ท่านเทพมาแล้ว 165-172

 บทที่ 165 องค์หญิงผู้งดงาม

โดย

Ink Stone_Romance

หากว่ากันตามนี้ ตอนนั้นอวิ๋นเฉี่ยนให้เฉินผิงอยู่ที่วังมังกร ก็ตั้งใจเอาไว้คะคานกับราชินีมังกร?


เจ้าสุนัขชายหญิงคู่นี้!


นางอดขบฟันไม่ได้


หลังจากพวกมู่จิ่วเดินทางไปแล้ว ทุกครึ่งชั่วยามลู่ยาต้องตรวจสอบดวงจิตของนางครั้งหนึ่ง ทั้งหมดล้วนสงบดี เขาจึงวางใจได้


วังประจิมไสวไม่มีเรื่องอะไร คาดเดาว่าพวกเขาควรถึงทิวเขาริ้วหยกแล้ว เขานั่งบนขั้นบันไดหินก่อนดูด้ายแดงบนข้อมือ ด้ายแดงนี้ใช้พลังเสวียนหมิงของเขาสร้างออกมา หลังจากใส่แล้วไม่ว่านางอยู่มุมไหนเขาก็สามารถหาตัวได้


“ตึง!”


กำลังใจลอยมองด้ายแดง พุ่มโบตั๋นที่ห่างออกไปไกลกลับพลันมีลมพัดมาสายหนึ่ง ทำให้น้ำค้างบนกลีบดอกไม้กลิ้งหล่นลงมา สายตาของเขาขยับไหวเล็กน้อย ประสานมือวางไว้บนเข่าพลางมองดูหินทรายบนพื้น เหมือนเบื่อมากจนอยากงีบหลับสักรอบ


“เจ้าจะหลับแล้วหรือ?”


เสียงอ่อนโยนเจือไปด้วยความขบขันดังขึ้น


มุมปากลู่ยายกขึ้นเล็กน้อย ยังไม่ลุกขึ้น พยักหน้าไปให้ตามสถานการณ์ “ที่แท้เป็นองค์หญิงอ๋าวเยวี่ย”


วันนี้อ๋าวเยวี่ยสวมเสื้อสีน้ำเงิน ช่วงล่างเป็นกระโปรงสีขาวหิมะ ชาดบนปากเหมือนกลีบดอกไม้ที่งามที่สุดบนโลก เต็มไปด้วยความอิ่มเอิบ เทียบกับมู่จิ่วที่งดงามตามธรรมชาติแล้วช่างไร้รสนิยมไม่น้อย เห็นเขาไม่ขยับ อ๋าวเยวี่ยก็ยิ้มอย่างเป็นมิตร เดินขึ้นไปบนชั้นบันไดหินด้านหลังเขา ก่อนพูด “มู่จิ่วไปทิวเขาริ้วหยก เจ้าเบื่อมากใช่หรือไม่?”


“ยังดี” เขาเปิดปาก “ห่างกันเล็กน้อยดีกว่าคู่แต่งงานใหม่[1] อยู่ห่างบ้างสองวันไม่ใช่เรื่องแย่”


“เพิ่งแต่งงาน?” เสียงของอ๋าวเยวี่ยเจือความตกใจ “พูดแบบนี้พวกเจ้า…”


ลู่ยายืนขึ้นมา ยกริมฝีปากไม่แสดงออกอะไร


อ๋าวเยวี่ยราวกับเข้าใจแล้ว บนใบหน้าเผยความเขินอาย สายตาตกลงไปบนกลีบดอกไม้บนไหล่เขา ยื่นมือจะปัด ลู่ยากลับชิงปัดมันร่วงลงไปก่อน


ใบหน้าอ๋าวเยวี่ยกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ต่อมาจึงทำหน้าจริงจัง “เรื่องเมื่อวานขอโทษด้วยจริงๆ อ๋าวเจียงปฏิบัติต่อเฉินผิงดีมากมาตลอด ดังนั้นจึงอยากนำกุญแจจันทราในมือของกระกูลอวิ๋นมาปกปักรักษาวิญญาณของเขา แต่เรื่องนั้นไหนเลยจะง่ายอย่างที่เขาคิด? ครั้งนี้ลากมู่จิ่วเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย และพวกเรากลับไม่มีหนทางช่วยแยกนางออกมา แต่หวังว่าเจ้าจะไม่เข้าใจว่าพวกเราตระกูลอ๋าวล้วนเป็นคนเลว”


“จะได้อย่างไร?” ลู่ยาเปิดปากอย่างช้าๆ “แต่เพียงแค่ครั้งนี้เท่านั้น”


หากไม่ใช่เพราะควรทำให้เรื่องนี้จบลง แม้แต่ครั้งเดียวเขาก็ไม่ยอม


อ๋าวเยวี่ยก้มหัวลงรู้สึกผิด มองปลายเท้าพลางพูด “รอพวกเขากลับมา ข้าจะพูดกับอ๋าวเจียงอย่างดี เพียงแต่ ข้าไม่นึกเลยว่าเร็วขนาดนี้เขาก็มองมู่จิ่วเป็นคนไว้ใจ…”


พูดถึงตรงนี้นางมองเข้าไปในดวงตาของลู่ยาอย่างล้ำลึก ราวกับมีคำพูดที่ไม่สามารถพูดออกมาได้และหวังว่าเขาจะเข้าใจ


ลู่ยากลับนิ่งสงบพูด “อาจิ่วจิตใจดีงาม นางแค่ปากร้ายใจดี ฉากหน้าทำท่าเหมือนไม่สนใจ แต่ใจกลับอ่อนกว่าใคร หญิงสาวแบบนี้หากไม่มีคนเชื่อใจถึงจะแปลก”


อ๋าวเยวี่ยเผยรอยยิ้มออกมา “ดูแล้วในสายตาเจ้านางล้วนมีแต่ข้อดี” พูดจบนางก็ถอนหายใจ “แต่เห็นพวกเจ้าเป็นแบบนี้แล้วดีจริง บางครั้งข้าเกือบเข้าใจว่าผู้ชายบนโลกทุกคนล้วนเหมือนพ่อข้าหมด”


ลู่ยาเลิกคิ้วขึ้น ไม่แสดงออกอะไร


อ๋าวเยวี่ยมองไปรอบด้าน หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก จึงยิ้มพูด “ข้ารับคำสั่งจากท่านพ่อมารดน้ำโบตั๋นม่วง รบกวนท่านนำทางข้าหน่อย”


เขตพลังที่ประตูวัง อ๋าวเชินสร้างเองกับมือ นอกจากเขาแล้วคนที่สามารถเปิดได้มีเพียงพลอารักขาที่เข้าเวร


อ๋าวเชินไม่อยู่ ตามเหตุผลแล้วลู่ยาไม่มีอำนาจเปิด


แต่เขาชะงักไปสักครู่ ก่อนก้าวไปเปิดประตูอย่างยินดี


ทางมู่จิ่วนั่งอยู่กับอ๋าวเจียงอยู่ครึ่งวัน เห็นสีหน้าเขาค่อยๆ กลับเป็นปกติ จึงลุกขึ้นเดินช้าๆ ไปรอบด้าน


นอกประตูตำหนักมีทหารจำนวนมากเฝ้าอยู่ ออกไปไม่ได้ แต่ในตำหนักก็ค่อนข้างน่ามอง


ถึงแม้อวิ๋นเฉี่ยนสั่งให้ขังพวกเขาในนี้ แต่ด้านการปฏิบัติดูแลกลับไม่กล้ามีอะไรบกพร่อง ตำหนักนี้ประดับประดาสวยงาม โดยพื้นฐานประกอบด้วยหินเรียงกันแบบอิฐ หินสลักรูปสัตว์วิเศษหลากหลายประเภทกลับเหมือนจริงอย่างมาก ม่านถักสูงสองจั้งพลิ้วไหวบางเบา เดินไปทางตะวันออกหลังเสายังมีห้องดื่มชา ห้องนอน และห้องหนังสือต่างๆ


นางนำกาน้ำชาออกมาจากห้องดื่มชา วางบนโต๊ะกลมกลางห้อง ก่อนพูด “ดื่มเถอะ ข้าดูแล้วไม่มียาพิษ และทั้งหมดล้วนเป็นของชั้นดีจากเขาคุนหลุน ดูแล้วตระกูลอวิ๋นยังไม่กล้าลามปามต่อเจ้าผู้เป็นลูกชายของเขย”


อ๋าวเจียงถลึงตาใส่ “ลูกเขยอะไร เจ้าอย่าพูดมั่วซั่วดีหรือไม่!”


มู่จิ่วยักไหล่ ไม่สนใจท่าทางต่อต้านของเขา


เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่นางปั้นน้ำขึ้นมา


นางวางชาลง เดินเลียบทางทิศตะวันตกไปสำรวจต่อ ทิศตะวันตกแบ่งออกเป็นห้องเล็กๆ ที่สะอาดสะอ้านมากมาย แต่ละห้องมีหน้าต่างใหญ่ น่าจะสามารถเห็นทิวทัศน์ในหลากหลายมุม แต่หน้าต่างปิดหมด ความจริงนางไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น


แต่ตอนเดินมาถึงห้องหนึ่งในนั้น กลับมีต้นไม้งอกเข้ามาตรงด้านล่างกำแพง จึงขวางประตูหน้าต่างไว้ เผยให้เห็นช่องว่างสูงสองฉื่อ


มู่จิ่วครุ่นคิด หันไปฟังเสียงด้านนอกอย่างละเอียด หยิบเสื้อซ่อนเซียนออกมา แล้วออกจากช่องว่างนี้ไปอย่างเงียบเชียบ


ด้านหลังตำหนักย่อมที่มีทหารมากมายเฝ้าอยู่ แต่กลับไม่ถึงขั้นสามารถมองเห็นร่างจริงของมู่จิ่ว


เพียงแต่ด้านหลังตำหนักก็ยังเป็นตำหนัก แต่ละหลังเชื่อมต่ออยู่ด้วยกัน มองไปกลับไม่เห็นขอบเขต มู่จิ่วยืนอยู่บนหลังคา มองลงไปเห็นทะเลสาบเขียวกระจ่าง รอบด้านคือป่าไผ่พลิ้วไหวช้าๆ ราวกับคลื่นเบาบาง กระเรียนเซียนหลายตัวบินออกมาจากพื้นที่เขียวทึบ บางครั้งมีหงส์เพลิงห้าสีอยู่ในกลุ่ม ทิวทัศน์เซียนนี้ช่างไม่มีที่ใดเปรียบจริงๆ


นางยืนนิ่งกวาดตามองไปรอบด้านหลายรอบ และเลือกเดินไปทางตะวันออกที่คนเยอะ


ถนนตะวันออกชัดเจนว่าเป็นที่ตั้งของตำหนักใหญ่ที่อวิ๋นชือฉางอยู่ก่อนหน้านี้ กลุ่มตำหนักโดยรอบแต่ละหลังล้อมรอบด้วยดอกไม้หลากสี รูปแบบงดงาม บางทีตระกูลอวิ๋นอาจกำลังจัดงานเลี้ยงต้อนรับอ๋าวเชินอยู่ในป่าอู๋ถง ตอนนี้มีเสียงเครื่องเป่าลอยมา อาหารที่ยกขึ้นโต๊ะส่วนมากแม้แต่มู่จิ่วที่เชี่ยวชาญการทำอาหารยังไม่รู้จักชื่อ


นี่ทำให้นางอดเห็นใจอ๋าวเจียงที่ถูกจับอยู่ในวังไม่ได้ พ่อของเขากินดีอยู่ดีที่บ้านภรรยาน้อย แต่เขาคนโชคร้ายกลับถูกน้องชายของภรรยาพ่อทุบตีเหมือนสุนัขเร่ร่อน ช่างเกินจะทนแล้วจริงๆ


ถนนทางตะวันออกไม่มีอะไรให้ดู คนเยอะไป นางเข้าใกล้ไม่ได้ มิฉะนั้นจะถูกจับได้โดยง่าย


ดังนั้นนางจึงไปตำหนักทางทิศตะวันตกที่คนน้อย


ถนนทางตะวันตกคนน้อยเกินไป น้อยจนน่าแปลกใจ นอกจากแต่ละด่านตรวจมีพลอารักขาเฝ้าอยู่ หญิงรับใช้ที่เดินอยู่บนระเบียงทางเดินยังน้อยมาก อย่างไรก็ตาม หากพูดว่าที่นี่ร้างก็ไม่ใช่ ใบไม้ร่วงในลานมีไม่เกินห้าใบ ซุ้มจื่อเถิงที่มุมลานไม่มีกิ่งงอกเกินออกมา บนระเบียงทางเดินมีกระเรียนเซียนขนขาวหลายตัวเงียบหลับอยู่ ทั้งหมดนี้แสดงว่าที่นี่ต้องไม่ใช่สถานที่ไร้คนดูแล


ในเมื่อมีคนจัดการดูแลอย่างใส่ใจ ทำไมคนถึงน้อยขนาดนี้?


…………………………………………………………


[1] ห่างกันเล็กน้อยดีกว่าคู่แต่งงานใหม่ หมายถึง คู่รักที่อยู่ห่างกันสักระยะหนึ่งกลับมาเจอกันใหม่ความรู้สึกเหมือนคู่แต่งงานใหม่



บทที่ 166 คนประหลาด

โดย

Ink Stone_Romance

นางแอบไปตามระเบียงทางเดินแต่ละชั้นๆ ลึกเข้าไป สุดท้ายราวกับเข้าไปกลางไหล่เขา ท้องฟ้าไม่สว่างเหมือนข้างนอก ตลอดทางล้วนมีแสงคบไฟส่องสว่าง บนทางเดินที่เงียบเสียจนเกือบได้ยินเสียงเต้นของหัวใจ ยังมีเสียงติ๋งติ๋งของธารน้ำแว่วมาเบาๆ


ทางเดินนี้เหมือนแขนที่ยื่นเข้าไปในกลางไหล่เขา ยื่นยาวลึกเข้าไปไกล


มู่จิ่วกลั้นลมหายใจรวบรวมสมาธิ ก่อนเดินเข้าไป


ผ่านทางเดินที่มืดทึมไปช่วงหนึ่ง ตรงหน้าพลันสว่างขึ้น นางออกมาจากปากถ้ำ สุดท้ายมีอาคารเล็กผนังทองส่องสว่างที่ประณีตงดงามหลังหนึ่ง อาคารนี้ตัดกับกลุ่มวังที่เรียบง่ายทว่าโบราณด้านหน้า โอ่อ่าเลอค่าอย่างมาก ดูจากของประดับตกแต่ง ตำหนักนี้ไม่ได้สร้างด้วยกันกับวังด้านหน้า


ที่นี่ให้ใครอยู่?


มู่จิ่วเกิดความสงสัย แต่นางกลับไม่กล้าเข้าใกล้ ตามความรู้ทั่วไป คนที่มาซ่อนตัวถึงสถานที่แบบนี้ส่วนใหญ่ล้วนไปมีเรื่องด้วยไม่ได้ นางเดินมาครั้งนี้เพียงแค่เดินเล่นเพื่อเสี่ยงโชคเท่านั้น ไม่คิดจะเสี่ยงกับอันตรายที่ไม่จำเป็น


“วันนี้เขาเป็นอย่างไร?”


กำลังคิดจะไปสำรวจสักหน่อยค่อยกลับตำหนักหอมกำจาย ตอนนี้เองด้านหลังกลับพลันมีเสียงที่คุ้นเคยดังเข้ามา


นางตกใจ พลันหันศีรษะกลับไป เห็นเพียงอวิ๋นซีเดินก้าวยาวๆ เข้ามา มุ่งตรงเข้าไปในอาคารตามการนำของผู้ติดตาม


เขา?


มู่จิ่วขมวดคิ้ว เขาที่ว่านี้คือใคร? เห็นอวิ๋นซีเดินเร็วขนาดนี้เหมือนใส่ใจยิ่ง หรือที่นี่เป็นที่พักของคนที่สำคัญมาก?


นางพลันละทิ้งความคิดที่จะไปเสีย เลือกเดินเข้าไปยืนที่ปลอดภัยฝั่งตรงข้าม ห่างจากประตูใหญ่ไปไม่ถึงสามจั้ง


ตอนนี้ไฟในห้องสว่างขึ้น หน้าต่างที่เปิดออกเผยให้เห็นคนที่เอนร่างอยู่ คนผู้นี้คืออวิ๋นซี แต่สายตาเขาจดจ้อง ท่าทางราวกับกำลังสนใจใครอยู่ นี่ยิ่งทำให้มู่จิ่วสนใจใคร่รู้ ความประทับใจที่อวิ๋นซีให้แก่นางตั้งแต่ต้นจนจบคือเกียจคร้านเชื่องช้า ทว่าท่าทางเขาตรงหน้านี้กลับจริงจัง


นางกัดฟันมองซ้ายขวา เรียกพลังลมปราณกระโดดขึ้นไป


เมื่อยืนอยู่ที่สูงจึงมองเห็นได้มากขึ้น ที่แท้บนตั่งริมหน้าต่างมีคนเอนนอนอยู่ หลังเขาพิงหน้าต่าง หน้าหันไปหาอวิ๋นซี สวมเสื้อขาวธรรมดา ผมยาวแผ่กระจายอยู่บนแขนและแผ่นหลัง กระทั่งยังแผ่ไปบนผ้าห่ม ดูจากรูปร่างแล้วน่าจะเป็นผู้ชาย กายสูงโปร่งและค่อนข้างผอม


คนนี้เป็นใคร?


มู่จิ่วสงสัย ก้มหน้ารำลึกความทรงจำแต่ก็ไม่พบอะไร


นางพยายามฟังว่าพวกเขาพูดอะไร แต่กลับได้ยินไม่ชัดเจน เพียงได้ยินคร่าวๆ ว่าผู้ชายเสื้อขาวที่เสียงต่ำและเนิบผู้นี้พูดอะไรบางอย่าง บางครั้งยังตามมาด้วยเสียงหายใจติดขัด


เขาป่วย?


“ใครอยู่ข้างนอก?!”


ทางนี้กำลังครุ่นคิด อวิ๋นซีที่อยู่ในห้องพลันขมวดคิ้วตะโกนขึ้น ต่อมาพลอารักขารอบด้านจึงถือกระบี่พุ่งออกมา


มู่จิ่วตื่นตกใจ มองดูซ้ายขวาไม่มีคน แต่ตอนนี้อวิ๋นซีกลับพลันบินออกมาจากในห้อง!


ที่แท้เขามุ่งเข้ามาหานางจริงๆ!


นางไม่มีเวลาคิดมาก เรียกพลังขึ้นมาแล้วหมุนตัวกระโดด พุ่งออกจากถ้ำไปราวกับลูกธนู


อวิ๋นซีมองเงาเขียวที่พาดผ่านออกไป คิ้วและตาปรากฎรอยครุ่นคิดเพิ่มขึ้น


เสียงของอวิ๋นหมินลอยออกมาจากหน้าต่าง “เป็นใคร?”


“อ้อ เป็นข้าดูผิดไป” อวิ๋นฉัวตอบรับหนึ่งประโยค จากนั้นหมุนตัวเข้าห้องไป


มู่จิ่วกลับมาตำหนักหอมกำจาย อ๋าวเจียงโดดผลุงขึ้นราวกับต้มน้ำลวกเท้าตัวเอง “เจ้าไปไหนมา?!”


มู่จิ่วเทชาดื่มทำคอให้ชุ่มชื้นก่อน จึงค่อยพูด “ข้าออกไปเดินเล่น” พูดจบนางก็นั่งลง ก่อนพูดอีก “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนตระกูลอวิ๋นที่อาศัยอยู่ในอาคารเล็กกลางไหล่เขาคือใคร?”


อ๋าวเจียงอึ้ง “กลางไหล่เขา?”


มู่จิ่วถอนหายใจ เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง “เห็นอวิ๋นซีใส่ใจขนาดนั้น คนผู้นี้ต้องเป็นใครสักคนในตระกูลอวิ๋น”


“ลำดับที่สองของตระกูลอวิ๋น!” อ๋าวเจียงทำหน้าเคร่ง “ตระกูลพวกเขามีเพียงคนเดียวที่ป่วย คนที่เจ้าพูดหากไม่ใช่บุตรลำดับที่สองยังจะเป็นใครได้?”


“ลำดับที่สองตระกูลอวิ๋น?” มู่จิ่วคิด เหมือนกับเคยได้ยินใครที่ไหนพูดมาก่อน จึงคิดอีก ใช่แล้ว วันนั้นเถ้าแก่หงส์พูดถึงนี่! นางคล้ายพูดว่าลำดับที่สองของตระกูลอวิ๋นป่วยหรืออะไร “ลำดับที่สองผู้นี้ป่วยเป็นอะไร?”


“ข้าก็ไม่ชัดเจนนัก” อ๋าวเจียงพูด “อย่างไรก็ตาม เท่าที่ข้ารู้คือพันกว่าปีแล้ว ขวดยาไม่ห่างกาย ตระกูลอวิ๋นก็ทำเหมือนเขาอยู่ไปวันต่อวัน”


“อยู่ไปวันๆ จะจงใจขุดถ้ำภูเขาสร้างอาคารเล็กให้เขาอยู่หรือ?” มู่จิ่วไม่เชื่อ นางไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็น ระดับความงดงามของอาคารเล็กนั้น เทียบกับตำหนักทางถนนตะวันออกแล้วมีแต่หรูหรากว่า หากไม่ใช่ลำดับที่สองตระกูลอวิ๋นได้รับความสำคัญจากพวกเขา ตระกูลอวิ๋นทั้งหมดมีเหตุผลอะไรต้องลงแรงขนาดนี้?


อ๋าวเจียงเหมือนรู้สึกขัดแย้งเช่นกัน จึงพูด “บางทีอาจเป็นเพราะตระกูลอวิ๋นแต่เดิมผู้สืบทอดน้อยมาก ดังนั้นจึงให้ความสำคัญเป็นพิเศษ”


มู่จิ่วไม่แสดงออกอะไร


คำพูดนี้ของเขาพูดได้มีเหตุผล แต่นางกลับแอบรู้สึกว่ายังไม่ใช่เพียงเท่านี้ ถ้าหากเป็นเพียงแค่นี้ อวิ๋นซีคงไม่ถึงกับใส่ใจขนาดนั้น? แน่นอน หากไม่พูดว่านั่นเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องนางก็จนปัญญา สรุปคือนางรู้สึกว่าตระกูลอวิ๋นนี้แปลกนัก


“ใช่แล้ว!” คิดถึงตรงนี้นางพลันยืดตัวขึ้น “เจ้าพูดว่าพวกเขาเอากุญแจจันทราไปไม่ยอมปล่อย ใช่หรือไม่ว่าเพื่อให้ลำดับที่สองแห่งตระกูลอวิ๋นปกปักรักษาวิญญาณ?”


อ๋าวเจียงกำลังดื่มชา ได้ยินคำนี้ก็อมชาอยู่นานถึงค่อยกลืนลงท้องไป “ไม่น่าใช่? ไม่คู่ควรเลย!”


เขาวางแก้วชาลง ครุ่นคิดพลางพูด “ลำดับที่สองตระกูลอวิ๋นอย่างมากก็ร่างกายอ่อนแอ เฉินผิงกลับตายแล้ว ไหนเลยจะมีคนเป็นแม่ที่แม้แต่ลูกชายตัวเองก็ไม่สนใจ แล้วไปห่วงใยพี่น้องที่ร่างกายแต่เดิมก็อ่อนแออยู่แล้ว? ยิ่งไปกว่านั้น กุญแจจันทรายังส่งให้ตระกูลอวิ๋นเพราะอวิ๋นเฉี่ยน หากต้องการใช้ ไหนเลยจะไม่ใช้กับเฉินผิง? ไม่ว่าเขาตายหรือยัง ของชิ้นนี้ควรจะให้เขาใช้ก่อนมิใช่หรือ?”


นี่ก็ถูก หากไม่ใช่ให้ลำดับที่สองแห่งตระกูลอวิ๋น ทำไมตระกูลอวิ๋นถึงเก็บกุญแจจันทรานี้ไว้ไม่เอาออกมา?


มู่จิ่วคิดๆ ก่อนพูด “ข้ายังรู้สึกว่าคนผู้นั้นมีปัญหา สีหน้าของอวิ๋นซีที่ข้าเพิ่งเห็นแปลกมาก นั่นต้องไม่ใช่ความใส่ใจฉันพี่น้องธรรมดาแน่ ความใส่ใจแบบนั้นเหมือนการดำรงอยู่ของลำดับที่สองแห่งตระกูลอวิ๋นสำคัญอย่างมากสำหรับพวกเขา…”


“อวิ๋นซี?” อ๋าวเจียงได้ยินชื่อนี้กลับชะงักไปครู่ “เจ้าเพิ่งพูดว่าอวิ๋นซีพบเจ้า?”


“ใช่” มู่จิ่วพยักหน้า พริบตานั้นนางก็ตกใจ “ไม่ผิด พลังบำเพ็ญเขาสู้ไม่ได้แม้แต่เจ้า เจ้ามองเสื้อซ่อนเซียนข้าไม่ออก เขาจะพบได้อย่างไร?”


สีหน้าของอ๋าวเจียงกับนางพลันเคร่งขึ้น


ฟากลู่ยาเข้าประตูวังประจิมไสวกับอ๋าวเยวี่ย เดินตามระเบียงทางเดินเข้าไปยังโบตั๋นม่วงด้านใน


ตลอดทางอ๋าวเยวี่ยไม่ได้พูดอีก แต่เดินมองสำรวจไปรอบด้าน ลู่ยาก็ไม่เคยเข้ามาข้างใน แต่เขาเอามือไพล่หลัง เดินเรื่อยเปื่อยอย่างผ่อนคลายยิ่ง


ผ่านประตูตำหนักสองประตู ก็มีกลิ่นดอกไม้ลอยมา กลุ่มดอกโบตั๋นม่วงที่เบ่งบานผืนใหญ่ปรากฏในครรลองสายตา ดึงดูดผีเสื้อมากมายมาบินพัวพัน


ดอกโบตั๋นม่วงแต่ละต้นล้วนมีลำต้นหนาเท่ากับปากชาม และมีความสูงเท่าคนธรรมดา ดูออกว่าอายุหลายปีแล้ว


อ๋าวเยวี่ยหยุดเท้าลงใต้ต้นไม้ ยิ้มก่อนพูด “ดอกโบตั๋นหลายต้นนี้หลายปีก่อนย้ายมาจากเขาคุนหลุน ปลูกไว้น่าจะมากกว่าพันปีแล้ว”


…………………………………………………



บทที่ 167 มีแผนลวงนานแล้ว

โดย

Ink Stone_Romance

อ๋าวเยวี่ยพูดจบก็นับนิ้วเรียกกระบวยหยกออกมา ค้อมเอวไปยังถังด้านข้างเพื่อตักน้ำ


ลู่ยามองการเคลื่อนไหวของนาง พูดโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน “พันปีก่อน เช่นนั้นควรอายุราวๆ เฉินผิง”


กระบวยในมืออ๋าวเยวี่ยชะงัก จากนั้นจึงพูด “เจ้ากับกัวมู่จิ่วดูราวกับใส่ใจเรื่องเฉินผิงมาก?”


“แน่นอน” ลู่ยาไม่คิดจะหลบเลี่ยง “ที่จริงหากไม่ใช่เพราะเขา แต่เดิมพวกเราคงไม่มาที่นี่”


ดวงตาฉ่ำวาวของอ๋าวเยวี่ยขยับไหว ตักน้ำรดดอกไม้ต่อ หลังจากนั้นครู่หนึ่งนางยืดตัวขึ้น เด็ดดอกไม้ดอกหนึ่ง ยิ้มน้อยๆ เดินไปทางลู่ยา “ช่วยทัดไว้บนผมข้า ได้หรือไม่?”


ลู่ยาจ้องดอกไม้อยู่สักครู่ มุมปากยกขึ้น แล้วจึงรับมา


แต่พริบตาที่เขารับดอกไม้ อ๋าวเยวี่ยกลับพลันลงมือโจมตีช่วงบนของเขา มือซ้ายกลายเป็นกรงเล็บคมกริบพุ่งเข้าไปที่อก!


ความเร็วในการลงมือของนางสูงแบบนี้ แม้แต่ลมและต้นไม้กลางอากาศยังราวกับนิ่งอึ้งไป จนพลังลมปราณของนางโจมตีเข้าไปถึงค่อยสั่นไหวในชั่วพริบตา!


แต่เทียบกับนางแล้วมือของลู่ยาเร็วกว่า กรงเล็บของนางยังไม่ทันแตะโดนเสื้อเขา ดอกโบตั๋นในมือกลายเป็นแสงแรงกล้าสีม่วงจนขาว ทิ่มแทงสายตานางจนต้องปิดตาลง จากนั้นเสียงร้องอันเจ็บปวดก็ดังตามมา!


ทว่าปฏิกิริยานางเร็วมาก ฟากลู่ยามีอะไรไม่ปกติ นางก็เลือกที่จะถอยไปทันที จากนั้นเห็นลู่ยาบีบข้อมือข้างนี้ของนางไว้อย่างช้าๆ หมุนทีเดียวก็พลิกนางลงกับพื้น


อ๋าวเยวี่ยกลิ้งไปหลายตลบ กลิ้งไปสองจั้งก็กลิ้งต่อไปไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าเขากลับสร้างปราการเซียนอยู่ข้างหลังนางตอนไหน ทำให้นางไม่มีหนทางถอยทันที!


นางงอตัวบนพื้นอยู่นาน ปัดๆ แขนเสื้อลุกขึ้น สีหน้ายังตกใจไม่หาย “คิดไม่ถึงว่าซ่านเซียนคนหนึ่งอย่างเจ้า ฝีมือกลับไม่เลว!”


“ชมเกินไปแล้ว” ลู่ยาเลิกคิ้วมองดอกไม้ในมือ มุมปากยังยกยิ้ม ราวกับเพิ่งล้อเล่นเล็กน้อยไป


“แต่ทำไมเจ้าถึงเดาได้ว่าข้าจะลงมือ?” เสียงอ๋าวเยวี่ยยังคงสงสัยและตกใจอย่างล้ำลึก


“มีอะไรเดาไม่ได้” ลู่ยาทิ้งดอกไม้ไป ก่อนพูด “หรือเจ้าคิดว่าที่ข้าตามเจ้าเข้ามาเพราะเสน่ห์เจ้าแรงจริง?”


สีหน้าอ๋าวเยวี่ยแข็งค้าง ก่อนกลายเป็นซีดขาว “เจ้าหมายความว่าอะไร? หรือเจ้าสงสัยข้านานแล้ว?”


“ตอนนี้เพิ่งถามคำถามนี้ สามารถพูดได้เต็มปากว่าเจ้าไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น” ลู่ยาพูด “อันดับแรกตอนเจ้าเดินอยู่นอกวัง จากวิชาที่เจ้าใช้ ข้าดูออกแล้วว่าภายในกายเจ้าไม่ใช่ธาตุน้ำ ข้าจำได้ว่าข้าเคยถามเจ้ามาก่อน แต่เจ้ากลับไม่ตอบตรงๆ และยังเปลี่ยนหัวข้อหลีกเลี่ยงไป เจ้าเป็นลูกหลานเผ่าพันธุ์มังกร จะไม่ใช่ธาตุน้ำได้อย่างไร?”


สีหน้าอ๋าวเยวี่ยไม่น่าดูอยู่บ้าง “นั่นไม่จำเป็น หรือเจ้าไม่ให้ข้าไปกราบไหว้ผู้อื่นเป็นอาจารย์ ชำระล้างรากฐานวิญญาณตั้งแต่เด็ก?”


“หากเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญตนก็อาจเป็นไปได้ แต่จุดสำคัญคือลูกหลานเผ่ามังกรไม่มีหลักแบบนี้” ลู่ยาไม่เร่งไม่เร้า น้ำเสียงสีหน้าตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่เปลี่ยนเลย “ยิ่งไปกว่านั้น แม้เจ้าไม่ใช่ธาตุน้ำ อย่างน้อยก็ต้องรู้จักวิธีใช้วิชาบังคับน้ำ แต่กลับใช้กระบวยตักแทน คนที่แม้แต่วิชาบังคับน้ำก็ไม่เป็น หรือยังไม่น่าสงสัยอีก?”


อ๋าวเยวี่ยดูดุร้ายขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้าดูเหมือนจะรู้ไม่น้อย อาศัยเรื่องนี้เจ้าก็ระแวงข้าแล้วหรือ?”


“ไม่ใช่เช่นนั้น” ลู่ยาพูด “หากภายหลังเจ้าไม่มาหาข้าละก็ ข้าคงยังไม่มองเจ้าอยู่ในสายตา แต่ไม่เพียงเจ้าจะมาหาข้า ยังแกล้งทำทีเข้าใกล้อีก นี่ทำให้ข้ารู้สึกไร้ต้นสายปลายเหตุอยู่บ้าง เจ้าที่เป็นองค์หญิงจริงแท้แห่งวังมังกร ทำไมถึงมาสนใจข้าซ่านเซียนคนหนึ่งที่มีคู่หมั้นแล้วอย่างไร้เหตุผล?”


อ๋าวเยวี่ยได้ยินถึงตรงนี้ก็ยิ้มขึ้น “หรือเจ้าไม่คิดว่าข้าชอบเจ้า?”


“หากพูดว่าเจ้าชอบข้า ไม่สู้บอกว่าเจ้าชอบวังประจิมไสวนี้” ลู่ยากอดอกมองไปรอบด้าน ก่อนพูด “ทุกก้าวที่เจ้าเดินล้วนมุ่งเข้าหาวังนี้ นับจากครั้งนั้นที่เจ้าปลีกตัวอยู่นอกวัง ภายหลังกลับเข้าใกล้อย่างตั้งใจ และแต่เดิมอ๋าวเชินไม่ได้สั่งให้เจ้ารดน้ำ แต่เจ้ากลับเรียกข้าให้พาเข้ามา ทั้งหมดนี้ยืนยันว่าเจ้ามีเป้าหมายอื่น”


อ๋าวเยวี่ยพลันสีหน้าเปลี่ยน “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ได้สั่งข้า?”


“ตอนแรกข้าก็เคยคิดจะเข้ามาดู แต่ยังไม่ทันเข้าไปอ๋าวเชินก็รู้แล้ว นี่ทำให้ข้าเดาได้ว่าในวังของเขาต้องมีอะไรสามารถจับตาดูที่นี่โดยตรงได้แน่ เขามองวังประจิมไสวสำคัญแบบนี้ จะสั่งเจ้าให้มารดน้ำส่งเดชได้อย่างไร? แต่หากสั่งมาจริง เช่นนั้นทำไมเขาไม่สอนวิชาเข้าประตูให้เจ้า?”


ใบหน้างดงามของอ๋าวเยวี่ยเปลี่ยนไปโหดเหี้ยม


“ดูท่าแล้วข้ากลับเป็นฝ่ายตกหลุมพรางเจ้า!”


ลู่ยายักไหล่ ไม่แสดงออกอะไร “เจ้าไม่ใช่อ๋าวเยวี่ยตัวจริง บอกมาว่าเจ้าคือใคร?”


อ๋าวเยวี่ยหน้าตึง ไม่สนใจเขา


ลู่ยาพูดอีก “เจ้าก็ไม่ใช่หงส์เพลิงเช่นกัน ที่แท้เจ้าเป็นใคร?”


อ๋าวเยวี่ยเชิดหน้ามองฟ้า ร่างสั่นเทา ศีรษะพลันล้มเอียงลงสู่พื้น…


………………….


มู่จิ่วกับอ๋าวเจียงที่อยู่ตำหนักหอมกำจายตาเบิกกว้างนั่งนิ่ง จนผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้คืนสติ


“พลังบำเพ็ญของอวิ๋นซีแน่นอนว่าไม่สูงกว่าข้า ข้าเคยประมือกับเขา เขากระทั่งแย่กว่าข้าหนึ่งหรือสองส่วน เมื่อครู่ตอนเจ้าออกไปข้าก็ไม่รู้ตัว เขาจะมองเจ้าออกได้อย่างไร? เจ้าเข้าใจผิดหรือไม่ ตอนนั้นที่จริงอาจมีคนอื่นอยู่อีก?”


“จะเข้าใจผิดได้อย่างไร?” มู่จิ่วกล่าว “ข้าเข้าไปนานขนาดนั้น ไม่มีคนซ่อนอยู่ใกล้ๆ และสายตาเขามองตรงมายังที่ที่ข้าซ่อนอยู่ เขาพบข้าแล้ว! แต่เจ้าสิ เจ้าอย่างกับไม่เคยทะเลาะกับคนอื่น รู้ชัดเจนว่าต้องออกไป แม้แต่ยารักษาแผลก็ไม่เอาไปด้วย หรือเขาหลอกเจ้าไปแล้ว?”


“เขาหลอกข้าทำไม?” อ๋าวเจียงรู้สึกว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก “ครั้งก่อนชัดเจนว่าข้าทำให้เขาบาดเจ็บ มิฉะนั้นเจ้าคิดว่าข้าบาดเจ็บขนาดนั้น ยังจะหนีรอดมาจากเงื้อมมือเขาได้หรือ? เขาก็ไม่ได้วิ่งมาฟ้องที่ทะเลสาบน้ำแข็งเสียด้วย?”


มู่จิ่วไร้คำพูด


พูดตามเหตุผล ที่จริงอวิ๋นซีไม่มีความจำเป็นต้องแอบซ่อน ทว่ามีข้อสงสัยมากมายตรงหน้าขนาดนี้ ใครจะรู้ว่าใจเขาคิดอะไรอยู่? ลำดับที่สองแห่งตระกูลอวิ๋นที่พวกตระกูลอวิ๋นเทิดทูนเป็นบรรพบุรุษ อวิ๋นเฉี่ยนที่ไม่สนใจแม้แต่ลูกชายตนเอง ยังมีอวิ๋นซีที่ตั้งแต่ต้นจนจบไม่แสดงสีหน้ากระวนกระวายออกมาเลย คนตระกูลอวิ๋นเหล่านี้มีความลึกลับที่คล้ายมีคล้ายไม่มีอยู่


“เจ้าคิดจะไปสืบฐานะของลำดับที่สองตระกูลอวิ๋นหรือไม่?” มู่จิ่วจิ้มๆ พลางเขาพูด


“สืบอย่างไร?” ถึงแม้อ๋าวเจียงไม่เคยเห็นด้วย ในสายตากลับมีความคาดหวัง “ไปถ้ำหินนั่น?”


“แน่นอนว่าไม่ใช่” มู่จิ่วพูด “ในเมื่ออวิ๋นซีพบข้าแล้ว แน่นอนว่าต่อไปเขาต้องระมัดระวัง พวกเราไปอีกไม่ได้ แต่พวกเราสามารถสืบกับอวิ๋นเฉี่ยนได้…”


“นาง?!” อ๋าวเจียงยืนขึ้นมาราวกับโดนเข็มทิ่ม “ข้าเกลียดผู้หญิงคนนั้น ไม่ไป!”


“ข้าไป”


มู่จิ่วยืนขึ้น


หากนางไม่รู้สึกถึงความผิดปกตินี่ก็แล้วไป แต่ในใจมีข้อสงสัย จะไม่ไปหาคำตอบได้อย่างไร? ทางอวิ๋นซีไม่รู้ตื้นลึกจึงไม่อาจไปแหย่ได้อีก ถ้าเช่นนั้นก็อวิ๋นเฉี่ยน ระดับความแปลกประหลาดของอวิ๋นเฉี่ยนเทียบกับอวิ๋นซีแล้วมีแต่มากกว่า นางยิ่งควรถูกจับตามองถึงจะถูก


…………………………………



บทที่ 168 เล่นละครให้ดู?

โดย

Ink Stone_Romance

นางเดินไปถึงหน้าต่าง อ๋าวเจียงพลันปล่อยแขนที่กอดแน่น เม้มปากมองนาง กัดฟัน จากนั้นจึงตามไป


“ข้าขอเตือนเจ้า เจ้าอย่าก่อเรื่องลำบากอะไรให้ข้า” เขาปีนหน้าต่างไปพลาง ขมุบขมิบปากไปพลาง


มู่จิ่วเหลือบมองเขา “เจ้าพอได้แล้ว กลัวก็อย่ามา ถึงเวลาอย่าให้ข้าช่วยเก็บกวาดก็พอแล้ว”


อ๋าวเจียงโกรธมาก กลับไม่อาจไม่ก้มหน้าก้มตาตามไป


อวิ๋นเฉี่ยนอยู่ที่วังชิวอู๋ถนนตะวันออก เรื่องนี้อ๋าวเจียงรู้จากคำพูดตามปกติของอ๋าวเชินนานแล้ว


มู่จิ่วคลุมชุดซ่อนเซียน อ๋าวเจียงใช้เวทอำพรางร่าง ผ่านทางเดินที่คดเคี้ยวไปมาอย่างรวดเร็วก็ถึงวังชิวอู๋ ตอนนี้งานเลี้ยงเลิกแล้ว อ๋าวเชินใบหน้าแดงก่ำนั่งขัดสมาธิอยู่บนตั่งดิ้นทอง ในห้องกลิ่นหอมลอยอบอวล อวิ๋นเฉี่ยนนั่งคุกเข่าชงชาอยู่ตรงข้ามอ๋าวเชิน ความรู้สึกอ่อนโยนในสายตาเหมือนกับสามารถทะลุผ่านระยะทางสิบจั้งพุ่งตรงเข้าหน้าคนได้เลย


ทั้งสองคนกลั้นลมหายใจ เลือกยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นกล้วย


มู่จิ่วแต่เดิมตั้งใจให้อ๋าวเจียงเข้าใกล้อีกหน่อย พอหันไปเห็นหน้าบึ้งตึงของเขาก็ปิดปากไปอย่างรู้ตัว


เรื่องแบบนี้ไม่อาจโทษเขา ให้ใครมาเห็นพ่อของตนเองใกล้ชิดรักใคร่อยู่กับผู้หญิงคนอื่นต้องไม่ดีใจอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังโดนทุบตีอยู่ในบ้านของผู้หญิงคนนี้ด้วย


หน้าต่างถูกเปิดไว้เพื่อทำให้สร่างเมา ดังนั้นจึงเป็นประโยชน์ให้พวกเขาแอบมอง


อ๋าวเชินดื่มชาที่อวิ๋นเฉี่ยนชงกับมือ กระดูกอาจจะกรอบไปแล้ว ในตาคู่โตก็เหมือนอ่อนโยนจนสามารถหยดน้ำออกมาได้ เขาจับมืออวิ๋นเฉี่ยนวางไว้บนหัวใจ พูดเสียงเบาบางว่า “เจ้ากลับใจร้ายนัก บอกว่าไม่พบข้าก็ไม่พบข้า ในครึ่งปีนี้รู้ไหมว่าข้าอยู่ได้อย่างไร? เฉินผิงตายแล้วใจข้าก็เจ็บปวดไม่น้อยกว่าเจ้า เจ้าไม่มาพบข้า ทำให้ใจข้ายิ่งเจ็บปวดขึ้นอีกสามส่วน”


“องค์ราชา…” อวิ๋นเฉี่ยนถอนหายใจ ก้มหน้ามองพื้น “ท่านก็ไม่ใช่ไม่รู้จักข้า ไหนเลยจะใจร้ายจริง? เพียงแค่โกรธเท่านั้น เรื่องต่างๆ ในบ้านนี้บวกกับเรื่องเฉินผิง ท่านดูข้าสิ เหมือนแก่ขึ้นมาก”


“ในใจข้าเจ้ายังคงเป็นเจ้าคนนั้น! ไม่แก่เลยแม้แต่น้อย!” อ๋าวเชินแสดงออกอย่างร้อนรน


มู่จิ่วขนลุกแล้ว นางมองอ๋าวเจียง เจ้าเด็กนี่ยิ่งหนักกว่า องค์ชายน้อยหน้าหยกอับอายจนหน้าเขียวคล้ำ


นางทำให้คอโล่งแล้วดูต่อ


สองคนกอดกันพูดเรื่องในใจสักครู่ ตอนอวิ๋นเฉี่ยนลุกขึ้นความอาลัยอาวรณ์เต็มใบหน้า ที่จริงมู่จิ่วมีภูมิคุ้มกันขึ้นมาบ้างแล้ว คิดๆ ดูพวกเขาทั้งสองตอนอยู่ต่อหน้าคนนอกล้วนอยากรีบฉีกเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออกทันที ตอนนี้ไม่มีคนอยู่ ไม่แน่ว่าพวกเขาจะทำอะไร นางเป็นสาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง ขณะดูไปก็เตรียมตัวถอยออกทุกเมื่อ


“ผู้หญิงคนนี้เป็นปีศาจจิ้งจอกจอมปลอม!” อ๋าวเจียงพูดอย่างโกรธเคือง


มู่จิ่วเข้าใจความรู้สึกเขา กำลังจะให้กำลังใจเขาสักสองประโยค ในห้อง หลังจากอวิ๋นเฉี่ยนพูดกับอ๋าวเชินหลายประโยค กลับค่อยๆ ลุกขึ้นหมุนตัวเดินออกประตูไป


และหลังจากออกไปแล้ว อวิ๋นเฉี่ยนหยุดอยู่ที่มุมหนึ่งบนระเบียงทางเดิน แสงโคมส่องใบหน้านางเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง แต่ถึงแม้แสงโคมสั่นไหว ก็ทำให้คนจับรอยยิ้มและความอาลัยอาวรณ์บนใบหน้าที่หายไปในพริบตาได้อย่างแม่นยำ…


มู่จิ่วนิ่งอึ้งไปบ้าง


นางดูผิดหรือ?


มือที่สามโดยแท้คนนี้กลับสามารถเผยใบหน้าอันเปราะบางแบบนี้? และยังตั้งใจทำตอนหันหลังให้อ๋าวเชิน?


ไม่รอให้นางมีการเคลื่อนไหว หญิงรับใช้รีบร้อนเข้ามาพูดอะไรสักอย่างข้างหน้าอวิ๋นเฉี่ยน สีหน้าของนางทะมึนเล็กน้อย โบกมือ และเดินไปข้างหน้าต่อ ย่างก้าวนั้นเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แผ่นหลังผอมบางกลับเผยความไร้สง่าราศีหลายส่วน


ไม่ใช่เรื่องโกหก!


มือที่สามแซ่อวิ๋นผู้นี้กลับไม่ได้ปล่อยเนื้อปล่อยตัวทุกเวลา!


ใจของมู่จิ่วขึ้นมาอยู่บนคอ นางไม่เคยมีความรัก แต่นี่กลับไม่เป็นอุปสรรคให้นางดูออกว่าอวิ๋นเฉี่ยนแบบนี้กับก่อนหน้านี้เป็นคนละคนกันอย่างชัดเจน! แต่ก่อนอวิ๋นเฉี่ยนเป็นมือที่สามผู้ก้าวร้าวโดยแท้ ทว่าตอนนี้ดูไปแล้วเหมือนกับคุณหนูใหญ่ท่าทางปกติในตระกูลมีชื่อ เป็นลูกหลานตระกูลกษัตริย์ในเผ่าเทพโลกเซียน กิริยาล้วนมีระดับ ท่าทางไม่เอาไหนเหล่านั้นเหมือนไม่เกี่ยวข้องกันกับนางเลย


นี่เกิดอะไรขึ้น?


มู่จิ่วงุนงง


ท่าทางนางแบบนี้แสดงว่ามีเรื่องอะไรกวนใจ แต่ดูจากความหลงมัวเมาของอ๋าวเชิน ไม่ว่านางมีเรื่องกวนใจอะไรบอกกับเขาก็พอแล้วมิใช่หรือ? ทำไม่ต้องฝืนยิ้มยินดีต่อหน้าเขา ลับหลังกลับเจ็บปวดอย่างเงียบเชียบ? หรืออ๋าวเชินก็ช่วยนางไม่ได้? แต่กำลังอำนาจของเผ่ามังกรก็ไม่น้อย ตระกูลอวิ๋นของนางมีเรื่องอะไรที่แม้แต่ตระกูลอ๋าวยังยื่นมือมายุ่งไม่ได้?


ถึงแม้อ๋าวเชินทำไม่ได้ หรืออ๋าวก่วงก็ยังไม่ได้ด้วย? อ๋าวเชินไปร้องขอเขาไม่ได้หรือ? ถึงแม้อ๋าวก่วงโทษว่าลูกทำให้ผิดหวัง แต่หากเกี่ยวพันถึงตระกูลอวิ๋นจริง เช่นนั้นคงเรื่องไม่ธรรมดาเพียงแค่อ๋าวเชินเลี้ยงภรรยารองแล้ว เพื่อรักษาความสัมพันธ์สองตระกูล อ๋าวก่วงคงต้องพิจารณาบ้าง?


หรือเป็นเพราะการตายของเฉินผิง?


หากมาถึงขั้นนี้ก็ยิ่งไม่มีเหตุผล เฉินผิงเป็นลูกของเขาทั้งสองคน มีเหตุผลอะไรให้แม่ที่เจ็บปวดเรื่องลูกชายด่วนจากไปต้องฝืนยิ้มยินดีต่อหน้าพ่อที่เจ็บปวดกับการตายของลูกเหมือนกัน?


“ตระกูลอวิ๋นต้องมีความลับ!” นางสรุปทันที


อ๋าวเจียงชัดเจนว่าเห็นภาพเมื่อครู่เหมือนกัน เขาครุ่นคิดก่อนพูด “หากเป็นแบบนั้น ตระกูลอวิ๋นต้องมีเรื่องอะไร”


“ไม่ผิด” มู่จิ่วพยักหน้า “เมื่อครู่เจ้าไม่ได้ยินที่อวิ๋นเฉี่ยนพูดเรื่องในครอบครัวนั้นหรือ? เรื่องนี้คาดว่าไม่เล็ก ดังนั้นนางไม่เพียงไม่มีเวลาบอกพ่อเจ้า แม้แต่จัดการเรื่องการตายของเฉินผิงยังทำไม่ได้ แต่ข้ากลับคิดไม่ออกว่ามีเรื่องอะไรต้องให้นางแบกรับแบบนี้ ถึงแม้จะสุดวิสัย ก็ไม่มีเหตุผลต้องแสร้งเป็นคนอ่อนโยนต่อหน้าพ่อเจ้า”


“นางเข้าใกล้พ่อข้าต้องมีเป้าหมาย!” อ๋าวเจียงหลุดปากพูด


ถึงแม้มู่จิ่วก็คิดแบบนี้ แต่นางกลับแย้ง “แต่ความสัมพันธ์อันดีของนางกับพ่อเจ้าไม่ใช่วันสองวัน แต่เป็นพันปี คงไม่ใช่ว่าพันปีก่อนนางก็วางแผนไว้แล้ว?” เช่นนั้นต้องวางหมากล่วงหน้าขนาดไหน! และยังให้กำเนิดเฉินผิงเพราะเรื่องนี้…


อ๋าวเจียงเพียงแค่นเสียงเยาะเย้ย ก่อนออกจากวังไป


มู่จิ่วมองอ๋าวเชินที่เอนกายอยู่ในห้องอีก ก่อนถอยออกไปเช่นกัน


กลับถึงตำหนักหอมกำจาย อ๋าวเจียงยังคงโกรธ ยืนอยู่ข้างโต๊ะชา ท่าทางโกรธเหมือนกบ


มู่จิ่วพูด “เจ้าจับตาดูตระกูลอวิ๋นมาหลายปี ไม่มีเบาะแสอะไรจริงหรือ?”


อ๋าวเจียงหันมาถลึงตาใส่นาง นั่งลงไปอย่างกระฟัดกระเฟียด


มู่จิ่วกล่าวต่อ “ข้าคิดว่าปัญหาอยู่ที่ลำดับสองตระกูลอวิ๋น” พูดจบก็พูดอีก “เจ้าว่าที่จริงลำดับสองตระกูลอวิ๋นป่วยมานานเท่าไหร่แล้ว?”


เรื่องทั้งหมดดูเหมือนกับสมเหตุสมผล แต่เมื่อตอนไม่ควรผิดปกติกลับพบเรื่องผิดปกติ จากความใส่ใจที่อวิ๋นซีมีต่อลำดับที่สองของตระกูลอวิ๋น ความกังวลบนใบหน้าอวิ๋นเฉี่ยน ตระกูลอวิ๋นไม่ยอมปล่อยมือจากกุญแจจันทราและอื่นๆ ความสำคัญของเรื่องหากไม่อยู่กับลำดับที่สองตระกูลอวิ๋น ยังมีความเป็นไปได้อื่นอีกหรือ? และหากระยะเวลาที่เขาป่วย…


“อย่างน้อยพันปีแล้ว” อ๋าวเจียงมึนตึงอยู่ครู่ สุดท้ายก็พูด “ข้าจำได้ ตอนเรื่องพ่อข้ากับคนต่ำช้าแซ่อวิ๋นแพร่งพรายออกมา พวกเขาอยู่ด้วยกันมาสองร้อยปี ตอนนั้นเฉินผิงเกิดแล้ว เพราะเขาเกิดเรื่องถึงได้แดง และตอนนั้นที่พี่น้องแม่ข้ามาเอาเรื่องที่ทิวเขาริ้วหยก ลำดับที่สองแห่งตระกูลอวิ๋นออกมาทักทายยังต้องให้คนพยุง”


…………………………………………………………



บทที่ 169 ใจอสรพิษ

โดย

Ink Stone_Romance

“ยังออกมารับแขกได้?”


มู่จิ่วลูบคาง


“ทำไมหรือ?” อ๋าวเจียงถาม


มู่จิ่วยืนขึ้น เดินไปมาหลายก้าว ลังเลไปสักครู่ก่อนพูด “ยังสามารถออกหน้ารับแขกได้แสดงว่าสุขภาพยังไม่แย่ ทว่าอวิ๋นซีที่ข้าเห็นเมื่อครู่กลับดูอ่อนแออย่างมาก หมายความว่าในพันปีนี้ร่างกายเขาค่อยๆ อ่อนแอลง”


“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ต่อไปเขายังมีความเป็นไปได้ที่จะแย่ลงเรื่อยๆ เฉินผิงที่สายเลือดไม่บริสุทธิ์เทียบกับอวิ๋นรองที่สายเลือดบริสุทธิ์ แน่นอนว่าอวิ๋นรองต้องสำคัญกว่า เฉินผิงตายแล้ว แต่ชีวิตของอวิ๋นรองยังยืดเวลาต่อไปได้ และยังสามารถสร้างชีวิตใหม่ สำหรับเผ่าหงส์เพลิงที่แต่เดิมลูกหลานไม่มากแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรือ?


อ๋าวเจียงอึ้ง


มู่จิ่วพูดต่อ “ดังนี้ การที่ตระกูลอวิ๋นยึดกุญแจจันทราไว้มีเหตุผลอย่างมาก ตระกูลอวิ๋นต้องการใช้กุญแจจันทราปกป้องจิตต้นกำเนิดของอวิ๋นรอง แน่นอนว่าพวกเขาต้องไม่คืน จากเรื่องนี้คาดเดาไปได้ว่า อวิ๋นเฉี่ยนพาเฉินผิงไปวังมังกรสักแปดเก้าในสิบส่วนคือฉากบังหน้า”


“ตระกูลอวิ๋นรู้ว่าด้วยฐานะของแม่เจ้าไม่อาจยินยอมให้พ่อเจ้าพาผู้หญิงอื่นกลับมา ดังนั้นพวกเขาใช้ถอยเป็นการรุก ตั้งใจใช้การถอยห่างของอวิ๋นเฉี่ยนแลกกับกุญแจจันทรา พ่อเจ้าหลงใหลอวิ๋นเฉี่ยน ในใจอ่อนยวบยาบ เกรงว่าแม้แต่ชีวิตก็ยินยอมจ่าย ไหนเลยจะใส่ใจกับของนอกกาย?”


อ๋าวเจียงฟังถึงตรงนี้ หมัดทั้งสองข้างอดกำแน่นไม่ได้


นางไม่พูดเขาก็ไม่รู้สึก แต่ละเรื่องแต่ละราวที่เอ่ยออกมามิใช่เรื่องจริงหรือ?


เฉินผิงเป็นเพียงมังกรสี่ขาที่มีธาตุน้ำไฟเท่านั้น และน้ำไฟไม่เข้าคู่กัน ถึงแม้ตอนนี้ไม่ตาย ช้าเร็วก็ต้องได้รับความลำบากด้วยธาตุที่ไม่เข้ากันสองธาตุในร่างกาย เขาที่เป็นเช่นนี้เทียบกับอวิ๋นรองที่มีพลังบำเพ็ญหลายหมื่นปี และยังแบกรับภาระความรุ่งเรืองแทนเผ่าพันธุ์หงส์เพลิง ใครสำคัญใครไม่สำคัญ?


ยิ่งไปกว่านั้นเฉินผิงยังตายแล้ว…ตระกูลอวิ๋นไม่อาจคุ้มครองการกลับมาเกิดของเขาแล้วปล่อยให้อวิ๋นรองตาย!


“เมื่อพูดแบบนี้ หรือการเกิดของเฉินผิงจะเป็นแผนร้ายตั้งแต่เริ่มแรก?”


เขาพูดไม่ออกอยู่บ้าง ไม่เคยคิดเลยว่าเฉินผิงที่ถูกเขาทำลายด้วยตนเองอาจมีความเป็นมาแบบนี้ หากตั้งแต่เริ่มแรก การที่อวิ๋นเฉี่ยนเข้าใกล้อ๋าวเชินคือแผนร้าย หรือเฉินผิงจะเป็นเครื่องบูชายัญโดยแท้? และเขาคือคนชั่วผู้แทงซ้ำเครื่องบูชายัญนี้?!


มู่จิ่วก็ไม่ได้พูด


เป็น ‘ฆาตกร’ ที่สังหารเฉินผิงด้วยตัวเอง ชัดเจนว่านางไม่มีอะไรเหมาะที่จะพูด


แต่ก่อนเพียงรู้สึกว่าตนเองสังหารมังกรดุร้ายไปตัวหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้ดูแล้วบางทีเป็นเพียงเด็กที่บริสุทธิ์คนหนึ่ง


นางมองหินสลักบนหน้าต่าง ครุ่นคิดเงียบๆ


แต่ไม่นาน นางพลันหมุนตัวกลับมา ดวงตาทั้งสองมองอ๋าวเจียงอย่างเปล่งประกาย “ไม่ถูกสิ หากพูดว่าเพื่อกุญแจจันทรา อวิ๋นเฉี่ยนจึงเข้าใกล้ชิดพ่อเจ้า แบบนั้นหลังจากนางได้กุญแจจันทราแล้ว ทำไมยังต้องแสดงละครต่อหน้าเขาต่อ?”


อ๋าวเจียงนิ่งอึ้งไปเพราะคำพูดของนาง


พูดตามเหตุผลก็เป็นเช่นนี้จริง หากกล่าวว่าแต่ก่อนยังมีเฉินผิงต้องดูแล แต่หลังจากเฉินผิงตาย อวิ๋นเฉี่ยนอาศัยโอกาสนี้ตัดขาดความสัมพันธ์กับเขาได้ไม่ใช่หรือ? เป็นคุณหนูลำดับสองแห่งเผ่าพันธุ์หงส์เพลิง นางคงไม่มีเหตุผลจะติดใจการเป็นภรรยารองกระมัง?


“ข้าเดาว่าบางทีอวิ๋นเฉี่ยนต้องการแยกจากเขา ก่อนพ่อเจ้าจับข้าได้ นางไม่พบเจอเขาเลยตลอดครึ่งปีมิใช่หรือ?” มู่จิ่วพูด “บางทีตอนนั้นนางตั้งใจไว้แบบนี้แล้ว? เพียงแต่ภายหลังไม่รู้เกิดเรื่องใดอีก ทำให้นางเปลี่ยนใจกลับมาหาพ่อเจ้า”


อ๋าวเจียงเห็นด้วยกับการคาดเดาของนางทั้งหมด “มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าจู่ๆ อาการป่วยของอวิ๋นรองเลวร้ายขึ้น?”


“อาการป่วยของอวิ๋นรองเลวร้ายขึ้น แต่ราชามังกรได้ให้กุญแจจันทราแก่เขาแล้ว จะช่วยอะไรได้อีก?” มู่จิ่วกอดอกครุ่นคิด “ยิ่งไปกว่านั้น หากอวิ๋นรองไม่ได้บาดเจ็บอะไรกะทันหัน ภายในไม่กี่เดือนนี้อาการป่วยจะหนักขึ้นได้อย่างไร?”


อ๋าวเจียงส่ายศีรษะ คิ้วขมวดกันจนเหมือนมะระ


หากมิใช่นางสงสัยเรื่องเหล่านี้ วันนี้เขาคงคิดไม่ถึงขั้นนี้


เขารังเกียจอวิ๋นเฉี่ยน แม้แต่คนตระกูลอวิ๋นทั้งหมดก็เริ่มเกลียดชัง อ๋าวเชินไม่สนใจภรรยาและลูก ยืนกรานจะอยู่กับนาง ความจริงทำให้เขาเจ็บปวด วันนี้มู่จิ่วคาดเดาอย่างมีเหตุผลและหลักฐาน อ๋าวเชินชัดเจนว่ากลายเป็นผู้ได้รับความไม่เป็นธรรม ถึงแม้เป็นแบบนี้ เขาก็ไม่มีความคิดจะไปบอกบิดาให้หลีกห่างจากอวิ๋นเฉี่ยน


“ก๊อกก๊อก”


ตอนนี้เองประตูมีเสียงเคาะดังเข้ามา เขามองตากันกับมู่จิ่ว ก่อนเอ่ย “ใคร?”


“รายงานองค์ชายสาม ข้าน้อยมาส่งอาหาร”


อ๋าวเจียงไม่ได้พูด จากนั้นประตูตำหนักถูกเปิดออก พลอารักขากระเรียนหลายตัวยกกล่องอาหารเรียงแถวกันเข้ามา


เหล้าอาหารถูกวางเต็มโต๊ะอย่างรวดเร็ว หน้าตาอาหารเทียบกับตอนเลี้ยงรับอ๋าวเชินเมื่อครู่แล้วไม่ด้อยกว่า


“นี่คืออาหารที่องค์หญิงของพวกเราลงมือจัดเตรียมด้วยตนเอง เชิญองค์ชายทานตามสบาย”


ในเผ่าพันธุ์หงส์เพลิงยังมีการแบ่งชั้นต่างๆ ในราชวงศ์ที่เข้มงวด เพียงแต่เพราะกำลังอำนาจของเผ่ามีน้อย ท่ามกลางเผ่าพันธุ์เทพมากมายจึงไม่ได้เป็นที่จับตามอง


รอคนถอยออกไป พลอารักขากระเรียนปิดประตูลงอีกครั้ง มู่จิ่วจึงกวาดตามองโต๊ะ พูดกับอ๋าวเจียงว่า “ดูแล้วเมื่อครู่นางยังยุ่งอยู่กับการรับรององค์ชายสามเช่นเจ้า”


สีหน้าอ๋าวเจียงไม่น่าดูนัก


มู่จิ่วหัวเราะ เตรียมยกตะเกียบขึ้นกิน เห็นปลาซงฮวาตรงหน้ากลับหยุดลง ลู่ยาชอบกินปลาที่สุด แต่นางกลับจำไม่ได้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้ทำปลาให้เขากิน…


……………..


ลู่ยามองอ๋าวเยวี่ยที่ล้มลงกับพื้น ผ่านไปหนึ่งเค่อเต็มๆ ถึงได้เงยหน้าขึ้นมา


มองศีรษะที่ดำทะมึนก็เงียบไปครู่ใหญ่ เขาจึงนั่งยองลง ยื่นมือไปตรวจลมหายใจนาง


ลมหายใจอ่อนมาก สม่ำเสมอมาก สภาพเหมือนไม่ได้สติ


เขาตรวจชีพจรนาง กลับอ่อนแรงอย่างมาก…


แต่เมื่อครู่เขาไม่ได้ทำร้ายอะไรนาง


เขาขมวดคิ้วเงียบไปครู่หนึ่ง ยื่นมือจับข้อมือนางแล้วส่งพลังเข้าไป ไม่นานเปลือกตานางขยับ ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา เมื่อประสานสายตากับลู่ยา ทันใดนั้นน้ำตาไหลออกมาจากหางตาของอ๋าวเยวี่ย ท่าทางเปราะบางแบบนี้ ราวกับว่าแม้แต่พระโพธิสัตว์ยังหวั่นไหว


ลู่ยานิ่งเฉย มองนางอยู่อย่างนั้น


“ข้าร่างกายอ่อนแอแต่กำเนิด พาข้าออกจากที่นี่ที” นางยันตัวขึ้นนั่ง พูดลมหายใจติดขัดเล็กน้อย “พาข้าออกจากวังมังกร ข้าจะบอกเรื่องทั้งหมดแก่เจ้า”


โบตั๋นข้างตัวกำลังสั่นไหวเพราะพลังลมปราณที่เคลื่อนไหวในร่างของนาง


ลู่ยาชะงักไปสักครู่ ให้ยาเสริมร่างกายแก่นาง “ส่งเจ้าออกไปได้ แต่เจ้าต้องไปเอง” พูดพลางยืนขึ้นมา หมุนตัวไปทางนอกประตู


อ๋าวเยวี่ยมองแผ่นหลังของเขา กินยาเข้าไป จากนั้นก็ยืนขึ้นตาม และพลันง้างมือสับเข้าหลังคอเขา ลู่ยาเหมือนไม่ได้เตรียมรับมือไว้ก่อนเลย กลับโดนนางโจมตีจนล้มลงไปกับพื้น…


อ๋าวเยวี่ยมองร่างเขาที่ตรงแน่วอยู่บนระเบียงทางเดิน ยิ้มเยาะเย้ย พลันหมุนไปด้านตรงข้าม กลับไปยังประตูวัง


ถึงแม้เขาคิดได้รอบคอบแล้วอย่างไร? อ่านใจนางออกแล้วอย่างไร? เขาเป็นเพียงซ่านเซียนน้อยวัยเยาว์เท่านั้น เทียบฝีมือกับนางแล้วยังห่างชั้นกันมาก! โดนฝ่ามือซัดวิญญาณของนาง ไม่ถึงร้อยกว่าปีก็อย่าหวังจะฟื้นขึ้นมา!


…………………………………………………………………



บทที่ 170 กลับร่างเดิม

โดย

Ink Stone_Romance

นางทิ้งเขาอ้อมผ่านพุ่มดอกโบตั๋นมาถึงด้านหลัง นำพลังลมปราณทั้งหมดในร่างมารวมที่นิ้ว วาดวงกลมตามรากโบตั๋น จากนั้นเรียกพลังอีกครั้ง เห็นเพียงโบตั๋นที่ปลูกไว้สามต้นลักษณะเหมือนอักษรพิ่น (品) ค่อยๆ ลอยขึ้นมากลางอากาศ รากโบตั๋นลึกราวสามฉื่อ ลึกลงไปมีหลุมลึกสี่เหลี่ยมขนาดราวฉื่อสร้างจากหินหยก!


ที่แท้ด้านล่างดอกโบตั๋นกลับมีหลุมลึก!


ถึงแม้อ๋าวเยวี่ยยังออกแรงอยู่ แต่บนใบหน้าชัดเจนว่ามีความตกใจระคนยินดี ตอนโบตั๋นลอยขึ้นมาถึงประมาณความสูงครึ่งคน นางเดินเข้าไปนั่งยองๆ อยู่ข้างหลุมเพื่อสำรวจด้านใน


แสงค่อนข้างมืดทึม แต่ไม่ยากที่จะพบว่าในหลุมมีกล่องสลักดอกไม้ขนาดฝ่ามือซ่อนอยู่


นางยื่นมือเข้าไปอย่างตื่นเต้น หยิบกล่องไว้ในมือแต่กลับยกไม่ขึ้น กล่องนี้มีพลังยิ่งใหญ่มากดูดไว้ ทำให้นางไม่อาจไม่ใช้พลังส่วนหนึ่งงัดมันขึ้นมา


ทั้งในและนอกวังล้วนเงียบกริบ ความเงียบนี้ทำให้ยิ่งกังวลและตึงเครียด


นางกัดฟัน นำพลังที่เหลือทั้งหมดส่งมาอยู่ที่ปลายนิ้ว ก่อนนำกล่องนี้ขึ้นมา


ไม่รู้ว่ากล่องนี้อยู่มากี่ปีแล้ว ขยับสักหน่อย เสียงเคลื่อนไหวของพลังที่ส่องสว่างและเงียบงันดังขึ้นมาอย่างชัดเจน


เห็นตัวอักษรบนกล่อง นางจับอกสงบอารมณ์ ก่อนมองไปรอบด้าน แล้วเปิดกล่องออก


กล่องมิได้ทำจากทองคำธรรมดา แต่เป็นเหล็กโบราณที่สามารถสะสมพลังได้ สำคัญและมีค่าอย่างมาก แต่ในกล่องนี้กลับ…


“ทำไมถึง…”


นางชะงักไปทันที!


“ที่แท้วังประจิมไสวนี้ยังซ่อนของไว้จริงเสียด้วย”


ยามนางกำลังนิ่งอึ้งอยู่นั้น ด้านหลังพลันมีเสียงดังขึ้นมา เสียงนี้บางกระจ่างใส เหมือนน้ำไหลในลำธาร และเหมือนหยดน้ำค้างที่หยดลงในป่า…ดวงตาทั้งสองของอ๋าวเยวี่ยเบิกกว้าง หมุนตัวเหมือนลูกข่างหันมามองลู่ยาที่ยืนอยู่ข้างหน้ากอดอกสบายๆ พริบตาเดียวใบหน้าซีดขาวราวขี้เถ้า “เจ้าไม่โดนฝ่ามือข้า?!”


“ชัดเจนว่าไม่โดน”


ลู่ยาเดินไปตรงหน้านาง รับกล่องมาจากในมือนางก่อน มองมันสองครั้งก่อนมองนาง “ในนี้ใส่อะไร?”


อ๋าวเยวี่ยสีหน้าชะงัก พลันเก็บพลังลมปราณทั้งหมดเข้ามาแล้วร่ายเวท เหลือบมองด้านหลังเตรียมจากไป ลู่ยาคว้าหลังคอนางไว้ได้ จับนางกลับมา “เหยี่ยวพิษพลังบำเพ็ญแค่ไม่กี่หมื่นปีตัวหนึ่ง คิดจะหนีไปจากเงื้อมมือข้า มิใช่ว่ามองตนเองสูงส่งไปสักหน่อยหรือ?”


พูดจบเขากดหัวนางลงไป องค์หญิงมังกรผู้งดงามฉับพลันกลายเป็นสัตว์ประหลาดหัวแหลมหางแหลม บนหัวมีเขาเดียวงอกอยู่!


เหยี่ยวพิษมองเขาอย่างตื่นกลัว หมุนไปอ้าฟันอันน่ากลัวโจมตียังข้อมือเขา…สัตว์ร้ายโบราณคือสัตว์ร้ายโบราณ ถึงแม้อยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ก็ยังไม่ถอยไป กระบวนท่ายังคงดุร้ายไม่ลังเลแม้แต่น้อย แต่ลู่ยาที่ไม่มีอารมณ์เล่นด้วยกลับไม่ให้โอกาสนางบรรลุเป้าหมายอันใด มือที่กดอยู่บนศีรษะนางพลันคลายออก ก่อนจับคออย่างรวดเร็วราวกับอสุนีบาต!


เหยี่ยวพิษใช้กำลังดิ้นรน กลับพลันกระอักเลือดออกมา ลู่ยาส่งลมหมัดเข้าไปไม่หยุด จนร่างกายนางลดขนาดลงเท่ากับนิ้วมืออย่างรวดเร็ว สุดท้ายถูกลู่ยาจับหางสะบัดไปมาอยู่กลางอากาศ แล้วโยนใส่เข้าไปในน้ำเต้าที่หยิบออกมาจากแขนเสื้อ


…………………………..


พวกมู่จิ่วกินข้าวแล้ว จากนั้นก็ไม่มีอะไรให้ทำ


พลอารักขากระเรียนอาศัยตอนเข้ามาเก็บตระกร้าอาหาร พามู่จิ่วออกไปยังตำหนักข้างที่อยู่ด้านหลังตำหนักหอมกำจาย ไม่รู้ว่าเป็นความต้องการของตระกูลอวิ๋นหรือเป็นความคิดของอ๋าวเชิน ส่วนอ๋าวเจียงก็ถูกปล่อยจากการควบคุมตัว


คืนนี้ไม่มีคลื่นลมอะไร ถึงแม้มู่จิ่วยังอยากไปสำรวจอีก แต่กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ดังนั้นจึงพักผ่อนอย่างสงบเสงี่ยม


เช้าวันถัดมาไปหาอ๋าวเจียงที่ตำหนักหอมกำจาย เขากลับถูกอ๋าวเชินพาไปขอโทษต่อหน้าอวิ๋นชือฉาง นางอดเจ็บปวดแทนเขาอยู่ตรงริมระเบียงทางเดินไม่ได้ มีพ่อแบบนี้ เปลี่ยนเป็นนางมิสู้ตายแล้วไปเกิดใหม่จะดีกว่า


กลับห้องไปรอประมาณครึ่งชั่วยาม อ๋าวเชินส่งคนมาบอกนางให้นางไปด้านหน้า เตรียมเดินทางกลับทะเลสาบน้ำแข็ง


คิดไม่ถึงว่าไม่ได้ให้นางไปขอโทษอะไร นี่กลับทำให้นางรู้สึกแปลกใจอย่างมาก จากท่าทางของอวิ๋นเฉี่ยนก่อนหน้านี้ ไม่น่าคิดจะปล่อยนางแม้แต่นิดเดียว!


แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ไม่ได้เรียกนางไป ก็ย่อมไม่มีเหตุผลที่ตนเองจะไปหาที่ประตู เตรียมตัวเสร็จก็ไปที่ด้านหน้า เห็นพาหนะของอ๋าวเชินเตรียมเรียบร้อยแล้ว อวิ๋นชือฉางกับอวิ๋นเฉี่ยนมายืนส่งอยู่บนชั้นบันไดหิน มู่จิ่วสำรวจอวิ๋นเฉี่ยนสักหน่อย เห็นเพียงทั้งใบหน้าล้วนเป็นความอาลัยอาวรณ์ ความกังวลอึดอัดและเหนื่อยล้าเมื่อคืนราวกับเป็นมโนภาพของคนนอก!


ผู้หญิงคนนี้ซ่อนได้ลึกจริง!


มู่จิ่วยืนอยู่ตรงกลุ่มคนโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ระหว่างทางคาดไม่ถึงว่าสบตาเข้ากับสายตาอีกคู่ อวิ๋นซีที่อยู่ข้างหลังอวิ๋นชือฉางจับจ้องนางแน่นิ่ง สายตาล้ำลึกเหมือนถนนสายที่นำไปสู่อาคารเล็กกลางภูเขาคืนนั้น


ช่วงนี้เหมือนนางได้รับความสนใจเป็นพิเศษ!


นางยกริมฝีปากตอบรับสักหน่อย ก่อนกอดอกมองไปทางอื่น


อ๋าวเชินยังคงนั่งอยู่บนราชรถข้างหน้า มู่จิ่วกับอ๋าวเจียงตามอยู่ข้างหลัง


หนทางกลับเทียบกับตอนขามาแล้วเร็วกว่ามาก บางทีอาจเพราะตอนขามาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตระกูลอวิ๋นเลย


บนทางกลับอ๋าวเจียงไม่ได้พูดถึงเรื่องไปขอโทษเลย มู่จิ่วก็ไม่ได้พูดอะไรกับเขา นางคิดถึงลู่ยาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเช้าค่ำเขาใช้ชีวิตอย่างไร ไม่นานก็ถึงวังมังกร อ๋าวเชินกลับไปตำหนักคลื่นหยกของเขา แต่ตอนอ๋าวเจียงกับนางเดินไปด้วยกันจนถึงประตูวังใหญ่ เขาพลันหยุดฝีเท้าพลางเอ่ย “เรื่องของอวิ๋นรอง ข้าจะไปถามอีกที” พูดจบก็มุ่งไปทางวังราชินีมังกร


มู่จิ่วชะงักอยู่ที่เดิม ก่อนไปวังประจิมไสว


ไหนเลยจะรู้ว่านางเพิ่งเดินไปได้ครึ่งทาง ทางด้านตำหนักคลื่นหยกพลันมีเสียงตะโกนมา ถึงแม้ฟังไม่ได้ศัพท์ว่าตะโกนอะไร แต่เสียงนั้นกลับเป็นของอ๋าวเชินอย่างไม่ต้องสงสัย!


ยังไม่ทันรอให้นางมีปฏิกิริยามากกว่านี้ เห็นร่างมังกรทองสายหนึ่งกลางอากาศ มุ่งมาทางถนนตะวันตกราวกับฟ้าแลบจากทางที่เสียงตะโกนดังขึ้น ลมฝนที่หอบมาด้วยระหว่างทางเกือบจะเหมือนพายุรุนแรง พริบตาเดียวต้นไม้สั่นกระเบื้องปลิว ทำให้เหล่าทหารตามจุดตรวจบนถนนต่างๆ ตกใจทยอยหลบ!


…วังประจิมไสวก็อยู่ที่ถนนตะวันตก! มู่จิ่วคิด ทันใดนั้นจึงตามไปทันที!


นางเพิ่งถึงรอบนอกวังประจิมไสว เห็นต้นไม้ตรงทางเข้าถูกหักโค่นไปหลายต้น ทหารแถวหนึ่งอยู่ตรงประตูมองเข้าไปข้างใน ไม่รู้ว่าจะเข้าไปหรือไม่เข้าไปดี ความโกรธที่ออกมาจากในประตูวังเทียบกับความกดดันของร่างมู่จิ่วแล้วยังแข็งแกร่งกว่า อ๋าวเชินอยู่ที่ประตูระเบียงทางเดิน หันหน้าไปข้างในขณะทั้งร่างสั่นเทา หมัดที่กำแน่นจนซีดขาว ไหล่ที่แข็งเกร็ง ล้วนแสดงออกถึงความโกรธของเขา


และลู่ยากำลังยืนอยู่ข้างหลังอ๋าวเชิน ถึงแม้ไม่ได้พูดอะไร ใบหน้ายังคงสงบ แต่ความสงบนี้ถ่ายทอดออกมากลับไม่ใช่ความสงบแบบปกติ


“นี่เกิดอะไรขึ้น?” นางรีบเดินเข้ามาในประตูวัง ดึงแขนเสื้อเขา


การพบเจอกันคราวนี้ไม่ทันได้ถามทุกข์สุขและไม่ทันได้ทักทาย


ลู่ยาขมวดคิ้วเปิดปาก เหมือนตอบคำพูดนาง และเหมือนอธิบายกับอ๋าวเชิน “มีเหยี่ยวพิษตัวหนึ่งปลอมเป็นองค์หญิงรอง อาศัยตอนราชามังกรไม่อยู่สองวันนี้ขุดรากโบตั๋นตั้งใจเอาสิ่งของที่ซ่อนอยู่ข้างใต้ โชคร้ายโดนข้าพบเข้า ตอนเหยี่ยวพิษดิ้นรนต่อสู้โดนข้าโจมตีกลับ สัตว์นี้ถูกจับแล้ว แต่ข้าค้นหาในวังมังกรทั้งนอกใน กลับไม่พบร่องรอยของอ๋าวเยวี่ยตัวจริง”


……………………………………………………………



บทที่ 171 ฝังอะไรไว้?

โดย

Ink Stone_Romance

 


“เหยี่ยวพิษปลอมเป็นองค์หญิง?!”


มู่จิ่วงุนงงเล็กน้อย เหยี่ยวพิษเป็นสัตว์ร้ายที่มีชื่อในโบราณกาล ลู่ยาไม่พูดโกหกแน่นอน หมายความว่าอ๋าวเยวี่ยที่พัวพันกับลู่ยาตลอดก่อนหน้านี้เป็นตัวปลอม? นางปลอมตัวเป็นอ๋าวเยวี่ยมาใกล้ชิดกับเขาเพื่อเอาของที่อยู่ใต้โบตั๋นม่วงนี้?


…ใต้โบตั๋นม่วงนี้กลับฝังของมีค่าไว้? อ๋าวเชินที่มาชมดอกไม้บ่อยๆ แท้จริงแล้วมีเป้าหมาย?


และเจ้าเหยี่ยวพิษนี้มาจากไหน?


ประโยคสั้นๆ หลายประโยคนี้มีปริมาณข้อมูลมาก นางไม่อาจไม่แยกแยะสักหลายรอบ


“ไม่ผิด” ลู่ยาพยักหน้า ก่อนมองอ๋าวเชิน “ตอนข้าคิดจะไปรายงานราชินีกับเหล่าองค์ชาย ก็เจอราชามังกรกับพวกเจ้ากลับมาพอดี ชัดเจนว่าราชามังกรรู้เรื่องนี้แล้ว แต่ข้ากลับอยากรู้นักว่าที่จริงราชาฝังอะไรไว้ใต้โบตั๋นม่วง?”


อ๋าวเชินหมุนตัวโดยพลัน เบิกตาจนกลมมองเขา “เป็นเจ้าให้นางเข้ามา? เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้า!”


หลังจากพูดจบ แรงกดดันที่สามารถเปรียบได้กับวาตภัยรวมขึ้นจากร่างเขาอีกครั้ง จากนั้นพริบตาเดียวก็ก่อเป็นคลื่นแรง มุ่งเข้าโจมตีอกลู่ยา! ลู่ยาไม่ได้ขยับมาก เพียงจับใบไม้ที่ลอยมากลางอากาศ ยื่นมือไปข้างหน้า คลื่นนั้นเหมือนกับน้ำท่วมใหญ่ที่กระเพื่อมชนเข้ากับเขื่อนอันแข็งแกร่ง ตลบกลับไปอย่างรวดเร็ว!


อ๋าวเชินถูกกระแทกลอยไปไกลถึงสองจั้ง ล้มกลิ้งอยู่หลายรอบถึงค่อยหยุด


“เจ้า…”


เขาลุกขึ้นมาชี้ลู่ยาอย่างรวดเร็ว สีหน้าไม่รู้ว่าโกรธหรือตกใจ


ลู่ยาเดินไปข้างหน้าสองก้าว สีหน้าไม่เปลี่ยนใจไม่เต้น พูดว่า “ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าอยากผลักความรับผิดชอบมาให้ข้า จากนั้นค่อยเบี่ยงเบนความสนใจ เพราะนี่คือลูกไม้ที่เจ้าใช้บ่อย แต่ข้าจะบอกเจ้าให้ว่ามันไม่มีประโยชน์ เหยี่ยวพิษนี้พลังบำเพ็ญเพียงแค่แปดหมื่นปี ในเมื่อสามารถปกปิดเจ้าเข้ามาในวังมังกรได้ ปลอมเป็นอ๋าวเยวี่ยได้ ต้องยืมกำลังของคนที่แข็งแกร่งกว่าแน่”


“ข้าสนใจอยากรู้อย่างมาก ด้านใต้นี้ฝังอะไรไว้ ยังมีอีก ใครอยู่เบื้องหลังเหยี่ยวพิษนี้?”


ใบหน้าอ๋าวเชินที่ตกใจและโกรธเปลี่ยนรูปไปเล็กน้อย “เจ้าบอกข้าก่อนว่าเจ้าเป็นใคร!”


“เจ้าไม่ต้องรู้ว่าข้าเป็นใคร” ลู่ยามองน้ำเต้าหยกใบน้อยในมือ “แต่หากเจ้าไม่ยินยอมบอกความจริงออกมา ข้าก็ไม่อาจบังคับเจ้าได้ เพียงแต่เจ้าต้องเขียนหนังสือส่งให้สวรรค์ทันที ขอยกเลิกคำสั่งที่ให้มู่จิ่วทำงานอยู่วังมังกรก่อนกำหนด เพียงแค่พวกเรากลับถึงหน่วยลาดตระเวน วังมังกรของพวกเจ้าเกิดเรื่องใหญ่อะไร ข้าก็ไม่สนใจอีก”


มู่จิ่วนิ่งอึ้งไปทันที ลู่ยากำลังหาโอกาสยกเลิกหน้าที่ก่อนกำหนดมาให้นาง?


ใจนางตื่นเต้น แทบกระอักเลือดออกมา!


ส่วนอ๋าวเชินแม้แต่ฟันก็เกือบจะบดจนละเอียดแล้ว “เจ้ากล้ายื่นเงื่อนไขกับข้า ไม่กลัวข้าทูลฟ้องสวรรค์หรือ?!”


“แน่นอนว่าไม่กลัว พวกเราไม่ได้ผิดกฎวังมังกรของเจ้า และอีกอย่าง…” ลู่ยายิ้มก่อนพูด “ข้าก็ไม่ได้บังคับให้ราชามังกรรับปากว่าต้องส่งพวกเรากลับไป ข้าเพียงแต่พบคดีหนึ่งตอนเข้าเวรทำงาน จึงถามที่มาที่ไปกับราชามังกรเท่านั้น หากราชามังกรโทษกันแม้แต่เรื่องนี้ พวกเราก็สามารถขอให้อวี้ตี้มอบความเป็นธรรมให้ได้มิใช่หรือ?”


ไม่รู้ทำไมสีหน้าอ๋าวเชินค่อนข้างซีดขาว


“ท่านพ่อ!”


ตอนนี้เอง นอกประตูมีกลุ่มคนเข้ามา เป็นเหล่าองค์ชายองค์หญิงในวังมังกร อ๋าวเจียวเดินก้าวเร็วมาถึงตรงหน้าอ๋าวเชิน ขมวดคิ้วมองท่าทางของเขา สีหน้าก็ซีดขาวเช่นกัน เรื่องระหว่างพ่อแม่นางที่เป็นลูกสาวไม่เหมาะจะวิจารณ์อะไร ทว่าเขาในความทรงจำแต่ไหนแต่ไรล้วนเป็นราชาที่สง่างามยิ่งใหญ่ ตอนนี้ที่เห็นกลับมีอาการขวัญหนีดีฝ่ออยู่หลายส่วน!


“นี่เกิดอะไรขึ้น?” นางอดถามไม่ได้


อ๋าวเชินไม่สนใจนางแม้แต่น้อย เพียงจ้องลู่ยาแน่นิ่ง “เหยี่ยวพิษนั่นล่ะ? นางอยู่ไหน?”


ลู่ยาเขย่าน้ำเต้าในมือ “อยู่นี่ แต่ถึงเจ้าได้นางไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร นางเลือกจะผนึกตนเอง แน่นอนว่าต้องไม่คิดให้พวกเจ้างัดอะไรออกจากปากนางได้ ข้ารู้สึกว่าในใจเจ้าต้องรู้ โบตั๋นนี้ปลูกมาพันกว่าปี สิ่งของด้านใต้เจ้าคงจะซ่อนไว้มากกว่าพันปีเช่นกัน ในพันปีนี้ล้วนไม่มีเรื่อง กลับมาเกิดเรื่องตอนนี้ เจ้าควรคิดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นใครถึงจะถูก”


“นอกจากตระกูลอวิ๋นแล้ว ยังจะมีใครได้อีก?!”


ตอนนี้เสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและอ้างว้างดังขึ้น หากมู่จิ่วไม่เห็นอ๋าวเชินเปิดปากเอง ต้องเข้าใจว่าเป็นอ๋าวเจียงกำลังคาดเดาอยู่ แต่คราวนี้อ๋าวเจียงไม่เพียงไม่พูด แม้แต่เท้ายังไม่ก้าวออกมา


“ข้าควรรู้แผนร้ายนี้แต่แรก ตั้งแต่ตอนที่นางมาถึงประตู บอกว่าอ๋าวเจียงลักพาตัวอวิ๋นซี ควรรู้แล้วว่าเรื่องนี้ไม่ปกติ” อ๋าวเชินก้มหน้ากดระหว่างคิ้ว เสียงค่อนข้างแหบห้าว “อวิ๋นซีเคยเป็นศิษย์ของเซ่าเฮ่า[1]มาก่อน ถึงแม้พลังบำเพ็ญจะไม่สูงเท่าอ๋าวเจียง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสู้เขาไม่ได้ อวิ๋นซีถูกจับ ในความจริงแล้วเป็นแค่ข้ออ้างให้อวิ๋นเฉี่ยนมาหาเท่านั้น”


ถึงแม้เขาพูดอย่างหนักแน่นเชื่องช้า กลับขบเคี้ยวเขี่ยวฟัน


“ตระกูลอวิ๋น?” มู่จิ่วมองเขาอย่างงุนงง คิดไม่ถึงว่าแม้แต่เขายังพูดว่าเป็นตระกูลอวิ๋น!


ถึงแม้ตั้งแต่เมื่อวาน นางรู้สึกเหมือนกันว่าตระกูลอวิ๋นมีปัญหาไม่ผิดแน่ แต่นางกลับไม่นึกเลยว่าอ๋าวเชินที่ตัวติดกับอวิ๋นเฉี่ยนเป็นตังเม ดึงก็ดึงไม่ออก จะลากพวกเขาเข้ามาเกี่ยวข้องตอนนี้ด้วย เขามิใช่ปกป้องตระกูลอวิ๋นมาตลอดหรือ? เพื่ออวิ๋นเฉี่ยนแล้วไม่สนใจเกียรติของราชินีมังกร เพื่อให้ได้ความรักหญิงงามแล้วเข้มงวดกับอ๋าวเจียง?


แต่ตระกูลอวิ๋น…


สมองของนางพลันมีแสงส่องมา ก่อนเปิดปากพูด “หรือในนี้จะฝังกุญแจจันทราไว้?!”


เพียงเอ่ยคำว่ากุญแจจันทราออกมา คนตรงนี้พลันชะงัก อ๋าวเจียงพุ่งออกมาก่อน “จะเป็นกุญแจจันทราได้อย่างไร? กุญแจจันทราให้ตระกูลอวิ๋นไปนานแล้ว เหตุใดจะอยู่ที่วังมังกรได้?”


มู่จิ่วมองอ๋าวเชินแล้วพูด “ต้องดูว่าราชามังกรจะอธิบายอย่างไรแล้ว ในเมื่อแม้แต่เขายังมั่นใจขนาดนั้นว่าตระกูลอวิ๋นเป็นคนทำ แต่ดูจากสภาพการณ์ตอนนี้ของอวิ๋นรองแล้ว สิ่งที่ตระกูลอวิ๋นมาเอา หากไม่ใช่กุญแจจันทราจะเป็นอะไร?”


แต่เดิมนางเพียงไม่เข้าใจเรื่องที่อวิ๋นเฉี่ยนพัวพันอยู่กับอ๋าวเชิน ตอนนี้ได้ยินอ๋าวเชินพูดแบบนี้ นางก็กระจ่างแล้ว


อวิ๋นเฉี่ยนมีใจต่ออ๋าวเชินหรือไม่มู่จิ่วไม่กล้าพูด แต่นอกจากเรื่องความรู้สึกแล้ว นางต้องมีเป้าหมายอื่นกับเขาแน่ ไม่อย่างนั้นแล้วต่อหน้าเขานางคงไม่ทุ่มเทให้ได้รับความรัก แต่เมื่อนานไปกลับเย็นชา มองไม่เห็นร่องรอยแม้แต่น้อย ของที่นางอยากได้จากอ๋าวเชินคือสิ่งที่อยู่ใต้โบตั๋นม่วง และสิ่งของชิ้นนี้ นอกจากกุญแจจันทราแล้วยังจะเป็นอะไรได้อีก?


ตอนนี้คำพูดนี้ของราชามังกรกำลังยืนยันการคาดเดาของนางอย่างชัดเจน อวิ๋นเฉี่ยนเข้าใกล้เขา เข้าใกล้วังมังกร รวมถึงให้กำเนิดเฉินผิง ล้วนเป็นไปได้ว่าเป็นแผนที่วางไว้ล่วงหน้า!


“ท่านพ่อ! ใต้โบตั๋นนี้เป็นกุญแจจันทราจริงหรือ?!”


อ๋าวเจียงมองอ๋าวเชินอย่างไม่อาจเชื่อ สีหน้าสับสนนัก มีความตกใจและสงสัย ไม่เข้าใจและก็ไม่คุ้นเคย


“ไม่ผิด” อ๋าวเชินก้มลงน้อยๆ มองส่วนรากของโบตั๋นม่วง น้ำเสียงหดหู่อยู่บ้าง “สิ่งที่พวกเขาอยากได้ ตลอดมาคือกุญแจจันทราของข้า ข้าไม่ใช่ไม่รู้ พื้นเพของอวิ๋นเฉี่ยนนั้นดี หน้าตางดงาม คนเกี้ยวพาไม่รู้ต่อแถวยาวกี่ร้อยลี้ นางชอบข้าเท่านั้น ทั้งยังให้กำเนิดเฉินผิงเพื่อข้า แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยคิดว่าเป็นเพราะนางมีใจให้ข้าจริง”


………………………………………………………


[1] เซ่าเฮ่า คือบุตรของจักรพรรดิเหลือง และเป็นหนึ่งในห้าจักรพรรดิในตำนาน



บทที่ 172 เป้าหมายของพวกเขา?

โดย

Ink Stone_Romance

“ดังนั้นเจ้าเลยมอบกุญแจปลอมให้นาง?”


มู่จิ่วถาม ในน้ำเสียงฟังไม่ออกถึงความเคารพอย่างแท้จริง


เขาไม่คู่ควรกับความเคารพ


ไม่พูดถึงว่าอวิ๋นเฉี่ยนเป็นภรรยาน้อยรังแกภรรยาหลัก การกระทำแบบนี้รับได้หรือไม่ พูดเพียงอ๋าวเชินที่รู้ชัดเจนว่าฝ่ายตรงข้ามมีแผนการถึงได้มา กลับยังเอาของปลอมหลอกเขาก็ช่างต่ำช้า ตระกูลอวิ๋นทำเพื่อรักษาชีวิตของพี่น้อง หากอ๋าวเชินเป็นผู้มีคุณธรรม ควรพูดความจริงออกมา ให้ไม่ได้ก็คือให้ไม่ได้ หลอกกันแบบนี้ นับเป็นชายอกสามศอกอะไร?


แต่ทั้งสองฝ่ายล้วนไม่ใช่คนดีอะไร ไม่คู่ควรเลือกข้างฝั่งไหนทั้งสิ้น


และเพราะปีนั้นกุญแจจันทราที่อ๋าวเชินให้ตระกูลอวิ๋นเป็นของปลอม ดังนั้นตอนพวกอ๋าวเจียงทุ่มเทไปเอามันกลับมาจากตระกูลอวิ๋นเพื่อรักษาวิญญาณเฉินผิง การแสดงออกของเขาถึงได้เฉยชาขนาดนั้น


ทั้งยังโกรธขนาดนั้นใส่อ๋าวเจียงที่พัวพันเรื่องนี้ไม่หยุด เพราะของจริงอยู่ในมือเขามาตลอด ตระกูลอวิ๋นไม่พูด เป็นไปได้ว่ายังไม่รู้ว่าจริงหรือปลอม หรืออาจรู้แล้วแต่กลับไม่เปิดโปง อ๋าวเจียงก่อเรื่องครั้งนี้ เป็นไปได้อย่างมากว่าตระกูลอวิ๋นจะเผยเรื่องจริงออกมา เขาจะให้อีกฝ่ายล่วงเกินได้อย่างไร?


คิดถึงตรงนี้ นางอดไม่ได้ยิ้มยิงฟันพูด “หายไปแบบนี้ก็สมน้ำหน้านัก ในเมื่อตอนแรกราชามังกรรับปากให้เขาไปแล้ว เขาเพียงมาเอาสิ่งของของตนเองกลับไป ความสูญเสียนี้ราชามังกรทำได้เพียงรับไว้!”


นางไม่ได้พูดแทนอวิ๋นเฉี่ยน แต่คุณธรรมของอ๋าวเชินแท้จริงช่างน่ารังเกียจ ละทิ้งของมีค่าไม่ได้ ทั้งยังตัดขาดภรรยาน้อยไม่ได้ จึงคิดแผนนี้ออกมา เขามองตัวเองเป็นนักรักหรืออย่างไร? นี่ดีแล้ว ตระกูลอวิ๋นก็ไม่โง่ เจ้าให้ของปลอมเขา เขาเพียงมาขโมยของจริงไปไม่ใช่หรือ?


เรื่องเวรนี่ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง นางเพียงมองดูความคึกคัก


“ไม่ใช่!” นางกำลังมองอย่างดูแคลน อ๋าวเชินกลับร่างสั่นเล็กน้อย ส่งเสียงลอดไรฟัน “กุญแจจันทราที่ข้าให้ตระกูลอวิ๋นไปก็เป็นของจริง!”


มู่จิ่วแต่เดิมเข้าใจว่าเขาต้องการแก้ตัว กำลังยิ้มเยาะ แต่ฟังถึงตรงนี้พลันชะงัก นี่ก็เป็นของจริง? หมายความว่าอย่างไร?


“กุญแจจันทราแต่เดิมเป็นคู่! อันที่ข้าให้ตระกูลอวิ๋นเป็นของจริง ที่ถูกฝังอยู่ใต้ต้นโบตั๋นม่วงก็เป็นของจริง!” อ๋าวเชินเดินช้าๆ เข้ามาใกล้มู่จิ่ว บางทีอาจตื่นเต้นเกินไป เสียงของเขาจึงสั่นอยู่บ้าง “ข้าอ๋าวเชินถึงแม้จะผิดต่อภรรยา แต่สำหรับคนที่เหลือ ข้าไม่เคยทำผิดด้วย! หากกุญแจจันทรานั่นเป็นของปลอม พวกเขาจะรอจนเฉินผิงตายค่อยมาเอากุญแจดอกนี้หรือ?”


ตอนนี้ไม่เพียงแค่มู่จิ่วที่สับสน แม้แต่ลู่ยายังขมวดคิ้ว “กุญแจจันทราแต่เดิมเป็นคู่ ในเมื่อตระกูลอวิ๋นมีแล้ว เช่นนั้นทำไมยังต้องมาเอาอีกดอกหนึ่งด้วย?”


“เพราะความสามารถของกุญแจจันทราต้องใช้เป็นคู่ถึงจะสำแดงได้!” อ๋าวเชินพูดเสียงหนัก “ดอกนั้นของตระกูลอวิ๋นคือกุญแจจันทราหยิน กุญแจหยินทำได้เพียงยืดระยะสูญเสียวิญญาณไป ไม่มีความสามารถรักษา ส่วนกุญแจหยางไม่เพียงสามารถรักษาวิญญาณ ยังรวบรวมพลังหยางที่พวกเขาอยากได้ อันที่จริงคือดอกนี้ในมือของข้า!”


กุญแจจันทรามีสองดอก…


มู่จิ่วนิ่งอึ้งไป ตระกูลอวิ๋นต้องการทั้งสองดอก?


“พูดแบบนี้แสดงว่าเจ้ารู้อยู่แล้วว่าเขามาเพื่อกุญแจจันทราหยินหยางนี้?” ไม่เพียงแต่รู้ว่าคนเขามาเพื่อกุญแจนี้ ยังรู้ว่ามาเพื่อดอกไหน แต่เขายังตั้งใจให้ดอกที่ใช้ไม่ได้แก่อีกฝ่ายไป


“ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร?” คิ้วของอ๋าวเชินผูกเป็นร่องลึกเหมือนกับร่องน้ำที่ถูกลมกัดเซาะหลายพันหมื่นปี “ปีนั้นข้าพบกับนางที่งานแต่งงานของมหาเทพจื่อเวย นางงดงามจนราวกับรวมแสงทั้งหมดบนโลกไว้ ข้าตกอยู่ในภวังค์ ส่วนนางทั้งเข้าหาและเป็นมิตร ภายหลัง…ภายหลังสุดท้ายข้าใจไม่สงบ จึงไปสืบเรื่องตระกูลอวิ๋น”


“สุดท้ายข้าสืบมาได้ อวิ๋นรองของพวกเขาถูกพลังหยินเย็นเยือกทำร้าย กุญแจจันทราหยางสามารถรักษาโรคหนาวเหน็บได้ นี่ชัดเจนมาก ไม่รู้ว่าพวกเขาได้ยินมาจากไหนว่าวังมังกรทะเลสาบน้ำแข็งมีกุญแจจันทรา สามารถรักษาโรคของอวิ๋นรองได้พอดี แต่พวกเขาทิวเขาริ้วหยกกับทะเลสาบน้ำแข็งของข้าห่างกันครึ่งเก้าทวีป ไม่มีความสัมพันธ์ต่อกัน บางทีใช้แผนหญิงงามคงเป็นวิธีเดียวของพวกเขา”


อวิ๋นเฉี่ยนมาขอความรักก่อน มู่จิ่วไม่รู้สึกว่าประหลาด


ตั้งแต่ต้นจนจบ อวิ๋นเฉี่ยนรักษาความเป็นมิตรอย่างมากกับเขา บางทีนับได้ว่ามีไมตรีจิต ถึงแม้แต่แรกความสุขที่มากะทันหันทำให้อ๋าวเชินสับสน แต่ดูจากการที่เขาปกครองวังมังกร เขาต้องไม่ใช่คนที่ปกติไม่พกสมองไว้แน่ และต้องไม่ใช่คนที่ตลอดมาไม่สงสัยการกระทำของอวิ๋นเฉี่ยนเลย จุดสำคัญคือไม่เพียงแต่อวิ๋นเฉี่ยน แม้แต่ทีท่าของตระกูลอวิ๋นที่เป็นเผ่าพันธุ์เทพก็ไม่ชัดเจน


มู่จิ่วประเมินเขา เขาในตอนนี้กับตอนอยู่ที่ทิวเขาริ้วหยกดูแล้วเป็นคนละคน ราวกับพลังทั้งหมดตอนนี้สลายไปหมดแล้ว นางขมวดคิ้วก่อนพูด “ในพันปีนี้เจ้าแสดงละครมาตลอด?”


“ไม่” อ๋าวเชินส่ายหน้า “ข้ากลับชอบนางจริง คนอย่างข้าหน้าตาไม่ดี ทั้งเป็นลูกภรรยาน้อย ส่งเข้าไปในกลุ่มคนจะหาก็หาไม่เจอ หากไม่ใช่เพราะแต่เล็กได้รับความรักจากท่านพ่ออย่างจริงใจ ไม่แน่ว่าจะข้ามีสิทธิปกครองทะเลสาบน้ำแข็งที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยได้รับความสนใจจากผู้ใด แม้แต่ราชินี นางก็ถูกบิดามารดาบังคับให้แต่งกับข้า”


“ข้าเข้าใจความลำบากของราชินี นางหน้าตางดงาม ตระกูลก็ใหญ่ แต่เพื่อความสัมพันธ์ของสองตระกูล จึงไม่อาจไม่แต่งให้กับคนตัวเล็กเยี่ยงข้า นางโทษว่าข้าน่าเกลียด โทษว่าข้าพูดไม่เก่ง ตั้งครรภ์ลูกแต่ละครั้งล้วนกลับบ้านแม่ไปคลอด เพราะพวกเขามีวิชาลับ หากเด็กคลอดที่บ้านแม่ ต่อไปจะเกิดมาเหมือนแม่”


“ดังนั้นลูกแต่ละคนถึงไม่มีสักคนเหมือนข้าเลย แต่ก่อนข้ากอดพวกเขาแล้วมองอย่างละเอียดอยู่บ่อยครั้ง ดูว่าสามารถหาร่องรอยข้าบนใบหน้าของพวกเขาได้หรือไม่ แต่ก็ไม่มี ฟ้ารู้ว่าในใจข้าน้อยเนื้อต่ำใจขนาดไหน กระทั่งบางครั้งข้ารู้สึกว่าเป็นส่วนเกินในบ้านนี้”


“หากอาเฉี่ยนไม่ปรากฎตัวออกมา ข้ายังยินดีจะใช้ชีวิตจนถึงท้ายที่สุดภายใต้การบ่นและสายตาเย็นชาของราชินี แต่ไหนแต่ไรข้าไม่ต้องการอะไร มีเมืองใหญ่ขนาดนี้ให้สามารถสืบทอดได้ มีลูกชายลูกสาว มีเผ่าพันธุ์พ่อและตระกูลแม่ที่ยิ่งใหญ่ ข้ารู้สึกว่าข้าควรพอใจแล้ว แต่ข้ายังไม่เข้าใจว่าความสุขคืออะไร”


“ตอนนี้เองที่นางจงใจปรากฎตัวขึ้น ข้าได้รับความอบอุ่นและความใส่ใจที่แต่ก่อนไม่เคยได้ แท้จริงตอนเริ่มแรกข้าสับสนอยู่บ้าง ข้ารังเกียจที่ตนไม่ดีพอ แข็งแกร่งไม่พอ หากข้าแข็งแกร่งพอ ข้าก็อยากให้ทุกอย่างที่นางอยากได้ ภายหลังถึงแม้รู้ว่านางไม่ได้จริงใจกับข้า ข้าก็ยังเต็มใจ”


“ในฐานะที่เป็นผู้ชาย ข้าหวังอย่างมากว่าจะมีหญิงที่สามารถแหงนหน้ามองข้า หวังยิ่งนักว่าจะมีคนใส่ใจทุกข์สุขของข้า ถึงแม้นางจะเป็นของปลอม ข้าก็ยอม มิฉะนั้นชีวิตข้าที่เหลือนี้จะไม่โดดเดี่ยวเกินไปหรือ?”


มู่จิ่วฟังจบ หันศีรษะไปมองเหล่าลูกชายลูกสาวที่อยู่ไม่ไกล พวกเขานิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้นไม่ต่างจากที่คาดเดาไว้ บนหน้าละอายใจอยู่บ้าง อ๋าวเชินอาจไม่ได้โกหก ไม่พูดถึงราชินีมังกร ปกติเหล่าลูกชายลูกสาวมังกรเหล่านี้ก็ไม่ได้ใกล้ชิดอ๋าวเชินเท่าไหร่นัก


…………………………………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)