แต่เขาจ้องมองนางเช่นนี้อยู่บ่อยๆ ก็ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของงานนางเหมือนกัน
ใบหน้าหล่อเหลาที่สามารถล่มสรรพสิ่งดวงหนึ่งเช่นนี้ ลมหายใจที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของบุรุษเช่นนี้ ซ้ำนางก็ไม่ใช่คนตาย จะไม่สะทกสะท้านเลยได้อย่างไร เฮ้อ ก็นางชื่นชอบหน้าดวงนั้นของเขาไม่ใช่หรือ
“คุณชายสี่ นอกจวนมีเด็กหนุ่มชื่อหลี่จื้อมาขอพบขอรับ” เสิ่นเวยกำลังขบคิดว่าจะไล่สวีโย่วที่เกะกะออกไปอย่างไรดี จู่ๆ ก็ได้ยินรายงานจากคนใช้จวนโหว
หลี่จื้อหรือ หลี่จื้อผู้นั้นในกองทหารเด็กหรือ วันนี้เป็นวันปิดภาคเรียนของพวกเขาไม่ใช่หรือ ขอพบข้าทำไมกัน คิ้วของเสิ่นเวยขมวดมุ่น ยัดพู่กันไว้ในมือของสวีโย่ว “ท่านทำต่อ ข้าออกไปดูก่อน”
สวีโย่วได้ยินว่าเป็นเด็กหนุ่มก็ตื่นตัวตามสัญชาตญาณสามส่วน เดิมเขาคิดจะตามไปดูด้วย แต่กลับถูกเด็กสาวมอบหมายงานให้ จะทำอย่างไรเล่า สวีโย่วเหลือบตาขึ้นมองเจียงเฮยกับเจียงไป๋ เจียงเฮยก็ถอยออกไปเงียบๆ สวีโย่วกระตุกมุมปาก ก้มหน้าปรับแก้แผนที่ต่อด้วยความพอใจ
“คุณชายสี่” เมื่อเสิ่นเวยเข้ามาในห้องหลี่จื้อก็คุกเข่าข้างเดียวอยู่บนพื้น
“มีอะไร เกิดเรื่องหรือ” เสิ่นเวยประหลาดใจเล็กน้อย ในความทรงจำของนาง หลี่จื้อเด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนเคารพตัวเอง ขยันฝึกฝน แม้ว่าจะไม่ค่อยชอบพูด แต่กลับเป็นคนเก่งที่สามารถปลุกปั้นอย่างหาได้ยากคนหนึ่ง
ตอนนี้เด็กหนุ่มทะนงตนผู้นี้คุกเข่าอยู่แทบเท้า จะไม่ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจได้อย่างไร “ลุกขึ้นพูดจาดีๆ เถอะ เคยสอนพวกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่า เข่าของลูกผู้ชายนั้นล้ำค่า ไหนเลยจะคุกเข่าตามอำเภอใจได้”
คำพูดนี้ก็ยิ่งยืนยันการตัดสินใจที่จะคุกเข่าต่อของหลี่จื้อ เขาเม้มปากแน่น ในดวงตาเต็มไปด้วยความดื้อรั้น “ผู้น้อยอยากขอความเมตตาจากคุณชายสี่ หากคุณชายสี่ตอบรับ ชีวิตนี้ของผู้น้อยก็จะเป็นของคุณชาย”
“ความเมตตาอะไรกัน” เสิ่นเวยกล่าวถาม หลังจากนั้นก็หลุดหัวเราะ “ข้าจะเอาชีวิตของเจ้าไปทำไม จำไว้ ชีวิตของเจ้าเป็นของตัวเจ้าเองตลอดกาล ไม่ว่าเมื่อไรก็ตามอย่าพูดว่าจะทิ้งชีวิตง่ายๆ มีชีวิตอยู่เท่านั้นจึงจะมีความหวัง”
“ขอรับ ผู้น้อยจะจำไว้” กระบอกตาของหลี่จื้อร้อนผ่าว แผ่นหลังยืดตรงสามส่วนอย่างไม่รู้ตัว “คุณชายสี่ บิดาของผู้น้อยเป็นทหารชายแดนนายหนึ่ง ตายในศึกเมื่อสองเดือนก่อน ท่านแม่เองก็ตายตามไปติดๆ ทิ้งผู้น้อยและน้องอีกสองคนไว้ ผู้น้อยเป็นพี่คนโต ผู้น้อยได้รับความกรุณาจากจวนโหวจึงได้เข้ามาฝึกฝนในจวน หลังผู้น้อยไปแล้วน้องชายน้องสาวก็หาข้าวปลาอาหารไม่ได้ ผู้น้อยหมดหนทางจริงๆ จึงมาขอร้องคุณชายสี่ที่นี่ ขอคุณชายสี่โปรดรับเลี้ยงน้องชายน้องสาวของผู้น้อยด้วย ขอเพียงมีที่ให้ซุกหัวนอน มีข้าวให้กินก็พอแล้ว เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ผู้น้อยจะพาน้องชายน้องสาวกลับไป”
“บ้านเจ้าไม่มีญาติคนอื่นแล้วหรือ” เสิ่นเวยถาม
หลี่จื้อส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว บิดาของผู้น้อยเป็นลูกกำพร้า บ้านฝั่งมารดาก็ลาโลกหมดแล้ว” เขาหยุดครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “แม้ว่าจะมีเพื่อนบ้านช่วยเหลือเป็นบางครั้ง แต่ตอนนี้ไม่ว่าใครต่างก็ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก น้องชายน้องสาวของผู้น้อยยังเล็กเกินไป”
หากอายุมากกว่านี้ก็ยังง่ายหน่อย โตพอจะเข้ากองทัพไปเป็นทหาร อย่างน้องก็ไม่ถึงกับหิวตายมิใช่หรือ แต่น้องรองเพิ่งจะอายุสิบเอ็ดปี น้องสาวก็ยิ่งเด็ก เพิ่งจะแปดปีเท่านั้น
“เอาเถอะ น้องชายน้องสาวเจ้าเล่า ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ ครัวยังขาดเด็กสาวก่อไฟกับเด็กทำงานจิปาถะ อย่างน้อยก็มีข้าวให้พวกเขากิน” เด็กสามคนนี้น่าสงสารอย่างยิ่งจริงๆ จวนโหวจะขาดอาหารเหล่านั้นได้อย่างไร ล้วนแต่เป็นเพราะสงครามแท้ๆ เลย เสิ่นเวยถอนหายใจหนึ่งครา
หลี่จื้อดีใจใหญ่ “พวกเขาอยู่นอกจวน ผู้น้อยจะไปเรียกพวกเขาเข้ามาขอรับ”
หลี่จื้อไปเรียกน้องชายน้องสาว เสิ่นเวยคิดครู่หนึ่งก็เดินตามหลังเขาไป เหลือบมองไปทางตะวันตกของประตูข้างจวนโหวปราดหนึ่ง หัวใจเสิ่นเวยก็เป็นทุกข์เล็กน้อย ท่ามกลางลมหนาวเด็กที่สวมเสื้อผ้าชั้นเดียวทั้งยังขาดรุ่งริ่งสองคนอิงแอบกันอยู่ที่มุมกำแพง เสิ่นเวยรีบหันหลังกลับมา
“คุณชายสี่ นี่คือน้องชายกับน้องสาวผู้น้อยขอรับ” หลี่จื้อจูงมือของน้องชายน้องสาวแล้วกล่าว
เสิ่นเวยหันไปมองอย่างอดไม่ได้ พยักหน้ากล่าว “อืม ท่านอาจาง ท่านพาพวกเขาไปที่ครัวให้ท่านอาสะใภ้ลู่มอบหน้าที่ให้ หลี่จื้อ เจ้าเองก็ตามไปด้วย” มองเด็กผู้หญิงที่ตัวผอมเล็กผู้นั้น ก็ออกคำสั่งอย่างอดไม่ได้ “ท่านอาจางท่านให้ท่านอาสะใภ้ลู่หาเสื้อผ้ากันหนาวให้พวกเขาก่อน” อากาศที่หนาวเพียงนี้ยังใส่เสื้อชั้นเดียว เกิดหนาวตายขึ้นมาจะทำอย่างไร
เสิ่นเวยจากไปอย่างรวดเร็วแล้ว ข้างหลังนาง หลี่จื้อนำน้องชายน้องสาวของเขาคุกเข่าลงบนพื้นโขกศีรษะสามครั้ง
คุณชายสี่ ขอบคุณท่านที่ให้โอกาสในการมีชีวิตแก่น้องชายน้องสาวข้า ชีวิตนี้ ผู้น้อยจะเชื่อฟังเพียงแต่ท่าน ฟ้าดินไม่สลาย คำสาบานนี้จะไม่มีวันดับสูญ
นับแต่นี้ไป เด็กหนุ่มที่เคยอับจนทะนงตัวผู้นี้จะได้แสดงความสามารถโดดเด่น ค่อยๆ กลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความสามารถที่สุดของเสิ่นเวย คมดาบเสิ่นเวยชี้ไปทางใด เขาก็จะพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล
ตอนที่ 166-1 ทรัพย์สินส่วนตัว
เสิ่นเวยที่กลับมาอีกครั้งกลับสงบสติอารมณ์ปรับแก้แผนที่ต่อไม่ได้แล้ว นางพิงพนักเก้าอี้ นิ่งงัน มักจะรู้สึกว่าทรวงอกถูกอะไรบางอย่างกดทับเอาไว้ ไม่สบายตัวอย่างถึงที่สุด
นิ่งเงียบอยู่สักพัก เสิ่นเวยก็ให้คนไปตามชวีไห่มา
สองวันนี้ชวีไห่ถูกอาจารย์ผังเรียกตัวไปใช้งาน ได้ยินว่าคุณชายสี่เรียกหาเขาก็วางสมุดบัญชีในมือแล้วตามมาอย่างเร่งรีบ “คุณชาย ท่านเรียกผู้น้อยหรือ” ชวีไห่ทำความเคาพเสิ่นเวย ท่าทีเคารพนางอย่างเช่นเมื่อก่อน
ครั้งนี้ชวีเหวินลูกชายเขาก็ตามมาที่เมืองชายแดนด้วย สองปีนี้ลูกชายเขาเปลี่ยนไปมากยิ่งนัก ตัวโตขึ้น ร่างก็กำยำล่ำสัน การพูดการกระทำก็มีระเบียบแบบแผนอย่างมาก กลับบ้านไปยังรู้จักนำของว่างอร่อยๆ ต่างๆ มาให้เขากับภรรยาอีกด้วย เสมือนเป็นคนละคนกับลูกชายคนที่ทำตัวเหลวไหลตะกละตะกลามเกียจคร้านผู้นั้นอย่างสิ้นเชิง
ภรรยาปาดน้ำตาถอนหายใจ ‘ต่อให้ข้าตายตอนนี้ ข้าก็วางใจได้แล้ว พวกเราอย่าได้ลืมบุญคุณยิ่งใหญ่ของคุณหนูเด็ดขาด’
อันที่จริงแล้วนี่ก็เป็นคำพูดในใจของชวีไห่ เขาเข้าใจดีว่าหากไม่มีคุณหนู ครอบครัวพวกเขาก็คงจะแหลกเละไปนานแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะยากเพียงใดเหนื่อยเพียงใดเขาก็ไม่เคยบ่นแม้แต่ประโยคเดียว แต่ไหนแต่ไรก็จงรักภักดี
เสิ่นเวยเห็นชวีไห่ก็ตกใจอย่างยิ่ง “ท่านอาชวีเหตุใดท่านถึงผอมลงมากขนาดนี้ งานเหน็ดเหนื่อยเกินไปใช่หรือไม่ เหตุใดท่านถึงดื้อรั้นเช่นนี้ ลูกน้องเยอะเพียงนั้นเลี้ยงไว้ให้เสียข้าวสุกหรือไร มีงานก็ให้พวกเขาไปทำ จะได้สั่งสมประสบการณ์ ท่านแค่ขยับปากก็พอแล้ว อย่าโง่งมทำเรื่องทุกอย่างด้วยตัวเอง”
ขณะที่ปากเสิ่นเวยบ่นไปพลางก็เรียกให้เถาฮวาไปยกเก้าอี้มา เสิ่นเวยสงสารจริงๆ ชวีไห่เป็นแขนซ้ายแขนขวาที่พึ่งพาของนาง มีเขาช่วยจัดการเรื่องธุรการต่างๆ จึงเบาความคิดตนไปได้ไม่น้อย หากชวีไห่เหนื่อยจนล้มป่วย แค่นางคิดถึงงานธุรการที่ยุ่งยากเหล่านั้น หัวตนก็ปวดขึ้นมาก่อนแล้ว
“เถาฮวา ไปสั่งครัวเล็กหน่อย บอกว่าต่อจากนี้แบ่งน้ำแกงบำรุงที่ให้ท่านปู่ทานมาให้ท่านอาชวีด้วย” เสิ่นเวยมองเบ้าตาที่ลึกโหลของชวีไห่แล้วจึงกล่าวกำชับ ในขณะเดียวกันก็สำรวจตัวเองว่าตนให้งานชวีไห่มากไปหรือไม่ อย่างไรเสียเขาก็อายุมากแล้ว ไม่ได้มีกำลังวังชาเหมือนเด็กๆ วัยหนุ่มสาว “จางสงอยู่ในจวนใช่หรือไม่ ท่านอาชวี กลับไปข้าจะให้เขาไปเป็นลูกน้องของท่าน ท่านต้องรักษาสุขภาพด้วย”
ชวีไห่ตกใจที่จู่ๆ ก็ได้รับความโปรดปรานรีบลุกขึ้นยืน “คุณชาย ผู้น้อยไม่เป็นไร เพียงแค่ไม่เคยชินกับสภาพดินฟ้าอากาศ ใช้เวลาสักพักให้คุ้นชินก็ดีขึ้นแล้ว” เขาใช่คนที่มียศถาบรรดาศักดิ์ที่ไหน จะรับเงินเดือนและสวัสดิการอย่างท่านโหวได้อย่างไร คุณหนูเห็นใจ แต่เขาไม่ให้ยอมให้ทำเช่นนั้นแน่นอน
“ไม่เป็นไรๆ เพียงแค่เรื่องเติมน้ำหนึ่งถ้วย ยาบำรุงที่พวกเราขนกลับมาก็มีเยอะถมไป” เสิ่นเวยโบกมือ ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากเลยแม้แต่น้อย ผู้มีความสามารถน่ะ ไม่ใช่ว่าควรใส่ใจให้มากหรอกหรือ
ชวีไห่ปฏิเสธไม่ได้ ไม่รู้ว่าคุณหนูจะคิดแทนเขาด้วยใจจริง หัวใจร้อนผ่าวอย่างอดไม่ได้ “เช่นนั้นผู้น้อยขอบคุณคุณชายที่เมตตา คุณชายมีอะไรจะรับสั่งอีกหรือไม่”
เสิ่นเวยเรียบเรียงคำพูดในใจ ยังคงคิดว่าถามออกไปตามตรงดีกว่า “ท่านอาชวี ประชาชนเมืองชายแดนมีชีวิตที่ยากแค้นอย่างยิ่งใช่หรือไม่”
“คุณชายหมายความว่าเช่นไร” ชั่วขณะชวีไห่ไม่แน่ใจเจตนาของคุณชายตน
เสิ่นเวยเล่าเรื่องของหลี่จื้อสามพี่น้อง “ข้าคิดว่า เมืองชายแดนใหญ่ขนาดนั้น สถาการณ์เช่นบ้านของหลี่จื้อคงจะไม่ได้มีเพียงแค่ครอบครัวเดียว ข้าเองก็ไม่มีเวลามากมายเพียงนั้นที่จะไปดูได้ทุกที่ จึงอยากถามท่านถึงสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนเมืองชายแดน” ไม่มีประชาชน ไหนเลยจะมีกองทัพ ต่อให้ท้ายที่สุดพวกเขารบชนะ แต่ประชาชนเมืองชายแดนหิวตายกันหมด แล้วจะมีความหมายอะไร
ชวีไห่ฟังคำพูดของคุณชายก็ถอนหายใจหนึ่งครา “ยอมเป็นสุนัขในยุคสงบสุข ดีกว่าเป็นมนุษย์ในกลียุค คุณชาย เมืองชายแดนอยู่ในช่วงเวลาสงคราม ชีวิตของประชาชนจะดีได้อย่างไร คนที่รวยหน่อยยังดี ยังมีอาหารกินให้อิ่มท้องได้ แต่มีคนมากกว่าที่กินอิ่มได้แค่ครึ่งท้อง สูญเสียเสาหลักเหมือนบ้านหลี่จื้อก็ทำได้เพียงทนหิว”
ในน้ำเสียงของชวีไห่แฝงประสบการณ์อันโชกโชน เห็นประชาชนเมืองชายแดนแล้วเขาก็นึกถึงช่วงเวลาที่อับจนหนทางของครอบครัวตน ในใจก็ยิ่งรู้สึกลำบากใจ “ตอนนี้เมืองชายแดนเข้าฤดูหนาวแล้ว การสร้างความอบอุ่นเป็นปัญหาใหญ่ การทำอาหารก็ใกล้จะกลายเป็นปัญหาแล้ว คนจำนวนมากตัดโต๊ะตัดตั่งในบ้านมาเป็นฟืนก่อไฟ แต่นี่ก็ไม่ใช่ทางออก”
เสิ่นเวยฟังแล้วหัวใจก็ยิ่งหนักอึ้ง จวนโหวไม่ขาดแคลนฟืน ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มออกไปล่าสัตว์ก็จะถือโอกาสตัดฟืนกลับมาสองคันรถใหญ่ ทั้งหมดล้วนเป็นลำต้นที่ขนาดใหญ่เท่าแขน ทนการเผาไหม้
“ท่านอาชวี ท่านว่าทำแบบนี้ได้หรือไม่ พวกเราให้พวกเด็กหนุ่มขึ้นเขาไปตัดฟืน ส่งให้บ้านทุกหลังๆ ละหนึ่งมัด” เสิ่นเวยกล่าวถาม ชาวบ้านไม่สามารถและไม่กล้าออกจากเมือง แต่กลุ่มลูกหมาป่าเหล่านั้นใต้บังคับบัญชานางไม่เกรงกลัว พวกเขายังหวังด้วยซ้ำว่าจะได้เจอทหารซีเหลียง
ชวีไห่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ส่ายหน้า “คุณชายหวังดี แต่ผู้น้อยคิดว่าทำเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะสม”
เสิ่นเวยไตร่ตรองครู่หนึ่ง เข้าใจความหมายของชวีไห่แล้ว ให้ข้าวหนึ่งเซิงเป็นบุญคุณให้ข้าวหนึ่งถังเป็นความแค้น[1] ไม่อาจเลี้ยงให้ประชาชนติดนิสัยได้มาโดยไม่ลำบาก อาหารก็ส่งหน้าบ้าน ฟืนก็ส่งถึงหน้าบ้าน ชีวิตดียิ่งกว่าช่วงที่สงบสุข เมื่อมีวันหนึ่งที่ไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว ปัญหาชีวิตที่เกิดก็จะยิ่งเยอะ
“เช่นนั้นก็ให้ชาวบ้านแต่ละบ้านออกแรงเอง ข้าจะไปพูดกับท่านปู่ดู เลือกทหารม้าหนึ่งกลุ่มจากกองทัพมาคุ้มกันพวกเขาขึ้นเขาไปตัดฟืน ล่าสัตว์เช่นนี้ ต้องให้พวกเขาพึ่งพาตัวเองจึงจะถูก” เสิ่นเวยคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าว
“นี่กลับเป็นความคิดที่ไม่เลว ฉวยโอกาสตอนที่กองทัพใหญ่ซีเหลียงยังไม่โจมตีเมือง พวกเราก็ชิงออกไปหลายๆ รอบก่อน” ชวีไห่คิดว่าวิธีนี้ดี พยักหน้าช้าๆ กล่าว
“ดี เช่นนั้นข้าจะไปหาท่านปู่” ในเมืองมีแผนรับมือแล้ว เสิ่นเวยก็ไม่อยากล่าช้าแม้แต่นิดเดียว
มองแผ่นหลังที่เดินออกไปราวกับพายุหมุน คุณชายใหญ่สวีก็ไม่สบายใจแล้ว เหตุใดเด็กน้อยของเขาถึงยุ่งเพียงนี้ ยุ่งเพียงนี้ ยุ่งเพียงนี้ ใช่มองใบหน้านี้ของเขานานไปจึงไม่มีแรงดึงดูดแล้วหรือไม่ เป็นไปไม่ได้ เช้าวันนี้เด็กน้อยยังตกตะลึงกับใบหน้าของเขาอยู่เลย
ไม่ได้ ต้องหาลูกไม้มาอีก เด็กน้อยชอบทุกข์ใจมิใช่หรือ เช่นนั้นเขาก็จะทำเรื่องทั้งหมดให้นางล่วงหน้า เด็กน้อยก็จะว่างแล้วมิใช่หรือ ว่างแล้วก็จะมีเวลาอยู่กับเขาได้มิใช่หรือ
สวีโย่วยิ่งคิดก็ยิ่งมีความสุข กวักมือเรียกเจียงเฮยเข้ามา ออกคำสั่งเสียงต่ำข้างหูเขาหลายประโยค แม้ว่าเจียงเฮยจะไม่เข้าใจเจตนาของคุณชาย แต่ก็ยังคงทำตามคำพูด
ไม่รู้เหมือนกันว่าเสิ่นเวยไปพูดกับปู่นางอย่างไร ท้ายที่สุดข่าวก็ดังกระฉ่อนอยู่ท่ามกลางหมู่ประชาชนเมืองชายแดน ‘เนื่องจากฤดูหนาวใกล้มาถึงแล้ว ท่านโหวเป็นห่วงว่าประชาชนจะลำบาก คิดว่าจะส่งกองทหารออกไปคุ้มกันประชาชนให้ออกจากเมืองเพื่อไปตัดฟืนล่าสัตว์ทุกวัน’
เมื่อข่าวแพร่ออกไป ประชาชนก็ดีใจ อากาศหนาวเช่นนี้ ไม่มีฟืนเผาไฟแล้วจะทำอย่างไร ก่อนหน้านี้ไม่ออกจากเมืองไปตัดฟืนเองก็สามารถจ่ายเงินไม่กี่เหวินเพื่อซื้อฟืนหนึ่งมัดได้
แต่ตอนนี้กองทัพใหญ่ซีเหลียงโจมตีชายแดน ประตูเมืองก็ปิดสนิท ทุกตนเองก็ไม่กล้าออกจากเมืองไปตัดฟืนอีก ต่อให้ในมือมีเงินก็ซื้อฟืนไม่ได้
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ประชาชนเมืองชายแดนก็ถือมีดตัดฟืนและเชือกแบกตะกร้าไม้ไผ่เข้ามาเป็นกลุ่มเล็กๆ มีชายร่างกำยำ มีเด็กที่ยังไม่โตเต็มวัย กระทั่งยังมีสตรีที่รูปร่างแข็งแรง พวกเขาพูดคุยหัวเราะอยู่ด้วยกัน ขับไล่ความหนาวเย็นในอากาศ
หน้าที่นำทหารไปคุ้มกันประชาชนตกเป็นของเสิ่นเชียนและหร่วนเหิง พวกเขาทุกคนนำทัพคนสองร้อยคน เสิ่นเวยส่งโอวหยางไน่ที่พักผ่อนอยู่ออกไปเช่นกัน สองคนนี้เป็นพี่ชายแท้ๆ และญาติผู้พี่ของนาง แม้ว่าจะเรียนหนังสือมาเยอะ แต่อันที่จริงก็ไม่มีประสบการณ์อะไร ส่งผู้ชำนาญการตามไปด้วยจึงจะวางใจ
เสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงต่างก็ตั้งใจอย่างยิ่ง รับหน้าที่แล้วทั้งสองก็ปรึกษากันอยู่ครู่ใหญ่ อีกทั้งยังลากโอวหยางไน่มาสอนอยู่ครึ่งวัน อยากจะทำงานให้ดี ไม่อาจให้เกิดข้อผิดพลาดได้
ความจริงแล้วพวกเขาก็ได้รับการกระตุ้นจากเสิ่นเวย สตรีผู้หนึ่ง สตรีที่ยังเด็กกว่าตนผู้หนึ่ง ขี่ม้าสังหารศัตรู ลงม้าก็ทำงานเป็น เบื้องสูงก็มีท่านโหวกับนายทหารชั้นสูงในกองทัพ เบื้องล่างก็มีประชาชนกับนายทหาร ไม่มีสักคนที่ไม่ชื่นชมคุณชายสี่วีรบุรุษอายุน้อย ทำให้ในใจบุรุษทั้งสองคนนี้อับอายอย่างถึงที่สุด
มาตรการรับมือของเสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงกลับเชื่อถือได้อย่างยิ่ง อย่างแรกคือการเลือกสถานที่ ป่าที่พวกเขาเลือกอยู่ใกล้เมืองชายแดน มีเหตุไม่คาดฝันอะไรเกิดขึ้นก็สามารถถอยกลับไปได้อย่าง่ายดาย อย่างที่สองก็คือส่งคนสอดแนมข้าศึกออกไปไม่น้อย กลุ่มละเจ็ดคน ตั้งหน่วยลาดตระเวนทุกๆ สามลี้ หากเจอกองทัพซีเหลียงก็สามารถกลับมาแจ้งข่าวได้ทันเวลา วางแผนแต่เนิ่นๆ
เสิ่นเวยเริ่มขอความดีความชอบจากท่านปู่นางอีกครั้ง “ท่านปู่ เห็นแล้วหรือยัง หลานพูดถูกใช่หรือไม่ ขอเพียงแค่ท่านยอมสอน ยอมให้โอกาส ก็ไม่มีไม้ไหนที่ดัดไม่ได้ พี่ใหญ่ทำดีอย่างยิ่งไม่ใช่หรือ สั่งสมประสบการณ์หลายรอบก็รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร”
ท่านเสิ่นโหวมองหลานสาวตัวน้อยที่กระดิกขาสะบัดมือก็เปิดหนังสือในมือทันที “รู้แล้วๆ นี่ล้วนเป็นคุณงามความดีของเจ้า ปู่แบ่งทรัพย์สินส่วนตัวให้เจ้าครึ่งหนึ่งคงจะน้อยไปหน่อย ให้เจ้าหมดเลยแล้วกัน”
เสิ่นเวยสะดุ้งตกใจกับสีหน้าจริงจังบนใบหน้าของท่านปู่ ให้หมดเลยหรือ ใจกว้างอะไรเช่นนี้ นางมองปู่นางอยู่ครู่ใหญ่ด้วยความระแวง จู่ๆ ก็แสยะปาก “ชิ ท่านปู่ท่านหลอกข้า ลูกหลานท่านตั้งเยอะ จะเอาทรัพย์สินส่วนตัวให้ข้าหมดได้หรือ อย่างไรเสียข้าก็ไม่เชื่อ ท่านให้ข้าครึ่งหนึ่ง ชดเชยจิตใจที่เจ็บปวดของข้าเล็กน้อย หลานก็พอใจแล้ว”
นางพูดไปพลางเดินกร่างออกไปข้างนอกไปพลาง จู่ๆ เสิ่นเวยก็นึกได้ว่านางใกล้จะกลายเป็นครอบครัวเดียวกับหนุ่มรูปงามแซ่สวีแล้ว ต้องไปซักถามเสียหน่อยว่าหมอนั่นมีทรัพย์สินส่วนตัวเท่าไร ดูว่าเอามาไว้ในมือตนได้เท่าไร
“ท่านโหวพูดจริงใช่ไหมขอรับ” อาจารย์ผังกลับรู้ความคิดของท่านเสิ่นโหวเป็นอย่างดี คุณหนูสี่ไม่เชื่อ แต่เขากลับรู้ว่าท่านโหวคิดเช่นนี้จริงๆ
ทรัพย์ส่วนตัวทั้งหมดมอบให้หลานสาว คิดๆ ดูแล้วอาจารย์ผังก็รู้สึกสะเทือนอารมณ์
ท่านเสิ่นโหวมองนายทหารผู้ช่วยที่เป็นทั้งสหายรักผู้อยู่ข้างกายตนมากว่าสิบปี ถอนหายใจหนึ่งครา “เหล่าผังเอ๋ย ข้าชดเชยทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมดให้เจ้าสี่ เกรงว่าจะยังไม่เยอะเท่าที่นางเสียให้ เจ้าคิดคำนวณดู เพียงแค่ของวัตุดิบเตรียมรบต่างๆ นานานางก็ขนมาเมืองชายแดนมากเพียงใดแล้ว เงินแค่ไม่กี่แสนตำลึงจะพอได้อย่างไร คาดว่าสินเดิมของแม่นางก็คงจะรวมเข้าไปด้วยแล้ว เจ้าเห็นนางเจ็บใจเอ่ยถึงสักประโยคหรือไม่ เจ้าสี่เป็นเด็กที่มีคุณธรรม ข้าที่เป็นถึงปู่ก็ไม่อาจเอาเปรียบนางเกินไปได้”
ซ้ำยังไม่กล้าเอาเปรียบนางด้วย เด็กคนนั้นไม่ใช่คนที่จะยุแหย่ได้ แม้แต่บิดาแท้ๆ ก็ยังจัดการได้ไม่มีพลาด เขาไม่เชื่อว่าปู่เช่นตนจะมีความสามารถมากกว่า เหตุผลที่เด็กคนนั้นช่วยเหลือเช่นนี้ก็เป็นเพราะว่าตนปฏิบัติต่อนางดีตั้งแต่ต้นมิใช่หรือ
ท่านเสิ่นโหวทอดถอนหายใจรอบหนึ่ง เสียดายในใจอีกครั้งที่เจ้าสี่ไม่ไม่ใช่เด็กผู้ชาย สตรีแต่งออกเรือนก็กลายเป็นคนของตระกูลอื่นแล้ว เสียดาย เสียดายจริงๆ
[1] ให้ข้าวหนึ่งเซิงเป็นบุญคุณให้ข้าวหนึ่งถังเป็นความแค้น ในช่วงเวลาวิกฤติหากยื่นมือไปช่วยเล็กน้อยเขาจะซาบซึ้งบุญคุณ แต่หากช่วยมากเกินไป จะทำให้เขาเอาแต่พึ่งพา เมื่อหยุดช่วยก็จะกลายเป็นเคียดแค้น
ตอนที่ 166-2 ทรัพย์สินส่วนตัว
ณ ซีเหลียง
บาดแผลของหลี่หยวนเผิงองค์ชายใหญ่ที่ถูกลูกธนูแทงในสนามรบจนพ่ายแพ้กลับไปก็ดีขึ้นมากแล้ว แน่นอนว่านี่เป็นเพียงอาการภายนอก หากแตะบริเวณที่บาดเจ็บก็ยังคงปวดอย่างยิ่ง
“สืบไม่ได้หรือว่าคนผู้นั้นคือใคร” หลี่หยวนเผิงถามกุนซือที่แต่งตัวเป็นชาวฮั่นข้างกาย
กุนซือส่ายหน้า “หลายปีมานี้ไม่เคยได้ยินว่าเมืองชายแดนซีเจียงมีบุคคลชั้นยอดเช่นนี้อยู่” อายุน้อย แต่กลับเต็มไปด้วยไอสังหาร ธนูดอกนั้นที่ยิงองค์ชายใหญ่ทั้งรุนแรงทั้งแม่นยำ เขากับเมืองชายแดนซีเจียงก็นับได้ว่าสู้รบกันมาหลายปีแล้ว ไม่เคยเห็นหรือได้ยินชื่อเด็กหนุ่มเช่นนี้มาก่อน “หรือว่า ผู้ชราส่งคนแฝงตัวเข้าไป…”
ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกองค์ชายใหญ่ขัดแล้ว “ไม่ต้อง ไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องเจออยู่ดี รู้เร็วหนึ่งวันรู้ช้าหนึ่งวันจะไปสำคัญอะไร” มุมปากเขาอมยิ้มเย็นชา
กุนซือไม่แน่ใจเจตนาขององค์ชายใหญ่ในชั่วขณะ ว่ากันตามเหตุผล องค์ชายใหญ่ควรจะเคียดแค้นเด็กหนุ่มที่ยิงธนูผู้นั้นมิใช่หรือ เหตุใดเขาถึงดูอารมณ์ดีอย่างยิ่งเล่า
กุนซือผู้นี้เป็นชาวฮั่น ภูมิใจที่ตนมีความรู้กว้างไกล แต่กลับไม่เคยอ่านความคิดองค์ชายใหญ่แคว้น
ซีเหลียงผู้นี้ออกเลย แต่เพราะว่าเห็นความสำคัญขององค์ชายใหญ่ผู้นี้ เขาจึงยินยอมพร้อมใจอยู่ช่วยเหลือ
องค์ชายใหญ่เคียดแค้นคนผู้นั้นที่ยิงธนูใส่เขาจริงๆ แต่ก็รู้สึกดีอย่างยิ่งเช่นกัน เดิมซีเหลียงก็ยกย่องยอดฝีมือ ในสนามรบก็ยิ่งมีเพียงการฆ่าฟันอย่างเอาเป็นเอาตาย ตนโดนธนูยิง นั่นก็เป็นเพราะว่าตนสู้คนอื่นไม่ได้ ไม่อาจโทษอย่างอื่น นึกถึงเด็กหนุ่มที่หน้าตางดงามยิ่งกว่าหญิงสาวผู้นั้น หลี่หยวนเผิงก็ทอดถอนใจ ท้ายที่สุดที่ราบภาคกลางอันเลื่องชื่อก็บ่มเพาะคนเช่นนี้ออกมาได้
“องค์ชายรองฝั่งนั้นเล่าพ่ะย่ะค่ะ” กุนซือกล่าวด้วยความลังเลเล็กน้อย
องค์ชายใหญ่หัวเราะเยาะหนึ่งครา “เหอะ เขากลับใช้เล่ห์เหลี่ยมอวดฉลาดได้ แต่ข้าเองก็ไม่ใช่หมูในอวย วางใจได้ ต่อให้เขาจะกระโดดสูงกว่านี้ ก็แตะต้องคนของข้าไม่ได้หรอก”
คิดจะฉวยโอกาสแย่งอำนาจทหารของเขาตอนที่เขาได้รับบาดเจ็บและกองทัพแพ้พ่ายงั้นหรือ อย่าว่าแต่องค์ชายรองเล็กๆ เช่นเขาเลย แม้แต่เสด็จพ่อก็ยังต้องคิดแล้วคิดอีก หลายปีมานี้กิจการในกองทัพของเขาก็ไม่ได้ให้เปล่านะ
ประมุขซีเหลียงมีพระราชโอรสเจ็ดพระองค์ คนที่ตั้งตัวจนมีอิทธิพลในนั้นคือองค์ชายใหญ่ องค์ชายรองและองค์ชายสี่ มารดาขององค์ชายรองคือองค์ราชินี บ้านฝ่ายมารดาเองก็เป็นขุนนางผู้กุมอำนาจ มีอำนาจในซีเหลียงมากล้น มารดาขององค์ชายสี่คือพระสนมเอกคนโปรด ได้รับความโปรดปรานจากประมุข อำนาจของฝ่ายมารดาเองก็ไม่น้อย
เปรียบเทียบกันแล้วฐานะขององค์ชายใหญ่ไม่น่าเชิดชูนัก เขาเกิดจากนางกำนัล เป็นบุตรที่เกิดมาเพราะว่าประมุขซีเหลียงในตอนที่ยังเป็นองค์ชายเมาสุราร่วมอภิรมย์กับนางกำนัลผู้หนึ่ง ดังนั้นตอนที่องค์ชายใหญ่ยังเด็กจึงมีชีวิตที่ค่อนข้างน่าเวทนา โชคดีที่เขามีจิตใจที่แน่วแน่ เมื่ออายุได้สิบสองปีก็ขอเข้ากองทัพ ต่อสู้ดิ้นรนทีละก้าวๆ ใช้เวลาสิบปีในที่สุดก็ยืนหยัดอยู่ในกองทัพได้ มีฉายาว่าองค์ชายใจเหล็ก
องค์ชายรองกับองค์ชายสี่มีอำนาจมากในราชวงศ์ แต่ในกองทัพกลับน้อยนิด ดังนั้นเขาทั้งสองจึงจับจ้องอำนาจทหารในมือองค์ชายใหญ่ตาเป็นมัน ครั้งนี้องค์ชายใหญ่พ่ายแพ้ องค์ชายรองก็ใส่ร้ายป้ายสีต่อหน้าประมุขไปไม่น้อย คิดจะแย่งอำนาจทหารพี่ใหญ่ของเขา
องค์ชายสี่กลับซื่อสัตย์อย่างยิ่ง ไม่ได้ฉวยโอกาสซ้ำเติม แต่องค์ชายใหญ่ก็ยังไม่ไว้ใจเขาอยู่ดี รู้สึกเพียงแค่ว่าเขามีแผนการที่ใหญ่ยิ่งกว่า
“บอกเสด็จพ่อว่าอาการบาดเจ็บของข้ายังไม่หายดี พ่ายแพ้ครั้งนี้ ข้าอับอายที่จะต้องเจอหน้าเสด็จพ่อ ข้าต้องเก็บตัวในจวนตรึกตรองความผิดพลาด” องค์ชายใหญ่ออกคำสั่ง
ในเมื่อน้องรองจะแย่งเช่นนั้นก็ให้เขามาแย่งไป แล้วให้เสด็จพ่อเห็นว่า กองทัพใหญ่ซีเหลียงไม่ใช่ของที่ใครจะสามารถบัญชาการได้ อย่าได้ฝันเฟื่อง
พวกเขาใช้ชีวิตหรูหราอยู่ในเมืองหลวง ตนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่ในกองทัพ กว่าจะได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ เจ้าพูดง่ายๆ แค่ประโยคเดียวก็จะแย่งไปงั้นหรือ ฝันไปเถอะ คิดว่าตนเป็นคนตายหรือไร อย่าลืมว่าเขาเองก็เป็นองค์ชายที่ถูกต้องกฎมณเฑียรบาล ตำแหน่งอันสูงส่งนั้น เหตุใดเขาถึงจะแย่งมาไม่ได้เล่า
สวีโย่วมองจิ้งจอกน้อยของเขากำลังสืบถามว่าเขามีทรัพย์สินส่วนตัวเท่าไรด้วยท่าทีอ้อมค้อม ชั่วขณะในใจก็เบิกบาน เขาลืมไปได้อย่างไรว่าเด็กคนนี้โลภมากในทรัพย์สินเงินทอง
“ทรัพย์สินส่วนตัวของข้าหรือ ไม่เยอะ แต่ก็ไม่น้อย” สวีโย่วกล่าวเสียงเรียบ นี่กลับเป็นความจริง แม้ว่าเงินที่จวนอ๋องให้เขาทุกปีแม้จะไม่เยอะ แต่ในมือเขาก็ไม่ขาดแคลนเงิน นอกจากบำเหน็จของจักรพรรดิแล้ว เพียงแค่สินเดิมของมารดาแท้ๆ ของเขาก็เพียงพอให้เขาใช้จ่ายไปได้สองชาติแล้ว
นึกถึงสตรีที่ให้กำเนิดเขาผู้นั้นเขาก็ถอนหายใจ ฮ่องเต้องค์ก่อนก็คือเสด็จปู่ของเขาที่ปูทางให้มารดาของเขาด้วยความราบรื่นเพียงนั้น นางยังทำจนตัวเองตายได้ จะให้เขาที่เป็นลูกชายพูดอะไรดีเล่า
หากเปลี่ยนเป็นเด็กน้อย จะต้องไม่มีทางทำตัวเองตายหรือเสียเปรียบคนอื่นแน่นอนใช่หรือไม่ ด้วยนิสัยของเด็กน้อยคนนี้คาดว่าจะต้องทำให้เสด็จพ่อของเขาตายแน่ๆ อย่าคิดว่าเขาดูไม่ออก เมื่อพระราชโองการพระราชทานสมรสประกาศออกมา แววตาที่เด็กน้อยมองเขาก็มีประกายความโหดเ**้ยม หากไม่ใช่ว่าเขาหน้าตาดี ทั้งยังปฏิบัติต่อนางอย่างดี เด็กคนนี้คงสามารถลงมือฆ่าเขาได้จริงๆ
เขาน่ะ ชอบความแข็งแกร่งและความอดทนของเด็กคนน้อยคนนี้ สามารถปกป้องอาณาเขตและคนของตัวเองได้ หากเป็นเหมือนแม่เขา เขาคงจะร้องไห้จริงๆ แล้ว
หลังมารดาเขาตายก็ยังเสียเปรียบให้ชายหญิงชั่วคู่นั้นอีกมิใช่หรือ เสด็จปู่โมโหแล้วอย่างไร สามารถฆ่าลูกชายแท้ๆ ของตนได้หรือ ดังนั้นเขาจึงพระราชทานสินเดิมของมารดาให้เขาต่อหน้าพระพักตร์ คนอื่นล้วนแต่คิดว่าสินเดิมของมารดาเขายังอยู่ในมือจักรพรรดิ แต่อันที่จริงกลับอยู่ในมือเขาแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ขาดแคลนทรัพย์สินส่วนตัวจริงๆ
“ไม่มากไม่น้อยแล้วมันเท่าไรเล่า ต้องมีตัวเลขบอกหน่อยหรือไม่” เสิ่นเวยกล่าวอย่างไม่พอใจ เหอะ ปกติเจ้าเข้าใกล้ข้าเช่นนั้น ตอนนี้เมื่อเอ่ยถึงเรื่องเงินเจ้าทำมาเป็นพูดทางการ ดูสิ หางสุนัขจิ้งจอกโผล่ออกมาแล้วน่ะ พวกบุรุษ เชื่อไม่ได้จริงๆ
ความคิดนั้นของเสิ่นเวยเขียนไว้บนใบหน้าหมดแล้ว สวีโย่วกลัวจะแย่แล้ว เขากำลังพยายามเอาชนะใจหญิงงามอยู่ ไม่อาจปล่อยให้เด็กน้อยคนนี้มีอคติกับตนได้
“ตัวเลขอย่างละเอียดข้าจะรู้ได้อย่างไร เจ้าวางใจเถอะ พอเลี้ยงเจ้าได้ เพียงพอให้พวกเราสองคนใช้ไปได้ทั้งชีวิต” สวีโย่วรีบกล่าว
เสิ่นเวยหัวเราะเยาะหนึ่งครา “ชิ ที่พี่สาวมีก็คือเงิน เงินของพี่สาวพอใช้จ่าย” พี่สาวไม่ลดตัวไปใช้เงินของเจ้าหรอก ให้เกียรติเจ้าหรอกถึงได้ถาม ไม่ยินดีก็ช่าง พี่สาวไม่ยินยอมรับใช้เจ้าหรอก
เสิ่นเวยกลับหลังหันกำลังจะจากไป อารมณ์เปลี่ยนแปลงไปในพริบตาเดียว สีหน้าท่าทางดูถูกใต้หล้าเช่นนั้นทำให้เจียงไป๋ที่ยืนอยู่ข้างๆ ตะลึงงัน มารดามันสิ คุณหนูสี่โมโหง่ายจริงๆ ที่ทำให้เขายิ่งตกตะลึงยังคงเป็นการตอบสนองของคุณชายของเขา
สวีโย่วยื่นมือคว้าแขนของเสิ่นเวยไว้ ถอนหายใจกล่าว “อารมณ์ร้อนอะไรเช่นนี้ ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลยมิใช่หรือ เจ้าก็แค่อยากรู้ว่าข้ามีทรัพย์สินส่วนตัวเท่าไรมิใช่หรือ กลับเมืองหลวงแล้วข้าจะให้คนส่งบัญชีทั้งหมดมาให้เจ้า” เจ้าว่าเขาชอบเด็กสาวที่อารมณ์ร้อนกว่าใครผู้นี้ได้อย่างไรกันนะ
เสิ่นเวยเหลือบตามองสวีโย่ว นั่งลงหัวเราะเยาะต่อ “ท่านคิดว่าข้าพิสวาสงั้นหรือ หากเป็นคนอื่นข้ายังขี้เกียจถามเลย” ไม่ใช่คิดว่าเจ้าเป็นคนของข้าหรือไร แม้แต่ทรัพย์สินส่วนตัวของเสิ่นเจวี๋ยนางยังไม่เคยเห็นห่วงเลย ช่างไม่รู้ดีชั่วจริงๆ
“ใช่ๆๆ ข้าผิดเอง รอจนพวกเราแต่งงานกันแล้ว ทรัพย์สินส่วนตัวของข้าก็จะเป็นของเจ้าทั้งหมด” สวีโย่วทำท่าทางสำนึกผิด
“ไม่เอา” เสิ่นเวยยังคงเล่นตัว
“เอาไปเถอะๆ ข้ายินดีให้อยู่แล้ว” สวีโย่วกล่าวเสียงอ่อนนุ่ม
“จริงหรือ” เสิ่นเวยเหลือบตาสูงมองสวีโย่ว
สวีโย่วพยักหน้าถี่ๆ เสิ่นเวยจึงเผยท่าทางยิ้มแย้มออกมา “เช่นนี้ก็พอได้” ผู้ชายกุมเงินส่วนตัวไว้ในมือเพื่ออะไร เลี้ยงอนุภรรยา? ดื่มสุรา? ทำให้คนไม่สบายใจยิ่งนัก กุมไว้ในมือตนยังจะปลอดภัยกว่า
สวีโย่วถอนหายใจ มองท่าทางยิ้มแย้มของเด็กน้อย รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ ทำได้เพียงถอนหายใจ “เจ้าบอกสิว่าเหตุใดเจ้าถึงชอบเงินเพียงนั้น”
เสิ่นเวยกลับมีเหตุผลจะตอบโต้ “ผู้ชายเช่นท่านจะเอาเงินส่วนตัวไว้ทำอะไรเล่า ใบหน้าเช่นนี้ของท่านดึงดูดผู้หญิงได้มากเกินไปแล้ว ในมือยังกุมเงินจำนวนมากไว้อีก ข้าไหนเลยจะวางใจ” เสิ่นเวยตบหน้าสวีโย่วเบาๆ แล้วกล่าว
สวีโย่วยิ่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดึงดูดผู้หญิงงั้นหรือ คิดว่าเขาเป็นดอกไม้หรือไร ยี่สิบสองปีนี้ของเขาบริสุทธิ์ไร้มลทิน ข้างกายไม่มีแม้แต่สาวใช้สักคนเดียว แต่ว่าการที่เด็กคนนี้เข้มงวดกับเขา เขากลับมีความสุขอย่างยิ่ง
เสิ่นเวยยังคงเอ็ดตะโรอยู่ตรงนั้นต่อ “ข้าจะบอกอะไรท่านไว้ ห้ามมีอนุภรรยา หากท่านพาสตรีมั่วซั่วกลับมาเพิ่มความกลัดกลุ้มให้ข้า เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถทำลายใบหน้าที่งดงามดวงนี้ของท่านได้” เสิ่นเวยหรี่ตา มือเล็กๆ ทั้งคู่ลูบใบหน้าของสวีโย่วไปมา
สวีโย่วรักเด็กน้อยที่ชอบพูดจาข่มขู่คนนี้แทบตายแล้วจริงๆ เขากุมมือขาวผ่องของเสิ่นเวยแล้วเอ่ยรับปากอย่างสบายๆ “ไม่แต่งอนุภรรยาๆ” มีเด็กน้อยที่น่าสนใจเพียงนี้อยู่ด้วย มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะแต่งอนุภรรยา
เจียงไป๋อยากวิ่งหนีแล้ว คุณชาย มาดของท่านเล่า ยังไม่เคยเห็นท่าทางเร่งรีบยัดเงินเช่นนี้มาก่อน สีหน้าเขาขมขื่น คาดเดาถึงชีวิตที่น่าเวทนาของคุณชายเขาในภายหน้าได้แล้ว
ท่านเสิ่นโหว หลานสาวท่านเป็นนางเสือท่านรู้หรือไม่ จักรพรรดิ ท่านขุดหลุมฝังคุณชายของพวกเราแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น