คัมภีร์วิถีเซียน 1651-1652
ตอนที่ 1651 มีดสมประสงค์สวรรค์ทมิฬ
มารทั้งสามได้ยินคำพูดที่มั่นอกมั่นใจของหญิงสาว ก็ไม่กล้าชักจูงอะไรอีก ทำได้เพียงขอให้หญิงสาวไตร่ตรองดูอีกครั้ง
“ไม่มีวิธีที่ดีแล้ว หากไม่ออกไป อาการบาดเจ็บของข้าก็จะไม่สามารถรักษาได้ หากศัตรูสองสามคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ไล่ตามมา ก็จะไม่มีพลังต้านทาน และยิ่งไปกว่านั้นข้าให้พวกเจ้าอยู่ที่นี่ ก็เพราะมีอีกเรื่องให้จัดการ ไม่ได้ผ่อนคลายเท่าใดนักเช่นกัน” หญิงสาวสั่นศีรษะ เผยเจตนาว่าตัดสินใจไปแล้วออกมา
“นายท่านบรรพบุรุษมีรับสั่งได้ ก็บอกมาเถิด” มารหลายตาซักถามอย่างร้อนรนและรอบคอบ
มารที่เหลือสองตนก็มีสีหน้าใจหายวาบ
“ในยามที่คราหลับใหล ทางเดินตรงเขตแดนศักดิ์สิทธิ์เคยเปิดขึ้นอีกหรือไม่?” หญิงสาวพลันเอ่ยถาม
“ที่ผ่านมาล้วนไม่มีอะไร แต่ก่อนหน้านี้ไม่นาน มีระลอกคลื่นส่งมาจากทางนั้น แม้ว่าจะเบาบางมาก แต่ดูเหมือนว่าแดนศักดิ์สิทธิ์จะมีการเคลื่อนไหวอะไรสักอย่าง” มารหลายตาตอบอย่างซื่อสัตย์
มารปีกเหล็กและแขนโลหิตได้ยินพลันมีสีหน้าเคร่งขรึม
“อืม นับวันดูแล้ว พวกเขาก็น่าจะฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิมแล้ว ก็ควรจะเคลื่อนไหวแล้ว ข้าจะให้พวกเจ้าวางเขตอาคมขนาดยักษ์ ที่สามารถเพิ่มพลังเขตกั้นแดนตรงทางเดินได้หลายเท่าเป็นการชั่วคราว เช่นกันละก็ต่อให้ทางนั้นมีคนคิดจะเปิดทางเดิน ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าเขตอาคมนี้ต้องสิ้นเปลืองพลังมหาศาล จำต้องให้พวกเจ้าทั้งสามคนผลัดเปลี่ยนกันคุมงานถึงจะสำเร็จได้ ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ข้าไม่อยู่ พวกเจ้าก็ดูแลเรื่องนี้เถิด” หญิงสาวเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ขอรับ รับคำบัญชาบรรพบุรุษ!” มารทั้งสามได้ยินพลันรู้สึกดีใจ เอ่ยรับคำสั่งพร้อมกัน
“ใช่แล้ว ตอนที่ข้าหลับสนิทนั้น ยังมีเรื่องสำคัญอะไรเกิดขึ้นอีกไหม รายงานข้ามาพร้อมกันเลย” หญิงสาวดูเหมือนจะนึกอะไรได้ จึงออกคำสั่งอย่างราบเรียบ
“ช่วงสองสามปีที่ผ่านมาในเทือกเขามีเรื่องเกิดขึ้นอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องเล็ก ข้าน้อยสามคนจัดการได้ขอรับ มีเพียงสองเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ จำต้องรายงานท่านบรรพบุรุษ” หลังจากที่มารทั้งสามส่งสายตาให้กันแล้ว มารปีกเหล็กก็เอ่ยพึมพำออกมา
“อ๋อ ไหนลองพูดมาซิ” หญิงสาวสวมชุดสีขาวเอ่ยอย่างราบเรียบ
“เรื่องแรกคือก่อนที่นายท่านจะหลับสนิท ได้ทำลายชิ้นส่วนของใบมีดสมประสงค์ทมิฬ และมอบให้พวกเรารักษาเอาไว้ ผลคือข้าน้อยรักษาไปได้ระยะหนึ่ง กลับถูกมารวานรระดับศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่งขโมยไป และหนีออกจากเทือกเขา ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด” หลังจากที่มารปีกเหล็กลังเลเล็กน้อย ก็เอ่ยพึมพำอย่างทำใจดีสู้เสือ
“ใบมีดสมประสงค์ถูกขโมยไป? มารวานรตัวนั้นมีประวัติความเป็นมาอย่างไร เหตุใดถึงมาอยู่ในเทือกเขา” น้ำเสียงของหญิงสาวผันผวนเล็กน้อย
“มารวานรตัวนั้นน่าจะเป็นทหารไล่ล่าที่ถูกม้วนเข้ามาด้วยความบังเอิญ ตอนที่นายท่านทลายเขตแดนในวันนั้น ตัวมันมีพลังยุทธ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับซ่อนตัวได้อย่างยอดเยี่ยม คาดไม่ถึงว่าจะหลบซ่อนจากหูตาของพวกเราสามคนได้หลายปี สุดท้ายก็ถือโอกาสที่ข้าออกไปข้างนอก สร้างปัญหาด้วยการชิงใบมีดสมประสงค์ที่วางอยู่ในห้องลับไป ข้าน้อยเสียสมบัติล้ำค่าไป หวังว่านายท่านท่านบรรพบุรุษจะลงโทษข้า” มารปีกเหล็กก้มหน้าลง ยอมรับผิดกับหญิงสาว
“หึๆ ตอนนั้นมีดสมประสงค์ถูกทำลาย เดิมทีอานุภาพก็ลดลงไปกว่าครึ่ง ประกอบกับแยกออกเป็นสามส่วน ต่อให้ข้าเองก็ไม่อาจฟื้นฟูสมบัติชิ้นนี้ได้ เศษสวรรค์ทมิฬที่ชำรุดเช่นนี้ ไม่อาจซ่อมแซมได้ ทิ้งไปก็ทิ้งไป ไม่เป็นไร อีกเรื่องล่ะ คืออะไร?” หลังจากที่หญิงสาวสวมชุดสีขาวเงียบขรึมไปเล็กน้อย ก็หัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยท่าทีไม่สนใจเลยสักนิด
“ขอบพระคุณนายท่านบรรพบุรุษที่ไม่ลงโทษ อีกเรื่องก็คือพาหนะที่นายท่านยมโลกตาข่ายนั่งมาในวันนั้น จระเข้ทมิฬตัวนั้นเพิ่งบรรลุระดับสำเร็จ และบรรลุระดับศักดิ์สิทธิ์แล้ว หากเป็นเช่นนั้นละก็ ก็ไม่อาจปล่อยไว้ในเทือกเขาโดยไม่ซักถามได้ ไม่ทราบว่านายท่านมีเจตนา…” มารปีกเหล็กพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เอ่ยอีกเรื่องหนึ่งแต่กลับผ่อนคลายลงเป็นอย่างมาก
“มารจระเข้น้อยตัวนั้นเพิ่งบรรลุระดับศักดิ์สิทธิ์ นั่นเป็นเรื่องน่ายินดีนัก ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้างกายของข้ายังขาดพาหนะอยู่ดี ให้มันตามข้าออกไปข้างนอกเถิด” หญิงสาวชุดขาวได้ยินคำนี้ กลับฉีกยิ้มอย่างเบิกบาน
เสียงหัวเราะอันไพเราะดังขึ้น ราวกับเสียงที่รังสรรค์จากสรวงสวรรค์ ทำให้ผู้คนได้ฟังแล้วตกอยู่ในภวังค์ ยามนั้นไม่อาจถอนตัวออกจากความชั่วร้ายได้
มารทั้งสามย่อมไม่มีข้อคิดเห็น ล้วนพยักหน้าเห็นด้วย
“นายท่าน เศษใบมีดสมประสงค์ในมือของพวกเรา…” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“สิ่งนั้นไม่มีประโยชน์อะไรกับข้า พวกเจ้าเก็บไว้ป้องกันตัวเถิด” หญิงสาวโบกมือไปมา แล้วเอ่ยอย่างส่งๆ
“ขอบพระคุณนายท่านบรรพบุรุษที่ตกรางวัลให้!” ชายสวมชุดคลุมสีโลหิตและมารหลายตาได้ฟังคำนี้ ก็คารวะขอบคุณด้วยความดีใจยกใหญ่
มีเศษสมบัติสวรรค์ทมิฬป้องกันตัว ก็เพียงพอจะทำให้อิทธิฤทธิ์ของพวกเขาเพิ่มขึ้นกว่าครึ่ง
ส่วนมารปีกเหล็กที่อยู่ด้านข้าง ย่อมมีสีหน้าอิจฉา แต่ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วค้อมตัวลงรายงาน
“ใช่แล้ว นายท่านบรรพบุรุษตอนนี้ในเทือกเขามีเห็ดเซียนตนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น และอยู่ในระดับเดียวกันกับมารแปลงกาย ไม่ว่านายท่านสนใจมันหรือไม่”
“เห็ดเซียน! มารแปลงกาย? ในเทือกเขาของพวกเรามีของเช่นนี้ด้วย? เจ้าสิ่งนี้เป็นสิ่งล้ำค่าในการฝึกฝนร่างแยกและร่างสิงสู่ของจิตวิญญาณดั้งเดิม แต่ต้องเสียแรงไปมากกว่าจะหลอมออกมาได้ จากสถานการณ์ของข้าในยามนี้ไม่มีเวลาจะไปสนใจ พวกเราสามคนลงมือจับมันมาก็แล้วกัน” หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็สั่นศีรษะ และไม่ได้สนใจ
เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาว ชายชราชุดสีเงินพลันตกตะลึง ทันใดนั้นก็เผยสีหน้ายินดีออกมา
ส่วนมารปีกเหล็กและแขนโลหิตก็มองสบตากันแวบหนึ่ง ดูเหมือนจะอยากพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
“เอาล่ะ ตอนนี้ข้าเพิ่งตื่น อย่างนั่งพักสักสองสามเดือน ค่อยออกจากเทือกเขา เรื่องน้อยใหญ่ในเทือกเขา พวกเจ้าก็จัดการเอาเถิด ไม่ต้องมารายงานข้า” เมื่อเห็นมารทั้งสามเอ่ยเรื่องราวเสร็จสิ้น หญิงสาวก็ออกคำสั่ง ชุดสีขาวสะบัดมาด้านหลังโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา
มารทั้งสามรู้สึกเพียงว่าลำแสงสีชมพูรอบด้านทะลักออกมา ครู่ต่อมาคนก็มาปรากฏด้านนอกประตูหิน ราวกับว่าไม่เคยเดินเข้าไปมาก่อนแม้แต่ก้าวเดียว
พวกเขาอดที่จะรู้สึกตกตะลึงไม่ได้
“ดูแล้วแม้ว่าพลังยุทธ์ของนายท่านบรรพบุรุษจะยังไม่ฟื้นฟูกลับไม่เหมือนเดิม แต่อิทธิฤทธิ์การเปลี่ยนดาวเคราะห์และดวงจันทร์กลับยังลึกล้ำยากจะคาดเดา หากเป็นเช่นนั้นละก็ นายท่านออกไปข้างนอกคงไม่เกิดปัญหาอันใดแน่” มารปีกเหล็กพ่นลมหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยราวกับเพิ่งจะวางใจขึ้นมาจริงๆ ออกมา
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ และยิ่งไปกว่านั้นนายท่านบรรพบุรุษยังตัดสินใจแล้ว พวกเราจะห้ามปรามอันใดได้ ก็ทำตามคำสั่งของนายท่านก็แล้วกัน” แขนโลหิตเองก็ครุ่นคิดไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น
ชายชราสวมชุดคลุมสีเงินได้ฟัง ก็หรี่ตาลงแล้วพยักหน้า แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง
“ที่แท้เห็ดเซียนนั่นก็อยู่ในระดับเดียวกันกับมารแปลงกาย มิน่าล่ะทั้งสองถึงได้สนใจถึงเพียงนี้ ตอนนี้บรรพบุรุษบอกให้เจ้าสิ่งนั้นเป็นของพวกเราแล้ว เช่นนั้นพวกเราสามคนผู้ใดจะได้สัตว์เทพตัวนั้นไป ก็ต้องดูว่าสามารถของตนเองแล้ว เช่นนั้นละก็ ตาเฒ่าขอตัวก่อน” สิ้นเสียงมารหลายตาก็ไม่รอให้มารทั้งสองตอบรับ มือหนึ่งร่ายอาคม พายุมารสีดำสนิทบนร่างม้วนวนออกมา จากนั้นก็เปล่งเสียงร้องแล้วพุ่งออกไปนอกวิหาร พลางหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
“เจ้านั่นใจร้อนนัก!” หลังจากที่มารปีกเหล็กเบะปากแล้ว ก็เอ่ยอย่างดูแคลนออกมา
“หึๆ พี่หลายตารู้ตัวว่าตามหลังอยู่ แน่นอนว่าต้องส่งคนไปจัดการทันที ทว่าเกรงว่าเห็ดเซียนตัวนั้นจะไม่ได้ตกอยู่ในมือของเจ้าและข้า มิเช่นนั้นเราสองคนคงได้ข่าวไปนานแล้ว ประกอบกับร่างแยกของพี่เหล็กถูกทำลาย เจ้านั่นน่าจะตกอยู่ในมือของคนนอก ดูแล้วคนนอกที่เข้ามาในเทือกเขาครั้งนี้คงไม่ธรรมดา” แววตาของแขนโลหิตเปล่งประกาย แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า
“ตกอยู่ในมือของคนนอกหรือไม่ก็พูดยาก ทว่าตอนนี้หลายตาไปจัดการ ก็คงสายไปแล้ว ถึงอย่างไรเสียผู้ที่มาจากภายนอกก็ทำได้เพียงอยู่ในเทือกเขาของเราเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น กว่าครึ่งคงอยู่ไม่ไกลจากทางออกแล้ว ต่อให้พวกเราลงมือเองในยามนี้ ก็ไม่อาจไล่ตามได้ทัน หากรู้เช่นนี้ตั้งนานแล้ว ข้าคงส่งคนไปเพิ่มตั้งแต่แรก” มารปีกเหล็กมีสีหน้าเสียดายฉายแวบผ่านบนใบหน้า
“ฮ่าๆ ไม่ใช่ว่าพี่เหล็กไม่อยากใช้ลูกสมุน แต่เพราะกลัวว่าหากใช้คนมากเกินไป จะดึงดูดความสนใจของข้าและมารหลายตาสินะ” ชายสวมชุดคลุมสีโลหิตได้ยิน กลับหัวเราะหึๆ ออกมา
“แล้วแต่ว่าแขนโลหิตจะคิดอย่างไร ข้าเองก็ขอตัวลากลับไปรอฟังข่าวก่อน” มารปีกเหล็กหัวเราะน้อยๆ ท่าทางไม่สนใจเลยสักนิด
จากนั้นร่างของมารตัวนั้นพลันพลิ้วไหว ไถลห่างออกไปสิบกว่าจั้ง หลังจากกะพริบวาบสองครั้งก็หายวับไปจากทางเข้าของวิหาร
ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตจ้องเขม็งไปยังประตูวิหารด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกชั่วครู่ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา ร่างกายมีลำแสงโลหิตแผ่ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะหลอมละลายราวกับเทียนไข กลายเป็นกองโลหิตจมหายเข้าไปในพื้น
ชั่วพริบตาทั้งวิหารก็ไร้ซึ่งผู้คน
…….
หานลี่กลายเป็นเงาสีเขียวสายหนึ่ง แทบจะรางเลือนจนมองไม่เห็น ซ่อนตัวอยู่ในเมฆสีดำที่ดูธรรมดาๆ ก้อนหนึ่ง
เขามองทางออกเทือกเขามารสีทองที่อยู่ห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้ง ระหว่างนั้นพลันหรี่ตาทั้งสองข้างลงลำแสงสีฟ้าอ่อนเปล่งแสงสว่างวาบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความครุ่นคิด
สิ่งที่เรียกว่าทางออกความจริงแล้วเป็นอากาศที่ว่างเปล่าเท่านั้น ความยาวแค่สองสามลี้!
หากอยากออกจากเทือกเขามารสีทอง มีเพียงต้องผ่านทางนี้ ถูกพลังเขตอาคมจากภายนอกดูดออกไป
ทว่ากลางอากาศที่ดูเหมือนไร้ผู้คน ภายใต้การจับจ้องด้วยเนตรวิญญาณวารีกระจ่างของหานลี่ กลับมองเห็นเงาสีเทา ไอสีดำนับร้อยนับพันตัวเรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่ง ทุกตนล้วนมีท่าทีถมึงทึง
หานลี่ลูบใต้คาง ใบหน้าเผยสีหน้าระมัดระวังออกมา หลังจากตรวจสอบอีกประเดี๋ยว เขาก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ในมือมียันต์วิเศษสีม่วงอ่อนปรากฏขึ้นแผ่นหนึ่ง
แปะยันต์นี้ลงบนร่าง ชั่วขณะนั้นหมอกสีม่วงพลันแผ่ออกมา อักขระสีเงินหมุนวน
ชั่วขณะนั้นร่างกายของเขาพลันหายวับไป ไร้ซึ่งร่องรอยให้ค้นหา
จากนั้นหานลี่ก็แปลงกายพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า บินออกมาจากเมฆา แล้วร่อนลงเบื้องหน้าอย่างเชื่องช้า
เมื่อครู่เขามั่นใจแล้วว่ารอบๆ นี้ไม่มีระดับศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าจึงไม่ค่อยกังวลว่าจะถูกมารอสูรมองออกนัก จึงเตรียมการจะบินผ่านไปอย่างทระนงองอาจ
มารอสูรที่ซุ่มอยู่รอบๆ ไม่พบความผิดปกติอะไร ยังคงหมอบอยู่ทั้งสองฝั่งไม่เคลื่อนไหว
หานลี่พลันรู้สึกยินดี ชั่วครู่เขาก็ออกห่างจากทางเขาไปได้ร้อยจั้งเศษ
แต่ในยามนั้นเองอสูรน้อยตัวหนึ่งที่ดูเหมือนมีขนาดแค่สองสามฉื่อ ฉับพลันนั้นผิวของมันก็เปล่งแสงสว่างวาบอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน ลำแสงงดงามระเบิดออกมาจากร่างของมัน ชั่วครู่ก็ปกคลุมในรัศมีสิบจั้งเศษเอาไว้
หานลี่รู้สึกเพียงว่าผิวร้อนฉ่า เดิมทีร่างที่ล่องหนพลันฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ ประสิทธิภาพของยันต์ชำระพิสุทธิ์ถูกทำลาย
ตอนที่ 1652 ออกจากเขา
เช่นนั้นร่างของหานลี่อยู่ปรากฏออกมาต่อหน้ามารอสูรระดับสูงร้อยกว่าตน ชั่วขณะนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสี
ลำแสงเงาวับคือเคล็ดวิชาลับชนิดใดกัน คาดไม่ถึงว่าจะมีอิทธิฤทธิ์ถึงเพียงนี้ แม้แต่การล่องหนก็ยังถูกทำลายโดยง่าย และยิ่งไปกว่านั้นมารอสูรตัวนี้รู้ว่าเขาอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไร?
แต่เรื่องที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าพลันปรากฏขึ้น!
ในเวลาเดียวกันที่ร่างของเขาปรากฏกายขึ้น ห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้งก็มีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างอรชรอ้อนแอ้นคุ้นตาปรากฏขึ้น
เขาจ้องเขม็งมองไปนั่นก็คือสตรีนามว่าเซียนเซียนผู้นั้น
ไม่รู้ว่าสตรีเผ่าผลึกผู้นี้ใช้เคล็ดวิชาอำพรางกายอันใด คาดไม่ถึงว่าแม้เขาจะใช้เนตรวิญญาณนารีกระจ่างเมื่อครู่ ก็ยังมองไม่เห็นร่องรอย
ทว่าตอนนี้ร่างกายถูกเปิดเผยแล้ว สตรีผู้นี้จึงมีสีหน้าตกตะลึง
หานลี่ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ความคิดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว สองมือพลันร่ายอาคม เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นที่แผ่นหลัง ปีกขนนกแวววับคู่หนึ่งปรากฏออกมา
สีหน้าลนลานของเซียนเซียนหายวับไป อ้าปากออกในมือมียันต์วิเศษสีเงินระยิบระยับปรากฏขึ้น
ทั้งสองฝั่งมีเสียงคำรามดังขึ้นพร้อมกัน ไอมารสีดำพวยพุ่งออกมาทั้งจากสองฟาก กดลงมาที่ตรงกลางราวกับจะถอนภูเขาพลิกมหาสมุทรอย่างไรอย่างนั้น
มารอสูรระดับสูงร้อยกว่าตัวลงมือพร้อมกัน ฉากจะยิ่งใหญ่แค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว
เกรงว่าแม้แต่ระดับผสานอินทรีย์ก็ไม่อาจรับมือกับการโจมตีนี้ได้
หานลี่สูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง กระพือปีกที่แผ่นหลังฉับพลันนั้นพลันกลายเป็นเส้นไหมสีเขียวขาวสายหนึ่ง แค่เปล่งแสงวาววับก็จมหายไปกลางอากาศ
ส่วนหญิงสาวเผ่าผลึกนั้นก็แปะยันต์วิเศษสีเงินไปบนร่าง กลายเป็นลำแสงสีเงินแล้วสลายหายไป
ชั่วขณะนั้นไอมารทั้งสองฝั่งพลันม้วนวนไปกลางอากาศ
ครู่ต่อมาเส้นไหมสีเขียวขาวก็เปล่งแสงสว่างวาบปรากฏออกมา
หานลี่มาปรากฏตัวออกมาประมาณร้อยจั้งเศษ หันหน้าไปมองอสูรน้อยที่ปล่อยลำแสงเงาวับออกมาแวบหนึ่ง ร่างกายก็พลิ้วไหวจมหายไปกลางอากาศ แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ประจุไฟฟ้าสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบสตรีนามว่าเซียนเซียนผู้นั้นก็มาปรากฏตัวกลางอากาศติดๆ กัน หันกลับไปฉีกยิ้มเบิกบานให้กับเหล่าอสูรแล้วร่างกายก็บิดเบี้ยวหายวับไป
ไอสีดำม้วนวนแล้วกระจายตัวออก มารอสูรนับร้อยตัวปรากฏตัวขึ้น อดที่จะมองสบตากันไปมาไม่ได้
“จะให้พวกมันหนีไปอย่างนั้นหรือ” ลำแสงดวงหนึ่งเปล่งแสงสว่างจ้า เงาร่างอสูรน้อยเงาวับปรากฏขึ้นต่อหน้าอสูรทุกตน มองไปยังอากาศที่ว่างเปล่าแล้วเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
“ต้องโทษที่พวกเราไร้ประโยชน์ ถึงได้สูญเสียโอกาสงามๆ ไป” อสูรมารรูปร่างคล้ายหมูป่าตนหนึ่งพ่นคำพูดของมนุษย์ออกมา
มารอสูรระดับสูงตนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงเผยสีหน้าละอายใจและกลัดกลุ้มออกมา
“เรื่องนี้ก็โทษพวกเจ้าไม่ได้ เคล็ดวิชาอำพรางกายของสองคนนี้ช่างวิเศษจริงๆ แม้ว่าข้าจะพบหนึ่งในสองคนนั้น แต่อีกคนหนึ่งบินมาใกล้ๆ ได้อย่างไรก็ไม่รู้เลยสักนิด”
“เช่นนั้นพวกเราต้องดักซุ่มอยู่ที่นี่ต่อไปหรือไม่” มารอสูรระดับสูงตนหนึ่งอดไม่ไหวเลยเอ่ยถามขึ้น
“แน่นอนว่าต้องรอต่อไป ต่อให้จับสองคนนั้นไม่ได้ ก็ต้องจับคนอื่นๆ ไปสักคนสองคน มิเช่นนั้นจะไม่อาจกลับไปรายงานได้” อสูรน้อยเงาวับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
เมื่อได้ยินคำพูดของอสูรน้อย มารอสูรตนอื่นๆ ก็ว่ามีเหตุผล ทันใดนั้นก็สลายตัวออกบินกลับไปซ่อนตัวอยู่ในบริเวณรอบอีกครั้ง
……
หานลี่ที่อยู่ในลำแสงสีเงินบินไปด้านหน้า
ประจุไฟฟ้าสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนร่อนลงมาจากกลางอากาศไม่หยุด โจมตีไปยังลำแสงสีเงินและพลิ้วไหวอย่างต่อเนื่อง
ด้านหลังของเขาไม่ไกลนักลำแสงสีเงินอีกกลุ่มหนึ่งไล่ตามเขามาติดๆ ค่อยๆ เคลื่อนตัวมาข้างหน้าท่ามกลางเสียงอัสนีฟ้าฟาดเช่นกัน
……
สองสามชั่วยามต่อมา ลำแสงสีเงินพลันเปล่งแสงสว่างวาบท่ามกลางม่านหมอกเบาบาง ลำแสงสีเงินสองกลุ่มบินออกมาจากด้านใน
จากนั้นลำแสงพลันหม่นแสง ร่มยักษ์สีเงินระยิบระยับสองคันปรากฏออกมา
และใต้ร่มยักษ์นั้นบุรุษคนหนึ่งและสตรีคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
นั่นก็คือหานลี่และเซียนๆ!
“ในที่สุดก็ออกมาได้แล้ว ครั้งนี้ช่างเป็นการขโมยไก่ไม่ได้ยังเสียข้าวสารไปอีกหนึ่งกำมือเสียจริง ไม่เพียงจะไม่ได้ต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้ แม้แต่ลมปราณและสมบัติอาคมก็เสียหายไปไม่น้อย เป็นหนี้บุญคุณสหายแล้ว” หญิงสาวเผ่าผลึกมองหานลี่แวบหนึ่ง กลอกตาไปมาแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งเบาๆ
“เหตุใดท่านเซียนเซียนถึงได้ต้องโศกเศร้าเพียงนั้น ครั้งนี้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากเกินไป มารอสูรระดับสูงปรากฏขึ้นเป็นฝูง รักษาชีวิตเอาไว้ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว” หานลี่กลับหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างรู้สึกผ่อนคลาย
“พูดอย่างนั้นก็ถูก ครั้งนี้มีมารอสูรระดับสูงจำนวนมากเฝ้าอยู่ที่ทางออก ผู้ที่ออกมาได้เกรงว่ามีเพียงไม่กี่คน แต่นี่ไม่ใช่เรื่องของเรา รีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ” เซียนเซียนหันกลับไปมองเขตต้องห้ามแวบหนึ่งแล้วพ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาขณะเอ่ย
แน่นอนว่าหานลี่พลันพยักหน้าอย่างไม่มีข้อคิดเห็น ทันใดนั้นทั้งสองก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนี พุ่งไปยังส่วนลึกของม่านหมอก
หลังจากพวกเขาจากไปหนึ่งชั่วยาม ฉับพลันนั้นกลางม่านหมอกอีกด้านหนึ่งก็มีลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ สายรุ้งเจิดจ้าพุ่งออกมา แค่กะพริบวาบก็มีเงาร่างคนปรากฏขึ้น
เป็นชายชราร่างกายอ้วนพีสวมชุดคลุมสีดำสีหน้าร้อนใจ
ชราผู้นี้กวาดสายตามองไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว ปากก็เอ่ยพึมพำว่า
“จากไปแค่ครึ่งวันคงไม่ได้คลาดกับคนที่จะออกมาจากด้านในหรอกกระมัง หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ผู้แซ่กู่ก็ไม่อาจหยุดพักกับเจ้าหลิวบ้าง่ายๆ แน่ ทั้งๆที่รู้ว่าข้ามีธุระสำคัญยังจะบีบให้มาประลองกันใหม่อีก การเจอเจ้าบ้านั่นช่างเป็นเรื่องที่ซวยจริงๆ”
ชายชราร่างอ้วนเอ่ยพึมพำกับตัวเองไปพลาง ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าที่ยอมรับความโชคร้ายของตัวเอง
ส่วนเขานั้นมีพลังยุทธ์ที่ลึกล้ำยากที่จะคาดเดา คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่ง
ทว่าชนต่างเผ่าแซ่กู่ผู้นี้ย่อมคิดไม่ถึงว่า ตนเองที่เฝ้ารออยู่ที่นี่อย่างยากลำบากมาหลายวันจะปล่อยให้เป้าหมายของตัวเองหนีไปใต้จมูกของตนด้วยเพราะการปรากฏตัวของ ‘เจ้าบ้าหลิว’ ผู้นั้น
นี่ไม่รู้ว่าหานลี่โชคดีหรือโชคร้ายกันแน่
จากนั้นชายชราแซ่กู่ก็ใช้มือหนึ่งร่างอาคม ร่างกายเปลี่ยนเป็นเลือนรางสุดท้ายก็หายวับไปท่ามกลางเมฆหมอกอย่างไร้ร่องรอย
……
แน่นอนว่าหานลี่ย่อมไม่รู้ว่าตนเองหลบความยุ่งยากไปได้อย่างไม่ได้ตั้งใจ เขาและเซียนเซียนไม่ได้กลับไปที่หมู่บ้านเมฆาอัสนี แต่อ้อมผ่านไปและบินตรงไปนอกทะเลหมอก
ครึ่งวันต่อมาในที่สุดทั้งสองคนก็บินออกมาจากทะเลหมอก พลางพุ่งแหวกอากาศไป
หนึ่งเดือนต่อมาหานลี่และสตรีเผ่าผลึกก็มองเห็นเคล้าโครงเมืองเมฆาที่สูงตระหง่านกลางท้องฟ้าอยู่ลิบๆ
ทั้งสองถึงได้หยุดลำแสงหลีกหนีอยู่กลางอากาศชั่วคราว
“ท่านเซียนเซียน เพื่อเป็นการป้องกันคนที่จับจ้องอยู่ พวกเราสองคนแยกกันเข้าเมืองเถอะ” หานลี่เอ่ยกับเซียนเซียนอย่างราบเรียบ
“พี่หานพูดถูก หากเราสองคนเข้าเมืองไปด้วยกันจะต้องสะดุดตาแน่ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน สหายเข้าเมืองไปก่อน อีกหนึ่งเค่อน้องหญิงค่อยเข้าไปเป็นอย่างไร?” เซียนเซียนครุ่นคิดแล้วเอ่ยพร้อมกับหัวเราน้อยๆ ออกมา
“ไม่มีปัญหา” หานลี่เอ่ยเห็นด้วยอย่างดีใจ
“ใช่แล้วพี่หานเอาแก่นมารระดับศักดิ์สิทธิ์มาให้ข้าก่อน หากจะซ่อมแซมเกราะมารเหนือฟ้าของสหายข้าต้องจัดการแกนมารเสียก่อน และใช้เคล็ดวิชาลับหลอมมันสักรอบ เช่นนั้นพี่หานก็จะได้สวมเกราะมารที่ซ่อมแซมแล้วในอีกไม่ช้าก็เร็วแล้ว” หญิงสาวเผ่าผลึกเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
หานลี่ได้ฟังกลับหัวเราะยกมือขึ้นโดยไม่ได้เอ่ยอะไร ชั่วขณะนั้นกล่องหยกใบหนึ่งก็บินออกมา
เซียนเซียนมีใบหน้าตกตะลึงฉายแวบผ่าน แต่มือเรียวพลันยกขึ้นดูดกล่องหยกเข้ามาในมือ
ทว่าหญิงสาวผู้นี้ไม่ได้เปิดฝากล่องออก แต่ดวงตาคู่งามกลับเบิกมองหานลี่อยู่ชั่วครู่ แล้วถึงได้มีเสียง “พรึ่บ” ดังออกมาพร้อมกับเอ่ยและกลั้วหัวเราะออกมา
“พี่หานวางใจน้องหญิงจริงๆ ได้สมบัติมาอย่างยากเย็นเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าจะมอบให้ข้าง่ายๆ”
“หึๆ ไม่ใช่ข้าวางใจ แต่ผู้แซ่หานเชื่อว่าสหายเซียนคงไม่ทำเรื่องที่โง่เขลาเพียงเพราะแกนมารระดับศักดิ์สิทธิ์แกนหนึ่ง” หานลี่กลับส่ายหน้าแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ไม่ว่าอย่างไรในเมื่อพี่หานวางใจจะมอบสิ่งนี้ให้ข้า น้องหญิงจะไม่ทำให้ผิดหวังแน่ ครึ่งเดือนหลังจากนี้สหายก็มาหาข้าที่ร้าน ข้าจะเตรียมทุกอย่างให้พร้อมเพื่อซ่อมแซมเกราะมารเหนือฟ้าให้สหาย” มุมปากของเซียนเซียนเผยรอยยิ้มออกมาพลางเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“เช่นนั้นต้องรบกวนท่านเซียนเซียนแล้ว” หานลี่ได้ยินก็เผยรอยยิ้มออกมา
จากนี้ทั้งสองคนก็พูดคุยกันอีกเล็กน้อย แล้วหานลี่ก็ประสานกำปั้นกล่าวลา
เห็นเพียงกลายเป็นลำแสงหลีกหนี สายรุ้งสีเขียวพุ่งไปยังกำแพงเมืองสูงใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็สลายหายไปท่ามกลางเมฆหมอกอย่างไร้ร่องรอย
ส่วนสตรีนามว่าเซียนเซียนก็ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มองทิศทางที่หานลี่จากไป แววตาเปล่งแสงสว่างวาบพลางขบคิดอะไรสักอย่าง
“อันใดเจ้าคิดจะดึงคนผู้นี้มาเป็นพวกหรือ?” ฉับพลันนั้นเสียงที่ไม่คุ้นเคยก็ดังออกมาจากร่างของหญิงสาวเผ่าผลึก
“เงากิเลนเจ้าตื่นแล้ว!” เซียนเซียนได้ยินเสียงนี้ก็อดที่จะดีใจไม่ได้ ในเวลาเดียวกันก็สะบัดแขนเสื้อออกไป
ชั่วขณะนั้นเงาสีเขียวกลุ่มหนึ่งก็พุ่งออกมาท่ามกลางหมอกลำแสง หลังจากหมุนวนรอบหนึ่งก็กลายเป็นเงากิเลนขนาดเท่ากำปั้น
อสูรตัวนี้สะบัดหัวไปมา เอ่ยกับหญิงสาวเผ่าผลึกด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“สองสามวันก่อนข้าฝืนตื่นขึ้น แต่เพราะช่วยเจ้าเชื่อมต่ออาคมใหญ่ ผลคือเสียหายไปมากจริงๆ จึงต้องพักผ่อนสักหน่อย”
“การเดินทางครั้งนี้นับว่าไร้ประโยชน์จริงๆ คิดไม่ถึงว่าไม่เพียงรังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้จะเกิดความผิดปกติ แม้แต่เจ้าตัวที่เหมือนกับเจ้าก็ไปถึงที่นั่นแล้ว หากไม่ใช่เพราะดวงดีพวกเราก็อาจจะเพลี่ยงพล้ำอยู่ในนั้นจริงๆ” เซียนเซียนเอ่ยอย่างจนปัญญา
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทว่าโชคดีที่เจ้าเด็กแซ่หานนั้นแข็งแกร่งกว่าที่พวกเราคิดไว้มาก มิเช่นนั้นเจ้าคงไม่อาจรอดออกมาจากเทือกเขามารสีทองได้ ทว่าเจ้าคิดจะคบค้ากับคนผู้นี้ต่อเพื่อจะได้เตรียมการกับรังจิตวิญญาณเที่ยงแท้ครั้งต่อไปหรือ?” เงากิเลนพยักหน้าแล้วเอ่ยถามย้อนกลับ
“การปรากฏของรังจิตวิญาณเที่ยงแท้ครั้งต่อไป เป็นเรื่องอีกนมนาน ข้าไม่อาจขบคิดไกลขนาดนั้น แต่ต่อให้ไม่ขบคิดเรื่องนี้ คนผู้นี้มีอิทธิฤทธิ์มากมายเช่นนี้ ดูเหมือนว่าไม่ด้อยไปกว่าระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้น ข้าจะคบค้าเอาไว้ก็ไม่เสียหาย” มุมปากของหญิงสาวเผ่าผลึกกระตุกเผยรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ย
“มีเหตุผล แค่ระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เจ็ดก็มีอิทธิฤทธิ์ถึงเพียงนี้ คุ้มค่าให้คบค้าเอาไว้จริงๆ” หลังจากที่เงากิเลนขบคิดเล็กน้อยก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ทว่าครั้งนี้เสียหายไปมากและยังเสี่ยงอันตรายอีก สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรกลับมา ช่างทำให้ข้าไม่พอใจจริงๆ” หญิงสาวเผ่าผลึกกำหมัดในแขนเสื้อแล้วเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม
“หึๆ เจ้าไม่จำเป็นต้องกลัดกลุ้มเช่นนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้ไปชั่วคราว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่มีวิธีปรับเปลี่ยนคุณสมบัติเผ่าผลึกของเจ้า เพื่อช่วยให้เจ้าบรรลุระดับศักดิ์สิทธิ์” หลังจากที่เงากิเลนขบคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ฉีกยิ้มเบิกบานขณะเอ่ย
“อะไรนะ! หรือว่าเจ้ารู้ที่อยู่ของรังวิญญาณเที่ยงแท้รังที่สอง” เซียนเซียนได้ยินพลันตกตะลึง ทันใดนั้นก็เอ่ยถามด้วยความยินดี
“หึๆ รังวิญญาณเที่ยงแท้ที่สองข้าย่อมรู้อยู่แล้ว แต่ข้ารู้ซากปรักหักพังโบราณอีกแห่งหนึ่ง นั่นเป็นที่พำนักของปรมาจารย์ปรุงยาที่มีชื่อเสียงในอดีตกาลคนหนึ่ง…”
เงากิเลนสะบัดหัวไปมาแล้วเอ่ยขึ้น ส่วนเซียนเซียนก็ตั้งใจฟังด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น