กระบี่จงมา 165.1-165.2
บทที่ 165.1 หากเฉินผิงอันอยู่ที่นี่
โดย
ProjectZyphon
ตลอดทางที่เดินมาคึกคักอย่างมาก คึกคักจนถึงขั้นที่เฉินผิงอันผู้มีความอดทนเป็นเลิศยังรู้สึกรำคาญหู
ทั้งหมดนี้ล้วนต้องยกคุณความชอบให้กับเด็กชายชุดเขียวที่พูดจ้อไม่หยุดปากเสียยิ่งกว่าชุยฉาน
นับตั้งแต่ต้นฤดูหนาว หนึ่งเด็กหนุ่มสองเด็กเล็กได้ผูกสมัครเป็นเพื่อนร่วมทางกันมาสิบห้าวันแล้ว คนทั้งสามก้าวเดินอย่างเชื่องช้าอยู่ข้างทางหลวงที่เปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง เด็กชายชุดเขียวเริ่มตามมาตอแยเฉินผิงอันอีกครั้ง “เมื่อไปถึงอำเภอหลงเฉวียนของนายท่านผู้เฒ่า อย่าให้ข้าเป็นคนรับใช้ที่ต้องทำงานกวาดพื้นปูเตียงอะไรพวกนั้นได้ไหม? มันค่อนข้างจะน่าอายน่ะ หากไม่ทันระวังแล้วเรื่องนี้แพร่สะพัดมาที่เมือง พวกเขาคงหัวเราะเยาะข้าไปอีกหลายร้อยปี แล้วข้าจะยังเป็นพี่ใหญ่ของภูตผีปีศาจพวกนั้นอีกได้อย่างไร? นายท่านผู้เฒ่าท่านไม่รู้อะไร ตอนข้าอยู่ที่นี่ เรียกลมก็ได้ลม เรียกฝนก็ได้ฝน หากพูดถึงชื่อข้า ไม่ว่าใครก็ต้องยกนิ้วโป้งชื่นชมกันทั้งนั้น!”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพราะเขารู้ว่าหากรับคำ นั่นก็คือหายนะครั้งหนึ่ง
เด็กชายชุดเขียวยังคงพูดกับตัวเองต่อไปว่า “หากนายท่านผู้เฒ่าไม่เชื่อจะถามนังเด็กโง่ผู้นั้นดูก็ได้ ต่อให้เป็นชนชั้นสูงหรือขุนนางที่อยู่ในเมืองก็ล้วนยกข้าขึ้นหิ้งบูชาดุจองค์เทพ ก็มีแต่ท่านอ๋องที่อยู่ในจวนโอ่อ่าของเมืองผู้นั้นที่วางท่าโอหังไปสักหน่อย กับข้าก็แค่เรียกได้ว่ามีความเกรงใจ ไม่ถือว่ากระตือรือร้นสักเท่าใด แต่กลับมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับสหายของข้า มักจะสรวลเสเฮฮาอยู่ด้วยกันเป็นประจำ นายท่านผู้เฒ่าเองก็จริงๆ เลย เหตุใดไม่ถือโอกาสไปนั่งพักที่บ้านของข้าสักหน่อย? ถึงขั้นไม่อนุญาตให้ข้าส่งข่าวสักคำ เดี๋ยวจะหาว่าข้าโม้ ไม่อย่างนั้นข้าคงจัดพิธีต้อนรับท่านอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการตีกลองป่าวประกาศไปยันชั้นฟ้า ซัดผืนน้ำให้เดือดพล่านไปแล้ว!”
เมื่อได้คุยเล่นกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเป็นการส่วนตัว เฉินผิงอันก็พอจะเข้าใจนิสัยของงูน้ำแห่งแม่น้ำตัวนี้บ้างแล้ว
อีกฝ่ายเป็นคนหุนหันพลันแล่น มักจะถูกเทพแม่น้ำลากออกมาเป็นหนังหน้าไฟ หายนะมากมายที่สร้างความครึกโครมไปทั่วราชสำนักแคว้นหวงถิง ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลย แต่พอเทพแม่น้ำใช้คำพูดยั่วยุมากระตุ้นไม่กี่คำ เขาก็กลายเป็นคนที่แบกรับเรื่องทั้งหมดไว้อย่างโง่งม แถมยังรู้สึกว่าตัวคือวีรบุรุษผู้องอาจ เคยมีครั้งหนึ่งเขาถูกผู้อาวุโสไท่ซ่างของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ไล่ฆ่า หนีไปไกลถึงสองพันกว่าลี้ ตอนนั้นแม่นางน้อยขี้อายเล่ามาถึงตรงนี้ก็ถึงกับยอมเอ่ยความในใจอย่างที่หาได้ยาก บอกว่าหากอีกฝ่ายไม่ต้องกลับมาอีกก็คงดี”
เฉินผิงอันเห็นว่าเขาทำท่าจะโม้เรื่องคุณความชอบอันยิ่งใหญ่ในอดีตอีกครั้งก็สอดปากขึ้นอย่างอดไม่ไหวจริงๆ “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าเทพแม่น้ำผู้นั้นเห็นเจ้าเป็นโล่กันธนู? หรือว่ารู้แล้วแต่ไม่สนใจ?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูแอบพยักหน้าตามเพราะเห็นด้วยอย่างมาก
เด็กชายชุดเขียวไม่กล้าพูดอะไรกับเฉินผิงอัน แต่หางตากลับเหลือบไปเห็นท่าทางนั้นของงูเหลือมน้อยจึงแค่นเสียงเย็นชา “เจ้าเป็นแค่ผู้หญิงจะไปเข้าใจคุณธรรมน้ำมิตรของพี่น้องได้อย่างไร?”
กล่าวมาถึงตรงนี้เขาก็อ้าปากกว้างเผยให้เห็นฟันสีขาวสะอาด แสยะปากกางเล็บใส่เด็กหญิง “หากยังพูดจาส่งเดช ทำลายภาพลักษณ์ของข้าต่อหน้านายท่านผู้เฒ่าอีก ข้าจะหาโอกาสกินเจ้าซะ! เอาให้เจ้ากลัวจนอึราดเลย…”
สายตาของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูฉายแววแค้นเคือง ในใจคิดว่าข้ายังไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย เจ้ามันก็ดีแต่เลือกบีบลูกพลับนิ่ม! (เปรียบเปรยว่ารังแกคนที่อ่อนแอกว่า)
เฉินผิงอันกระดกตะกร้าให้เข้าที่ แม้ว่าชุยฉานจะย้อนกลับไปยังสำนักศึกษาของเมืองหลวงต้าสุยแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ค่อยวางใจ เพียงแต่เฉินผิงอันเองก็รู้ดีว่านอกจากเป็นกังวลแล้ว ตนก็ทำอะไรไม่ได้อีก
เฉินผิงอันยกมือสองข้างขึ้นเป่าลมร้อนๆ ใส่ เงยหน้ามองสีท้องฟ้า
ฤดูหนาวแล้ว
แค่ไม่รู้ว่าปีนี้หิมะจะตกตอนไหน เขาจะพยายามกลับไปให้ถึงเมืองเล็กก่อนวันปีใหม่ หากไม่ทันจริงๆ ก็จะหยุดพักการฝึกเดินนิ่งไว้ก่อน หันไปฝึกยืนนิ่งเจี้ยนหลูให้มากแทนก็แล้วกัน หรือไม่ก็สามารถให้เด็กชายชุดดำคืนร่างจริงเป็นงูน้ำ พยายามเลือกเส้นทางที่เป็นป่ารกร้างไร้ผู้คน
แท่นสังหารมังกรก้อนเล็กที่ไม่รู้ว่าอาจารย์ฉีไปตัดแบ่งมาจากที่ไหนก้อนนั้น เฉินผิงอันทิ้งไว้ให้หลี่เป่าผิง ‘ภาพค้นภูเขา’ ที่นักพรตเต๋าตาบอดมอบให้ก็ยกให้กับหลินโส่วอี
แต่อันที่จริงแล้วทรัพย์สมบัติของเฉินผิงอันก็ยังเหลืออยู่อีกไม่น้อย เพียงแต่ว่าไม่กินที่ก็เท่านั้น ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องดูแลเด็กๆ ที่ไปขอศึกษาต่อ ในตะกร้าไม้ไผ่สะพายหลังจึงว่างเปล่าอย่างเห็นได้ชัด แต่นี่กลับทำให้เฉินผิงอันรู้สึกไม่ชินสักเท่าไหร่
ตอนนั้นที่อยู่บนภูเขาฉีตุน อาเหลียงปล้นสะดมเว่ยป้อเทพเจ้าที่มารอบหนึ่ง สุดท้ายเฉินผิงอันได้รับเมล็ดบัวสีทองที่เหี่ยวแฟบเมล็ดหนึ่ง เป็นของที่ทุกคนเหลือเอาไว้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่ามีประโยชน์อะไร
ด้านในกระบี่ไม้ไหวมีคนควันธูปตัวจิ๋วคนหนึ่งอาศัยอยู่ หลังจากเผยกายในเมืองแห่งนั้นก็หลบหน้าหลบตาไปอีกครั้ง
ทำหีบหนังสือไม้ไผ่เขียวให้คนทั้งสามก็ยังเหลือแผ่นไม้ไผ่กระจัดกระจายอีกส่วนหนึ่ง เวลาอยู่ว่างๆ เฉินผิงอันก็จะเอามาฝึกแกะสลักตัวอักษร บันทึกข้อความมีชื่อเสียงที่ตัวเองรู้สึกว่ามีความรู้ที่ลึกซึ้งลงไป
มีหนังสืออยู่หลายเล่มที่ตอนนั้นอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งเป็นผู้เลือกไว้ด้วยตัวเอง
ปิ่นหยกขาวชิ้นหนึ่งที่แกะสลักตัวอักษรด้วยตัวเอง เฉินผิงอันเคยปักบนมวยผมตอนอยู่ในเมืองหลวงต้าสุย แต่ตอนนี้เขาถอดไปเก็บรักษาไว้อย่างระมัดระวังแล้ว หลังจากที่ออกมาจากเมืองหลวงด้วยกัน ชุยฉานก็เคยบอกว่าอันที่จริงแล้วของที่มีมูลค่าอย่างแท้จริงก็คือกล่องไม้ใบนั้น แต่ตอนนั้นเฉินผิงอันได้ยกมันให้กับพวกหลี่เป่าผิงไปพร้อมกับปิ่นหยกสามชิ้นแล้ว แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่รู้สึกเสียดายเลยแม้แต่น้อย
ตราประทับภูเขาและแม่น้ำคู่หนึ่ง และยังมีตราประทับ “สงบใจสมปรารถนา” ที่มีความหมายยิ่งใหญ่นั่นอีกชิ้น
รวมไปถึงกระดาษเทียบยาสองสามแผ่นที่นักพรตหนุ่มแซ่ลู่เขียนไว้ให้เพื่อให้เขาได้ใช้ฝึกอ่านตัวอักษร ทุกวันนี้เฉินผิงอันก็ยังเอามาพลิกอ่านดูอยู่เป็นระยะ
ส่วนตัวอ่อนกระบี่น้อยที่ลักษณะเหมือนก้อนเงินซึ่งว่ากันว่ามีความเกี่ยวข้องกับภูเขาสุ้ยซานของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางนั้นสว่างไสวมากเป็นพิเศษ ยามค่ำคืนจึงให้แสงสว่างแจ่มชัด
แต่ว่าตะกร้าไม้ไผ่ในเวลาเวลานี้ยังมีของบางอย่างที่เฉินผิงอันคิดไม่ถึง
นอกจากจดหมายฉบับหนึ่งที่ไม่รู้ว่าชุยฉานใส่ไว้ในตะกร้าไม้ไผ่ตอนนไหนแล้ว ยังมีกลอนปีใหม่อีกสองแผ่น และตัวอักษรคำว่าฝูอีกหนึ่งคำ ในจดหมายชุยฉานบอกว่านี่คือน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากศิษย์ หวังว่าอาจารย์จะรับไว้ด้วยความเต็มใจ วางใจเถอะ ตัวอักษรก็คือตัวอักษร ไม่มีแผนการใดๆ ทั้งนั้น
ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่าชุยฉานไม่เพียงแต่คิดได้นานแล้วว่าตัวเองต้องย้อนกลับไปยังเมืองหลวงต้าสุย แม้แต่การตัดสินใจของเขาเฉินผิงอัน ศิษย์อย่างเขาก็ยังคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันค่อนข้างจะหวาดผวาเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจพูดอะไรได้เช่นกัน
นอกจากนี้ในตะกร้าไม้ไผ่ยังมีสมุดคัดตัวอักษรอีกสองฉบับ ‘สมุดภูเขาเขียวแม่น้ำใส’ เนื้อหาด้านในเขียนได้เป็นระบบระเบียบ ค่อนข้างจะจริงจัง ยังมีสมุดคัดตัวอักษรอีกหนึ่งฉบับที่ค่อนข้างสอดคล้องกับนิสัยเหลวไหลของชุยฉาน มีชื่อว่า ‘สมุดอาจารย์โปรดใส่เกลือและน้ำมันให้มากสักหน่อย’ ซึ่งเนื้อหาทั้งหมดล้วนพร่ำบ่นถึงความขี้เหนียวของเฉินผิงอัน
ตัวอักษรเขียนได้…เฉินผิงอันอธิบายด้วยคำพูดสวยหรูไม่ถูก รู้แต่ว่าเขียนได้ดีมาก สบายตาสบายใจ แค่มองสมุดคัดตัวอักษรเหล่านี้ก็เหมือนยืนอยู่ในตรอกเมฆคล้อยน้ำไหลแห่งนั้นแล้ว
เด็กชายชุดเขียวพูดจ้อเป็นน้ำไหลไฟดับไปตลอดทาง ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
เด็กหญิงชุดกระโปรงเดินตามอยู่ด้านหลังเฉินผิงอันอย่างว่าง่าย ยังคงแบกหีบหนังสือใบนั้นของชุยฉาน ไม่ว่าเฉินผิงอันจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร ให้ตายเด็กหญิงก็ไม่กล้าเอาของใดๆ มาใส่ไว้ในตะกร้าสะพายหลังของเขา
เฉินผิงอันย้อนนึกดูก็จำได้ว่านางคืองูเหลือมไฟที่ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่มากี่ร้อยปีแล้ว ไม่ใช่หลี่เป่าผิง ไม่มีทางเหน็ดเหนื่อย
พอคิดถึงเรื่องนี้เด็กหนุ่มก็ปรารถนาให้ตัวเองหันตัวเดินกลับไปก้าวเดียวก็ไปโผล่อยู่นอกสถานศึกษาซานหยาแห่งใหม่ เขาจะยืนอยู่ตรงมุมกำแพงมองพวกหลี่เป่าผิงฟังอาจารย์สอนหนังสืออย่างมีความสุข ไม่ถูกใครรังแก มีชีวิตอยู่อย่างดี ทำให้เฉินผิงอันรู้ว่าต่อให้เขาไม่อยู่ข้างกาย พวกเขาก็มีชีวิตที่ดีได้ แถมยังเป็นชีวิตที่ดียิ่งกว่าเดิม
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วเริ่มฝึกเดินนิ่งไปเงียบๆ
……
ตอนนี้สำนักศึกษาซานหยาแห่งใหม่ได้กลายมาเป็นข้อหัวสนทนาที่สำคัญหลังมื้ออาหารในเมืองหลวงต้าสุย ชนชั้นสูงแทบทั้งหมดต่างก็กำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ นั่งชมไฟชายฝั่งช่างเป็นเรื่องที่สนุกสนานอย่างถึงที่สุด แน่นอนว่าตระกูลทั้งหลายที่ตกอยู่ท่ามกลางคลื่นมรสุมครั้งนี้ย่อมไม่รู้สึกว่าน่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่นตระกูลฉู่หนานซี จวนหันของนายพลเอกแห่งเมืองหลวง และยังมีจวนฮวายหย่วนโหว อารมณ์ของพวกผู้เฒ่าในตระกูลเหล่านี้ไม่ใคร่จะดีนัก ทุกครั้งที่เข้าประชุมเช้า สีหน้าแต่ละคนราวกับมีพยับเมฆมาออรวมกัน
ต้าสุยให้ความสำคัญกับบุ๋นไม่เลื่อมใสบู๊ และชาวบู๊ตลอดบนจรดล่างในราชสำนักก็ล้วนใช้ชีวิตไม่สง่างาม กินอยู่ไม่หรูหราดั่งชาวบุ๋น
ขุนนางทัดทานสูงศักดิ์อีกทั้งยังมีอำนาจมาก ช่วงนี้ราชสำนักค่อนข้างจะครึกครื้นอย่างมาก เหล่าขุนนางฝ่ายตรวจการและฝ่ายหกกรมต่างก็พากันแสดงความคิดเห็นเรื่องการทะเลาะวิวาทในสำนักศึกษา ต่างคนต่างมีฝักฝ่ายเป็นของตัวเอง ถ้อยคำที่ใช้ไม่มีเกรงใจกันแม้แต่น้อย มีทั้งทวงความเป็นธรรมให้แก่นายพลเอกหันเหล่า ฮวายหย่วนโหวและใครอีกหลายคน บอกว่าเด็กนักเรียนจากต่างแดนพวกนั้นลงมือโหดเหี้ยม ไม่มีความสง่างามของบัณฑิตแม้แต่น้อย แล้วก็มีทั้งคนที่โจมตีพวกขุนนางเหล่านี้ว่าวิธีจัดการไม่ได้เรื่อง เด็กที่เดินทางมาไกลจากหลงเฉวียนต้าหลีไม่ได้ทำผิด จะปล่อยให้คนอื่นรังแกโดยไม่ต่อสู้เลยก็คงไม่ใช่กระมัง จากนั้นฝ่ายแรกก็ตอบโต้กลับมาอีกว่า นี่จะเรียกว่ารังแกได้อย่างไร การปะทะฝีปากระหว่างบัณฑิตด้วยกันเป็นเรื่องปกติจะตายไป จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนใช้คำว่ารังแกได้อย่างไร? แถมยังยกถ้อยความในคัมภีร์มาอ้างอิงเป็นหลักฐาน พูดจาฉาดฉาน ยกเอาบทอภิปรายที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์มาเป็นตัวอย่าง จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะยกวลียอดนิยมบางประโยคของแคว้นหนันเจี้ยนที่เลื่อมใสมาเอ่ยอ้างด้วย ฝ่ายหลังยังคงไม่ยอมแพ้ ต่างฝ่ายต่างโต้เถียงคัดค้านกันไปมา
มรสุมที่ดึงดูดความสนใจจากผู้คนนับไม่ถ้วนในเมืองหลวงครั้งนี้เริ่มต้นจากการทะเลาะกันของเด็กสี่คนในหอพักแห่งหนึ่ง ภายหลังแม่นางน้อยจากต่างถิ่นที่ชื่อหลี่เป่าผิงถืออาวุธไปทำร้ายคน เด็กคนหนึ่งที่โดนตีคือลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของฮวายหย่วนโหวพอดี และฮวายหย่วนโหวก็เป็นดองกับตระกูลฉู่หนันซี หลานชายคนโตของตระกูลฉู่คือบุคคลผู้มีความสามารถโดดเด่นของสำนักศึกษาในรุ่นนี้ อายุสิบหกปี ถูกผู้คนเรียกขานด้วยชื่อเสียงงดงามว่าเป็นเด็กเทพ คือวิญญูชนที่ต้าสุยยอมรับอย่างเป็นทางการ
พอได้ยินเรื่องนี้ หลานชายคนโตตระกูลฉู่ที่เมื่อเติบโตมาก็กลายเป็นความหวังของผู้คนก็ไม่ได้แสดงตัวในทันที แต่เป็นสหายร่วมเรียนของเขาสองคน หลานชายคนโลกของนายพลเอกหันเหล่า และเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มาจากตระกูลชนชั้นสูงของท้องถิ่นต้าสุยผู้หนึ่งที่พากันไปหาเรื่องแม่นางน้อย แน่นอนว่าไม่ได้ลงไม้ลงมือ แต่กล่าววาจาหยาบคายทำร้ายจิตใจนั้นกลับเป็นเรื่องจริง บังเอิญหลินโส่วอีที่มาจากบ้านเกิดเดียวกันกับแม่นางน้อยมาเห็นเข้าพอดี ไปๆ มาๆ สองฝ่ายก็ถลกแขนเสื้อต่อยตีกันไปครั้งหนึ่ง
คนทั้งสองมีหรือจะเป็นคู่ต่อสู้ของศิษย์ผู้เป็นความภาคภูมิใจของต่งจิ้งปราชญ์ผู้มากความรู้ได้ ถูกเล่นงานจนอึราดฉี่ราด อเนจอถนาถเกินจะเปรียบ คราวนี้หลานชายคนโตของตระกูลฉู่ที่ถูกมองเป็น ‘หยกงามแห่งการฝึกตน’ เช่นเดียวกันจึงไม่อาจนิ่งดูดายอีกต่อไป เขาไปหาหลินโส่วอี การต่อสู้ครั้งนี้ตระการตาอย่างยิ่ง คนหนึ่งใช้พิณเมฆาอสนีอาวุธอาคมที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ใช้วิชาของผู้ฝึกลมปราณใหญ่เรียกรวมสายฟ้า ใช้เวทลับหล่อหลอมสายพิณ ทุกครั้งที่พิณถูกดีด เสียงฟ้าร้องจะดังครืนครั่น พลังอำนาจไม่ธรรมดา ส่วนหลินโส่วอีเด็กหนุ่มจากต่างถิ่นที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในเมืองหลวงต้าสุยแล้วก็แสดงออกได้อย่างไม่ธรรมดา ร่ายใช้เวทห้าอสนีที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรได้ด้วยมือเดียว มีตบะขอบเขตสามเช่นเดียวกัน ต่อให้เผชิญหน้ากับอัจฉริยะของสกุลฉู่ที่ได้ครอบครองอาวุธอาคมชั้นดี แม้จะเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับยังคงต่อสู้ได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน สร้างความตื่นตะลึงให้แก่ผู้คน
ว่ากันว่าการประลองเวทแห่งการช่วงชิงปณิธานในครั้งนี้ถึงขั้นสร้างความตกอกตกใจให้กับต่งจิ้งปราชญ์ผู้มากความรู้และเหล่าอาจารย์กลุ่มหนึ่งจนต้องรีบตามไปมองดูอยู่ไกลๆ ทั้งเพื่อร่วมชมความครึกครื้น แล้วก็เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันในคราวเดียวกัน
ผลลัพธ์สุดท้ายเป็นหลานชายตระกูลฉู่ที่ยอมดีดสายพิณสายฟ้าให้ขาดเส้นหนึ่งอย่างไม่เสียดาย หลินโส่วจึงได้รับบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ เต็มร่าง ไม่ร้ายแรงนัก แต่ผิวเนื้อกลับปริแตก ได้รับความลำบากมากพอสมควร
—–
บทที่ 165.2 หากเฉินผิงอันอยู่ที่นี่
โดย
ProjectZyphon
อันที่จริงในสำนักศึกษาก็มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันอยู่แล้ว ตอนที่ฮ่องเต้เสด็จมาเยือนสำนักศึกษาด้วยพระองค์เอง แม้ว่าจะไม่ได้มีการจัดพิธีอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริก แต่ของขวัญที่ประทานให้แก่คนต่างถิ่นเหล่านั้น รวมไปถึงการที่เหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษาให้ความสำคัญกับการเรียนของคนเหล่านั้นอย่างชัดเจน นี่ย่อมทำให้เด็กนักเรียนของต้าสุยรู้สึกอัดอั้นตันใจกันอย่างมาก ส่วนเด็กนักเรียนที่ตอนนั้นติดตามเหมาเสี่ยวตงรองเจ้าขุนเขาเดินทางจากสำนักศึกษาแห่งเก่าในต้าหลีมาที่นี่ด้วย คาดว่าการมาขอศึกษาในแคว้นต่างถิ่นคงทำให้ได้รับความขุ่นเคืองมาไม่น้อย ดังนั้นนอกจากคนเพียงไม่แค่ไม่กี่หยิบมือแล้ว คนส่วนใหญ่ล้วนยืนอยู่ข้างหลินโส่วอี หลี่เป่าผิงอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ สำนักศึกษาซานหยาจึงแบ่งออกเป็นสองฝ่ายใหญ่ ต่างฝ่ายต่างก็มีศัตรูคู่แค้นร่วมกัน
ในสำนักศึกษาเต็มไปด้วยบรรยากาศตึงเครียด
แต่ที่น่าแปลกมากก็คือ เหล่าอาจารย์ทั้งหลายกลับทำเป็นมองไม่เห็น แสร้งไม่ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น แถมยังช่วยทำให้บรรยากาศเช่นนี้ยืดขยายออกไปอีก
ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้จึงมีคนหยัดยืนขึ้นมา ราดน้ำมันลงบนกองไฟ
บุตรชายพานเม่าเจินแม่ทัพใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งเดิมทีเป็นเด็กหนุ่มที่ปลีกตัวสันโดษไม่ข้องเกี่ยวกับใคร เขาไปหาหลินโส่วอีที่อาการบาดเจ็บหายดีแล้ว ทุ่มสุดชีวิตทำลายเวทสายฟ้าของอีกฝ่ายให้แตกกระจายแลกมาด้วยการต่อยหลินโส่วอีให้กระเด็นในหมัดเดียว คราวนี้หลินโส่วอีบาดเจ็บสาหัสจริงๆ กระอักเลือดไม่หยุด กว่าจะดิ้นรนลุกขึ้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่กลับถูกเด็กหนุ่มแซ่พานผู้นั้นต่อยเข้าที่ศีรษะอย่างจังจนเขาผงะหงายไปบนพื้นราวว่าวที่สายป่านขาด บุตรหลานแม่ทัพใหญ่แห่งต้าสุยที่ลงมืออย่างเด็ดขาดดุจพลทหารในสนามรบยังไม่ลืมหันมาถ่มน้ำลายใส่ร่างของหลินโส่วอี
นั่นถึงทำให้เหล่าอาจารย์ของสำนักศึกษาซานหยาเริ่มยื่นมือเข้าแทรก ไม่อนุญาตให้มีการต่อยตีกันส่วนตัวอีก
แต่ว่าเด็กสาวที่มีชื่อประหลาดว่าเซี่ยเซี่ย แม่นางผิวดำเกรียมหน้าตาไม่โดดเด่นและไม่ชอบพูดคุยยิ้มแย้มผู้นั้นกลับไม่คิดจะไปเยี่ยมดูหลินโส่วอี แต่ตรงไปหาเด็กหนุ่มแซ่พานในวันนั้นเลย นางเล่นงานจนฝ่ายหลังเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด ได้แต่เผ่นหนีเอาชีวิตรอด หากไม่เป็นเพราะอาจารย์ท่านหนึ่งรีบยื่นมือเข้าขัดขวางการไล่ล่าของเด็กสาว เรงว่าเด็กหนุ่มที่เดิมทีเป็นเมล็ดพันธ์แห่งแม่ทัพซึ่งเชี่ยวชาญวิถีการต่อสู้คงกลายเป็นเมล็ดพันธ์แห่งโรคไปแล้ว
ในที่สุดหลังจากที่นักเรียนคนหนึ่งของสำนักศึกษาปรากฏตัว การทะเลาะเบาะแว้งที่นานวันก็ยิ่งรุนแรงครั้งนี้ก็มีวี่แววว่าจะยุติลง
ศิษย์ของสำนักศึกษาผู้นี้คือบุคคลที่มหัศจรรย์มาก มีชาติกำเนิดยากจน ยังไม่ทันอายุยี่สิบก็ได้รับการยอมรับว่ามีความรู้มากพอให้เป็นผู้ช่วยสอนในสำนักศึกษาได้แล้ว ก่อนหน้านี้เขาออกจากต้าสุยเดินทางไปที่สำนักศึกษากวานหู หลังจากสอบผ่านการทดสอบร่วมของวิญญูชนผู้มีชื่อเสียงเก้าท่านในหนึ่งทวีปก็ได้รับตำแหน่งนักปราชญ์อย่างเป็นทางการ กลับมาต้าสุยในครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นการกลับมาพร้อมสินค้าที่บรรทุกเต็มลำ สวมอาภรณ์ผ้าแพรกลับคืนบ้านเกิดอย่างแท้จริง
ราชสำนักต้าสุยยังตั้งใจส่งซือหลางฝ่ายขวาของกรมพิธีการออกไปนอกเมืองสิบลี้เพื่อรอรับนักปราชญ์ลัทธิขงจื๊อที่อายุยังน้อยผู้นี้ด้วยตัวเอง ส่วนเรื่องที่ทำให้คนอิจฉาริษยามากกว่านั้นกลับเป็นเหตุการณ์ในภายหลัง ฮ่องเต้ให้ขันทีใหญ่ท่านหนึ่งในวังส่งสี่สมบัติแห่งห้องหนังสือชุดหนึ่งที่มีมูลค่าควรเมืองไปให้กับเสาหลักของราชสำนักต้าสุยในอนาคตเพื่อแสดงความยินดี
ดังนั้นศิษย์ของสำนักศึกษาที่ชื่อว่าหลี่ฉางอิงผู้นี้จึงเดินกลับเข้ามาในภูเขาตงหัวด้วยสถานะนักปราชญ์และของพระราชทานที่ฮ่องเต้ต้าสุยมอบให้
เรื่องแรกที่เขาทำหลังจากกลับมายังสำนักศึกษาคือไปขอโทษหลี่ไหว
จากนั้นก็ไปเยี่ยมหลินโส่วอีที่ยังนอนป่วยอยู่บนเตียง สุดท้ายมายืนอยู่ตรงหน้าเด็กสาวเซี่ยเซี่ย ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ใช้อารมณ์ที่ฮึกเหิมตัดสินปัญหาอีก และในที่สุดสำนักศึกษาซานหยาก็กลายมาเป็นสถานที่แห่งกการศึกษาเล่าเรียน
หลังจากหลี่ฉางอิงจากไป ตั้งแต่ต้นจนจบ เซี่ยเซี่ยไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
……
ฮ่องเต้ต้าสุยไม่ได้ปกครองแคว้นแห่งหนึ่งด้วยชื่อเสียงของกษัตริย์ผู้ขยันขันแข็ง น่าจะกล่าวได้ว่า ชื่อเสียงของเขาไม่โด่งดัง ไม่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเฉกเช่นฮ่องเต้ต้าหลี ไม่เปี่ยมไปด้วยความสง่างามดุจปัญญาชนเหมือนกษัตริย์ของแคว้นหนันเจี้ยน ถึงขั้นเทียบกับฮ่องเต้สกุลหลูที่ชาติล่มสลายไปแล้วไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาบุรพแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ทางทิศใต้มักจะร่ำรวย ทางทิศเหนือรกร้างว่างเปล่ามาโดยตลอด ต้าสุยที่อยู่ทางทิศเหนือถือเป็นต้นไม้ตระหง่านที่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่น แม้แต่ชนชั้นสูงของแคว้นหนันเจี้ยนก็ยังเต็มใจไปมาหาสู่ด้วย ลูกหลานสกุลเกาต้าสุยเองก็เป็นแขกประจำของสำนักศึกษากวานหู
น้อยครั้งนักที่ฮ่องเต้ต้าสุยจะเรียกให้เหล่าเสาหลักของแคว้นซึ่งรวมถึงขุนนางสูงจากหกกรมอยู่รอเข้าร่วมการประชุมเล็กหลังจากเลิกประชุมเช้า ทว่าวันนี้กลับเป็นข้อยกเว้น และเหล่าแม่ทัพอัครเสนาบดีที่รวมถึงเจ้ากรมพิธีการต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่ามรสุมที่เกิดขึ้นในสำนักศึกษาได้ดำเนินมาถึงขั้นที่ฮ่องเต้ต้าหลีต้องเอ่ยถามด้วยตัวเองแล้ว
ดังนั้นผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยที่ควบตำแหน่งเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาจึงกลายมาเป็นจุดรวมสายตาของทุกคน บนใบหน้าของใต้เท้าขุนนางฟ้า (เทียนกวาน หมายถึงขุนนางผู้ปกครองระดับบน มีอำนาจมาก) บุคคลอันดับหนึ่งของหกกรมที่จับมือกับสหายสนิทในราชสำนักอยู่รวมการประชุมครั้งนี้ไม่มีความลนลานใดๆ เรือนกายของเขาเล็กเตี้ย แต่กลับเป็นถึงเจ้ากรมพิธีการที่มีอำนาจสูง มองออกว่าเขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ทว่า “คนในเหตุการณ์” อย่างพวกนายพลเอกหันเหล่ากลับสีหน้าไม่ดีเท่าใดนัก
การประชุมเล็กเริ่มขึ้นอย่างไม่อุ่นไม่ร้อน ถึงขั้นไม่โชติช่วงเท่าเปลวเพลิงในกระถางไฟใบเล็กที่วางไว้ในห้องด้วยซ้ำ ก็แค่ฮ่องเต้เอาเรื่องในการประชุมใหญ่ที่ยังไม่ได้ข้อสรุปมาพูดซ้ำเท่านั้น ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างก็ฝึกปรือฝีมืออยู่ในวงการขุนนางมาเกินครึ่งชีวิตแล้ว ทุกคนต่างคุ้นเคยกับกิจการงานในราชสำนักมาเนิ่นนาน พวกเขาจึงใช้เวลาตัดสินใจแต่ละเรื่องตามลำดับอย่างรวดเร็ว เชื่อว่าเพียงไม่นานผลการตัดสินใจเหล่านี้ก็จะถูกส่งจากเมืองหลวงไปยังสถานที่ต่างๆ ที่สำคัญ
รอจนเรื่องใหญ่ได้ข้อสรุปแล้ว ฮ่องเต้ก็ดื่มน้ำแกงเม็ดบัวที่ยังคงอุ่นร้อนไปคำหนึ่ง ทุกคนต่างก็มีท่าทางกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น รู้ว่าละครฉากสำคัญมาถึงแล้ว
ฮ่องเต้วางถ้วยลง หันมองไปรอบด้านแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ทำไม ขุนนางที่รักทุกท่านกำลังรอชมเรื่องตลกจากกว่าเหริน (คำเรียกแทนตัวของกษัตริย์ในสมัยโบราณ) อยู่หรือไร?”
แม้ว่านายพลเอกหันเหล่าจะอายุมากถึงเจ็ดสิบปีแล้ว แต่กลับยังเป็นคนแก่ที่แข็งแรง ท่าทางกระฉับกระเฉง เขานั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ เปี่ยมไปด้วยบารมีทั้งที่ไม่แสดงความโกรธ แต่เวลานี้เขาค่อนข้างจะปั้นสีหน้ายากไปสักหน่อย ส่วนฮวายหย่วนโหวที่อายุประมาณสามสิบปีก็ยิ่งนั่งไม่เป็นสุข คนที่สร้างคุณความชอบให้กับต้าสุยจนได้รับตำแหน่งกงโหวป๋ออย่างเขา ในสถานการณ์โดยทั่วไปแล้วมักจะอยู่พ้นสายตาของราชสำนักไปแล้ว เว้นเสียแต่เหตุการณ์ที่สำคัญอย่างมากแล้วก็น้อยครั้งนักที่จะเข้าร่วมการประชุมเช้า นี่คือกฎของวงการขุนนางที่ได้รับการยอมรับเนื่องจากปฏิบัติมาอย่างยาวนาน แต่วันนี้ขุนนางใหญ่หลายท่านซึ่งรวมไปถึงนายพลเอกหันเหล่าได้พากันส่งข่าวมาให้เขาด้วยความหวังดี บอกว่าทางที่ดีที่สุดวันนี้เขาควรเข้าประชุมเช้า พอถึงเวลาแล้วเกิดเรื่องขึ้นจะได้ไม่มีแม้แต่โอกาสได้อธิบาย
ฮ่องเต้ต้าสุยมองขุนนางใหญ่ทั้งหลายที่ทำท่าจะลุกขึ้นขออภัยโทษในเวลาเดียวกันแล้วยิ้มพลางยกมือกดลงบนความว่างเปล่าสองสามที “ไม่ต้องลุกขึ้นยืน นั่งพูดก็พอ วันนี้กว่าเหรินไม่ได้มาซักไซ้เอาโทษ แค่อยากรู้เรื่องข่าวลือที่ถูกกระพือให้แผ่เป็นวงกว้างออกไปเหล่านั้น พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าช่วงที่ผ่านมา ทุกคนซึ่งรวมถึงเซวียนเอ๋อร์ต่างก็ขอให้ในห้องเรียนพูดคุยกันเรื่องนี้จนคาบเรียนเละเทะไปหมด ทำเอาอาจารย์ของพวกเขาบ่นกันไม่หยุด พวกอาจารย์โมโหจนอยากจะไล่ให้พวกเขาไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษาซานหยาให้รู้แล้วรู้รอด”
เจ้ากรมพิธีการที่ตัวเล็กสุด แต่กลับมีอำนาจสูงสุดลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า เขาอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดคร่าวๆ หนึ่งรอบโดยใช้คำพูดที่เป็นกลางไม่ลำเอียง
ฮ่องเต้ต้าสุยถามยิ้มๆ “เหมาเหล่าเป็นคนเปิดปากเองหรือว่าไม่ต้องไปสนใจเรื่องที่เด็กๆ ทะเลาะกัน?”
เจ้ากรมพิธีการพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริงพะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ต้าสุยอืมรับหนึ่งที “กว่าเหรินเข้าใจแล้ว”
จากนั้นเขาก็ตกสู่ภวังค์ของการครุ่นคิด
อันที่จริงในบรรดาขุนนางคนสำคัญของต้าสุย ไม่มีใครที่ไร้เดียงสาถึงขนาดคิดว่าฮ่องเต้ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ คิดว่าสายลับต้าสุยกินหญ้าหรือไร?”
ลำพังแค่ค่าใช้จ่ายในการรับมือกับการแทรกซึมของทหารเดนตายและสายลับต้าหลี การใช้จ่ายอย่างลับๆ ของกรมคลังของต้าสุยในทุกปีประหนึ่งสายน้ำที่ไหลหายไป เพียงแค่ว่าไม่มีเสียงดังให้ได้ยินก็เท่านั้น
ในความเป็นจริงแล้วหากตอนนั้นฮ่องเต้สกุลหลูยอมฟังคำเกลี้ยกล่อมจากต้าสุย ไม่ถือดีลำพองใจถึงเพียงนั้น ยอมเชื่อข่าวที่สายลับต้าสุยมอบให้แล้วเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ ต่อให้แผ่นดินของสกุลหลูยังต้องล่มสลาย ไม่อาจเปลี่ยนแปลงจุดจบได้ แต่ก็ไม่มีทางไวขนาดนั้น ไวจนขุนนางบุ๋นผู้สุภาพทั้งหมดในต้าสุยต่างก็อดผรุสวาทราชสำนักต้าหลูไม่ได้ว่าแม่งมีแต่พวกถุงสุราห่อข้าว (เสียดสีคนที่ไร้ความสามารถ ว่าทำได้เพียงกินดื่ม ไม่มีปัญญาทำอะไรได้)
ขนาดขุนนางฝ่ายบุ๋นยังเป็นถึงขั้นนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขุนพลฝ่ายบู๊ของต้าสุยเลย
ฮ่องเต้ต้าสุยค่อยๆ คืนสติ คลี่ยิ้มพลางเอ่ยกับคนทั้งหลายซึ่งรวมถึงนายพลเอกหันเหล่าด้วย “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้แล้วกัน ให้สิ้นสุดกันเพียงเท่านี้ ต่อให้การทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างเด็กๆ จะไม่มีเจตนาที่ชั่วร้ายอะไร แต่ก็ต้องรู้หนักรู้เบา”
อันที่จริงคำพูดท่อนแรกของฮ่องเต้ต้าสุยมีความหมายเหมือนกับเหมาเสี่ยวตงอาจารย์ของสถานศึกษาในตอนนั้น
จากนั้นการประชุมเล็กนี้ก็ยุติลง
ฮ่องเต้ต้าหลีเรียกตัวเจ้ากรมพิธีการไว้เพียงลำพัง
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยมองเห็นว่ากษัตริย์ท่านนี้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปนั่งยองข้างเตาไฟ หยิบคีมเหล็กมาขยับถ่านไฟด้วยตัวเอง ขันทีที่เฝ้าอยู่นอกประตูไม่ได้เข้ามาช่วย ผู้เฒ่าเองก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ
ฮ่องเต้ต้าสุยวางคีมเหล็กอันเล็กลง ยื่นมือไปอังอยู่เหนือถ่านไฟ เอ่ยเบาๆ “อ่านหนังสือประวัติศาสตร์ทั้งหมด นอกจากความกดดันจะมาจากศัตรูที่แข็งแกร่งของแคว้นใกล้เคียงที่ไม่ตายก็ไม่ยอมเลิกราแล้ว ก็ยังมีคนกันเองที่อ้างตัวว่าภักดีต่อกษัตริย์รักประชาชนอีกด้วย”
ลูกกระเดือกของใต้เท้าขุนนางฟ้าขยับเล็กน้อย หน้าผากก็มีเหงื่อซึมออกมา
ฮ่องเต้ต้าสุยหัวเราะหยันตัวเอง แล้วจึงหันไปกวักมือเรียกผู้เฒ่า เจ้ากรมพิธีการรีบวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหา แล้วนั่งยองลงเป็นเพื่อนฮ่องเต้ด้วยความกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ฮ่องเต้ต้าสุยถามยิ้มๆ “ทำไมต้าหลีถึงได้รีบร้อนลงใต้อย่างฉุกละหุกเช่นนี้? เดิมทีท่าทีของสำนักศึกษากวานหูยังคลุมเครืออยู่มาก ไม่ยอมเอ่ยอะไรที่ชัดเจน ทว่าตอนนี้กลับรีบร้อนยิ่งกว่าพวกเราเสียอีก ก่อนหน้านี้ก็จงใจถ่วงเวลาไม่ยอมมอบตำแหน่งนักปราชญ์ให้กับเด็กหนุ่มที่ชื่อหลี่ฉางอิงสักที ภายหลังถึงขนาดมีข่าวออกมาให้ได้ยินว่าฝ่ายในของสำนักศึกษากวานหูจะมอบสถานะ ‘วิญญูชน’ ให้แก่หลี่ฉางอิงโดยตรง เจ้าว่าตลกหรือไม่ล่ะ?”
ปัญหาข้อนี้ ตีให้ตายก็ไม่สามารถพูดตอบได้ส่งเดช
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยยิ่งอึดอัดใจมากกว่าเดิม
ฮ่องเต้ถาม “หากเปลี่ยนมาเป็นขุนนางอาลักษณ์ ไม่ว่าคนใดก็ล้วนไม่มีใครระมัดระวังตัวอย่างเจ้า เอวของพวกเขาแข็งนักล่ะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมท้ายที่สุดแล้วถึงเป็นเจ้า ไม่ใช่พวกเขาได้รับหน้าที่เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาซานหยา?”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยตอบเบาๆ “เพราะกระหม่อมไม่มีมาดของปัญญาชนมากที่สุด เมื่อรับตำแหน่งเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาคนใหม่ ฝ่าบาทก็ไม่ต้องทรงเป็นกังวลว่าจะเกิดความขัดแย้งกับเหมาเสี่ยวตง”
ฮ่องเต้เอ่ยเตือน “เรียกเหมาเหล่า”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยกล่าวอย่างหวาดหวั่น “ใช่ๆๆ เหมาเหล่า”
ฮ่องเต้พยักหน้ารับ พูดพึมพำกับตัวเอง “ต้าหลีสามารถให้ความเคารพแก่อาจารย์ฉีได้มากเท่าไหร่ กว่าเหรินก็ให้ความเคารพเหมาเหล่าได้ในระดับเดียวกัน นี่ก็คือความแตกต่างที่มากที่สุดระหว่างกว่าเหรินกับคนเถื่อนแซ่ซ่งจากต้าหลีผู้นั้น”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยขยับปากจะพูดอะไรบางอย่าง
ฮ่องเต้กลับส่ายหน้ายิ้มๆ เสียก่อน “แต่ว่าไม่มีประโยชน์มากนัก”
เจ้ากรมพิธีการผู้นี้ตระหนกลนอย่างสิ้นเชิง
เพราะน้อยครั้งนักที่ฮ่องเต้จะตรัสเช่นนี้กับขุนนาง
นอกจากเมื่อสิบปีก่อน วันที่ผู้เฒ่ารับผิดชอบตำแหน่งขุนนางฟ้าอย่างเหนือความคาดหมายของทุกคน นี่เป็นครั้งที่สอง
ฮ่องเต้กล่าวอย่างปลงอนิจจัง “มาดปัญญาชน กลิ่นอายของบัณฑิต คนเรียนหนังสืออย่างพวกเจ้าย่อมต้องมีอยู่แล้ว แต่หากมีแค่มาดของปัญญาชนอย่างเดียว ใช้เพียงคุณธรรมมาปกครองราชสำนักก็อาจจะไม่ดีต่อประเทศชาติบ้านเมืองเสมอไป”
ผู้เฒ่าไม่กล้าเงียบต่อ ได้ต่อแข็งใจตอบเสียงแหบแห้ง “ฝ่าบาททรงพระปรีชา”
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น