คัมภีร์วิถีเซียน 1644-1645
ตอนที่ 1644 ได้ประโยชน์อย่างคาดไม่ถึง
“ไม่เป็นไร พวกเราก็ไม่ได้ล้มเลิกเช่นนี้ หลังจากกลับไปรวมตัวกันคนอื่นแล้ว ก็ไปปิดทางออกไว้ทันที หากคนผู้นี้อยากออกจากเทือกเขามารสีทอง ก็ต้องพบกันอีกแน่” อสูรน้อยลังเลเล็กน้อย แล้วถึงได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจออกมา
เมื่อได้ยินอสูรน้อยกล่าวเช่นนี้ มารอสูรที่เหลือทั้งสี่รวมทั้งมารอสูรหัวงูเหลือมก็ไม่แย้งอะไรอีก ดูเหมือนว่าจะเชื่อฟังอสูรน้อยกระเบื้องเป็นอย่างมาก
ดังนั้นมารวายุจึงก่อตัวขึ้น มารทั้งห้าบินกลับไปทางเดิมทันที
ยามนี้หานลี่ที่บินหนีห่างออกไปเป็นล้านลี้ตั้งนานแล้ว ก็กำลังมองทุกสิ่งรอบๆ ด้านอย่างระมัดระวัง
แม้ว่าจะสลัดพวกที่ไล่ตามมาได้แล้ว แต่สีหน้าของเขาก็ไม่ได้ผ่อนคลายลง กลับขมวดคิ้วมุ่น
เมื่อบินมาได้กว่าครึ่งวัน เขาก็เบี่ยงตัวออกจากทางเดิน คิดจะกลับไปยังทางเขาเทือกเขามารสีทองอีกครั้ง มีเพียงต้องไปทางอื่นแล้ว
หากเป็นเช่นนั้นละก็ ประการแรกไม่คุ้นทาง ประการที่สองอาจจะพบกับมารอสูรตัวอื่น ก็จะยุ่งยากเล็กน้อย
ทว่าเทียบกับมารอสูรระดับสูงนับร้อยพันตัว แน่นอนว่าเขาย่อมยอมเสี่ยง
แน่นอนว่าเรื่องอย่างมารอสูรอาจจะปิดทางเข้าเอาไว้ พลันแวบเข้ามาในหัวของเขา แต่ทันใดนั้นก็โยนทิ้งไปไม่สนใจอะไรอีก
สำหรับเขาแล้วขอแค่ไม่พบมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะใช้ยันต์ชำระพิสุทธิ์หรืออาศัยความเร็วของตนเอง ล้วนสามารถจัดการปัญหาเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย ไม่ได้สนใจเลยสักนิด
ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือไม่รู้ว่าเซียนๆ หนีไปได้อย่างราบรื่นหรือไม่
หากสตรีผู้นี้เพลี่ยงพล้ำไป เกราะมารเหนือฟ้าก็ไม่อาจซ่อมแซมได้ในยามนี้
แต่เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะควบคุมได้ และยิ่งไปกว่านั้นดูจากวิธีการหนีเอาตัวรอดจากมารอสูรก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าจะยังมีฝีมือสำรองอยู่ กว่าครึ่งคงไม่เป็นไร
ส่วนบุรุษแซ่กุยผู้นี้ หานลี่ก็หวังว่าอีกฝ่ายจะเพลี่ยงพล้ำไปในฝูงมารอสูรจะดีกว่า
หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิดเสร็จสิ้น ทันใดนั้นก็ดึงสติกลับมา จับจ้องไปที่การเดินทาง
เห็นเพียงลำแสงหลีกหนีสีเขียวเปล่งแสงเจิดจ้า ความเร็วของสายรุ้งเพิ่มขึ้นสามส่วน หลังจากกะพริบวาบสองสามครั้ง ก็สลายหายไปขอบฟ้า
การเดินทางตามลำพังของหานลี่ในครั้งนี้ ใช้เวลาไปหนึ่งวันหนึ่งคืน
แม้ว่าระหว่างทางจะพบกับมารอสูรระดับต่ำสองสามตัว แต่ถูกมือใหญ่ตะปบออกไป ก็สังหารได้อย่างง่ายดาย ไม่ได้สร้างปัญหาให้เขาเลยสักนิด
เช่นนั้นยามนี้หานลี่บินอยู่เหนือเนินเขาที่ดูเตี้ยๆ ไอมารสีดำด้านล่างหมุนวนจนแทบจะกลืนกินกว่าครึ่งของเนินเขาไป มองเห็นเพียงภูเขาสูงไม่ถึงร้อยจั้ง ด้านล่างเป็นสีดำสนิทปรากฏขึ้นรางๆ
เสียง “ตูม” ดังสนั่นขึ้น ฉับพลันนั้นก็ดังมาจากกลางอากาศอีกข้างหนึ่ง สั่นสะเทือนอากาศจนเกิดเป็นเสียงดังหึ่งๆ
หานลี่ที่แต่เดิมกำลังเร่งเดินทางพลันตกตะลึง ลำแสงสีเขียวสว่างวาบ ลำแสงหลีกหนีหยุดชะงักลง และหันหน้าไปมองทางต้นเสียงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เห็นเพียงกลางท้องฟ้าไม่ไกลออกไป ถูกเมฆาเพลิงสีแดงสดอาบย้อมเอาไว้ และในเมฆสีเพลิง ดวงแสงเพลิงสีขาวที่แผดเผาก็ปรากฏออกมา จากนั้นก็หมุนวนแล้วระเบิดออก กลายเป็นเปลวเพลิงประหลาดสีแดงสด
เสียงตูมๆ อึกทึกดังขึ้นอย่างต่อเนื่องราวกับไม่มีที่สิ้นสุดอย่างไรอย่างนั้น
หางตาของหานลี่กระตุก
แม้จะไม่รู้ว่าทางนั้นเกิดอะไรขึ้น แต่เสียงนี้ก็น่าตกตะลึงจริงๆ ไม่มีทางเป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาธรรมดาๆ สร้างขึ้นแน่
ทว่าแววตาของหานลี่พลันเปล่งแสงสีฟ้าสองสามครั้ง หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ลำแสงหลีกหนีก็บินไปตามทางที่วางไว้เช่นเดิม ความเร็วเพิ่มขึ้นกว่าเดิมสามเท่า
คาดไม่ถึงว่าเขาจะมีท่าทางไม่อยากมีปัญหาเพิ่ม
เดิมทีหานลี่ก็คิดเช่นนี้จริงๆ
การเข้ามาในเทือกเขามารสีทองของเขาในครั้งนี้ได้ประโยชน์ไปไม่น้อยจริงๆ ตอนนี้แค่อยากออกจากที่นี่ ส่วนเรื่องเสี่ยงๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นนั้น ก็ไม่สนใจเลยสักกระผีก
แต่หานลี่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าตนที่ไม่อยากก่อปัญหา จะมีปัญหาเข้ามาถึงที่
สายรุ้งสีเขียวบินไปได้สองสามร้อยจั้ง ฉับพลันนั้นทางเมฆสีเพลิงที่หมุนวนก็มีลำแสงสว่างวาบ ชั่วครู่ก็มีลำแสงหลีกหนีบินออกมาสี่สาย
เบื้องหน้ามีลำแสงสีม่วงหมุนวน เจิดจ้าจนแสบตา กะพริบเรืองๆ คาดไม่ถึงว่าจะพุ่งมายังทิศทางที่หานลี่หนีไป
ลำแสงหลีกหนีสามสายที่อยู่ด้านหลัง มีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ นอกจากนี้เป็นลำแสงสีเงินระยิบระยับ และสีแดงสดราวกับโลหิต แม้ว่าความเร็วจะด้อยกว่าลำแสงสีม่วงขั้นหนึ่ง แต่ก็ทำให้ผู้ที่ได้ยินตกตะลึง เสียงแหวกผ่านอากาศดังมา แค่กะพริบวาบก็อยู่ห่างจากหานลี่ไปไม่ถึงร้อยจั้งเศษ
หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้ ยามนั้นไม่รู้ว่าควรจะหลบหลีกในทันที หรือว่าเข้าปะทะกันแน่
ทว่าเขาชะงักแค่ชั่ววินาที ทันใดนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเทาชั้นหนึ่งพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าอย่างไร้สุ้มเสียง จากนั้นใต้ฝ่าเท้าพลันมีเสียงไพเราะดังขึ้น กระบี่เล่มเล็กสีเขียวพลันปรากฏขึ้นจำนวนนับไม่ถ้วน หมุนวนเล็กน้อยแล้วกลายเป็นดอกบัวสีเขียวดอกหนึ่ง กลีบดอกบานออกอย่างช้าๆ
และในเวลาเดียวกันดวงตาของหานลี่พลันมีแสงสีฟ้าสว่างวาบ มองเห็นสิ่งที่อยู่ในลำแสงสีม่วงซึ่งกำลังพุ่งเข้ามาอย่างชัดเจน ผลคือสีหน้าพลันเปลี่ยนสีเป็นแปลกประหลาดยิ่ง
เห็นเพียงในลำแสงสีม่วงคือใบหน้าสีเขียวมรกต สองมือสองขาล้วนเป็นเหมือนหนวดประหลาดสีม่วง สูงสองจั้ง ใบหน้าราบเรียบ และยิ่งไปกว่านั้นยังแข็งทื่อ สวมเกราะสงครามสีเหลืองที่ดูราวกับต้นไม้แห้ง ผิวของมันมีอักขระสีม่วงหมุนวน และมีกลิ่นหอมของยาโชยมาจางๆ
“เห็ดเซียน!” หานลี่ที่เคยเห็นภาพเหมือนในคัมภีร์มาแล้ว แทบจะนึกออกได้ในทันที จึงรู้สึกตกตะลึงระคนดีใจไม่ได้
แม้ว่าเขาจะไม่ได้นึกถึงสิ่งนี้มาก่อน แต่หากเจ้าสิ่งนี้มาหาถึงที่ แน่นอนว่าย่อมเป็นอีกเรื่องแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นดูจากแขนขาทั้งสี่ที่ยังไม่สมบูรณ์ของเห็ดเซียน เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บยังไม่ฟื้นฟูกลับมาเดิมดัง ก็ถูกคนอื่นพบเข้า ถึงได้หนีเตลิดเช่นนี้
ความคิดของหานลี่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็ตัดสินใจ แม้กระทั่งไม่สนใจลำแสงหลีกหนีสองสามสายที่อยู่ด้านหลัง
มือหนึ่งตะปบออกไป ม่านลำแสงสีเทาเข้มม้วนวนกลายเป็นมือยักษ์สีเทา ตะปบลำแสงสีม่วงที่อยู่ใกล้เคียงเอาไว้
เห็ดเซียนที่อยู่ในลำแสงสีม่วงเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ พลันมีสีหน้าไร้ความรู้สึก แววตาเผยสีหน้าสิ้นหวังออกมา
มองเห็นมือยักษ์สีเทาตะปบออกไป กลับดูเหมือนจะไม่อาจควบคุมลำแสงหลีกหนีของตนเองได้ ยังคงเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งมาหาหานลี่
ผลคือเมื่อมือลำแสงตะปบลงไป เสียง “ปัง” พลันดังขึ้น
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีม่วงพลันสลายออก มือใหญ่ตะปบไปที่เอวของเห็ดเซียน จากนั้นพลันพลิ้วไหว กลายเป็นม่านลำแสงสีเทาม้วนวนกลับมา
คาดไม่ถึงว่ามือของหานลี่จะจับเห็ดเซียนเป็นๆ ไว้ได้ อีกฝ่ายไม่มีแรงขัดขืนเลยสักนิด
ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ เห็ดเซียนถูกหมอกสีเทาที่ปรากฏขึ้นใกล้กับหานลี่แค่คืบรัดเอาไว้อย่างแน่นหนา
หานลี่พลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นพลันรู้สึกดีอกดีใจ สะบัดแขนเสื้ออย่างไม่ต้องขบคิด ชั่วขณะนั้นยันต์วิเศษหลากสีสันสิบกว่าสายก็พุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง
เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น ยันต์วิเศษเหล่านั้นแค่กะพริบวาบ ก็ทยอยกันจมหายเข้าไปในร่างของเห็ดเซียน จากนั้นยันต์วิเศษหลากสีสันพลันปรากฏออกมา แทบจะห่อหุ้มสัตว์เทพตัวนี้เอาไว้ข้างใน
“หยุดนะ”
“รนหาที่ตาย”
เสียงตะโกนอันไพเราะทยอยกันระเบิดออกมาจากลำแสงหลีกหนีสามสายที่อยู่ด้านหลัง เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้เห็นว่าเหยื่อถูกหานลี่จับไป ในใจจะรู้สึกโกรธเกรี้ยวแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว
“เก็บ”
หานลี่กลับไม่สนใจ พลิกฝ่ามืออีกมือหนึ่ง ชั่วขณะนั้นขวดหยกสีเขียวพลันปรากฏขึ้น และอ้าปากตะโกนด้วยเสียงต่ำๆ ออกมา
ชั่วขณะนั้นขวดหยกพลันสั่นเทา ม่านลำแสงสีเขียวสายหนึ่งบินออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วกักเห็ดเซียนเอาไว้ข้างใน
เห็นเพียงลำแสงสว่างวาบ เห็ดเซียนที่เดิมสูงกว่าหานลี่ หดตัวเล็กลงในพริบตา สุดท้ายก็มีขนาดครึ่งฉื่อ และถูกหมอกสีเขียวห่อแล้วดึงเข้าไปในขวด
มือหนึ่งพลิกฝ่ามืออีกครั้ง ขวดเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
ยามนี้ลำแสงหลีกหนีสามสายแทบจะมาถึงพร้อมกัน หลังจากกะพริบวาบสองสามครั้ง ก็เผยร่างออกมาทีละคนๆ ห่างออกไปสามสิบจั้ง ล้อมตนเอาไว้
หานลี่ถึงได้เงยหน้าขึ้นกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าราบเรียบ ท่าทางไม่ผิดปกติเลยแม้แต่น้อย
แม้ว่าเมื่อครู่ยังไม่ทันมองเห็นใบหน้าของคนเหล่านั้นให้ชัดเจน แต่แรงกดบนร่างก็ไม่ใช่ผู้ที่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์แน่นอน ดังนั้นเขาถึงได้มีท่าทีเช่นนี้
“เอ๋ เป็นสหายหาน”
“เป็นเจ้า”
เพราะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ล้วนรวดเร็ว ประกอบกับก่อนหน้านี้หานลี่ได้ใช้ลำแสงเทวะดูดปราณต้านทานเอาไว้ ดังนั้นผู้ที่มาทีหลังจึงได้เห็นใบหน้าของหานลี่ชัดเจน ผลคือเสียงอุทานแหบแห้งที่แตกต่างกันสองเสียงพลันดังออกมา
คนหนึ่งสีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ!
คนหนึ่งกลับมีสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัย!
ส่วนคนสุดท้ายพลันมีลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงเรืองๆ และชูมือทั้งสองขึ้นไปทางหานลี่โดยไม่ปริปาก
ชั่วขณะนั้นลำแสงโลหิตสองสายก็พุ่งออกมาเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นลำแสงสองสายสับมาทางหานลี่
หานลี่พลันมีสีหน้าเคร่งขรึม หมอกลำแสงสีเทาตรงหน้าขยายสูงขึ้นไปสองสามจั้ง และม้วนไปทางด้านหน้า
เสียง “สวบๆ” ดังขึ้น ลำแสงสีโลหิตสองสายกลับไม่ธรรมดา คาดไม่ถึงว่าจะสับหมอกสีเทาออก หมายจะทะลวงผ่านไป
ครู่ต่อมาเงาสีดำก็เปล่งแสงสว่างวาบท่ามกลางหมอกลำแสงสีเทา เงาลวงตาภูเขาสีดำปรากฏขึ้น
ลำแสงสีโลหิตสองสายสับลงมา กลับถูกดีดกลับไปด้วยพลังมหาศาล
จากนั้นลำแสงสีเทารอบด้านพลันผนึกรวมกันกลายเป็นเส้นไหมสีเทาบางๆ จำนวนนับไม่ถ้วน พันรัดลำแสงสีโลหิตเอาไว้
ผลคือยามแรกใบมีดสีโลหิตสองเล่มยังกล้าหาญดุจมังกรวารี แต่จากนั้นเส้นไหมสีเทากลับคลี่คลุมลงมาอย่างหนาแน่น เริ่มแรกยังเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า และลำแสงพลันหม่นแสงคืนรูปเดิม
เป็นกระบี่ยามสีโลหิตสองเล่ม ปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่ลำแสงกลับเจิดจ้ากะพริบไปมาไม่หยุด เผยท่าทีคึกคักเต็มเปี่ยมออกมา
ชั่วพริบตากระบี่เล่มเล็กสองเล่มก็ถูกเส้นไหมสีโลหิตห่อหุ้มเอาไว้ สุดท้ายก็เปล่งเสียงคร่ำครวญไม่อาจดีดดิ้นได้เลยแม้แต่น้อย
ไกลออกไปผู้ที่ถูกลำแสงสีโลหิตห่อหุ้มเอาไว้ถึงได้ตกตะลึง แต่กลับเปล่งเสียงไพเราะอย่างไม่รีบร้อนออกมา
เสียง “ปังๆ” ดังออกมาจากม่านลำแสงสีเทา
กระบี่เล่มเล็กสีโลหิตสองเล่มที่แต่เดิมถูกพันรัดอยู่ พลันระเบิดออกโดยอัตโนมัติ กลายเป็นลำแสงสีโลหิตและสลายหายไปท่ามกลางลำแสงเทวะดูดปราณ
ครู่ต่อมาด้านหน้าผู้ที่ถูกลำแสงโลหิตห่อหุ้มอยู่พลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ลำแสงโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ กระบี่เล่มเล็กสองเล่มปรากฏขึ้น
“กระบี่หลอมสุญตา”
ดวงตาทั้งสองของหานลี่พลันหรี่ลง จ้องเขม็งไปยังเงาร่างคนในลำแสงสีโลหิตที่อยู่ไกลออกไปเขม็ง สีหน้าเคร่งขรึมมาก
ยามนี้พลันมองเห็นใบหน้าของอีกสองคนที่ตอนแรกแค่เหลือบมองไปอย่างชัดเจน
หนึ่งในนั้นหน้าซีดขาว เรือนผมสีเทาขาว อีกคนเรือนผมสีเขียว ท่าทางโหดเ**้ยมมาก
คาดไม่ถึงว่าเป็นชายชราแซ่เยี่ยนและชนต่างเผ่าผมเขียวที่เคยพบหน้าในหออัสนีเมฆา
ตอนที่ 1645 นอกเหนือความคาดหมาย
สองคนนี้เคยเห็นความสามารถที่แท้จริงของหานลี่มาแล้วในวันนั้น ดังนั้นจึงรู้สึกเสียเปรียบผู้ที่อยู่ในลำแสงสีโลหิต แต่กลับไม่ได้ประหลาดใจนัก แต่สายตาที่มองมาหาหานลี่กลับเคร่งขรึมสลับกับสดใส
ส่วนใบหน้าของเงาร่างคนในลำแสงสีโลหิต ภายใต้การจับจ้องของหานลี่ ก็มองเห็นอย่างชัดเจน
กลับเป็นหญิงสาวคิ้วดำขลับปากเรียวบางสวมชุดชาววังสีโลหิตคนหนึ่ง
แม้ว่านางในยามนี้จะเก็บกระบี่บินสองเล่มเอาไว้ ใบหน้างดงามก็เต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึง
เผยให้เห็นความร้ายกาจของลำแสงเทวะดูดปราณเมื่อครู่ ทำให้หญิงสาวผู้นี้ตกใจจนสะดุ้งโหยง รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
ทั้งสามล้อมหานลี่เอาไว้ตรงกลาง ยามนั้นกลับปิดปากเงียบ แต่ก็ไม่มีท่าทีจะปล่อยเขาไปเลยสักนิด
หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันหัวเราะออกมาเบาๆ สายตากวาดมองไปที่ขอบฟ้าที่ไกลออกไป
เห็นเพียงเมฆาเพลิงด้านนี้ยังคงมีเสียงอึกทึกดังขึ้น ดูเหมือนว่าท่าทางจะดุดันกว่าเดิมหลายส่วน แต่ด้านล่างพลันมีคลื่นน้ำสีดำโจมตีไปยังเมฆาเพลิงบ้างเป็นบางครั้งคราว
ทั้งสองดูเหมือนจะเป็นธาตุที่เป็นปฏิปักษ์กัน ภายใต้การโรมรันกันนั้น เสียงระเบิดพลันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ท้องฟ้ากว่าครึ่งสั่นเทาอย่างหนัก ราวกับว่าถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ อย่างไรอย่างนั้น
หานลี่แววตาเปล่งประกาย ความคิดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
“สหายหาน ข้าจำได้ว่าหลานเย่ว์และสหายเข้าเทือกเขาไปด้วยกัน สหายอยู่ที่นี่ไม่ทราบว่าหลานเย่ว์อยู่แถวนี้หรือไม่” หลังจากยืนกรานกันชั่วครู่ ผู้ที่เอ่ยปากออกกลับเป็นชายชราแซ่เยี่ยน
“น่าเสียใจ ก่อนหน้านี้ไม่นานสหายเย่ว์โชคร้ายเจอมืออำมหิต โชคไม่ดีเพลี่ยงพล้ำไปแล้ว” หานลี่ได้ฟังพลันมีสีหน้าเคร่งขรึม จึงเอ่ยอย่างไม่ปิดบัง
“เพลี่ยงพล้ำไปแล้ว สหายบอกได้หรือไม่ว่าผู้ใดเป็นมืออำมหิต?” ชายชราแซ่เยี่ยนพลันตกตะลึง พลางเอ่ยถามอย่างต่อเนื่อง
“ยามที่สหายเย่ว์พบศัตรูนั้นไม่มีคนข้างกาย ข้าน้อยก็ไม่อาจพูดได้แน่ชัด” หานลี่พลันขมวดคิ้วแล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า
“อ๋อ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้” ชายชราแซ่เยี่ยนมีสีหน้าเคร่งขรึม เผยท่าทีไม่เชื่อถือออกมา
หานลี่เห็นเช่นนั้น ในใจจึงอดที่หัวเราะขืนขึ้นมาไม่ได้
ดูแล้วคนผู้นี้คงคิดว่าตนเกี่ยวข้องกับการเพลี่ยงพล้ำของเย่ว์จง
ทว่าเขาและชายชราไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีอะไรกัน แน่นอนว่าจึงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร หลังจากที่กวาดสายตาไปยังคนที่เหลืออีกสองคนแล้วก็เอ่ยถามอย่างราบเรียบ
“ท่าทางของทั้งสามท่านในยามนี้ หรือคิดจะไม่ปล่อยผู้แซ่หานไป?”
“หึ นายท่านรู้แล้วยังถามอีก? ส่งเห็ดเซียนมา เจ้าย่อมไปได้ตลอดเวลา” ชนต่างเผ่าผมสีเขียวแววตาฉายแววเย็นเยียบ พลางเอ่ยถามอย่างโหดเ**้ยม
“เห็ดเซียน? หึๆ สหายที่เหลือทั้งสองก็คิดเช่นนี้หรือ?” หานลี่หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา หันไปถามคนที่เหลือทั้งสอง
ชายชราแซ่เยี่ยนมีสีหน้าเคร่งขรึมไปเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยปากอะไรต่อ แต่แววตาของหญิงสาวในลำแสงสีโลหิตพลันฉายแววเย็นเยียบ แล้วเอ่ยถามอย่างเยือกเย็น
“พวกเราไม่มีเวลาแล้ว เราสามคนลงมือสังหารคนผู้นี้พร้อมกัน แล้วค่อยแบ่งเห็ดเซียนกัน มิเช่นนั้นหากมารจระเข้ตัวนั้นและปีกเหล็กลูกน้องของมันไล่ตามมา ของก็ไม่ได้อยู่ในมือของพวกเราแล้ว”
เอ่ยจบสตรีผู้นั้นก็ถูมือทั้งสองเข้าด้วยกัน ลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ พัดที่มีเปลวเพลิงสีโลหิตห้อมล้อมอยู่ปรากฏขึ้นในมือ
พัดด้ามนี้มีขนาดแค่สองสามฉื่อ แต่ตัวมันกลับเปล่งแสงระยิบระยับ แกะสลักจากหยกขาวบริสุทธิ์ แต่อักขระสีโลหิตที่เรียงตัวกันอย่างหนาแน่นบนพัดพลันเปล่งแสงสีโลหิตเจิดจ้าราวกับเปลวเพลิง ช่างน่าประหลาดใจนัก
“เยี่ยม ได้หนึ่งในสามส่วน ก็ดีมากแล้ว” แม้ว่าชนต่างเผ่าผมสีเขียวจะห้าวหาญ แต่ก็ไม่ใช่คนโง่เขลา จึงตอบรับโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา และยิ่งไปกว่านั้นยังพลิกฝ่ามือเตาใบเล็กที่วิจิตรโบราณปรากฏขึ้นในมือ มันหมุนคว้างแล้วขยายขนาดจนมีขนาดสองสามฉื่อ ลอยนิ่งอยู่เบื้องหน้า
ชายชราแซ่เยี่ยนเห็นคนที่เหลือทั้งสองคนเคลื่อนไหวเช่นนี้ หลังจากลังเลเล็กน้อย ก็กัดฟันสะบัดแขนเสื้อ
ลำแสงสีเงินกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา คาดไม่ถึงว่าจะเป็นตราประทับสีเงินระยิบระยับ
เมื่อบินออกมาก็มีขนาดแค่สองสามชุ่น แต่เมื่อหมุนตัวก็มีขนาดสองสามจั้ง ในเวลาเดียวกันก็มีเสียงวายุอัสนีดังออกมา
ทั้งสามร่วมมือกันสำเร็จ!
หานลี่เห็นเช่นนั้น มุมปากพลันกระตุก ในเวลาเดียวกันก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
ทั้งสามล้วนอยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นสุดยอด ความเร็วไม่ด้อยไปกว่าเขาเท่าใดนัก หากคิดจะหลบหลีกไม่สู้ เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้ วิธีเดียวที่จะสลัดออกไป ก็มีเพียงต้องโจมตีให้พ่ายแพ้หรือสังหารทั้งสามคนเท่านั้น
จุดนี้หลังจากที่เขาลงมือเก็บเห็ดเซียนมาในตอนแรก ก็รู้อยู่ตั้งนานแล้ว
ดังนั้นเมื่อเห็นทั้งสามเคลื่อนไหว เขาก็ทำการโจมตีออกไปก่อนอย่างไม่ร้อนรนโดยไม่รอทั้งสามคน มือหนึ่งพลันกวักไปกลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นเงาลวงตาภูเขาสีดำตรงหน้าลูกนั้นก็แผ่ลำแสงสีเทาเป็นชั้นๆ ออกมากดไปหาชายชรา ยังไม่ทันลดระดับลงมา ภูเขาน้อยที่อยู่ท่ามกลางม่านลำแสงเป็นหมื่นสายก็มีขนาดยี่สิบสามสิบจั้ง กดลงมาอย่างทะมึนทึบ
ชายชราแซ่เยี่ยนพลันตกตะลึง บินถอยออกไปอย่างไม่ต้องขบคิด ในเวลาเดียวกันก็ชี้ไปที่ตราประทับสีเงินด้านหน้าตนเอง
สมบัติชิ้นนี้เปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมา ในเวลาเดียวก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นสองสามเท่า พลางกดลงมายอดเขากลางอากาศ
เสียง “ตูม” ดังสนั่นขึ้น ตีนยอดเขาระเบิดลำแสงเจิดจ้าออกมา
ทั่วทั้งท้องฟ้าสั่นเทา พลังไร้รูปร่างแผ่ออกมาจากจุดที่ทั้งสองปะทะกัน
แม้ว่าตราประทับสีเงินจะเป็นสมบัติที่มีอานุภาพน่าตกตะลึง แต่จะเทียบกับภูเขาเทวะดูดปราณที่ผ่านการหลอมมาสองครั้งได้อย่างไร
แม้ว่าจะแค่ต้านภูเขาเทวะดูดปราณเอาไว้ แต่สุดท้ายก็เปล่งเสียงปริแตกออกมา ไม่อาจต้านทานน้ำหนักที่หนักอึ้งของยอดเขาสีดำได้
ชั่วขณะนั้นยอดเขายักษ์พลันลดระดับลงมาอย่างดุดัน ในเวลาเดียวกันหมอกลำแสงสีเทาผืนใหญ่พลันม้วนออกมา ห่อหุ้มชายชราเอาไว้
ชายชราแซ่เยี่ยนพลันหน้าเปลี่ยนสี อ้าปากออกพ่นผ้าไหมสีขาวนวลออกมา
ชั่วขณะนั้นผ้าไหมพลันพลิ้วไหวแล้วกลายเป็นเมฆาสีขาวลอยอยู่เหนือศีรษะ
ในเวลาเดียวกันใบหน้าของชายชราพลันมีหมอกสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ นิ้วทั้งสิบร่ายไปกลางอากาศไม่หยุด อาคมหลากสีสันจมหายเข้าไปเมฆาเป็นสายๆ
ยอดเขาสีดำร่อนลงมาถึงเมฆสีขาว คาดไม่ถึงว่าจะปะทะกับผ้าไหมอีกผืน พลังกว่าครึ่งถูกกำจัดออกไปอย่างไร้ร่องรอย
หมอกสีขาวนวลสั่นเทา คาดไม่ถึงว่าจะรองยอดเขาเอาไว้
หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันตกตะลึงไปเล็กน้อย
ทว่าช่วงเวลาที่ล่าช้านี้ ชนต่างเผ่าผมสีเขียวและหญิงสาวในลำแสงสีโลหิตกลับลงมือพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย
ชนต่างเผ่าผมสีเขียวอ้าปากออก พ่นไอบริสุทธิ์สีเขียวใส่เตา
เตายักษ์เปล่งเสียงหึ่งๆ ฝาเตาปลิวขึ้นไปบนฟ้า
ครู่ต่อมาหมอกกลุ่มหนึ่งพลันบินออกมาจากเตา สลายตัวออกท้องฟ้ารอบๆ เริ่มเปลี่ยนไป เสียงวายุสีเหลืองอันหนักอึ้งดังขึ้น จากนั้นพลันกลายเป็นมังกรวายุสีเหลืองสองสามตัว กระโจนเข้าไปหาหานลี่
ส่วนหญิงสาวที่อยู่ในลำแสงสีโลหิต พัดสะบัดพัดโลหิตในมือเบาๆ
ชั่วขณะนั้นอักขระบนพัดพลันเปล่งแสงสว่างวาบ เสียง “ฟิ้วๆ” ดังขึ้น เปลวเพลิงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งแสงสว่างวาบออกมาจากตัวพัด พุ่งมาหานลี่อย่างเนืองแน่น
หานลี่มองเห็นเหตุการณ์นี้ ใบหน้ากลับไม่มีความรู้สึกเลยสักนิด แต่กลับพลิกฝ่ามือ
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวพลันเปล่งแสงสว่างวาบ เตาใบเล็กสีเขียวระยิบระยับพลันปรากฏออกมา
เป็นเตานภาสูญของจริง!
อ้าปากออกอีกครั้งพ่นเปลวเพลิงสีเงินออกมา หมุนคว้างแล้วกลายเป็นวิหคสีเงินขนาดสองสามฉื่อ
“ไป”
หานลี่สะบัดแขนเสื้อ เปล่งเสียงตะโกนต่ำๆ ออกมา
เตาใบเล็กสีเขียวสั่นเทา พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ แล้วพลิ้วไหว ฝาเตาสลายหายไป
เสียงหึ่งๆ ดังออกมาจากเตา บนพื้นผิวมีลวดลายอสูรวิหคต่างๆ ล้วนรางเลือนไม่ชัดเจน
ภายใต้ลำแสงสีเขียวที่เปล่งแสงสว่างวาบ เงาลวงตาอสูรยักษ์ปรากฏรอบๆ เตาใบเล็ก จากนั้นก็เปล่งเสียงร้องคำรามแล้วกระโจนออกมา ตรงไปหามังกรวายุสีเหลืองสองสามตัวนั้น
เมื่อทั้งสองปะทะกัน ก็กัดทึ้งกันทันที ยามนั้นไม่อาจแยกแยะฝ่ายใดได้
ส่วนอีกด้านวิหคเพลิงสีเงินกลับสยายปีกทั้งสองข้างออก พุ่งเข้าไปหาดวงแสงเพลิงที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้า
ผิวของดวงแสงเพลิงพลันหมุนวน เป็นสีแดงสด แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่เปลวเพลิงธรรมดา
หญิงสาวสวมชุดชาววังสีโลหิตผู้นั้น ยังมีสีหน้าสงบเยือกเย็น ดูเหมือนว่าจะมั่นใจในอานุภาพของพัดโลหิตในมือเป็นอย่างมาก
แต่ครู่ต่อมาใบหน้าของหญิงสาวพลันมีสีหน้าตกตะลึง
เพราะวิหคเพลิงสีเงินที่แต่เดิมมีขนาดแค่สองสามฉื่อ กำลังจะทะลวงเข้ามาในดวงแสงเพลิง ฉับพลันนั้นกลับเปล่งเสียงร้องอันไพเราะ กระพือปีกทั้งสอง ชั่วขณะนั้นร่างกายกลับดูเหมือนลูกโป่งที่ถูกเป่าลม ขยายขนาดใหญ่ขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
หนึ่งจั้ง สามจั้ง ห้าจั้ง สิบจั้ง….
ชั่วพริบตาร่างกายของวิหคเพลิงสีเงินก็มีขนาดสามสิบจั้ง ขนแต่ละเส้นเป็นสีเงินแซมขาว ในสีขาวยังมีอักขระสีเงินปรากฏขึ้น มองไกลๆ ดูราวกับหงส์สีเงินที่เปล่งแสงระยิบระยับตัวหนึ่ง ทำให้ผู้คนไม่กล้ามองสบตาตรงๆ
หานลี่เห็นฉากนี้ก็ใจเต้น
แม้จะรู้ว่าวิหคเพลิงกลืนวิญญาณกลืนเพลิงเที่ยงแท้ทองดำไปแล้วจะต้องพัฒนา แต่การเปลี่ยนแปลงที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ ก็ยังทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ และยิ่งไปกว่านั้นก็ยังอยู่ในสภาวะที่เพลิงเที่ยงแท้สีทองดำยังหลอมไม่หมดอีกด้วย
ร่างของวิหคเพลิงกลืนวิญญาณมีสติปัญญาของตนเอง จึงไม่ต้องให้หานลี่กระตุ้น มันกระพือปีกไปด้านหน้าทันที
ขนสีเงินบนปีกพุ่งออกไปเป็นเส้นๆ ในทันที มองจากไกลๆ ราวกับคันธนูสีเงินพุ่งออกไปจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างไรอย่างนั้น และเปล่งแสงสว่างวาบ ทยอยกันทะลวงผ่านดวงแสงเพลิงสีโลหิตทุกลูกไปอย่างแม่นยำ
เสียง “ปังๆ” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่หยุด
ผิวของดวงแสงเหล่านั้นเว้านูนเปลี่ยนรูปไม่แน่นอน และทยอยกันระเบิดออก กลายเป็นเปลวเพลิงโลหิตแล้วสลายออก
หญิงสาวในลำแสงสีโลหิตพลันตกตะลึงระคนโกรธแค้น แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นกับทำอะไรไม่ถูก โยนพัดโลหิตในมือออกไป อีกมือหนึ่งกลับร่ายอาคม ชี้ไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ เสาลำแสงสีโลหิตสายหนึ่งพ่นออกมาจากปลายนิ้ว และเปล่งแสงสว่างวาบพลางจมหายไปในพัดสีโลหิตอย่างไร้ร่องรอย
อักขระบนพัดหมุนวนอย่างรุนแรง กลายเป็นลวดลายประหลาดที่ดูเหมือนเขตอาคมอย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนแปลงไปมาไม่แน่นอน
ชั่วขณะนั้นเปลวเพลิงโลหิตที่แผ่ออกมารอบด้านพลันเปล่งแสงสว่างวาบ พุ่งไปทิศทางเดียวกัน ดูเหมือนว่าจะรวมตัวกันอีกครั้งอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าในตอนนั้นเองพวกที่ถูกขนนกสีเงินทะลวงผ่านพลันเกิดการเผาไหม้ และกลายเป็นเพลิงสีเงินขนาดเท่ากำปั้นหลายดวง
ดวงแสงสีเงินเหล่านั้นพลันสั่นเทา พุ่งแหวกอากาศไป ทยอยกันพุ่งไปหาเปลวเพลิงสีโลหิตที่ตกลงมาเหล่านั้น
ผลคือเปลวเพลิงโลหิตที่ถูกเพลิงสีเงินชนเข้าพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายไปอย่างไร้สุ้มเสียง ถูกเปลวเพลิงสีเงินกลืนกินอย่างรวดเร็ว ไม่มีแรงจะต้านทานเลยแม้แต่น้อย
ชั่วพริบตานั้นเปลวเพลิงสีโลหิตที่เริงระบำอยู่ทั่วทั้งท้องฟ้า ก็สลายหายไปกว่าครึ่ง
หญิงสาวในลำแสงสีโลหิตเห็นสถานการณ์เช่นนั้น พลันหน้าซีดเผือดไร้สีโลหิต
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น