ลำนำบุปผาพิษ 1650-1653
บทที่ 1650 การทดสอบ 1
ห้าวันมานี้เขาร้อนรนปานมดบนกระทะร้อน กระสับกระส่าย ยินดี ไม่สงบ หวาดหวั่น…สารพัดอารมณ์พลุ่งพล่านอยู่ในทรวงอกเขา แน่นอนว่าเขานอนไม่หลับด้วย…
ผลลัพธ์ของการเป็นเช่นนี้คือ ยามที่เขามาถึงแท่นเบิกสวรรค์ด้วยเรือที่มู่เฟิงขับเคลื่อน ใต้ดวงตามีรอบคล้ำสองวงใหญ่
และคลื่นฝูงชนที่อยู่ด้านล่างยิ่งทำให้เขาประหม่าขึ้นเป็นเท่าตัว สองขาสั่นระริกเล็กน้อยอย่างไม่อาจควบคุมได้
“ลงไปซะ” เมื่อเรือเหาะมาถึงบนแท่น มู่เฟิงตบไหล่ฮั่วฉีฟางทีหนึ่ง ทำให้ฮั่วฉีฟางสะดุ้งโหยงอีกครั้ง หวิดจะตกลงไปจากเรือแล้ว!
ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มือเท้าจึงเย็นเฉียบไปหมด
ยามที่กระโดดลงสู่พื้นก็สะดุดจนเซเล็กน้อย
มู่เฟิงลอบส่ายหัว หลายปีมานี้เขาเคยพบ ‘ผู้ที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นสานุศิษย์สวรรค์’ มาไม่รู้เท่าใดแล้ว เจ้าเด็กนี้เป็นคนหนึ่งที่ธรรมดาที่สุด ใจเสาะ ไม่สามารถเชิดหน้าชูตาได้
เขาน่าจะไม่ใช่สานุศิษย์สวรรค์กระมัง? สานุศิษย์สวรรค์ตัวจริงไหนเลยจะมีท่าทีขลาดเขลาเช่นนี้?
“ฝ่าบาทเสด็จ!” มีเสียงกู่ตะโกนแว่วมาแต่ไกล
จักรพรรดิก็มาด้วยเหมือนกัน!
ฮั่วฉีฟางประหม่ากว่าเดิมแล้ว!
หรงเจียหลัวมาแล้วจริงๆ ซ้ำยังพาขุนนางข้าราชบริพารมาด้วย จัดขบวนมาอย่างยิ่งใหญ่ ประชาชนย่อมแหวกทางจนเกิดเสียงดังครืนๆ
หรงเจียหลัวตรงไปยังแท่นชมพิธีที่เตรียมไว้ให้เขาโดยเฉพาะ แล้วนั่งลงไป
เหล่าขุนนางรวมถึงประชาชนที่อยู่ด้านล่างแท่นย่อมทำคุกเข่าถวายบังคมไปทางแท่นชมอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ แซ่ซ้องดังกึกก้องว่าทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี
ฮั่วฉีฟางมิใช่ชาวเฟยซิง อีกทั้งต้องสงสัยว่าจะเป็นสานุศิษย์สวรรค์ ย่อมไม่ต้องคุกเข่าถวายบังคมต่อจักรพรรดิ ดังนั้นแค่ค้อมตัวทำความเคารพก็พอแล้ว
ระหว่างที่ทำความเคารพฮั่วฉีฟางถือโอกาสมองจักรพรรดิแวบหนึ่ง มองเห็นว่าจักรพรรดิองค์นี้อายุราวยี่สิบสี่ยี่สิบห้า รูปโฉมหล่อเหลายิ่งนัก หางตาชี้ขึ้นเล็กน้อย มุมปากอมยิ้ม ยามมองผู้คนชวนให้รู้สึกว่าอ่อนโยนดั่งสายลมฤดูใบไม้ผลิ
สายตาของทั้งสองคนประสานกันกลางอากาศโดยไม่ตั้งใจ ฮั่วฉีฟางรีบก้มหน้าลง ใจเต้นเล็กน้อย
ไม่น่าเชื่อเลยว่าจักรพรรดิองค์นี้จะมีดวงตาที่เจือสีม่วงไว้รางๆ! สีม่วงนี้ทรงเสน่ห์ยิ่งนัก ส่องตรงสู่ใจคนได้!
ฮั่วฉีฟางไม่กล้ามองอีก รีบละสายตาไป กวาดตามองบนแท่นแวบหนึ่ง
บนแท่นมีเพียงเขากับพวกมู่เฟิงทั้งสี่ ทว่าไม่เห็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้ทำให้จิตใจเขาหวาดผวาเลย
“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะมายามไหนหรือ?” เขากระซิบถามมู่เฟิง เขาไม่ชินกับการเป็นจุดรวมสายตา โดยเฉพาะเมื่อมีสายตาของผู้คนมากมายปานนี้จับจ้อง ยิ่งอยากทดสอบให้เสร็จโดยเร็ว สิ้นสุดลงโดยเร็ว
เขาค่อนข้างเก็บตัว ชอบอยู่เงียบๆ ไม่ชอบเคลื่อนไหว และไม่ชอบฟังข่าวซุบซิบ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ทราบว่าคนที่ทดสอบเขาในวันนี้ถูกเปลี่ยนตัวแล้ว…
“ผู้ทดสอบเจ้าในวันนี้คือท่านทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินกู้”
ฮั่วฉีฟางตะลึงงันไปแวบหนึ่งก่อน จากนั้นสายตาก็ส่องประกาย “เป็นท่านทูตสวรรค์กู้ที่บังเอิญพบระหว่างทางวันนั้นหรือ?”
มู่เฟิงเหลือบมองเขาอีกแวบ เจ้าเด็กนี้ปกติเป็นจอมลืมหน้าคนผู้หนึ่ง จำใครไม่ค่อยได้ นึกไม่ถึงว่าได้เห็นกู้ซีจิ่วผ่านๆ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะจำได้ด้วย!
อายุยังน้อยแต่กลับฉายแววชีกอเสียแล้ว!
มู่เฟิงค้นพบข้อเสียอีกประการหนึ่งของเจ้าเด็กนี่ กระแอมออกมาคราหนึ่ง “ย่อมเป็นนาง” แล้วเอ่ยตักเตือนอีกประโยคว่า “เมื่อนางมาถึงอย่าได้มองนางด้วยสีหน้าลุ่มหลง ระวังจะมีคนควักลูกตาเจ้าออกมาเตะเหมือนลูกหนัง!”
ฮั่วฉีฟางตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าไม่ทำอยู่แล้ว!” กล่าวเสริมอีกว่า “ข้าเคารพยกย่องนาง บูชานางดั่งเทพเซียน”
มู่เฟิงไม่พูดอะไรอีก
“ท่านทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินมาถึงแล้ว!” มีเสียงใครบางคนตะโกนก้องกลางอากาศ
ฝูงชนพากันเงยหน้า มองเห็นรถม้าหยกขาวที่เทียมด้วยสัตว์พาหนะวิเศษสีขาวพิสุทธิ์ตัวหนึ่งเหาะมากจากทางทิศตะวันออก สารถีเป็นเด็กหนุ่มชุดฟ้าคนหนึ่ง สง่างามเจิดจ้าดั่งแสงตะวัน ดวงเนตรสุกใสเป็นประกาย ดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก เขาคือผู้ที่เปล่งเสียงตะโกนนี้ออกมา
————————————————————————————-
บทที่ 1651 การทดสอบ 2
เมื่อม่านรถม้าเปิดขึ้น หญิงสาวนางหนึ่งปรากฏกายบนรถม้า
เกศายาวสลวยประบ่าดุจม่านน้ำตก อาภรณ์สีดำน้ำหมึก ปกคลุมเรือนกายเพรียวบาง แต่ปิดบังความงามล่มเมืองนั้นไว้ไม่มิด นอกจากแถบผ้าบนศีรษะแล้ว บนตัวนางก็ไม่มีเครื่องประดับอื่น ทว่าไม่ได้ดูเรียบง่ายสบายๆ เลย
ท่าทีของนางค่อนข้างเย็นชา ทั้งยังสวมอาภรณ์สีดำเช่นนี้ จึงยิ่งเย็นเยือกดุจน้ำค้างแข็ง ดวงอาทิตย์ลอยเด่นอยู่เบื้องหลัง ประหนึ่งปกคลุมร่างกายนางด้วยรัศมีสีเงินอ่อนชั้นหนึ่ง ทำให้จิตใจผู้คนหวั่นไหว แทบไม่อาจละสายตาได้
“ท่านทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดิน!” ชาวบ้านด้านล่างแท่นส่งเสียงอื้ออึง
ดวงตาฮั่วฉีฟางยิ่งส่องประกาย!
เมื่อสักครู่จักรพรรดิหรงเจียหลัวเสด็จมา เขาไม่ได้คุกเข่า ยามนี้เมื่อเห็นกู้ซีจิ่วที่ก้าวลงจากรถม้าอย่างสง่าผ่าเผย เขาเหมือนเห็นเทพธิดา จึงอดไม่ได้คุกเข่าหมอบกราบลงไป
กู้ซีจิ่วร่อนลงผืนดินอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาดุจวารี กวาดมองไปโดยรอบจากบนแท่น
เธอมองเห็นพวกมู่เฟิงและเสาเหล่านั้นบนแท่นพิธี สายตาพลันวาบไหวเล็กน้อย
เธอย่อมไม่แปลกตากับที่แห่งนี้ สิบกว่าปีก่อนเธอถูกทดสอบที่นี่ และหลังจากนั้นสิบกว่าปี เธอกลับกลายเป็นผู้ทดสอบ
เรื่องราวในอดีตที่ถูกทดสอบเมื่อสิบกว่าปีก่อนผุดขึ้นในสมองเธอ และถูกเธอกดทับเข้าไปในความทรงจำส่วนลึกที่สุดอย่างเงียบสงบ
อดีตผ่านพ้นดุจเมฆควัน ผ่านแล้วก็ผ่านเลยไป เธอไม่มีความจำเป็นต้องจดจำ
กู้ซีจิ่วทำการสิ่งใดตรงไปตรงมา หลังจากเธอมาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง สายตาพลันหันมองบนร่างฮั่วฉีฟาง มองเห็นเด็กคนนี้จ้องมองมาที่ตัวเองด้วยความวิตกกังวล ใบหน้าหล่อเหลาแดงระเรื่อ ขาทั้งสองข้างค่อนข้างสั่นเทา…
เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้ประหม่านัก!
เมื่อเห็นเขาก็นึกถึงตัวเองเมื่อสิบปีก่อน ความจริงตัวเองในตอนนั้นก็ประหม่าเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่จิตใจเธอเข้มแข็ง ไม่แสดงอะไรออกมาก็เท่านั้น
ความรู้สึกโดดเดี่ยวหัวเดียวกระเทียมลีบในตอนนั้นยังคงชัดเจนในความทรงจำจวบจนทุกวันนี้…
กู้ซีจิ่วถามฮั่วฉีฟางอยู่หลายคำ คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่ควรถามเมื่อทดสอบสานุศิษย์สวรรค์
รูปแบบของเธอแตกต่างกับตี้ฝูอี
เมื่อตี้ฝูอีรับผิดชอบการทดสอบนี้จะไม่สนใจไยดีทว่ากลับมีรัศมีแก่กล้า คนใจเสาะถูกเขาทำให้ตกใจกลัวจนฉี่ราดได้ แทบทุกคนที่ถูกเขาทดสอบล้วนเกรงกลัวเขา เมื่อเห็นเขาเหมือนแมวเจอหนู
ส่วนกู้ซีจิ่วถึงแม้จะดูเย็นชา ทว่ายามซักถามกลับนุ่มนวล สุ้มเสียงนุ่มลึกแฝงด้วยพลังปลอบประโลมคน
ฮั่วฉีฟางที่เดิมทีประหม่าจนริมฝีปากสั่นเครือ พูดจาติดๆ ขัดๆ หลังจากพูดคุยกับกู้ซีจิ่วไม่กี่ประโยค ความรู้สึกประหม่าของเขากลับผ่อนคลายลง เมื่อตอบคำถามอีกครั้งก็พูดจาได้ว่องไวมากขึ้น
หลังจากกู้ซีจิ่วถามคำถามเหล่านี้เสร็จสิ้น ในใจหวั่นไหวเล็กน้อย
คำถามที่เธอถามเหล่านี้ล้วนจำเป็นต้องถามตามกฎเกณฑ์ในม้วนตำราที่ตี้ฝูอีมอบให้เธอ แน่นอนว่าจะถามอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะแสดงความสามารถออกมาอย่างไร
เดิมทีเธอก็ไม่ได้มองฮั่วฉีฟางผู้นี้ในด้านดีเท่าใดนัก ทว่าหลังจากซักถามคำถามเหล่านี้ เธอกลับรู้สึกประหลาดในใจ บางทีเด็กคนนี้อาจเป็นสานุศิษย์สวรรค์จริงๆ ก็ได้! มิน่าตี้ฝูอีถึงพาเขากลับมาทดสอบ เขาก็น่าจะไม่มั่นใจเช่นกัน…
เธอรับผิดชอบการทดสอบครั้งนี้เป็นครั้งแรก สิ่งที่ต้องทำระหว่างการทดสอบมีมากมายหลากหลาย เธอจัดการไปทีละจุดๆ อย่างเป็นระเบียบแบบแผน การเคลื่อนไหวดุจเมฆาเคลื่อนวารีไหล
พวกมู่เฟิงรู้เรื่องราวเป็นอย่างดี รู้ว่านางเพิ่งเริ่มศึกษาสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นทางการเมื่อคืน ยังกังวลว่านางจะทำได้ไม่ดี แอบวางแผนช่วยเหลืออยู่ทุกชั่วขณะ แต่เมื่อเห็นการกระทำต่อไปเหล่านี้ของนาง พวกเขาก็ยอมรับแต่โดยดี!
ขั้นตอนที่ซับซ้อนและสิ้นเปลืองพลังวิญญาณขนาดนี้ นางกลับทำออกมาได้ดี!
ผู้คนด้านล่างกลั้นหายใจมองดู สายตานับพันนับหมื่นมองบนแท่นพิธี ตกลงบนร่างกายนาง
บทที่ 1652 การทดสอบ 3
หรงเจียหลัวก็กำลังมองนาง นัยน์ตาล้ำลึกราวท้องฟ้ายามรัตติกาล ริมฝีปากหยักรอยยิ้มบางๆ คล้ายพึงพอใจและคล้ายกำลังคิดสิ่งใดอยู่
เมื่อเสาพลังวิญญาณปล่อยลำแสงหลากสีห้าสายออกมาปกคลุมฮั่วฉีฟาง ผู้คนนับหมื่นที่จัตุรัสเงียบเชียบ เงียบจนได้ยินแม้แต่เสียงเข็มหนึ่งเล่มร่วงหล่น
ลำแสงหลากสีห้าสายหมุนวนรอบกายฮั่วฉีฟาง มีสี่สายจางหายไปในพริบตา ทว่าลำแสงสีเขียวกลับไม่พุ่งเข้าในร่างกายของฮั่วฉีฟาง ทำให้รอบกายเขามีลำแสงสีเขียวท่วมท้น! ลำแสงสีเขียวนั้นดุจคลื่นวารีไหลเวียนรอบกายเขา ค่อยๆ จางหายไปเมื่อผ่านไปหลายนาที
สายตากู้ซีจิ่วร่อนลงบนร่างฮั่วฉีฟาง ดวงตาฉายความประหลาดใจ ทว่าก็พึงพอใจเช่นกัน ในที่สุดก็ประกาศ “เขาเป็นสานุศิษย์สวรรค์ที่มีพลังวิญญาณธาตุไม้เป็นหลัก!”
เมื่อพูดออกไป ทุกคนพลันสั่นสะท้าน!
ทั่วทั้งจัตุรัสเงียบสงัดก่อน แล้วจึงเหมือนหม้อน้ำเดือด มีทั้งโห่ร้อง ทั้งไม่เชื่อ และยังมีคนประหลาดใจ…
นึกไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่จะเป็นสานุศิษย์สวรรค์จริงๆ!
มู่เฟิงก็รู้สึกตาสว่าง!
ถึงแม้เขาเคยเห็นการทดสอบของตี้ฝูอีมากมายนับไม่ถ้วน แต่บางขั้นตอนซับซ้อนเหลือเกิน มู่เฟิงก็ไม่ค่อยชัดเจนเท่าใดนักว่าสิ่งที่กู้ซีจิ่วทำลงไปถูกหรือผิด ต้องทราบก่อนว่า ความคลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อยก่อให้เกิดความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงได้…
เดิมทีไม่ว่าคนของอาณาจักรใด เมื่อถูกทดสอบสานุศิษย์สวรรค์ล้วนมีคนไม่น้อยจากอาณาจักรตนมาให้กำลังใจ ชื่นชมความครึกครื้น แม้กระทั่งเชื้อพระวงศ์ของแต่ละอาณาจักรก็จะส่งคนมา ผู้มีความสามารถของอาณาจักรตนย่อมต้องพากลับไป
ทว่าฮั่วฉีฟางผู้นี้แม้แต่คนในอาณาจักรของเขาเองก็มองเขาไม่ดี รู้สึกว่าเขาโง่งมหรืออาจมีจิตไม่ปกติ ถึงได้เอ่ยวาจาสร้างปัญหาว่าตัวเองเป็นสานุศิษย์สวรรค์เช่นนี้ ความจริงทุกคนมองเขาเป็นตัวตลก ดังนั้นการทดสอบครั้งนี้ คนในอาณาจักรเขาแทบไม่มีผู้ใดมาเลย
แทบจะไม่มีไม่ได้หมายความว่าไม่มี ด้านล่างแท่นพิธียังมีคนมาบ้าง หลังจากกู้ซีจิ่วประกาศถ้อยคำนี้ไป และเมื่อความประหลาดใจครู่หนึ่งผ่านพ้น ก็มีคนระเบิดอารมณ์ออกมาแล้ว!
เสียงหนึ่งดังมาจากฝูงชน “ท่านทูตสวรรค์กู้คงรับผิดชอบการทดสอบเป็นครั้งแรกกระมัง? เกิดความผิดพลาดแล้ว!”
สุ้มเสียงนั้นก้องกังวาน กลบเสียงดังอื้ออึงทั่วทั้งพื้นที่ เสียงสะท้อนกลับที่กึกก้องชัดเจนดังขึ้นข้างหูของทุกคน
ฝูงชนกวาดสายตามอง เห็นเป็นชายหนุ่มองอาจผู้หนึ่ง รอบกายเขายังมีชายหนุ่มอีกสี่คน อายุล้วนต่ำกว่าสิบแปดปี ดูจากการแต่งตัวของพวกเขาน่าจะเป็นคนอาณาจักรเจาหยาง
เมื่อฮั่วฉีฟางเห็นคนเหล่านี้ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน นิ้วมือกระชับแน่น
คนเหล่านี้ก็คือเพื่อนเล่นของเขา…
และชายหนุ่มองอาจผู้นั้นมิใช่ใครอื่น เป็นองค์ชายที่จักรพรรดิอาณาจักรเจาหยางโปรดปรานเป็นที่สุด นึกไม่ถึงว่าจะมาชมถึงที่นี่
กู้ซีจิ่วหลุบตาลงมอง กล่าวอย่างเรียบเฉยประโยคหนึ่ง “ความผิดพลาดอะไร?”
ชายหนุ่มผู้นั้นยิ้มอย่างหยิ่งผยอง “คนอย่างฮั่วฉีฟางจะเป็นสานุศิษย์สวรรค์ได้อย่างไร? พลังวิญญาณต่ำ ใจเสาะ อีกทั้งไม่มีตำแหน่งหน้าที่…”
กู้ซีจิ่วเอ่ยปากอย่างเงียบสงบหลังจากฟังเขาพูดจบ “ข้าถามเจ้าว่าเกิดความผิดพลาดที่ตรงไหน มิใช่ให้เจ้ามาตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับผลสรุป!”
ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าว “ก็คือผลสรุปผิดพลาด ย่อมต้องเกิดความผิดพลาด…หากเขาเป็นสานุศิษย์สวรรค์ เช่นนั้นข้าก็ยิ่งควรเป็นเช่นกัน พลังวิญญาณของข้าสูงส่งกว่าเขา เฉลียวฉลาดกว่าเขา…”
เขามองกู้ซีจิ่วหัวจรดเท้าอีกคราหนึ่ง ดวงตาฉายแววดูถูกเหยียดหยาม “ท่านทูตสวรรค์กู้ถึงแม้มีพลังวิญญาณมากพอ มีตำแหน่งฐานะในอาณาจักรเฟยซิงแล้ว แต่เรื่องการทดสอบสานุศิษย์สวรรค์เกี่ยวพันถึงชีวิตของทั่วทั้งทวีป ประมาทเลินเล่อไม่ได้แม้เพียงน้อย แต่เดิมท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นผู้รับผิดชอบการทดสอบ มวลชนล้วนเลื่อมใสศรัทธาและไว้วางใจ ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเช่นไร ทุกคนล้วนเชื่อมั่น ทว่าท่านทูตสวรรค์กู้…อย่างไรเสียก็เพิ่งมาใหม่ อีกทั้งยังเป็นแม่นางผู้หนึ่ง…ทำเรื่องเช่นนี้จึงไม่ค่อยน่าเชื่อถือ”
————————————————————————————
บทที่ 1653 การทดสอบ 4
สายตาเขามองไปทางมู่เฟิง “ผู้คุมกันมู่ ส่วนตัวข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ หากท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายติดธุระมาไม่ได้ รออีกไม่กี่วันค่อยทดสอบก็ได้ ไม่ใช่ส่งคนมาทำส่งเดช”
เขาประสานมือไปทางหรงเจียหลัว “ฝ่าบาท ข้ารับบัญชาของพระบิดาให้มาชมการทดสอบครั้งนี้ อย่างไรเสียฮั่วฉีฟางก็เป็นคนของอาณาจักรเจาหยางเรา ถึงแม้พวกเราจะคาดหวังให้เขาได้เป็นสานุศิษย์สวรรค์จริงๆ เพื่อเป็นเกียรติให้กับเจาหยาง ทว่าเรื่องสานุศิษย์สวรรค์เกี่ยวพันกับโชคชะตาของทวีปซิงเยวี่ย ไม่อาจทำเป็นเรื่องเล่นได้ ดังนั้นจึงใคร่ขอเชิญท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายออกมาทดสอบ”
วาจานี้ของเขาเปี่ยมด้วยความไม่ไว้วางใจในตัวกู้ซีจิ่ว เด็ดเดี่ยวและองอาจผึ่งผาย
อีกทั้งคำพูดเหล่านี้ยังทำให้จิตใจผู้คนสับสน ทำให้คนที่เดิมทีสงสัยยิ่งสงสัยขึ้นไปอีก มีระลอกเสียงดังอื้ออึงท่ามกลางฝูงชน เห็นได้ชัดว่าทุกคนกำลังถกเถียงกัน
มู่เฟิงมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง อันที่จริงต่อให้เป็นเขา ก็ยังรู้สึกว่าบางทีอาจเกิดความผิดพลาดเกิดขึ้นบ้างเล็กน้อย ฮั่วฉีฟางดูไม่เหมือนสานุศิษย์สวรรค์จริงๆ
เขาอยากพูดแทนกู้ซีจิ่วยิ่งนัก แต่เทพศักดิ์สิทธิ์เคยบอกไว้ว่าเรื่องสานุศิษย์สวรรค์เป็นเรื่องยิ่งใหญ่เทียมฟ้า แทบไม่อาจเลินเล่อ ไม่อาจผิดพลาดได้แม้แต่น้อย!
สายตาหรงเจียหลังร่อนลงบนใบหน้ากู้ซีจิ่ว กู้ซีจิ่วเพิ่งทำพิธีไป สิ้นเปลืองพลังวิญญาณไปไม่น้อย ยามนี้ใบหน้าเพริศพริ้งค่อนข้างซีดขาว ทว่าท่าทีของนางสงบเยือกเย็น มั่นใจเป็นอย่างมาก
หรงเจียหลัวยิ้มบางๆ และเอ่ยปาก “ความสามารถของทูตสวรรค์กู้ ข้ายังคงเชื่อถือได้ นางไม่น่าจะมีความผิดพลาดอันใด”
“ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่เหมือนกัน หากคนเช่นนี้ถูกตัดสินว่าเป็นสานุศิษย์สวรรค์ เช่นนั้นสภาพสังคมไม่เละเทะกันไปหมดแล้วหรือ ข้ารับประกันได้เลยว่าเขาไม่ใช่!” องค์ชายคนนั้นไม่ยอมลดราวาศอก
“คนเช่นนี้” ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็เอ่ยปาก ตาคนที่เธอถามนั้นกลับเป็นมู่เฟิง “ผู้คุมกันมู่เฟิง มีกฎเกณฑ์ข้อไหนที่ว่าผู้มีพลังวิญญาณต่ำต้อยไม่อาจเป็นสานุศิษย์สวรรค์ได้หรือไม่?”
มู่เฟิงส่ายหน้า “ไม่มีขอรับ”
“เช่นนั้น เสาทดสอบพลังวิญญาณบนแท่นพิธีเคยเกิดความผิดพลาดหรือไม่?”
“ไม่มีเช่นกันขอรับ”
“เช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว เสาทดสอบพลังวิญญาณไม่มีเคยเกิดความผิดพลาด ขั้นตอนทั้งหมดที่ข้าทำก็ถูกต้องครบถ้วน ยังมีอะไรให้สงสัยอีก? ฮั่วฉีฟางคือสานุศิษย์สวรรค์!” น้ำเสียงกู้ซีจิ่วเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
“ทูตสวรรค์กู้ อย่างไรท่านก็เพิ่งเคยดำเนินการเป็นครั้งแรก ท่านทราบได้อย่างไรว่าทุกขั้นตอนที่ท่านทำถูกต้องครบถ้วน? ข้าว่าขั้นตอนเหล่านี้ซับซ้อนยิ่งนัก หากมีตรงไหนผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ผลสุดท้ายที่ออกมาจะไม่เหมือนกัน ผู้คุ้มกันมู่ ท่านยืนยันได้หรือไม่ว่าขั้นตอนที่นางทำถูกต้องครบถ้วนแล้ว?” ข้อสงสัยขององค์ชายยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก
มู่เฟิงขมวดคิ้ว เขาไม่มีทางตัดสินได้จริงๆ
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบสานุศิษย์สวรรค์ไม่อาจโป้ปดมดเท็จเป็นอันขาด มิเช่นนั้นจะถูกลงทัณฑ์ ต่อให้เป็นมู่เฟิงก็ไม่กล้าพูดว่าตัวเองยืนยันได้
มู่เฟิงทอดถอนใจเบาๆ “วิธีการของนางถูกต้องทั้งหมด”
องค์ชายหนุ่มผู้นั้นแย้มยิ้ม “วิธีการถูกต้องทั้งหมดไม่นับนี่ บางทีอาจดูดีแค่ภายนอก? ข้ารู้สึกว่า มิสู้ภายภาคหน้าเชิญทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาทดสอบสักหน่อยน่าจะมั่นใจได้มากกว่า”
ใบหน้ามู่เฟิงพลันหนักอึ้ง “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นคนที่เจ้าจะนัดแนะออกมาได้ตามใจชอบงั้นหรือ?”
องค์ชายหนุ่มผู้นั้นประสานมือ “ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงโชคชะตาของคนทั้งทวีป ไม่อาจมอบหมายให้ทูตสวรรค์ผู้มาใหม่ดำเนินการสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะไม่อาจรู้ได้อย่างชัดเจนว่าผิดพลาด หรือว่าผิดพลาดแล้วก็แล้วกันไปเช่นนั้น?”
มู่เฟิงหรี่ตาลงเล็กน้อย “ผิดพลาดแล้วก็แล้วกันไปอะไรกัน? นางอาจไม่ผิดก็ได้!”
องค์ชายหนุ่มผู้นั้นแหงนหน้ายิ้มเย้ย “ข้ารับประกันได้ว่าต้องผิดพลาดแน่นอน! หากฮั่วฉีฟางเป็นสานุศิษย์สวรรค์ เช่นนั้นข้าก็ยิ่งควรจะเป็น!”
“เจ้ายิ่งควรจะเป็นสิ่งใด?” จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“เป็นสานุศิษย์สวรรค์อย่างไรเล่า” องค์ชายหนุ่มกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“อา งั้นรึ? ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็ทดสอบเสียหน่อย!”
องค์ชายหนุ่มตกตะลึง เหงื่อออกโซมกายในทันใด! เขาแหงนหน้าขึ้นทันที “ผู้ใด” ในขณะที่กำลังจะพูดว่า ‘ผู้ใดคิดเล่นเล่ห์อันใดกับข้า’ ทว่ายังไม่ทันพูดจบก็ชะงักงัน สายตามองไปทางหนึ่งกลางอากาศ “เทพศักดิ์สิทธิ์!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น