ลำนำบุปผาพิษ 1644-1649

 บทที่ 1644 ถือกำเนิดใหม่ 1


เธอเคยยืนอยู่ข้างกายเขา คิดว่าเท่าเทียมกับเขาได้ และพยายามทำตัวเองให้คู่ควรกับเขา ที่แท้ทั้งหมดกลับกลายเป็นเพียงภาพลวงตา…


เขาดูแลปฏิบัติต่อเธอเป็นพิเศษเพียงเพราะเธอคือจิตสำนึกของหลานจิ้งเคอ หากสลัดตัวตนนั้นออกไปได้เมื่อใด เธอก็จะเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งในสายตาเขา


เขายืนอยู่ตรงนั้น เว้นระยะห่างระหว่างกันเหมือนระยะห่างระหว่างฟ้าดิน ไม่มีทางมาบรรจบกันได้!


เธอข่มความเศร้าโศกที่กำลังเอ่อล้นในก้นบึ้งหัวใจ กระตุกมุมปากเล็กน้อย “ซีจิ่วไม่เคยคิดเช่นนี้!”


เขามองเธอเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว จะเมตตาต่อเธอได้อย่างไร?


แม้ว่าถูกอำนาจแห่งเทพที่แข็งแกร่งของเขากดเอาไว้ ทว่าเธอยังยืดตัวตรงอย่างสุดความสามารถ มองตรงไปที่ตี้ฝูอี “ข้าขอยืนยันคำเดิม หากจะลงโทษเขาให้ลงโทษข้าก่อน! ข้ายินยอมรับโทษทัณฑ์แทนเขาทั้งหมด!”


“ซีจิ่ว ไม่ได้!” ใบหน้าหลงซือเย่ก็แปรเปลี่ยน


เขาเคยลิ้มรสความทุกข์ทรมานของแดนเพลิงมาแล้ว มนุษย์ไม่อาจทนรับไหวจริงๆ เขาเป็นชายชาตรี ตอนนั้นอยู่ด้านในยังถูกแผดเผาจนตัวหดเกร็งอยู่ตลอดเวลา ผู้หญิงบอบบางอย่างกู้ซีจิ่วจะทนไหวได้อย่างไร?! เขายอมรับไว้เองเสียยังจะดีกว่า!


เขาก้าวไปด้านหน้า “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ โองการนี้ท่านสั่งต่อซือเย่ เป็นซือเย่ที่ทำผิดกฎนี้ เดิมทีซีจิ่วไม่รู้ว่ามีโองการนี้ นางแค่ต้องการสลับร่าง นำร่างเดิมส่งคืนให้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ว่ากันว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายต้องการร่างเดิมของนางไปใช้งานอย่างอื่น นางไม่อยากติดค้างเขาอีก…จึงใช้วิธีการโง่เขลาเบาปัญญาเช่นนี้ให้ซือเย่สลับร่างให้ ไม่ได้มีความคิดชั่วร้ายใด ผู้ไม่รู้ย่อมไม่มีความผิด ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ได้โปรดปล่อยนางไป!”


เทพศักดิ์สิทธิ์หลุบตาลงมองเขา “นี่เจ้ากำลังต่อรองกับเปิ่นจุนอย่างนั้นรึ?”


หลงซือเย่นิ่งอึ้ง


“เจ้ากล้าดีอย่างไร?!”


หน้าผากของหลงซือเย่มีเหงื่อไหลซึม


หลายสิบปีมานี้ เทพศักดิ์สิทธิ์พูดคำไหนคำนั้นมาตลอด แทบจะไม่เหลือที่ว่างให้ผู้ใดโต้แย้ง โองการที่เขาถ่ายทอดลงมาเข้มงวดยิ่งกว่าคำสั่งทางทหาร ต้องปฏิบัติตามเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องถามหาเหตุผล เพียงแค่เขาพูดโทษทัณฑ์ออกมานั่นก็คือคำขาด! ใครหน้าไหนจะกล้าต่อรอง?!


บางครั้งการต่อรองโดยไม่ลืมหูลืมตาก็อาจทำให้โทษทัณฑ์ร้ายแรงมากขึ้น!


เมื่ออยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งอย่างเขา ไม่จำเป็นต้องเป็นกันเอง เข้าถึงได้ง่าย ทุกคนมีเพียงแค่สองคำต่อโองการของเขา…เชื่อฟัง!


ทั้งพื้นที่ภายในหุบเขาเงียบสงัด ทุกคนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ


มีเพียงสุ้มเสียงของเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่ดังขึ้นอย่างเย็นชาเรียบเฉย “หลงซือเย่ เจ้าเป็นถึงสานุศิษย์สวรรค์กลับใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ขาดความยั้งคิด ถูกความรักบดบังตา ไม่คำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม ยังมีคุณสมบัติอะไรจะเป็นสานุศิษย์สวรรค์ได้อีก? ไม่อยากเป็นแล้วกระมัง!”


วาจาเพิ่งจบ คลื่นแสงเจ็ดสีบนฝ่ามือเขาก็ปกคลุมลงมา คุมขังหลงซือเย่ไว้ในทันที…


“ไม่นะ!” กู้ซีจิ่วหน้าถอดสี เรือนกายวาบไหว กระโจนออกไป ฝ่ามือทั้งสองโจมตีคลื่นแสงเจ็ดสีนั้นทันที!


ภายใต้บุ่มบ่ามของเธอ เสียงพายุฟ้าคะนองก่อตัวอย่างแผ่วเบาในฝ่ามือทั้งสอง จู่ๆ เธอก็ปล่อยคลื่นแสงหลากสีสายหนึ่งปะทะกับคลื่นแสงเจ็ดสีที่ตี้ฝูอีปล่อยออกมา สะเทือนจนมันสั่นสะท้าน


ทว่าพละกำลังของเธอสู้ตี้ฝูอีไม่ได้ คลื่นแสงหลากสีที่เธอปล่อยออกไปทั้งหมดแม้จะทรงพลัง ก็ยังคงไม่อาจสั่นคลอนคลื่นแสงที่ตี้ฝูอีส่งออกมาได้ กลับทำให้หลงซือเย่ที่ถูกคลื่นแสงปกคลุมส่งเสียงกรีดร้อง…


“เจ้าลองซัดอีกสักฝ่ามือดูได้!” น้ำเสียงเทพศักดิ์สิทธิ์เย็นชา “เปิ่นจุนกล้ารับประกันเลยว่าเขาจะสิ้นชีพอยู่ด้านในอย่างอนาถ!”


กู้ซีจิ่วตกตะลึง


เธอล่าถอยไปหลายก้าว ใบหน้าซีดขาว เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กจ้อยเช่นนี้ ไม่มีพละกำลังถึงเพียงนี้!


เธอทำให้หลงซือเย่ต้องเดือดร้อนด้วย ทว่าเธอกลับทำสิ่งใดไม่ได้เลย…


————————————————————————————-


บทที่ 1645 ถือกำเนิดใหม่ 2


เธอจ้องมองเทพศักดิ์สิทธิ์ นัยน์ตาราวมีไฟลุกโชน!


และในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้ แสงเจ็ดสีที่หมุนวนรอบหลงซือเย่อยู่จางหายไป ใบหน้าหลงซือเย่ซีดขาว ทรุดลงที่พื้น ไม่รู้ว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้าง เพียงเห็นหยาดเหงื่อที่ไหลลงจากศีรษะเขา


กู้ซีจิ่วแทบจะทรุดลงข้างกายหลงซือเย่ จับชีพจรเขาด้วยนิ้วมือที่สั่นเทา


เห็นได้ชัดว่าหลงซือเย่กำลังอดทนกับความเจ็บปวดแสนสาหัส เหงื่อโซมอาภรณ์ ทว่ายังกลัวว่ากู้ซีจิ่วจะเป็นกังวล จึงยกแขนขึ้นเล็กน้อย ไม่อยากให้เธอสัมผัสโดนตัวเอง “ไม่เป็นไร ฉัน…ไม่เป็นไร…”


“ฉัน…ฉันตรวจดูหน่อย…” เสียงกู้ซีจิ่วแหบแห้งนัก เหมือนกำลังพยายามข่มบางอย่างไว้ “ฉันขอร้อง…ให้ฉันตรวจดูหน่อย…”


ถึงแม้ว่าเธอพยายามควบคุมตัวเอง แต่ร่างกายยังสั่นเทา สีหน้าซีดขาว ดวงตาดับขลับทั้งคู่เบิกกว้างจับจ้องหลงซือเย่ “คุณ…ให้ฉันตรวจดูหน่อย…”


หลงซือเย่ชะงักงัน ในที่สุดก็ไม่หลบเลี่ยงเธออีก


กู้ซีจิ่ววางนิ้วมือจับชีพจรของเขา นิ้วมือเธอเย็นเยือกดุจแท่งน้ำแข็ง ทว่าสีหน้ากลับจริงจังยิ่ง ประหนึ่งเป็นหมอจริงๆ


การไหลเวียนโลหิตภายในร่างกายของหลงซือเย่พลุ่งพล่านอย่างบ้าคลั่ง ความเจ็บปวดทั่วร่างกายคล้ายถูกชำแหละ ทำให้เขาแทบอยากจะนอนขดตัวม้วนไปมาหลายรอบ ทว่าเขากลัวกู้ซีจิ่วจะเป็นกังวลจึงอดทนไว้ตลอด ใบหน้าอดกลั้นความเจ็บปวดไว้สุดชีวิต พลางฝืนยิ้ม “ไม่…ไม่เป็นไร…แค่เจ็บปวดเล็กน้อยเท่านั้นเอง เดี๋ยว…เดี๋ยวก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”


กู้ซีจิ่วจ้องมองเขา ไม่ได้พูดอะไร ปลายนิ้วกลับมีพลังวิญญาณส่งผ่านระหว่างข้อมือ ไหลผ่านไปยังเส้นเลือดของเขา ช่วยให้การไหลเวียนโลหิตที่พลุ่งพล่านสงบลง…


ค่อยยังชั่ว หลังจากผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ในที่สุดชีพจรของเขาก็กลับมาเป็นปกติ ความเจ็บปวดในกายทุเลาลงฮวบฮาบ ความเร็วของเหงื่อที่ไหลหยดในที่สุดก็ช้าลง ใบหน้าที่ซีดเผือดเริ่มกลับเป็นปกติ


สุดท้ายกู้ซีจิ่วหดมือกลับ “ตอนนี้คุณ…รู้สึกยังไงบ้าง?”


หลงซือเย่รับรู้ร่างกายตัวเองเล็กน้อย ดูเหมือนพลังวิญญาณของเขาจะลดลง! เดิมทีอีกไม่นานก็จะทะลวงขั้นสิบแล้ว ตอนนี้ยังไม่ถึงแม้แต่ขั้นเก้า…


ความจริงเขารู้สึกโล่งใจ เขาคิดว่าพลังวิญญาณของตนจะสูญสิ้นไปทั้งหมดเสียอีก…


“ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไร” เขารีบเอ่ยปาก พลังวิญญาณลดลงขั้นหนึ่งถึงแม้จะน่าเสียดาย ทว่าเขายังฝึกฝนกลับมาได้ใหม่ ดีกว่าที่จินตนาการไว้มากนัก


นัยน์ตากู้ซีจิ่วหมองหม่น มองสีหน้าของเขาโดยละเอียดอีกครั้ง พูดงึมงำว่า “พลังวิญญาณของคุณถดถอยลงแล้ว…”


“ถดถอยลงไปเล็กน้อย ไม่เป็นไร”


กู้ซีจิ่วหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งยังยิ้มบางๆ “จะไม่เป็นอะไรได้อย่างไร? ทะลวงขั้นแปดไปขั้นเก้ายากจะตาย…” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้เธอก็ชะงัก ริมฝีปากสั่นเครือ แต่มุมปากยังคงหยักยิ้ม “ฉันทำให้คุณต้องเดือดร้อน ฉันสมควรตายจริงๆ เอาแต่ใจจริงๆ ต่อไปจะไม่ทำแล้ว…”


ยังกล่าวไม่ทันจบ เธอก็กระอักโลหิตออกมา!


เรือนกายไหวเอน เบื้องหน้ามืดมัว ทรุดตัวล้มลงในทันที…


“ซีจิ่ว!”


ภายใต้ความงุนงงเธอได้ยินเสียงตะโกนด้วยความตกใจของหลงซือเย่ ร่างกายเหมือนร่วงเข้าสู่อ้อมกอดของคนผู้หนึ่ง ต่อมาเธอก็ไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว



กู้ซีจิ่วไม่สบายสามวัน ไข้สูงสามวัน และสลบไปแล้วสามวัน


ตลอดเวลาที่สลบไป เธอรู้สึกรางๆ ว่ามีใครบางคนกุมมือเธอแน่น มีใครบางคนพูดจาเจื้อยแจ้วกับเธอ บอกเธอว่าต้องอดทน บอกเธอว่าต้องเข้มแข็ง…


ทำอย่างไรถึงจะอดทนได้เล่า?


เธอเหนื่อยล้ายิ่งนัก…


ความจริงเธอเข้มแข็งมาโดยตลอด ไม่ต่างกับแมลงสาบ ตราบใดที่ยังไม่ตายก็จะสู้ต่อไปไม่หยุด…


ไม่ว่าพบเจอความลำบากยากเข็ญอะไร เธอก็จะคิดหาวิธีฟันฝ่า อันที่จริงเธอเป็นคนมองโลกในแง่ดีมาก


บทที่ 1646 ถือกำเนิดใหม่ 3


อันที่จริงเธอเป็นคนมองโลกในแง่ดีมาก เธอเชื่อมั่นอยู่เสมอว่าบนโลกนี้ไม่มีอุปสรรคใดที่ข้ามผ่านไม่ได้ ยามไม่มีเงิน เธอจะคิดว่า ‘เงินทองช่างหัวมัน ใช้ไปแล้วก็หาใหม่ได้’ เงินทองมากมายสูญไปก็สามารถกลับหาคืนมา…


เมื่อถูกตามล่าสังหาร เธอจะคิดหาทางหลบหนีอย่างเต็มที่ จากนั้นค่อยหาทางเล่นงานกลับ เอาคืนคนที่ตามสังหารตนจนอ่วม ให้อีกฝ่ายได้รู้เสียบ้างว่าใครเป็นใคร!


แม้แต่หลังจากที่ถูกหลงซีทรยศหักหลังทะลุมิติมา เธอก็ยังปรับสภาพให้เข้ากับโหมดการเกิดใหม่ได้อย่างรวดเร็ว จัดการบุรุษเลวทราม สะสางบัญชีแค้นกับพี่สาวและแม่รองตัวร้าย ใช้ชีวิตอย่างมีชีวิตชีวา ไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อย


ทว่าตอนนี้ เธอเหนื่อยเหลือเกิน


เธอรู้สึกเสมอว่าที่ตัวเองทำทั้งหมดมีความหมาย ล้วนถูกต้องเหมาะสม มีคุณก็ทดแทน มีแค้นก็ชำระ ตอนนี้กลับทำสิ่งใดก็ผิดไปหมด


ความรักครั้งนี้ เธอทั้งร่างกายบอบช้ำหัวใจเจ็บปวด อีกทั้งยังทำให้เพื่อนเดือดร้อนไม่อาจย้อนคืน…


เธอผิดไปแล้ว! ผิดมหันต์!


เธอไม่ได้มีพละกำลังแข็งแกร่งขนาดนั้น ยังจะเพ้อฝันเรื่องแทนคุณชำระแค้น…


ตอนสลบเธอฝันร้ายซ้ำไปซ้ำมา เหงื่อไหลซึมบ่อยครั้ง ละเมอเพ้อบ้างเป็นครั้งคราว ถ้อยคำที่พูดอยู่บ่อยๆ ก็คือ ‘ขอโทษ’ ‘ต่อไปจะไม่ทำแล้ว’


ขณะที่สลบไปมีใครบางคนจับมือเธอไว้ แรงบีบมือกระชับแน่นยิ่งนัก จากนั้นมีใครบางคนกระซิบว่า ‘ขอโทษ’ กับเธอ มีบางคนบอกเธอว่าที่ผิดไม่ใช่เธอ แต่เป็นคนอื่น…


ดวงจิตของเธอเดี๋ยวอยู่เดี๋ยวหาย ถ้อยคำกระซิบกระซาบข้างกายเหล่านั้นก็เดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกล ถึงขั้นที่หากไม่เหมือนมีใครกำลังพูดคุยกับเธอ เธอก็จะได้ยินอีกฝ่ายพูดไม่ค่อยชัดเจน


มีใครบางคนบังคับง้างปากเธอให้ดื่มโอสถ มีใครบางคนร้องเพลงเบาๆ ข้างหู มีเสียงพิณเคล้าคลออย่างนุ่มนวล ราวกับมือของแม่ที่ตบเบาๆ บนร่าง คอยปลอบโยนเธอ


และไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ดวงจิตที่ล่องลอยในสภาวะสับสนวุ่นวายมาตลอดของกู้ซีจิ่วค่อยๆ กลับคืนมาในที่สุด


เธอลืมตาขึ้นช้าๆ สิ่งที่เห็นคือหน้าต่างบานสูงวิจิตรบรรจง นอกหน้าต่างสูงมีเงาเลือนรางของกิ่งดอกเหมยบนกระดาษปิดหน้าต่าง หน้าต่างถูกเปิดไว้กึ่งหนึ่ง แสงตะวันยามเย็นสาดส่องเข้ามา เกิดเป็นแสงอุ่นรอนๆ


ในหม้อต้มสีเงินตรงมุมห้องกำลังต้มโอสถเดือดปุดๆ กลิ่นโอสถอบอวลไปทั่วทั้งห้อง


คนผู้หนึ่งยืนหันหลังให้เธอ กำลังใช้ทัพพีไม้ผสมน้ำโอสถในหม้อต้มสีเงิน


คนผู้นั้นสวมอาภรณ์สีเขียวอ่อน รูปร่างสูงสง่า ความงดงามของลักษณะท่าทางควรค่าแก่การเขียนภาพ


เหมือนได้ยินการเคลื่อนไหวบนเตียง คนผู้นั้นหันกายกลับมา นัยน์ตาดำขลับไม่อาจปกปิดความปีติไว้ได้ “ซีจิ่ว ในที่สุดเธอก็ฟื้นแล้ว!”


“ครูฝึกหลง ขอ…”


คนผู้นั้นก็คือหลงซือเย่ คำด้านหลังกู้ซีจิ่วยังไม่ทันได้พูดออกมา เขาก็ทำสัญญาณมือให้เงียบไว้ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องพูดขอโทษอีกแล้ว! สองสามวันนี้ฉันได้ยินสองคำนี้จนหูแทบด้านแล้วล่ะ…”


ในขณะที่คุยกัน โอสถนั้นก็ต้มเสร็จแล้วพอดี เขารินน้ำโอสถชามหนึ่งเต็มๆ ยกมาให้เธอ “ดื่มยาสักหน่อย”


น้ำโอสถร้อนๆ ชามนั้น เมื่อผ่านมือของเขาก็ถูกเขาปรับอุณหภูมิเป็นที่เรียบร้อย เป็นอุณหภูมิที่พอดีไม่ร้อนไม่เย็นจนเกินไป มือขวาของเขายกชามโอสถ ในมือซ้ายยังมีลูกกวาดสองเม็ด “ยานี้ค่อนข้างขม ดื่มแล้วกินลูกกวาดสองเม็ดนี้ดับขมสักหน่อย”


กู้ซีจิ่วไม่ได้พูดจาอันใด รับชามโอสถมาดื่มรวดเดียว


น้ำโอสถขมมากจริงๆ อาจจะขมยิ่งกว่าหวงเหลียนเสียอีก เธอกลับทำเหมือนไม่รับรู้รสอะไร แม้แต่คิ้วก็ไม่ได้ขมวดสักนิด


หลังจากดื่มเสร็จ เธอก็ไม่ได้กินลูกกวาดสองเม็ดนั้น


แววตาหลงซือเย่วาบไหว เธอกลัวการกินของรสขมเสมอมา เวลาป่วยไข้หรือได้รับบาดเจ็บ เธอกินยาลูกกลอนยาเม็ดได้ แต่ไม่กินยาจีน ถึงแม้ยาจีนจะเป็นยาที่รักษาอาการได้ตรงจุดที่สุด เธอก็ไม่ยอมกิน ยามสุดวิสัยที่จำเป็นต้องดื่มยาจีน เธอก็ต้องกินลูกกวาดหลายเม็ดตามเข้าไปเพื่อดับรสขมนั้น


————————————————————————————-


บทที่ 1647 ถือกำเนิดใหม่ 4


เป็นเพราะเรื่องนี้ในอดีตเธอจึงถูกหลงซีขบขันอยู่เสมอ บอกว่าในเรื่องนี้เธอไม่เหมือนนักฆ่าที่สุด


ตอนนั้นเธอตอบเขากลับไปด้วยเหตุผลอย่างเต็มปากว่า ‘นักฆ่าก็เป็นคนเหมือนกัน มีเลือดมีเนื้อเหมือนกัน มีจุดด้อยเล็กๆ น้อยๆ เช่นกัน…’


ตอนนี้ในที่สุดเธอก็เอาชนะ ‘จุดด้อยเล็กๆ น้อยๆ’ ข้อนี้ได้แล้ว…


การกินลูกกวาดมีผลกระทบต่อสรรพคุณของยาอยู่บ้าง ดังนั้นเมื่อเธอไม่กินลูกกวาด หลงซือเย่ก็ไม่ว่าอะไร เพียงแต่รินน้ำมาให้เธออีกถ้วยหนึ่งให้เธอดื่ม


กู้ซีจิ่วมองออกแล้วว่าที่นี่ยังคงเป็นสำนักถามสวรรค์ สถานที่ที่เธอนอนอยู่น่าจะเป็นเรือนรับรองแขกของสำนักถามสวรรค์


หลังจากเธอดื่มน้ำเสร็จ นิ้วมือก็สัมผัสลงบนชีพจรของหลงซือเย่


หลงซือเย่รู้ว่าเธอเป็นห่วงตน ดังนั้นจึงไม่ได้หลบหลีกเช่นกัน ยอมให้เธอจับชีพจร และอธิบายกับเธอไปด้วย “วางใจเถอะ ฉันไม่เป็นไร”


“เขาไม่ได้ลงโทษให้คุณเข้าสู่แดนเพลิงเหรอ?” กู้ซีจิ่วถามคำถามที่ขณะอยู่ในอาการสลบก็ยังคงพะวงถึงข้อนี้อย่างตรงประเด็น วรยุทธ์ของหลงซือเย่ถดถอยลงมาก ถ้ารับโทษเข้าสู่แดนเพลิงอีก เกรงว่าจะทนอุณภูมิสูงของในนั้นไม่ไหว…


ตอนที่เธอฝันร้ายก็ยังฝันว่าเขาอยู่ในแดนเพลิงแห่งนั้นถูกเผาจนมอดไหม้เป็นเถ้าไปแล้ว!


หลงซือเย่ส่ายหน้า “ไม่เลย ดูเหมือนเขาจะมีเรื่องด่วน จากไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”


ยามนั้นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์รีบร้อนจากไปยิ่งนัก ก่อนจะจากไปเอ่ยไว้ว่าทัณฑ์แดนเพลิงลงบัญชีไว้ก่อนชั่วคราว ภายหน้าค่อยว่ากันอีกที พูดจบเขาก็หายวับไปจากจุดเดิมทันทีประหนึ่งภูตผี


กู้ซีจิ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก เห็นทีว่าระหว่างที่ตนสลบอยู่สามวันนี้จะเป็นหลงซือเย่ที่คอยดูแลอยู่ตลอด…


ตนสร้างความเหนื่อยยากแก่เขาแล้ว ซ้ำยังถูกเขาคอยดูแลเอาอกเอาใจเช่นนี้อีก


กู้ซีจิ่วหลุบตามองต่ำ ในใจมีความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้ มีทั้งละอายใจและซาบซึ้งใจ…


เป็นตนที่โมโหโทโสไปชั่วขณะ ไม่มีกำลังอย่างแท้จริง ยังอาจหาญไปต่อกรกับคนผู้นั้นอีก ตนช่างโง่เง่าโดยแท้! โง่เง่าเหนือธรรมดา! วันหน้าจะไม่มีแล้ว! จะไม่มีอีกแล้ว!


เพียงแต่เธอไม่ค่อยเข้าใจเลยว่าเหตุใดครั้งนี้ตี้ฝูอีถึงได้โกรธเกรี้ยวมากถึงเพียงนี้ ในเมื่อเขาก็ยังต้องการจะหาสังขารที่แท้จริงเพื่อคืนชีพให้นางในดวงใจอยู่ และเธอก็มอบให้ด้วยความจริงใจ หากว่าเธอย้ายร่างได้สำเร็จ เขาก็ไม่ต้องเป็นกังวลหาร่างที่เหมาะสมให้แก่หลานจิ้งเคออีกต่อไปแล้ว เป็นเรื่องยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว แล้วเขาโกรธอะไร?


หากว่าเป็นตอนที่ยังไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น กู้ซีจิ่วจะนึกว่าตี้ฝูอีหักใจเห็นวรยุทธ์เธอถดถอยไม่ลง ยังมีความรู้สึกคลุมเครือไม่ชัดเจนกับเธออยู่ ยังเหลือเยื่อใยอยู่


แต่หลังจากเกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ขึ้น เธอก็ไม่กล้าคิดเช่นนี้อีกแล้ว และไม่อยากคิดด้วย!


คนผู้นั้นกระทำการหนึ่งขั้นใคร่ครวญสามตลบ บางทีเรื่องที่ตนทำอาจจะไปกระทบขั้นตอนสำคัญอันใดของเขาเข้า สร้างความวุ่นวายให้แก่แผนการอันใดของเขา ถึงทำให้เขาพิโรธโกรธเคืองขึ้นมา…


ตี้ฝูอี ตี้ฝูอี…


ในอดีตเมื่อนึกถึงนามนี้จะอุ่นซ่านไปทั้งใจ ทว่ายามนี้กลับเหน็บหนาวเข้าไปถึงในกระดูก!


ภายในห้องเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง หลงซือเย่จับชีพจรให้เธออย่างเงียบๆ อีกครั้ง ถึงแม้ชีพจรของเธอจะยังอ่อนแรงอยู่บ้าง แต่ก็คงที่มากแล้ว


ที่สามวันก่อนเธอกระอักเลือดออกมาประการแรกเป็นเพราะเดือดดาลคั่งแค้นเพลิงโทสะผลาญใจ ประการที่สองก็เป็นเพราะอาการตกค้างที่เหลือจากการย้ายร่างไปได้แค่ครึ่งเดียว ผ่านการปรับตัวอยู่สามวัน อาการส่วนใหญ่ของเธอกลับมาเป็นปกติแล้ว


ร่างกายส่วนใหญ่ฟื้นฟูแล้ว แต่ว่าจิตใจล่ะ?


ความเสียหายที่จิตใจของเธอได้รับเหนือล้ำกว่าจุดนี้มาก ระหว่างที่สลบอยู่ในหลายวันมานี้ นอกจากถ้อยคำที่ละเมอเพ้อที่ทำให้คนฟังไม่ออกกระบุงหนึ่งแล้ว ยังคล้ายว่ามีความปรารถนาจะสิ้นชีพอีกด้วย ราวกับไม่มีความหวังในการมีชีวิตอยู่แล้ว


นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เธอไม่ฟื้นขึ้นมาสักทีเช่นกัน ยามนั้นทำให้หลงซือเย่จิตใจกระสับกระส่ายยิ่งนัก เกรงว่าเธอจะหลับใหลไปเช่นนี้ไม่ฟื้นขึ้นมา…


หลงซือเย่เกรงว่าเธอไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว จึงตุ๋นน้ำแกงปลาข้นด้วยตัวเองมาส่งให้เธออีก “ซีจิ่ว มากินอะไรสักหน่อยเถอะ”


กู้ซีจิ่วกลับเป็นสุขดี ไม่ปฏิเสธสักนิดเลย “ได้”


บทที่ 1648 ถือกำเนิดใหม่ 5


รับมาแล้วก้มหน้ากินอยู่ตรงนั้น ไม่มีทีท่าฝืนกินเลยสักนิด น้ำแกงปลาข้นชามหนึ่งถูกกินหมดอย่างรวดเร็วยิ่ง


หลงซือเย่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดูเหมือนเธอไม่คิดอยากตายแล้ว…เช่นนี้ก็ดี!


เขาลอบมองใบหน้าด้านข้างของเธออยู่เงียบๆ รู้สึกอยู่เสมอว่าเธอไม่เหมือนเดิมตรงไหนสักแห่ง


ในไม่ช้า หลงซือเย่ก็พบว่ากู้ซีจิ่วไม่เหมือนเดิมมากขึ้นไปอีก


หนนี้ตอนที่เธอมาหาเขา ถึงแม้จะยิ้มอยู่ แต่คนที่มีสายตาเฉียบแหลมมองแวบเดียวก็ดูออกแล้วว่าเธอกำลังฝืนยิ้มอยู่ คิดจะปล่อยวางความรักนั้นไปทว่ากลับปล่อยวางไม่ลง ติดอยู่ในวังวนนั้นออกมาไม่ได้


หลังจากอาการไข้หนักครั้งนี้ผ่านพ้นไป เธอก็เหมือนหงส์เพลิงที่ถือกำเนิดใหม่แล้ว เธอเริ่มทำงานและพักผ่อนตามปกติ ฝึกฝนวรยุทธ์ตามปกติ ถกเรื่องเคล็ดต่างๆ กับเขาตามปกติ ถึงขั้นที่เริ่มเปิดเตาหลอมโอสถแล้วด้วย ซ้ำยังหลอมได้โอสถระดับแปด! ต้องทราบก่อนว่าการมีจิตใจวอกแวกฟุ้งซ่านยามหลอมโอสถเป็นเรื่องต้องห้ามที่สุด โอสถที่หลอมได้บ้างก็เป็นโอสถไร้ค่า บ้างก็กลายเป็นโอสถระดับต่ำที่สุด


เธอสามารถหลอมโอสถระดับแปดออกมาได้ เป็นการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าในที่สุดเธอจิตใจของเธอก็สงบนิ่งไม่วอกแวก ก้าวออกจากหล่มรักแห่งนั้นได้แล้ว


แววตาเธอแจ่มใส น้ำเสียงปลอดโปร่ง กระทำการเฉียบขาดรอบคอบยิ่งกว่าเดิม คล่องแคล่วหมดจด เหมือนหอยทากที่เดิมทีแบกรับน้ำหนักของเปลือกหอยอันหนักอึ้งเอาไว้ ในที่สุดเธอก็ได้โยนเปลือกหอยที่เป็นแหล่งพำนักทว่าจำกัดขอบเขตการใช้ชีวิตไว้ทิ้งไปแล้ว หนทางแห่งชีวิตส่องสว่างขึ้นใหม่


การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ของเธอทำให้หลงซือเย่ปีติยิ่งนัก โล่งใจอย่างแท้จริง


ซีจิ่วที่เป็นแบบนี้สิถึงจะใช่เด็กสาวคนนั้นที่เขาคุ้นเคย!


แต่ผู้ใดเล่าจะทราบว่าแท้จริงแล้วการเปลี่ยนแปลงมาสู่จุดนี้ของเธอต้องจ่ายอะไรไปบ้าง?!


หลังจากกู้ซีจิ่วฟื้นขึ้นมา ก็รั้งอยู่ที่สำนักถามสวรรค์อีกสองวัน วันที่สามถึงได้กลับไปยังจวนทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดิน


โชคดีที่ระยะนี้กู้ซีจิ่วแวบหายไปอยู่บ่อยๆ กู้เซี่ยเทียนจึงไม่แปลกใจกับการหายตัวไปหลายวันนี้ของเธอ มามองดูเธออยู่รอบหนึ่ง เมื่อเห็นว่ายังอยู่ดีก็วางใจแล้ว


อย่างไรก็ตามกู้ซีจิ่วกลับมาได้แค่วันเดียว กู้เซี่ยเทียนก็สัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงของบุตรสาวได้รางๆ


การบริหารจัดการจวนทูตสวรรค์ค่อนข้างซับซ้อน ประกอบกับสหายเหล่านั้นของเธอก็ติดต่อมาเธอเป็นประจำ ในวันที่เธอกลับมาก็เริ่มจัดการเรื่องเหล่านั้นแล้ว จัดการเรื่องราวได้ทั้งเร็วทั้งดี ยามที่พูดคุยกับสหายก็คุยไปหัวเราะไป ไม่ได้ทึ่มทื่อใจลอยอีก…


ในคืนที่สองหลังจากกู้ซีจิ่วกลับมา ขณะเธอกำลังนั่งสมาธิฝึกฝนวรยุทธ์อยู่ในห้อง จู่ๆ ก็คล้ายจะสัมผัสถึงอะไรได้ จึงลืมตาขึ้นมา


ในห้องนอนของเธอมีคนเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน


อาภรณ์ขาวเกศาขาว สวมหน้ากากสีเงินยวง เผยเพียงดวงเนตรสุกสกาวดั่งดวงดาวคู่หนึ่ง


เป็นตี้ฝูอี….


ไม่สิ เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์หวงถู การแต่งกายเช่นนี้ของเขาเป็นการแต่งกายของเทพศักดิ์สิทธิ์หวงถู


กู้ซีจิ่วลืมตาขึ้นสบตากับเขาอยู่ครู่หนึ่ง ลุกลงไปบนพื้น ค้อมกายกล่าว “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มาเยือน มีเรื่องใดจะสั่งการหรือเจ้าคะ?”


ท่าทีของเธอไม่เย่อหยิ่งไม่ต่ำต้อย สุภาพและห่างเหิน เพียบพร้อมด้วยมารยาท ทำให้คนจับผิดไม่ได้


หวงถูมองนางครู่หนึ่ง ราวกับคิดจะหาเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ จากใบหน้าของนาง แต่กู้ซีจิ่วนิ่งสงบดั่งวารีอยู่เสมอ ภายใต้สายตาชำระล้างของเขา ไม่มีระลอกคลื่นเลยแม้แต่น้อย


“กู้ซีจิ่ว ตอนนี้เจ้าเป็นทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดิน ว่ากันตามเหตุผลแล้วว่ามีหน้าที่บางส่วนที่ต้องรับผิดชอบ การทดสอบสานุศิษย์สวรรค์ในวันพรุ่งนี้ ให้เจ้ามาเป็นผู้รับผิดชอบ”


กู้ซีจิ่วเงยหน้าขึ้น “นี่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ให้ข้ามีศักดิ์เทียมกับสานุศิษย์สวรรค์หรือ?”


สานุศิษย์สวรรค์คนอื่นก็เป็นลูกน้องของเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างรางๆ เช่นกัน อย่างเช่นหลงซือเย่ พวกฮวาอู๋เหยียน ล้วนปฏิบัติตามคำสั่งของเขาเสมอ


“ไม่ เจ้าสูงศักดิ์กว่าสานุศิษย์สวรรค์อยู่บ้าง” หวงถูกล่าว


“ดังนั้นท่านจึงมอบหมายภาระหน้าที่ของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายให้ข้างั้นหรือ? ท่านไม่กลัวว่าข้าจะยึดอำนาจของท่านหรือ?”


“ไม่กลัว ขอเพียงเจ้ามีความสามารถนี้” หวงถูไม่ใส่ใจ


แววเย็นชาวาบผ่านนัยน์ตาของกู้ซีจิ่ว ทว่ายังคงแย้มยิ้มแวบหนึ่ง “ข้าเอ่ยปฏิเสธได้หรือไม่?”


หวงถูจ้องมองนาง “เจ้าสามารถเอ่ยปฏิเสธได้ สำหรับข้าแล้วเจ้ายังคงพิเศษอยู่บ้าง”


————————————————————————————-


บทที่ 1649 ถือกำเนิดใหม่ 6


พิเศษอยู่บ้างงั้นเหรอ?


เหอะๆ!


นึกว่าเธอเป็นของหายากหรือไง?!


รอยยิ้มตรงมุมปากของกู้ซีจิ่วหยักลึกขึ้น “ขอบคุณมาก! ข้าจัดการเรื่องนี้ให้ท่านก็ได้ แต่ก็มีเงื่อนไขเช่นกัน”


“เจ้าเป็นคนแรกที่กล้าเจรจาเงื่อนไขกับเปิ่นจุน เจ้าไม่กลัวเปิ่นจุนจะลงโทษเจ้าหรือ?”


“ไม่กลัว ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็พูดเองนี่ ข้าค่อนข้างพิเศษสำหรับท่านอยู่บ้าง มิใช่หรือ?”


“ฉลาดมาก! ในที่สุดเจ้าก็รู้จักฉกฉวยโอกาสเพื่อหาผลประโยชน์แล้ว เจ้าอยากยื่นเงื่อนไขอะไร? ว่ามาสิ”


“ยกเลิกโทษทัณฑ์แดนเพลิงของหลงซือเย่ แล้วข้าจะรับผิดชอบการทดสอบของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ให้สำเร็จลุล่วงอย่างดี”


นัยน์ตาหวงถูฉายแสงแวบหนึ่ง “หากว่าข้าไม่ตกลงเล่า?”


กู้ซีจิ่วยังคงสงบเยือกเย็น “ข้าก็ยังรับภารกิจการทดสอบของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่เช่นเดิม แต่อย่างไรเสียการทดสอบเช่นนี้ก็เป็นครั้งแรกของข้า รับประกันไม่ได้ว่าจะไม่เกิดข้อผิดพลาดขึ้น ข้ารับประกันได้เพียงว่าจะทำให้ดีที่สุด”


“นี่เจ้ากำลังขู่เปิ่นจุนอยู่หรือ?”


“ไม่หรอกเจ้าค่ะ ข้าพูดไปตามจริง หากว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ตอบรับเงื่อนไขของซีจิ่ว ซีจิ่วก็จะทุ่มเทเพื่อภารกิจของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ให้ถึงที่สุด”


ทำให้ดีที่สุด ทุ่มเทให้ถึงที่สุด ต่างกันเพียงสองคำ แต่ผลลัพธ์กลับต่างกันนับพันลี้


หวงถูมองดูนางครู่หนึ่ง “เปิ่นจุนรับปากเจ้าได้ว่าจะผ่อนปรนทัณฑ์แดนเพลิงของเขาให้เหลือเพียงวันเดียว แต่เจ้าจะต้องปฏิบัติภารกิจนี้ให้ลุล่วงสมบูรณ์ หากเกิดข้อผิดพลาด ทัณฑ์ของหลงซือเย่จะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว!”


ลดโทษจากสามวันเหลือวันเดียว ถึงแม้จะไม่บรรลุผลลัพธ์แบบที่กู้ซีจิ่วต้องการ แต่ก็นับว่าไม่เลวแล้ว


ต้องทราบก่อนว่าในแดนเพลิงนั้น นาทีเดียวก็ทรมานแสนสาหัสแล้ว…


ยามที่หวงถูหันหลังให้ กู้ซีจิ่วเอ่ยถามอีกประโยคหนึ่ง “พักนี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ถ่ายโอนภารกิจทั้งหมดที่ควรเป็นของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาให้ข้า เช่นนี้คือไม่ต้องการฐานะทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแล้วใช่หรือไม่?”


เรือนกายของหวงถูชะงักไปเล็กน้อย ตอบอย่างเฉยเมย “สำหรับตัวตนนั้น เปิ่นจุนเบื่อหน่ายแล้ว” ก่อนหันหลังจากไป


ภายในห้องกลับสู่ความเงียบสงบอย่างที่เคยเป็นอีกครั้ง กู้ซีจิ่วนั่งหลุบตาอยู่ตรงนั้นสักครู่ หัวเราะเบาๆ คราหนึ่ง


เบื่อหน่ายตัวตนนั้นแล้ว…


ดังนั้นจึงละทิ้งตัวตนนั้นไปอย่างไม่ไยดีสักนิดเลยสินะ?


ใช่แล้ว เดิมทีตี้ฝูอีก็เป็นเพียงตัวตนปลอมของเขาเท่านั้น เขามีชีวิตอยู่เนิ่นนานปานนี้ มีตัวตนปลอมนับไม่ถ้วน เมื่อเขาหน่ายแหนงแล้ว ตี้ฝูอีเพียงคนเดียวไยจะโยนทิ้งไม่ได้เล่า?


แน่นอนว่าคนเหล่านั้นเรื่องราวเหล่านั้นที่ตี้ฝูอีประสบพบพานมาก็จะถูกโยนทิ้งไปพร้อมกับตัวตนนี้ด้วย ไม่อาลัยไยดีเลย…


เทพก็ช่างสมกับเป็นเทพโดยแท้


ไร้ใจไร้อาวรณ์ ไร้ห่วงยิ่งกว่าพุทธองค์เสียอีก


เธอส่ายหัวเล็กน้อย ไม่คิดเรื่องพวกนี้อีกต่อไป หยิบม้วนตำราว่าด้วยการทดสอบสานุศิษย์สวรรค์ม้วนนั้นออกมา ศึกษาดูอย่างละเอียด


เธอต้องทำให้สำเร็จ! เพื่อเพื่อนของเธอ! เพื่อผู้คนที่เธออยากปกป้องเหล่านั้น…


….


วันที่ยี่สิบเดือนอ้าย


อากาศแจ่มใส สายลมโชยแผ่ว เหมาะสำหรับเซ่นไว้ทำพิธี เหมาะสำหรับลงหลักปักฐาน


หลังจากผ่านไปนานหลายปี แท่นเบิกสวรรค์ก็เปิดใช้งานอีกครั้ง


ครั้งล่าสุดที่เปิดใช้งานคือเมื่อสิบปีก่อน ครานั้นเปิดขึ้นเพื่ออวิ๋นชิงหลัว และครั้งก่อนหน้านั้นก็เปิดขึ้นเพื่อกู้ซีจิ่ว


ระยะเวลาระหว่างสองครั้งนั้นไม่ห่างกันเท่าไหร่ ชาวเฟยซิงมากมายยังคงยังคงจดจำการทดสอบสองครั้งนั้นได้อย่างชัดเจน ยามที่นึกขึ้นมาได้ ยังคงเล่าขานให้มิตรสหายบุตรธิดาฟังอยู่เสมอ ยามนี้หลังจากข่าวที่ว่าจะมีการเปิดแท่นเบิกสวรรค์ขึ้นอีกครั้งแพร่ออกไป เหล่าประชาชนจึงตื่นเต้นขึ้นมา!


และยามที่ได้ยินว่าผู้รับผิดชอบในครั้งนี้คือทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินกู้ซีจิ่ว ความตื่นเต้นนี้ก็พุ่งทะยานจนกลายเป็นเดือดพล่าน!


พอเช้าตรู่ ประชาชนก็หอบลูกจูงหลานพยุงผู้เฒ่าผู้แก่มาที่ใต้แท่นเบิกสวรรค์แต่เช้า ยังไม่ถึงเวลาอันควร ใต้แท่นเบิกสวรรค์ก็อุดมไปด้วยคลื่นฝูงชน เหล่าพ่อค้าแม่ขายก็ถือโอกาสมาเร่ขายเมล็ดแตงเอยของกินเล่นอะไรเอยด้วย ครึกครื้นกว่ายามที่กู้ซีจิ่วถูกทดสอบเมื่อปีนั้นหลายเท่า


เด็กหนุ่มชุดดำที่ถูกทดสอบในครั้งนี้มาจากอาณาจักรเจาหยาง นามว่าฮั่วฉีฟาง


หลังจากเขามาถึงอาณาจักนเฟยซิงก็พำนักอยู่ที่จุดพักม้า เดิมทีนึกว่าวันที่สิบห้าเดือนอ้ายก็จะถูกทดสอบแล้ว ผลคือยังต้องรอไปอีกห้าวัน


————————————————————————

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)