พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1645-1654

 บทที่ 1645 กล้าตีก็อย่าหนี

 

“หนิวเอ้อร์ เจ้าก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนั้น ตกลงมีเรื่องอะไรกันแน่?”


หลังจากจบงานเลี้ยงอุทยานหลวง พอกลับมา ‘อวิ๋นเซวียน’ แล้วไม่มีคนนอก อวิ๋นจือชิวก็ถามซักไซ้เหมียวอี้ทันที


เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน แล้วหยิบหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็งออกมา แล้วตอบอย่างทอดถอนใจว่า “ข้าก็แค่อยากจะทดสอบดูเฉยๆ นึกไม่ถึงว่าหงส์รุ้งนั่นจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่…” เขาเล่าสถานการณ์ตอนนั้นให้ฟังรอบหนึ่ง


“เจ้านี่ก็จริงๆ เลย ทำไมคิดอะไรก็ทำเลยเหมือนเด็กสามขวบ” อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน แต่ก็กล่าวอย่างลังเลอีกว่า “สามารถทำให้หงส์รุ้งสูญเสียการควบคุมได้ขนาดนี้ สงสัยหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็งจะมีความหมายที่ไม่ธรรมดาต่อเผ่าหงส์”


เหมียวอี้มองดูไข่มุกในมือ แล้วพยักหน้าเบาๆ “ข้าก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่เผ่ามังกรและหงส์ถูกคุมขังอยู่ที่ตำหนักสวรรค์มานานเกินไป ไม่ได้ย่อยปราณชั่วร้ายสะสมบุญมานาน เลยสูญเสียความสามารถในการกลายเป็นมนุษย์และพูดภาษามนุษย์ไปนานแล้ว แล้วพวกเราก็ฟังภาษาหงส์กับภาษามังกรไม่เข้าใจด้วย บวกกับหาโอกาสอยู่กันตามลำพังไม่ได้ ไม่มีทางสื่อสารกันได้เลย ไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนด้วยเหมือนกัน มีแต่ต้องรอเวลาให้โอกาสมาถึง แล้วค่อยลองคิดหาทางสื่อสารกับพวกมันสักหน่อย”


อวิ๋นจือชิวก็พยักหน้าเงียบๆ เช่นกัน เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ ดวงตางามวูบไหว พอกลอกลูกตา ในดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์ “ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสสื่อสารกับเผ่าหงส์ สนมสวรรค์จ้านหรูอี้ก็มีเกี้ยวหงส์ นางเป็นลูกน้องเก่าเจ้า เจ้าน่าจะมีวิธีการติดต่อกับนางสิ แอบไปเจอกันส่วนตัวตอนไหนก็ได้”


“…” เหมียวอี้อึ้งทันที พอพูดถึงจ้านหรูอี้ เขาก็รู้สึกใจลอยนิดหน่อย นึกอะไรบางอย่างได้ ก่อนหน้านี้เหมือนจะมองเห็นนางอยู่ไกลๆ ที่พระตำหนักอุทยาน…อยากจากเรียกสติกลับมาแล้ว จู่ๆ ก็สังเกตได้ว่าคำพูดของอวิ๋นจือชิวฟังดูแปลกๆ จึงขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าหมายความว่าอะไร? ที่บอกว่าแอบไปเจอกันส่วนตัวคืออะไร? ข้ากับนางมีความสัมพันธ์ไม่ดีต่อกันมาตลอด ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ ไปหานางจะไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรอกเหรอ”


“งั้นเหรอ?” อวิ๋นจือชิวจองปฏิเสธกิริยาของเขาพลางอมยิ้ม “ตอนอยู่ที่พระตำหนักอุทยาน นางตั้งใจมาเรียกข้าไปคุยเลยนะ นางบอกเรื่องระหว่างเจ้ากับนาง เจ้าคิดจะปิดบังข้าไปถึงเมื่อไรกัน?”


เมื่อนางกล่าวเช่นนี้ เหมียวอี้ก็เครียดกังวลทันที แต่ไม่นานก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติ มีหรือที่จ้านหรูอี้จะพูดเรื่องแบบนั้นออกมาซี้ซั้ว ผู้หญิงคนนี้ร้ายเกินไปแล้ว หลอกถามความจริงจากข้าอีกแล้ว!เขาแสร้งทำท่าเหมือน ‘คนไม่ทำผิดมโนธรรมย่อมไม่กลัวผีมาเคาะประตู’ ทันที แสยะยิ้มบอกว่า “ทำไมข้ารู้สึกว่าคำพูดเจ้ามีนัยยะแอบแฝงล่ะ ข้ากับนางจะมีอะไรกันได้ น้องชิว เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่?”


อวิ๋นจือชิวจับสังเกตได้ถึงอารมณ์เครียดกังวลที่แวบผ่านใบหน้าเขาไปแล้ว “เจ้ากับนางมีอะไรต่อกัน เจ้าก็ต้องามตัวเองแล้ว” ขณะที่พูดนางก็เอานิ้วจิ้มตรงหัวใจเหมียวอี้


เหมียวอี้คว้ามือนาง “นี่เจ้ากำลังพาลหาเรื่องใช่มั้ย?”


อวิ๋นจือชิวแสยะหัวเราะ “ข้าพาลหาเรื่องเหรอ? เจ้าคิดว่าข้าล้อเล่นเหรอ? หลังจากเจ้าก่อเรื่องที่พระตำหนักอุทยาน ตอนที่ข้ากำลังดื่มสุราฉลองอยู่ฝั่งนั้น นางก็ตั้งใจรั้งข้าให้อยู่คุยกัน พูดโยงเกี่ยวกับเจ้าตลอด ราวกับว่าไม่พอใจที่ข้าใส่ใจเจ้าไม่มากพออย่างนั้นแหละ ไม่ว่าข้าจะฟังยังไงก็รู้สึกว่าไม่ปกติ พอนึกโยงไปถึงตอนก่อนหน้านี้ ตอนที่เจ้าโดนลดขั้นไปเป็นนายทหารที่อุทยานหลวง เวลาว่างนางก็จะเรียกเจ้าไปปลูกต้นไม้ ตอนนั้นข้านึกว่านางอยากจะทำให้เจ้าอับอายเสียอีก ตอนนี้มาพอคิดดูให้ดี สงสัยข้าจะเป็นคนโง่สินะ! เชอะ หนิวเอ้อร์ เจ้าตอบข้ามาอย่างซื่อสัตย์นะ พวกเจ้าเคยทำเรื่องอะไรที่บอกใครไม่ได้ใช่มั้ย ถ้าพูดออกมาตอนนี้ข้าจะไม่ถือสา ถึงยังไงเรื่องก็ผ่านไปแล้ว ต่อไปถ้าข้าสืบเจอเองทีหลัง ข้าไม่เลิกจองเวรเจ้าแน่!”


ไม่ถือสาเรื่องในอดีตงั้นเหรอ? ถ้าเชื่อเจ้าได้ก็แปลกแล้ว! เหมียวอี้พึมพำในใจ ทั้งโมโหทั้งอยากขำ “เจ้าคิดว่าระหว่างข้ากับนางเคยทำเรื่องอะไรที่บอกคนอื่นไม่ได้งั้นเหรอ?”


“บอกมาใช้ชัดเจนเถอะ พวกเจ้าเคยนอกด้วยกันหรือเปล่า?” อวิ๋นจือชิวถามตรงๆ


“บ้าไปแล้วเหรอ!” เหมียวอี้สะบัดมือนางออก “เจ้าไม่รู้เหรอว่านางอยู่ในฐานะอะไร? ถ้าข้าเคยมีความสัมพันธ์อะไรกับนางจริงๆ นางจะกลายเป็นสนมสวรรค์ได้ยังไงล่ะ ประมุขชิงเป็นคนที่จะโดนสวมเขาได้เหรอ? ถ้างั้นตอนที่วังสวรรค์ตรวจร่างกาย นางก็คงไม่ผ่านแล้ว เจ้าคิดว่าข้าจะรอดชีวิตมาได้จนทุกวันนี้เหรอ?”


ที่จริงตอนแรกที่เหมียวอี้อยู่ที่ผืนนาหลวง จ้านหรูอี้เอาแต่เรียกหาเหมียวอี้ไปอยู่กันตามลำพัง อวิ๋นจือชิวก็สังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว ผู้หญิงความรู้สึกไวต่อเรื่องพวกนี้มาก และเป็นเพราะสาเหตุเล็กน้อยอย่างที่เหมียวอี้บอก ถึงได้ทำลายความเคลือบแคลงของนางไป เป็นไปไม่ได้ที่ประมุขชิงจะโดนสวมเขา แต่ตอนนี้บทอวิ๋นจือชิวจะอารมณ์ร้ายขึ้นมา นางก็ไม่ปรานีอยู่แล้ว “เรื่องนี้ใครจะพูดชัดเจนได้ พวกเจ้าอยู่ด้วยกันนานขนาดนั้น เจ้าเองก็ไม่ใช่คนที่สามารถรักนวลสงวนตัวได้อยู่แล้ว ชายหญิงอยู่ด้วยกันตามลำพัง ผีที่ไหนจะไปรู้ว่าลับหลังพวกเจ้าสองคนทำอะไรกัน แล้วอีกอย่างนะ ต่อให้นางจะร่างกายไม่บริสุทธิ์ แต่ด้วยอำนาจของตระกูลอิ๋งน่ะ เล่นตุกติกนิดหน่อยเพื่อปิดบังก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้! พอพูดถึงสิ่งนี้ ตอนนี้ข้าก็นับว่าเข้าใจแล้ว มิน่าล่ะตระกูลอิ๋งถึงกัดเจ้าไม่ปล่อย สงสัยจะอยากฆ่าปิดปากเจ้าน่ะสิ!”


“ไปตายไกลๆ เลยไป ข้าไม่มีอารมณ์มาวุ่นวายกับคนไร้เหตุผลอย่างเจ้า!” เหมียวอี้แทบจะถ่มน้ำลายใส่หน้านาง หันตัวเดินออกไปแล้ว


“โถ่เอ๊ย! ตอนนี้ไม่มีอารมณ์แล้วเหรอ ในปีนั้นตอนที่ขึ้นเตียงข้า อารมณ์ตอนพูดจาหวานหูแล้วถกกระโปรงข้าหายไปไหนแล้วล่ะ เล่นจนเบื่อแล้วล่ะสิ? ไอ้เวรเอ๊ย หยุดอยู่ตรงนั้นนะ!” อวิ๋นจือชิวไม่ใช่เล่นๆ เลย พับแขนเสื้อสองข้างขึ้นแล้ว เผยแขนขาวอมชมพูระเรื่อเหมือนรากบัว นางไล่ตามไปกระโดดใส่ ใช้ขาสองข้างเกี่ยวเอวเหมียวอี้เอาไว้ แล้วใช้แขนคล้องคอ พัวพันเหมียวอี้ไม่ปล่อยราวกับเป็นหนวดปลาหมึก จากนั้นกัดหัวไหล่เหมียวอี้อย่างแรง


“ซี้ด…” เหมียวอี้เจ็บจนสูดหายใจลึก แล้วตะคอกอย่างโมโห “นางผู้หญิงปากร้าย ถ้ายังไม่ปล่อยก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจนะ!”


อวิ๋นจือชิวที่กำลังกัดหัวไหล่ว่ายหน้า บอกใบ้ว่าไม่ปล่อย ขณะเดียวกันออกแรงที่ฟันมากขึ้น


เหมียวอี้ไฟโกรธพุ่งพล่านขึ้นสามจั้ง ควงแขนตบไปข้างหลังหนึ่งที ตบก้นอวิ๋นจือชิวเสียงดังเปรี๊ยะ ลงมือค่อนข้างหนัก ทำให้อวิ๋นจือชิวเจ็บจนเลิกคิ้ว แต่นางใส่เต็มแรงแล้ว ยิ่งเจ็บนางก็ยิ่งออกแรงกัดมากขึ้น แทบจะกัดเนื้อบนหัวไหล่ของเหมียวอี้หลุดออกมา


เหมียวอี้ถูกกดดันจนหมดหนทาง จำเป็นต้องร่ายอิทธิฤทธิ์ลงมือ พอควบคุมอวิ๋นจือชิวเอาไว้ได้แล้ว ถึงได้แกะ ‘หนวดปลาหมึก’ ที่พันอยู่บนร่างกายตัวเองออก จากนั้นใช้แขนข้างหนึ่งขนาบเอวนางเอาไว้ หนีบนางไว้ใต้รักแร้แล้วเดินเข้าไปในห้องนอน จากนั้นก็โยนนางลงบนเตียง


พอมองดูเสื้อผ้าบนหัวไหล่ตัวเองที่ถูกกัดจนมีรอยเลือด เหมียวอี้ก็ชี้นางพร้อมด่าอย่างโมโห “นางผู้หญิงากร้าย สักวันข้าจะหย่ากับเจ้า!” จากนั้นสะบัดชายเสื้อแล้วหันตัวเดินออกไป


อวิ๋นจือชิวที่กำลังตัวแข็งทื่อได้แต่กลอกลูกตา ได้แต่มองเหมียวอี้เดินออกไปตาปริบๆ นางแค้นจนกัดฟันกรอด ก้นก็ถูกตีจนเจ็บจริงๆ แล้วเช่นกัน


โชคดีที่ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้ก็กลับมาอย่างเงียบๆ อีก มายืนข้างเตียงแล้วจ้องนางอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจ แล้วลงมือคลายผนึกวรยุทธ์บนตัวอวิ๋นจือชิวออก


อวิ๋นจือชิวพลิกตัวลุกขึ้นมาทันที แล้วแสยะหัวเราะ ปากยิ้มแต่หน้าไม่ยิ้ม รอยยิ้มนี้ทำให้เหมียวอี้รู้สึกหนาวในใจ ต้องถอยหลังก้าวหนึ่งโดนจิตใต้สำนึก แล้วโบกมือบอกว่า “น้องชิว เราคุยกันดีๆ ก็ได้นะ”


“คุยกับสารเลวอย่างเจ้านะเหรอ!” อวิ๋นจือชิวโบกมือชักดาบใหญ่ออกมาเสียเลย แล้วหันออกไปอย่างบ้าคลั่ง เรียกได้ว่าห้าวหาญดุร้าย


เหมียวอี้ตกใจทันที หดหัวแล้วถลันตัวหนี ทำให้หลบไปได้หนึ่งดาบ ท่ามกลางแสงสะท้อนคมดาบ เขาพบว่าอวิ๋นจือชิวเอาจริง หลบซ้ายหลบขวาพลางตะโกนว่า “เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ!”


“เจ้าบังคับให้ข้าบ้าไง ไอ้สารเลว ตีผู้หญิงแล้วยังมาอ้างเหตุผลอีกเหรอ! ข้ายกน้ำชาให้เจ้า รินน้ำชาให้เจ้า ปรนนิบัติอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจ้า คุกเข่าใส่รองเท้าใส่ถุงเท้าให้เจ้า ตอนที่นิสัยสัตว์ป่าของเจ้าปะทุขึ้นมา ข้าก็เปลี่ยนลูกเล่นต่างๆ นาๆ เพื่อปรนนิบัติไอ้สิ่งที่อยู่ในเป้ากางเกงของเจ้า ข้าให้เจ้าเล่นจนกว่าจะพอใจทุกครั้ง ทั้งยังต้องช่วยดูแลอนุภรรยาให้เจ้าด้วย ข้าทำผิดต่อเจ้าตรงไหนสักนิดมั้ย แล้วเจ้ามาทำกับข้าอย่างนี้น่ะเหรอ? กล้าตีข้าเหรอ ข้าจะสู้ตายกับเจ้า…ตีเมียตัวเองถือว่าเก่งอะไรล่ะ กล้าตีก็อย่าหนี ผู้ชายอย่างเจ้าน่ะ ถ้าเก่งนักก็มากินดาบของข้าสักครั้งสิ!” อวิ๋นจือชิวถือดาบไล่ฟันอย่างบ้าคลั่ง เรี่ยวแรงไม่ต่างกับตอนที่นางยังเป็นสาวน้อย นึกถึงในปีนั้นที่ได้ชื่อว่าเป็นนางมารร้ายแห่งนภาจอมมาร ทำเอาคนเห็นแล้วกลัว ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว บทจะอารมณ์ร้ายขึ้นมานิสัยก็ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด


ที่จริงนางก็เป็นอย่างนี้มาตลอด ในปีนั้นเหมียวอี้กับนางก็ยังเกรงใจกันนิดหน่อย ยังไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ตอนยังไม่ได้แต่งงานกับนางแล้ว เอะอะก็จะลงไม้ลงมือ ตอนที่เหมียวอี้ยังเหาะไม่ได้ บางครั้งก็ยังเคยถูกนางเตะลงมาจากบนฟ้าเลย


ที่จริงแล้ว เหมียวอี้ก็รู้ว่านางมีนิสัยเจ้าอารมณ์มาตั้งแต่ก่อนจะแต่งงานกันแล้ว เตรียมใจมาแล้วเช่นกัน เตรียมใจที่จะยอมรับข้อเสียของผู้หญิงคนนี้มาตั้งแต่แรก แต่บทนางจะปะทุอารมณ์ขึ้นมา ก็ยังทำให้เขาทนไม่ค่อยไหว เพราะบรรพบุรุษท่านนี้กล้าพูดออกมาทุกอย่างจริงๆ แม้แต่เรื่องลับก็กล้าตะโกนออกมาโดยตรง จะไม่ให้คนมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร?


เงาดาบนี้ยังไม่นับว่าร้ายแรงเท่าไร อาศัยวรยุทธ์ของเหมียวอี้ในตอนนี้ ถ้าอวิ๋นจือชิวอยากจะทำให้เขาเจ็บตัวก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ประเด็นก็คือนางปากไม่มีหูรูด ตะโกนส่งเสียงโดยไม่สำรวมสักนิด เหมือนกลัวทุกคนจะไม่ได้ยิน สิ่งที่นางตะโกนออกมา เหมียวอี้ฟังแล้วต้องปาดเหงื่ออย่างควบคุมจิตใจไม่อยู่ แทบจะโดนดาบฟันแล้วจริงๆ


แกร๊ง! โครม!


ตรงจุดที่แสงสะท้อนเงาดาบแวบผ่าน พวกโต๊ะพวกเก้าอี้ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ในชั่วพริบตาเดีย ของในจวนท่านอ๋องล้วนเป็นของดีทั้งนั้น


โครมคราม! ผนังด้านหนึ่งถูกฟันจนพลิกแล้ว


เหมียวอี้ถลันตัวหลบ หลบออกมาจากผนังที่พังทลายลง


เขาคิดว่าถ้าเขาวิ่งหนีออกไปข้างนอก คนข้างนอกก็จะเห็นเขา อวิ่นจือชิวก็คงจะเกรงกลัวบ้าง คงจะหยุดและเก็บสำรวมอาการเอาไว้สักหน่อย แต่ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะตวาดเสียงแหลม “ไอ้เวรเอ๊ย อย่าหนีนะ!” นั่งกระโจนตัวออกมาท่ามกลางฝุ่นควันที่ตลบอบอวล ถือดาบไล่ตามออกมาสังหาร ปราณดาบถูกฟันออกมาหนึ่งชุดอย่างเหี้ยมหาญดุร้าย


เหมียวอี้ลนลานหลบหนี เพราะปราณดาบแบบผ่านเข้ามา ภูเขาจำลองก็พังทลายลง กำแพงบ้านแตกปลิว ต้นไม้ใบหญ้าปลิวมั่วไปหมด พื้นดินแยกออกเป็นร่องลึกหนึ่งรอย


นี่มันเอาจริงชัดๆ! เหมียวอี้ตกใจมาก ฟันสังหารเข้ามาจนยุ่งเหยิง ในมือเขาไม่มีอาวุธอะไร ถูกกดดันจนหนีหัวซุกหัวซุน


“นายท่าน ฮูหยิน!” เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์วิ่งออกมาแล้ว ไม่เห็นว่าฉากนี้รุนแรงกว่าเมื่อก่อนเยอะมาก พวกนางจึงร้องอุทานอย่างตกใจไม่หยุด


พวกสาวใช้ในอวิ๋นเซวียนก็ตะลึงค้างแล้วเช่นกัน


พวกทหารยามกลุ่มหนึ่งที่เฝ้าจวนอ๋องสวรรค์ถลันตัวเข้ามาดู เมื่อเห็นสองผัวเมียทะเลาะกัน แต่ละคนก็พูดไม่ออก ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าควรจะลงมืออย่างไรดี แม้แต่ชูเจี้ยน หัวหน้าทหารยามของจวนท่านอ๋องเห็นแล้วก็งงเป็นไก่ตาแตก นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?


อย่าว่าแต่ทหารยามเลย แม้แต่คนอื่นที่อยู่ในเรือนพักก็ตกใจจนต้องออกมาแล้วเช่นกัน เสียงความเคลื่อนไหวดังขนาดนี้ จะไม่ให้ตกใจก็คงยาก


เมื่อเห็นอวิ๋นจือชิวถือดาบไล่สังหารจนเหมียวอี้หลบซ้ายหลบขวา สุยฉูฉู่กับซูฮวนเหนียงและคนอื่นๆ ก็ตกใจมาก เด็กดีเอ๋ย เจ้าเจ็ดคนนี้ช่างห้าวหาญดุร้าย!


สำหรับพวกนางแล้ว ถ้าล้อเล่นกับผู้ชายของตัวเองนิดหน่อยก็ยังพอได้ แต่ถ้าให้ลงมือกับผู้ชายในบ้านตัวเอง แค่คิดก็ยังไม่กล้าคิดเลย นี่ไม่ต้องพูดถึงการถือดาบไล่ฆ่า แนวคิดผู้ชายเป็นใหญ่คือค่านิยมของสังคมนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ไหนจวนท่านอ๋อง มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่กล้าทำผิดธรรมเนียมอย่างนี้ ต่อให้เป็นเจ้าหกโค่วอวี้ก็ยังไม่กล้าทำอย่างนี้กับชูเจี้ยนซึ่งเป็นเขยที่แต่งเข้าบ้านเลย ถ้าทำอย่างนี้จริงๆ จะต้องถูกท่านพ่อจับหักขาแน่


พวกโค่วเจิงและสามพี่น้องมองหน้ากันเลิกลั่ก เป็นครั้งแรกที่เห็นเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นในจวนอ๋องสวรรค์


ส่วนพวกรุ่นหลานของตระกูลโค่ว ในขณะที่ตกใจก็แอบตื่นเต้นนิดหน่อย ตอนนี้คือฉากที่พบเห็นได้น้อยมาก


ผ่านไปไม่นาน โค่วหลิงซวีกับถังเฮ่อเหนียนก็ปรากฏตัวกลางท้องฟ้า ทั้งคู่ถูกทำให้ตกใจแล้วเช่นกัน พอเหลือบไปเห็นเหตุการณ์ข้างล่าง พวกเขาก็สบตากันอย่างพูดไม่ออก


เพียงแต่โค่วหลิงซวีหน้าดำคร่ำเครียดลงอย่างรวดเร็ว  เห็นเพียงเหมียวอี้ตะโกนร้องอยู่ข้างล่างว่า “นางผู้หญิงปากร้าย จะหาเรื่องพอหรือยัง!” ขณะเดียวกันก็ถือโอกาสสะบัดทวนเกล็ดย้อนมาไว้ในมือ แล้วใช้ทวนแทงต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็ว โจมตีจนอวิ๋นจือชิวทำอะไรไม่ถูก เพราะนี่คือวิชาทวนอันยอดเยี่ยม ใช้ทวนปาดจนดาบในมืออวิ๋นจือชิวกระเด็นหลุดมือ


“ไอ้เวรนี่!” อวิ๋นจือชิวก็ร้องโวยวายเช่นกัน นางก็ถนัดวิชาทวนที่สุดเช่นกัน จึงโบกมือช้อนทวนด้ามหนึ่งมาไว้ในมือ แล้วโผเข้าไปหาเหมียวอี้ในขณะที่ตัวเองมีรอยโหว่ทั้งตัว โจมตีอย่างเดียวโดยไม่ป้องกัน เป็นการเอาร่างกายที่มีเลือดเนื้อกระโจนเข้าไปบนทวนของเหมียวอี้แท้ๆ เลย ไม่มีการป้องกันอะไรสักนิด


เพราะนางใช้วิธีการโจมตีที่ไร้เหตุผลอย่างนี้ แล้วเหมียวอี้จะเล่นต่ออย่างไรล่ะ? เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเอาหัวทวนที่แหลมคมจิ้มไปบนร่างกายของนาง เป็นเขาเสียเองที่ถูกนางโจมตีจนทำอะไรไม่ถูก


เขาอยากจะแย่งทวนแล้วจับตัวอวิ๋นจือชิวเอาไว้ แต่ก็กังวลอีกว่าจะกดดันให้นางใช้เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน แบบนั้นจะเป็นการเผยพิรุธแล้วจริงๆ ขณะที่เขากำลังคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้ โค่วหลิงซวีที่อยู่บนฟ้าก็ทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว เอียงหน้าส่งเสียงบอกใบ้ว่า “อืม!”


ถังเฮ่อเหนียนถลันตัวเข้าไป ราวกับเหยี่ยวโฉบกระต่าย ขณะกำลังจะเหยียบลงพื้น แขนสองข้างที่กางออกก็กดลงข้างล่าง พลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งทำให้สองคนที่ประมือกันอยู่ข้างล่างเคลื่อนไหวช้าลงราวกับจมลงในบึงน้ำ ชั่วพริบตาเดียวก็ไปเหยียบแทรกลงตรงกลางระหว่างทั้งสองคน ใช้มือซ้ายและมือขวาคว้าทวนในมือของทั้งสอง แล้วสะบัดแขนสองข้างให้กระเด็น


พออาวุธที่อยู่ในมือทั้งสองหลุดมือ ทั้งสองก็สะเทือนจนโซเซถอยหลังพร้อมกัน


ในขณะเดียวกันนี้เอง โค่วหลิงซวีก็เหยียบลงพื้นในชั่วพริบตาเดียว มาเหยียบลงตรงกลางระหว่างทั้งสอง เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวหยุดทะเลาะกันทันที ใช้เพียงสายตาสู้กัน


“พวกเจ้าสองคนคิดจะทำอะไร? อยากจะรื้อทำลายจวนของข้าหรอ?” โค่วหลิงซวีตะคอกเสียงต่ำ


อวิ๋นจือชิวฟ้องทันทีว่า “ท่านพ่อบุญธรรม ท่านต้องทวงความยุติธรรมให้ลูกสาว เขาเพิ่งจะลงมือตีค่าไป!”


เหมียวอี้ชี้รอยเลือดบนหัวไหล่ของตัวเอง ก็ถามอย่างโมโหว่า “ใครกัดข้าก่อนล่ะ?”


อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม “ใครบอกล่ะว่าจะหย่ากับข้า?”


“…” เหมียวอี้อ้าปากค้างพูดไม่ออก คำพูดของอีกฝ่ายค่อนข้างผิดข้อห้ามของตระกูลโค่ว


เป็นอย่างที่คาดไว้ โค่วหลิงซวีมองมาด้วยแววตาที่แฝงความหมายล้ำลึกทันที จะไม่ให้เข้าใจผิดก็คงยาก ทำให้คนนึกเชื่อมโยงถึงสถานการณ์ของเหมียวอี้ในตอนนี้ได้ง่ายมาก สงสัยว่าเหมียวอี้อยากจะจบความสัมพันธ์กับอวิ๋นจือชิวเพื่อคลายความกดดันที่ตัวเองอยู่ในตลาดผีตอนนี้หรือเปล่า


คนที่รู้สึกแบบนี้ล้วนมองมาที่ตัวเหมียวอี้แล้ว


“ท่านพ่อบุญธรรม อย่าไปฟังนางพูดจาซี้ซั้ว ไม่มีเรื่องแบบนั้นเลย” เหมียวอี้แก้ตัว


ใครจะคิดว่าโค่วหลิงซวีจะกวาดสายตามองรอบๆ แล้วตะคอกเสียงต่ำว่า “ชอบมามุงดูกันนักหรือไง?”


กลุ่มคนที่เข้ามาล้อมดูหดหัวทันที  รีบออกไปเงียบๆ แล้ว พอชูเจี้ยนโบกมือ แม้แต่ทหารยามก็ถอยออกไปเช่นกัน โค่วเจิงก็โบกมือบอกสุยฉูฉู่ว่าอย่าเพิ่งไป  ให้ไปด้วยกันกับเขา


“เฮอะ!” โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม เหลือบมองโค่วเจิงกับฮูหยินแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ถลันตัวเดินไปแล้ว


ถังเฮ่อเหนียนเรียกคนมาเก็บกวาดร่องรอยหลังจากการต่อสู้ทันที โค่วเจิงดึงเหมียวอี้ไป ส่วนสุยฉูฉู่ก็ดึงอวิ๋นจือชิวไป สองสามีภรรยาต่างคนต่างพาตัวไปแล้ว

 

 

 


บทที่ 1646 ภาพมารปีศาจพาลก่อหายนะ

 

เป็นเพราะถ้าไม่แยกสองคนนี้ออกจากกัน ทั้งคู่ต่างก็ใช้ดาบใช้ทวนแล้ว อีกประเดี๋ยวถ้าทุกคนกลับไป ทั้งสองจะต้องต่อสู้กันอีกแน่นอน


ตั้งแต่จวนอ๋องสวรรค์ก่อตั้งมาจนถึงทุกวันนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นสามีภรรยาใช้อาวุธจริงต่อสู้กัน โดยเฉพาะการต่อสู้ในจวนอ๋องสวรรค์โดยตรง ช่างแปลกพึลึกจริงๆ


จุดประสงค์หลังจากจับแยกออกจากกันก็ไม่ซับซ้อนเลย นั่นก็คือพาตัวมาถามว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่


ทางฝั่งเหมียวอี้ไม่ได้พูดอะไรมาก บอกเพียงว่าอวิ๋นจือชิวเป็นผู้หญิงปากร้ายเจ้าอารมณ์ ตอนนี้เขาก็โมโหจนสุดทนจริงๆ


เมื่อเห็นว่าถามแล้วไม่ได้ความอะไร โค่วเจิงก็ไม่ได้สืบให้ลึกกว่านั้นแล้ว เขาเองก็รู้ ว่าถ้าเหมียวอี้มีความคิดจะหย่าร้างเพื่อให้หลุดพ้นจากตระกูลโค่วจริงๆ ต่อให้ถามไปก็ไม่ได้คำตอบ ดังนั้นคุณชายใหญ่จึงไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงให้ฝั่งนี้ลองถามดู


ส่วนสิ่งที่อวิ๋นจือชิวพูดกับสุยฉูฉู่ ก็คือสงสัยว่าเหมียวอี้มีผู้หญิงอยู่ข้างนอก


สำหรับเรื่องนี้ สุยฉูฉู่โน้มน้าวให้นางปิดตาข้างหนึ่งเปิดตาข้างหนึ่ง บอกว่าผู้ชายก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น โดยเฉพาะพวกผู้ชายที่พอจะมีอำนาจอิทธิพล


จากนั้นพวกพี่น้องตระกูลโค่วและบรรดาเขยก็มากันหมด ดึงเหมียวอี้ไปดื่มสุราด้วยกัน หรือจะเรียกได้ว่าเรียกไปพูดปลอบใจให้คลายทุกข์ก็ได้


สรุปก็คือทั้งสองฝั่งล้วนโน้มน้าวให้อยู่ด้วยกัน ไม่แนะนำให้แยกจากกัน


แต่ระหว่างญาติสนิทกับญาติห่าง บางครั้งสิ่งเหล่านี้ก็มีการแบ่งแยก ถ้าเปลี่ยนให้คู่สามีภรรยาคู่อื่นของตระกูลโค่วทำอย่างนี้บ้าง ตระกูลโค่วก็ย่อมมีกฎให้จัดการลงโทษอยู่แล้ว แต่พอเหมียวอี้และฮูหยินทำเรื่องนี้ ก็ไม่มีใครเอาเรื่องอะไร มีเพียงนายท่านโค่วที่ตำหนิไปยกหนึ่ง


ในสวนอวิ๋นเซวียนพังไปเกินครึ่งเพราะการต่อสู้ ถ้าจะสร้างใหม่ก็ต้องใช้เวลา เหมียวอี้และฮูหยินต้องพักอยู่ในสวนของโค่วเจิงชั่วคราวเช่นกัน


เมื่อเปลี่ยนห้องใหม่แล้ว อวิ๋นจือชิวก็เรียกเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์มาจัดของใหม่อีก


ในตอนที่เก็บข้าวของ ในที่สุดชียนเอ๋อร์ที่ลังเลอยู่หลายครั้งก็อดไม่ได้ที่จะโน้มน้าวว่า “ฮูหยิน ที่จริงเรื่องบางเรื่องเมื่ออยู่กันส่วนตัวจะทะเลาะกันยังไงก็ได้ แต่ทำให้นายท่านเสียหน้าต่อหน้าคนเยอะๆ แบบนี้ อาจจะไม่เหมาะสมรึเปล่าคะ?”


“เชอะ! สาวใช้อย่างพวกเราจะเข้าใจอะไรล่ะ” อวิ๋นจือชิวนั่งพิงทางฝั่งนี้ ใช้สองมือยกกระโปรงขึ้น พาดขานั่งไขว่ห้าง แล้วกล่าวอย่างภูมิใจว่า  “สามีภรรยาที่อยู่เป็นคู่ชีวิตกันน่ะ อย่านึกนะว่าถ้าผู้หญิงเชื่อฟังผู้ชายทุกอย่างแล้วทั้งคู่จะรักกันลึกซึ้งได้ เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ เล่นจนเบื่อแล้วก็จะหน่าย ต่อให้จะอ่อนโยนเอาใจใส่ไปก็ไม่มีประโยชน์ พวกเจ้าคิดว่าข้าชอบทำตัวเป็นผู้หญิงปากร้ายเจ้าอารมณ์นักเหรอ? จุดประสงค์ของข้าไม่ใช่การเป็นผู้หญิงปากร้ายหรอก ที่จริงข้าแค่จะทำให้เขาเข้าใจขีดจำกัดของข้า วันนี้เขาโหดร้ายมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าลงมือกับข้า นี่ข้ายังเจ็บก้นอยู่เลย ไอ้เวรนั่นมันมือหนักจริงๆ ถ้าข้าไม่โหดบ้าง ปล่อยให้เขานึกว่าตีข้าแล้วจะขู่ข้าได้ พอนึกตอนที่เขาเล่นข้าจนเบื่อแล้ว จะไม่แย่หรอกเหรอ? ก็ต้องทำให้เขาเข้าใจสิ ว่าถ้ายั่วโมโหข้าขึ้นมา ไม่ว่าอะไรข้าก็ทำได้ทั้งนั้น ต้องทำให้เขากังวลบ้างสักหน่อย ให้เข้าใจว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ข้าต้องสยบเขาให้ได้ ครอบครัวถึงจะอยู่กันยืดยาว  ไม่อย่างนั้นในภายหลังก็ยังไม่รู้เลยว่าเจ้าเวรนั่นจะทำเรื่องอะไรอีกบ้าง ต่อให้ข้าจะอ่อนโยนเอาใจใส่ยังไง ต่อให้ข้าจะเลียเล็บเท้าเขาก็ไม่มีประโยชน์ ถึงตอนนั้นต่อให้เจ้าตั้งใจอยากจะกอบกู้สถานการณ์ แต่ก็สายไปแล้ว แต่จะว่าไป นายท่านของพวกเจ้าก็ไม่ได้โง่เหมือนกัน ในใจเขารู้แจ่มแจ้งว่าข้าดีหรือร้ายต่อเขา แบบนี้เรียกว่ารู้จักตึงรู้จักหย่อน ไม่อย่างนั้นจะยอมให้ข้าพาลหาเรื่องได้ยังไงล่ะ หึหึ!”


พอนึกถึงสภาพเหมียวอี้ที่หมดอาลัยตายอยาก สะบักสะบอมต่อหน้าธารกำนัลเพราะถูกนางพาลหาเรื่อง นางก็อดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมา ในดวงตาฉายแววอ่อนโยน รู้สึกอบอุ่นในใจ นางรู้ว่าเจ้าหมอนั่นยังคงใส่ใจนางเสมอ ไม่อย่างนั้นอาศัยพลังของเขาในตอนนี้ มีหรือที่จะถูกนางกดดันจนลนลานทำอะไรไม่ถูกได้อย่างนั้น เขาแค่ตัดใจทำร้ายนางไม่ลงก็เท่านั้นเอง


คำพูดเหล่านี้ทำให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สบตากันอย่างพูดไม่ออก ทั้งสองแอบทอดถอนใจ การที่นายท่านแต่งงานกับฮูหยินก็นับว่าน่าเวทนาพอแล้ว นึกถึงในปีแรกๆ ที่นายท่านเป็นบุคคลที่หัวแข็งดื้อรั้น เด็ดขาดแน่วแน่ เป็นวีรบุรุษที่ทำศึกอยู่บนสนามรบ แต่ดันมาตกอยู่ในมือของฮูหยินท่านนี้ได้ อาศัยแค่วิธีการของฮูหยิน มีทั้งความแข็งกร้าวและนุ่มนวล เรียกได้ว่าควบคุมจนนายท่านอยู่มัดแล้วจริงๆ


แต่ไม่นานทั้งสองก็ได้ยินเสียงอวิ๋นจือชิวถอนหายใจเบาๆ พอหันกลับมาอีกที ก็เห็นอวิ๋นจือชิวมีสีหน้าเศร้าสลดให้เห็นรางๆ ไม่รู้ว่าเป็นอะไรไปแล้ว


หารู้ไม่ว่าการที่อวิ๋นจือชิวทำอย่างนี้ ก็เพราะมีความคิดอีกอย่างหนึ่ง นางหวังว่าถ้าข่าวนี้แพร่ออกไปแล้ว คนที่มีใจคิดไม่ดีจะได้ไตร่ตรองสักหน่อย นางกลัวว่าทางตำหนักสวรรค์จะทนรำคาญไม่ไหวแล้วลงมือสังหารเหมียวอี้ บางทีถ้าฉากที่สามีภรรยาไม่ลงรอยกันถูกลือออกไป ก็อาจจะทำให้เหตุการณ์นั้นเบาลงก็ได้


ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง ก็นับว่าเป็นแผนซ้อนแผนได้เช่นกัน ถ้าฝั่งเหมียวอี้เป็นกังวลจริงๆ แล้วฝั่งนางให้ความร่วมมือเพื่อผ่อนให้เหตุการณ์เบาลง ก็คงไม่ถึงขั้นดูกะทันหันเกินไป ความคิดบางอย่างนางบอกเหมียวอี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเหมียวอี้คงไม่ตอบตกลงแน่นอน…


ในที่สุดโค่วเจิงก็โน้มน้าวเหมียวอี้ได้แล้ว พอสองสามีภรรยาพบหน้ากัน ก็ยังดูไม่ลงรอยกันอยู่บ้าง สุยฉูฉู่เป็นคนกลางไกล่เกลี่ยให้ พูดเกลี้ยกล่อมจนน้ำลายแห้ง


อ้างชื่อนายท่านมากดดันทั้งสอง ถึงได้ทำให้ทั้งสองรับปากว่าจะไม่ทะเลาะกันอีก โค่วเจิงกับสุยฉูฉู่ถึงได้โล่งอกแล้วเดินออกไป


เพียงแต่บรรยากาศในโถงค่อนข้างแปลกไป ทั้งสองมองไปทางนั้น มองไปทางนี้ที


“ข้าโดนตีก้นจนเจ็บแล้ว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ พวกเจ้ามานวดให้ข้าหน่อย!” สุดท้ายก็เป็นอวิ๋นจือชิวที่ลุกขึ้นไปก่อน ถือโอกาสพาสาวใช้ทั้งสองไปด้วยกัน ทิ้งเหมียวอี้เอาไว้ในโถงคนเดียว


เหมียวอี้ไม่ได้คิดว่าอวิ๋นจือชิวจะโมโหเขาจริงๆ เป็นอย่างที่อวิ๋นจือชิวบอกไว้ เขาเข้าใจอวิ๋นจือชิวดี แต่ไหนแต่ไรมา พอทั้งสองทะเลาะกันเสร็จ เรื่องก็จะจบลง ไม่มีใครอาฆาตแค้นใคร เพียงแต่ท่านขุนนางเหมียวรู้สึกว่าเสียหน้ามากเกินไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกฮูหยินถือดาบไล่ฆ่าต่อหน้าธารกำนัล ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้วจริงๆ


แต่พอนึกถึงเรื่องที่ตัวเองจะทำที่ตลาดผี เขาก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วลุกขึ้นเดินไปหานาง


ตอนที่เข้ามาหาในห้องนอน อวิ๋นจือชิวก็กำลังนอนคว่ำอยู่บนเตียง เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์กำลังนวดก้นให้นางจริงๆ เหมียวอี้เห็นแล้วปวดประสาท ผู้หญิงคนนี้…ขนาดนั้นเลยเหรอ?


เมื่อเห็นเขาเข้ามาแล้ว อวิ๋นจือชิวก็กลับตาลง แสร้งทำเป็นไม่เห็น


เหมียวอี้โบกมือ บอกใบ้ให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ออกไป หลังจากทั้งสองออกไปแล้ว เขาก็มานั่งตรงขอบเตียงแล้วนวดก้นให้นางแทน พลางถามว่า “ข้าตีจนเจ้าเจ็บเลยเหรอ?”


“เจ้าคิดว่าไงล่ะ?” อวิ๋นจือชิวตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด


เหมียวอี้ไม่ได้ตอบ แต่จู่ๆ บอกว่า “น้องชิว เจ้าอยากจะรู้เรื่องระหว่างข้ากับจ้านหรูอี้ใช่มั้ย ระหว่างข้ากับนางก็มีเรื่องกันิดหน่อยจริงๆ”


อวิ๋นจือชิวก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน นางลืมตาสองข้าง เพี้ยะ! ตบบนมือของเขาที่กำลังกดก้นของนางอยู่ แล้วลุกพรวดขึ้นนั่ง ถลึงตาโตจ้องเขา “ข้าว่านะหนิวเอ้อร์ เจ้านอนกับนางจริงๆ ใช่มั้ย? ความสวยของจ้านหรูอี้ก็ไม่ถึงขั้นทำให้เจ้าควบคุมอารมณ์ไม่ไหวหรอกมั้ง เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ?”


“เจ้าคิดไปถึงไหนแล้ว?” เหมียวอี้ส่ายหน้าถอนหายใจ แล้วบอกว่า “ไปได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด เรื่องมันยาวมาก ในปีนั้นตอนที่รับตำแหน่งอยู่ที่ธงพยัคฆ์ดำ ข้าเคยจับจ้านหรูอี้มัดไว้บนเสาธง เจ้าเองก็รู้เรื่องนั้น แล้วตอนหลังอิ๋งลั่วหวนมารดาของจ้านหรูอี้ก็มาหาข้าที่ธงพยัคฆ์ดำ ตอนแรกข้าก็ยังไม่รู้ว่านางมีเจตนาอะไร แต่ตอนหลังท่านโหวจ้านผิงมาบอกข้าด้วยตัวเองที่อุทยานหลวง ข้าถึงได้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ที่จริงจ้านหรูอี้ไม่ได้อยากเข้าวังไปเป็นสนมเลย นางเคยอยากจะหนีออกจากอุทยานหลวง แต่ตอนนั้นมีแค่ข้าเท่านั้นที่พานางหนีออกไปได้…”


เล่าตอนที่เขาได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้กักบริเวณจ้านหรูอี้ เล่าว่าตอนนั้นจ้านหรูอี้ขอร้องเขาอย่างไรบ้าง ถึงขั้นถอดเสื้อผ้าต่อหน้าเขา ยอมทิ้งศักดิ์อันสูงส่งมาขอร้องวิงวอนเขา เล่าว่าเขาปฏิเสธไปอย่างไรบ้าง หลังจากจบเรื่องนั้นแล้ว จ้านผิงก็มาบอกว่าที่จริงแล้วจ้านหรูอี้ชอบเขา และบอกถึงจุดประสงค์ที่อิ๋งลั่วหวนมาหาเขาในตอนนั้นด้วย เล่าว่าจ้านผิงกอดความหวังครั้งสุดท้ายว่าเขาจะพาจ้านหรูอี้หนีไป แต่เขาก็แข็งใจปฏิเสธไป เขาเล่าทุกอย่างออกมาอย่างละเอียด


ที่จริงเขาก็ไม่อยากบอกเรื่องพวกนี้กับอวิ๋นจือชิว นี่คือเรื่องในอดีตที่เขาไม่อยากจะหวนนึกถึงที่สุดแล้ว นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่เขาปิดบังอวิ๋นจือชิว


แต่หลังจากสองสามีภรรยาเริ่มทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองต้องบอกอวิ๋นจือชิว ประการแรกเป็นเพราะกลัวอวิ๋นจือชิวจะเข้าใจผิด ประการต่อมาก็คือ หลังจากจบเรื่องที่ตลาดผีแล้ว เขาก็พูดได้ไม่ชัดเจนว่าตัวเองจะมีจุดจบเป็นอย่างไรกันแน่ เขาหวังจะให้อวิ๋นจือชิวเข้าใจเรื่องบางเรื่องเอาไว้ ไม่ถึงขั้นรับมือผิดพลาดยามอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด นับว่าเป็นการเตรียมตัวสำหรับเรื่องในภายหลังเช่นกัน


หลังจากได้ฟังเรื่องราวแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ตกตะลึงมาก ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตอนนั้นเหมียวอี้ถึงก่อเรื่องไม่ดูตาม้าตาเรือต่อหน้าธารกำนัลจนถูกทำโทษให้เข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ นึกไม่ถึงว่าในนั้นจะยังมีเรื่องที่เหนือจินตนาการอย่างนี้อยู่ด้วย


นางรู้จักเหมียวอี้ดีเกินไป รู้ว่าในกมลสันดาลของเหมียวอี้เป็นผู้ชายที่ยอมได้บางเรื่อง และยอมไม่ได้ในบางเรื่อง ให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำมิตรที่สุด ยามเผชิญกับเรื่องบางเรื่อง ด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์ของผู้ชายคนนี้ ในตอนนั้นต้องอาศัยการตัดสินใจที่แน่วแน่ขนาดไหนกัน ถึงได้ทำเรื่องที่ใจแข็งใจอย่างนั้นได้ แต่ในใจเขาแบกรับความรู้สึกผิดไว้มากขนาดนั้น จะให้เขาทำอย่างไรได้?


ด้วยนิสัยเลือดร้อนก่อเรื่องง่ายของผู้ชายคนนี้ แต่กลับได้แต่มองดู ได้แต่ส่งจ้านหรูอี้เข้าวังด้วยมือตัวเอง สำหรับเขานับว่าเป็นเรื่องที่โหดร้ายเกินไป ต่อให้เขาพูดออกมาตอนนี้ แต่อวิ๋นจือชิวก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเขาในตอนนั้น


ไม่เกี่ยวว่าจะชอบหรือไม่ชอบจ้านหรูอี้ อวิ๋นจือชิวรู้ว่าเรื่องนี้คงจะกลายเป็นบาดแผลไปทั้งชีวิตของเหมียวอี้แล้ว เกรงว่าคงจะไม่อยากคิดถึงและไม่อยากเจอจ้านหรูอี้อีก!


หลังจากพูดจบ เหมียวอี้ก็หลับตาลงอย่างแผ่วเบา บนใบหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนจาง เพียงแต่ความรู้สึกที่ไม่อยากหวนนึกถึงซึ่งซ่อนอยู่เบื้องหลังรอยยิ้มนั้น ก็ทำให้อวิ๋นจือชิวที่รู้จักเขาดีรู้สึกเจ็บปวดใจ


อวิ๋นจือชิวรู้สึกว่าตัวเองทำเกินไปหน่อยที่อารมณ์ร้ายใส่เขา ไม่ควรกดดันจนเขาพูดเรื่องนี้ออกมา เหมือนเป็นการเอาดาบไปแทงหัวใจของผู้ชายคนนี้แท้ๆ เลย


นางเข้าไปใกล้ นั่งคุกเข่าลงข้างกายเหมียวอี้ แล้วกางแขนโอบศีรษะของเหมียวอี้มาไว้ในอ้อมกอด ก้มก้มหน้าแนบติดกับแก้มของเขา คลอเคลียแนบชิด พร้อมพูดเบาๆ ว่า “บางทีเจ้าอาจจะช่วยนางไว้แล้วก็ได้ บางทีการทำแบบนั้นต่างหากถึงจะทำให้นางเจอที่พักพิงที่ดีที่สุด ใครจะพูดได้ชัดเจนล่ะ?”


“หวังว่านางจะเจอที่พักพิงที่ดีที่สุดก็แล้วกัน!” เหมียวอี้ยิ้มเบาๆ


“เอาล่ะ เรื่องนี้นับว่าผ่านไปแล้ว ครั้งนี้ข้าให้อภัยเจ้า แต่ถ้าครั้งหน้าเจ้ากล้าลงมือกับข้าอีก ข้าก็จะสู้ตายกับเจ้า…”


ไม่ได้อยู่ที่จวนอ๋องสวรรค์โค่วนานเกินไป ไม่กี่วันหลังจากนั้น ถังเฮ่อเหนียนก็บอกว่า เตรียมกำลังพลที่จะย้ายไปตลาดผีเรียบร้อยแล้ว ให้ไปที่ตลาดผีแล้ว เหมียวอี้ถึงได้ขอตัวลา กลับตลาดผีโดยมียอดฝีมือของตระกูลโค่วคอยคุ้มกันส่ง


หลังจากถึงตลาดผีแล้ว เรื่องแรกที่ทำก็ย่อมเป็นการเปลี่ยนกำลังพล


ทางนี้เพิ่งจะแบ่งงานกันเสร็จ คนเก่าคนแก่ของจวนแม่ทัพภาคเพิ่งจะถูกย้ายออกไป ทางฝั่งตึกศาลาสัตยพรตก็ส่งคนมาแล้ว เชิญให้เหมียวอี้ไปหาสักรอบ


เหมียวอี้บอดปัดและให้กลับไปก่อน บอกว่าในมือยังมีงานที่ต้องจัดการ เอาไว้วันหลังจะไปเยี่ยมคารวะ ที่จริงเขากลับวางงานในมือลงหมดแล้ว พร้อมทั้งกำชับลงไปว่าจะไม่พบใครทั้งนั้น เดินไปเดินมาอยู่ในห้องนานมาก แล้วสุดท้ายก็ติดต่อหยางชิ่งที่อยู่แดนอเวจี ขอคำชี้แนะ!


ครั้งนี้เป็นเรื่องที่เขาตัดสินใจจะทำ มีอันตรายหลายชั้น จะไม่ระวังตัวก็ไม่ได้ คิดไปคิดมาก็ขอฟังคำชี้แนะของหยางชิ่งดีกว่า


หลังจากได้รู้ว่าเขาจะทำอะไร หยางชิ่งก็ตกใจมาก เป็นการเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่นจริงๆ จึงถามอย่างร้อนใจว่า : ตระกูลโค่วตอบตกลงให้นายท่านทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง? อย่าบอกนะว่าตระกูลโค่วไม่รู้ว่าอาศัยกำลังของตัวเองนั้นไม่สามารถทำตามใจที่ตลาดผีได้ ไม่มีทางช่วยเหลือนายท่านได้มากขนาดนั้น? ทำสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลงานที่ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง


เหมียวอี้ : ข้าขอร้องต่อหน้าอ๋องสวรรค์โค่วเอง เหตุผลก็เรียบง่ายมาก นั่นก็คือต่อให้ข้าไม่ทำ แต่คนพวกนั้นก็ไม่ปล่อยข้าไปอยู่ดี ถ้าจะให้นั่งรอความตายเฉยๆ ไม่สู้เป็นฝ่ายรุกก่อนดีกว่า!


หยางชิ่ง : นายท่านบอกรายละเอียดให้ทราบได้หรือไม่?


เหมียวอี้ก็ไม่ได้ปิดบัง เล่ารายละเอียดตอนที่ตัวเองโน้มน้าวอ๋องสวรรค์โค่วให้ฟัง


หลังจากฟังจบ หยางชิ่งก็ถามซักไซ้ : ตระกูลโค่วยอมให้นายท่านเด็ดหัวอิ๋งหยาง ทั้งยังคิดหาทางช่วยนายท่านเปลี่ยนกำลังพลที่ตลาดผีด้วยเหรอ?


เหมียวอี้ : ใช่แล้ว! แรงสนับสนุนไม่ได้ถือว่าน้อยเลย


หยางชิ่งกล่าวอย่างตกใจทันที : นายท่านพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก! สถานการณ์ของนายท่านตอนนี้กลายเป็นเหมือนซี่โครงไก่ไร้ประโยชน์ของตระกูลโค่วไปแล้ว จะกินก็ไร้รสชาติ จะทิ้งก็กลัวทำให้คนผิดหวัง! ถ้านายท่านไม่ทำอย่างนี้ ตระกูลโค่วอาจจะยังคิดหาทางช่วยกป้องนายท่านเต็มที่ อาศัยอิทธิพลของตระกูลโค่ว ยังมีทางเหลือให้ดำเนินการแก้ปัญหาได้ ถ้าถูกกดดันก็ยังเอาผลประโยชน์มาแลกเปลี่ยนกันได้ แต่ตอนนี้พอนายท่านทำอย่างนี้ ตระกูลโค่วกลับเข็นเรือไปตามน้ำ แสดงให้ภายนอกเห็นว่าสนับสนุนนายท่านเต็มกำลัง ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็แสดงว่านายท่านรนหาที่ตายเอง ถึงตอนนั้นนอกจากตระกูลโค่วจะหมดตัวถ่วงแล้ว ก็ยังอธิบายกับคนนอกได้ด้วย แต่นายท่านลับเอาตัวเองไปไว้ในแดนตายเอง นายท่าน ท่านเลอะเลือนแล้วนะ!


จากคำเตือนนี้ สีหน้าของเหมียวอี้ก็ขรึมลงแล้วเช่นกัน พบว่าตระกูลโค่วพึ่งพาไม่ได้จริงๆ ด้วย แต่เขาก็ยังเล่นบทโหด บอกไปว่า : พึ่งพาคนอื่นไม่สู้พึ่งพาตัวเอง!


หยางชิ่งก็ยังทำนิสัยเดิม ยังคงเกลี้ยกล่อมให้เหมียวอี้ไตร่ตรองดีๆ เรื่องงัดข้อกันของเบื้องบน ก็ให้เบื้องบนไปเปลืองพลังความคิดกันเอง ไม่จำเป็นต้องเอาหัวตัวเองเข้าไปชนกำแพง


แต่เหมียวอี้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ตัดสินใจกับทิศทางโดยรวมแล้ว จะต้องทำให้ได้ หยางชิ่งก็เลยจนใจ รู้ว่าเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จแล้ว ทำได้เพียงขอเวลาคิดไตร่ตรอง


เฟยหงเข้ามาในห้องหลายครั้ง พบว่าเหมียวอี้หันหน้าเข้าหาผนังตลอด จ้องผนังนิ่งๆ ไม่ขยับไปไหน


ภาพบนผนังถูกเปลี่ยนใหม่แล้ว เหมียวอี้เป็นคนให้สวีถังหรานนำมาเปลี่ยนให้ใหม่ เป็นภาพ ‘ภาพมารปีศาจพาลก่อหายนะ’ ภาพก็เป็นเหมือนชื่อ วาดน่ากลัวมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าสวีถังหรานเอามาจากไหน ถึงแม้เฟยหงจะไม่รู้ว่าทำไมเหมียวอี้ต้องแขวนภาพแบบนี้เอาไว้ในห้อง แต่ก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่เหมียวอี้ต้องการแน่นอน พอพูดถึงสิ่งนี้ แม้แต่เฟยหงก็ต้องยอมแพ้สวีถังหราน ขอเพียงเหมียวอี้เอ่ยปาก สวีถังหรานก็มักจะหาหนทางนำของแปลกประหลาดมาเติมเต็มความพึงพอใจให้เหมียวอี้ได้ ช่างเป็นสิ่งที่จินตนาการได้ยากจริงๆ ทำให้คนต้องยอมแพ้


หลายครั้งที่เข้าออกเพื่อจะเติมน้ำชาให้ ก็ไม่เห็นเหมียวอี้ขยับไปไหนเลย เฟยหงทำได้เพียงเบามือเบาเท้า เพราะรู้ว่าเหมียวอี้กำลังใช้ความคิดกับเรื่องบางอย่าง ไม่กล้ารบกวน


หลังจากนั้นเกือบครึ่งวัน ในที่สุดเหมียวอี้ก็รอจนได้คำตอบจากหยางชิ่งแล้ว เหมียวอี้ถามว่า : เจ้าคิดว่ายังไง?


เมื่อเผชิญกับเรื่องของตลาดผี ที่จริงเขาก็ไม่ค่อยมีความคิดเห็นอะไรเช่นกัน ไม่รู้ว่าจะลงมือจากตรงไหนดี ไม่อย่างนั้นก็คงลงมือไปก่อนแล้ว


หยางชิ่งจนปัญหา ตอบไปว่า : หากนายท่านดึงดันจะทำอย่างนี้ให้ได้ ก็ต้องทำบางอย่างให้ได้ก่อน


เหมียวอี้ : ท่านมีแผนการที่ดี ข้ายินดีล้างหูรอฟังท่านชี้แนะ!


แผนการที่ดีแป๊ะเจ้าสิ เจ้าเชื่อฟังข้าก็แปลกแล้ว! หยางชิ่งด่าในใจ แต่ก็ยังต้องพยายามเต็มที่ หวังว่าเหมียวอี้จะฟังเข้าสมองบ้าง : ก็ย่อมต้องหาที่ปักหลักตั้งตัวอยู่แล้ว ต้องรับประกันความปลอดภัยของตัวเองก่อนเป็นอันกับแรก แล้วตอนหลังค่อยวางแผนอย่างอื่น ท่านถึงจะอยู่ในจุดที่ไม่แพ้!


เหมียวอี้ : จะชี้แนะข้ายังไง?


หยางชิ่ง : นายท่านถูกลอบจู่โจมที่แดนสุขาวดี ไปขอคำอธิบายจากสำนักพุทธก็ไม่ถือว่าทำเกินไป วัดพระกษิติครรภ์อยู่ที่ตลาดผี นายท่านจะไม่เอามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ยังไง…

 

 

 


บทที่ 1647 ตึงเครียดขึ้นมาในฉับพลัน

 

เรือนแล่นเข้ามาในถ้ำ เข้ามาในชิดฝั่งที่อยู่ข้างใน เหยียนซิวก็หันตัวไปเปิดม่านออก เหมียวอี้เดินก้าวยาวออกมาจากห้องโดยสารเรือ


เฉาเฟิ่งฉือที่ยืนรออยู่บนบันไดริมฝั่งใบหน้าเจือรอยยิ้ม กุมหมัดคารวะมาตั้งแต่ไกลๆ


เหมียวอี้ที่ขึ้นฝั่งมากล่าวกลั้วหัวเราะ “จะกล้ารบกวนให้ผู้จัดการเฉามาต้อนรับด้วยตัวเองได้ยังไง” ดวงตากำลังมองประเมินศีรษะจดเท้า ไม่เหมือนกับตอนที่พบผู้หญิงคนนี้ในเมื่อก่อน ครั้งก่อนตอนอยู่อารามหลันเย่เขาก็ตัดสินได้แล้ว ว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเซี่ยโห้วหลงเฉิง คำตอบที่คลุมเครือของนางในตอนนั้นก็เป็นหลักฐานได้เช่นกัน


เฉาเฟิ่งฉือเองก็รู้ว่าเขารู้ถึงตัวตนของนางแล้ว นางยิ้มพร้อมบอกว่า “ถึงยังไงนายท่านหนิวก็เป็นแม่ทัพภาคตลาดผี เจ้าถิ่นมาเยือนแล้ว เฟิ่งฉือจะต้อนรับไม่ดีได้ยังไง” นางยื่นมือเชิญให้เข้าไปด้านใน


“ให้เกียรติกันเกินไปแล้ว!” เหมียวอี้พูดเย้ยตัวเอง ใครเป็นเจ้าถิ่นของตลาดผี ยังจะต้องเถียงกันอีกหรอ? ไม่จำเป็นต้องพัวพันกับประเด็นนี้  เขามองไปรอบๆ แล้วพูดอีกว่า “ทำไมไม่เห็นคุณชายชีเลยล่ะ”


เฉาเฟิ่งฉือที่เดินอยู่ข้างกายส่ายหน้าพูดหยอก “รู้อยู่แล้วว่านายท่านหนิวรู้สึกว่าเฟิ่งฉือมีระดับไม่สูงพอที่จะมาต้อนรับ แต่ก็ช่วยไม่ได้ค่ะ คุณชายชีมีธุระ ทำได้เพียงลำบากนายท่านหนิวหน่อยแล้ว”


“สมกับเป็นพี่น้องกัน คุยกับพี่ชายเจ้าก็รู้สึกสนุกแบบนี้เหมือนกัน” เหมียวอี้พูดเรื่อยเปื่อยไปอย่างนั้น


ทว่าประโยคนี้ก็กระทบจนทำให้เฉาเฟิ่งฉือใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง เสร็จแล้วถึงได้รีบก้าวเดินตามไป ตอนนี้เงียบแล้ว


เหมียวอี้ที่เหล่สายตาสังเกตแอบยิ้ม สงสัยจะมองไม่ผิด เป็นน้องสาวของเซี่ยโห้วหลงเฉิงจริงๆ ด้วย


พอขึ้นไปบนตึกแล้วเข้าไปข้างในอีกครั้ง เหยียนซิวก็ถูกกักตัวไว้ตรงทางผ่าน การที่ให้เขาเข้ามาถึงในนี้ได้ ก็นับว่าไว้หน้าเหมียวอี้แล้ว เหมียวอี้ก็บอกให้เขารออยู่ตรงนี้เช่นกัน


“เถ้าแก่เฉา!”


ในห้องเดี่ยวสำหรับรับรองแขก เหมียวอี้ที่ถูกพาเข้ามาได้เจอเฉาหม่านแล้ว ทั้งสองไม่ได้เจอกันเป็นครั้งแรก เหมียวอี้กลุมหมักคารวะทักทาย


เฉาหม่านที่นั่งต้มน้ำชาอยู่ข้างเตายิ้มบางๆ เขาไม่ได้ลุกขึ้นมา เพียงยื่นมือเชิญให้นั่งเท่านั้น ดูเหมือนเสียมารยาท แต่บนอาณาเขตนี้อีกฝ่ายมีสิทธิ์ที่จะทำแบบนี้เช่นกัน สามารถเจียดเวลามาพบได้ ก็นับไว้หน้าแม่ทัพภาคตลาดผีแต่ในนามอย่างเหมียวอี้มากแล้ว


เมื่อเชิญให้เหมียวอี้นั่งลงแล้ว เฉาเฟิ่งฉือก็เดินอ้อมไปยืนอยู่ข้างหลังเฉาหม่าน


กลิ่นหอมของน้ำชาโชยมา เฉาหม่านรินน้ำชาให้แขกด้วยตัวเอง สีหน้าผ่อนคลายเป็นกันเอง


หลังจากแขกและเจ้าบ้านดื่มน้ำชากัน และทักทายกันตามมารยาทแล้ว เหมียวอี้ก็เป็นฝ่ายถามก่อนว่า  “ไม่ทราบว่าเถ้าแก่เฉาเรียกข้ามาเพราะมีอะไรจะกำชับ?”


“ไม่ถือว่ากำชับหรอก” เฉาหม่านที่ยกถ้วยน้ำชามาจ่อปากส่ายหน้ายิ้ม หลังจากจิบน้ำชาแล้ววางถ้วยลง ก็ตอบว่า “ยินดีกับแม่ทัพภาคด้วยจริงๆ”


เหมียวถามกลั้วหัวเราะ “มีเรื่องดีๆ อะไรหรือ?”


เฉาหม่านก็ไม่อ้อมค้อมกับเขาแล้วเช่นกัน บอกตรงๆ เลยว่า “ช่วงนี้ตึกศาลาสัตยพรตสืบหาที่อยู่ของโจรกบฏกลุ่มหนึ่งได้ หากนายท่านหนิวได้จับกุมโจรกบฏพวกนี้ คาดว่าการได้เลื่อนกลับสู่ตำแหน่งเดิมคงอยู่ไม่ไกลแล้ว ค่าย่อมต้องแสดงความยินดี”


เหมียวอี้ก็ยังนึกว่ามีเรื่องอะไรถึงต้องให้เขามาด้วยตัวเอง ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง ก่อนหน้านี้ตระกูลโค่วก็เคยบอกเรื่องนี้กับเขาแล้ว


แต่เขากลับไม่รู้ว่าเรื่องนี้ทำให้ตึกศาลาสัตยพรตลำบากแล้ว จู่ๆ ประมุขชิงก็ให้อภัยโทษทั้งใต้หล้า ทำให้เรื่องราวหักมุมไปมากมาย ทำเอาตึกศาลาสัตยพรตที่นั่งรอตกปลาอย่างสงบมาตลอดต้องกลุ้มใจ ทำไมพอเรื่องราวไปเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อทีไร ก็จะกลายเป็นเรื่องวุ่นวายที่ทำให้รับมือไม่ทันทุกทีไป  เรื่องของเจียงอีอีก่อนหน้านี้ก็เหนือความคาดหมาย ตอนนี้ก็เกิดเหตุไม่คาดคิดกับกลุ่มผู้ต้องสงสัยอีก


“รบกวนแล้ว” เหมียวอี้พยักหน้า ทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจ จึงไม่ต้องพูดอะไรมาก เป็นแต่มีอยู่จุดหนึ่งที่อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เรื่องบางเรื่องเถ้าแก่เฉาส่งคนมาบอกให้ทราบก็พอแล้ว นี่ต้องรบกวนให้เถ้าแก่เฉามาเจอข้าเอง คาดว่าคงมีอย่างอื่นจะกำชับใช่มั้ย?”


เฉาหม่านยิ้มบางๆ “ตระกูลโค่วเรียกได้ว่าออกแรงสนับสนุนแม่ทัพภาคไม่น้อยเลยนะ ได้ยินว่าสะเทือนไปถึงราชินีสวรรค์จนต้องเปลี่ยนคนในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีชุดใหม่หมด จะว่าไปแล้วตาแก่พวกนั้นก็นับว่าได้อาศัยยบารมีของแม่ทัพภาค มาเฝ้าอยู่ในแหล่งที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันหลายปีโดยไร้คนหนุนหลัง ตอนนี้ในที่สุดก็ได้หลุดพ้นแล้ว ลับหลังอาจจะรู้สึกขอบคุณนายท่านหนิวมากก็ได้”


ในจุดนี้เหมียวอี้ก็ยอมรับเช่นกัน ในมือราชินีสวรรค์ควบคุมไว้เพียงตลาดเท่านั้น หลังจากกำลังพลตลาดผีถูกถอนออกไป ราชินีสวรรค์ก็ไม่มีอำนาจที่จะจับไปแทรกในท้องถิ่น ทำได้เพียงยัดเข้าไปไว้ที่ตลาดสวรรค์ จู่ๆ กลุ่มคนที่ไม่มีอนาคตก็ดวงดี ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกจับย้ายไปยังตลาดสวรรค์ที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ถ้าไม่เรียกว่าอาศัยบารมีจากเขาแล้วจะเรียกว่าอะไรล่ะ? ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ แค่ความคิดเพียงชั่วขณะของเบื้องบน ก็สามารถตัดสินชะตากรรมของใครหลายๆ คนได้แล้ว


แต่ก็เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยากพูดเรื่องนี้ เหมียวอี้ยกน้ำชาขึ้นจ่อตรงปากรอให้เขาพูดต่อไป


เป็นอย่างที่คาดไว้ หลังจากเฉาหม่านเพ่งสังเกตปฏิกิริยาของเขาครู่หนึ่ง ก็พูดต่อว่า “โชคและหายนะมักเกิดขึ้นพร้อมกัน เรื่องดีๆ บางเรื่องก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดีจริงๆ ความช่วยเหลือบางอย่างก็อาจจะไม่ใช่การช่วยเหลือจริงๆ นายท่านหนิวคิดว่าเฉาคนนี้พูดถูกหรือไม่”


พวกเขาพูดคุยกันถึงตรงนี้ ทั้งสองไม่ได้พูดคุยลงลึกในประเด็นไหน


หลังจากเฉาเฟิ่งฉือเดินออกไปส่งเหมียวอี้ด้วยตัวเอง ก็เห็นเฉาหม่านยืนอยู่ริมหน้าต่าง พอนางเดินเข้าไปใกล้แล้วมองไปด้านนอกแวบหนึ่ง ก็เห็นเรือของเหมียวอี้ลอยจากไปตามกระแสน้ำพอดี จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านปู่สาม ทำไมไม่เตือนเขาเรื่องจวนแม่ทัพภาคขุดทางใต้ดิน?”


ในดวงตาเฉาหม่านฉายแววล้ำลึก “เรื่องทางใต้ดินนั้นเป็นเรื่องเล็ก สามารถทำลายทิ้งได้ทุกเมื่อ แสร้งทำเป็นไม่รู้ก็พอแล้ว ถือเสียว่าให้เขามีทางหนีทีไล่ในการเอาชีวิตรอดเพิ่ม เพราะเบื้องหลังของเจ้าหนุ่มนี่น่าสนใจ ซ่อนอะไรไว้ลึกมาก! ก่อนหน้านี้จับตาดูหกลัทธิมาตั้งนานแต่ก็ไม่พบอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าหนุ่มนี่ถูกส่งตัวมาทำงานที่ตลาดผีเพราะเรื่องธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ครั้งก่อนจนเผยเบาะแสบางอย่างให้เห็น ใครจะคิดล่ะว่าเบื้องหลังเจ้าหนุ่มนี่จะเกี่ยวข้องกับหกลัทธิ ก่อเรื่องที่ตำหนักสวรรค์ครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ยังรอดได้ เกรงว่าเบื้องหลังคงจะใช้คำว่าโชคดีมาอธิบายไม่ได้ แต่พวกเราไม่มีความมั่นใจกับสิ่งเหล่านี้เลยสักนิด ตระกูลเซี่ยโห้วก่อตั้งมาหลายปีขนาดนี้ เคยทำงานช้าขนาดนี้เสียที่ไหนกัน? มาคิดดูย้อนหลังก็ยังกลัวเลย!


“ท่านปู่สาม ท่านหมายความว่า?” เฉาเฟิ่งฉือสงสัย


เฉาหม่านหรี่ตาตอบอย่างช้าๆ “จุดข้อต่อสำคัญเพียงจุดเดียวในตอนนี้อยู่บนตัวเขา เบาแสเบาบางมาก พอเกิดเรื่องกับเจ้าหนุ่มนี่เมื่อไร โอกาสที่เราจะสาวไปถึงเบื้องหลังเขาก็จะตัดขาดไปโดยสิ้นเชิง เบื้องหลังของเจ้าหนุ่มนั่นระมัดระวังตัวสูงมาก ดูจากการที่ข้าเฝ้าสังเกตหกลัทธิมาหลายปีแต่ยังไม่พบอะไรก็รู้แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้แหวกหญ้าจนงูตื่น ถึงแม้ความร่วมมือระหว่างเรากับตระกูลโค่วจะจบลงแล้ว แต่ลับหลังก็ยังปล่อยให้เขาเป็นอะไรไปไม่ได้ ตอนที่เฒ่าชียังไม่กลับมาจากลาดตระเวนตลาดมืด เจ้าก็จับตาดูไว้มากๆ หน่อย”


เฉาเฟิ่งฉือเข้าใจบ้างแล้ว พยักหน้าตอบว่า “เฟิ่งฉือเข้าใจแล้ว”


“เฟิ่งฉือ ได้ยินว่าตอนอยู่อารามหลันเย่ เจ้ากับหนิวโหย่วเต๋อใกล้ชิดกันมากนะ!” จู่ๆ เฉาหม่านก็ยกมือจับขอบหน้าต่างพร้อมเอ่ยถาม


เฉาเฟิ่งฉือแอบตกใจ นึกไม่ถึงว่าแค่คุยกันนิดหน่อยที่อารามหลันเย่ก็ทำให้ท่านปู่สามรู้เรื่องแล้ว นางพยายามตอบอย่างไม่หวาดหวั่นว่า “ก็ไม่ถือว่าใกล้ชิดกันหรอกค่ะ เป็นคนฝั่งตลาดผีเหมือนกัน เลยคุยกันมาหน่อยก็เท่านั้นเอง”


“เช่นนั้นก็ดี!” เฉาหม่านหันตัวมา แล้วมองนางพร้อมยิ้มเรียบๆ “ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่นหรอก ได้ยินว่าเขาเป็นสหายคนเดียวตอนที่หลงเฉิงยังมีชีวิตอยู่ ข้ากังวลว่าเจ้าจะคิดมากไป ก็เลยอยากจะเตือนเจ้าสักหน่อย เบื้องหลังเขาล้ำลึกขนาดนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะเข้าหาหลงเฉิงเพราะมีเจตนาแอบแฝงก็ได้ เกรงว่าอาจจะไม่ใช่สหายที่แท้จริง เจ้าอย่าใช้ความรู้สึกทำงานเด็ดขาด! ถึงแม้เจ้าจะเป็นสตรี แต่ในเมื่อตระกูลเลือกเจ้ามาไว้ทางนี้แล้ว ก็แสดงว่าตระกูลคาดหวังกับเจ้า!”


“ท่านปู่สาม เข้าเข้าใจแล้วค่ะ” เฉาเฟิ่งฉือพยักหน้า


แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง ดวงจันทร์สว่างกลางท้องฟ้า แต่หยางชิ่งกลับข่มตานอนลำบาก จึงเดินมายืนริมหน้าผาเงียบๆ


ใต้หน้าผามีคลื่นซัดกระทบฝั่ง หยางชิ่งที่ยืนอยู่บนหน้าผาเงยหน้ามองแสงจันทร์ ใช้เวลาสั้นๆ ไม่ถึงปี ไม่น่าเชื่อว่าสีหน้าของเขาจะดูแห้งเฉาซีดเซียวลงไปบ้างแล้ว แต่สายตาพี่มองท้องฟ้ายามราตรียังคงเป็นประกาย ลึกล้ำและมีชีวิตชีวา ตอนนี้เขากำลังขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่ากำลังครึ่งคิดอะไรบางอย่าง


ชิงจวี๋เดินรอบหน้ามาทางข้างหลัง นำผ้าคลุมบ่าสีดำผืนหนึ่งมาคลุมบ่าให้เขาเบาๆ เมื่อเห็นหยางชิ่งที่กำลังครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งมีผมขาวแซมตรงจอนผม ชิงจวี๋ก็อดไม่ได้ที่จะก้มหน้าเม้มปาก สีหน้าของนางดูค่อนข้างปวดร้าวระทม มีเพียงนางที่รู้ชัดเจนที่สุดว่าหลังจากมาที่แดนอเวจีแล้ว หยางชิ่งมีสภาพเป็นอย่างไร มีเพียงนางที่รู้ดีที่สุดว่าในหลายปีมานี้หยางชิ่งสิ้นเปลืองพลังความคิดไปมากขนาดไหนเพื่อรับมือกับคนแก่พวกนี้ เป็นอย่างที่หยางชิ่งบอกกับเหมียวอี้จริงๆ ‘ข้าน้อยจะทุ่มเทสติปัญญาความสามารถตราบจนชีวิตหาไม่!’


ตรงจุดที่ไม่ไกล หลังจากจ้าวเฟยกับอูเมิ่งหลันจ้องมองเงาร่างของหยางชิ่งที่ซูบผอมลงไปเยอะครู่หนึ่ง  ทั้งคู่ก็สบตากันแวบหนึ่งอย่างรู้ใจ แล้วก็ใส่หน้าถอนหายใจเบาๆ


ถึงแม้พวกเขาจะไม่ใช่สาวใช้ประจำตัวของหยางชิ่งเหมือนชิงจวี๋ ไม่ได้รู้อะไรเยอะเหมือนชิงจวี๋ แต่บางสิ่งบางอย่างก็เห็นอยู่ในสายตาแล้ว


ทั้งสองที่ติดตามอยู่ข้างกายหยางชิ่งเห็นกับตาว่าหยางชิ่งต่อสู้กับพวกคนแก่ของหกลัทธิอย่างไร  ดึงตัวลูกน้องเก่าของห้าปราชญ์ที่พี่ภพเล็กมาเป็นพวก ยุแหย่จนหกลัทธิวุ่นวายเป็นไก่บินสุนัขกระโดด แล้วก็ออกหน้ามาทำให้เรื่องสงบ จากนั้นก็ยุแยงให้วุ่นวายอีก แล้วก็ทำให้สงบต่อไปอีก สร้างความขัดแย้งครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็ปลอบใจครั้งแล้วครั้งเล่า


บางทีคนที่ดูเหตุการณ์อยู่ข้างๆ อาจจะเห็นอะไรชัดเจนกว่า ทั้งสองรู้สึกว่าห้าปราชญ์ถูกหยางชิ่งผลักให้ไปอยู่หน้าเวทีโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว แต่หยางชิ่งกลับเหมือนจะกลายเป็นตัวละครที่คอยสร้างสันติ ค่อยๆ กลายเป็นตัวละครสำคัญที่ขาดไม่ได้เพื่อไม่ให้ทั้งสองฝ่ายกันแตกคอกัน ยังไม่ต้องพูดถึงบารมีความน่าเชื่อถือที่กำลังเพิ่มขึ้นทีละนิด อย่างน้อยก็ไม่มีใครกล้ามองข้ามหัวหัวหน้าผู้ช่วยท่านนี้แล้ว  ในฐานะที่พวกเขาคอยวิ่งเต้นทำงานอยู่ข้างกายหยางชิ่ง ทั้งสองได้เห็นวิธีการต่างๆ นานาของหยางชิ่งเองกับตา  ทำให้รู้สึกตกตะลึงนิดหน่อย แต่สิ่งที่หยางชิ่งทุ่มเทอยู่เบื้องหลังกลับเป็นการโหมทำงานหนักไม่มีที่สิ้นสุด ตอนนี้ในมือของหยางชิ่งยังไม่ได้ฝึกเลี้ยงใครที่สามารถเอาไว้ช่วยแบ่งเบาภาระเรื่องนี้ได้


สรุปก็คือหลังจากหยางชิ่งมาที่แดนอเวจี ก็ทำงานไม่ได้หยุดหย่อนเลย หยางชิ่งที่ทั้งสองเห็นก็คือ ถ้าไม่ได้วิ่งวุ่นทำงานอยู่ระหว่างหกลัทธิ ก็จะครุ่นคิดอะไรบางอย่างไม่หยุด แทบจะไม่เคยเห็นเขาหยุดพักมาก่อนเลย สภาพแบบนี้ต่อให้เป็นนักพรตแต่ก็ทนไม่ไหวอยู่ดี อย่างน้อยพวกเขาสองคนก็แทบจะทนไม่ไหวแล้ว แต่ก็โชคดีที่ยังมีซือคงอู๋เว่ยกับเถาชิงหลี ทั้งสองฝั่งผลัดกันมาคอยฟังคำสั่งหยางชิ่งตลอดเวลา


ตอนนี้จ้าวเฟยกับอูเมิ่งหลันก็นับว่าเข้าใจแล้ว ว่าทำไมเหมียวอี้ถึงให้หยางชิ่งรับหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญ อย่างน้อยในตอนนี้สองสามีภรรยาก็ยอมรับหยางชิ่งจากใจ ความสามารถของหยางชิ่งไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสองคนจะเทียบติด ในขณะที่รู้สึกชื่นชม สิ่งที่ได้เห็นก็ทำให้ทั้งสองทอดถอนใจไม่หยุดเช่นกัน ถ่ายชายรูปร่างกำยำคนหนึ่งค่อยๆ เปลี่ยนเป็นชายผู้เหี่ยวแห้งแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะแก่ชราลงหลายส่วน เห็นได้ชัดว่านี่คือผลจากการใช้สมองหนักแล้วไม่ได้ฟื้นฟูเป็นเวลานาน ไม่อย่างนั้นนักพรตผู้สง่าผ่าเผยคนหนึ่งคงไม่มีสภาพเป็นอย่างนี้หรอก เงาร่างที่เปลี่ยนเป็นซูบอยู่ริมหน้าผาภายใต้แสงจันทร์นั่นก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ยืนยันแล้ว


เพียงแต่วันนี้ไม่รู้ว่าหยางชิ่งเป็นอะไรไป ปกติเวลาครุ่นคิดวิธีแก้ปัญหา หยางชิ่งก็จะเดินไปเดินมาอยู่ในลานบ้าน ไม่มีทางเผยตัวอยู่ข้างนอกให้คนเห็น


หารู้ไม่ว่า หยางชิ่งเปลี่ยนจากใช้พลังความคิดที่แดนอเวจีไปใช้พลังความคิดที่ตลาดผีชั่วคราวแล้ว เปลี่ยนไปคิดเรื่องของเหมียวอี้แทน เขาเองก็ไม่มีทางเลือกแล้วเช่นกัน เขาเป็นห่วงฝั่งเหมียวอี้มากเกินไป ถ้าเกิดเรื่องอะไรกับเหมียวอี้ขึ้นมา พลังความคิดมากมายที่เขาทุ่มเทกับฝั่งนี้ก็จะสูญเปล่า


ลักษณะการทำงานของเหมียวอี้ทำให้เขาแทบจะเป็นบ้าอยู่บ่อยๆ เขาไม่มีทางบงการเหมียวอี้ได้เลยจริงๆ เพราะเหมียวอี้มักจะไม่เล่นตามกติกาปกติ แต่ครั้งนี้หลังจากเหมียวอี้ขอคำชี้แนะจากเขา สิ่งที่เขาต้องการเป็นอันดับหนึ่งก็คือ ต้องรู้ถึงสถานการณ์ที่ตลาดผี ต้องการให้เหมียวอี้รายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทางฝั่งตลาดผีให้เขารู้ตลอดเวลา เพราะการแข่งขันกระดานนี้จะแพ้ไม่ได้จริงๆ


เหมียวอี้เองก็ได้รับปากเขาไว้แล้ว


หยางเจาชิงรับหน้าที่นำสถานการณ์ของตลาดผีที่กำลังพลจวนแม่ทัพภาครวบรวมได้ไปรายงานต่อให้หยางชิ่งรู้ เหยียนซิวที่ติดตามเหมียวอี้อยู่เป็นปกติก็รายงานสถานการณ์ที่ไม่ชอบมาพากลบางอย่างให้ทางนี้รู้เช่นกัน โชคดีที่ทั้งสองคนมีช่องทางการติดต่อกับชิงจวี๋ มีชิงจวี๋คอยรับข่าวจากหยางเจาชิงและเหยียนซิวตลอดเวลา


เท่านี้ยังไม่พอ หลังจากแน่ใจแล้วว่าเหมียวอี้ดึงดันจะทำอย่างนั้นให้ได้ เขาก็ไปประชุมกับหกลัทธิทันที บอกให้ทุกช่องทางข่าวสารของหกลัทธิทางตลาดผีรายงานเรื่องทั้งหมดของตลาดผีให้ทางนี้รู้ให้ทันเวลา ครั้งนี้เขาบอกถึงสถานการณ์ปัจจุบันของเหมียวอี้ให้บุคคลระดับสูงของหกลัทธิรู้โดยไม่อ้อมค้อม บอกไว้อย่างชัดเจน ว่าถ้าเกิดเรื่องกับเหมียวอี้เมื่อไร ความพยายามของทุกคนก็จะสูญเปล่า ในภายหลังเลิกคิดไปได้เลยว่าจะมีทรัพยากรส่งเข้ามา แล้วทุกคนก็รอให้กำลังพลเบื้องล่างใช้ทรัพยากรจนหมดแล้วเกิดเรื่องขึ้นได้เลย


เมื่อถูกหยางชิ่งปั่นแบบนี้ หกลัทธิก็เริ่มเครียดแล้วเช่นกัน


แต่จากนั้นหยางชิ่งก็ปลอบใจอีก ต้องการให้หกลัทธิรักษาความเป็นปกติที่ตลาดผีเอาไว้ อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น ที่จริงสาเหตุที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะกลัวว่าพวกคนเก่าคนแก่ของหกลัทธิจะต่อหน้าเสแสร้งทำเป็นเชื่อฟัง พอลับหลังกลับต่อต้าน ทำให้รายงานสถานการณ์ทางตลาดผีขึ้นมาไม่ทันก็เท่านั้นเอง ตอนนี้เขาต้องการจะรู้สถานการณ์ต่างๆ ขององตลาดผีจำนวนมาก


ด้วยเหตุนี้ หยางชิ่งจึงย้ายบุคคลระดับสูงกลุ่มหนึ่งของหกลัทธิมารวมกันที่นี่ เพื่อคอยรับข่าวเกี่ยวกับตลาดผีที่แต่ละช่องทางรายงานมา ก่อตั้งเครือข่ายข่าวสารขนาดใหญ่ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุดเพื่อบริการเหมียวอี้คนเดียว


เพิ่งจะจัดการเรื่องนี้เสร็จ หยางชิ่งก็ได้รับข่าวจากเหมียวอี้อีกแล้ว เหมียวอี้เล่ารายละเอียดตอนที่เจอกับเฉาหม่านให้ฟัง


คำเตือนแบบนี้นัยยะแอบแฝงของเฉาหม่าน ที่จริงแล้วมีความหมายบางอย่างต่อเหมียวอี้ แต่คำเตือนประโยคเดียวนี้ก็ได้ทำให้หยางชิ่งเพิ่มความระมัดระวังตัวแล้ว ทำให้สีหน้าตึงเครียดขึ้นมาในฉับพลัน


หลังจากยืนครุ่นคิดอยู่ริมหน้าผานานมาก หยางชิ่งก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ แล้วจู่ๆ ก็ถาม่วา : นายท่าน ตอนอยู่ที่ตลาดผี ท่านเคยติดต่อกับคนของหกลัทธิหรือเปล่า?


เหมียวอี้ไม่รู้ว่าเขาถามถึงเรื่องนี้ทำไม ตอบไปว่า : ตลาดผีเป็นถิ่นของตึกศาลาสัตยพรต ข้าจะกล้าเจอกับคนของหกลัทธิที่นี่ได้ยังไง


หยางชิ่งคิดไปคิดมาก็เห็นด้วย แต่เขาระมัดระวังตัวจนติดเป็นนิสัยแล้ว เมื่อเจอกับเรื่องประเภทนี้ก็ยังถามเยอะเพื่อให้ปลอดภัยและเชื่อถือได้ : นายท่านแน่ใจจริงเหรอ ว่าไม่เคยคลุกคลีกับคนของหกลัทธิที่ตลาดผีเลย?


เหมียวอี้ : ไม่เคย…


จากนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้อีก พูดเสริมอีกว่า : ตอนเป็นแม่ทัพภาคตลาดผีข้าไม่เคย แต่ก่อนหน้านั้น ตอนที่ตำหนักสวรรค์วางกับดักที่ตลาดผี ข้าพบปัญหานิดหน่อย ก็เลยยืมคนของลัทธิอู๋เลี่ยงให้มาช่วยทำให้ข้าหนีไป ถ้านับเรื่องนี้ด้วยก็ถือว่าเคยติดต่อกัน


หยางชิ่งถามซักไซ้ทันที : นายท่านเล่ารายละเอียดให้ฟังได้มั้ย?


สำหรับเรื่องนี้ เหมียวอี้ไม่ได้ปิดบังอะไร บอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขารู้แล้ว


“นายท่านรอสักครู่!” หลังจากฟังจบ หยางชิ่งก็บอกเขาอย่างนั้น แล้วก็สะบัดเสื้อคลุมเดินไปยังที่อยู่ของจินม่านโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


จินม่านที่กำลังฝึกวิชาย่อมถูกเขารบกวนแล้ว พอทั้งสองพบกันในห้องรับแขก หยางชิ่งก็กุมหมัดคารวะ “ประมุขปราชญ์”


“หัวหน้าผู้ช่วยมีธุระอะไรดึกป่านนี้?” จินม่านแปลกใจ


“ได้ยินราชาปราชญ์บอกมา ว่าในปีนั้นที่ตำหนักสวรรค์วางกับดักที่ตลาดผี ราชาปราชญ์เคยประสบปัญหานิดหน่อย ลัทธิอู๋เลี่ยงเคยส่งคนไปรับเหรอ…” หยางชิ่งถามรวบรัด รีบถามสิ่งที่อยากรู้ออกมาให้ชัดเจน


พูดสั้นกระชับได้ใจความขนาดนี้ ไม่มีเหตุผลที่จินม่านจะฟังไม่เข้าใจ นางครุ่นคิดสักประเดี๋ยว ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “มีเรื่องแบบนี้จริงๆ ราชาปราชญ์ติดต่อมาหาข้าด้วยตัวเอง ให้ข้าเตรียมคนทางตลาดผีให้ไปช่วยเหลือนายท่าน มีปัญหาอะไรเหรอ?”


“ข้าอยากรู้รายระเอียดว่าช่วยเหลือยังไง สืบได้หรือเปล่า?” หยางชิ่งถาม


“เรื่องที่ผ่านมือเบื้องล่างโดยละเอียด ข้าก็ไม่รู้ชัดแล้ว เกรงว่าต้องถามสักหน่อย” จินม่านตอบอย่างลังเล


หยางชิ่งไม่พูดพร่ำทำเพลง สั่งคำเดียวว่า “สืบ!”

 

 

 


บทที่ 1648 ระบุสาเหตุ

 

สืบ? จินม่านขมวดคิ้ว มองเขาด้วยสีหน้าที่เต็มใบไปด้วยความสงสัย เป็นเรื่องทางตลาดผี อย่าบอกนะว่าเกี่ยวข้องกับเหมียวอี้?


ไม่มีคำพูดอะไรอีก หยางชิ่งพยักหน้า แล้วรอคอย เฝ้าดู ดูจากความหมายนั้นก็คือ ให้จัดการเดี๋ยวนี้ ตอนนี้!


จินม่านตระหนักอะไรบางอย่างได้ทันที น่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้แล้ว ไม่อย่างนั้นท่านนี้คงไม่พูดเสียงแข็งขนาดนี้หรอก


ผ่านการทำความรู้จักในช่วงหนึ่ง จินม่านก็รู้สึกได้เช่นกันว่าท่านนี้มีจุดที่ไม่ธรรมดา ไม่ใช่คนที่จะทำอะไรซี้ซั้ว จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทันที


หลังจากนั้นพักหนึ่ง จินม่านก็เก็บระฆังดาราแล้วบอกว่า “ตอนนั้นราชาปราชญ์ต้องการจะหนีออกมาอย่างราบรื่น ก็เลยขอความร่วมมือจากคนของลัทธิอู๋เลี่ยงที่อยู่ใน ‘หอภูเขาเขียว’ ตลาดผี…” นางเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ


“ขอถามอีกสักหน่อย ให้ทางนั้นคิดให้ละเอียด ว่าหลังจากนั้นทางหอภูเขาเขียวมีความผิดปกติอะไรหรือเปล่า?” หยางชิ่งถาม


จินม่านตอบว่า “เพิ่งจะถามไป ไม่มีความผิดปกติอะไร แค่คนที่ไปไปช่วยเหลือราชาปราชญ์ ที่ชื่อว่าฉินก้วน หลังจากจบเรื่องนั้นก็ประสบเคราะห์แล้ว”


“ประสบเคราะห์แล้วเหรอ?” หยางชิ่งถามอย่างร้อนใจ “ประสบเคราะห์หลังจากจบเรื่อง หรือว่าหลังจากกลับมาที่หอภูเขาเขียวแล้วประสบเคราะห์?”


“หลังจากเกิดเรื่อง ฉินก้วนก็ไม่ได้กลับเข้ามาที่หอภูเขาเขียว” จินม่านตอบ


“แล้วฉินก้วนนั่นวรยุทธ์เท่าไร?” หยางชิ่งถามอีก


“บงกชทองขั้นเจ็ด” จินม่านตอบ


หยางชิ่งได้ยินแล้วก้มหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ตึกศาลาสัตยพรตน่าจะรู้แล้วว่าราชาปราชญ์กับหกลัทธิมีความเกี่ยวข้องกัน”


จินม่านแปลกใจ “ทำไมคิดอย่างนั้น? ตอนนั้นเตรียมการอย่างระมัดระวังมาก”


หยางชิ่งถามกลับว่า “หอภูเขาเขียวอยู่ใต้หนังตาตึกศาลาสัตยพรตมานานหลายปีขนาดนั้น เจ้ากล้าพูดมั้ยล่ะว่าตึกศาลาสัตยพรตจะไม่รู้กำพืดของหอภูเขาเขียว?”


จินม่านเงียบไปครู่หนึ่ง อ้ำอึ้งเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แล้วสุดท้ายก็กล่าวอย่างลังเล “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ปิดบังหัวหน้าผู้ช่วย ที่จริงตึกศาลาสัตยพรตกับหกลัทธิแอบติดต่อกันอย่างลับๆ มาตลอด อีกฝ่ายต้องรู้ถึงกำพืดของของหอภูเขาเขียวอย่างเลี่ยงไม่ได้ หวังว่าหัวหน้าผู้ช่วยจะไม่กระจายข่าวนี้ให้คนนอกรู้ ไม่อย่างนั้นถ้าให้กำลังพลเบื้องล่างรู้ เจ้าก็คงจะเข้าใจนะ ว่าการที่หกลัทธิถูกขังอยู่ในนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้ว”


หยางชิ่งส่ายหน้า “เรื่องที่ตึกศาลาสัตยพรตกับหกลัทธิแอบติดต่อกัน เรื่องนี้ต่อเจ้าไม่บอกข้าก็รู้แล้วเช่นกัน”


“เจ้ารู้เหรอ? ใครบอกเจ้า?” จินม่านตกใจ


หยางชิ่งยิ้มเจื่อน “ยังต้องให้ใครบอกด้วยเหรอ? หกลัทธิอยู่ที่ตลาดผี แอบหาทรัพยากรอยู่ใต้หนังตาตึกศาลาสัตยพรต ถ้าไม่ได้รับอนุญาตแล้วจะปักหลักอยู่ที่นั่นมาตลอดได้ยังไงล่ะ? ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว อยู่ใกล้กันขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สังเกตเห็นกันเลยสักนิด! ตระกูลเซี่ยโห้วนี่ก็ไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่ว่าใครก็คิดว่าตระกูลนั้นกับหกลัทธิเป็นศัตรูคู่แค้นกัน ไม่มีทางที่จะปล่อยให้หกลัทธิตั้งตัวอยู่ที่ตลาดผี ใครจะคิดล่ะว่าเขาจะส่งเสริมศัตรูให้อยู่ใต้หนังตาตัวเอง เล่ห์เหลี่ยมและความใจกว้างนี้ช่าง…ถ้าไม่ใช่เพราะข้ารู้ว่าหกลัทธิมีฐานลับอยู่ในตลาดผี ก็อาจจะทำใจเชื่อได้ยากจริงๆ! ตอนนี้พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมตระกูลเซี่ยโห้วถึงดันประมุขให้ขึ้นสู่ตำแหน่งได้หลายสมัย แล้วก็ทำลายประมุขได้หลายสมัยเช่นกัน คนนอกไม่มีทางรู้ได้ว่าน้ำของตระกูลเซี่ยโห้วนั้นลึกแค่ไหน!”


จินม่านจ้องเขาอย่างพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง เรื่องราวที่ซับซ้อนขนาดนี้ ทำไมพออยู่ในสายตาท่านนี้แล้วดูง่ายดายขนาดนี้ล่ะ มองปราดเดียวก็ทะลุปรุโปร่งแล้ว คนคนนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ!


ตอนนี้นางเหมือนจะเริ่มเข้าใจบ้างแล้ว ว่าทำไมเหมียวอี้ถึงจับหยางชิ่งมาโยนไว้ในตำแหน่งหัวหน้าผู้ช่วยหกลัทธิ!


“ต่อให้ตึกศาลาสัตยพรตจะรู้กำพืดของหอภูเขาเขียว แต่ก็ไม่ได้แปลว่าตึกศาลาสัตยพรตจะรู้ว่าหกลัทธิกับราชาปราชญ์มีความเกี่ยวข้องกัน ฉินก้วนนั่นไม่ใช่คนของหกลัทธิ แม้แต่กำพืดของหอภูเขาเขียวก็ยังไม่รู้เลย ตอนที่ให้เขาไปลงมือ ก็บอกเขาแค่ว่าราชาปราชญ์ไปล่วงเกินคนอื่นไว้ตอนที่มาหาความสำราญที่หอภูเขาเขียว ให้เขาไปสั่งสอนราชาปราชญ์นิดหน่อยก็เท่านั้นเอง เขาไม่รู้เลยว่าราชาปราชญ์เป็นใคร ต่อให้พลาดถูกจับตัวไปก็ไม่น่าจะพูดอะไรนะ” จินม่านกล่าวอย่างลังเล


หยางชิ่งถอนหายใจ “ตึกศาลาสัตยพรตรู้ถึงกำพืดของหอภูเขาเขียว ตอนนั้นก็จับตาดูราชาปราชญ์ด้วย ราชาปราชญ์สามารถบุกเดี่ยวโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านได้ ในบรรดานักพรตบงกชทองไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขา แล้วพวกเจ้ายังจะส่งนักพรตบงกชทองขั้นเจ็ดไปจัดการราชาปราชญ์เนี่ยนะ?”


“แบบนี้ถึงจะสมเหตุสมผลมากกว่า! เพราะหอภูเขาเขียวไม่รู้ว่าราชาปราชญ์เป็นใคร!” จินม่านยักไหล่สองข้าง


“เรื่องบางเรื่องพวกเราจะคิดไปเองฝ่ายเดียวไม่ได้ ต่อให้อยากจะทำให้สมเหตุสมผลแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ต้องทราบไว้นนั้นตอนนั้นตึกศาลาสัตยพรตจับตาดูราชาปราชญ์แล้ว!” หยางชิ่งส่ายหน้า แล้วก็ก้มหน้าพูดเสริมอีกว่า “อย่างน้อยในสายตาข้า ตอนนั้นข้างกายราชาปราชญ์ก็ไม่ได้มีแค่ราชาปราชญ์คนเดียว ไม่น่าเชื่อว่าพวกเจ้าจะส่งนักพรตบงกชทองขั้นเจ็ดไปคนเดียว? แค่นี้ก็มีเหตุผลที่เพียงพอที่จะทำได้พวกเขาสงสัยแล้ว…”


จินม่านแกตัวว่า “ก็เพราะไม่รู้เบื้องลึกของราชาปราชญ์ชัดเจน ก็เลยไม่รู้ว่าข้างกายเขามีคนอยู่มากเท่าไร ก็เลย…”


หยางชิ่งยกมือขึ้นขัดจังหวะ “งั้นก็ได้ ลองนำเรื่องนี้กลับมาย้อนคิดอีกที ด้วยสถานการณ์ในตอนนั้น ตึกศาลาสัตยพรตจับตาดูราชาปราชญ์แล้ว มือสังหารที่ลอบสังหารราชาปราชญ์ทำพลาดแล้วหนีไปได้ แต่จะรอดจากสายตาของตึกศาลาสัตยพรตไปได้เหรอ? ตึกศาลาสัตยพรตย่อมต้องสืบให้ชัดเจนอยู่แล้วว่าเรื่องเป็นยังไง อาศัยอำนาจอิทธิพลของตึกศาลาสัตยพรตที่ตลาดผี ถ้าต้องการจับเป็นนักพรตบงกชทองขั้นเจ็ดสักคนมันยากนักเหรอ? ฉินก้วนไม่ใช่คนของหกลัทธิ เขาจะช่วยหอภูเขาเขียวฆ่าตัวตายปิดบังความลับเหรอ? คำตอบก็คือไม่! ตอนนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าฉินก้วนจะตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตแล้ว ก็อย่างที่เจ้าบอก ถ้าฉินก้วนอ้างเหตุผลนั้นในการลอบสังหารแล้วตบตาได้ เช่นนั้นก็ไม่มีเรื่องใหญ่โตอะไรแล้ว อาศัยความสัมพันธ์ลับๆ ระหว่างตึกศาลาสัตยพรตกับหอภูเขาเขียว ก็น่าจะปล่อยตัวฉินก้วนไปสิ แต่ทำไมฉินก้วนถึงไม่ได้รอดชีวิตกลับไปที่หอภูเขาเขียวล่ะ? แปลว่าความสัมพันธ์ระหว่างหอภูเขาเขียวกับราชาปราชญ์ทำให้ตึกศาลาสัตยพรตสงสัยแล้ว ตึกศาลาสัตยพรตไม่อยากให้หอภูเขาเขียวรู้ว่าฉินก้วนตกอยู่ในมือพวกเขา ย่อมต้องทำให้ฉินก้วนหายไปอยู่แล้ว เหตุผลก็คือต้องการทำให้ฝั่งหกลัทธิประมาท ที่จริงพวกเขาก็บรรลุเป้าหมายตั้งนานแล้ว ทำให้พวกเจ้าไม่ได้สังเกตเห็นมาจนกระทั่งตอนนี้!”


การวิเคราะห์ที่ละเอียดเหมือนดึงไหมออกจากรังนี้ทำให้จินม่านขนลุกขนชัน นางถามอย่างค่อนข้างตกตะลึงว่า “ทำไมจู่ๆ หัวหน้าผู้ช่วยถึงถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ล่ะ?”


“เรื่องนี้เดี๋ยวค่อยอธิบายทีหลัง!” หยางชิ่งกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่าน “พวกเจ้าไม่รู้เชียวเหรอว่าตลาดผีถูกควบคุมอย่างลับๆโดยตึกศาลาสัตยพรต ทำไมกล้าให้คนของตลาดผีไปติดต่อกับราชาปราชญ์ ไม่กลัวจะโดนเปิดโปงรึไง?”


จินม่านตอบว่า “ตอนนั้นราชาปราชญ์รีบร้อนหนีเอาตัวรอด ขอความช่วยเหลือเร่งด่วน ตอนนั้นไม่มีทางส่งคนอื่นไปช่วยที่ตลาดผีได้เลย น้ำไกลสู้น้ำที่อยู่ใกล้ไม่ได้ เลยทำได้เพียงใช้งานคนของหอภูเขาเขียว”


เรื่องราวเกิดขึ้นไปแล้ว มัวมาคิดวนเวียนอีกก็ไม่มีความหมาย และทางฝั่งเหมียวอี้ก็กำลังรอข่าวจากตน หยางชิ่งจึงยังไม่สนใจนาง หยิบระฆังดาราออกมาอีกครั้ง แล้วติดต่อไปหาเหมียวอี้ สรุปเรื่องที่จินม่านบอกให้เหมียวอี้รู้


พอเหมียวอี้ได้ฟังแล้วก็ตกใจมาก นึกไม่ถึงว่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับหกลัทธิจะถูกตึกศาลาสัตยพรตจับตาดูตั้งนานแล้ว จึงรีบถามว่า : อย่าบอกนะว่าตอนนั้นพวกเขารู้แล้วข้าคือระมุขปราชญ์ของลัทธิอู๋เลี่ยง?


หยางชิ่ง : เรื่องนี้มีความเป็นไปได้น้อย ทางฝั่งแดนอเวจีนอกจากบุคคลระดับสูง คนที่รู้ว่าท่านอยู่ที่โลกภายนอกก็มีไม่เยอะ คนฝั่งแดนอเวจีรู้เพียงว่าท่านชื่อเหมียวอี้ ไม่มีเชื่อมโยงท่านกับหนิวโหย่วเต๋อที่อยู่ข้างนอก อีกทั้งระฆังดาราของฝั่งนี้ก็ถูกควบคุม กำลังพลเบื้องล่างไม่มีทางติดต่อโลกภายนอกได้เลย บุคคลระดับสูงที่รู้สถานการณ์ก็ไม่มีทางทำเรื่องที่ทำลายผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกขังปิดตายมาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นเมื่อก่อนก็เป็นไปไม่ได้ ตอนนี้พอมีช่องทางติดต่อกับโลกภายนอกแล้วก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้


เหมียวอี้โล่งอกนิดหน่อย ถามอีกว่า : ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงสืบมาถึงเรื่องนี้ได้ล่ะ?


ทำไมถึงสืบได้น่ะเหรอ? ก็ย่อมเป็นเพราะคำเตือนที่มีนัยยะแอบแฝงของเฉาหม่านได้เตือนสติหยางชิ่งเข้าแล้ว และในตอนนี้หยางชิ่งก็กำลังตื่นตัวกับทุกการเคลื่อนไหวของตลาดผี ถ้ามีจุดไหนที่น่าสงสัยก็จะดึงดูดให้เขาสงสัย วิเคราะห์ ตัดสินและตัดทิ้งทันที ผลปรากฏว่ามาติดอยู่ที่จุดนี้ คิดไม่ตก!


หยางชิ่งคิดไม่ตกจริงๆ ว่าทำไมเฉาหม่านต้องเตือนโดยแฝงนัยยะอย่างนี้ คิดไปคิดมาก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือเหมียวอี้มีมูลค่าให้ตึกศาลาสัตยพรตใช้ประโยชน์ แต่จะมีมูลค่าให้ใช้ประโยชน์อย่างไรล่ะ? ด้วยสถานการณ์ของตอนนี้เหมียวอี้ในตอนนี้ กำลังถูกตำหนักสวรรค์ควบคุม ขนาดตระกูลโค่วยังมองเห็นเป็นลูกที่ถูกทิ้ง ตระกูลเซี่ยโห้วไม่จำเป็นต้องรับจานไว้ นอกเสียจากเหมียวอี้จะมีมูลค่าต่อตระกูลเซี่ยโห้วมากจริงๆ!


พอเป็นแบบนี้ เมื่อแน่ใจทิศทางแล้ว หยางชิ่งก็เริ่มครุ่นคิดตัดสินเกี่ยวกับมูลค่าของ ‘เหมียวอี้’ ความลับของหกลัทธิที่อยู่เบื้องหลังเหมียวอี้โผล่ออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้เขาต้องหาหลักฐานพิสูจน์ว่าตึกศาลาสัตยพรตรู้ความลับนี้แล้วต้องการจะใช้ประโยชน์เพิ่มหรือเปล่า? ผลปรากฏว่าเป็นอย่างที่เขาคาดไว้ ตึกศาลาสัตยพรตตระหนักได้แล้วจริงๆ ว่าเหมียวอี้กับหกลัทธิมีความเกี่ยวข้องกัน


เมื่ออธิบายสถานการณ์คร่าวๆ เหมียวอี้ก็ไม่ได้ตกใจ แต่กลับพูดไม่ออก มารดาเจ้าเถอะ นี่มันคนอะไรกัน คำพูดประโยคเดียวของเฉาหม่านที่เตือนตนเหมือนมีเจตนาดี แต่เจ้าหมอนี่กลับสืบอะไรออกมาได้มากมายอย่างแม่นยำและรวดเร็ว ระบุมูลเหตุได้โดยตรง นี่ยังจะให้ข้ามีชีวิตอยู่ไปทำไม?


เหมียวอี้ : จุดประสงค์ที่เฉาหม่านเตือนข้าคืออะไร?


หยางชิ่ง : ก็ย่อมต้องอยากจะช่วยนายท่านอยู่แล้ว


เหมียวอี้ : ทำไมต้องอยากช่วยข้า?


หยางชิ่ง : สาเหตุที่คิดออกในตอนนี้มีสองข้อ หนึ่งก็คือ ถ้าจับจุดอ่อนนายท่านกับหกลัทธิได้จริงๆ อีกทั้งนายท่านยังเป็นเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว ภายใต้ความสัมพันธ์แบบเป็นเหตุเป็นผลนี้ ก็จะเท่ากับว่าได้บีบคอตระกูลโค่วไว้อย่างแน่นหนาแล้ว ค่าตัวของนายท่านสูงมาก เพียงพอที่จะทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วยอมจ่ายเพื่อช่วยเหลือนายท่านได้ เพราะวิธีการที่นายผงาดขึ้นมาที่ตำหนักสวรรค์นั้นสะดุดตาเกินไป ถึงขั้นเหนือจินตนาการด้วย ก่อเรื่องใหญ่หลายครั้งขนาดนั้นแต่ก็ยังรอดมาได้ ถ้าไม่รู้ว่านายท่านมีหกลัทธิอยู่เบื้องหลังก็ว่าไปอย่าง แต่ในเมื่อรู้แล้ว เกรงว่าถ้าจะไม่ให้สงสัยก็คงยาก! เดิมทีตระกูลเซี่ยโห้วก็ตั้งตัวขึ้นมาได้เพราะอาศัยการไขความลับกับกุมความลับอยู่แล้ว เมื่อมีสาเหตุสองข้อนี้ ตระกูลเซี่ยโห้วก็จะต้องช่วยนายท่านแน่นอน!


เมื่อได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็รู้สึกบันเทิงแล้ว กล่าวกลั้วหัวเราะว่า : ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ ต่อให้ตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วทำข้อตกลงกันเสร็จแล้ว แต่ตึกศาลาสัตยพรตก็ไม่มีทางเลิกปกป้องข้าตอนอยู่ที่ตลาดผีง่ายๆ ใช่มั้ย?


หยางชิ่ง : ถ้าหากตัดสินไม่ผิดพลาด ก็น่าจะเป็นอย่างนี้ เพียงแต่จะไม่ช่วยนายท่านอย่างโจ่งแจ้งก็เท่านั้นเอง เป็นเพราะความกระหายอยากสืบความลับของตระกูลเซี่ยโห้วได้แทรกซึมเข้าไปในกระดูกของทั้งตระกูลแล้ว นี่ก็คือรากฐานที่ทำให้พวกเขายืนหยัดได้ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้แล้ว นี่ก็คือจุดที่ตระกูลเซี่ยโห้วทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวที่สุด! เมื่ออยู่ในระดับอย่างตระกูลเซี่ยโห้ว ก็จะกลายเป็นสัตว์ประหลาดตัวใหญ่แล้ว อาศัยกำลังกำลังทหารก็ไม่ทีทางตัดขาดได้เลย ถ้าวันไหนตระกูลเซี่ยโห้วล้มลง ก็จะต้องทำให้ทั้งตระกูลเกิดความวุ่นวายแน่นอน


เหมียวอี้ : ตามที่เจ้าบอกแบบนี้ ตราบใดที่ตระกูลเซี่ยโห้วไม่วุ่นวายเสียเอง ก็จะไม่มีวันล่มสลายเหรอ?


หยางชิ่ง : เรื่องนี้ก็ไม่แน่ ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีการเลย บางครั้งจุดที่ยื่นออกมามากที่สุดก็เป็นจุดที่ทำให้สะดุดได้ง่ายที่สุดเช่นกัน ตระกูลเซี่ยโห้วชอบสืบความลับและกุมความลับคนอื่น ถ้ามีใครสักคนมีวิธีการ มีความสามารถที่จะวางกับดักเพื่อใช้ประโยชน์จากจุดนี้ ดีไม่ดีอาจจะทำให้ตัวละครใหญ่ยักษ์อย่างตระกูลเซี่ยโห้วสะดุดขาตัวเองจนเดินเซแล้วล้มลงเองก็ได้ เพียงแต่ถ้าอยากจะทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วติดกับดัก ก็เกรงว่าคงจะไม่ใช่ทุกคนที่สามารถหาเหยื่อล่อนั้นได้ เป็นเรื่องที่ยากมาก แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

 

 

 


บทที่ 1649 ตระกูลเซี่ยโห้ว

 

เหมียวอี้ : สรุปก็คือ ยังต้องให้ตระกูลเซี่ยโห้วทำพลาดเอง


หยางชิ่ง : จะว่าอย่างนั้นก็ได้! เป็นเพราะตระกูลเซี่ยโห้วยึดครองใต้หล้ามานานเกินไป มีประมุขรุ่งเรืองและล้มลงหลายยุค แต่มีเพียงตระกูลเซี่ยโห้วที่ไม่ล้มลง สะสมเส้นสนกลในไว้เยอะเกินไป ก้นบึ้งลึกขนาดไหนก็ไม่มีใครสัมผัสไปถึงได้ ถึงขนาดว่าแม้แต่คนภายในตระกูลเซี่ยโห้วเองก็ยังไม่รู้ชัดเลย สิ่งที่ตึกศาลาสัตยพรตกุมไว้ เกรงว่าจะเป็นแค่ส่วนเดียวเท่านั้นกระมัง? ต่อให้กำลังทหารภายนอกจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ก็ทำได้เพียงโจมตีให้ตระกูลเซี่ยโห้วเป็นรูโหว่ แต่ไม่มีทางตัดขาดได้เลย ไม่อย่างนั้นเกรงว่าประมุขชิงคงจะไม่ปล่อยให้ตระกูลเซี่ยโห้วอยู่มาจนถึงวันนี้หรอก ก็เพราะด้วยเหตุนี้เอง ถึงได้มีคำกล่าวที่ว่า ครองตระกูลเซี่ยโห้วได้ ก็ครองใต้หล้าได้!


ยิ่งเป็นแบบนี้ เหมียวอี้ก็ยิ่งปวดหัว นึกไม่ถึงว่าจะถูกตระกูลเซี่ยโห้วพัวพันเข้าแล้ว อดไม่ได้ที่จะด่าว่า : ล้วนเป็นเพราะพระปีศาจหนานโปไม่ทำเรื่องดี ตัวเองวิปริตคนเดียวก็ว่าหนักแล้ว ยังจะโอบอุ้มตระกูลปีศาจวิปริตนี่ขึ้นมาอีก ผลเป็นยังไงล่ะ กลับโดนสุนัขที่คุมใต้หล้ากัดเข้าแล้ว แถมยังลำบากคนอื่นอีก เส้นสนกลในของตระกูลเซี่ยโห้วจะลึกขนาดไหนก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้าพิจารณาในตอนนี้ ข้าแค่อยากรู้ว่าเจ้ามีวิธีการรับมือรึเปล่า?


หยางชิ่ง : วิธีการรับมือก็คือไม่ต้องไปรับมือ อาศัยศักยภาพของพวกเรา ก็ไม่มีทางไปประลองฝีมือกับตัวละครยักษ์ใหญ่อย่างตระกูลเซี่ยโห้วได้เลย แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งนั้น


เหมียวอี้ทั้งโมโหทั้งอยากขำ : มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรได้อีกเหรอ?


หยางชิ่ง : ก็เพราะมาถึงขั้นนี้แล้วไง ถึงต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลย ทำเรื่องของพวกเราตามจังหวะการก้าวของพวกเราต่อไป! นายท่านทำทุกอย่างให้เป็นปกติ อย่าไปคิดว่าจะทำอะไรก็ได้เพียงเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายรู้แล้วว่าตัวเองเกี่ยวข้องกับหกลัทธิ เมื่อก่อนไม่ไปมาหาสู่กับหกลัทธิที่ตลาดผียังไง ตอนนี้ก็ให้ทำเหมือนเดิม สรุปก็คือ นายท่านจะต้องรักษาสภาพลึกลับน่าค้นหาในระดับนี้ต่อไป ทำให้อีกฝ่ายคลำไม่เจอและมองไม่ทะลุ แบบนั้นนายท่านกลับจะได้รับการปกป้องจากอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ถ้าเปิดโปงตัวเองเมื่อไร นายท่านกลับจะเป็นอันตราย!


พูดชัดเจนขนาดนี้แล้ว ก็เข้าใจความหมายได้ไม่ยาก เหมียวอี้ตอบว่า : เข้าใจแล้ว ข้ารู้แล้วว่าจะทำยังไง


หยางชิ่ง : ยังมีอีกอย่าง ถ้ามีโอกาสติดต่อกับหกลัทธิที่ฐานอื่นๆ ข้างนอก นายท่านก็ต้องหลบเลี่ยง ไม่อย่างนั้นก็เกรงว่าจะไม่ค่อยน่าไว้ใจ


เหมียวอี้ตกใจทันที : หมายความว่ายังไง? อย่าบอกนะว่าหกลัทธิมีเจตนาอะไรกับข้า?


หยางชิ่ง : ข้าน้อยไม่ได้หมายความอย่างนั้น ข้าแค่สงสัยว่าฐานปฏิบัติการของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกอาจจะถูกตระกูลเซี่ยโห้วจับตาดูตั้งนานแล้วก็ได้ ที่ข้าไม่ให้นายท่านไม่ติดต่อกับฐานพวกนั้น ก็เพื่อจะคงสภาพลึกลับน่าค้นหาของนายท่านต่อไป นายท่านลองคิดดูสิ ตระกูลเซี่ยโห้วก็รู้อยู่แจ้มแจ้งว่าท่านกับหกลัทธิเกี่ยวข้องกัน แต่กลับจับจุดอ่อนที่สอดคล้องความจริงระหว่างนายท่านกับหกลัทธิไม่เจอเลย แล้วตระกูลเซี่ยโห้วจะคิดยังไงได้ล่ะ? ก็มีแต่จะคิดว่าหกลัทธิปกป้องนายท่านอย่างรอบคอบไม่ธรรมดา ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของนายท่าน ขณะเดียวกัน ยิ่งจับจุดอ่อนของตระกูลโค่วได้ยากเท่าไร ตระกูลเซี่ยโห้วก็จะยิ่งอยากยินดีสิ้นเปลืองกำลังความคิดกับนายท่านมากเท่านั้น ตอนนี้นายท่านกลายเป็นคนที่ตระกูลโค่วทิ้งแล้ว ทั้งยังถูกตำหนักสวรรค์กดดัน แถมยังมีกลุ่มผู้มีอำนาจที่จ้องเขมือบนายท่านอีก นายท่านจะได้รับการปกป้องจากตระกูลเซี่ยโห้วได้หรือไม่ นั่นก็คือเรื่องที่สำคัญมาก ตอนนี้ในใต้หล้าเหลือเพียงตระกูลเซี่ยโห้วที่สามารถจะต่อกรกับกลุ่มผู้มีอำนาจเพื่อปกป้องนายท่านได้!


สิ่งที่เขาพูดในตอนหลัง เหมียวอี้ทำความเข้าใจได้ง่ายมาก เพียงแต่คำพูดก่อนหน้านั้นยังทำให้สงสัยไม่หาย จึงถามว่า : ทำไมเจ้าถึงสงสัยว่าฐานปฏิบัติการข้างนอกของหกลัทธิถูกตระกูลเซี่ยโห้วจับตาดูแล้ว?


หยางชิ่งถามกลับ : นายท่านยังจำตอนที่เจียงอีอีมาติดกับดักที่ตลาดผีได้มั้ย?


มีหรือที่เหมียวอี้จะลืมเรื่องนี้ได้ เรื่องของเยว่เหยาทำให้เขาปวดหัวไม่หาย เขาตอบว่า : ก็ต้องจำได้อยู่แล้ว เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ล่ะ?


หยางชิ่ง : ตอนแรกข้าน้อยนึกว่าตึกศาลาสัตยพรตง้างปากเจียงอีอีได้แล้ว แต่การกระทำของเจียงอีอีในตอนหลังที่ยอมปลิดชีพตัวเองเพื่อปกป้องน้องสาว ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าเจียงอีอีไม่ได้เปิดปากคายความลับได้ง่ายๆ ขนาดนั้น บวกกับระยะห่างของเวลาตอนที่จับตัวได้กับตอนที่ส่งตัวมาจวนแม่ทัพภาค เจียงอีก็น่าจะยังไม่ได้เปิดปาก แต่ว่ามีอยู่จุดหนึ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลย นั่นก็คือหลังจากตึกศาลาสัตยพรตจับตัวเจียงอีอีได้แล้ว ก็รู้ถึงตัวตนของเจียงอีอีทันที หลังจากจบเรื่องนั้นข้าน้อยลองมาไตร่ตรองให้ละเอียด ข้าน้อยว่าตึกศาลาสัตยพรตอาจจะมีวิธีการสืบหากำพืดอะไรบางอย่างที่คนนอกไม่รู้ ซึ่งทำให้พวกเขาสืบเจอว่าเจียงอีอีเกี่ยวข้องกับสมาคมวีรชน


เหมียวอี้ : พวกเขาอาจจะรู้ตั้งนานแล้วรึเปล่าว่าเจียงอีอีกับสมาคมวีรชนเกี่ยวข้องกัน?


หยางชิ่ง : มีความเป็นไปได้ไม่มาก! ถ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วจริงๆ ก็คงไม่ทรมานเจียงอีอีจนสภาพเป็นอย่างนั้น แถมตอนหลังก็ยังคิดหาทางปิดบังอีกว่าตัวเองรู้ความจริงแล้ว ความลับนั้นของประมุขชิงน่ะ ไปล่วงรู้ไม่ได้ง่ายๆ หรอก ประมุขชิงก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน มิหนำซ้ำยังเกี่ยวข้องกับเรื่องราชินีสวรรค์มีทายาทด้วย ดังนั้น ถ้ารู้ความจริงมาตั้งแต่แรกแล้ว พอจับตัวเจียงอีอีได้ก็จะพยายามส่งให้ถึงมือนายท่านให้เร็วที่สุด ไม่ปล่อยให้นำมาปัญหามาให้ตึกศาลาสัตยพรตกับราชินีสวรรค์แน่ พวกเขาจะต้องใช้วิธีการอะไรบางอย่างสืบได้ตอนหลังแน่นอน


เหมียวอี้สงสัย : เกี่ยวข้องกัยฐานปฏิบัติการของหกลัทธิตรงไหน?


หยางชิ่ง : เรื่องนี้ถ้าคิดให้ละเอียดก็ค่อนข้างน่ากลัวนะ! ตัวตนของเจียงอีอีเป็นสิ่งที่อ่อนไหวที่สุดของตำหนักสวรรค์ เวลาส่งไปปฏิบัติภารกิจ ก็จะต้องเตรียมตัวสำหรับกรณีที่ภารกิจล้มเหลวแน่นอน จะต้องเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่เพื่อรักษาความลับหลังจากที่ทำพลาด เบาะแสเพียงอย่างเดียวที่มีอยู่บนตัวเขา ก็คงจะเป็นระฆังดาราที่ใช้รับคำสั่งจากเบื้องบน เพราะฐานะตัวตนแบบเขาไม่สามารถเปิดเผยได้เลย เป็นไปไม่ได้ที่จะติดต่อกับคนมากมายขนาดนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นการติดต่อแบบฝั่งเดียว ข้าน้อยสงสัยว่าตึกศาลาสัตยพรตอาจจะสืบหาตัวตนผู้บังคับบัญชาของเจียงอีอีเจอผ่านจุดเล็กน้อยจุดนี้ พอสืบไปเจอสมาคมวีรชนแล้ว ก็รู้ทันทีว่าเจียงอีอีเป็นเหมือนเผือกร้อนที่ลวกมือ จึงเตรียมตัวปิดบังทันที ก็เลยโยนมาให้นายท่านต่อ


เหมียวอี้ : ตอนที่ยังไม่แน่ใจประวัติความเป็นมาของเจียงอีอี อาศัยแค่ตราอิทธิฤทธิ์บนระฆังดาราอันเดียวก็สืบเจอเป้าหมายแล้ว อาจจะเหนือจินตนาการไปหน่อยมั้ง ใต้หล้ากว้างใหญ่ขนาดนั้น นักพรตมีมากมายนับไม่ถ้วน ถ้าอยากจะสืบให้เจอ มันเป็นไปได้เหรอ? มิหนำซ้ำยังใช้เวลาไม่นานด้วย


หยางชิ่ง : จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย! เพราะเจียงอีอีก็ไม่ใช่คนโง่ ไม่อย่างนั้นคงไม่รอดพ้นจากการจับกุมครั้งแล้วครั้งเล่าหรอก ต่อให้ต้องการจะล้างแค้นที่นายท่านใส่ร้ายเขาเรื่องน่านฟ้าระกาติง แต่จะกล้าถ่อไปลงมือที่ตลาดผีง่ายๆ เหรอ? แบบนั้นอาจจะประมาทเกินไปหน่อย ไม่สอดคล้องกับลักษณะการก่อคดีของเจียงอีอีที่ทำอย่างระมัดระวัง รู้อยู่แจ่มแจ้งว่าตลาดผีมีตึกศาลาสัตยพรตจับตาดูอยู่ แต่ยังจะกล้าไปวางแผนลงมือที่ตลาดผีอีก แถมตอนหลังยังมีหน่วยกล้าตายหนึ่งคนโผล่มาให้ความร่วมมือกับเจียงอีอี พอนำเรื่องพวกนี้มาเชื่อมโยงกัน ก็เดาได้ไม่ยากว่ามีผู้บงการ และเจียงอีอีก็ลงมือกับขุนนางตำหนักสวรรค์ครั้งแล้วครั้งเล่า คนที่บงการอยู่เบื้องหลังคงจะมีความกล้าไม่น้อย สถานการณ์ของนายท่านตอนนั้นก็เห็นๆ กันอยู่ ใครกันล่ะที่ปรารถนาอยากจะให้นายท่านกับฮูหยินเลิกกัน ขอแค่ตีกรอบในการสืบให้แคบลงสักหน่อย สืบจากข้างบนลงข้างล่าง จำนวนคนที่เหลือให้สืบก็ไม่เยอะ จะกำหนดตัวเป้าหมายได้ง่ายมาก ดังนั้นข้าจึงสงสัยว่าสายข้างบนของเจียงอีอีจะต้องมีฐานะที่สมาคมวีรชนไม่ใช่ต่ำๆ แน่!


เหมียวอี้ : ดังนั้น เจ้าก็เลยสงสัยว่าตระกูลเซี่ยโห้วใช้วิธีการเดียวกันในการสืบหาฐานปฏิบัติการข้างนอกของหกลัทธิ?


หยางชิ่ง : พอนำมาเชื่อมโยงกับเรื่องของเจียงอีอี ข้าน้อยยิ่งคิดก็ยิ่งตกใจ ข้าน้อยสงสัยว่าตระกูลเซี่ยโห้วได้สร้างระบบเปรียบเทียบตราอิทธิฤทธิ์ขนาดใหญ่เอาไว้ชุดหนึ่งแล้วหรือเปล่า ยอ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ เพราะอิทธิพลของตระกูลเซี่ยโห้วแทรกซึมอยู่ในใต้หล้ามานานเกินไป ผ่านตัวละครมาหลายยุคสมัย ทั้งยังเดินได้ทั้งสายดำและสายขาวมาตลอด ความได้เปรียบเรื่องนี้ ต่อให้ตำหนักสวรรค์กับแดนสุขาวดีรวมกันก็เทียบไม่ติดเลย พวกเขามีความสามารถที่จะสร้างระบบนี้ขึ้นมา ความสามารถในการสืบความลับอันน่าสะพรึงกลัวของตระกูลเซี่ยโห้วก็คงจะเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ ถ้าข้าเดาถูก ฐานลับข้างนอกของหกลัทธิหลบไม่พ้นการสืบเสาะของตระกูลเซี่ยโห้วเลย ประการแรก หกลัทธิล้วนมีฐานลับที่ตลาดผี นอกเสียจากฝั่งตลาดผีจะไม่เกี่ยวข้องกับฐานลับที่อื่น แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เกี่ยวข้องกัน ดังนั้นผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วจึงมีเวลาเพียงพอที่จะใช้วิธีการต่างๆ เพื่อสืบสาวไปตามเบาะแสอย่างช้าๆ คลำจนเจอฐานปฏิบัติการแต่ละแห่งของหกลัทธิ


เหมียวอี้เกิดความสงสัยทันที : ถ้าอยากจะเทียบตราอิทธิฤทธิ์ อย่างแรกที่ต้องทำเลยก็คือได้ตราอิทธิฤทธิ์ของสมาชิกคนอื่นๆ ในฐานลับใช่มั้ย?


หยางชิ่ง : เรื่องนี้ง่ายมากเลย มีนักพรตคนไหนบางที่หลีกเลี่ยงเรื่องรบราฆ่าฟันได้ ถูกคนแย่งของไปก็เป็นเรื่องปกติมากไม่ใช่เหรอ ถ้าใช้วิธีที่แข็งกร้าวขึ้นมาหน่อย ตึกศาลาสัตยพรตก็สามารถอ้างเหตุผลอะไรสักอย่างมากักตัวคนที่กำลังเข้าออกฐานลับหกลัทธิที่ตลาดผีไว้ชั่วคราวได้ พวกตราอิทธิฤทธิ์จะไม่ตกอยู่ในมือพวกเขาเชียวเหรอ? หรือไม่ก็ยังมีวิธีการอื่นที่พวกเรายังไม่รู้อีก


เหมียวอี้ถามซักไซ้ : เอาตราอิทธิฤทธิ์ไปแล้ว ต่อให้ยืนยันตัวคนอื่นได้ แต่จะอาศัยตราอิทธิฤทธิ์หาฐานลับให้เจอได้ยังไง?


หยางชิ่ง : ห่านป่าบินผ่านยังเหลือเงา น้ำไหลผ่านยังเหลือรอย ยกตัวอย่างเช่น นายท่านรับประกันได้มั้ยว่าตัวเองจะไม่กลับพิภพเล็ก? เรื่องที่คนอื่นทำไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะทำไม่ได้ อาศัยกำลังทรัพย์และกำลังคนของตระกูลเซี่ยโห้ว ก็สามารถทำอย่างนั้นได้อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานลับหกลัทธิก็มีคนอยู่ตั้งมากมาย ขอแค่เล็งตัวเป้าหมายที่จะเอาตราอิทธิฤทธิ์ได้ พวกเขาก็จะได้ของคนจำนวนหนึ่งมาอย่างง่ายดายแน่นอน ดีไม่ดีตระกูลเซี่ยโห้วอาจจะสืบจนรู้ชัดแล้วด้วยซ้ำว่าคนของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกมีจำนวนเท่าไร อย่างน้อยถ้าเปลี่ยนให้ข้าน้อยมีปัจจัยเหมือนตระกูลเซี่ยโห้วบ้าง ก็สามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้เลย ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย อย่างมากก็ใช้เวลามากหน่อยก็เท่านั้นเอง แล้วอีกอย่าง บางทีอาจจะไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้นก็ได้ ตอนที่ประมุขปราชญ์หกลัทธิยังอยู่ คนของฐานลับหกลัทธิในปัจจุบันก็อาจจะไม่ได้หลุดพ้นจากสายตาของตระกูลเซี่ยโห้วหรอก สิ่งที่มีความเป็นไปได้มากกว่านั้นก็คือ ผู้เหลือรอดในฐานปฏิบัติการตอนนี้ ก็อาจจะเป็นผลจากการแอบช่วยเหลืออย่างลับๆ ของตระกูลเซี่ยโห้วก็ได้ ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีทางเสี่ยงวางไข่ไว้ในตะกร้าเดียวกันแน่ มีความเป็นได้สูงว่าจะเตรียมตัวเอาไว้แล้วสำหรับกรณีที่ต้องแตกคอกับประมุขชิงและประมุขพุทธะ ถ้าพูดถึงทรัพยากรที่ตระกูลเซี่ยโห้วมี วิธีการที่จะใช้กุมข้อมูลของฐานลับหกลัทธิก็มีมากมายจริงๆ ไม่ได้ยากสักเท่าไรเลย


เหมียวอี้สูดหายใจเฮือกด้วยความตกตะลึง : ในเมื่อเจ้าเดาได้แบบนี้แล้ว ทำไมไม่ต้องตั้งแต่แรก พวกขุนพลใหญ่หกลัทธิที่ตามข้าออกมาจะไม่เป็นอันตรายเหรอ? ถ้าพวกเขาถูกเปิดโปงขึ้นมา ตระกูลเซี่ยโห้วจะไม่เดาออกทันทีเหรอ ว่าที่แดนอเวจีมีทางเข้าออกใหม่แล้ว?


หยางชิ่ง : นายท่านวางใจได้ หลังจากข้าคาดการณ์เรื่องนี้ได้แล้ว ข้าก็เตรียมวางกำลังป้องกันทางฝั่งหกลัทธิทันที น่าจะไม่ถูกเปิดโปงได้ง่ายๆ เพียงแต่ข้าไม่ได้บอกเรื่องพวกนี้กับหกลัทธิก็เท่านั้นเอง


เหมียวอี้ : ไม่รู้ว่าหกลัทธิได้ย้ายฐานปฏิบัติการพวกนั้นบ้างรึเปล่า? ถ้าให้ตระกูลเซี่ยโห้วกุมข้อมูลอยู่ตลอด จะไม่กลายเป็นเนื้อบนเตียงหรอกเหรอ?


หยางชิ่ง : ไม่มีความจำเป็นต้องย้ายเลย ก็อย่างที่ข้าน้อยบอก ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีทางเสี่ยงวางไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน ถ้าจะแตะต้องฐานปฏิบัติการของหกลัทธิ ตระกูลเซี่ยโห้วก็คงจะลงมือไปนานแล้ว คงไม่เก็บไว้จนถึงตอนนี้ เรื่องบางเรื่องถ้าให้ตระกูลเซี่ยโห้วรู้สึกว่ายังกุมข้อมูลอยู่ในมือ ก็กลับจะปลอดภัยต่อฐานปฏิบัติการของหกลัทธิมากขึ้นด้วยซ้ำ ถ้าทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วรู้สึกว่าเราไม่ยอมรับการควบคุม นั่นกลับจะยิ่งอันตราย บางทีอาจจะเป็นเรื่องที่รับได้ยากสำหรับหกลัทธิ แต่ก็จำเป็นต้องอาศัยพวกเขามาทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วสงบลง ตราบใดที่นายท่านสามารถรักษาผลประโยชน์ไว้ได้ก็พอ…ความสำเร็จของคนคนหนึ่งล้วนมาจากกองกระดูกแห้งกร้าน นายท่านเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีทางให้หันกลับแล้ว ตอนนี้นายท่านต้องการเวลาในการเติบโต ยื้อเวลาได้เท่าไรก็ยื้อไว้เท่านั้น ขอเพียงรักษาผลประโยชน์ของนายท่านได้ ยามถึงเวลาสำคัญ ชีวิตคนจำนวนหนึ่งที่ควรจะเสียสละก็ยังต้องเสียสละ!


เหมียวอี้เงียบไปแล้ว


แต่หยางชิ่งกลับเตือนอีกว่า : มีอีกเรื่องหนึ่งที่เกรงว่านายท่านจะต้องเตรียมใจเอาไว้ ฮูหยินเป็นคนของหกลัทธิ เกรงว่าตระกูลเซี่ยโห้วคงจะรู้นานแล้วเช่นกัน แต่ก็อย่างที่บอก ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีทางเปิดโปงง่ายๆ ตราบใดที่สถานการณ์นี้ยังไม่ถูกทำลาย ฮูหยินก็จะยังปลอดภัย ดังนั้นนายท่านไม่ต้องคิดมาก


เหมียวอี้ครุ่นคิดเล็กน้อย หยางชิ่งวิเคราะห์ทีละชั้นมาจนถึงขั้นนี้แล้ว อวิ๋นจือชิวถูกเปิดโปงตัวตนได้อย่างไรก็จินตนาการได้ไม่ยาก ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วรู้แม้กระทั่งฐานลับของหกลัทธิ แล้วเรื่องที่อวิ๋นจือชิวเป็นผู้จัดการร้านค้าของลัทธิมารในตลาดสวรรค์ยังจะเป็นความลับสำหรับตระกูลเซี่ยโห้วอีกเหรอ? เกรงว่าจีเหม่ยลี่และอนุภรรยาคนอื่นๆ ก็คงจะถูกตระกูลเซี่ยโห้วล่วงรู้ความลับตั้งนานแล้วเช่นกัน แค่อาจจะยังไม่รู้ว่าเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ก็เท่านั้นเอง


จากการสืบเสาะลงลึกในครั้งนี้ พอลองมองดูตระกูลเซี่ยโห้วอีกครั้ง เหมียวอี้ก็เรียกได้ว่ารู้สึกอย่างลึกซึ้ง ว่าตระกูลนี้ซ่อนอะไรเอาไว้ลึกเกินไป น่ากลัวเกินไปแล้ว มิน่าล่ะ ถึงแม้ในมือจะไม่มีอำนาจทางทหาร แต่ก็สามารถทำให้สี่อ๋องสวรรค์ทำความเคารพด้วยฐานะที่เท่าเทียมกันได้ ทำให้ประมุขชิงกับประมุขพุทธะเป็นกังวลได้ เป็นอย่างที่หยางชิ่งกล่าวไว้ เป็นตัวละครยักษ์ใหญ่ที่ใช้กำลังทหารตัดไม่ขาด เพราะศักยภาพทั้งหมดของอีกฝ่ายซ่อนเอาไว้ในที่ลับ ไม่ว่าใครก็คลำไม่เจอ!


ในขณะที่กำลังตกใจ คิดไปคิดมาก็รู้สึกขำ คนที่เดินไปถึงระดับนั้นอย่างประมุขชิง อยากจะได้ผู้หญิงสวยอย่างไรก็มีหมด แต่ดันต้องแต่งงานกับผู้หญิงหน้าตาธรรมดาอย่างเซี่ยโห้วเฉิงอวี่มาเป็นราชินีสวรรค์ ยิ่งบวกกับเรื่องมีทายาทด้วยแล้ว ก็นึกออกเลยว่าในก้นบึ้งหัวใจของประมุขชิงนั้นกลัดกลุ้มขนาดไหน ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ที่ประมุขชิงไม่ยอมมีทายาทเสียที เป็นเพราะสาเหตุด้านนี้ด้วยหรือเปล่า


หลังจากคลายความกลัดกลุ้มในใจตัวเอง แน่ใจแล้วว่าหยางชิ่งยังไม่มีเรื่องอื่นจะบอก สุดท้ายเหมียวอี้ก็ตอบกลับไปว่า : เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากท่าน ข้าก็เหมือนเสือติดปีกจริงๆ!


หยางชิ่งตอบกลับตามารยาท : บุญคุณอันใหญ่หลวงของนายท่าน หยางชิ่งมิบังอาจลืม นี่คือสิ่งที่อยู่ในหน้าที่ของหยางชิ่ง


“เหมือนเสือติดปีกเหรอ? เกรงว่าเรื่องในอนาคต ไม่ว่าใครก็บอกได้ไม่ชัดเจน ถ้าเจ้าเดินไปถึงขั้นนั้นแล้วจริงๆ เกรงว่ายิ่งเป็นคนที่มีความสามารถมาก ก็จะยิ่งทำให้เจ้ารู้สึกถึงภัยคุกคาม บางทีถ้าตอนนี้ยิ่งแสดงความสามมารถเยอะ ในอนาคตก็จะยิ่งมีจุดจบที่อนาถน่ะสิ หวังว่าเมื่อถึงตอนนั้น เจ้าจะยังจดจำไมตรีในวันนี้นะ เมื่อถึงเวลาที่วิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน[1] หวังว่าจะปรานีกันบ้าง เหลือทางรอดชีวิตให้หยางคนนี้สักหน่อย…”


หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จ หยางชิ่งก็ค่อนข้างเหม่อลอย ในมือถือระฆังดาราพลางพึมพำในใจ ยิ้มจืดๆ อย่างขื่นขม เมื่อประกอบกับจอนผมสีขาวเงินสองข้าง ก็ให้ความรู้สึกเสื่อมโทรมอย่างบอกไม่ถูก


“หัวหน้าผู้ช่วย เป็นอะไรไป?”  จินม่านที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ เห็นเขาติดต่อเสร็จแล้ว แต่มีปฏิกิริยาไม่ค่อยปกติ จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม


“อืม…” หยางชิ่งได้สติกลับมา ความคิดกลับไปอยู่ในอีกสภาพหนึ่งอีกครั้ง สายตากลับมาสดใสอีกครั้ง แล้วบอกจินม่านว่า “เดี๋ยวเจ้าไปคุยกับลัทธิที่เหลือสักหน่อย ว่าถ้าไม่ได้รับอนุญาต ก็ห้ามให้กำลังพลเบื้องล่างของหกลัทธิไปติดต่อกับราชาปราชญ์โดยพลการ…”


“เอ! ทำไมเจ้ามีอารมณ์สุนทรีวาดภาพขึ้นมาได้ล่ะ?”


แม่ทัพภาคตลาดผีจวน เสวี่ยหลิงหลงเดินเข้ามามองในห้องสมาธิ พบว่าสวีถังหรานกำลังโบกพู่กันสะบัดหมึกอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่งในห้องสมาธิ อดไม่ได้ที่จะเข้าไปดู พบว่าสวีถังหรานกำลังวาดภาพอยู่ ด้านข้างก็มีที่วาดเสร็จแล้วอีกหลายแผ่น นางหยิบภาพแผ่นหนึ่งขึ้นมาดู รู้สึกว่าวาดได้ค่อนข้างดี นางยังมีสายตาทางด้านศิลปะอยู่บ้าง พอเห็นสวีถังหรานกำลังใจจดใจจ่อวาดภาพ นางก็ไม่ได้ไปรบกวน รอให้เขาวาดเสร็จแล้วถึงได้เอ่ยถาม


สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ ถือพู่กันชี้ภาพทิวทัศน์ธรรมชาติที่ตัวเองเพิ่งวาดเสร็จ แล้วถามว่า “ฮูหยิน ดูสิ ภาพนี้เป็นยังไงบ้าง?”


“เหอะๆ นึกไม่ถึงว่านายท่านยังมีฝีมือการวาดภาพด้วย” เสวี่ยหลิงหลงที่กำลังชื่นชมพยักหน้าเดาะลิ้น แล้วถามเหมือนไม่ได้จริงจัง “เมื่อครู่นี้เพิ่งคุยกับเฟยหงฮูหยิน นางชี้ภาพ’ภาพมารปีศาจพาลก่อหายนะ’ บนผนังแล้วถามข้า ว่าเจ้าไปหามาจากไหน เหมือนนายท่านหนิวจะชอบมาก”


“จะไปหามาจากไหนล่ะ?” สวีถังหรานกลอกตา แล้วโบกพู่กันในมือ “เจ้าคิดว่าข้ายืนอยู่ในนี้เล่นๆ เหรอ? ก็ต้องเป็นภาพที่ข้าวาดเองอยู่แล้ว”


“หา!” เสวี่ยหลิงหลงงงเป็นไก่ตาแตกไปชั่วขณะ แล้วถามอีกว่า “เจ้าวาดจริงเหรอ?”


สวีถังหรานตอบอย่างค่อนข้างจนใจ “อยู่ดีๆ นายท่านก็ให้ข้าตามหาภาพมารปีศาจพาลก่อหายนะ ตอนนั้นข้าปากไว ตบอกรับประกันว่าจะหามาให้ได้ ใครจะคิดล่ะ ตอนหลังข้าไปถามหาจนทั่ว แต่จะไปหาภาพตามหัวข้อนั้นจากไหนได้ล่ะ! นายท่านก็ใจร้อนอยากได้อีก ข้าเลยไม่มีทางเลือกแล้ว โชคดีที่ในปีนั้นข้าเองก็เคยศึกษาวิชานี้มาผ่านๆ ทำได้เพียงแข็งใจวาดออกมาเองเลย วาดไว้หลายแผ่น แล้วเลือกภาพที่น่าพึงพอใจที่สุดไปให้นายท่าน โชคดีที่เข้าตานายท่าน ข้าก็เลยผ่านด่านนี้ไปได้ ตอนหลังข้าก็กลุ้มใจเหมือนกัน นายท่านไปชอบดูภาพวาดได้ยังไงกันนะ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ข้าก็เลยรีบปัดฝุ่นฝึกฝีมืออีก อย่าให้ถึงตอนนั้นแล้วฉุกละหุกหาไม่ทัน พอใกล้ถึงเวลาแล้วไปหาคนอื่นมาวาดให้ก็อาจจะไม่ถูกใจนายท่านก็ได้ พึ่งตัวเองดีกว่า”


…………………………


[1] วิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน 飞鸟尽良弓藏 หมายถึงหมดประโยชน์แล้วกำจัดทิ้ง

 

 

 


บทที่ 1650 ฆ่าปิดปาก

 

พูดจบก็ดึงกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากบนโต๊ะ ในขณะที่ถือพู่กันจุ่มหมึกเขาก็เอียงศีรษะ เห็นได้ชัดว่ากำลังใจจดใจจ่อ กำลังใช้ความคิดวางเค้าโครงภาพอีกแล้ว


เสวี่ยหลิงหลงจ้องมองเขาครู่หนึ่งด้วยสีหน้าสับสน จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ หันตัวไปหยิบภาพที่วาดเสร็จแล้วโยนทิ้งไว้บนพื้นขึ้นมาทีละภาพ จัดภาพให้ดีแล้ววางบนหัวโต๊ะ พอมองดูอีกครั้ง ก็พบว่าสวีถังหรานยังวาดไม่เสร็จ นางจึงอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ถามหยั่งเชิงว่า “ได้ยินว่าราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์แล้วเหรอ”


สวีถังหรานตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ราชันสวรรค์อภัยโทษทั้งใต้หล้าแล้ว ยังจะปลอมได้อีกเหรอ?” แต่เขาก็ตระหนักอะไรบางอย่างได้อย่างรวดเร็ว นี่เป็นคำพูดเหลวไหล ตอนนี้ยังมีใครสงสัยเรื่องนี้อีกเหรอ เขาจึงเงยหน้าบอกว่า “ฮูหยิน เหมือนคำพูดเจ้าจะมีนัยยะแอบแฝงนะ! ทำไมล่ะ? อยู่ต่อหน้าข้าจำเป็นต้องปิดบังด้วยเหรอ?”


เสวี่ยหลิงหลงกลอกตามองเขา แล้วเดินไปอีกฝั่งหนึ่ง ยกแขนเสื้อฝนหมึกพร้อมบอกว่า “ข้าได้ยินว่าสถานการณ์ของนายท่านไม่ค่อยดี ราชินีสวรรค์มีทายาทแล้ว นั่นก็หมายความว่าความร่วมมือระหว่างตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วจบลงแล้ว ตึกศาลาสัตยพรตคงไม่คุ้มครองนายท่านหนิวอีก เป็นอย่างนี้ใช่หรือเปล่า?”


สวีถังหรานมองนางเงียบๆ แล้วามว่า “ใช่แล้วจะทำไม ไม่ใช่แล้วจะทำไม?”


“ถ้าอย่างนั้น นายท่านจะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมากหรอกเหรอ?” เสวี่ยหลิงหลงถามกลับ


สวีถังหรานยิ้มเล็กน้อย แล้วก้มหน้าลงพู่กัน วาดดอกไม้ใบหญ้าตามอำเภอใจ “เจ้าคงไม่ได้เป็นกังวลกับนายท่านหรอก แต่กลัวว่าพวกเราจะลำบากไปด้วยใช่มั้ยล่ะ?”


“อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่กังวลสักนิดเลย?” เสวี่ยหลิงหลงถาม


มือของสวีถังหรานยังคงไม่หยุดวาดภาพ “เรื่องบางเรื่องกังวลไปแล้วจะมีประโยชน์เหรอ? ฮูหยิน ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะพูดอะไร เจ้าเองก็รู้ถึงท่าทีของข้าตั้งแต่แรกแล้ว คงไม่ต้องให้ข้าพูดมากหรอก เอาเป็นว่าข้าเชื่อว่านายท่านมีวิธีรับมือเพื่อให้ผ่านด่านนี้แน่นอน”


“แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วจริงๆ คนลงมือไม่ใช่คนที่นายท่านจะต้านทานไหวเลย” เสวี่ยหลิงหลงยังกล่าวด้วยสีหน้ากังวล


“ยังมีตระกูลโค่วไม่ใช่เหรอ?” สวีถังหรานถาม


เสวี่ยหลิงหลงตอบว่า “แต่ข้าได้ยินว่านายท่านเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว ตระกูลโค่วก็มีท่าทีว่าจะทอดทิ้งแล้วเช่นกัน อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่ไตร่ตรองเรื่องทางหนีทีไล่เอาไว้เลย?”


“ทางหนีทีไล่เหรอ?” ปลายพู่กันของสวีถังหรานหยุดชะงัก แล้วเอียงหน้าช้าๆ มองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ “ตระกูลโค่วส่งคนไปคุ้มกันนายท่านมากมายขนาดนั้น แต่ก็ยังปิดบังผู้หญิงที่มีความคิดอ่านอย่างเจ้าไม่ได้ เจ้าไปได้ยินมาจากไหนว่าตระกูลโค่วกำลังจะทิ้งนายท่าน?”


เสวี่ยหลิงหลงกัดริมฝีปาก แล้วบอกว่า “แต่พวกที่ส่งไปไม่ใช่ยอดฝีมือจริงๆ หรอก อาศัยแค่คนพวกนั้นก็ต้านท่านพวกลูกพี่ใหญ่ของตำหนักสวรรค์ไม่ได้เลย”


สวีถังหรานยังมองด้วยสายตาเย็นเยียบเหมือนกัน “ตอบข้ามา เจ้าไปได้ยินมาจากไหนว่าตระกูลโค่วกำลังจะทอดทิ้งนายท่าน? อย่าบอกเชียวนะว่าเจ้าตัดสินเอาเอง!”


เสวี่ยหลิงหลงก้มหน้าลังเลอยู่นานมาก สวีถังหรานมองนางเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร บรรยากาศในห้องเปลี่ยนเป็นอึดอัดผิดปกติทันที


“ข้างนอกมีคนมาติดต่อข้า บอกว่ายินดีจะให้โอกาสเจ้าเลือกใหม่ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า เจ้าต้องสร้างผลงาน” เสวี่ยหลิงหลงตอบกลับเสียงต่ำ


“ต้องการให้ร่วมมือกับพวกเขาทำลายนายท่านสินะ?” สวีถังหรานหรี่ตาถาม


“เจ้ารู้ได้ยังไง?” เสวี่ยหลิงหลงเงยหน้าอย่างงุนงง


สวีถังหรานปล่อยมือพู่กัน พู่กันที่แหย่อยู่บนกระดาษล้มคว่ำลงมา แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ สำหรับคนพวกนั้นแล้ว นอกจากคุณค่าเล็กน้อยแค่นี้ ข้ายังมีคุณค่าอะไรอย่างอื่นให้ใช้ประโยชน์อีกเหรอ?”


เสวี่ยหลิงหลงถอนหายใจเบาๆ “ทำไมเจ้าต้องดูถูกตัวเองด้วย ที่จริงเจ้าก็ยังมีความสามารถอยู่นะ”


“บอกมาเถอะ คนจากไหนมาติดต่อเจ้า?” สวีถังหรานยืนตรงและเอามือไขว้หลัง


“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่อีกฝ่ายบอกว่าระดับสูงมาก” เสวี่ยหลิงหลงส่ายหน้า


สวีถังหรานจึงเหล่ตาถาม “เจ้าไม่รู้ชัดแม้กระทั่งว่าเขาเป็นใคร แต่ยังกล้าถ่อมาวิ่งเต้นคุยให้อีกเหรอ?”


เสวี่ยหลิงหลงตอบว่า “อีกฝ่ายบอกว่า ขอเพียงเจ้าตอบตกลง ก็จะสามารถเจรจากับเจ้าได้ ถึงตอนนั้นเจ้าย่อมรู้ถึงฐานะของเขาเอง ขณะเดียวกันก็สามารถรับประกันความกังวลของเจ้าได้ ถึงตอนนั้นเจ้าจะได้ไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง”


“เขามาเจอเจ้าเมื่อไร?”


“เมื่อวาน…”


“อะไรนะ? เรื่องเมื่อวาน แต่เจ้าเพิ่งมาบอกวันนี้เนี่ยนะ?”


“ข้าอยู่เป็นเพื่อนเฟยหงฮูหยิน แล้วเจ้าก็ไปวัดพระกษิติครรภ์เป็นเพื่อนนายท่าน…”


“โง่เง่า!” สวีถังหรานเอ่ยปากด่าอย่างที่ไม่ค่อยได้ทำ เดินอ้อมโต๊ะยาวออกมาด้วยใบหน้าที่ดำมืด หลังจากเดินไปเดินมาเงียบๆ อยู่นาน สุดท้ายก็หยุดเดินแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเครียดขรึมเยียบเย็น “ข้าจะเลือกสถานที่นัดพบเอง ช่วยนัดเขาให้หน่อย”


แสงจากโคมไฟด้านนอกตลาดผีราวกับเป็นดาวเดียรดาษในม่านราตรี ที่นี่จมอยู่ในความมืดตลอดเวลา ไมได้เห็นแสงอาทิตย์เลย แสงโคมไฟที่ระยิบระยับแวววาวก็เหมือนจะมีอยู่ตลอดเช่นกัน


ดอกไม้สดที่มีแสงสว่างในตัวเองหลายกระถางตั้งอยู่ริมหน้าต่าง ส่งกลิ่นหอมเล็กน้อย หลินผิงผิงกับเฟยหงที่กำลังต้มน้ำชาอยู่ข้างเตากำลังหัวเราะกระซิบกระซาบกัน ไม่รู้ว่ากำลังแอบคุยอะไรกัน


พอชำเลืองมองเหมียวอี้ที่กำลังยืนเอามือไขว้หลังจ้องมอง ‘ภาพมารปีศาจพาลก่อหายนะ’ อย่างเงียบงันเป็น เฟก็ตระหนักอะไรบางอย่างได้ เหมียวอี้เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอีกแล้ว นางจึงยกนิ้วชี้มาจ่อตรงหน้าริมฝีปากแดงน่าเอ็นดูทันที เตือนหลินผิงผิงว่าไม่ให้ส่งเสียง


หลินผิงผิงหันกลับไปมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง เหมือนจะรู้ตัวว่าเมื่อครู่นี้ตัวเองหัวเราะเสียงดังไปหน่อย จึงยกมือปิดปาก


เฟยหงยิ้มมุมปากอย่างอ่อนโยนให้กับปฏิกิริยาของนาง จากนั้นรินน้ำชาที่ต้มจนเดือดด้วยตัวเอง ตอนนี้นางมีสีหน้าสงบสุขพึงพอใจ ตั้งแต่อวิ๋นจือชิวพาเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ไปด้วยกัน นางก็ไม่ได้เรียกหาสาวใช้อีก นางชอบปรนนิบัติรับใช้เหมียวอี้ด้วยตัวเอง ไม่อยากยืมมือของใคร เพราะนางรู้สึกมีความสุขกับสภาพชีวิตในตอนนี้มาก ถนอมรักษาเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับเหมียวอี้ในแต่ละวัน บางทีอาจจะเป็นเพราะกลัวว่าจะสูญเสีย ถึงได้ถนอมและเห็นคุณค่ากว่าเดิม


พอเป็นแบบนี้ หลินผิงผิงก็เลยกลายเป็นเพื่อนของนางแล้ว


ตอนนี้หลินผิงผิงมองไปทางคนที่เดินเข้ามาจากด้านนอกอย่างแปลกใจนิดหน่อย ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหยางเจาชิงสามีของนางเอง สาเหตุที่นางแปลกใจ ก็เพราะหยางเจาชิงเดินบุกเข้ามาโดยไม่ได้บอกกล่าวอะไรก่อนเลย ตรงนี้ยังมีผู้หญิงอยู่ด้วย นางได้แต่มองดูหยางเจาชิงเดินสาวเท้าไปที่ห้องด้านใน ไม่รู้ว่ากำลังแอบกระซิบอะไรอยู่ข้างกายเหมียวอี้


ผู้หญิงทั้งสองคนสบตากัน ตระหนักได้ว่าระหว่างผู้ชายพวกนี้จะต้องวางแผนลับอะไรกันแน่นอน ทั้งสองหันกลับมาจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างรู้กาลเทศะ ไม่หันไปมองเรื่องที่ไม่ควรสอดแนม


หยางเจาชิงไม่ได้พูดอะไร เพียงถ่ายทอดเสียงอยู่ข้างกายเหมียวอี้ “นายท่าน เขาออกไปพบกันแล้ว”


เหมียวอี้ที่กำลังจ้องภาพมารปีศาจพาลก่อหายนะใบหน้าตึงเครียดลงเล็กน้อย เหมือนกำลังออกแรงกัดฟัน จากนั้นก็หลับตาลงอย่างช้าๆ กล่าวอย่างอ่อนแรงว่า “ฝนจะตก ผู้หญิงตะแต่งงาน แตงที่ฝืนเด็ดออกมาย่อมไม่หวาน เจ้าไปเถอะ!”


หยางเจาชิงก้มหน้าเล็กน้อย แล้วรีบหันตัวเดินออกไป เฟยหงกับหลินผิงผิงชำเลืองมองเงาที่เดินออกจากประตูไป แล้วก็แอบมองเหมียวอี้ที่ยืนหลับตาเงียบๆ อยู่หน้าภาพวาดเป็นเวลานาน เห็นได้ชัดว่าอารมณ์กำลังดิ่งลง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว นางจึงไม่สะดวกจะนำน้ำชาที่ต้มเสร็จแล้วไปส่งให้…


ตลาดผีคึกคักรุ่งเรือง ผู้คนขวักไขว่ไปมาอย่างคับคั่ง ผู้คนที่สัญจรไปมาไม่มีใครเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากแต่ละใบนั้น ไม่รู้ว่าเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงหรือว่าใจคน


หยางเจาชิงที่มีผู้ติดตามข้างหลังสองคนก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน เขากำลังสาวเท้าเดินขึ้นไปบนภัตตาคารแห่งหนึ่ง ตอนที่เดินเข้าไปในห้องส่วนตัว ในห้องก็มีคนรออยู่แล้วสอง พอเห็นหยางเจาชิงเดินเข้ามา พวกเขาก็กุมหมัดคารวะอย่างพร้อมเพรียงกัน


หยางเจาชิงเดินตรงไปถึงริมหน้าต่างที่ปิดเอาไว้ครึ่งหนึ่ง พยายามเบี่ยงตัวหลบการสอดแนมจากข้างนอก หนึ่งคนที่อยู่ข้างเขาชี้ไปยังเรือดอกไม้ลำหนึ่งที่ค่อยๆ ลอยแล่นออกไปไกลบนแม่น้ำใต้ดิน “เป้าหมายอยู่บนเรือลำนั้นขอรับ ไม่ทราบว่าต้องการจะไปทางไหน ทางนี้เตรียมคนไว้เรียบร้อยแล้ว นายท่าน คนที่เราต้องรับมือด้วยเป็นใครกันแน่?”


“ไม่ต้องถามมาก บอกให้คนที่ข้าเตรียมไว้ไปพบกันได้” หยางเจาชิงกล่าวเสียงเย็น


“ขอรับ!” ข้างกายมีคนหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อไปที่ไหนสักแห่งทันที


ผ่านไม่นาน เรือเล็กลำหนึ่งก็ออกเดินทางจากฝั่งที่อยู่ไม่ไกล รีบตามเรือดอกไม้ลำนั้นไป เห็นรางๆ ว่ามีคนคนหนึ่งกระโดดจากเรือเล็กขึ้นไปบนเรือดอกไม้แล้ว


ในห้องส่วนตัว ลูกน้องสี่คนยืนปล่อยมือแนบลำตัวอยู่ตรงสี่มุม หยางเจาชิงที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะยกจอกสุราขึ้นจิบอย่างเนิบนาบ มองไม่ออกว่าใบหน้าใต้หน้ากากอยู่ในอารมณ์ไหน เห็นเพียงสายตาที่เย็นเยียบ


พอดื่มสุราลงท้องไปในหนึ่งกา หยางเจาชิงก็เหมือนจะตระหนักอะไรบางอย่างได้ เอียงหน้าถามว่า “ยังไม่ตอบกลับมาอีกเหรอ?”


คนก่อนหน้านี้หยิบระฆังดาราขึ้นมาอีกครั้งในทันที หลังจากผ่านไปสักพักก็ตอบอย่างงุนงงว่า “ติดต่อไม่ได้แล้ว”


ปั้ง! หยางเจาชิงตบจอกสุราลงบนโต๊ะ “สั่งให้คนไปดูเดี๋ยวนี้”


เรือดอกไม้ลำนั้นยังคงลอยช้าๆ อยู่กลางทะเลสาบ คนขับเรือที่ร่ายอิทธิฤทธิ์ตกใจ เพราะจู่ๆ ก็เห็นเงาคนคนหนึ่งเหาะเข้ามา แล้วทะลุหน้าต่างเข้าไปบนห้องโดยสารเรือโดยตรง


มีคนที่ดูแลเรือดอกไม้หลายคนถลันตัวขึ้นมาบนห้องโดยสารเรือทันที พวกเขาผลักประตูเข้าไปดูความเคลื่อนไหว ผลปรากฏว่าเห็นคนคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้น ส่วนอีกคนยืนอยู่ข้างโต๊ะ


คนที่กำลังยืนโบกมือเผยป้ายคำสั่งของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีแสดงให้คนที่บุกเข้ามาดู แต่สายตากลับจ้องคนบนพื้นที่มีเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด พลางใช้มืออีกข้างหยิบระฆังดารา


ผ่านไปไม่นาน คนกลุ่มหนึ่งก็เหาะมาถึง พวกเขาเดินก้าวยาวบุกเข้าไป พอหยางเจาชิงที่เดินนำหน้ามาเห็นคนที่นอนเลือดไหลอยู่บนพื้นมีใบหน้าเขียวคล้ำ ก็รู้ทันทีว่าโดนยาพิษ จึงรู้สึกงงทันที รีบหันกลับมาถามว่า “แล้วอีกคนหนึ่งล่ะ?”


“ไปทำธุระข้างล่าง ไปได้สักพักหนึ่งแล้ว…” เถ้าแก่เนี้ยของเรือดอกไม้ตอบเสียงอ่อน


หยางเจาชิงรีบลงไปชั้นล่าง พอใช้เท้าเตะประตูห้อง ก็พบว่าข้างในว่างเปล่า ยังจะมีเงาคนอยู่เสียที่ไหนกัน แต่ไม้กระดานตรงช่องขับถ่ายสองแผ่นกลับถูกคนเปิดออกแล้ว หยางเจาชิงก้าวเข้าไปดูตรงโพรงใต้ท้องเรือที่มีน้ำไหลผ่าน มันกว้างพอที่คนคนหนึ่งจะลอดลงไปได้พอดี ดูจากผนังทั้งสี่ด้านที่เลอะไปด้วยสิ่งปฏิกูล ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นร่องรอยคนเหยียบไถลลงไป เห็นได้ชัดว่าคนหนี้ออกไปจากตรงนี้แล้ว


ไม่แปลกใจที่หาคนบนเรือไม่เจอแล้ว อีกทั้งคนบนเรือที่สัญจรไปมารอบๆ ที่จับตาดูอยู่ก็ไม่เห็นว่ามีใครกระโดดออกมา และไม่ได้เจาะเรือจนส่งผลกระทบต่อตัวเรือด้วย สงสัยจะดำน้ำหนีไปแล้ว


ฉากที่อยู่ตรงหน้าทำให้หยางเจาชิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เจ้าหมอนั่นมันใช้ได้จริงๆ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้ทุกอย่างจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะลอดผ่านจุดที่สกปรกขนาดนี้ไปได้…


ในจวนแม่ทัพภาคตลาดผี หลังจากกลับมาแล้ว เรื่องแรกที่สวีถังหรานทำก็คือแช่อาบอยู่ในน้ำที่มีกลิ่นหอม พับผ้าขนหนูร้อนที่ชุบน้ำเป็นรูสี่เหลี่ยมผืนผ้าแล้วมาแปะไว้บนหน้าผาก พิงขอบอ่างพลางเงยหน้าหลับตาพักผ่อน


เสวี่ยหลิงหลงที่ถอดชุดกระโปรงออกแล้วเหลือเพียงชุดชั้นใน ร่างงามแช่อยู่ในน้ำร้อนแล้วเช่นกัน หยิบผ้าขนหนูอีกผืนมาขัดถูร่างกายให้เขา นางมองดูปฏิกิริยาของครู่หนึ่ง แต่มองไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ จึงถ่ายทอดเสียงถามว่า “คุยเป็นยังไงบ้าง?”


“ก็ไม่ยังไงหรอก ข้าฆ่าทิ้งไปแล้ว” สวีถังหรานตอบด้วยเสียงที่ไม่สบายใจ


“อ๋า!” เสวี่ยหลิงหลงมือหยุดชะงัก แล้วถามอย่างตกใจว่า “เจ้าฆ่าเขาแล้วเหรอ? ต่อให้อยากจะแสดงความจงรักภักดีต่อนายท่าน แต่ก็สามารถนำเรื่องนี้ไปบอกนายท่านได้เลย ทำไมต้องไปทำเรื่องที่ล่วงเกินคนที่อยู่เบื้องหลังด้วยล่ะ?”


เพี้ยะ! สวีถังหรานนำผ้าขนหนูที่แปะบนหน้าผากตบลงในน้ำ แล้วพลันถลึงตาจ้องนาง “ก็ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เจ้าหาทำรึไงล่ะ เจ้าเจอเรื่องแบบนี้แต่ดันไม่รีบติดต่อข้าทันที กลับรอให้ผ่านข้ามวันแล้วค่อยบอก  แล้วข้าจะให้เจ้าไปสารภาพกับนายท่านยังไงล่ะ? กำลังลังเลอยู่ใช่มั้ยว่าจะตอบตกลงหรือไม่ตอบตกลงดี? ถ้าให้นายท่านได้ยินแบบนี้ นายท่านจะคิดยังไง? ในมือเจ้าก็มีระฆังดาราที่ใช้ติดต่อเขานี่นา เจ้าจะให้ข้าว่าเจ้ายังไงดี? ข้าเลยทำได้แค่กำจัดเขาแล้วเก็บของกลับมา ทำให้เขาตายไปพร้อมกับหลักฐาน หลังจากจบเรื่องจะได้ไม่ถูกข่มขู่!” พูดจบก็มีเสียงดังแกร๊ง พลิกมือโยนระฆังดาราอันหนึ่งไว้ข้างอ่างน้ำ

 

 

 


บทที่ 1651 มีแต่ได้กำไร ไม่มีขาดทุน

 

ขณะที่เห็นระฆังดารากลิ้งมาตรงหน้าตัวเอง เสวี่ยหลิงหลงก็หยิบขึ้นมาดู เป็นของที่ตัวเองใช้ติดต่อกับคนคนนั้นจริงๆ ด้วย มีตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองอยู่ในนี้


พอมองดูผู้ชายของตัวเองอีกครั้ง เสวี่ยหลิงหลงก็ค่อนข้างพูดไม่ออก ไม่แค่ฆ่าปิดปากเท่านั้น ทั้งยังเอาหลักฐานกลับมาด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจะแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วขนาดนี้


ที่สำคัญที่สุดก็คือ เรื่องนี้สามีตัวเองไม่ได้รบกวนใครเลย แค่ออกไปลุยเดี่ยวด้วยตัวเอง ไม่รู้ว่าคนที่ต้องเผชิญหน้าด้วยเป็นคนใหญ่คนโตที่มีอำนาจหนุนหลังอย่างไร ถ้าเป็นคนทั่วไปจะมีใครกล้าทำซี้ซั้วแบบนี้แบบนี้บ้าง แต่สามีตัวเองนั้นรีบไปรีบกลับ วรยุทธ์ต่ำต้อยเท่านี้แต่ออกไปเผชิญหน้ากับคนที่มีเบื้องหลังอย่างนั้น ไม่เพียงแค่กลับมาโดยไม่มีอะไรเสียหายเลยสักนิด ทั้งยังแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วราบรื่น ฆ่าปิดปากแล้วยังแย่งชิงของกลับมาได้ แบบนี้เรียกว่าเร็วดั่งเทพ


เสวี่ยหลิงหลงไม่รู้ว่าสวีถังหรานทำได้อย่างไร เรื่องนี้ค่อนข้างเหนือจินตนาการของนาง


แต่ตอนนี้นางไม่ได้เป็นห่วงเรื่องนี้ นางกำลังกังวลเรื่องอื่น “เจ้าทำแบบนี้ คนที่อยู่เบื้องหลังจะไม่โกรธเอาเหรอ?”


“เฮ้อ!” สวีถังหรานพิงขอบอ่างอาบน้ำแล้วถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง “ช่วงนี้เจ้าก็พยายามอย่าออกไปข้างนอก ตราบใดที่พวกเขามาระบายความโกรธกับเจ้าไม่ได้ แล้วคนที่อยู่เบื้องหลังจะทำอะไรข้าได้ล่ะ?”


เสวี่ยหลิงหลงคล้องแขนเขา แล้วกล่าวอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด “เจ้ามีความมั่นใจจริงๆ เหรอ นี่เจ้ากำลังพูดให้ข้าสบายใจอยู่หรือเปล่า? ข้าสร้างปัญหาใหญ่ให้เจ้าแล้วใช่มั้ย?”


สวีถังหรานยกมือขึ้นตบไหล่งามที่เปลือยเปล่าของนางเบาๆ “เรื่องนี้ข้าไม่อยากด่าเจ้าหรอก ข้าไม่โทษเจ้าด้วย ถึงแม้เรื่องนี้เจ้าจะทำผิดไปแล้ว…ที่จริงก็พูดว่าเจ้าทำผิดไม่ได้หรอก เจ้าอยากจะช่วยหาทางหนีทีไล่ให้ข้า ในด้านความรู้สึกนั้นให้อภัยได้ จะมีความผิดได้ยังไงล่ะ? ถ้าจะผิดก็ผิดที่ข้า สวีคนนี้เป็นคนต่ำทราม คนที่นิสัยใจคอบริสุทธิ์ดุจหยกงามอย่างฮูหยินมาอยู่ข้างกายข้านานแล้ว ก็เลยหูตาแปดเปื้อน คนอยู่ใกล้หมึกย่อมเลอะสีดำอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยามประสบเรื่องบางอย่างแล้วคิดผิดไปบ้าง ก็สามารถให้อภัยได้ ยังจำได้ว่าในปีนั้นที่ข้าแต่งงานกับเจ้า เจ้าไม่ได้สมัครใจยินยอมเลย เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็เพราะเจ้าไม่ชายตาแลข้าไงล่ะ! นึกถึงในปีนั้นที่เจ้าไม่เต็มใจ แต่ตอนนี้เจ้าคิดไตร่ตรองเพื่อข้าทุกอย่าง เป็นเพราะว่าในใจของเข้ามีข้าจริงๆ แล้ว นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่น่ายินดีนะ!”


เพราะคำพูดนี้ เสวี่ยหลิงหลงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพที่ตัวเองโดนเจ้าเวรนี่ขืนใจในปีนั้น คืนนั้นเรียกได้ว่าเจ็บปวดรวดร้าวใจจริงๆ ไม่อยากจะนึกย้อนกลับไปเลย “เชอะ!” นางสบถปนความรู้สึกเขินอาย แต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง ร่างงามอ้อนแอ้นแนบชิดเข้าไปหา ซบไหล่ผู้ชายหน้าตาธรรมดาอย่างอ่อนโยน แล้วพูดดูถูกนิดหน่อยว่า “แต่งงานกับข้าเหรอ? ปีนั้นข้าเป็นเพียงนางระบำที่หอนางโลม เจ้ากล้าพูดมั้ยว่าในปีนั้นไม่ได้คิดจะเก็บข้าไว้เป็นของเล่นข้างกายเฉยๆ? ถ้าไม่ใช่เพราะนายท่านกดดัน เจ้าจะแต่งงานรับข้าเป็นฮูหยินเอกเหรอ?”


“เอ่อคือ…อย่าไปเอ่ยถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วสิ” สวีถังหรานเหยียบไว้อย่างค่อนข้างอับอาย เป็นเพราะถูกพูดแทงใจดำแล้วจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะถูกกดดัน เขาก็จะเก็บไว้เล่นอย่างเดียวเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะแต่งงานรับเสวี่ยหลิงหลงเป็นฮูหยินเอก


คำพูดที่จงใจหลบเลี่ยงนี้ทำให้เสวี่ยหลิงหลงหมั่นไส้จนจนกัดฟันกรอด บิดเอวสวีถังหรานอย่างแรงหนึ่งที เขาเจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน ขณะที่ข่มความเจ็บเอาไว้ก็บอกว่า “ฮูหยินต้องคิดดูสักหน่อยนะ ว่าทำไมไม่ลงมือกับเหยียนซิวและหยางเจาชิง ทุกคนเป็นลูกน้องที่ติดตามนายท่านทั้งนั้น ทำไมถึงจ้องแต่ข้าคนเดียวล่ะ? แมลงวันไม่จ้องเลียไข่ที่ไร้รอยแตกหรอก ก็เพราะพวกนั้นรู้สึกว่าสวีเป็นคนต่ำต้อยที่ลงมือด้วยง่ายไม่ใช่เหรอ?”


ขณะที่ฟังไปเรื่อยๆ มือที่บิดเนื้อเขาก็ค่อยๆ คลายออก เสวี่ยหลิงหลงขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าคงไม่ได้ปฏิเสธไปเพราอยากเอาชนะหรอกใช่มั้ย?”


“ถ้ามัวเอาชนะกับเรื่องนี้ ข้าก็ไม่ต่างอะไรกับคนโง่แล้ว” สวีถังหรานพ่นเสียงทางจมูก “เจ้าว่าเป็นไปได้เหรอ? ข้าก็แค่คิดว่า ติดตามอยู่กับนายท่านแล้วมองเห็นอนาคตกับความหวังก็เท่านั้นเอง ก็เหมือนเวลาทำการค้า ถ้าจะให้ทิ้งอนาคตที่ดีกว่าเพื่อผลประโยชน์เล็กน้อยเท่านั้น ข้าว่าไม่คุ้มหรอก ตอนนี้แค่ตำแหน่งแม่ทัพภาคข้าก็ยังไม่ชายตามองเลย เห็นข้าเป็นขอทานที่ขอข้าวกินรึไง?”


เสวี่ยหลิงหลงผละออกจากตัวเขาทันที แล้วมองสวีถังหรานศีรษะจดเท้า ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป นางถามอย่างทำใจเชื่อได้ยาก “ด้วยสถานการณ์ของนายท่านในตอนนี้ แค่เอาตัวเองให้รอดยังลำบากเลย เจ้ายังรู้สึกว่าอยู่กับเขาแล้วมีความหวังอีกเหรอ?”


สวีถังหรานพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ไม่รู้ ว่าเขาเป็นศิษย์ของอสุราอัคนีเชียวนะ! บวกกับความสามารถของนายท่าน ถ้าไม่ใช่เพราะไปยั่วโมโหราชันสวรรค์จนโดนคุมไว้ มีคนมากมายขนาดไหนอยากดึงไปเป็นพวกล่ะ เจ้าไม่ได้ตระหนักถึงอะไรที่อยู่ในนั้นสักนิดเลยเหรอ?”


เสวี่ยหลิงหลงส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ “ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้…ขออภัยที่ข้าโง่เง่า ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดอะไร หรือว่าเจ้ามีมุมมองที่สูงส่งล้ำลึกอะไร?”


สวีถังหรานส่ายหน้าเบาๆ “ถ้าข้ามีมุมมองที่สูงส่งล้ำลึกอะไรนั่น ข้าจะยังอยู่ที่นี่อีกเหรอ? หลักการที่ล้ำลึกน่ะข้าไม่เข้าใจหรอก แต่หลักการที่เรียบง่ายน่ะข้าเข้าใจแจ่มแจ้ง จุจุ นำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ไปปะทะกับทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้าน คนอื่นบอกว่าเขาบ้า แต่ข้ากลับคิดว่า นี่ต่างหากที่เป็นคนจริง ไม่ว่าในอนาคตจะเป็นยังไง เจ้าคิดว่าคนนิสัยเจ้าอารมณ์อย่างนายท่านจะโดนคนอื่นปฏิบัติด้วยเหมือนหลานชายได้เหรอ? ไม่ว่าใครจะมาเป็นผู้บังคับบัญชาเขา ก็ควบคุมเขาได้เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ควบคุมไปทั้งชาติไม่ได้หรอก”


“ไม่เข้าใจ หมายความว่ายังไง?” เสวี่ยหลิงหลงยังคงงุนงง


สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ “หลักการก็ไม่ได้ซับซ้อนเลย ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ไม่ว่าใครจะมาเป็นผู้บังคับบัญชาเขา ในไม่ช้าก็เร็วก็จะต้องเกิดความขัดแย้ง สักวันก็จะต้องถูกนายท่านโค่นล้มอยู่ดี นอกเสียจากจะอีกฝ่ายจะไม่ควบคุมนายท่านเลย แต่ที่ตำหนักสวรรค์มีผู้บังคับบัญชาแบบนี้ด้วยเหรอ? ถ้ามีผู้บังคับบัญชาแบบนี้จริงๆ แล้วยังจะมีการแบ่งแยกระหว่างเจ้านายกับลูกน้องไปทำไม? กอปรกับฝีมือของนายท่านก็ไม่ได้อ่อนด้อย แบบนี้หมายความว่าอะไรล่ะ? หมายความว่ามีความมั่นใจที่จะแปรพักตร์กับผู้บังคับบัญชาไง หมายความว่านายท่านไม่มีทางอยู่ใต้คนอื่นได้นาน ชะตากำหนดให้เขาปีนป่ายขึ้นไปเรื่อยๆ นี่ก็คือนิสัยของนายท่าน เบื้องบนโยนนายท่านมาไว้ที่ตลาดผี แล้วยังไงล่ะ? เจ้าคอยดูต่อไปเถอะ อย่ากดดันจนนายท่านจนตรอกเชียว ถ้าจนตรอกขึ้นมา ก็ไม่ต้องรอให้คนอื่นลงมือก่อนหรอก นายท่านนี่แหละที่จะลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ ในไม่ช้าก็เร็วจะต้องเกิดเรื่องขึ้นที่ตลาดผีแน่! ที่ตอนนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวก็เพราะยังไม่ถึงเวลา ถ้าไม่เชื่อ พวกเราก็ตั้งตารอดูได้เลย!”


“เจ้าหมายความว่า นายท่านจะสามารถผ่านด่านนี้ไปได้เหรอ?” เสวี่ยหลิงหลงถามอย่างระมัดระวัง


สวีถังหรานส่ายหน้า “ข้าจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ? เอาเป็นว่าถ้าแพ้ก็แพ้ยับเยิน แต่ถ้าสำเร็จก็จะได้ก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆ พอทำสำเร็จขึ้นมา เจ้าว่าข้าจะไม่ได้ดีไปด้วยเหมือนสุนัขระกาเยี่ยมวิมานหรอกเหรอ สักวันหนึ่งตำแหน่งแม่ทัพภาคก็จะต้องเป็นของข้า หนีไม่พ้นหรอก ต่อไปนี้นายท่านก็จะพุ่งไปข้างหน้าตลอดทาง ข้าแค่คอยวิ่งตามหลังเขาก็พอแล้ว เจ้าว่าข้าจะหยุดเดินเพื่อตำแหน่งแม่ทัพภาค หรือว่าจะมุ่งไปข้างหน้าต่อดีล่ะ? ถ้าตอนนี้ข้าทรยศนายท่านเพื่อตำแหน่งแม่ทัพภาค ต่อให้อีกฝ่ายจะให้หลักประกันกับข้าดีแค่ไหน แต่ทั้งชีวิตนี้ข้าก็คงสร้างผลงานลำบากแล้ว คงสิ้นสุดแค่ตำแหน่งแม่ทัพภาคแล้ว แต่ถ้าติดตามนายท่าน ผลลัพธ์ก็จะต่างออกไป มีนายท่านคอยแหวกดงหนามเบิกทางอยู่ข้างหน้า ก็ยังมีอนาคตที่ดีกว่าให้ตั้งตารอคอย โอกาสของข้าในตอนนี้ไม่ใช่ว่าใครก็จะมีได้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พบโอกาส มีหรือที่จะปล่อยให้พลาดง่ายๆ!”


“ทำไมเจ้าคิดแต่ด้านดี ถ้าล้มเหลวขึ้นมาล่ะ? ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ ทำไมข้ารู้สึกว่ามีโอกาสแพ้มากกว่าล่ะ?” เสวี่ยหลิงหลงถามอย่างหวาดระแวง


“หึหึ!” สวีถังหรานหัวเราะเจ้าเล่ห์ แล้วยื่นมือไปบีบหน้าอกของนางหนึ่งที “นี่ก็คือสิ่งที่ข้าเพิ่งถามเจ้าไง เจ้าไม่ได้ตระหนักถึงอะไรบางอย่างบนตัวนายท่านสักนิดเลยเหรอ?”


เสวี่ยหลิงหลงผลักมือเขาออก แล้วถามว่า “อะไรล่ะ? เจ้าไม่รู้เหรอว่าข้ากำลังกังวลอะไร? ล่อให้อยากรู้อยู่ได้!”


สวีถังหรานเดาะลิ้นอีก “ศึกที่น่านฟ้าระกาติง นายท่านก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนั้น! แต่นายท่านไม่ใช่แค่ไม่เป็นอะไรนะ ทั้งยังมีคนออกหน้ามาช่วยแก้ไขปัญหาให้นายท่านด้วย สี่อ๋องสวรรค์กับฝ่าบาทมาแย่งตัวกันเลยนะ แย่งมาเป็นพวกเลย แต่ละคนต้องการจะส่งลูกสาวตัวเองให้เขา แบบนี้มันมีเหตุผลที่ไหนกัน? ข้านับว่าเข้าใจแล้ว ว่าคนเราน่ะ ไม่ว่าจะฐานะสูงหรือต่ำต้อย แต่ก็จะต้องมีมูลค่าในตัวเองเข้าไว้ จะต้องมีคนมองเห็นมูลค่าในตัวเจ้าแน่นอน! ตอนนี้ข้าไม่กลัวว่านายท่านจะก่อเรื่องใหญ่โตหรอก ข้ากลัวเขาจะไม่ก่อเรื่องใหญ่มากกว่า ยิ่งเขาก่อเรื่องมากเท่าไหร คนที่อยู่ข้างกายเขาก็จะยิ่งโดดเด่นมากเท่านั้น? พอโดดเด่นขึ้นมาก็จะมีมูลค่า ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน ใครจะไปรู้จักว่าข้าสวีถังหรานคือใคร ดีไม่ดีตอนนี้ชื่อข้าอาจจะไปถึงหูบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์เยอะแล้วก็ได้!”


เมื่อเห็นเขาลำพองใจอย่างนั้น เสวี่ยหลิงหลงกลับตกใจ “เจ้าบ้าไปแล้วสินะ ยังกลัวว่าเรื่องราวจะไม่ใหญ่โตอีกเหรอ? เจ้าไม่รู้รึไงว่าเรื่องนี้อันตรายขนาดไหน?”


“อันตราย? มารดาเจ้าเถอะ หลังจากติดตามรับใช้นายท่าน มีครั้งไหนบ้างที่ไม่อันตราย? เจ้ายังไม่ชินเหรอ? ครั้งแรกจะรู้สึกแปลกใหม่ ครั้งที่สองจะรู้สึกคุ้นเคย นี่มันเกิดขึ้นตั้งกี่ครั้งแล้ว? ถึงยังไงข้าก็รู้สึกว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่เอะอะก็ตกใจเหมือนเมื่อก่อนหรอก ความกล้าหาญน่ะฝึกกันได้ แล้วอีกอย่าง เจ้าคิดว่าทรยศนายท่านแล้วจะไม่อันตรายเหรอ? นายท่านโหดขนาดไหน ข้าได้ก็เคยได้บทเรียนมาแล้วไม่ใช่แค่ครั้งเดียว อาจจะไม่ได้เอาปลีกตัวไปอย่างปลอดภัยก่อนที่เขาจะตายก็ได้…”


“ข้าว่าเหมือนเจ้าจะค่อนข้างกลัวนายท่านนะ?”


พูดถูกแล้วจริงๆ สวีถังหรานถูกเหมียวอี้วางกับดักจนกลัวแล้วจริง ภายใต้ความน่าเกรงขามที่เพิ่มขึ้นตามเวลา แค่คิดว่าต้องสู้กับเหมียวอี้เขาก็ขนลุกแล้ว แต่ปากเขาไม่มีทางยอมรับหรอก เขากลอกตาแล้วบอกว่า “ฮูหยินเอ๊ย เจ้านี่ช่างไม่เข้าใจอะไรจริงๆ ตอนนี้คนที่นายท่านสู้ด้วยมีแต่บุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์ทั้งนั้น โดนคนใหญ่คนโตเพ่งเล็งแล้ว ห่างไปไม่รู้ตั้งกี่ระดับ ไม่เหมือนกับตอนที่ก่อเรื่องในตลาดสวรรค์ปีนั้นแล้ว ถ้านายท่านสู้กับคนที่ระดับพอๆ กัน พอแพ้ขึ้นมา จุดจบของคนอย่างข้าก็จะอนาถมาก อีกฝ่ายไม่มีทางอดกลั้นไม่ลงมือกับลูกน้องคนสนิทของคู่ต่อสู้ได้หรอก แต่สำหรับพวกคนใหญ่คนโตของตำหนักสวรรค์ จุดจบก็จะไม่เหมือนกันแล้ว คนระดับล่างอย่างพวกเราน่ะ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาสถูกคนใหญ่คนโตเบื้องบนเพ่งเล็งนะ ขอเพียงแสดงผลงานให้ยอดเยี่ยม


พอถูกอีกฝ่ายจดจำได้แล้ว ต่อไปก็อาจจะมีอนาคต เรื่องนี้พูดคำสองคำเจ้าก็ไม่เข้าใจหรอก ข้าจะพูดสิ่งที่เจ้าพอจะเข้าใจไหวก็แล้วกัน ถึงยังไงนายท่านหนิวก็เป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว เจ้ารู้แล้วว่าอ๋องสวรรค์โค่วกำลังจะทิ้งนาย ท่านแต่หลังจากจบเรื่องแล้วอ๋องสวรรค์โค่วจะแสดงออกยังไงล่ะ? ลูกน้องเก่าของนายท่านอย่างพวกเราจะต้องได้รับการวางแผนอนาคตไว้อย่างเหมาะสมเรียบร้อยแน่นอน ทั้งยังวางแผนไว้ดีด้วย ต่อให้ทำเพื่อแสดงให้คนอื่นดูเฉยๆ แต่ตำแหน่งแม่ทัพภาคก็หนีไม่พ้นข้าหรอก แล้วอีกอย่าง ถ้าตอนนี้ทรยศนายท่านแล้วได้ตำแหน่งแม่ทัพภาคไป ต่อไปข้าก็จะไม่มีเบื้องบนให้พึ่งพาแล้ว แต่ถ้ารอให้อ๋องสวรรค์โควเตรียมให้เอง ผลก็จะแตกต่างออกไป ในภายหลังนายท่านจะปฏิบัติต่อลูกน้องเก่าที่จงรักภักดีอย่างพวกเราไม่ดีเหรอ? ถ้ามีนางช่วยพูดกับอ๋องสวรรค์ให้พวกเรา แบบนั้นก็จะมีน้ำหนักมากกว่าที่พวกเรามุมานะทำงานมาหลายปี ในอนาคตอาจจะได้กลายเป็นหัวหน้าภาคที่ไหนสักแห่งก็ได้”


เสวี่ยหลิงหลงทำท่าครุ่นคิดพลางพยักหน้า แต่ก็ยังขมวดคิ้วถาม “แต่ถ้าประมือกับคนระดับนั้น ก็ไม่รู้ระดับลึกตื้นเลยนะ ถ้านายท่านล้มลงแล้ว อีกฝ่ายจะปล่อยเจ้าไปได้เหรอ?”


“เจ้าคิดมากไปแล้ว ไม่ได้สู้กันซึ่งๆ หน้าเสียหน่อย สู้กันอย่างลับๆ ไม่ว่าเบื้องบนจะมีใครมาสู้กับนายท่าน แต่ก็ทำอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้ทั้งนั้น เป้าหมายของพวกเขาคือกำจัดนายท่าน ขอเพียงทำสำเร็จก็จะถอยทันที ใครจะมัวมาเสียเวลาลงมือกับลูกน้องของนายท่านต่อไปล่ะ ส่วนที่เจ้าบอกว่าข้าสังหารคนคนนั้นที่ติดต่อกับเจ้าน่ะ สำหรับเบื้องบนแล้วไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ขอเพียงกำจัดนายท่านได้ เรื่องก็จะผ่านไป ใครจะเสี่ยงโดนเปิดโปงมาหาเรื่องข้าล่ะ ขอเพียงทำงานให้ดีอยู่ข้างกายนายท่าน ไม่ว่านายท่านจะผ่านด่านนี้ไปได้หรือไม่ การซื้อขายนี้พวกเราก็จะมีแต่ได้กำไร ไม่มีขาดทุน สิ่งเดียวที่ข้าต้องทำตอนนี้ก็คือ ตอนที่อันตรายกำลังจะมาถึง จะทำยังไงให้รอดพ้นจากการโจมตีที่อันตรายถึงชีวิตไปได้ ตราบใดที่รักษาชีวิตไว้ได้ อนาคตก็รออยู่!”

 

 

 


บทที่ 1652 สันดานสุนัขชอบกลับไปกินขี้

 

“นั่นก็ยังมีอันตรายอยู่ไม่ใช่เหรอ?” เสวี่ยหลิงหลงยากที่จะคลายความกังวล


“ข้าว่านะฮูหยิน หรือเจ้าคิดว่าข้าเพิ่งจะเผชิญอันตรายหลังจากมาอยู่กับนายท่าน? ตอนที่ข้ายังไม่ได้อยู่กับนายท่าน เจ้าคิดว่าคนที่ไม่มีเส้นสายภูมิหลังอย่างข้าไต่เต้าขึ้นตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการโดยไม่เสี่ยงอันตรายเหรอ? ตอนที่นายท่านยังเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการ ข้ากับเขาเคยมาปฏิบัติภารกิจด้วยกันที่เขาภูตพเนจร เพื่อให้ได้ขึ้นสู่ตำแหน่ง ข้ายังเคยเสี่ยงอันตรายลงมือสังหารนายท่านเลย ดังนั้น ยามปกติพวกเราไม่ใช่คนขี้ขลาดหวาดกลัว แต่บางครั้งก็ต้องดูว่าเสี่ยงอันตรายแล้วคุ้มไหม ตราบใดที่คุ้มค่า อันตรายที่ควรเสี่ยงก็ยังต้องเสี่ยง ถ้าราบรื่นเกินไปก็ขึ้นสู่ตำแหน่งไม่ได้หรอก ในใต้หล้ามีเรื่องดีๆ ที่ได้มาโดยไม่ต้องจ่ายเสียที่ไหนกัน ต่อให้เจ้าอยู่ที่ตำแหน่งนี้เหมือนเดิมโดยไม่ทำอะไร ข้างล่างก็จะมีคนไม่พอใจที่เจ้าขวางทางเขา แล้วก็ดันจนเจ้าล้มอยู่ดี บางทีอาจจะมีคนถูกใจความสวยของเจ้า พอจัดการข้าแล้วจะได้ครอบครองเจ้าง่ายขึ้นก็ได้ จะให้ทุกอย่างราบรื่นได้ยังไง”


เมื่อเห็นเขาดึงนางมาเกี่ยวด้วย ทั้งยังพูดให้รับไม่ไหวขนาดนั้น “เชอะ!” เสวี่ยหลิงหลงก็อดไม่ได้ที่จะบ่น “ก็ข้าเป็นห่วงเจ้าไม่ใช่รึไง”


“เหอะๆ เป็นห่วงไปก็ไม่มีประโยชน์!” สวีถังหรานพิงผนังอ่างอาบน้ำ เงยหน้ามองเพดาน แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ตอนที่ยังไม่ได้ติดตามรับใช้นายท่าน ข้าก็เลื่อนตำแหน่งลำบากมาก ทำตัวเป็นคนต่ำทรามไปก็เสียแรงเปล่า แต่หลังจากอยู่กับนายท่านแล้ว ก็เลื่อนตำแหน่งได้ไวเหมือนทะยานขึ้นฟ้า! เจ้าไม่ได้ทำงานอยู่ในตำหนักสวรรค์ เจ้าไม่เข้าใจหรอก พอเคยได้ลิ้มรสชาติหวานอร่อยมาแล้ว ถ้าจะให้ข้าหดหัวโดนคนมองเหยียดอีก ข้าก็ทนรับรสชาตินั้นไม่ไหวหรอก ข้าหันกลับไม่ได้แล้ว สิ่งที่ข้าต้องทำตอนนี้ก็คือ พาเจ้าไปอยู่ในที่ปลอดภัยก่อน เดี๋ยวก็มีสถานการณ์นั้นเดี๋ยวก็มีสถานการณ์นี้ ความสามารถของสวีมีจำกัด ถึงจะมองไม่เข้าใจ แต่ก็มีอยู่จุดหนึ่งที่สวีรู้ดี ว่าด้วยนิสัยอย่างนายท่านน่ะ ในไม่ช้าก็เร็วที่นี่จะต้องกลายเป็นจุดเกิดความขัดแย้ง เจ้าหลบไปก่อนเถอะ”


นี่ก็นับว่าเป็นสิ่งที่เขาเก็บเกี่ยวได้จากการที่ประจบสอพลออยู่ข้างกายเหมียวอี้มาหลายปี เขาถนัดศึกษาสังเกตความรู้สึกนึกคิดของเหมียวอี้ เกรงว่าคงจะรู้นิสัยเหมียวอี้ลึกกว่าอวิ๋นจือชิวด้วยซ้ำ


“ขนาดเจ้ายังไม่กลัวเลย แล้วข้าจะกลัวอะไรล่ะ ข้าไม่ไป” เสวี่ยหลิงหลงกัดริมฝีปาก


สวีถังหรานเอียงหน้ามองมา “ไม่ใช่เรื่องนั้น ถ้าอยู่ที่นี่คนเดียว ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ยังคิดหาทางหลบได้ เจ้าอยู่ที่นี่ก็ช่วยอะไรข้าไม่ได้ กลับจะกลายเป็นภาระของข้าด้วยซ้ำ จะเป็นตัวถ่วงข้า ถ้าเจ้าหวังดีกับข้าจริงๆ เจ้าก็ต้องไปก่อน รอให้คลื่นลมนี้ผ่านไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


เสวี่ยหลิงหลงเงียบงัน แต่ก็ซบไหล่เขาอย่างเงียบๆ อีก “เจ้าคิดจะให้ข้าไปไหน?”


สวีถังหรานหลับตา พร้อมกล่าวเบาๆ ด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ไปดูแลหนิวฮูหยินที่จวนอ๋องสวรรค์ก็แล้วกัน อยู่ที่จวนอ๋องสวรรค์จะต้องปลอดภัยแน่นอน ถ้าเกิดเรื่องอะไรกับข้าจริงๆ ฮูหยินก็ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์นะ ในเมื่อขึ้นโต๊ะเดิมพันแล้ว จะแพ้หรือชนะก็ต้องยอมรับชะตากรรม ถึงตอนนั้นถ้าเจ้าจะหาคนมาแต่งงานด้วยก็แต่งงานไปเถอะ ไม่จำเป็นต้องครองตัวเป็นหม้ายเพื่อข้า อาศัยความงามของเจ้า คนที่ไปมาหาสู่กับจวนอ๋องสวรรค์มีแต่ผู้สูงศักดิ์ทั้งนั้น ทั้งยังมีหนิวฮูหยินคอยช่วยเหลือ ไม่ต้องกลัวว่าจะหาใครแต่งงานด้วยไม่ได้ จะได้หมดความกังวลกับชีวิตในอนาคต ชาตินี้สวีก็ไม่ถือว่าทำผิดต่อเจ้าเช่นกัน”


“เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน!” เสวี่ยหลิงหลงโมโหจนกำหมัดชกเขาหลายที ผลปรากฏว่าโดนเขาจับมือเอาไว้ ดึงขึ้นเหนือผิวน้ำ จับกดให้พลิกตัวอยู่ข้างอ่างอาบน้ำแล้วทำโทษเสียเลย…


หยางเจาชิงที่รีบร้อนเดินเข้ามาในห้องหยุดฝีเท้ากะทันหัน ครั้งนี้จงใจเอียงศีรษะบอกใบ้หลินผิงผิงที่อยู่กับเฟยหง บอกใบ้ให้หลินผิงผิงถอยไป


หลินผิงผิงที่นั่งยองๆ อยู่ข้างเตียงนั่งรู้ว่าผู้ชายของตัวเองมีเรื่องบางอย่างจะคุยกับนายท่านแน่นอน เป็นเรื่องที่ไม่สะดวกจะให้นางเห็น จึงรีบยกกระโปรงขึ้นแล้วขอตัว


“พี่ผิงผิง ข้าไปด้วยค่ะ ไปนั่งตรงนั้นกัน” เฟยหงที่อยู่ตรงข้ามพลิกมือร่ายอิทธิฤทธิ์ดับไฟที่เตาต้มน้ำชาทันที ยกกระโปรงลุกขึ้นแล้วเช่นกัน เดินคล้องแขนหลินผิงผิงออกไปอย่างรวดเร็ว


เมื่อไม่มีคนอื่นแล้ว หยางเจาชิงก็เข้ามาในห้อง ยืนกุมหมัดอยู่ข้างหลังเหมียวอี้พร้อมบอกว่า “นายท่าน”


เหมียวอี้ยังคงหลับตาอยู่ตรงหน้าภาพนั้น แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ถ้าจัดการคนแล้ว ผู้หญิงคนนั้นอาจจะสังเกตอะไรบางอย่างได้ จัดการไปพร้อมกันเลยแล้วกัน ทำให้สะอาดเรียบร้อยหน่อย”


“เกรงว่าคงจะแตะต้องผู้หญิงคนนั้นไม่ได้แล้ว สวีถังหรานกลับมาที่จวนแม่ทัพภาคแล้วขอรับ” หยางเจาชิงกล่าว


“อ้อ!” เหมียวอี้พลันลืมตาแล้วหันตัวมา ในดวงตาฉายแววประหลาดใจ “หรือว่าสวีถังหรานปฏิเสธไปแล้ว?” ในดวงตาถึงขั้นฉายแววดีใจเล็กน้อยด้วย


ใช่แล้วล่ะ ทั้งหมดล้วนเป็นแผนการที่เขาใช้ทดสอบสวีถังหราน ที่จริงเขาเองก็ไม่อยากทำอย่างนี้ ก่อนหน้านี้ไม่ได้อยากทำอย่างนี้เลย ถึงอย่างไรสวีถังหรานก็ติดตามรับใช้เขามาหลายปี ไม่ว่าเวลาไหนก็ยืนข้างเขาตลอด ต่อให้ไม่มีผลงานแต่ก็ลำบากทำงาน


แต่หยางชิ่งไม่ได้คิดอย่างนี้ หยางชิ่งคิดว่าในเวลานี้จำเป็นต้องกำจัดปัญหาทุกอย่างที่อยู่ข้างกายทิ้งไป เพราะคู่ต่อสู้ในครั้งนี้ไม่ธรรมดา จะประมาทไม่ได้ ศึกภายในต้องสงบก่อนจึงค่อยสู้ศึกภายนอก ไม่อย่างนั้นถ้าพลาดก้าวเดียวก็อาจจะแพ้ทั้งกระดาน คู่ต่อสู้ไม่มีทางให้โอกาสเขาเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น แต่ไหนแต่ไรมา คนที่ตายด้วยคมดาบของคนที่อยู่ข้างกายก็มีให้เห็นอยู่ทุกที่ และสวีถังหรานเองก็เป็นคนต่ำทรามที่ใครๆ ก็รู้กัน เป็นคนที่เอาผลประโยชน์มาควบคุมได้ง่ายที่สุด ถูกคนอื่นจ้องหลอกใช้ได้ง่าย ดังนั้นหยางชิ่งจึงต้องการให้เหมียวอี้สร้างสถานการณ์ทดสอบ ถ้าไม่ได้เรื่องก็กำจัดทิ้งเสียเลย!


เหมียวอี้ตัดสินใจเรื่องนี้อย่างลำบากใจมาก แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าที่หยางชิ่งพูดมีเหตุผล ถ้าสวีถังหรานทรยศตนได้ง่ายขนาดนั้นจริงๆ ไม่สู้ถือโอกาสตัดจบไว้แต่เนิ่นๆ จะดีกว่า ถึงได้มีการเตรียมการอย่างนี้ขึ้น


หยางเจาชิงตอบว่า “นายท่านได้โปรดดูนี่!” เขาโยนศพร่างหนึ่งขึ้นมาบนพื้น มีเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด ใบหน้าเขียวคล้ำ ดวงตาเบิกโพลง ตรงหน้าอกยังมีแผลจากการใช้ดาบซ้ำอีกด้วย ตายจนไม่รู้จะตายอย่างไรแล้ว


“หมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้ตะลึงงัน


หยางเจาชิงตอบว่า “นี่คือคนที่ข้าน้อยเตรียมให้ไปเจอกับสวีถังหราน ผลปรากฏว่าถูกสวีถังหรานวางยาพิษสังหารแล้ว”


“ตอบตกลงจะเจอกันแล้วไม่ใช่เหรอ? ต่อให้เจรจากันไม่ลงตัว แต่ก็ไม่จำเป็นต้องสังหารเขานี่?” เหมียวอี้งงนิดหน่อย


หยางเจาชิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ก็เพราะแบบนี้ ถึงได้ถูกเขาลงมือสังหารได้ง่ายๆ ใครจะไปคิดว่าพอเจอกันเจ้านั่นก็วางยาพิษเลย ฝั่งพวกเราป้องกันแล้วก็ไม่มีประโยชน์ คาดว่าเขาก็คงคิดถึงจุดนี้เช่นกัน คิดว่าคนที่มาเจอเขาคงคาดไม่ถึงว่าเขาจะเล่นลูกไม้นี้ เลยใม่ได้ตรวจสอบสุราอาหารอย่างระมัดระวัง เห็นได้ชัดว่าเขาวางแผนมาดีแล้ว กังวลว่าคนที่มาพบจะพาผู้ช่วยมาด้วย หลังจากลงมือแล้วก็เลยหนีออกจากเรือไปเลย…” หลังจากเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟัง ก็ถอนหายใจแล้วบอกอีกว่า “โชคดีคำนึงถึงความมั่นใจเชื่อถือได้ไว้ก่อน เลยจ่ายเงินจ้างคนมา ถ้าใช้คนของตัวเอง ความผิดพลาดนี้ก็จะใหญ่หลวงแล้ว”


“หนีจากรูส้วมไปแล้ว…” เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน เพราะฉากนั้นงดงามเกินไป ไม่จินตนาการต่อแล้ว ต่อไปถ้าเจ้าหมอนั่นมาอยู่ข้างกาย ตนควรจะหลบให้ไกลหน่อยหรือเปล่า ในภายหลังยังจะมีความอยากให้อาหารที่เจ้าหมอนี่ทำอีกไหม?


เขาย้ายสายตากลับมาจากตัวศพ แล้วเอามือลูบคางพร้อมบอกว่า “ตอนที่เขาวางยาพิษ ก่อนที่คนโดนยาพิษจะล้มตาย ไม่ได้มีปฏิกิริยาสักนิดเลยเหรอ? พวกเจ้าไม่ได้สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวสักนิดเลยเหรอ?”


หยางเจาชิงตอบอย่างปวดประสาท “นายท่าน ไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวสักนิดเลยขอรับ อย่าว่าแต่พวกเราเลย ขนาดคนบนเรือยังไม่สังเกตเห็นอะไรสักนิดเลย เดาว่าเจ้าบ้านั่นคงไปเอาพิษประหลาดมาจากที่ไหนสักแห่ง โจมตีครั้งเดียวถึงตาย ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าไปตามนัดคนเดียว”


เหมียวอี้ก็ปวดประสาทเช่ยกัน นี่คือวิธีการทำงานของสวีถังหรานโดยแท้ เขาอดไม่ได้ที่จะด่าว่า “เจ้าชาติสุนัขนี่ ทำตัวให้สมเป็นลูกผู้ชายสักครั้งไม่ได้รึไง เอาแต่ใช้วิธีการน่าต่ำช้าอับอายทำงาน เฮ้อ! ถ้ามองงานทุกอย่างให้เขาทำ พอสร้างผลงานได้แล้วก็ไม่มีทางยกย่องออกหน้าออกหน้าได้เลย ถ้าทำงานสำเร็จแล้ว เวลาเจ้าอยากจะให้รางวัลเขา ก็ยังต้องช่วยหาข้ออ้างมาตบตาคนอื่นให้เขาอีก เหนื่อยมั้ยล่ะ? แล้วเจ้าก็ดันว่าอะไรเขาไม่ได้ด้วย นี่มันตัวอะไรกัน!”


ปากก็ด่าไปอย่างนั้น แต่ในใจกลับโล่งสบายแล้ว เหมือนยกก้อนหินออกจากอก ส่วนเหตุผลว่าทำไมสวีถังหรานจึงทำอย่างนี้ ทุกอย่างล้วนแผนที่ฝั่งนี้วางไว้ มีข้อมูลทุกอย่างอยู่ในใจแล้ว เดาสาเหตุได้ไม่ยาก ดังนั้นเหมียวอี้จึงอดไม่ได้ที่จะด่าว่า “เป็นคนต่ำทรามแบบเต็มสิบจริงๆ เอาหัวใจคนทรามมาวัดหัวใจสัตบุรุษ รายงานมาตรงๆ เลยจะเป็นไรไป อย่าบอกนะว่าในสายตาเขา ความใจกว้างของหนิวไม่มีประโยชน์สักนิดเลย? ยอมเสี่ยงอันตราย เพื่อให้ได้ทำเรื่องขโมยไก่คลำสุนัข สันดานสุนัขชอบกลับไปกินขี้!”


เขาพูดไม่ผิดเลยจริงๆ หารู้ไม่ว่าในสายตาสวีถังหราน เขานั้นไม่ใช่สัตบุรุษอะไรเลย เป็นคนที่เจ้าเล่ห์โหดร้ายยิ่งกว่าสวีถังหรานเสียอีก ในปีนั้นที่ตามจับเฮยหวังแล้วต่อสู้กัน เขาก็วางกับดักสวีถังหรานไว้อนาถมาก ถ้าไม่ใช่เพราะสวีถังหรานไหวพริบดี ก็คงจะไม่เหลือแม้กระทั่งชีวิตแล้ว ตอนหลังวุ่นวายจนเซี่ยโห้วหลงเฉิงเจอเขาทีไรก็จะฆ่าเขาทุกครั้ง เรียกได้ว่าอนาถมาก!


หยางเจาชิงหัวเราะแห้ง อยู่กับสวีถังหรานมาหลายปีขนาดนี้ ก็ย่อมรู้อยู่แล้วว่าสวีถังหรานเป็นคนอย่างไร นั่นคือคนต่ำทรามขนานแท้ ถ้าเปลี่ยนเป็นเขา เขาก็ไม่กล้าใช้งานคนประเภทนี้เลยจริงๆ ก็ไม่แปลกที่นายท่านต้องการจะทดสอบ หลังจากหัวเราะเสร็จแล้วก็ถามว่า “นายท่าน งั้นเรื่องนี้…”


“ช่างเถอะ!” เหมียวอี้บุ้ยปากไปทางศพ “จัดการให้สะอาดเรียบร้อย แค่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่าให้เขารู้ล่ะ ทุกคนจะได้ไม่อึดอัดใส่กัน”


“ขอรับ!”


หลังจากรอให้หยางเจาชิงจัดการศพที่อยู่บนพื้นเรียบร้อยแล้ว จู่ๆ เหมียวอี้ก็กล่าวอย่างลังเลว่า “พลังของสวีถังหรานอ่อนแอไปหน่อย เดี๋ยวเจ้านำมหาเคล็ดวิชารวมศูนย์ที่เจ้าเคยฝึกไปให้เขาแล้วกัน”


มหาเคล็ดวิชารวมศูนย์ เดิมทีเป็นเคล็ดวิชาฝึกตนของหุ้นหยวนเจินเหรินซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่อันดับหนึ่งของเฟิงเป่ยเฉิน ตอนหลังตกอยู่ในมืออวิ๋นอ้าวเทียน แล้วอวิ๋นจือก็ส่งต่อให้เหมียวอี้ เพื่อให้ยกระดับความสามารถของลูกน้อง เหยียนซิวกับหยางเจาชิงต่างก็ฝึกวิชานี้ ถึงแม้จะเป็นเคล็ดวิชาฝึกตนของพิภพเล็ก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของพิภพเล็กจะแย่กว่า ลำพังแค่เคล็ดวิชาฝึกตนจากสำนักที่หลากหลายพวกนั้น ที่จริงแล้วอาจจะไม่ได้ด้อยกว่าของพิภพใหญ่ก็ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นเคล็ดวิชาฝึกตนของแม่ทัพอันดับหนึ่งของเฟิงเป่ยเฉิน ไม่รู้เหมือนกันว่าพิภพเล็กนำเคล็ดวิชาฝึกตนมากมายขนาดนั้นมาจากไหน ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือมีทรัพยากรฝึกตนไม่พอก็เท่านั้นเอง


สรุปก็คือมหาเคล็ดวิชารวมศูนย์จะต้องดีกว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของสวีถังหรานในตอนนี้แน่นอน ไม่รู้ว่าดีกว่าตั้งกี่เท่า


หยางเจาชิงอึ้งไปชั่วขณะ ในใจแอบทึ่ง เจ้าคนต่ำช้าสวีถังหรานนั่นกอดขานายท่านสำเร็จแล้วจริงๆ!


แต่เขาก็ไม่ได้แย่เช่นกัน เขาได้เคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภาคฟ้าไปแล้ว จึงพยักหน้าบอกว่า “ขอรับ! เดี๋ยวข้าจะมอบให้เขา จะบอกให้ชัดเจนว่านายท่านตบรางวัลให้”


เหมียวอี้ขานรับ แล้วโบกมือให้เขาถอยออกไป


ทว่าหยางเจาชิงลองถามอีกว่า “นายท่าน จะต้องส่งคนไปทางยอดเขาโอนเอนสักหน่อยหรือเปล่า ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าให้เขาไปคนเดียว ข้าน้อยไม่ค่อยวางใจ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นเราก็จะไม่รู้เลย”


คนที่ไปยอดเขาโอนเอนก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือเหยียนซิวนั่นเอง และสาเหตุที่เหยียนซิวไปที่ยอดเขาโอนเอน ก็เป็นสาเหตุเดียวกับที่เฮยหวังยึดครองยอดเขาโอนเอนในปีนั้น เพราะนั่นคือทำเลดีในการหลอมสร้าง ‘ธงเรียกวิญญาณ’ ตอนนี้ในมือเหยียนซิวมีเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางครบแล้ว มีวิธีการหลอมสร้างของวิเศษที่บันทึกอยู่บนนั้นแล้ว และทางหกลัทธิก็ช่วยรวบรวมวัสดุในการหลอมสร้างเอาไว้แล้วด้วย เหยียนซิวต้องการจะไปหลอมของวิเศษ เหมียวอี้ก็ช่วยสนับสนุนเต็มที่ เพราะเขาเองก็เคยสัมผัสกับอานุภาพของ ‘ธงเรียกวิญญาณ’ นั่นมาก่อนเช่นกัน เป็นเพราะมันแปลกประหลาดจริงๆ อีกทั้งธงเรียกวิญญาณในมือเฮยหวังก็ยังหลอมสร้างไม่สำเร็จ หลังจากหลอมสร้างธงเรียกวิญญาณสำเร็จแล้วจะมีอานุภาพมากขนาดไหน เหมียวอี้เฝ้าคอยจะเห็นสิ่งนี้มาก


“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าส่งคนที่พึ่งพาได้ให้ไปคุ้มครองเขาแล้ว” พอเหมียวอี้โบกมือ เขาก็เรียกเยี่ยนเป่ยหงเข้ามาแล้ว

 

 

 


บทที่ 1653 เก็บได้โชคใหญ่

 

ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ เขาจำเป็นต้องให้เยี่ยนเป่ยหงช่วยเหลืออย่างลับๆ พอเยี่ยนเป่ยหงได้ข่าวจากเขาแล้วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบมาทันที


และทางนี้ก็ยังใช้งานเยี่ยนเป่ยหงไม่ได้ชั่วคราว กอปรกับคนของตระกูลโค่วเพ่นพ่านอยู่ทั่วจวนแม่ทัพภาค จึงไม่สะดวกให้เยี่ยนเป่ยหงเข้าพัก ประจวบเหมาะกับเหยียนซิวหลอมไปของวิเศษและต้องการคนคุ้มกันพอดี แล้วยอดเขาโอนเอนก็อยู่ที่เขาภูตพเนจร ระยะทางไปกลับตลาดผีไม่ถือว่าไกลเกินไป ถ้ามีธุระอะไรก็สามารถเรียกมาได้ทันเวลา ถึงได้ส่งเยี่ยนเป่ยหงให้ไปคุ้มกันเหยียนซิวแล้ว


หยางเจาชิงแปลกใจนิดหน่อย ตามหลักแล้วเรื่องที่เหยียนซิวทำมักจะไม่ให้คนทั่วไปรับรู้ นอกจากลูกน้องบางคนของฮูหยิน ก็ไม่เหมาะจะให้คนอื่นมาคลุกคลีอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าเหมียวอี้คนใครไปคุ้มครองเหยียนซิว? เพียงแต่เขาเป็นคนที่ไม่เคยเอ่ยถามเรื่องที่เหมียวอี้ไม่อยากบอก สิ่งที่ควรถามก็ถาม สิ่งที่ไม่ควรถามก็ไม่เคยถามมากเลย


“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับแล้วถอยออกไป แต่ใครจะคิดว่าตอนที่เพิ่งเดินไปถึงประตู ก็เห็นสวีถังหรานเขามาคารวะนายท่านแล้ว


“นายท่านอยู่หรือเปล่า?” สวีถังหรานถามอย่างร่าเริง ท่าทีอ่อนโยนเป็นมิตร สำหรับที่คนอยู่ข้างกายเหมียวอี้ แต่ไหนแต่ไรมาท่าทีของเขาก็ไม่เคยเลวร้ายอยู่แล้ว บนร่างกายอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว


“อยู่ข้างใน” หยางเจาชิงมองประเมินเขาศีรษะจดเท้าวแวบหนึ่ง ทั้งยังหลบไปพิงด้านข้างโดยจิตใต้สำนึก หลีกทางให้เขาเข้าไป แต่ว่าตัวเองกลับยังไม่ออกไป


สวีถังหรานที่ได้รับอนุญาตแล้วเข้ามาทำความเคารพข้างใน เหมียวอี้ที่เดินออกจากห้องมานั่งลงอดไม่ได้ที่จะมองสำรวจเขาศีรษะจดเท้า ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ “มีธุระอะไรเหรอ?”


สวีถังหรานยิ้มอย่างมีอัธยาศัยดี “ข้าน้อยเพิ่งได้รับสุราชั้นดีมาหลายกา เลยเตรียมสุราอาหารไว้ที่บ้านแล้วนิดหน่อย อยากจะมาเชิญนายท่านไปรับประทาน”


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา หยางเจาชิงที่ยืนตะแคงข้างอยู่ตรงประตูเอามือลูบจมูกโดยจิตใต้สำนึก


เหมียวอี้สีหน้าทื่อแข็งนิดหน่อย ก่อนหน้านี้ยังกังวลอยู่เลยว่าจะกินอาหารที่เจ้าหมอนี่ทำได้อย่างไร ใครจะคิดว่าสิ่งที่กลัวจะมาเยือนแล้ว เจ้าหมอนี่เพิ่งมุดออกมาจากสถานที่แบบนั้น พอกลับมาถึงก็แสดงฝีมือเลย นี่จงใจทำให้ข้าสะอิดสะเอียนหรือเปล่า


อย่างน้อยก็ในช่วงเวลานี้ เหมียวอี้ไม่มีทางไปแตะต้องอาหารเลิศรสที่สวีถังหรานทำแน่นอน จึงปฏิเสธไปตรงๆ เลย “ช่างเถอะ ข้ายังมีธุระอีกนิดหน่อย เอาไว้คราวหลัง”


สวีถังหรานอึ้งนิดหน่อย จากนั้นก็พยักหน้าซ้ำๆ “อ้อ ได้ๆ เอาไว้คราวหลัง นายท่านดูว่าว่างเมื่อไร ข้าน้อยจะเฝ้าคอยด้วยความเคารพทุกเมื่อ” เขาไม่ได้ถามอะไรเช่นกัน รีบตบปากรับคำ แต่กลับไม่มีท่าทีว่าจะขอตัวอำลา


เหมียวอี้เหลือบมองแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “ยังมีธุระอะไรอีก?”


สวีถังหรานยิ้มอย่างถ่อมตน สองมือแกว่งไปแกว่งมา เหมือนกำลังลังเลนิดหน่อย ทำท่าเหมือนไม่รู้ว่าควรจะพูดดีหรือไม่


“มีคำพูก็รีบเอ่ย มีผายลมก็รีบปล่อย” เหมียวอี้ขมวดคิ้ว


สวีถังหรานก็รอคำนี้จากเขาอยู่พอดี จึงทำตามคำสั่งทันที “นายท่าน คืออย่างนี้นะ หลิงหลงฮูหยินของข้าเริ่มคิดถึงฮูหยินแล้ว ไม่ได้เจอฮูหยินมานาน อยากจะไปเยี่ยมสักหน่อย เพียงแต่ประตูจวนอ๋องสวรรค์ช่างสูงนัก ไม่ทราบว่าจะสะดวกหรือเปล่า?”


เดิมทีอยากจะเชิญเหมียวอี้ไปรับประทานอาหารก่อน แล้วระหว่างที่กินดื่มกันก็จะให้เสวี่ยหลิงหลงเอ่ยปากเอง แต่ตอนนี้เหมียวอี้ไม่ไปแล้ว เขาจึงทำได้เพียงเอ่ยออกมาเอง


เหมียวอี้ก็ไม่ได้คิดมากเช่นกัน แค่นึกว่าเจ้าหมอนี่มีเจตนาดีอยากประจบเฉยๆ เพราะคุ้นชินกับมุกนี้ของสวีถังหรานแล้ว และที่จริงเขาเองก็เตรียมจะส่งเฟยหงออกไปหลบอันตรายชั่วคราวเช่นกัน หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็พยักหน้าบอกว่า “อาจจะต้องเข้าไปในจวนอ๋องสวรรค์ก็ได้ ดาวหยกงามใหญ่ขนาดนั้น คงไม่ถึงขั้นไม่มีที่ให้แขกพัก ไปก็ไปเถอะ หรูฮูหยินก็ต้องการจะไปเยี่ยมฮูหยินเหมือนกัน เจาชิง!”


หยางเจาชิงที่อยู่ตรงประตูรีบสาวเท้าเดินเข้ามา แล้วกุมหมัดคารวะ “ขอรับ!”


เหมียวอี้สั่งว่า “ไปเรียกหลินผิงผิงมาด้วย อยู่ในที่ไร้แสงตะวันแบบตลาดผีก็น่าเบื่อเหมือนกัน ถือโอกาสตอนที่ฮูหยินยังอยู่จวนอ๋องสวรรค์ โอกาสแบบนี้หายาก ไปเปิดหูเปิดตาที่ดาวหยกงามสักหน่อย ระหว่างทางจะได้มีเพื่อนหลายๆ คน เดี๋ยวข้าจะให้คนของจวนอ๋องสวรรค์คุ้มกันส่งพวกนางสามคนก็แล้วกัน”


“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง


เฟยหงกับหลินผิงผิงก็ไปเหมือนกันเหรอ? สวีถังหรานกำลังแอบครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเหมียวอี้บอกอีกว่า “สวีถังหราน มีเรื่องให้เจ้าเตรียมจัดการนิดหน่อย”


สวีถังหรานเก็บสีหน้าอารมณ์ทันที แล้วกุมหมัดคารวะมองเขา ทำท่าเหมือนตั้งใจรอฟัง


เหมียวอี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินไปทางหน้าต่าง ขณะที่เดินก็พูดไปด้วยว่า “จะดีจะเลวยังไง พวกเราก็แขวนป้ายจวนแม่ทัพภาคตลาดผีไว้ ไม่มีเหตุผลที่ต้องมานั่งดูภูตผีมารปีศาจพวกนั้นร่ำรวยเฉยๆ เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้าคิดหาทางแอบหาร้านค้าที่ตลาดผีไว้สักจำนวนหนึ่ง พวกเราก็จะทำธุรกิจสักหน่อยเหมือนกัน ทำสักยี่สิบร้านก่อนเป็นไง?”


“หา! ยี่สิบร้านเหรอ?” สวีถังหรานอุทานตกใจ จากนั้นก็เอามือสะกิดคางทันที พร้อมกล่าวด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มใจ “นายท่าน เดิมทีตึกศาลาสัตยพรตก็ไม่อยากให้จวนแม่ทัพภาคยื่นมือเข้าไปในตลาดผีอยู่แล้ว จะทำอย่างลับๆ ยังไง แต่ก็พ้นสายตาตึกศาลาสัตยพรตได้ยากอยู่ดี ถ้าตึกศาลาสัตยพรตไม่ยินยอม พวกเราก็ทำธุรกิจนี้ไม่ได้เลย ถ้าทำแค่ร้านสองร้าน ตึกศาลาสัตยพรตก็อาจจะปิดตาข้างเดียวได้ แต่ถ้าทำรวดเดียวยี่สิบร้าน เรื่องนี้ก็ค่อนข้างจัดการยากนะขอรับ”


ขนาดหยางเจาชิงยังมองเหมียวอี้ด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อเลย รู้สึกเหมือนเขากำลังบังคับให้ทำงานยากเช่นกัน


เหมียวอี้จ้องโคมไฟระยิบระยับทั้งใกล้และไกลนอกหน้าต่าง “เจ้าไปทำก่อนได้เลย ถ้าเจอฝั่งตึกศาลาสัตยพรตมาหาเรื่อง ก็มาบอกข้าได้ ข้าจะไปคุยกับตึกศาลาสัตยพรตด้วยตัวเอง”


เมื่อพูดมาแบบนี้ก็จัดการง่ายแล้ว อย่างน้อยถ้าทำไม่สำเร็จ ตัวเองก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร สวีถังหรานมีความมั่นใจทันที ตบหน้าอกพร้อมบอกว่า “นายท่านวางใจได้ เรื่องนี้ข้าน้อยจะจัดการเอง ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้…เพียงแต่ร้านค้าที่ตลาดผีแพงกว่าร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ ยี่สิบร้านนี้…”


เหมียวอี้พูดตัดบททันที “ข้าไม่มีเงินให้เจ้าหรอก ข้าไม่สนว่าเจ้าจะใช้วิธีการอะไร เอาเป็นว่าข้ามอบหมายเรื่องนี้ให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน”


ล้อเล่นอะไรกัน? สวีถังหรานยิ้มขื่นขมในใจ นี่ไม่ใช่ว่าให้ข้าออกทุนเองหรอกเหรอ?


“ทำไม? ถ้าเจ้ารู้สึกว่าทำงานนี้ไม่ได้ ข้าก็เปลี่ยนให้คนอื่นไปทำแทนได้นะ” เหมียวอี้หันกลับมามอง


สวีถังหรานรีบโบกมือซ้ำๆ “ไม่ๆๆ นายท่านเข้าใจข้าน้อยผิดแล้ว ในเมื่อนายท่านสั่งแล้ว ข้าน้อยก็ย่อมบุกน้ำลุยไฟโดยไม่ปฏิเสธ ข้าน้อยแค่กำลังคิดว่าจะทำยังไงดี” พอพูดจบก็นึกเสียใจทีหลังทันที แต่คำพูดที่เอ่ยออกไปแล้ว จะเอาคืนกลับมาได้อย่างไรกัน ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าให้โอกาสเขาอีกรอย เขาก็ยังจะตอบตกลงเหมือนเดิม


หยางเจาชิงเห็นท่าทางของเขา ดูเหมือนกำลังคิดหาทางอยู่จริงๆ กำลังขมวดคิ้วครุ่นคิด แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนสีหน้ากลัดกลุ้มระทมทุกข์มากกว่า


หลังจากออกมาจากห้องเหมียวอี้แล้ว “เฮ้อ!” สวีถังหรานก็ถอนหายใจเบาๆ รู้สึกห่อเล็กน้อย เขาถึงขั้นสงสัยว่าเหมียวอี้รู้เรื่องที่เขาทำแล้วหรือเปล่า ก็เลยกำลังจงใจกลั่นแกล้งเขา


“จัดการยากเหรอ?” หยางเจาชิงที่เดินอยู่ข้างกันเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม


“เจ้ารู้สึกว่าเรื่องนี้…จัดการง่ายเหรอ?” สวีถังหรานตอบอย่างอ่อนแรง


หยางเจาชิงยิ้มตอบ “นายท่านใช้ให้ทำหน้ที่สำคัญ ก็เพราะเห็นความสำคัญของเจ้าไง”


“เหอะๆ!” สวีถังหรานหัวเราะแห้ง ที่จริงอยากจะถ่มน้ำลายใส่เขามากกว่า


“เจ้าอย่าไม่เชื่อเลย กลับมาดึกๆ หน่อย ข้ามีของจะส่งให้เจ้า เป็นของขวัญจากนายท่าน ของขวัญล้ำค่า! รับรองว่าเจ้าได้ใช้ประโยชน์ไปทั้งชีวิตแน่!” หยางเจาชิงกล่าว


นายท่านมอบของขวัญล้ำค่าให้เหรอ? สวีถังหรานตาเป็นประกาย “ของอะไร?”


“รอข้าเตรียมอีกประเดี๋ยว รออีกหน่อยเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” หยางเจาชิงยิ้มอย่างแฝงความหมายล้ำลึก พูดทิ้งท้ายเอาไว้แล้วเดินก้าวยาวจากไป ทิ้งสวีถังหรานที่พูดยื้อหลายรอบต้องเอามือลูบหน้าผาก


หลังจากกลับเข้ามาในเรือนแล้ว สวีถังหรานก็ยังคงครุ่นคิดไม่เลิก


เสวี่ยหลิงหลงที่เดินออกมาเตรียมต้อนรับแขกไม่เห็นเงาเหมียวอี้ จึงซักไซ้ “นายท่านล่ะ?”


“ติดธุระมาไม่ได้” สวีถังหรานที่นั่งบนเก้าอี้ตอบอย่างขอไปที


เสียแรงที่เตรียมไว้! เสวี่ยหลิงหลงถอนหายใจ แล้วมองไปนอกประตูที่ว่างเปล่า ทำได้เพียงช่างมัน พอหันกลับมาก็พบว่าสวีถังหรานมีสีหน้าแปลกไป อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้าเป็นอะไรไป? โดนนายท่านตำหนิมาเหรอ?”


สวีถังหรานส่ายหน้าเบาๆ แล้วพึมพำตอบว่า “นายท่านตอบตกลงแล้ว แต่ให้ฮูหยินเฟยหงกับหลินผิงผิงไปกับเจ้าด้วย”


“ก็สมปรารถนาเจ้าแล้วไม่ใช่เหรอ? เจ้ายังหน้านิ่วคิ้วขมวดทำไมอีก?” เสวี่ยหลิงหลงแปลกใจแล้ว


สวีถังหรานอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน คำพูดบางคำผู้ชายไม่มีทางบอกผู้หญิง การที่ส่งเฟยหงกับหลินผิงผิงไปด้วยกันแบบนี้ เขาสงสัยว่าตัวเองจะเดาถูกแล้ว นายท่านอาจจะต้องการก่อเรื่องที่ตลาดผีแล้วจริงๆ ก็ได้ ถ้าพูดสิ่งนี้ออกมาเกรงว่าจะทำให้เสวี่ยหลิงหลงกังวลยิ่งกว่าเดิม จึงกลืนคำพูดนี้กลับไป


ตอนดึกๆ หน่อย หยางเจาชิงก็มาตามนัด แอบมาเจอกับสวีถังหรานในห้องสมาธิอย่างลับๆ พักหนึ่ง


เสวี่ยหลิงหลงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทั้งสองคุยอะไรกัน สรุปก็คือตอนที่ทั้งสองออกมา สีหน้าหดหู่ของสวีถังหรานก็เหมือนถูกกวาดหายไปหมดแล้ว เปลี่ยนเป็นกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เดินหัวเราะร่าส่งหยางเจาชิงออกนอกประตูไปด้วยตัวเอง


ตอนที่กลับมา เสวี่ยหลิงหลงตามซักไซ้อยู่ข้างกายสวีถังหราน “เจ้านี่ประเดี๋ยวก็ทำหน้าทนทุกข์ ประเดี๋ยวก็ร่าเริงแจ่มใส เป็นอะไรไปแล้ว?”


สวีถังหรานพลิกมือหยิบแผ่นหยกมาโบกอยู่ในมือ แล้วเดาะลิ้นบอกว่า “ไม่เสียแรงที่สวีติดตามรับใช้ นี่คือของขวัญล้ำค่าจากนายท่าน มหาเคล็ดวิชารวมศูนย์!”


“เป็นเคล็ดวิชาฝึกตนเหรอ?”


“แน่นอน!”


“มหาเคล็ดวิชารวมศูนย์นี่ร้ายกาจนักเหรอ?”


สวีถังหรานรีบหันกลับไปมองนอกประตู แล้วโบกมือร่ายอิทธิฤทธิ์ปิดประตูเสียเลย เสร็จแล้วถึงได้แอบยิ้มพร้อมถ่ายทอดเสียง “ตอนแรกข้าก็นึกว่าแค่ได้ยินชื่อเคล็ดวิชาที่เหมือนกันเฉยๆ แต่หลังจากดูสิ่งที่อยู่ข้างใน มันอาจจะเป็นมหาเคล็ดวิชารวมศูนย์ที่ข้าเคยบังเอิญได้ยินชื่อมาก่อนก็ได้ แต่หยางเจาชิงบอกว่า เคล็ดวิชานี้คือสิ่งที่อสุราอัคนี ปรมาจารย์ต่างยุคของนายท่านทิ้งไว้ พอได้ฟังแบบนั้น ก็รู้เลยว่านายท่านกับหยางเจาชิงไม่ได้รู้ที่มาที่ไปของเคล็ดวิชานี้เลย ครั้งนี้พวกเราเก็บได้โชคใหญ่แล้วจริงๆ ข้าจะทำสำเนาให้เจ้าเดี๋ยวนี้แหละ เดี๋ยวเจ้านำกลับไปฝึกที่จวนอ๋องสวรรค์ ขอเพียงได้ฝึกมหาเคล็ดวิชานี้ อนาคตของพวกเราสองคนก็จะน่าเฝ้าคอยแล้ว!”


ฟังจากที่เขาพูดเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เสวี่ยหลิงหลงก็อดไม่ได้ที่จะตาลุกวาว ถามอย่างตื่นเต้นประหลาดใจว่า “ข้าเองก็ไม่เคยได้ยิน ไม่รู้ว่ามหาเคล็ดวิชารวมศูนย์นี่มีที่มายังไงกันแน่?”


สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะบังเอิญได้ยินคนพูดถึงครั้งหนึ่ง ข้าก็คงไม่รู้ที่มาที่ไปของเคล็ดวิชานี้หรอก เมื่อนานมาแล้ว ใต้หล้าแห่งนี้ยังไม่มีระแบบปกครอบแบบตำหนักสวรรค์ ทุกอย่างล้วนอาศัยพลังความสามารถ ถ้าจัดอันดับพลังความสามารถ ก็จะเรียกว่าหนึ่งเทพ สามเซียน หกสำนัก สามสิบสองประมุขดาว นี่ก็คือผู้ที่มีพลังความสามารถแข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า หนึ่งเทพก็เหมายถึงราชาปีศาจหนานโปที่เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในปีนั้น แต่เดิมที่การจัดอันดับนี้ไม่มีหนึ่งเทพหรอก หลังจากราชาปีศาจหนานโปผงาดขึ้นมาแล้วถึงได้เพิ่มเข้าไป สามเซียนก็คืออาจารย์ของราชันสวรรค์ อาจารย์ของประมุขพุทธะและอาจารย์ของประมุขไป๋ หกสำนักก็หมายถึงหกสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในตอนนั้น ว่ากันว่าราชาปีศาจหนานโปเคยแอบขโมยวิชาจากหกสำนักนี้เหมือนกัน หลังจากฝึกสำเร็จแล้ว ราชาปีศาจหนานโปก็ทำลายหกสำนักนั้น ส่วนสามสิบสองประมุขดาว ฟังจากชื่อแล้วเจ้าก็น่าจะเข้าใจ ส่วนสามสิบสองประมุขดาวจะร้ายกาจขนาดไหน เจ้าเคยได้ยินชื่อสิบปราสาทดำเนินใช่มั้ย ก็แบ่งรับถ่ายทอดมาจากในนั้นนั่นแหละ ว่ากันว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของสี่อ๋องสวรรค์ก็ได้รับถ่ายทอดมาจากในนั้นเหมือนกัน ถ้าตำนานนี้เป็นเรื่องจริง ก็หมายความว่าในบรรดาเคล็ดวิชาฝึกตนของสามสิบสองประมุขดาว มีเพียงสิบสี่เคล็ดวิชาที่ได้รับถ่ายทอดสืบต่อมา ยังมีอีกสิบแปดเคล็ดวิชาที่หายไป”

 

 

 


บทที่ 1654 ไม่ค่อยรู้จักประมาณตน

 

พอพูดถึงตอนท้าย เขาก็โบกแผ่นหยกในมือด้วยแววตาตื่นเต้นดีใจอีก


ฟังจากความหมายและปฏิกิริยาของเขา เสวี่ยหลิงหลงจึงถามหยั่งเชิงว่า “หรือว่ามหาเคล็ดวิชารวมศูนย์เป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาของประมุขดาวหนึ่งในสิบแปดคนที่ทำเคล็ดวิชาหายไป?”


สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “หนึ่งในสามสิบสองประมุขดาว ชื่อว่าประมุขดาวหุ้นตุ้น เคล็ดวิชาฝึกตนของเขาก็คือมหาเคล็ดวิชารวมศูนย์ ดีไม่ดีอาจจะเป็นวิชาที่มาอยู่ในมือพวกเราแล้วก็ได้”


เสวี่ยหลิงหลงขมวดคิ้ว “ท่านสามี ในเมื่อมันเป็นเคล็ดวิชาที่หายไปนานแล้ว เจ้าเองก็ไม่เคยเห็น แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่ามหาเคล็ดวิชารวมศูนย์เป็นของประมุขดาวหุ้นตุ้นท่านนั้น?”


“บทนำ! บทนำของเคล็ดวิชาไง ข้าจะอ่านให้เจ้าฟังสักหน่อยแล้วกัน” สวีถังหรานยกแผ่นหยกในมือขึ้นมา  ร่ายอิทธิฤทธิ์อ่านทีละคำ “ผู้รวมศูนย์ ยามปราณหยวนยังไม่ถูกแบ่ง หุ้นตุ้น[1]เป็นหนึ่งเดียว เป็นจุดเริ่มต้นของปราณหยวน! ปราณหยวนกำเนิดจากหุ้นตุ้น อยู่ในแสงสว่าง อยู่นอกความมืด ระหว่างความมืดและความสว่างเกิดเป็นช่องว่าง ในช่องว่างเกิดเขตแดนว่างเปล่า เขตแดนว่างเปล่าแบ่งออกเป็นปราณสามชนิด ได้แก่ปราณเสวียน ปราณหยวน ปราณสื่อ ปราณสามชนิดรวมกันเป็นหุ้นตุ้น เมื่อเกิดแดนอนัตตาจึงเกิดช่องว่าง เมื่อเกิดช่องว่างจึงเกิดความว่างเปล่า เพราะว่างเปล่าจึงมีอยู่ เพราะมีอยู่จึงว่างเปล่า เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงที่ว่างเปล่า เกิดเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติแห่งธรรมะ เรียกว่ามหาเคล็ดวิชารวมศูนย์…ฮูหยิน เจ้าฟังเข้าใจหรือเปล่า?”


“ในนั้นเหมือนจะเอ่ยถึง ‘หุ้นตุ้น’ สามองครั้ง อิงจากสิ่งนี้ก็เลยเกี่ยวข้องกับประมุขดาวหุ้นตุ้นนั่นเหรอ?” เสวี่ยหลิงหลงเอ่ยถามเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง


สวีถังหรานจึงกล่าวกลั้วหัวเราะ “ฮูหยินฉลาดล้ำเลิศ วัตถุประสงค์ของบทนำกล่าวไว้หนึ่งร้อยตัวอักษรพอดีไม่ขาดไม่เกิน แต่ในหนึ่งร้อยคำนี้กลับเอ่ยถึง ‘หุ้นตุ้น’ ถึงสามครั้ง ดูจากแก่นแท้ของวัตถุประสงค์นิดหน่อยก็รู้แล้วว่าเป็น ‘หุ้นตุ้น’ นั่น กุญแจสำคัญอย่างนี้จะไม่สอดคล้องกับฉายานามของประมุขดาวหุ้นตุ้นได้ยังไง? บังเอิญได้ยินว่าประมุขดาวหุ้นตุ้นในตำนานฝึกมหาเคล็ดวิชารวมศูนย์นี้พอดี ทุกอย่างล้วนเชื่อโยงได้ ถ้าจะไม่ให้แน่ใจว่ามหาเคล็ดวิชารวมศูนย์คือเคล็ดวิชาฝึกตนของประมุขดาวหุ้นตุ้นก็ยากแล้ว! แล้วอีกอย่างนะ อสุราอัคนีที่เป็นอาจารย์ต่างยุคของนายท่านเป็นตัวละครแบบไหนกันล่ะ? ถึงแม้จะเป็นตัวละครที่ผงาดขึ้นมาหลังจากหนึ่งเทพ สามเซียน หกสำนัก สามสิบสองประมุขดาวถูกกำจัดไปแล้ว แต่จ้าวของหกลัทธิในตอนนั้นก็ทำอะไรเขาไม่ได้เลยสักนิด เคล็ดวิชาที่ควรค่าให้อสุราอัคนีเก็บซ่อนไว้จะธรรมดาเหรอ?”


เมื่อได้ฟังคำอธิบายเช่นนี้ เสวี่ยหลิงหลงก็เชื่อแล้วเช่นกัน ถึงไม่ถึงว่าสองสามีภารรยาจะได้รับเคล็ดวิชาอย่างนี้ “ท่านสามี ไม่รู้ว่าหลังจากฝึกสำเร็จแล้วจะมีพลังเป็นยังไง?”


“อันนี้…” สวีถังหรานลังเล อ่านแผ่นหยกที่อยู่ในมืออย่างช้าๆ “ตามที่ระบุไว้บนบทนำ ‘ปราณเสวียน ปราณหยวน ปราณสื่อ ปราณสามชนิดรวมกันเป็นหุ้นตุ้น’ คงจะหมายถึงขั้นตอนการฝึก หมายความว่าหลังจากฝึกจนะเกิดปราณเสวียน ปราณหยวนและปราณสื่อแล้ว ก็จะหลอมรวมกลายเป็นหุ้นตุ้น หลังจากหุ้นตุ้นรวมเป็นหนึ่ง ก็จะฝึกมหาเคล็ดวิชารวมศูนย์สำเร็จแล้ว ส่วนที่ถามว่าหลังจากฝึกแล้วมีพลังเป็นยังไง ข้าก็ไม่รู้จริงๆ บนนี้ไม่ได้บอกไว้ ข้าเองก็ไม่รู้จักประมุขดาวหุ้นตุ้นนั่นด้วย แค่บังเอิญได้ยินมาก็เท่านั้นเอง แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญหรอก เอาเป็นว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเราจะได้เคล็ดวิชาที่เทียบเท่ากับสิบปราสาทดำเนินลี่อ๋องสวรรค์ รู้ไว้แค่ว่าหลังจากฝึกสำเร็จแล้ว พลังจะต้องไม่แย่แน่นอน”


ไม่นานเสวี่ยหลิงหลงที่พยักหน้าอย่างตื่นเต้นดีใจก็เริ่มกังวลอีก “นายท่านหนิวไม่รู้ที่มาที่ไปของเคล็ดวิชานี้จริงเหรอ? ถ้าเขากำลังทดสอบพวกเราอยู่จะทำยังไง?”


สวีถังหรานส่ายหน้าอย่างรู้สึกขำ “ช่างมีความคิดอ่านแบบผู้หญิงจริงๆ เอาแต่หลับหูหลับตากังวลสิ่งที่ไร้ประโยชน์! ฮูหยินเอ๊ย เจ้าคิดมากไปแล้ว ตำหนักสวรรค์ก่อตั้งมากี่ปีแล้ว? ก่อนหน้านั้นยังมีจ้าวหกลัทธิปกครองใต้หล้าอยู่ตั้งกี่ปี ต้องย้อนต่อไปอีกถึงจะเป็นช่วงเวลาที่มีเคล็ดวิชานี้ เรื่องที่ผ่านไปนานขนาดนั้น คนที่ยังไม่ถึงระดับสำแดงฤทธิ์ส่วนใหญ่ก็ตายไปหมดแล้ว คนที่รู้มีไม่เยอะหรอก นายท่านจะมาทดสอบพวกเราทำไม? เขาไม่รู้เลยว่าพวกเราอาจจะรู้ที่มาของเคล็ดวิชานี้ จำเป็นต้องทดสอบด้วยเหรอ? ต่อให้จะทดสอบอีกแต่ก็คงไม่ทดสอบเรื่องนี้หรอก”


เสวี่ยหลิงหลงตบหน้าอกเขาเบาๆ แล้วจู่ๆ ก็กางแขนคล้องคอเขา พร้อมกล่าวอย่างซาบซึ้ง “ท่านสามี งั้นพวกเราก็เก็บได้โชคใหญ่แล้วจริงๆ” ขณะเดียวกันก็รู้สึกกังวล เป็นความกังวลเล็กๆ ที่เก็บได้ของดีมาจากคนอื่น


เมื่อก่อนนางไม่ใช่คนประเภทนี้เลย แต่เมื่ออยู่กับสวีถังหรานนานๆ ไป สามีเป็นผู้นำภรรยาเป็นผู้ตาม กอปรกับหลายๆ ด้านนางก็สู้สวีถังหรานไม่ได้จริงๆ ในสถานการณ์ที่พิสูจน์ได้หลายเรื่องแล้วว่าสวีถังหรานทำถูก แนวคิดของนางจึงเปลี่ยนตามทีละนิด เรียกได้ว่าอยู่ใกล้สีหมึกแดงย่อมติดสีแดง อยู่ใกล้หมึกดำย่อมติดสีดำจริงๆ ถูกสวีถังหรานชักนำไปในทางที่แย่แล้ว เมื่อเข้าประตูบ้านเดียวกัน สุดท้ายก็กลายเป็นคนบ้านเดียวกัน


สวีถังหรานที่กำลังกอดนางก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าเต็มสิบเช่นกัน เรื่องหาร้านค้ายี่สิบร้านก่อนหน้านี้ เขายังกังวลอยู่เลยว่าเหมียวอี้จงใจหาเรื่องเขาหรือเปล่า แต่ตอนนี้ไม่คิดอย่างนั้นแล้ว กำลังคิดว่าจะใช้วิธีการอะไรถึงจะทำภารกิจที่นายท่านมอบหมายให้สำเร็จได้


จะเป็นภารกิจหรือไม่นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง หลังจากจวนแม่ทัพภาคเตรียมให้คนของจวนอ๋องสวรรค์ไปส่งเฟยหง หลินผิงผิงและเสวี่ยหลิงหลงแล้ว เหมียวอี้ก็มีงานดีๆ ให้สวีถังหรานไปจัดการอีก เป็นงานที่เขาชอบ เพียงพอที่จะทำให้เขาสุขสำราญ


บนถนนของตลาดผีอันเจริญรุ่งเรืองและมีผู้คนเดินขวักไขว่อยู่ในความมืด จู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายขึ้น ทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาจากทั่วทิศ มาล้อมโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเอาไว้


ผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนยืนหลีกทางให้ กำลังมองดูทหารสวรรค์ที่โหดเหี้ยมดุร้ายพวกนี้ ผู้จัดการร้านที่เบียดอยู่ตรงประตูร้านฝั่งตรงข้ามเก็บสองมือไว้ในกระบอกแขนเสื้อ ทำเสียงฮึดฮัดแล้วถ่ายทอดเสียงบอกคนงานที่อยู่ข้างกัน “เป็นเรื่องยากที่จะเห็นเหตุการณ์แบบนี้ที่ตลาดผี แม่ทัพภาคท่านนั้นยังกลับมาจากแดนสุขาวดีไม่ถึงสามเดือนเลยใช่มั้ย?”


“เกือบจะสามเดือนแลวขอรับ” คนงานตอบ


“คงจะมาจับคนอีกแล้ว ยังไม่ถึงสามเดือนเลย นี่เป็นรอบที่สี่แล้วกระมัง?” ผู้จัดการร้านถาม


คนงานตอบว่า “ใช่แล้วขอรับ ผู้จัดการร้านช่างความจำดี นี่เป็นรอบที่สี่แล้ว”


ผู้จัดการร้านเดาะลิ้น “แม่ทัพภาคท่านนี้ช่างไม่รู้จักหยุดหย่อน ตอนอยู่ที่ตลาดสวรรค์ก็ทำเอาทั้งไก่ทั้งสุนัขที่ตลาดสวรรค์อยู่ไม่สุข ทำให้คนตระหนกตกใจ ตอนนี้เริ่มมาก่อเรื่องที่ตลาดผีซะแล้ว”


“ผู้จัดการร้าน แล้วตึกศาลาสัตยพรตนี่จะเอายังไงกันแน่ แต่ไหนแต่ไรมาก็ข่มจวนแม่ทัพภาคตลอด ทำไมปล่อยให้จวนแม่ทัพภาคทำเรื่องอย่างนี้ได้?” คนงานแปลกใจ


ผู้จัดการร้านเหล่ตามองมา “ศักยภาพของตึกศาลาสัตยพรตกับอำนาจเบื้องหลังของหนิวโหย่วเต๋อก็เห็นๆ กันอยู่ ยังต้องพูดอีกเหรอ น้ำที่นี่ลึกมาก ตัวละครเล็กๆ อย่างพวกเราไม่รู้สถานการณ์ของเบื้องบนหรอก จะไปมองเข้าใจได้ยังไง สรุปก็คือเทพเซียนข้างบนทะเลาะกัน แต่ตัวละครเล็กๆ ข้างล่างรับเคราะห์…อ้าว ออกมาแล้ว” เขาเชิดคางไปทางโรงเตี๊ยมที่อยู่ฝั่งตรงข้าม


ตรงประตูโรงเตี๊ยม สวีถังหรานที่สวมชุดเกราะสีม่วงทั้งตัวเอามือไขว้หลังเดินวางมาดออกมาแล้ว ไม่ได้ปลอมตัวใดๆ แสดงตัวให้ผู้คนในตลาดผีเห็นอย่างเปิดเผย


กำลังพลกลุ่มที่อยู่ข้างหลังลากตัวผู้ต้องหาสามคนที่โดนซ้อมจนสาหัสปางตายออกมาแล้ว


พอผู้ต้องหาสามคนเผยโฉมหน้า กลุ่มคนที่มามุงดูด้านนอกก็กล่าวอย่างตื่นเต้นประหลาดใจทันที  “รีบมาดูสิ ด้านหลังคือกานกงเจิ้ง นักโทษหลบหนีที่ฆ่าผีหลักเมืองไปเป็นร้อยใช่มั้ย?”


“หึ! หลบหนีมาได้ตั้งหลายปี ครั้งนี้ตกอยู่ในมือตำหนักสวรรค์ต้องตายแน่นอน ผีหลักเมืองถึงแม้จะตำแหน่งต่ำต้อย แต่ถึงยังไงก็ฆ่าขุนนางตำหนักสวรรค์ไปเยอะขนาดนั้น ดีไม่ดีอาจจะโดนแล่เนื้อเถือหนังต่อหน้าฝูงชนก็ได้”


“ได้ยินว่าฮูหยินของกานกงเจิ้งก็ถูกผีหลักเมือง…เฮ้อ!”


“กานกงเจิ้งไม่ได้มีพลังอ่อนแอนะ จะโดนจับกุมง่ายขนาดนี้เลยเหรอ? ทั้งยังจับรวดเดียวสามคน หลังจากจวนแม่ทัพภาคเป็นกำลังพลชุดใหม่ ก็เปลี่ยนไปเยอะมากจริงๆ!”


“เจ้าจะเข้าใจอะไรล่ะ การเปลี่ยนคนรอบนี้ไม่ธรรมดานะ ได้ยินว่าอ๋องสวรรค์โค่วส่งแรงสนับสนุนมาให้ลูกเขยด้วยตัวเอง จะเลือกคนแย่ๆ มาได้เหรอ?”


คนที่ไม่รู้สถานการณ์ของเบื้องบนมีจำนวนเยอะมาก ส่วนคนรู้สถานการณ์เบื้องลึกที่ยืนดูอยู่เงียบๆ พอได้ยินบทสนทนาของพวกนี้ก็แอบส่ายหน้า เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ต้องหาพวกนี้ตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตตั้งนานแล้ว แต่ส่งให้หนิวโหย่วเต๋อสร้างผลงานไปเปล่าๆ ถ้าไม่มีตึกศาลาสัตยพรตคอยช่วย อย่าว่าแต่คนที่อ๋องสวรรค์โค่วส่งมาเลย ต่อให้เป็นอ๋องสวรรค์โค่วมาด้วยตัวเองแต่ก็อาจจะจับไม่ได้อยู่ดี


เหมียวอี้สั่งว่าหลังจากจับผู้ร้ายได้แล้วให้พาเดินในตลาด กับเรื่องโอ้อวดบารมีแบบนี้ สวีถังหรานย่อมไม่ขัดข้องอะไรอยู่แล้ว ต้องทำให้พวกเพื่อนร่วมงานในตลาดสวรรค์ที่เคยดูถูกเขาได้เห็นสักหน่อย ดูไว้ซะว่าทุกวันนี้สวีเที่ยวใช้อำนาจบาตรใหญ่ที่ตลาดผีอย่างไร! ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็คิดว่ายิ่งก่อเรื่องให้สะดุดตามากเท่าไรก็ยิ่งดี เหมือนกับหลักการที่เขาบอกเสวี่ยหลิงหลงไว้


ผู้ร้ายหลบหนีติดกับดัก หลายคนที่อยู่ข้างหน้าเบิกทางให้ ผู้ร้ายหลบหนีที่อยู่ข้างหลังถูกลากให้เดิน สวีถังหรานที่เป็นผู้คุมสถานการณ์เอามือไขว้หลังยืดอกเชิดหน้าเดินอยู่ท่ามกลางสายตาฝูงชน ในขณะที่รู้สึกภาคภูมิใจ ดวงตาเรียวเล็กก็มองไปรอบๆ อย่างดุร้ายราวกับเหยี่ยว เผยให้เห็นความโฉดชั่วทมิฬ


สิ่งที่อยู่ภายนอกมีไว้แสดงให้คนดู แต่ในใจกลับรู้จักตัวเองดี เพราะมีผู้ร้ายหลบหนีมาติดกับดักอีกแล้ว จะไม่ให้เขาดีใจไม่ได้หรอก ครั้งนี้จับกุมได้เป็นครั้งที่สี่แล้ว ครั้งแรกได้รางวัล ครั้งที่สองก็ยังได้รางวัล ครั้งที่สามได้เลื่อนยศหนึ่งขั้น ครั้งที่สี่ยังไม่รู้เลยว่าจะได้อะไร เคยเห็นคนสร้างผลงานมาก่อน แต่ก็เคยเห็นการสร้างผลงานแบบนี้เลย


ประเด็นสำคัญคือเป็นการสร้างผลงานที่ผ่อนคลายมาก ท่านแม่ทัพภาคระบุสถานที่ให้ ส่วนเขาก็รีบพาคนบุกเข้าไป ผู้ร้ายหลบหนีที่อยู่ในจุดหมายถูกควบคุมตัวไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ต้องเปลืองแรงเลยสักนิด แค่หิ้วตัวมาเลยก็สิ้นเรื่อง ไม่มีอันตรายใดๆ เลย เรียกได้ว่านอนสร้างผลงาน ขนาดสวีถังหรานยังรู้สึกเลยว่าเรื่องนี้เกินจริงไปหน่อย


ส่วนเหมียวอี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ยศกระโดดขึ้นไปทีละขั้นทีละขั้น และเหมียวอี้ก็ไม่สนด้วยว่าเบื้องหลังจะตกลงแลกเปลี่ยนอะไรกัน โอกาสแบบนี้หาได้ยาก ขอเพียงจับตัวผู้ร้ายหลบหนีให้ได้ แล้วก็นำลูกน้องรายงานผลงานขึ้นไปด้วยกัน เขาต้องฉวยโอกาสดึงหญ้าตีกระตาย เลื่อนยศลูกน้องคนสนิทขึ้นมาด้วยกัน ทุกครั้งที่มีผลงานก็จะพ่วงเหยียนซิว หยางเจาชิงและพวกสวีถังหรานไปด้วย


แม้แต่คนที่ตระกูลโค่วส่งมาที่ตลาดผีก็ได้อาศัยบารมีไปด้วย เหมียวอี้สลับหมุนเวียนรายงานผลงานของทุกคนขึ้นไป ด้งนั้นช่วงนี้แต่ละคนในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีจึงฮึกเหิมเต็มเปี่ยม ทุกคนพบหน้ากันด้วยความร่าเริง คนเราพบเจอเรื่องน่ายินดีก็ย่อมอารมณ์ดี ตอนหลังพบว่ายังสร้างผลงานได้ด้วย ช่างเหมือนการละเล่นของเด็กเสียจริง พวกเขาย่อมเข้าใจเช่นกันว่าได้อาศัยบารมีใคร ดังนั้นเมื่อเห็นเหมียวอี้ก็ล้วนแสดงความเคารพนอบน้อม


ส่วนลับลมคมในที่อยู่ในนั้น ก็ไม่ต้องพูดถึงว่าทุกคนคือคนที่ตระกูลโค่วคัดเลือกมา เมื่อเรื่องราวเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตัวเอง ก็ย่อมไม่มีใครพูดซี้ซั้วจนทำลายเรื่องราวดีๆ ของตัวเอง ท่านแม่ทัพภาคสั่งให้พูดอย่างไร ทุกคนแค่พูดไปตามนั้นก็พอ


จวนแม่ทัพภาคตลาดผีอยู่ในสังกัดของตำหนักนารีสวรรค์โดยตรง คนนอกยื่นมือเข้ามาแทรกไม่ได้ ด้านหนึ่งมีตระกูลเซี่ยโห้วแอบส่งผลงานให้ อีกด้านหนึ่งมีราชินีสวรรค์ที่รู้อยู่แก่ใจคอยแกล้งปิดตาข้างเดียวให้ กอปรกับราชินีสวรรค์เพิ่งตั้งครรภ์โอรสสวรรค์พอดี ไม่ว่าจะเป็นพลังอำนาจหรือสถานการณ์ก็ล้วนอยู่ในช่วงที่คึกคักมีชีวิตชีวา เมื่อท้องยื่นอยู่ตรงหน้าราชันสวรรค์ แม้แต่ราชันสวรรค์ที่ได้ลิ้มรสการมีโอรสเป็นครั้งแรกก็ยังต้องลูบเคราแกล้งโง่ ดังนั้นกลุ่มขุนนางระดับสูงของตำหนักสวรรค์จึงทำได้เพียงดูความเคลื่อนไหวของตลาดผีเฉยๆ มองดูพวกกลุ่มทหารตัวเล็กตัวน้อยเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งกันอย่างสำราญบานใจ มองดูเหมือนเป็นเรื่องตลก!


คนที่ตามองเห็นชัดล้วนรู้ดี ว่านี่คือการตอบแทนที่ตระกูลเซี่ยโห้วมอบให้ตระกูลโค่วเป็นครั้งสุดท้าย ต้องการจะช่วยให้หนิวโหย่วเต๋อกลับสู่ตำแหน่งเดิม เมื่อสำเร็จตามเป้าหมายเมื่อไร ระยะเวลาการคุ้มครองที่หนิวโหย่วเต๋อได้รับจากตึกศาลาสัตยพรตก็จะสิ้นสุดลง ดังนั้นทุกคนจึงอดทนรอ ต่อไปได้ถึงคราวที่หนิวโหย่วเต๋อต้องร้องไห้แน่!


“เจ้าหมอนั่นพาผู้ต้องหาเดินเที่ยวอีกแล้วเหรอ?”


เฉาหม่านยืนอยู่ริมหน้าต่าง เอ่ยถามเสียงเรียบในขณะที่ทอดสายตามองผิวทะเลสาบระยิบระยับใต้โคมไฟ


ชีเจวี๋ยที่ยืนรายงานสถานการณ์อยู่ข้างกันพยักหน้าตอบ “ใช่แล้วขอรับ สวีถังหรานลูกน้องเขานำผู้ต้องหาเดินร่อนที่ตลาดผีอีกแล้ว”


เฉาหม่านสีหน้าอึมครึมเล็กน้อย การที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีทำอย่างนี้ ล้วนส่งผลกระทบต่อตลาดผีไม่มากก็น้อย คนที่ไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึกคงจะเคลือบแคลงใจกับการควบคุมตลาดผีของตึกศาลาสัตยพรต จะเพิ่มอิทธิพลให้จวนแม่ทัพภาคที่ตลาดผีอย่างที่ตาเปล่ามองไม่เห็น การกระทำนี้ทำให้ไฟโกรธสุมอยู่ในใจเขารางๆ เขาอยากจะสั่งสอนเหมียวอี้มาก แต่สุดท้ายก็ยังอดทนไว้ ได้แต่แสยะยิ้มบอกว่า “เจ้าหนุ่มนี่ช่างไม่รู้จักประมาณตน! สงสัยจะวางอำนาจบาตรใหญ่ที่ตลาดสวรรค์จนชินแล้ว ทำนิสัยเดิมอีกแล้ว!”


“จะให้บ่างสั่งสอนเขาสักหน่อยหรือไม่ขอรับ?” ชีเจวี๋ยถาม


“เฮอะ!” เฉาหม่านทำเสียงฮึดฮัด “ไม่ต้องแล้ว กระต่ายหางยาวไม่ได้หรอก ปล่อยให้เขาลำพองใจไปอีกสักพัก มิหนำซ้ำเขาก็ลำพองใจไปแล้ว ถ้าไปดักเขากลางทางจะทำให้คนที่รู้สถานการณ์หัวเราะเยาะเอาได้ อำนาจในการควบคุมเล็กน้อยแค่นี้ ตึกศาลาสัตยพรตจะไม่มีเลยเชียวเหรอ?”


“ขอรับ!” ชีเจวี๋ยเอ่ยรับ


จวนอ๋องสวรรค์ ณ ดาวหยกงาม


ในตำหนักใหญ่ มีเพียงโค่วหลิงซวี ถังเฮ่อเหนียนและโค่วเจิง


“หนิวโหย่วเต๋อนำผู้ต้องหาเดินอวดในตลาดผีอีกแล้วเหรอ?” โค่วหลิงซวีที่ฟังรายงานจบแล้วเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ


ถังเฮ่อเหนียนตอบอย่างจนใจเล็กน้อย “ใช่แล้วขอรับ เหมือนกับครั้งก่อนๆ  ท่านเขยทำอย่างนี้เกินไปหน่อยหรือเปล่า หรือว่าจะทำเหมือนตอนที่เคยอยู่ตลาดสวรรค์? บ่างกังวลว่าเขาอาจจะทำให้ตึกศาลาสัตยพรตไม่พอใจ จะต้องเตือนท่านเขยให้สำรวมสักหน่อยมั้ยขอรับ?”


“ข้าจะติดต่อไปคุยกับหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อยแล้วกัน” โค่วเจิงกล่าว


โค่วหลิงซวียกมือขึ้น “ช่างเถอะ! ในเมื่อรับปากแล้วว่าจะปล่อยอำนาจให้เขา ก็ให้เขาทำต่อไปแล้วกัน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็ถือว่าเขาทำตัวเอง แล้วอีกอย่าง ตึกศาลาสัตยพรตก็ไม่ได้มีความเห็นแย้งอะไร แล้วพวกเราจะมีอะไรน่าร้อนใจล่ะ แต่เจ้าเด็กนั่นก็ไม่ค่อยรู้จักประมาณตนจริงๆ!”


วังสวรรค์ ตำหนักดาราจักร


หลังจากฟังซือหม่าเวิ่นเทียนรายงานจบ “หึหึ!” ประมุขชิงก็เลิกคิ้วนิดหน่อย เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในตำหนักใหญ่ “ตึกศาลาสัตยพรตไม่ได้ห้ามเหรอ?”


“ตอนนี้ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรขอรับ” ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบ


ประมุขชิงกล่าวกลั้วหัวเราะ “เจ้าลูกลิงนั่นไม่ค่อยรู้จักประมาณตนเลยนะ ตึกศาลาสัตยพรตกำลังทุ่มหินใส่เท้าตัวเองหรือเปล่า?”


ซ่างกวนชิงที่ยืนอยู่ข้างกายส่ายหน้า “ตึกศาลาสัตยพรตรู้ถึงสถานการณ์ของเขาชัดเจน รู้ว่าเขากำลังดิ้นรนเอาตัวรอด จึงขี้คร้านจะสนใจก็เท่านั้นเอง”


ประมุขชิงหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “แม่ทัพภาคตลาดผีใต้สังกัดข้าทำให้ตึกศาลาสัตยพรตว่าอะไรไม่ได้ ก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่เกิดขึ้นไม่บ่อยเหมือนกัน”


เกาก้วนที่เป็นผู้ริมเริ่มกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าน้อยบอกไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าต่อให้จับหนิวโหย่วเต๋อไปโยนไว้ที่ตลาดผี เขาก็ไม่ทางอยู่สงบๆ หรอก จากที่ข้าน้อยรู้จักเขา ข้าน้อยเดาว่าเขากำลังทดสอบท่าทีของตึกศาลาสัตยพรต ตอนนี้ตึกศาลาสัตยพรตไม่ว่าอะไร ก็เท่ากับช่วยเติมไฟให้เขากำเริบเสิบสาน มีความเป็นไปได้สูงว่าต่อไปเจ้าหนุ่มนั่นจะก่อเรื่องใหญ่กว่านี้ ดูจากนิสัยของเขาตอนอยู่ตลาดสวรรค์ เขาไม่เหมือนคนที่จะยอมปล่อยให้ตัวเองไร้สิทธิ์ไร้เสียงในอาณาเขตตัวเองง่ายๆ หรอกขอรับ”


ประมุขชิงรู้สึกสนใจทันที หันกลับมาถามว่า “หรือเจ้าคิดว่าเขากล้าฉีกหน้าตึกศาลาสัตยพรต?”


เกาก้วนถามเสียงเรียบ “ตึกศาลาสัตยพรตก็เป็นแค่ตระกูลเซี่ยโห้วก็เท่านั้นเอง ตอนที่อยู่ตลาดสวรรค์ เขายังกล้าลงดาบกับคนของผู้มีอำนาจทั้งราชสำนักเลย เจ้าหนุ่มนั่นมีแต่จะต้องลูบตามแนวขนเท่านั้น ถ้าไปลูบย้อนแนวขนเขาเมื่อไร เขาก็ไม่ห่วงแม้กระทั่งชีวิต ยังมีอะไรที่เขาทำไม่ได้อีก หากฝ่าบาทอยากดูอะไรสนุกๆ ก็ลองแอบให้ความช่วยเหลือสักนิดก็ได้ ข้าน้อยเชื่อว่าตลาดผีจะเกิดเรื่องน่าสนุกมากแน่ๆ ขอรับ!”


…………………………


[1] หุ้นตุ้น 混沌 คือสภาวะที่สิ่งต่างๆ ยังปะปนกันอย่างไร้ระเบียบก่อนที่โลกจะถือกำเนิดขึ้น เป็นความเชื่อตามตำนานการสร้างโลกของชาวจีน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)