คัมภีร์วิถีเซียน 1648-1650

ตอนที่ 1648 กระบี่ดั้งเดิมปรากฏตัวอีก...

 

 


 


เมื่อเมฆาเพลิงทั่วท้องฟ้ารวมทั้งเปลวเพลิงสีแดงสลายหายไป ท้องฟ้าพลันเปล่งเสียงไพเราะออกมา คางคกยักษ์กลายเป็นสิ่งประหลาดสีแดงสดราวกับหัวแร้งอย่างไรอย่างนั้น ร่างกายกึ่งโปร่งใสเปล่งลำแสงสีเพลิงเจิดจ้าออกมา


 


 


ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศราวกับดวงอาทิตย์สีแดงเพลิงอย่างไรอย่างนั้น อุณหภูมิที่ร้อนระอุทำให้ทุกอย่างในรัศมีสองสามลี้เหมือนตกอยู่ในเตาหลอม


 


 


หานลี่ที่อยู่ด้านล่าง อุณหภูมิยิ่งสูงจนน่าตกตะลึง แม้แต่อากาศก็ยังเปล่งเสียงหึ่งๆ ดูขมุกขมัว!


 


 


หากผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำทั่วๆ ไปตกอยู่ในอุณหภูมิเช่นนี้ เกรงว่ากายเนื้อคงถูกความร้อนแผดเผา จนลุกไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน จนแม้แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมก็ไม่อาจเล็ดลอดออกมาได้


 


 


ทว่าหานลี่ที่อยู่ในอุณหภูมิสูงปรี๊ดเช่นนี้ แค่ขมวดคิ้ว ตบไปที่หน้าผากของตนเอง


 


 


เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น เปลวเพลิงสีเงินชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นตั้งแต่เหนือศีรษะตลอดไปจนใต้ฝ่าเท้า ห่อหุ้มเรือนร่างเอาไว้ข้างใน


 


 


อุณหภูมิความร้อนรอบด้าน ราวกับถูกพลังแรงดูดมหาศาลดูดไว้อย่างไรอย่างนั้น มันทะลักเข้ามาในเปลวเพลิงสีเงิน


 


 


อากาศรอบตัวหานลี่ในระยะสิบจั้งเศษ เปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้น


 


 


หานลี่ใช้สองมือกอดอกลอยตัวอยู่ที่เดิมเงยหน้ามองคางคกยักษ์สีแดงเพลิงกลางอากาศด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ สีหน้าเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง


 


 


ความจริงแล้วเขากลับเอ่ยพึมพำอยู่ในใจ


 


 


พลังปราณธาตุเพลิงเดิมทีก็มีพลังในการขับไล่สังหารมารอยู่แล้ว ดังนั้นในบรรดามารอสูรที่มีอิทธิฤทธิ์ธาตุบริสุทธิ์ชนิดนี้ ย่อมพบเห็นได้ยากเป็นอย่างยิ่ง


 


 


ยิ่งไม่ต้องพูดมารอสูรระดับสูงตัวนี้ที่ควบคุมพลังเพลิงได้จนถึงขั้นที่น่าตกตะลึงเช่นนี้


 


 


แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่มารตนนี้คิดจริงๆ หรือว่าอิทธิฤทธิ์แค่นี้จะสังหารเขาได้!


 


 


หานลี่หัวเราะอย่างขมขื่นในใจ และถูมือทั้งสองข้างไปมา แล้วแยกออกจากกัน


 


 


เสียง “ฟิ้วๆ” ดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองชั้นหนึ่งปรากฏออกมา วนล้อมรอบเขาไปมา และค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พลางแผ่ออกไปรอบทิศทาง


 


 


ท่ามกลางลำแสงอัสนีที่น่าตกตะลึง ตาข่ายไฟฟ้ายักษ์ทรงกลมปรากฏขึ้น ห่อหุ้มเขาเอาไว้ข้างใน


 


 


ในเวลาเดียวกันสองมือของหานลี่ก็พลิกฝ่ามือไปทางนั้น อักขระสีทองเรืองรองทะลักออกมาจากฝ่ามือ ทยอยกันจมหายเข้าไปในประจุไฟฟ้ารอบด้านแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


เหตุการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจพลันปรากฏขึ้น


 


 


ชั่วพริบตาที่อักขระจมหายเข้าไปในประจุไฟฟ้าสีทอง ก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ หลังจากที่ลำแสงสีทองระเบิดออกเป็นกลุ่มๆ ก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วโรมรันเข้าด้วยกัน


 


 


ชั่วพริบตารัศมีลำแสงสีทองเส้นผ่าศูนย์กลางสองสามจั้งก็ปรากฏออกมา


 


 


หานลี่ที่อยู่ในรัศมีลำแสง ร่างกายรางเลือน แต่กลับมีเสียงบริกรรมคาถาดังออกมา


 


 


ภายใต้รัศมีลำแสงที่หมุนวน อักขระหมุนวนไปมาไม่แน่นอน เปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมา และค่อยๆ แสบแก้วหูขึ้นเรื่อยๆ!


 


 


หลังจากเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น หานลี่ก็เผยร่างที่กำลังร่ายอาคมออกมา


 


 


นิ้วทั้งห้าอีกมือหนึ่งชี้ไปด้านบน ดวงแสงทรงกลมสีทองเรืองรองลอยเหนือขึ้นไปสองสามฉื่อ


 


 


ผิวของดวงแสงเว้าโค้ง เปล่งแสงหม่นแสง ราวกับอาวุธธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่ง


 


 


“อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย เคล็ดวิชาอัญเชิญอัสนี!”


 


 


อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายกลายเป็นดวงแสงทรงกลม แล้วถูกคางคกยักษ์ที่อยู่กลางอากาศรู้จักด้วยความตกตะลึง


 


 


หานลี่หัวเราะด้วยเสียงแผ่วเบาออกมา นิ้วทั้งห้าถือดวงแสงสีทองเอาไว้ ดวงแสงทรงกลมหมุนติ้วๆ อยู่ในมือ ดูเหมือนว่าจะถูกสำแดงออกมาในทันที


 


 


เดิมคางคกยักษ์เสียแรงในการเตรียมเคล็ดวิชาลับที่ร้ายกาจไปเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้พลันหน้าเปลี่ยนสี ไม่สนใจสิ่งอื่นอีก แทบจะเคลื่อนไหวกายอย่างไม่ต้องขบคิด ชั่วขณะนั้นพลันกลายเป็นเสาเพลิงลุกโชนบินม้วนลงมา


 


 


หานลี่เห็นเช่นนั้นมุมปากพลันกระตุกเล็กน้อย ดวงแสงสีทองในมือกระโดดออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ตัวของเขาเองก็ถอยร่นไปด้านหลัง


 


 


อากาศที่ดูเหมือนไม่มีอะไรด้านหลัง จู่ๆ พลันมีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงเจิดจ้า ดอกบัวสีเขียวปรากฏขึ้นหลายดอก


 


 


หานลี่ที่ดูเหมือนถอยหลังไปตามอำเภอใจ หายวับไปท่ามกลางดอกบัวสีเขียว


 


 


เสาเพลิงเปล่งเสียงอึกทึก โจมตีไปยังดอกบัวสีเขียวด้านล่าง


 


 


ดอกบัวทั่วทั้งท้องฟ้ากลับกลายเป็นลำแสงสีเขียวแล้วสลายหายไปราวกับกระดาษ


 


 


แต่เมื่อเปลวเพลิงสีแดงกระโจนเข้าไปในลำแสงสีเขียว กลับเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปราวกับโคลนที่จมลงสู่มหาสมุทร


 


 


ชั่วขณะนั้นเสาเพลิงพลันระเบิดออก กลายเป็นทะเลเพลิงขนาดสองสามหมู่ ในนั้นเปล่งแสงสีแดงสว่างวาบ ร่างของคางคกยักษ์ปรากฏออกมา ยังคงหลับตาทั้งสองข้างสนิท แต่ยังมองมาทางลำแสงสีเขียวเบื้องหน้าด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง


 


 


ทว่าครู่ต่อมารอบด้านก็มีเสียงของหานลี่ดังขึ้น


 


 


“ในเมื่อมาแล้ว ก็อย่าคิดหนีเลย ลิ้มลองเขตอาคมกระบี่หลากวสันต์ของข้าหน่อยเป็นไง!”


 


 


เมื่อสิ้นเสียงกลางอากาศในรัศมีวงกลมร้อยจั้งก็มีลำแสงสว่างวาบ ม่านลำแสงสีเขียวชั้นหนึ่งปรากฏออกมา ห่อหุ้มทะเลเพลิงทั้งหมดเอาไว้


 


 


คางคกยักษ์ที่แต่เดิมรู้สึกผิดปกติอยู่ในใจ เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ชั่วขณะนั้นพลันเปล่งเสียงร้องคำราม อ้าปากออก พ่นเสาลำแสงสีแดงสายหนึ่งออกมา


 


 


เสียง “ฟิ้ว” ดังขึ้น


 


 


เสาลำแสงโจมตีไปยังม่านลำแสงสีเขียว ทะลวงผ่านได้อย่างง่ายดาย แต่จากนั้นก็จมหายเข้าไปอย่างไร้เงา


 


 


คางคกยักษ์เห็นเช่นนั้น ไข่มุกตรงหว่างคิ้วพลันมีลำแสงสีเทาหมุนวนโคจรไปมา ยกขาหน้าข้างหนึ่งขึ้น ตบไปยังจุดที่ไกลออกไป


 


 


เสียงอึกทึกดังสนั่นขึ้น หมอกลำแสงสีแดงม้วนวนออกมาจากทรวงอกของมารอสูร จากนั้นก็ผนึกรวมตัวกันกลายเป็นกรงเล็บยักษ์สีแดงเพลิงข้างหนึ่ง ตะปบไปทางม่านลำแสงเบื้องหน้าอย่างแรง


 


 


กรงเล็บนี้ไม่เหมือนกับเคล็ดวิชาทมิฬ ไม่ทันได้จับได้จริงๆ เสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้น ลำแสงสีแดงยาวสองสามฉื่อก็เปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วครู่ก็ทะลักออกมาจากกรงเล็บยักษ์


 


 


เสียง “แควก” ดังขึ้น กรงเล็บยักษ์สีแดงสดตะปบม่านลำแสงสีเขียวจนทลายออก


 


 


แต่ด้านหลังม่านลำแสงกลับมีอากาศสีแดงสนิทปรากฏออกมา ท่าทางลึกล้ำยากจะคาดเดา


 


 


กรงเล็บยักษ์สีแดงสดโบกสะบัดอีกครั้งอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด กรงเล็บลำแสงสองสามสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วสับลงมากลางอากาศในทันที


 


 


ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ กลางอากาศที่แต่เดิมไร้สิ่งของ ฉับพลันนั้นพลันมีดอกบัวสีเขียวปรากฏขึ้นทีละดอกๆ จนหนาแน่นไปหมด แค่กะพริบวาบๆ ก็เรียงตัวเต็มท้องฟ้า


 


 


ลำแสงสีแดงสับลงมา ชั่วขณะนั้นพลันถูกปกคลุมเข้าไปข้างใน


 


 


คางคกยักษ์เห็นฉากนี้ใบหน้าพลันมีสีหน้าตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็ร่ายคาถา


 


 


ชั่วขณะนั้นกรงเล็บยักษ์สีแดงสดข้างหนึ่งพลันขยายใหญ่ขึ้นสองสามเท่า ทันใดนั้นก็เปล่งเสียงร้องหึ่งๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะปริแตกออก


 


 


รัศมีลำแสงสีแดงฉานปรากฏออกมา และมีเสียงดังสนั่นแผดออกมาราวกับเสียงฟ้าคำราม ชั่วพริบตาก็มีขนาดยักษ์สิบกว่าจั้ง


 


 


เมื่อดอกบัวสีเขียวรอบๆ สัมผัสกับลำแสงนั้น คาดไม่ถึงจะทยอยกันกลายเป็นควันสีเขียวแล้วสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


คาดไม่ถึงว่ารัศมีสีแดงจะโหดเ**้ยมไร้ความปรานี มันหมุนคว้างแล้วบินไปด้านหน้า พลางทำลายดอกบัวสีเขียวไปจนหมด


 


 


แต่ในยามนั้นเองเปลวเพลิงสีเงินที่อยู่ในรัศมีสีแดงพลันเปล่งแสงสว่างวาบ วิหคเพลิงสีเงินขนาดสองสามฉื่อตัวหนึ่งปรากฏขึ้น พลางสยายปีกทั้งสองข้าง แล้วกระโจนเข้าไปในลำแสงสีแดงด้านล่าง


 


 


รัศมีสีแดงพลันสั่นเทา เสียง “เปรี๊ยะๆ” ประหลาดดังออกจากด้านใน จากนั้นรัศมีลำแสงก็หดเล็กลงด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วครู่รัศมีลำแสงก็หดเล็กลงจนมีขนาดสองสามฉื่อ สุดท้ายลำแสงสีแดงก็สลายออก กลายเป็นวิหคเพลิงสีเงินตัวนั้นอีกครั้ง


 


 


วิหคเพลิงตัวนี้ดูดซับลำแสงสีแดงที่เหลือเข้าไปด้านใน แล้วชูคอขึ้นเปล่งเสียงร้องด้วยความพึงพอใจ แต่ทันใดนั้นเสียง “ปัง” ก็ดังขึ้น กลายเป็นเปลวเพลิงสีเงินแล้วสลายหายไป


 


 


คางคกยักษ์ที่อยู่ด้านล่างเห็นเช่นนั้น ใบหน้าพลันเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา หลังจากที่ปากเปล่งเสียงร้องคำรามออกมาอีกครั้ง ปีกสีดำสนิทที่แผ่นหลังก็กระพือ


 


 


ชั่วขณะนั้นวายุมารสีดำกลุ่มนั้นก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ และวนล้อมรอบมารอสูรตัวนั้นเอาไว้ แค่กะพริบวาบๆ สองสามครั้งก็กลายเป็นพายุหมุนแล้วระเบิดออก


 


 


แทบจะในเวลาเดียวกันปากของคางคกยักษ์ก็บริกรรมคาถา เปลวเพลิงหมุนวนปรากฏขึ้นบนร่าง


 


 


พายุอาศัยเพลิงไหม้ เพลิงไหม้อาศัยพลังพายุ คาดไม่ถึงว่าทั้งสองจะรวมร่างกัน กลายเป็นเสาพายุเพลิงสีดำแดงพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


 


คางคกยักษ์ไม่ได้ทำแค่นั้น เสียงบริกรรมคาถาจากปากพลันหยุดลง ฉับพลันนั้นพลันอ้าปากออกพ่นกระบี่บินสีม่วงออกมาเล่มหนึ่ง


 


 


กระบี่บินเล่มนี้แค่พลิ้วไหว ก็กลายเป็นใบมีดบางๆ ขนาดเท่าฝ่ามือ ทยอยกันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในเสาพายุ


 


 


ชั่วขณะนั้นเสาพายุพลันเปล่งเสียงร้องแหลมสูงออกมา ผิวของมันมีลำแสงสีม่วงจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏออกมา และขยายใหญ่ขึ้นด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง


 


 


ดูเหมือนว่าทุกๆ วินาที เสาเพลิงวายุก็จะหน้าขึ้นเท่าหนึ่ง


 


 


ท่าทางน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง!


 


 


ทว่าในตอนนั้นเองทางด้านหานลี่กลับมีสถานการณ์อีกแบบหนึ่งเกิดขึ้น


 


 


เห็นเพียงเขาใช้มือหนึ่งร่ายอาคม กระตุ้นเขตอาคมกระบี่หลากวสันต์ทั้งเขต


 


 


ส่วนด้านนอกเขตอาคมกระบี่มีลำแสงห้าสีจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันอย่างหนาแน่น และพยายามทะลักเข้ามาในม่านลำแสงสีเขียวอย่างสุดชีวิต


 


 


บรรยากาศรอบๆ ไอวิญญาณฟ้าดินที่กลายเป็นลำแสงห้าสีแผ่ขยายไปทั่วท้องฟ้า มองปราดเดียวไม่อาจเห็นสุดเขตแดนของมันได้


 


 


คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะพยายามรวบรวมพลังปราณฟ้าดินรอบๆ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และในยามนี้ดวงตาของเขาก็เปล่งแสงเย็นเยียบ พลางกระตุ้นเขตอาคมกระบี่


 


 


ในเขตอาคมกระบี่ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น


 


 


เห็นเพียงม่านลำแสงบนท้องฟ้ารางเลือน พืชที่มีลักษณะคล้ายเถาวัลย์กลับหัวทะลักออกมา


 


 


พืชชนิดนี้เพิ่งจะปรากฏตัว ทว่ามีขนาดแค่สองสามชุ่น แต่ชั่วครู่ก็ขยายใหญ่จนมีความยาวสองสามจั้ง และยิ่งไปกว่านั้นเถาวัลย์ยังบิดเบี้ยวอย่างรวดเร็ว เริ่มผลิดอกออกผล ผนึกเป็นน้ำเต้าขนาดเล็กสีเขียวมรกตลูกหนึ่ง


 


 


และในยามนั้นเองในม่านลำแสงรอบด้านพลันมีลำแสงโคจรอยู่ กลายเป็นดอกบัวสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วน


 


 


ในเวลาเดียวกันที่ดอกบัวบานออก ก็สั่นเทาแล้วพ่นเงากระบี่ยาวสองสามชุ่นออกมาเป็นสายๆ เปล่งแสงสว่างวาบทยอยกันจมหายเข้าไปในน้ำเต้าแล้วหายวับไป


 


 


ผิวของน้ำเต้ามีรอยกระบี่สีเขียวปรากฏขึ้นสายหนึ่ง มันบางเบาอย่างหาที่เปรียบ แต่ทันใดนั้นลำแสงห้าสีจำนวนมากก็ปรากฏออกมาจากม่านลำแสง และม้วนวนไปทางเถาวัลย์ด้านล่าง ทยอยกันจมหายเข้าไปในน้ำเต้า


 


 


รอยกระบี่เปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้น และเปล่งแสงสว่างวาบไปทางลำแสงห้าสี


 


 


คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเครื่องสังหารของเขตอาคมกระบี่หลากวสันต์ กระบี่ปราณแท้


 


 


อิทธิฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ จำต้องรวบรวมพลังปราณฟ้าดินจำนวนมากถึงจะพอสำแดงออกมาได้


 


 


ดังนั้นตอนแรกเขาจึงไม่ได้กระตุ้นเคล็ดวิชาลวงตาของเขตอาคมกระบี่หลากวสันต์ แต่ตั้งใจควบคุมพลังปราณฟ้าดินที่อยู่รอบๆ เพื่อนำมาใช้


 


 


แต่เดิมเขาคิดเอาไว้ดีแล้ว ถูกอีกฝ่ายแย่งชิงอำนาจในการควบคุมพลังปราณฟ้าดินส่วนหนึ่งไป แต่กลับคิดไม่ถึงว่า อีกฝ่ายจะจดจ่ออยู่แค่อิทธิฤทธิ์ของตนเอง ไม่ได้ลงมือด้วยเหตุนี้


 


 


เช่นนั้นกระบี่ปราณแท้จึงผนึกรวมตัวกันอย่างราบรื่น และยังคงดูดซับพลังปราณฟ้าดินจากภายนอกไม่หยุด เพื่อรับประกันว่าอานุภาพจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


 


คางคกยักษ์สัมผัสได้ถึงพลังปราณฟ้าดินนอกเขตอาคมกระบี่ที่หนาแน่น และมองเห็นฉากประหลาดที่เกิดขึ้นกลางอากาศ ในใจจึงรู้สึกตกตะลึงไปเล็กน้อย!


 


 


ทว่ามันอาศัยโอกาสนี้เตรียมเคล็ดวิชาลับให้เรียบร้อย ดังนั้นจึงตะโกนออกมาเบาๆ ครั้งหนึ่ง และชี้ไปกลางอากาศด้วยสีหน้าเคร่งขรึมล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง


 


 


แต่ในยามนั้นฉับพลันนั้นกลางอากาศก็มีเสียงราบเรียบของหานลี่ดังขึ้น


 


 


“สับ”


 


 


น้ำเต้าเทปากขวดลง ลำแสงในปากขวดหมุนวน เปล่งแสงสว่างวาบแล้วพ่นกระบี่ลำแสงออกมาเล่มหนึ่ง


 


 


ยาวสองสามฉื่อ ลำแสงวิญญาณห้าสีเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด!

 

 

 


ตอนที่ 1649 สามมาร

 

กระบี่ลำแสงห้าสีพลันเคลื่อนไหว ร่อนลงมาด้านล่างอย่างแช่มช้า


 


 


คางคกยักษ์ร้องอุทานว่า “แย่แล้ว” ออกมาในใจ เสาเพลิงวายุสีดำแดงข้างกายเปล่งเสียง “ตูม” ออกมา ชิงม้วนวนไปก่อนล่วงหน้า


 


 


ทุกแห่งที่พลังของเพลิงวายุกวาดผ่านไป อากาศพลันบิดเบี้ยว เปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมา ราวกับแม้แต่อากาศก็ฉีกขาด แค่กะพริบวาบ ก็ม้วนกระบี่ลำแสงห้าสีเข้าไป


 


 


ลำแสงสีม่วงกะพริบอย่างบ้าคลั่ง ด้านในมีเสียงอึกทึกดังมา แม้แต่เขตอาคมกระบี่ที่กลายเป็นม่านลำแสงก็ยังสั่นเทาอย่างรุนแรง ดูเหมือนว่าจะปริแตกได้ตลอดเวลา


 


 


คางคกยักษ์มีสีหน้าผ่อนคลายลง อดที่จะเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้


 


 


ในสายตาของเขานี่แทบจะขุดค้นศักยภาพทั้งหมดของสิ่งที่สิงร่างคางคกยักษ์ และอาศัยอานุภาพของไข่มุกตรงหว่างคิ้ว สำแดงอิทธิฤทธิ์ผสมกัน ไม่ใช่สิ่งที่เขตอาคมกระบี่ตรงหน้าจะต้านทานได้


 


 


ต่อให้มันสามารถรับมือกับกระบวนท่านี้ได้ กว่าครึ่งก็คงหลบหลีกลำแสงเฉียบแหลมได้แค่ชั่วคราว


 


 


ทว่าใบหน้าของคางคกยักษ์พลันเผยรอยยิ้มออกมา พลังเพลิงวายุเปล่งเสียงเพรียกราวกับมังกรคำรามออกมา จากนั้นเสาเพลิงสีดำแดงก็แยกออก


 


 


ภายใต้ลำแสงห้าสีที่กะพริบวาบๆ ด้านในพลันมีกระบี่ยักษ์ยาวสองสามจั้งปรากฏออกมา


 


 


ลำแสงเจิดจ้าเปล่งแสงสว่างวาบ กระบี่ยักษ์พลันสั่นเทา เปล่งเสียงร้องหึ่งๆ ออกมา


 


 


พลังเพลิงวายุรอบๆ ราวกับพบพลังที่น่าเหลือเชื่อ คาดไม่ถึงว่าจะเปล่งเสียงหึ่งๆ ประหลาดๆ ออกมาแล้วสลายออกทั่วทุกสารทิศ เผยกระบี่ยักษ์ออกมา


 


 


ยามนี้กระบี่ยักษ์ห้าสีกลับหมุนคว้างไปมา สับไปทางคางคกยักษ์เบาๆ


 


 


ช่างเงียบเชียบ ดูเหมือนไม่มีอานุภาพเลยสักนิด!


 


 


แต่ไข่มุกสีเทาตรงหว่างคิ้วของคางคกยักษ์กลับเปล่งเสียงปังออกมา ฉับพลันนั้นพลันปริแตก


 


 


“เป็นไปไม่ได้!”


 


 


คางคกยักษ์เปล่งเสียงกรีดร้องแหลมสูงออกมา ดวงตาที่ปิดอยู่ทั้งสองข้างพลันลืมตาขึ้น


 


 


ดวงตาเป็นสีแดงสดราวกับโลหิต มีโลหิตไหลออกมาจางๆ


 


 


แต่ครู่ต่อมาหัวของมารตนนี้รวมทั้งร่างกายอันใหญ่โตก็แยกออกเป็นสองส่วนอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน


 


 


เปลวเพลิงสีแดงสดกลุ่มหนึ่งทะลักออกมาจากร่างที่ถูกผ่าออก กลายเป็นทะเลเพลิงสีแดงสด


 


 


ส่วนซากศพของคางคกยักษ์ก็ดูราวกับเป็นผุกร่อนอย่างไรอย่างนั้น ชั่วพริบตาก็กลายเป็นฝุ่นควันสีเทาขาวสองกลุ่มท่ามกลางเปลวเพลิง แล้วสลายหายไปจากฟ้าดิน


 


 


คางคกยักษ์ที่ถูกสิงร่าง ไม่อาจต้านทานการสับลงมาของไอวิญญาณดั้งเดิมได้ แม้แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมก็ไม่อาจหนีไปได้


 


 


บนท้องฟ้ามีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ ร่างของหานลี่ปรากฏขึ้นในเขตอาคมกระบี่ มองไปยังเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ด้านล่าง แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


 


 


“อาศัยพลังของฟ้าดิน ไม่ใช่สิ่งที่เคล็ดวิชาลับธรรมดาๆ จะเทียบเทียมได้ ตอนแรกที่เผชิญหน้ากับวานรมารนั้น หากไม่ใช่เพราะอยู่ในทางเดินไอมาร ก็ไม่อาจรวบรวมพลังปราณฟ้าดินได้มากพอ มิเช่นนั้นใช้กระบี่ไอดั้งเดิมนี้ ก็น่าจะสังหารมารตัวนั้นได้ และไม่จำเป็นต้องใช้สมบัติสวรรค์ทมิฬ ทำให้เทวรูปต้องเสียหาย”


 


 


หานลี่เอ่ยพึมพำกับตนเองเสร็จ ใบหน้าพลันเผยสีหน้าเสียดายออกมา แต่แววตาพลันเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ มองไปยังทะเลเพลิงอย่างละเอียดแวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็เลิกคิ้วตะปบมือข้างหนึ่งออกไป


 


 


เสียง “สวบ” ดังขึ้น สิ่งหนึ่งบินออกมาจากทะเลเพลิง แค่กะพริบวาบๆ ก็ถูกดูดเข้าไปในมือของเขา


 


 


กลับเป็นถุงสีฟ้าอ่อนใบหนึ่ง ผิวของมันมีอักขระที่แตกต่างกันสองสามชนิดสลักอยู่ เปล่งแสงเรืองๆ ดูแล้วไม่ใช่ของธรรมดา


 


 


“ถุงจัดเก็บ?” หานลี่เผยสีหน้าตื่นตะลึงออกมา และรู้สึกไม่มั่นใจเล็กน้อย


 


 


เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ฝ่ามือที่คว้าถุงเอาไว้พลันเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก ในเวลาเดียวกันก็พ่นหมอกสีเทาออกมาจากฝ่ามือ ชั่วครู่ก็ห่อหุ้มถุงเอาไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นพลันชูมือข้างหนึ่งขึ้น อาคมสีเขียวสายหนึ่งบินออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในถุง


 


 


ชั่วขณะนั้นถุงสีฟ้าพลันพลิ้วไหวอย่างหนัก ปากถุงมีลำแสงสว่างวาบ แล้วเปิดออกอย่างช้าๆ


 


 


เสียง “สวบ” ดังขึ้น


 


 


ลำแสงสีฟ้ากลุ่มหนึ่งบินออกมาจากด้านใน เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วพุ่งแหวกอากาศหนีไป


 


 


แต่หานลี่ที่เตรียมการป้องกันเอาไว้ตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะปล่อยให้มันหนีไปได้


 


 


แค่เขาแค่นเสียงอย่างเย็นชา หมอกลำแสงสีเทาก็ขยายออกแล้วม้วนวนไป ชั่วครู่ก็ห่อหุ้มลำแสงสีฟ้านั้นเอาไว้


 


 


หมอกสีเทาลำแสงสีฟ้าตัดสลับกันไป ชั่วขณะนั้นลำแสงก็คืนร่างเดิม


 


 


คาดไม่ถึงว่าจะเป็นไข่มุกสีฟ้าแวววาวเม็ดหนึ่ง


 


 


ขนาดเท่าหัวแม่มือ ผิวของมันมีลำแสงประหลาดลอยวนเวียนอยู่ ราวกับเคลือบมันวาว


 


 


“นี่คือ…” หานลี่กวาดจิตสัมผัสไป แล้วรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย


 


 


“แก่นภายใน? ไม่สิ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ยุทธภัณฑ์!”


 


 


หานลี่ยกมือขึ้นสูดไข่มุกกลมเข้ามา ใช้สองนิ้วคีบเอาไว้ วางอยู่ในระดับสายตารอบหนึ่ง แต่กลับไม่อาจยืนยันประวัติความเป็นมาได้


 


 


“ช่างเถิด จากนี้ค่อยคิดอีกที ตอนนี้รีบไปจากที่นี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


 


 


หานลี่ครุ่นคิดไปเล็กน้อย มือหนึ่งพลิกฝ่ามือ หยิบกล่องหยกออกมา วางไข่มุกไว้ด้านใน


 


 


จากนั้นเขาพลันมองไปยังเปลวเพลิงสีแดงสดด้านล่าง แล้วพลันหน้าเปลี่ยนสี


 


 


และไม่เห็นว่าเขาจะมีการเคลื่อนไหวใดๆ


 


 


ม่านลำแสงสีเขียวกลางอากาศพลันมีลำแสงสีเงินสว่างวาบ วิหคเพลิงกลืนวิญญาณกระโจนออกมา ทะลวงเข้าไปทะเลเพลิง


 


 


เปลวเพลิงพลันลุกไหม้ ชั่วพริบตาก็ถูกวิหคเพลิงกลืนวิญญาณกลืนเข้าไปข้างใน


 


 


จากนั้นมันพลันชูคอกู่ร้องด้วยความยินดี ปีกทั้งสองสยายออก พุ่งมาทางหานลี่ แล้วจมหายเข้าไปในร่าง


 


 


ส่วนหานลี่พลันใช้สองมือร่ายอาคม ม่านลำแสงสีเขียวทั่วท้องฟ้าหม่นแสง เผยดอกบัวสีเขียวเต็มท้องฟ้าออกมา


 


 


ดอกบัวสีเขียวเหล่านี้หมุนติ้วๆ กลายเป็นกระบี่สีเขียวเจ็ดสิบสองเล่ม


 


 


ร่างของหานลี่พลันพลิ้วไหว กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่ง เริงระบำไปกลางอากาศ


 


 


ชั่วขณะนั้นกระบี่บินทั้งหมดพลันถูกดูดไปจนเกลี้ยง


 


 


จากนั้นลำแสงหลีกหนีพลันพุ่งหนีไปยังขอบฟ้าไม่หยุด แค่กะพริบวาบๆ ก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


ในเวลาเดียวกันที่หานลี่สังหารคางคกยักษ์นั้น ในวิหารสูงตระหง่านในส่วนลึกของเทือกเขามารสีทองแห่งหนึ่ง บุรุษสวมชุดคลุมสีเขียวคนหนึ่งและผู้ที่อยู่เคียงไหล่อีกสองคนกำลังยืนมองประตูสีดำสนิทบานหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลออกไปเขม็ง ฉับพลันนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสี สีหน้าเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้


 


 


“อันใด พี่เหล็กมีอะไรหรือ?” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างเห็นท่าทางประหลาดของบุรุษ ก็เอ่ยปากซักถาม


 


 


“ไม่มีอะไร ร่างแยกของข้าถูกทำลายแล้ว” บุรุษสวมชุดคลุมสีเขียวเองก็ไม่ได้มีเจตนาจะปิดบัง พลางเอ่ยอย่างแช่มช้า


 


 


“ร่างแยก? ที่พี่เหล็กใช้ไข่มุกกระดูกมารผสานอินทรีย์แยกนั้นน่ะหรือ?” ชายชราอีกคนหนึ่งที่มีลำแสงสีเงินเปล่งแสงระยิบระยับรอบกาย ใบหน้าดุจนักปราชญ์เอ่ยถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ


 


 


“หึๆ พี่หลายตารู้จักอิทธิฤทธิ์ของผู้แซ่เหล็กมากเกินไปแล้ว” บุรุษสวมชุดคลุมสีเขียวดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยถูกชะตาชายชรานัก พลางหัวเราะหึๆ ขณะเอ่ย


 


 


“หากร่างแยกไข่มุกกระดูกมารสิงอยู่ในลูกน้องที่เหมาะสม ก็น่าจะสำแดงพลังออกมาได้ไม่น้อยกว่าสองส่วนสินะ จากพละกำลังนี้ในเทือกเขามารสีทองแล้ว นอกจากพวกเราสามคน ก็น่าจะไม่มีผู้ใดทำลายร่างแยกได้” ชายชราสวมชุดสีเงินกลับเอ่ยซักถามต่ออย่างไม่ใส่ใจเลยสักนิด


 


 


“นั่นก็ไม่แน่ พี่หลายตาลืมไปแล้วหรือ ตอนนั้นนอกจากพวกเราที่ติดตามบรรพบุรุษมาถึงแดนวิญญาณ ยังมีเจ้ามารวานรตัวนั้นที่มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับเดียวกันกับเรา อิทธิฤทธิ์ไม่ด้อยไปกว่าพวกเราสามคนเลย” ชายสวมชุดสีโลหิตกลับหัวเราะอย่างแผ่วเบาขณะเอ่ย


 


 


“หึ คาดไม่ถึงว่าวานรมารตัวนั้นจะกล้าขโมยสมบัติสวรรค์ทมิฬที่ท่านบรรพบุรุษมอบให้พวกเราสามคนปกป้องไป เขาจะกล้ามาปรากฏตัวที่นี่อีกได้อย่างไร” ชายชราสวมชุดคลุมสีเงินหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา


 


 


“นั่นก็ไม่แน่ ข้าเดาว่าสาเหตุที่มันทำเช่นนี้ กว่าครึ่งคงอยากออกไปค้นหาวิธีซ่อมแซมสมบัติสวรรค์ทมิฬชำรุดภายนอก จากนั้นก็อาศัยสมบัติชิ้นนี้กลับไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง” ชายสวมชุดคลุมสีโลหิตตอบกลับอย่างไม่คิดเช่นนั้น


 


 


“ซ่อมแซมสมบัติสวรรค์ทมิฬ! มันคิดว่าที่นี่ยังเป็นแดนมารโบราณของพวกเราหรือ? ผู้ที่มีความสามารถในแดนนี้ กำลังไม่ได้ต่างอะไรกับระดับศักดิ์สิทธิ์หรือระดับบรรพบุรุษศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราเลย หากไม่ใช่เพราะพวกเขาถูกบีบจนไร้หนทาง นายท่านบรรพบุรุษก็คงไม่พยายามทลายสมบัติสวรรค์ทมิฬ ถึงจะทำลายเขตแดนส่งพวกเรามาที่นี่” ชายชราชุดสีเงินเอ่ยด้วยแววตาที่เปล่งประกายวาวโรจน์


 


 


“อย่าเดาซี้ซั้ว! ผู้ที่ทำลายร่างแยกคือใคร รอข้ากลับไปใช้เคล็ดวิชาลับตรวจ ก็รู้ได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น ข่าวคราวสุดท้ายที่ร่างแยกของข้าส่งมา ดูเหมือนว่าจะบุตรสาวอันเป็นที่รักของพี่เซี่ยปี้ก็อยู่แถวนั้น” บุรุษสวมชุดคลุมสีเขียวเอ่ยอย่างราบเรียบ


 


 


“เสี่ยอิง! พี่เหล็กคงไม่ได้อยากกล่าวว่า ร่างแยกของเจ้าถูกทำลายด้วยน้ำมือของสาวน้อยหรอกกระมัง” ชายสวมชุดคลุมสีโลหิตหัวเราะร่า แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเหมือนจะอมยิ้มแต่ก็ไม่ได้อมยิ้ม


 


 


“หากมีบุตรสาวเพียงคนเดียวย่อมทำไม่ได้ แต่หากมีมารจระเข้ที่เพิ่งพัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับศักดิ์สิทธิ์ด้วยอีกตน ก็อาจจะเป็นไปไม่ได้” บุรุษสวมชุดคลุมสีเขียวมองชายชุดคลุมสีโลหิตเขม็ง แล้วเอ่ยออกมาทีละคำๆ


 


 


“อะไรนะ เพิ่งพัฒนาขั้นมาอยู่ในระดับศักดิ์สิทธิ์?”


 


 


“เจ้าหมายถึงมารจระเข้ตัวนั้น?”


 


 


ครั้งนี้ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตและชายชราชุดคลุมสีเงินพลันตกตะลึง แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงแหบแห้ง“สหายทั้งสองไม่ต้องตกตะลึง คิดดูแล้วอีกไม่นาน ลูกสมุนของพวกเจ้าก็คงมารายงานเรื่องนี้ด้วยตนเอง ส่วนสหายมารจระเข้ตัวนั้น จะเป็นตัวไหนได้ แน่นอนว่าต้องเป็นจระเข้ทมิฬ” บุรุษสวมชุดคลุมสีเขียวกลับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา


 


 


“ที่แท้ก็มันนี่เอง ก็น่าจะเป็นมันถึงจะถูก!” เมื่อได้ยินฐานะของมารจระเข้ ชายชราสวมชุดคลุมสีเงินมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน


 


 


“หากเป็นเจ้านั้นก็ยุ่งยากแล้ว มันเป็นพาหนะของบรรพบุรุษยมโลกตาข่าย ตอนนั้นบรรพบุรุษของพวกเรามีความสัมพันธ์อันดีกับบรรพบุรุษยมโลกตาข่าย ตอนนี้แม้ว่าจะพาพวกเราออกมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่พวกเราก็ไม่สะดวกที่จะลงมือกับจระเข้ตัวนั้น แต่ตอนั้นเจ้านั้นก็ไม่เคารพอยู่ในกรอบของพวกเรา ตอนนี้บรรลุระดับขั้นแล้ว เกรงว่าคงไม่มีความหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม ไม่เป็นประโยชน์ต่อการดูแลเทือกเขาของพวกเรา” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตพลันขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยด้วยความกลัดกลุ้มเล็กน้อย


 


 


“เรื่องนี้ไม่มีอะไรยุ่งยาก ในเมื่อมารจระเข้บรรลุระดับขั้นแล้ว นายท่านบรรพบุรุษก็ไม่อาจไม่สนใจมันต่อไปอีกได้ ถึงยามนั้นก็มอบให้นายท่านบรรพบุรุษเป็นคนชี้นำ พวกเราไม่จำเป็นต้องวุ่นวายอะไร” ผู้สวมชุดคลุมสีเขียวกลับเอ่ยอย่างมีแผนการอยู่แล้ว


 


 


“มีเหตุผล นายท่านบรรพบุรุษใกล้จะตื่นแล้ว ก็ควรจะฟังคำสั่งของเขา” ชายชราชุดสีเงินลูบเคราใต้คางไปมาแล้ว แล้วพยักหน้าเห็นด้วย


 


 


“อืม ว่าตามสหายทั้งสอง” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตครุ่นคิด แล้วไม่ได้ปฏิเสธ


 


 


“แต่ข้าน้อยกลับอยากรู้มาก ท่านบรรพบุรุษใกล้จะตื่นแล้ว เจ้าสองคนคนหนึ่งกลับส่งร่างแยกออกไป คนหนึ่งส่งบุตรสาวอันเป็นที่รักไป ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรที่ภายนอก สหายทั้งสองคิดจะทำอย่างไร” ชายชราสวมชุดสีเงินกลับหรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วเอ่ยถามขึ้น


 


 


เมื่อได้ฟังชายชราชุดสีเงินเอ่ยถามเช่นนี้ บุรุษสวมชุดสีเขียวและชายสวมชุดคลุมสีโลหิตพลันตกตะลึง อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งไม่ได้


 


 


แต่ชายสวมชุดคลุมสีโลหิตพลันกลอกตาไปมา ทันใดนั้นก็หัวเราะต่ำๆ แล้วถามย้อนกลับว่า


 


 


“หลายตา เหตุใดเจ้าต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องด้วย! ลูกสมุนของเจ้าเองก็ออกไปจากที่พัก กำลังเคลื่อนไหวอยู่มิใชหรือ อย่าบอกนะว่า เจ้าไม่รู้เรื่องเห็ดเซียน?”


 


 


บุรุษสวมชุดคลุมสีเขียวมีสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ด้านข้างไม่ปริปากใดๆ


 


 


“เห็ดเซียน เห็ดเซียนอะไร? ตาเฒ่าออกคำสั่งให้ลูกสมุนเคลื่อนไหว แค่อยากจับคนภายนอกที่สังหารบุตรชายของเข้าเท่านั้น จะได้แก้แค้นแทนให้” ชายชราสวมชุดคลุมสีเงินพลันตกตะลึง อดที่จะตกตะลึงไม่ได้

 

 

 


ตอนที่ 1650 ต้นไม้ดอกกับบรรพบุรุษ

 

 


 


แน่นอนว่าชายชราสวมชุดคลุมสีเงินผู้นั้นก็คือมารหลายตาระดับศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้น


 


 


วันนั้นเพื่อแก้แค้นให้กับบุตรชายอันเป็นที่รักที่ถูกสังหาร เขาได้ส่งมือซ้ายและมือขวาอย่างจิ่วเยี่ย และอู่ลี่ มารอสูรระดับสูงสองตนออกไปค้นหาฆาตกร


 


 


ผลคือจิ่วเยี่ยที่สะกดรอยไปตามลำพัง ถูกร่างแยกของราชามารเหนือชั้นที่สิงอยู่ในรังวิญญาณสังหาร


 


 


แม้ว่าอู่ลี่จะออกคำสั่งให้มารอสูรทั้งหมดขวางหานลี่และพวกเอาไว้ แต่เป็นเพราะแยกกันค้นหา ผลคือถูกหานลี่ใช้ยันต์เกราะเอกกลายเป็นเงาหุ่นเชิดล่อลวงถูกสังหารไปพร้อมกับลูกสมุนอีกสองตัว


 


 


ส่วนมารอสูรที่เหลือก็เตรียมการไปปิดทางเข้าเทือกเขามารสีทองเอาไว้ เพื่อทำการลอบโจมตีหานลี่และพวกโดยมีอสูรน้อยกระเบื้องเคลือบเป็นผู้นำทัพ


 


 


เช่นนั้นแม้ว่าลูกสมุนของมารหลายตาผู้นี้จะมีไม่น้อย ก็ยังไม่รู้เรื่องราวของเห็ดเซียน


 


 


ตอนนี้ได้ฟังคำนี้ แน่นอนว่าเขาพลันตกตะลึง


 


 


ส่วนคนที่เหลือแน่นอนว่าเป็นมารปีกเหล็กและมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์อีกตนหนึ่งที่มีนามว่าแขนโลหิต


 


 


เมื่อเห็นมารหลายตามีสีหน้าเหมือนไม่เสแสร้ง แขนโลหิตพลันตกตะลึง


 


 


แววตาของเขาเปล่งแสงสีโลหิตสว่างวาบ แล้วถึงได้เอ่ยถามด้วยความเคร่งขรึม


 


 


“อันใด บุตรชายของพี่หลายตาเพลี่ยงพล้ำแล้ว เหตุใดเราสองคนถึงไม่รู้เรื่องนี้”


 


 


“หึ บุตรชายของข้าถูกสังหารเป็นเรื่องน่ายินดีอะไร เหตุใดต้องบอกผู้อื่นด้วย ยิ่งไปกว่านั้นช่วงนี้พวกเจ้าก็ยุ่งๆ กันอยู่ จึงไม่รู้ข่าวนั่นก็ไม่แปลก” มารหลายตามีสีหน้าเคร่งขรึม แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเยาะ


 


 


“เฮ้อ….ตาเฒ่าเข้าใจสหายผิดแล้ว” ผู้สวมชุดคลุมโลหิตได้ยินพลันถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างขัดเขินเล็กน้อย


 


 


“เรื่องอื่นไม่จำเป็นต้องพูดถึง ตอนนี้ข้าสนใจเห็ดเซียนที่พวกเจ้าพูดถึงแล้ว สหายทั้งสองไม่อยากพูดอะไรหรือ?” มารหลายตาเอ่ยอย่างราบเรียบ


 


 


“หึๆ ความจริงแล้วก็ไม่มีอะไร เป็นแค่สัตว์เทพฟ้าดินตัวเล็กๆ ที่บุกเข้ามาในเทือกเขา แม้ว่าพวกเราจะไม่พูดถึง คิดดูแล้วอีกไม่นานสหายก็น่าจะรู้เรื่องนี้” มารปีกเหล็กหัวเราะหึๆ ออกมา พลางเอ่ยอย่างส่งๆ


 


 


“อ๋อ ไม่ทราบว่าเป็นสัตว์เทพฟ้าดินอย่างไร คาดไม่ถึงว่าจะทำให้พี่เหล็กและสหายแขนโลหิตสนใจพร้อมกัน แม้แต่ร่างแยกและเลือกเนื้อของโลหิตก็ยังส่งออกไป สหายทั้งสองบอกว่าไม่เป็นไร หรือว่าคิดว่าข้าหาต้นสายปลายเหตุไม่ได้ ทหาร!” มารหลายตามีสีหน้าเคร่งขรึม ปรบมือทั้งสองดัง “แปะ” แล้วเอ่ยตะโกนด้วยเสียงเ**้ยม


 


 


ด้านนอกวิหารมีลำแสงสีดำสว่างวาบ บุรุษสวมชุดเกราะสีเขียวร่างกายผ่ายผอมคนหนึ่งสาวเท้าเดินเข้ามา ก้าวมาสองสามก้าวก็มาอยู่ตรงหน้าชายชราชุดสีเงิน สองมือประสานกำปั้นพลางเอ่ยอย่างนอบน้อม


 


 


“คารวะนายท่าน ไม่ทราบว่ามีรับสั่งอันใดหรือ?”


 


 


“ไปตรวจสอบประวัติของสัตว์เทพที่มีนามว่าเห็ดเซียน และตำแหน่งของมันในตอนนี้สิ?” มารหลายตาออกคำสั่งด้วยความเย็นชา


 


 


“ขอรับนายท่าน” บุรุษสวมชุดเกราะสีเขียวตอบรับอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด จากนั้นร่างก็เปล่งแสงสีดำสว่างวาบ กลายเป็นลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกไปจากประตูใหญ่


 


 


ปีกเหล็กและแขนโลหิตเห็นสถานการณ์เช่นนี้ คนหนึ่งก็ไม่ปริปาก คนหนึ่งใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนไม่ได้สนใจการกระทำของมารหลายตา


 


 


ชายชราชุดสีเงินหันกลับไปมองแวบหนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้าของทั้งสอง สีหน้าจึงยิ่งเคร่งขรึมขึ้น ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยปากว่า


 


 


“เอาล่ะ เรื่องเห็ดเซียนก็พอแค่นี้ จากนี้ต้องคุยเรื่องสำคัญแล้ว สองสามวันก่อนข้าได้ข่าวมาว่าทางเดินเขตแดนที่ถูกพวกเราปิดผนึกเอาไว้ ดูเหมือนจะเกิดความผิดปกติขึ้น ดูเหมือนฝั่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะยังไม่ยอมลดละ เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง”


 


 


“ทางเดินเขตแดน? ตอนแรกไม่ได้ถูกนายท่านบรรพบุรุษสับกระบี่จนพังทลายไปแล้วมิใช่หรือ พวกเขาจะกล้าเคลื่อนไหวอีกได้อย่างไร” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตพลันหน้าเปลี่ยนสี ท่าทางตกตะลึงไปเล็กน้อย


 


 


“อันใดพี่แขนโลหิตไม่เชื่อคำพูดของข้าน้อยหรือ!” มารหลายตาเหลือบมองแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น


 


 


“ทางเดินเขตแดนสำคัญขนาดนั้น ผู้แซ่โลหิตจะไม่เชื่อหรือ” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตพลันหัวเราะฮ่าๆ ออกมา แล้วตอบกลับ


 


 


“หากเขตแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นมีบรรพบุรุษศักดิ์สิทธิ์คนอื่น และยิ่งไปกว่านั้นยังถือสมบัติสวรรค์เอาไว้ ก็ไม่ใช่ว่าจะเปิดทางเดินอีกครั้งไม่ได้” หลังจากที่มารปีกเหล็กลูบใต้คางไปมาก็มีท่าทางขบคิด


 


 


“เป็นไปไม่ได้ ตอนนั้นเป็นเพราะนายท่านบรรพบุรุษศักดิ์สิทธิ์ตกอยู่ในอันตราย เห็นว่าพวกเราไร้สิ้นหนทางแล้ว ถูกทหารไล่ล่าล้อมเอาไว้ ถึงได้จำใจจ้องทำลายสมบัติสวรรค์ทมิฬและใช้พลังยุทธ์ของตนเองเป็นสิ่งตอบแทนในการทลายเขตแดน แม้ว่าบรรพบุรุษคนอื่นจะมีสมบัติสวรรค์ทมิฬ แต่จะทุ่มเทกับสิ่งนี้อย่างสูญเปล่าได้อย่างไร” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตปฏิเสธอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด


 


 


“นั่นก็ไม่แน่ หากทางนั้นมีบรรพบุรุษสองคนขึ้นไป และถือสมบัติสวรรค์ทมิฬสับกันทำการโจมตี บางทีอาจจะเปิดเขตแดนได้โดยไม่ต้องได้รับบาดเจ็บ” หลังจากที่แววตาของมารหลายตาเปล่งประกายสว่างวาบ ก็เอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึม


 


 


เมื่อได้ยินคำนี้แขนโลหิตและมารปีกเหล็กพลันตกตะลึง ทันใดนั้นก็มีสีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง


 


 


“ช่างเถิด ทางเดินนั้นเปลี่ยนแปลงได้ง่ายมาก แม้ว่าจะเปิดทางเดินได้ก็ต้องใช้เวลาอีกหลายปี จะสู้หรือจะหนีก็ให้นายท่านบรรพบุรุษศักดิ์สิทธิ์ตัดสินใจก็แล้วกัน เขาอาจจะตื่นได้ตลอดเวลา” มารปีกเหล็กถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วหัวเราะขมขื่นขณะเอ่ย


 


 


“เป็นเช่นนั้นจริงๆ จากอิทธิฤทธิ์ของพวกเราไม่อาจยับยั้งความเปลี่ยนแปลงของเขตแดนได้ ทว่านายท่านบรรพบุรุษอาจจะมีวิธียับยั้ง” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตเอ่ยด้วยสีหน้ากระตือรือร้น


 


 


มารหลายตาได้ยินแล้วก็ลูบเคราพลางพยักหน้า ขยับริมฝีปากดูเหมือนคิดจะเอ่ยอะไรอีก


 


 


แต่ในยามนั้นเองประตูหินสีดำสูงประมาณสิบจั้งที่อยู่ตรงหน้าทั้งสามคนก็เปล่งแสงสว่างวาบ อักขระจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏออกมา เปล่งแสงสว่างวาบไม่แน่นอน


 


 


“นายท่านบรรพบุรุษตื่นแล้ว!”


 


 


เมื่อเห็นท่าทางประหลาดของประตูหิน ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตก็ร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง


 


 


ทันใดนั้นมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามคนก็เผยสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจออกมา ยืนประสานมือหันหน้าไปทางประตูหิน


 


 


ประตูหินมีลำแสงไหลวนโคจรอยู่ หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา ในที่สุดลำแสงก็หม่นแสง


 


 


ในเวลาเดียวกันอักขระพลันเปล่งแสงเจิดจ้า ชั่วพริบตาก็หม่นแสง สุดท้ายก็สลายหายไป


 


 


เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ มารทั้งสามพลันจ้องไปยังประตูหินด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ ไม่มีท่าทีร้อนใจเลยแม้แต่น้อย


 


 


ประตูหินยักษ์กลับเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก


 


 


หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามเต็มๆ ฉับพลันนั้นเสียง “ครืด” ดังขึ้น ประตูหินเปิดออกโดยอัตโนมัติ


 


 


มารทั้งสามมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจ


 


 


“อ๋อ คาดไม่ถึงว่าทั้งสามจะอยู่ที่นี่ ต้องขอบคุณพวกเจ้าที่ให้ความสำคัญจริงๆ เข้ามาก่อนเถิด” เสียงของหญิงสาวดังออกมาจากด้านหลังประตูหิน เสียงเย้ายวนเป็นอย่างยิ่ง มีความรู้สึกอ่อนหวานอย่างที่อธิบายไม่พูด ทำให้พูดคนได้ฟังแล้วอดที่จะตื่นเต้นอยากรู้โฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้านายไม่ได้


 


 


และหลังจากที่ประตูหินเปิดออกได้ครึ่งหนึ่ง หมอกลำแสงสีชมพูก็เปล่งแสงสว่างวาบ เผยความลึกลับออกมา


 


 


“ยินดีกับการตื่นจากการหลับใหลของนายท่านบรรพบุรุษ พวกเราขอเข้าเฝ้าพระองค์” มารหลายตาเป็นตัวแทนของคนที่เหลือสองคนค้อมตัวแล้ว ตอบกลับอย่างนอบน้อม


 


 


จากนั้นมารทั้งสามก็ระงับความตื่นเต้นดีใจเอาไว้ และเดินเคียงไหล่กันเข้าไปในประตูหิน


 


 


แต่พวกเขาเพิ่งจะเหยียบเข้ามาในประตูหิน ก็รู้สึกเพียงว่าหมอกลำแสงสีชมพูตรงหน้าเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะเข้ามายังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย


 


 


ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสไร้กลุ่มเมฆ พื้นดินเป็นสีเขียวขจีไร้ขอบเขตทอดยาวต่อเนื่องไกลออกไป ท้องฟ้าผืนดินของที่นี่ดูเหมือนจะกว้างไกลจนสุดลูกหูลูกตาอย่างไรอย่างนั้น


 


 


บนทุ่งหญ้าที่อยู่ไกลออกไปกลับมีต้นไม้ดอกขนาดยักษ์สูงร้อยจั้งต้นหนึ่ง


 


 


ต้นไม้ต้นนี้เป็นสีม่วงออก บนกิ่งมีดอกไม้สีชมพูนิรนามผลิดอกอยู่ไปทั่ว ราวกับดอกบัวยักษ์ ทุกดอกมีขนาดเท่าปากชาม


 


 


ด้านล่างต้นไม้ต้นนี้กลับมีเงาร่างสีขาวงดงามราวกับไม่ใช่คนจากโลกมนุษย์อยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ


 


 


แม้ว่าต้นไม้ดอกยักษ์จะดูห่างไกลมาก หญิงสาวก็หันหลังให้ทั้งสามคน แต่เงาแผ่นหลังที่อรชรอ้อนแอ้นก็เพียงพอจะทำให้บุรุษกว่าครึ่งในใต้หล้าต้องหลงใหลอย่างบ้าคลั่ง


 


 


มารทั้งสามเห็นหญิงสาวผู้นี้กลับคารวะพร้อมกันอยู่ไกลๆ


 


 


“ในเมื่อมาแล้วก็มาคุยกันใกล้ๆ กันเถิด” หญิงสาวผู้นั้นหัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา แขนเรียวยกขึ้นอย่างสง่างาม คาดไม่ถึงว่าเด็ดดอกไม้ยักษ์สีชมพูที่อยู่เหนือหัวไปแค่คืบลงมา จากนั้นก็โยนไปด้านล่างอย่างส่งๆ


 


 


เสียง “ตูม” ดังขึ้น ดอกบัวยักษ์สีชมพูแค่หมุนวน ก็เปล่งเสียงระเบิดอึกทึกออกมา กลายเป็นหมอกลำแสงสีชมพูม้วนวน


 


 


มารทั้งสามรู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้ามีลำแสงสีชมพูเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง บรรยากาศรอบด้านรางเลือน ครู่ต่อมาก็มาปรากฏตัวห่างจากต้นไม้ดอกยักษ์ไปไม่ถึงสิบจั้ง


 


 


ทั้งสามพลันตกตะลึง แต่จากนั้นก็คารวะด้วยความดีใจระคนร้อนรนอีกครั้ง


 


 


“ลุกขึ้นเถิด พวกเจ้าเองก็ติดตามข้ามาหลายปี น่าจะรู้แล้วว่าข้าไม่ชอบมากพิธี” หญิงสาวไม่ได้หันกายกลับมา แต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยนเป็นพิเศษ ทำให้ผู้คนได้ยินแล้วเกิดความรู้สึกชื่นชม


 


 


“ขอบพระคุณนายท่านบรรพบุรุษ ยินดีกับนายท่านที่ฟื้นฟูอิทธิฤทธิ์ได้!” มารทั้งสามกลับไม่กล้าดูแคลน หลังจากค้อมตัวลงอีกครั้ง ถึงได้หยัดกายลุกขึ้น


 


 


“ไม่ต้องพูดถึงการฟื้นฟูอิทธิฤทธิ์ ตอนนี้ข้ามีพลังปราณแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น พลังยุทธ์ที่เหลือไม่ได้ฟื้นฟูได้ด้วยการนอนหลับสนิท จำต้องอาศัยพลังจากภายนอก” หญิงสาวถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะมีท่าทีจนปัญญาไปเล็กน้อย


 


 


“ภายนอก?” เมื่อได้ยินคำนี้ ชายชราชุดสีเงินและพวกอดที่จะมองสบตากันไปมาไม่ได้


 


 


“ใช่แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใช่ของภายนอกธรรมดาๆ แต่แดนวิญญาณนี้ก็ไม่ด้อยไปกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา คิดดูแล้วคงหาได้” หญิงสาวชุดขาวเอ่ยพึมพำ เงยหน้าขึ้นมองดอกไม้ทั้งหมดบนต้นไม้ยักษ์ ดูเหมือนว่าจะไม่มั่นใจนัก


 


 


“นายท่านบอกมาเถิด ไม่ว่าเป็นสิ่งใด ขอแค่แดนวิญญาณมี ข้าน้อยจะต้องหาพวกมันมาให้ได้” มารปีกเหล็กใช้สองมือประสานกำปั้น แล้วเอ่ยอย่างมั่นใจเป็นพิเศษ


 


 


มารที่เหลือทั้งสองเองก็แสดงความจริงใจออกมาเช่นกัน


 


 


“หึๆ ความหวังดีของพวกเจ้าข้าขอรับไว้ แต่ที่นี่ไม่ใช่แดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา แม้ว่าพวกเจ้าจะอยู่ในระดับศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่มีพลังยุทธ์ต่ำต้อยในแดนวิญญาณไม่อาจมองฐานะของเจ้าออก แต่หากพบกับผู้ที่มีพลังยุทธ์ไม่ต่างกัน กลับไม่อาจปกปิดฐานะได้ ถึงยามนั้นก็รักษาชีวิตได้ยาก จะไปหาของแทนข้าได้อย่างไร มีเพียงข้าต้องออกไปเองสักรอบ” หลังจากหญิงสาวครุ่นคิดเล็กน้อย ก็เอ่ยอย่างตัดสินใจ


 


 


“นายท่านจะออกไปด้วยตัวเอง?”


 


 


“เป็นไปไม่ได้! พลังยุทธ์ของนายท่านบรรพบุรุษยังไม่ฟื้นฟู หากไปเจอกับผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันจะทำอย่างไร!”


 


 


“นายท่านจะต้องไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน”


 


 


……


 


 


สามมารได้ยินคำพูดของหญิงสาว ชั่วขณะนั้นก็เอ่ยชักจูงอย่างต่อเนื่อง ล้วนมีท่าทีซื่อสัตย์ต่อหญิงสาวผู้นี้


 


 


“วางใจ โอกาสที่จะพบกับผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเข้าในแดนวิญญาณมีอยู่น้อยมาก ผู้ที่ฝึกฝนจนมาอยู่ในระดับเดียวกันกับข้า ปกติแล้วจะหลบฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่ภายในถ้ำพำนัก เพื่อรับมือกับเคราะห์สวรรค์ต่างๆ ไหนเลยจะออกมาเคลื่อนไหวง่ายๆ และยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าข้าจะมีพลังปราณแค่ครึ่งเดียว หากปะทะกับผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันก็อาจจะต้านทานไม่ได้ แต่หากหนีละก็ กลับทำได้สบายมาก พวกที่สามารถบรรลุขั้นสุดท้ายได้ตลอดเวลาอย่างพวกเรา ไหนเลยจะถูกคนอื่นสังหารได้ง่ายๆ” เงาสีขาวของหญิงสาวเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)