ข้ามกาลบันดาลรัก 164.2-165.2
ตอนที่ 164-2 คุยเรื่องแต่งงาน
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบเงินสิบตำลึงออกมา แอบมอบให้กุนซือ พูดว่า “เรื่องในวันนี้โชคดีได้ท่านกุนซือบอกข้า เงินเล็กน้อยนี้ท่านรับไว้เถอะ เอากลับไปซื้อเหล้าดื่ม หวังว่าต่อไปหากมีเรื่องอะไรท่านกุนซือจะบอกพวกเราล่วงหน้าก่อน”
กุนซือดีใจยิ่ง ไม่ได้บอกปัด รีบนำเงินใส่ชายเสื้อตัวเอง ยกยิ้มพูด “แน่นอนๆ”
ทั้งสองคนนั่งรถม้ากลับมาถึงบ้าน เมิ่งต้าจินมุ่งหน้าไปสถานที่ปลูกเรือน เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมายังที่ดินร้าง
เมิ่งเสียนที่ได้แต่กลัดกลุ้มว้าวุ่นใจ พอเห็นนางกลับมา รีบเข้าไปถามไถ่ “น้องสาว เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวกระซิบตอบ “พี่ใหญ่ ไม่เป็นอะไร กลับไปข้าค่อยเล่าให้ฟัง”
เมิ่งเสียนจึงไม่เค้นถามอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินวนรอบที่ดินร้าง กลุ่มคนที่มาทำงานต่างร้องทักทายนาง นางขานรับทุกคน แล้วเปล่งเสียงดังพูด “เมื่อครู่ข้าไปที่ศาลาว่าการมา ผู้ว่าการบอกว่าเรื่องในวันนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด ภายหน้าจะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก พวกท่านทำงานอย่างสบายใจ ทำความสะอาดที่ดินให้เสร็จโดยไวเถอะ”
แม้ว่าเมื่อครู่คนทั้งหมดจะได้ยินเจ้าหน้าที่บอกว่าที่ดินผืนนี้ทำรางวัดถูกต้องแล้ว แต่พอเห็นเมิ่งต้าจินและเมิ่งเชี่ยนโยวออกไปพร้อมกุนซือ หัวใจก็ยังเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ กลัวงานที่เพิ่งได้ทำจะหลุดลอย ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ ในที่สุดก็วางใจลง เร่งมือทำงานอย่างแข็งขัน
พวกอู๋ต้าทั้งห้าคนและพวกจางมู่อีกห้าคนก็ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาข้างพวกเขาพูดว่า “นับแต่พรุ่งนี้ไป ให้พวกเจ้าสิบคนมารวมตัวกันที่หน้าประตูบ้านข้ายามเฉิน[1]ปลายทุกวัน ข้ามีเรื่องจะให้พวกเจ้าทำ จำไว้ ห้ามมาสาย”
ทั้งสิบคนพยักหน้าขานรับคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังเดินออกไป
หลี่หลิ่วเห็นนางไปไกลแล้ว ถึงยื่นหน้าไปกระซิบถามอู๋ต้า “พี่ใหญ่ ท่านว่านายหญิงจะให้พวกเราทำอะไร?”
อู๋ต้าขมวดคิ้วมุ่น ส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้”
จางซานตกใจถาม “นายหญิงจะให้พวกเราไปตัดฟืนบนเขาหรือเปล่า?”
อู๋ต้าตบกลางกระหม่อมเขา “มีสมองบ้างไหม ตอนนี้โรงงานปิดแล้ว นายหญิงจะเอาฟืนไปทำอะไรอีก?”
จางซานลูบศีรษะที่เจ็บตุ๊บๆ พูดว่า “ก็จริง”
โจวอู่หยั่งเชิงพูดขึ้น “นายหญิง จะลงโทษพวกเราหรือเปล่า”
หลี่ลิ่วพูดแย้ง “เป็นไปไม่ได้ ช่วงเวลานี้พวกเราไม่ได้ทำผิดอะไร?”
ซุนเอ้อไม่เข้าใจ “เช่นนั้นเป็นเรื่องอะไรกันแน่?”
อู๋ต้าถลึงตาใส่คนทั้งหมด “จะเรื่องอะไรเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็รู้เอง พวกเจ้ายังไม่รีบทำงาน ถ้านายหญิงมาเห็นพวกเราซุบๆ ซิบๆ กัน ไม่แน่ว่าไม่ต้องให้ถึงพรุ่งนี้พวกเราก็จะถูกลงโทษก่อน”
ทั้งสี่คนได้ยินคอหัวหด รีบลงมือทำงาน
หลังจากเดินวนรอบที่ดิน เมิ่งเชี่ยนโยวก็กลับมาขึ้นรถม้า สั่งการเหวินเปียวกลับบ้าน ทั้งพูดกับเขาว่า “เจ้าไปบอกเหวินหู่ นับแต่วันพรุ่งนี้ไป ข้าหาคนมาจำนวนหนึ่ง ให้เขาช่วยฝึกสอนพวกเขาหน่อย ช่วงเริ่มต้นไม่เรียกร้องสูง ให้พวกเขาวิ่งรอบภูเขาลูกใหญ่ตรงหน้าวันละห้ารอบก่อน รอจนพวกเขามีพละกำลังพร้อมแล้ว ค่อยสอนกระบวนท่าพื้นฐานให้พวกเขา”
เหวินเปียวรับคำอย่างนอบน้อม
เช้าวันถัดมา ทั้งสิบคนมาที่หน้าประตูใหญ่ตรงตามเวลา เมิ่งเชี่ยนโยวและเหวินหู่รออยู่หน้าประตูแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกพวกเราเรื่องที่จะฝึกสอนพวกเขา ทั้งสิบคนร้องโหยหวนฉับพลัน
เมิ่งเชี่ยนโยวมองพวกเขาเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มแวบหนึ่ง ทั้งสิบคนหุบปากสนิททันที ยืนยืดตัวตรงอย่างเชื่อฟัง
ตอนเหวินหู่อยู่ในสำนักคุ้มภัย ยามว่างจะฝึกสอนลูกศิษย์ในสำนักคุ้มภัย ย่อมรู้ว่าจะต้องฝึกสอนพวกเขาอย่างไร พลันชักสีหน้าเข้ม ออกคำสั่งพวกเขา “ตอนนี้ ให้ทุกคนวิ่งให้เสร็จในหนึ่งชั่วยาม หากใครวิ่งไม่เสร็จ ห้ามกินอาหารเช้า”
เบื้องหน้ามีเมิ่งเชี่ยนโยวจ้องเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อพวกเขา เบื้องหลังถ้าวิ่งไม่เสร็จจะไม่ได้กินอาหารเช้า พวกอู๋ต้าขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน วิ่งควบตรงไปยังภูเขาใหญ่ตรงหน้า เหวินหู่ตามไปร้องห้ามพวกเขา “เริ่มต้นอย่าเพิ่งวิ่งเร็วเช่นนั้น ภายหลังจะหมดเรี่ยวแรงได้”
ทั้งสิบคนได้ยินลดความเร็วลง วิ่งเหยาะตามเหวินหู่ไป
รอพวกเขาวิ่งเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้ามาลานใหญ่ เห็นเหวินเปียวกำลังฝึกสอนวรยุทธ์
เหวินเปียวรู้จักแต่การออกอาวุธเต็มกำลัง จึงเริ่มฝึกสอนพวกเขาด้วยวิชาพื้นฐานก่อน ยังดีที่เมิ่งเสียน เมิ่งฉีและเมิ่งอี้เซวียนได้รับการฝึกสอนจากเมิ่งเชี่ยนโยวมาระยะหนึ่งแล้ว เรียนรู้วิชาพื้นฐานได้อย่างแข็งแรงดุดัน ต้องถูกฝึกซ้อมอีกครั้งก็ไม่เกรงกลัว มีแต่ซุนเหลียงไฉที่รับไม่ไหว ช่วงเวลาหลายวันที่มาอยู่ที่นี่เมิ่งเชี่ยนโยวเอาแต่ให้เขาวิ่ง ไม่ได้ฝึกสอนอะไรจริงจังให้เขา ตอนนี้ต้องถูกเหวินเปียวฝึกสอนอย่างเข้มงวด ก็รับไม่ไหว ภายในเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันจึงผอมลงไปมาก
หลังการฝึกวิชาพื้นฐาน จะมีเวลาพักผ่อนครู่สั้นๆ ซุนเหลียงไฉหายใจกระหืดกระหอบนอนแผ่หลาบนพื้นอย่างไม่สนใจใคร
เมิ่งเสียนและน้องสองคนผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เตรียมตัวรับการฝึกรอบต่อไป
เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา เหวินเปียวทักทายนางอย่างอ่อนน้อม “นายหญิง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม “เป็นอย่างไรบ้าง?”
เหวินเปียวตอบ “มีคุณสมบัติดี โดยเฉพาะคุณชายอี้เซวียน มีพรสวรรค์สูง หากได้อาจารย์ดีชี้แนะ คิดว่าไม่กี่ปีก็จะเอาชนะข้าได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวประหลาดใจ “เขาก็มีพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์สูงส่ง?”
เหวินเปียวพยักหน้ายืนยัน
เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิด ยิ้มพูด “ข้าให้พวกเขาเรียนวรยุทธ์เพื่อเวลาถูกลอบโจมตีพวกเขาจะได้ป้องกันตัวเองได้ มิได้จะให้พวกเขามีฝีมือสูงส่ง มีท่านสอนสั่งก็เพียงพอแล้ว”
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม อู๋ต้าและพวกกลับไม่ได้วิ่งกลับมา
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนรอหน้าประตูอย่างอดทน ผ่านไปอีกสองเค่อ ถึงได้เห็นคนทั้งหมดลากเท้าวิ่งโซซัดโซเซ ตัวโยกตัวคลอนกลับมา
พอวิ่งมาถึงเบื้องหน้านาง ทุกคนแทบจะเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ไม่เหลือความกลัวเกรง ต่างนั่งแผ่ไปกับพื้น
เหวินหู่ที่มีใบหน้าเรียบเฉยคิดจะตวาดพวกเขา ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวห้ามไว้
ครู่ใหญ่อู๋ต้าถึงหายใจสม่ำเสมอ ถามอย่างน่าเวทนา “นายหญิง พวกเรายังมีข้าวกินหรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวฝืนกลั้นหัวเราะ เอ่ยปากพูด “มี!”
คนทั้งหมดพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง “ดีๆ มีของกินก็ดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเช่นนั้นชักสีหน้าเข้ม “หากพรุ่งนี้พวกเขามาช้าแบบนี้อีก จะไม่มีข้าวกินจริงๆ”
คนทั้งหมดรับประกัน “ไม่แล้ว นายหญิง พรุ่งนี้พวกเราจะต้องวิ่งเร็วกว่านี้”
กินข้าวเช้าเสร็จ ยังคงเป็นเหวินเปียวและเหวินหู่ไปส่งเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉไปโรงเรียน เมิ่งเชี่ยนโยวค้นคว้าปรุงยารักษารอยแผลเป็น
กลุ่มหญิงสาวเย็บกระเป๋านักเรียนเข้ามาทำงาน หลังจากหยิบวัตถุดิบที่ต้องเองต้องใช้ หญิงสาวคนหนึ่งนั่งเย็บไปพลางพูดขึ้น “พวกเจ้าได้ยินหรือยัง? ไม่รู้เพราะอะไรหลิวกุ้ยถึงถูกผู้ว่าการโบยยี่สิบไม้ คนในครอบครัวต้องไปจ้างรถเทียมเกวียนพาเขากลับมาในสภาพร่อแร่”
ผู้หญิงอีกคนรับคำ “เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินมา คนที่เห็นบอกว่าหลิวกุ้ยถูกโบยจนเนื้อที่ก้นแตกเหวอะหวะ นอนฟุบไม่ขยับบนรถเทียมเกวียน คนที่เห็นในตอนนั้นยังคิดว่าเขาตายไปแล้ว ตกอกตกใจกันใหญ่”
ผู้หญิงข้างๆ อดไม่ได้ พูดขึ้น “ไม่รู้ว่าเขาไปล่วงเกินอะไรผู้ว่าการ ถูกโบยจนมีสภาพน่าสังเวชแบบนี้ น่าสงสารจริงๆ”
ผู้หญิงคนก่อนหน้าพูดอย่างไม่เห็นด้วย “เขามีอะไรน่าสงสารกัน เขาเป็นผู้ใหญ่บ้านมาหลายปี มีครอบครัวไหนมีเรื่องไปขอร้องเขาแล้วไม่ถูกรีดนาทาเร้นบ้าง เขาสมควรได้รับจุดจบเช่นนี้นานแล้ว ยังมีภรรยาของเขา วันๆ เอาแต่เดินชูคอ มองพวกเราอย่างดูถูกดูแคลน ข้าว่านะ ผู้ว่าการน่าจะลงทัณฑ์นางไปด้วย”
พอคิดถึงพฤติกรรมในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของภรรยาหลิวกุ้ย ผู้หญิงทั้งหมดก็รู้สึกเห็นพ้อง
เมิ่งชื่อที่วันๆ ต้องยุ่งเรื่องเย็บกระเป๋านักเรียน ทำอาหารให้คนหมู่มาก แม้แต่ที่ปลูกเรือนยังไม่ค่อยได้ไป ย่อมไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้ ได้ฟังก็ถามอย่างตกใจ “เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด?”
ผู้หญิงที่นั่งใกล้นางที่สุดตอบว่า “เมื่อวานนี้อย่างไร ได้ยินว่าถูกตีตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว คนในครอบครัวเพิ่งได้รับข่าวช่วงบ่าย กว่าจะพากลับมาก็เป็นช่วงค่ำ ขากลับหลิวกุ้ยแทบจะไม่หายใจแล้ว”
เมิ่งชื่อสะดุ้งตกใจ “ถูกลงโทษหนักเช่นนี้เลย? เขากระทำความผิดอะไรกันแน่?”
ผู้หญิงทั้งหมดส่ายหน้า “ไม่รู้ ไม่มีใครกล้าถาม”
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งต้าจินกลับมาถึงบ้าน ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับคนในบ้าน เมิ่งชื่อย่อมไม่รู้เรื่องที่หลิวกุ้ยถูกโบยเกี่ยวข้องกับครอบครัวตัวเอง หลังจากคาดเดาต่างๆ นาๆ กับกลุ่มหญิงสาว ก็ลบเรื่องนี้ออกไปจากสมอง
ช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายผ่านไปอีกยี่สิบวัน ในที่สุดเรือนใหญ่ก็ปลูกเสร็จแล้ว มองจากด้านนอก มีความโอ่อ่ากว่าคฤหาสน์ของเศรษฐีในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียง ยามที่คนในหมู่บ้านเดินผ่านหน้าประตู ต่างต้องหยุดฝีเท้าชื่นชมอย่างอดไม่ได้
วันที่การก่อสร้างเสร็จสิ้น เมิ่งจงจวี่ควบคุมความรู้สึกตื่นเต้นดีใจของตัวเองไม่อยู่ เดินพินิจวนรอบลานบ้านใหญ่ คิดว่าต่อไปตนเองก็จะได้ย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่นี้แล้ว น้ำตาก็เอ่อคลอ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมิ่งต้าจินและภรรยา วันๆ เอาแต่คิดว่าตัวเองฝันไป
และที่ดีใจที่สุดก็คือโหย่วเหริน พอเห็นเรือนหลังใหญ่โอ่อ่าสง่างามตรงหน้า คิดว่าต่อไปตนเองจะมีชื่อเสียง มีแต่คนมาให้ตนเองปลูกเรือนให้ไม่ขาด หัวใจก็พองโตพูดไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นอาการของเขา แกล้งพูดสัพยอก “ท่านอาโหย่วเหริน เมื่อท่านดีใจเช่นนี้ เช่นนั้นก็รับเงินค่าแรงลดน้อยลงเถอะ”
การปลูกคฤหาสน์หลังใหญ่นี้ ใช้จ่ายเงินไปไม่น้อย โหย่วเหรินรู้แก่ใจดี บวกกับที่โรงงานสองแห่งของบ้านเมิ่งต้องปิดตัวลง ไม่มีรายรับ โหย่วเหรินจึงถือคำพูดนี้เป็นจริง พูดอย่างลำบากใจ “หากแม่นางขัดสนเรื่องเงินทอง เงินค่าแรงข้าให้ชะล่อไปก่อนได้ แต่ของคนอื่นไม่ได้ ครอบครัวพวกเขาต่างรอเงินค่าแรงนี้มาซื้อเสบียงกรอกหม้อ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะร่วน “ท่านอาโหย่วเหริน ข้าล้อท่านเล่น ท่านกลับคิดเป็นจริง ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ไม่มีทางลดทอนการจ่ายเงินค่าแรงพวกท่าน”
โหย่วเหรินโล่งอก ขยี้หัวหัวเราะแหะๆ
เหวินเปียวยก**บบรรจุเงินเข้ามา เหวินซงหยิบสมุดบันทึกออกมา เมิ่งต้าจินทำการจ่ายเงินค่าแรงให้คนงานตามรายชื่อที่บันทึกในสมุด เริ่มจากช่างฝีมือที่โหย่วเหรินพามา แต่ละคนได้รับค่าแรงวันละห้าสิบอีแปะ งานก่อสร้างทั้งหมดสี่สิบห้าวัน ได้คนละสองตำลึงสองร้อยห้าสิบอีแปะ
บรรดาช่างฝีมือไม่เคยได้เงินในคราเดียวมากเช่นนี้ รับเงินมาด้วยมือที่สั่นเทิ้ม
ค่าแรงของแรงงานจับกังน้อยกว่ามาก ได้เพียงหนึ่งตำลึงสามร้อยห้าสิบอีแปะ ทว่าพวกเขาก็ดีใจไม่แพ้กัน ต้องรู้ว่าปลูกเรือนใหญ่เช่นนี้การไม่ติดเงินค่าแรงแรงงานจับกัง พวกเขายังไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน
หลังจากจ่ายเงินค่าแรงให้คนงานที่โหย่วเหรินพามาเสร็จ ส่วนที่เหลือก็เป็นคนในหมู่บ้านตนเองแล้ว แม้แต่หญิงสาวที่เรียกมาทำอาหารก็ได้รับการคิดเงินค่าแรง
สุดท้ายเหลือเหวินเปียว เหวินหู่และเหวินเป้า สามพี่น้องฝ่ายชายยังดี สะใภ้เหวินทั้งสามคนกลับจิตใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ไม่เข้าใจทำไมเมิ่งเชี่ยนโยวต้องให้พวกนางเข้ามาด้วย
พอเมิ่งต้าจินจ่ายเงินค่าแรงให้คนในหมู่บ้านเสร็จ ก็ขานชื่อต่อ “เหวินซง หนึ่งตำลึงสามร้อยห้าสิบอีแปะ”
ครอบครัวเหวินต่างตะลึงพรึงเพริด
เมิ่งต้าจินหยิบเงินค่าแรงที่นับเรียบร้อยแล้วออกมาจาก**บ ส่งให้เหวินซง
เหวินซงนิ่งอึ้งไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง หันหน้าเซื่องๆ ไปมองเหวินเปียว
เหวินเปียวได้สติกลับมาก่อน ลนลานพูดขึ้น “แม่นาง เหตุใดซงเอ๋อร์ถึงได้รับเงินค่าแรง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ทุกวันเหวินซงมีหน้าที่จดบันทึกจำนวนคนที่มาเข้างาน ทั้งยังช่วยทำงาน เหตุใดถึงจะไม่มีค่าแรง?”
เหวินเปียวพูดตะกุกตะกัก “ตะ แต่ว่าพวกเรา พวกเราเป็น”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดตัดบทเขา “ไม่ต้องสนใจว่าพวกเจ้ามีสถานะเช่นไร ขอเพียงทำงานก็จะมีเงินค่าแรง ไม่เพียงครั้งนี้ จากนี้ไปก็จะจ่ายเงินค่าแรงให้พวกเจ้าทุกเดือน”
ไม่คิดว่าคนที่ขายตัวเป็นทาสแล้วอย่างตนเองก็จะมีเงินค่าแรง สามพี่น้องเหวินตะลึงงันอีกครั้ง สะใภ้เหวินทั้งสามกลับปิติยินดี แม้จะรู้ว่าแม่นางจิตใจดี ไม่เคยให้พวกนางต้องอดๆ อยากๆ แต่การมีเงินในมือบ้างจะได้สะดวกยิ่งขึ้น
เมิ่งต้าจินจับมือเหวินซง วางเงินค่าแรงใส่มือเขา ขานเรียกต่อ “สะใภ้ใหญ่บ้านเหวิน หนึ่งตำลึงสามร้อยห้าสิบอีแปะ”
ภรรยาเหวินเปียวเดินขึ้นหน้าไปรับเงินอย่างปิติ เหวินซงถือเงินค่าแรงเดินมาตรงหน้าเหวินเปียวอย่างปลามปลื้ม ร้องเรียกด้วยความตื้นตัน “ท่านพ่อ”
เหวินเปียวพยักหน้า “เก็บไว้ เอาไปซื้อของที่ตัวเองชอบ”
เหวินซงดีอกดีใจ นำเงินค่าแรงใส่อกเสื้อตัวเอง
หลังจากสะใภ้ทั้งสามคนรับเงินค่าแรงเสร็จ เมิ่งต้าจินก็ขานเรียกอีก “เหวินเปียว สามตำลึง”
กลุ่มคนส่งเสียงสูดลมหายใจ
เหวินเปียวถลึงตาโต มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่เชื่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “แต่ละวันเจ้างานเยอะที่สุด เงินค่าแรงย่อมมากที่สุด รีบเข้าไปรับเถอะ”
เหวินเปียวปลื้มปริ่มใจ ร่างกำยำสูงใหญ่ดีใจจนน้ำตาเกือบไหลออกมา รีบร้อนพูด “ขอบคุณแม่นางๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้องขอบใจ นี่เป็นสิ่งที่พวกเจ้าสมควรได้ ขอเพียงพวกเจ้าทำงานตามหน้าที่ให้ดี ภายหน้าจะได้รับเงินค่าแรงมากกว่านี้”
[1] ยามเฉิน(辰时) คือเวลา07.00-09.00น.
ตอนที่ 164-3 คุยเรื่องแต่งงาน
หลังจากจ่ายเงินค่าแรงให้สามพี่น้องเหวินเสร็จ ทุกคนต่างก็แยกย้าย แม้แต่คนที่โหย่วเหรินหามาก็คว้าเครื่องมือของตัวเอง เตรียมตัวกลับบ้าน
โหย่วเหรินเดินงกๆ เงิ่นๆ มาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ลูบหัวตัวเองไปมา พูดอย่างเก้อเขิน “แม่นางเมิ่ง ข้ามีเรื่องจะปรึกษา”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองเขาแวบหนึ่ง พยักหน้า “เอาไปเถอะ”
โหย่วเหรินตกตะลึง “แม่นางรู้ว่าข้าจะพูดอะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “เจ้าอยากได้ภาพวาดคฤหาสน์มิใช่หรือ? ข้าเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ มอบให้เจ้าก็แล้วกัน”
โหย่วเหรินถามด้วยอารามยินดี “แม่นางบอกว่าจะมอบภาพวาดนี้ให้ข้า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
ตั้งแต่ครั้งแรกที่โหย่วเหรินเห็นภาพวาดนี้ ก็เอาแต่เฝ้าคะนึงหา คิดว่าต้องใช้เงินมากเท่าใดถึงจะซื้อภาพนี้มาเก็บไว้ได้ กระทั่งเมื่อวานถึงยอมตัดใจนำเงินทั้งหมดของครอบครัวที่มีราวยี่สิบตำลึงออกมา เตรียมใจไว้ว่าหากเมิ่งเชี่ยนโยวรังเกียจว่าน้อยเกินไป ไม่ยินยอมขายให้ ตนเองจะยอมแบกหน้าอ้อนวอนนาง ไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวกลับจะมอบภาพวาดนี้ให้ตนเองโดยไม่คิดเงิน ถามด้วยอารามตกใจ “แม่นางรู้หรือไม่ว่าภาพนี้มีมูลค่าเท่าใด?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “สำหรับข้า พอปลูกเรือนเสร็จ ภาพนี้ก็ไร้ประโยชน์ พอดีกับที่ท่านต้องการ ข้าจึงมอบให้ท่าน ถือเป็นสินน้ำใจ คราวหน้าหากบ้านพวกเราจะปลูกเรือนอีก ท่านจะได้มาช่วยพวกเราปลูกเรือนอย่างทุ่มเทเช่นนี้อีก”
โหย่วเหรินตบหน้าอกร้องพูดทันควัน “แม่นางวางใจ หากครั้งหน้าแม่นางจะปลูกเรือนอีก ข้ารับประกันว่าจะสร้างให้งดงามยิ่งกว่าครั้งนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เช่นนั้นข้าก็ขอบคุณท่านอาโหย่วเหรินไว้ก่อน”
โหย่วเหรินลูบหัวอย่างเก้อเขิน “ได้อาศัยผลบุญของเจ้า สมควรเป็นข้าที่กล่าวของคุณแม่นาง”
ปลูกเรือนเสร็จแล้ว ไม่ช้าไม่นานก็จะได้ย้ายเข้าไป หญิงชราเมิ่งและภรรยาเมิ่งต้าจินมองดูเมิ่งเหรินที่สติสตังเลือนลอย คิดถึงเรื่องที่จะให้เขาแต่งงานอีกครั้ง ทั้งสองหารือกัน แล้วให้ภรรยาเมิ่งต้าจินไปหาสะใภ้ซุน ให้นางกลับไปถามบ้านฝ่ายแม่ พอจะให้อิงจื่อและเมิ่งเหรินแต่งงานกันเร็วขึ้นได้หรือไม่
สะใภ้ซุนย่อมรับปากทันควัน รีบร้อนกลับไปบ้านแม่ ปรึกษาเรื่องนี้กับพ่อแม่และพี่ชายพี่สะใภ้ของตัวเอง
พ่อแม่อิงจื่อเริ่มอาลัยอาวรณ์ “เร็วเกินไปหน่อยหรือไม่ อิงจื่อเพิ่งจะหมั้นหมาย อย่างไรก็ควรรอสักครึ่งปีค่อยให้พวกเขาได้แต่งงานกัน”
สะใภ้ซุนพูดเตือนพวกเขา “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ ข้าก็รู้ว่าให้อิงจื่ออาจจะแต่งงานเร็วไปเสียหน่อย แต่เมิ่งเหรินเป็นบุตรชายคนโตของสกุล หากเขาไม่แต่งงาน น้องๆ ลำดับต่อมาก็จะไม่ได้หมั้นหมาย อีกอย่าง อิงจื่อของพวกเราก็ไม่เด็กแล้ว หากเป็นครอบครัวอื่น คงแต่งงานมีลูกไปนานแล้ว เชื่อข้าเถอะ พวกท่านไม่ต้องลังเลแล้ว รีบตบปากรับคำ พอพวกเขาแต่งงานแล้ว เมิ่งเหรินจะได้ไปสอบซิ่วไฉอย่างสบายใจ”
แม่ของอิงจื่อยังไม่ยอม สะใภ้ซุนจึงพูดเรื่องที่ครอบครัวพวกเขาเพื่อการแต่งงานครั้งนี้ ปลูกคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ในรัศมีหลายสิบหลี่นี้ก็หาไม่ได้ออกมา สุดท้ายพูดว่า “พวกเขามีความตั้งใจจริงอยากจะเกี่ยวดองกับพวกเรา เพื่อแต่งอิงจื่อเข้าบ้าน ตั้งใจปลูกเรือนหลังใหญ่ ข้าขอเตือนพวกท่าน พวกท่านอย่าให้ความอาลัยชั่วครู่ของตัวเองทำให้อิงจื่อพลาดการแต่งงานนี้ ต้องรู้ด้วยว่าตอนนี้สกุลเมิ่งร่ำรวยแค่ไหน คนไม่น้อยต่างอยากส่งบุตรสาวแต่งเข้าสกุลพวกเขา หากพวกท่านยังลังเลไม่รับปาก พวกเขาเกิดโมโหถอนหมั้น พวกท่านไม่มีทางได้เจอครอบครัวที่ดีแบบนี้อีก ชีวิตนี้ของอิงจื่อก็จะจบสิ้น”
แม่ของสะใภ้ซุนได้ฟัง รีบพูดหว่านล้อม “แม่อิงจื่อ ข้ารู้ว่าเจ้าอาวรณ์อิงจื่อ แต่ลูกสาวก็โตแล้ว อย่างไรก็ต้องแต่งงาน ครอบครัวที่ดีเช่นนี้ บ้านอื่นให้จุดโคมไฟก็ยังหาไม่เจอ พวกเจ้าต้องคิดให้ดีๆ หากพลาดจากพวกเขาไปก็คงหาไม่ได้อีกแล้ว”
แม่อิงจื่อแม้จะไม่อยากให้บุตรสาวแต่งออกไปเร็วเช่นนี้ แต่ก็รู้ดีว่าที่สะใภ้ซุนพูดมาเป็นความจริง สกุลดีเช่นนี้หากหลุดมือไป ชีวิตนี้ของอิงจื่อก็จบสิ้นแล้ว จึงเรียกอิงจื่อมาซักถามความเห็นนาง
อิงจื่อหน้าแดงพูดว่าแล้วแต่บิดามารดา
สะใภ้ซุนเห็นพวกเขายอมตกลงแล้ว ก็ให้ดีใจตบหน้าขา “ข้าจะกลับไปบอกพวกเขาเดี๋ยวนี้ รอให้พวกเขากำหนดวันดีได้ ข้าจะกลับมาบอกพวกเจ้า”
แม่อิงจื่อกระซิบหารือ “น้องสาว เจ้าช่วยพูดกับพวกเขาหน่อยได้หรือไม่ ให้ขยับออกไปสักสองเดือน เรื่องแต่งงานกะทันหันเกินไป ข้ายังไม่ทันได้เตรียมสิ่งของสำหรับการแต่งงานไว้เลย”
“แหม พี่สะใภ้ใหญ่” สะใภ้ซุนตอบ “นี่ก็เดือนสามแล้ว รอออกไปอีกสองเดือนก็เดือนหก มีใครแต่งงานเดือนหกกันบ้าง ข้าว่าพวกเขาจะต้องกำหนดวันแต่งงานภายในเดือนหน้า ท่านรีบตระเตรียมเถอะ ตอนงานหมั้นพวกเขาส่งผ้ามาหลายพับไม่ใช่หรือ? เชิญคนมาช่วยมากหน่อย ไม่กี่วันก็ทำเสร็จแล้ว”
แม่อิงจื่อร้องโวยวาย “เร็วเช่นนี้เลย? พวกเขารีบร้อนเช่นนี้คงไม่ได้มีเรื่องปิดบังพวกเราดอกนะ”
สะใภ้ซุนยิ้มพูด “พี่สะใภ้ใหญ่ พวกเราอยู่หมู่บ้านเดียวกัน ครอบครัวเขาเกิดเรื่องอะไรบ้างข้ารู้ดีที่สุด นอกจากเมื่อไม่นานมานี้เมิ่งเหรินมีปัญหาด้านสุขภาพ กลับมาอาศัยอยู่ในบ้าน อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
แม่อิงจื่อยิ่งเป็นกังวล ถามเสียงต่ำ “พวกเขารีบร้อนให้อิงจื่อแต่งงานเช่นนี้ คงไม่ใช่เพราะเมิ่งเหรินเกิดเป็นโรคประหลาดดอกนะ”
สะใภ้ซุนยิ้มแล้วดึงมือแม่อิงจื่อมาพูด “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านคิดมากเกินไปแล้ว เมิ่งเหรินเป็นเด็กฉลาดแต่เด็ก คนในครอบครัวต่างหวังว่าเขาจะสอบขุนนางได้ ให้เขามุ่งมั่นทุ่มเท น้อยครั้งที่จะให้ไปทำไร่ไถนา ร่างกายของเขาย่อมบอบบางกว่าคนที่ทำงานตลอดปี หลายวันก่อนไม่ระวังตากลมเย็นเข้า ถึงได้กลับมารักษาตัวที่บ้าน”
แม่อิงจื่อวางใจลง “ร่างกายบอบบางไม่เป็นไร ขอแค่ไม่มีโรคประหลาดก็พอ”
สะใภ้ซุนหัวเราะรับประกัน “ร่างกายของเมิ่งเหรินไม่มีปัญหาแน่นอน อีกอย่าง อิงจื่อเป็นหลานสาวข้า ข้าจะคิดร้ายกับนางได้อย่างไร”
พ่อแม่อิงจื่อถึงยอมวางใจลง
สะใภ้ซุนกลับมาหมู่บ้านหวงอย่างไม่รอช้า แม้แต่บ้านก็ยังไม่กลับ ตรงมาที่บ้านใหญ่ทันที บอกภรรยาเมิ่งต้าจินว่าพี่ชายและพี่สะใภ้ของตัวเองรับปากให้อิงจื่อแต่งงานเร็ววันขึ้น หลังจากกำหนดวันดีได้แล้ว ค่อยส่งข่าวที่แน่นอนไปให้พวกเขาอีกครั้ง
ภรรยาเมิ่งต้าจินดีอกดีใจ หยิบเงินสองร้อยอีแปะมอบให้สะใภ้ซุนเป็นสินน้ำใจทันที สะใภ้ซุนไม่รับพูดว่า “อิงจื่อเป็นหลานสาวข้า ขอเพียงพอนางแต่งเข้ามาพวกเจ้าปฏิบัติต่อนางอย่างดีก็พอ สินน้ำใจพวกนี้ข้าไม่รับแล้ว”
ภรรยาเมิ่งต้าจินจึงกล่าวขอบคุณอีกครั้ง
สะใภ้ซุนเดินหน้าบานออกไป
ภรรยาเมิ่งต้าจินรีบนำข่าวดีนี้บอกกับหญิงชราเมิ่งและเมิ่งเหริน
หญิงชราเมิ่งตื่นเต้นบอกให้เมิ่งจงจวี่รีบไปพลิกปฏิทิน หาวันฤกษ์ดีออกมา
เมิ่งเหรินกลับทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เพียงนอนนิ่งอยู่บนเตียงมองหลังคาด้วยแววตาว่างเปล่า
ความดีใจแทบระเบิดของภรรยาเมิ่งต้าจินเลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอยในบัดดล ทอดถอนใจยาว แล้วเดินออกจากห้องไป
ผ่านมาหนึ่งเดือนกว่า ในที่สุดภูเขาร้างก็แผ้วถางเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวทำการตรวจสอบทุกตารางพื้นที่ พบว่าไม่มีปัญหา ให้เหวินเปียวและเหวินหู่แยกย้ายกันบังคับรถม้าคนละคันไปบรรทุกเมล็ดพันธุ์ฉั่งฉิกจากร้านยาเต๋อเหริน
หลังจากที่เหวินซื่อได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวบอกว่าสามารถคิดค้นยารักษารอยแผลเป็นให้ตนเองได้ ก็เอาแต่รอคอยการมาถึงของนาง ตอนนี้ได้ยินพนักงานรายงานว่านางเข้ามาแล้ว ก็ตะลีตะลานลงจากตึก กลับไม่เห็นเมิ่งเชี่ยนโยว ถามอย่างไม่สบอารมณ์ “คนเล่า?”
พนักงานตอบอย่างนอบน้อม “กำลังบรรทุกสิ่งของอยู่กับหมอชราที่หลังร้านขอรับ”
เหวินซื่อเดินมาหลังร้าน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่หน้าประตู ร้องพูดเสียงดัง “ยายเด็กแสบ ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว หากเจ้ายังไม่มา ข้าได้อดใจไม่ไหวไปหาเจ้าที่บ้านแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงพูดเขา หันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วไม่สนใจ หันกลับไปสั่งพนักงานบรรทุกเมล็ดฉั่งฉิกขึ้นรถม้าต่อ
เหวินซื่อก็ไม่ใส่ใจ เดินมาเบื้องหน้านางยื่นมือออก “ยาเล่า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งไม่เข้าใจ “ยาอะไร?”
เหวินซื่อร้อนใจ พูดเสียงดังลั่น “ยารักษารอยแผลเป็น”
เหวินเปียวและเหวินหู่ตกใจหันมองเขาแวบหนึ่ง แล้วรีบก้มหน้าลง
เมิ่งเชี่ยนโยวร้อง “อ่อ” พูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ยังปรุงไม่เสร็จ”
ตอนที่ 165-1 พูดหว่านล้อม
เหวินซื่อไม่เชื่อ “นานขนาดนี้ยังปรุงไม่เสร็จ เจ้าคงไม่ได้โกหกข้านะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถาม “โกหกท่านข้าจะได้ประโยชน์ใด?”
เหวินซื่อสะอึกกึก
หมอชราปิดปากกลั้นขำ
เหวินซื่อเริ่มมีน้ำโห “ยายตัวแสบ จะบอกให้นะ หากเจ้าไม่ปรุงยารักษารอยแผลเป็นให้ข้า ภายหน้าข้าจะไม่หาเมล็ดฉั่งฉิกมาให้เจ้าอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่แยแสสักนิด “พอข้าปลูกเองได้ เมล็ดพันธุ์ที่มีก็เพียงพอแล้ว ข้ายังต้องให้เจ้าไปหามาให้?”
เหวินซื่อถูกขัดคอจนพูดไม่ออก
หมอชราพ่นหัวเราะ
พนักงานบรรทุกเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดเสียงต่ำกับหมอชรา แล้วกำชับเหวินเปียวและเหวินหู่ให้บังคับรถม้าออกไป
ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวพูดขัดคอสองครั้ง เหวินซื่อทำหน้าเหยเกไม่พูดกับนางอีก ได้แต่ยืนไม่พอใจอยู่อีกด้าน เห็นนางกระซิบกระซาบกับหมอชรา ตะแคงหูอยากฟังว่าพวกเขาสองคนคุยอะไรกัน แต่จนใจที่เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวเบาเกินไป เขาไม่ได้ยินสักคำเดียว จึงหันมายืนตัวตรง รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวมากล่าวลาตอนจะจากไป ไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับหมอชราเสร็จ ไม่แม้แต่จะมองเขาก็จากไปทันที
เหวินซื่อโกรธตัวสั่น ยกเท้าจะตามไปเอาความกับนาง
หมอชรารีบเข้ามาขวาง “นายท่าน ยารักษารอยแผลเป็นของแม่นางเมิ่งยังขาดหนึ่งตัวยาสมุนไพร รอให้นางหาได้ ก็จะปรุงได้สำเร็จเอง”
เหวินซื่อหยุดชะงัก บ่นงึมงำเสียงเบา “ยายตัวแสบนี่ ขาดยาสมุนไพรหนึ่งตัวก็ไม่บอก ทำเอาข้านึกว่านางไม่อยากปรุงยาให้แล้ว”
หมอชราก้มหน้าไม่พูดอะไร ในใจกลับค่อนขอด ทุกครั้งที่ท่านเจอแม่นางเมิ่งจะต้องร้องเรียกนางยายตัวแสบ นางยอมสนใจท่านก็แปลกแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวและเหวินเปียว เหวินหู่นำเมล็ดพันธุ์มายังภูเขาร้างด้วยกัน ให้คนงานขนย้ายเมล็ดพันธุ์ไปยังภูเขาลูกต่างๆ แล้วพูดกับคนของหมู่บ้านหลี่ “นับแต่วันนี้ไป พวกท่านทำงานรายวัน ได้วันละห้าสิบอีแปะ เพาะเมล็ดพันธุ์พวกนี้บนภูเขาให้ดี”
ทุกคนยินดี
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “แต่ว่า พวกท่านต้องรับประกันว่าเมล็ดพันธุ์ที่ปลูกนี้จะต้องขึ้นเป็นส่วนใหญ่ ไม่เช่นนั้นจะหักเงินค่าแรงพวกท่านตามสมควร”
คนหนึ่งใช้ความกล้าถาม “เมล็ดพันธุ์พวกนี้พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน จะรับประกันได้อย่างไรว่าจะปลูกขึ้น?”
“ข้าจะสอนพวกท่านว่าต้องปลูกอย่างไร ขอเพียงรักษาระยะห่างและระยะแถวให้ดี เมล็ดพันธุ์นี้ปลูกขึ้นง่ายมาก” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
คนทั้งหมดได้ยินก็เข้ามาลงชื่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวให้พวกเขาลงชื่อเป็นครอบครัว แบ่งเขตแปลงแตกต่างกันให้พวกเขา แล้วสาธิตให้พวกเขาดูด้วยตัวเอง บอกพวกเขาว่าต้องปลูกอย่างไร ทั้งกำชับพวกเขา ช่วงแรก เมล็ดพันธุ์นี้ต้องการปริมาณน้ำที่เพียงพอ แนะพวกเขาให้คนในครอบครัวที่แข็งแรงกำยำเป็นคนหาบน้ำขึ้นมา เมล็ดพันธุ์พวกนี้จะได้ปลูกขึ้นมากยิ่งขึ้น
ทุกคนเชื่อฟังคำแนะนำของนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตรวจดูระหว่างภูเขาแต่ละลูก คอยชี้แนะการปลูกฉั่งฉิกให้ชาวบ้าน หมดหนึ่งวัน เหนื่อยจนแทบจะไร้เรี่ยวแรงเดินเหิน กลับมาถึงบ้านอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรง แม้แต่ข้าวเย็นก็ไม่อยากกิน คิดจะกลับไปพักผ่อนในห้อง เมิ่งชื่อต้องร้องทักนาง “โยวเอ๋อร์ วันนี้ปู่เจ้าเข้ามา อยากปรึกษาเจ้าเรื่องงานแต่งงานของเหรินเอ๋อร์”
เมิ่งเชี่ยนโยวตกตะลึง ถามอย่างงุนงง “งานแต่งงานของพี่เมิ่งเหริน?”
“ใช่สิ วันนี้ป้าใหญ่ให้สะใภ้ซุนกลับไปถามที่บ้านฝ่ายแม่แล้ว พ่อแม่อิงจื่อก็เห็นด้วยให้อิงจื่อรีบแต่งเข้ามา ท่านยายดีอกดีใจใหญ่ รบเร้าให้ท่านปู่เจ้าเลือกวันฤกษ์ดี จะได้ให้พวกเขาแต่งงานกันเร็วๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้ว “ให้เขาแต่งงานเวลานี้? จะดีต่ออิงจื่อหรือ?”
เมิ่งชื่อถอนใจ “ท่านปู่เจ้าก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม ถึงเข้ามาหารือกับเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าทราบแล้วท่านแม่ ข้าขอเข้าไปพักผ่อนครู่หนึ่ง ประเดี๋ยวพอกินข้าวเสร็จข้าจะไปบ้านใหญ่กับท่านพ่อ”
เห็นสภาพอิดโรยของนาง เมิ่งชื่อเริ่มปวดใจ “ท่านปู่เจ้าก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ไม่เช่นนั้นไปพรุ่งนี้ก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ท่านยายกับป้าใหญ่ตระเตรียมเรื่องทุกอย่างแล้ว หากวันแต่งงานถูกกำหนด ทุกอย่างจะสายเกินไป”
“เช่นนั้นเจ้ารีบกลับไปพักผ่อนก่อน พอแม่ทำอาหารเสร็จค่อยเรียกเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้ามาในห้อง ชำระล้างเนื้อตัว เอนตัวลงบนเตียงเตา แล้วก็หลับไปทันที
เมิ่งชื่อทำอาหารเสร็จ เมิ่งเอ้ออิ๋นและลูกๆ ก็กลับมาจากที่ดินร้างแล้ว ไม่เห็นเมิ่งเชี่ยนโยว นึกว่านางยังไม่กลับ ถามอย่างเป็นห่วง “มืดค่ำป่านนี้เหตุใดโยวเอ๋อร์ยังไม่กลับมาอีก?”
เมิ่งชื่อชี้ไปในบ้าน “กลับมาแล้ว เหน็ดเหนื่อยมาก กำลังพักผ่อนอยู่ในห้อง”
เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นคนมีชีวิตชีวากระปรี้กระเปร่ามาตลอด ไม่เคยเหนื่อยล้าเช่นนี้มาก่อน เมิ่งเอ้ออิ๋นได้ยินก็ให้ปวดใจ “เช่นนั้นก็ไม่ต้องเรียกนางแล้ว ให้นางหลับสบายสักตื่น นางตื่นเมื่อไหร่ค่อยทำอาหารให้นางกิน”
เมิ่งชื่อส่ายหน้า “ไม่ได้ วันนี้ท่านพ่อเข้ามาปรึกษาโยวเอ๋อร์เรื่องงานแต่งของเหรินเอ๋อร์ อีกประเดี๋ยวโยวเอ๋อร์ยังต้องไปบ้านใหญ่”
เมิ่งเอ้ออิ๋นได้ฟังก็ตกใจ คิดจะถามอีก เมิ่งชื่อก็เดินเข้าไปเรียกคนในบ้านแล้ว
แม้จะนอนหลับลึก แต่ความคุ้นชินที่ถูกฝึกฝนมาหลายปีทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงรู้สึกตัวทันทีที่เมิ่งชื่อก้าวพ้นประตูเข้ามา ถามงึมงำสะลึมสะลือ “ท่านแม่ ทำอาหารเสร็จแล้วหรือ?”
เมิ่งชื่อรับคำ “ทำเสร็จแล้ว รีบลุกขึ้นมากินเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น ในห้องมืดสนิท จัดแจงเสื้อผ้าเล็กน้อย ก็เดินตามเมิ่งชื่อออกมาถึงห้องครัว
ได้หลับไปพักหนึ่ง เรี่ยวแรงฟื้นคืน เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเก่า พอกินอาหารค่ำเสร็จ ก็ไปบ้านใหญ่พร้อมเมิ่งเอ้ออิ๋น
บรรยากาศในบ้านใหญ่แปลกประหลาด ภรรยาเมิ่งต้าจินอยู่ในห้องหญิงชราเมิ่งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก เห็นพวกเขาสองคนเข้ามา ก็ไม่ได้พูดทักทายพวกเขาเหมือนก่อน เพียงแค่ฝืนยิ้มให้พวกเขา เมิ่งต้าจินกลับเงียบขรึม หญิงชราเมิ่งสีหน้าไม่สู้ดี มีเพียงเมิ่งจงจวี่ที่พูดกับทั้งสองคนอย่างยินดี “พวกเจ้ามาแล้ว นั่งลงก่อนเถอะ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นรู้สึกถึงบรรยากาศอึมครึมภายในบ้าน ถามขึ้น “ท่านพ่อ ท่านแม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
หญิงชราเมิ่งตอบอย่างฉุนเฉียว “ก็พ่อเจ้านะสิ วันนี้พี่สะใภ้ใหญ่เจ้าฝากสะใภ้ซุนไปถามบ้านฝ่ายแม่นาง ว่าพ่อแม่อิงจื่อยินดีจะแต่งเข้ามาเร็วขึ้นหรือไม่ แต่พ่อเจ้ากลับบอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ให้พวกเขาแต่งงานกัน บอกว่าสภาพเหรินเอ๋อร์ในตอนนี้จะทำให้อิงจื่อเสียเวลาไปทั้งชีวิต”
ภรรยาเมิ่งต้าจินก็เม้มริมฝีปาก คล้ายมีเรื่องจะพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับพูดสนับสนุน “ข้าคิดว่าคำพูดของท่านปู่มีเหตุผล พี่เมิ่งเหรินในตอนนี้ไม่เหมาะจะแต่งงานจริงๆ”
ภรรยาเมิ่งต้าจินมองนางอย่างประหลาดใจ คำพูดที่ปลายลิ้นก็ไม่ได้พูดออกมา
หญิงชราเมิ่งกลับกระวนกระวายใจ แผดเสียงสูงขึ้น “เหรินเอ๋อร์ในตอนนี้ก็แค่สติสตังเลือนลอยไปบ้าง เหตุใดถึงไม่เหมาะจะแต่งงาน?”
เมิ่งจงจวี่ตวาดนาง “เจ้าโวยวายใส่โยวเอ๋อร์ทำไม? มีอะไรค่อยๆ พูด”
หญิงชราเมิ่งก็รู้สึกตัวว่าน้ำเสียงไม่น่าฟัง พูดอย่างรู้สึกผิด “โยวเอ๋อร์ ย่าร้อนใจเกินไป เลยพูดโพล่งออกไป เจ้าอย่าได้เก็บมาใส่ใจเด็ดขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านย่า ท่านไม่ต้องขอโทษ ข้าเข้าใจความรู้สึกท่าน”
หญิงชราเมิ่งผ่อนคลายน้ำเสียง “เหรินเอ๋อร์ถึงวัยที่ต้องแต่งงานแล้ว ตอนนี้ก็อยู่ที่บ้านพอดี ย่ากับป้าใหญ่เจ้าต่างก็คิดว่าให้เขาแต่งงานตอนนี้เหมาะสมที่สุด”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เห็นพ้องพูดว่า “ท่านย่าเป็นห่วงพี่เมิ่งเหริน ไม่มีอะไรติเตียนได้ แต่ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ สภาพของพี่เมิ่งเหรินในตอนนี้ หากอิงจื่อแต่งเข้ามา จะมีชีวิตที่ผาสุกหรือไม่”
ภรรยาเมิ่งต้าจินร้อนรนพูด “เหรินเอ๋อร์เพียงแค่ยังคิดไม่ตก พอแต่งงานไปก็จะดีเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ตอนนี้ไม่เพียงพี่เมิ่งเหรินคิดไม่ตก น่าจะยังเคียดแค้นพวกเรามากด้วย แต่เขาทำอะไรพวกเราไม่ได้ ทำได้เพียงนอนต่อต้านเงียบๆ อยู่บนเตียง แต่ถ้าแต่งงานก็จะไม่เหมือนกัน บางทีเขาอาจจะโยนบาปทั้งหมดนี้ไปที่อิงจื่อ ถึงตอนนั้นหากเขาด่าทอตบตีนาง ไม่เท่ากับว่าพวกเราทำร้ายอิงจื่อไปทั้งชีวิตหรือ?”
หญิงชราเมิ่งไม่เห็นด้วยกับคำพูดนาง “ไม่มีทาง เหรินเอ๋อร์จิตใจดี ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นเด็ดขาด”
“นั่นเป็นเมื่อก่อน เขาเต็มไปด้วยความหวัง คิดแต่ว่าตัวเองจะได้เข้าสอบขุนนาง ได้มีชื่อสลักบนป้ายทอง แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน พวกเราขัดขวางเส้นทางการสอบขุนนางของเขา เขาเคียดแค้นชิงชังพวกเรา ไม่แน่ว่าแม้แต่อิงจื่อก็ชิงชังไปด้วย ในตอนนี้ เราจะให้อิงจื่อแต่งเข้ามาได้อย่างไร?” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
ภรรยาเมิ่งต้าจินเริ่มว้าวุ่นใจ “เช่นนั้นจะไม่ให้เหรินเอ๋อร์แต่งงานแล้ว?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ไม่ใช่ไม่ให้พี่เมิ่งเหรินแต่งงาน แค่ตอนนี้เขายังไม่เหมาะจะแต่งงาน”
“เช่นนั้นต้องรอไปถึงเมื่อไร?” ภรรยาเมิ่งต้าจินเค้นถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “รอจนพี่เมิ่งเหรินได้สติรู้แจ้งแล้ว”
ภรรยาเมิ่งต้าจินเผยอปาก กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
หญิงชราเมิ่งกลับพูดว่า “เหรินเอ๋อร์และอิงจื่อก็อายุไม่น้อยแล้ว ต่อให้พวกเราประวิงเวลาได้ ทางฝั่งอิงจื่อเกรงว่าจะเลื่อนออกไปไม่ได้แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ดังนั้นวันพรุ่งข้าจะไปบ้านอิงจื่อ บอกกล่าวเรื่องราวทั้งหมดให้อิงจื่อฟัง หากพวกเขาคิดจะถอนหมั้น พวกเราก็ยินดี”
ภรรยาเมิ่งต้าจินร้องเสียงหลง “โยวเอ๋อร์ เหรินเอ๋อร์เป็นพี่ใหญ่เจ้า เจ้าจะพรากชีวิตสมรสของพวกเขาได้อย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ป้าใหญ่พูดผิดแล้ว ข้าไม่ได้จะพรากชีวิตสมรสเขา ข้าเพียงบอกเรื่องนี้กับอีกฝ่าย ให้พวกเขาตัดสินใจเอง”
ภรรยาเมิ่งต้าจินยังคงพูดเสียงแหลม “ทำเช่นนี้ไม่ใช่พรากชีวิตสมรสพวกเขายังจะเรียกว่าอะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเน้นย้ำน้ำเสียงหนักแน่นขึ้น “ป้าใหญ่ หากพวกเรารู้แก่ใจว่าหลังจากอิงจื่อแต่งเข้ามาจะต้องมีชีวิตขืนข่มระทมทุกข์ พวกเรายังจะให้นางแต่งเข้ามา มนุษยธรรมของเราเล่า ท่านทำใจได้หรือ? หากอิงจื่อเป็นบุตรสาวท่าน ท่านทำใจให้นางแต่งกับคนเช่นนี้ได้หรือ?”
ภรรยาเมิ่งต้าจินเป็นใบ้พูดไม่ออก
เมิ่งจงจวี่ตัดสินใจเด็ดขาด “ทำตามที่โยวเอ๋อร์พูด พรุ่งนี้ไปพูดเรื่องทั้งหมดที่บ้านอิงจื่อให้กระจ่าง หากพวกเขาต้องการถอนหมั้น พวกเราก็หมดคำพูด”
เมิ่งต้าจินเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
เช้าวันถัดมา เมิ่งเชี่ยนโยวไปภูเขาร้างเหมือนปกติ เฝ้าดูชาวบ้านปลูกฉั่งฉิกอย่างเข้มงวด ทั้งบอกข้อควรระวังในการปลูกอย่างละเอียดแก่จางจู้จางเกินและพ่อลูกผู้ใหญ่บ้าน ทั้งบอกว่าตอนบ่ายมีธุระมาไม่ได้ ให้พวกเขาช่วยตรวจตราพวกชาวบ้าน จะต้องให้พวกเขาทำตามข้อกำหนดที่นางบอกอย่างเคร่งครัด
ทั้งสี่คนพยักหน้า ผู้ใหญ่บ้านรับประกัน “วางใจเถอะ แม่นางเมิ่ง พวกเราจะตรวจสอบพวกเขาตามความต้องการของเจ้า หากมีตรงไหนไม่ผ่านเกณฑ์จะให้พวกเขาทำใหม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ตรวจตราดูภูเขาร้างแต่ละลูกอีกรอบ เห็นทุกคนต่างก็ปลูกฉั่งฉิกตามที่ตัวเองกำหนด จึงวางใจกลับบ้าน กินอาหารเที่ยงเสร็จ นำของขวัญจำนวนหนึ่งติดตัวไปด้วย แล้วให้เหวินเปียวไปยังหมู่บ้านซุน
หลังจากพ่อแม่อิงจื่อรับปากจะให้อิงจื่อแต่งงานเร็วขึ้น ก็รีบร้อนเตรียมสิ่งของสำหรับแต่งงานให้นาง โดยเฉพาะฟูกนอนผ้าห่ม ล้วนต้องเตรียมไว้เนิ่นๆ แต่ยังดีที่ในชนบทมีข้อปฏิบัติหนึ่ง ไม่ว่าบ้านไหนแต่งบุตรสาว คนในหมู่บ้านจะเข้ามาช่วยเหลือทำฟูกนอนผ้าห่ม
ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงบ้านอิงจื่อ มาทันหญิงสาวในหมู่บ้านมาช่วยอิงจื่อทำฟูกนอนผ้าห่มพอดี พอเห็นมีรถม้าจอดหน้าประตูบ้านอิงจื่อ ผู้หญิงคนหนึ่งก็พูดกับแม่อิงจื่อว่า “รถม้าคันนั้นตรงมาบ้านพวกเจ้า คงไม่ใช่บ้านที่เจ้าจะเกี่ยวดองด้วยมาหาดอกนะ?”
แม่อิงจื่อเห็นรถม้าแล้ว ก็ให้คลางแคลงใจ ลนลานลุกขึ้นออกไปต้อนรับ
เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้าพอดี เห็นแม่อิงจื่อเข้ามา แย้มยิ้มพูด “ท่านป้า ข้าเป็นลูกผู้น้องเมิ่งเหริน ตั้งใจมาหาอิงจื่อ มีเรื่องอยากพูดกับนาง ไม่ทราบว่านางอยู่บ้านหรือไม่?”
แม่อิงจื่อจำเมิ่งเชี่ยนโยวได้ กุลีกุจอพูด “อยู่ๆๆ ข้าจะไปตามอิงจื่อมาให้เดี๋ยวนี้ เจ้ารีบเข้ามานั่งในบ้านเถอะ”
พูดจบหันตะโกนเข้าไปในบ้าน “อิงจื่อ มีแขกมาหา รีบออกมา”
อิงจื่อกำลังต้มน้ำอยู่ในบ้าน ได้ยินเสียงตะโกนก็ออกมา พอเห็นเป็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็รีบเข้ามาต้อนรับ พูดอย่างเป็นกันเอง “เจ้ามาแล้ว เร็ว เข้ามานั่งในบ้านเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปหยิบของขวัญบนรถม้า ยิ้มแล้วมอบให้อิงจื่อ “นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากข้า”
แม่อิงจื่อโบกมือพัลวัน “ไม่ได้เด็ดขาด ของมีค่าเช่นนี้พวกเรารับไว้ไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านป้า ข้าและอิงจื่อเป็นเพื่อนรักกัน ท่านอย่าได้เกรงใจเลย”
แม่อิงจื่อยังคิดจะปฏิเสธ อิงจื่อรับของขวัญมา พูดกับแม่ตัวเอง “ใช่ ข้ากับโยวเอ๋อร์เป็นเพื่อนรักกัน ไม่ต้องเกรงใจนาง”
แม่อิงจื่อจำต้องรับของขวัญไว้ พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “เจ้ารีบเข้าไปนั่งในห้องอิงจื่อเถอะ ข้าจะไปรินน้ำมาให้”
เมิ่งเชี่ยนโยวและอิงจื่อกลับเข้ามาในห้อง แม่อิงจื่อยกน้ำสองถ้วยมาให้พวกเขา เห็นทั้งสองคนพูดคุยถูกคอ จึงถอยออกไป
ตอนที่ 165-2 พูดหว่านล้อม
กลุ่มคนที่มาช่วยทำฟูกนอนผ้าห่มในลานบ้านเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวถือของขวัญงดงามหลายชิ้นเข้ามา อดริษยาไม่ได้ ตามทยอยถามแม่อิงจื่อ “แม่อิงจื่อ อิงจื่อโชคดีจริงๆ ได้แต่งงานกับครอบครัวที่ดีเช่นนี้ แค่มาเยี่ยมเยียนก็มีของติดมือดีขนาดนี้มาด้วย พออิงจื่อแต่งไปแล้ว พวกเจ้าจะได้เสวยสุขเสียที”
แม่อิงจื่อโบกมือ “พวกเจ้าไม่รู้อะไร นางเป็นลูกผู้น้องของบุตรเขยข้า เป็นบุตรสาวอารองของเขา ได้ยินน้องสามีข้าบอกว่าทำงานเก่งมาก เปิดโรงงานสองแห่ง จ้างคนจำนวนมากมาทำงาน ทว่า พวกเขาแยกครอบครัวกันนานแล้ว ดังนั้นบุตรเขยข้าหาได้ร่ำรวยอะไรไม่”
หญิงสาวนางหนึ่งพูดเสียงลั่น “แบบนั้นก็ดีมากแล้ว เมื่อเป็นครอบครัวเดียวกัน พวกเขาจะต้องช่วยเหลือกัน ฐานะบุตรเขยเจ้าก็คงไม่ได้แย่ไปกว่ากัน”
แม่อิงจื่อพยักหน้า “จุดนี้เจ้าก็พูดไม่ผิด ได้ยินว่าไม่นานมานี้พ่อสามีในอนาคตของอิงจื่อเพิ่งดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ตอนนี้ครอบครัวยังสร้างคฤหาสน์เป็นที่เลื่องลือไปทั่วละแวกใกล้เคียง ฐานะทางบ้านจะต้องไม่เลว แต่เพราะเหตุนี้ ข้าถึงว่าวุ่นใจ ครอบครัวที่ดีเช่นนี้ภายหน้าจะทอดทิ้งอิงจื่อของเราหรือไม่”
หญิงอีกคนพูดว่า “ไม่มีทางแน่นอน ข้าเห็นตอนหมั้นแล้ว บุตรเขยเจ้าและคนในครอบครัวเขาต่างก็พึงพอใจอิงจื่อมาก ข้าคาดว่าหลังจากอิงจื่อแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาคงไม่ปฏิบัติแย่ต่ออิงจื่อ”
หญิงอีกคนพูดสมทบ “ใช่ๆ บุตรเขยเจ้าเป็นบัณฑิตมิใช่หรือ? รู้หนังสือมีการศึกษา เจ้าวางใจเถอะ จะต้องปฏิบัติดีต่ออิงจื่อ”
แม่อิงจื่อพูด “ขอให้เป็นเช่นนั้น”
เสียงพูดคุยในลานบ้านดังแว่วเข้ามาถึงในห้องอิงจื่อ อิงจื่อเขินอายหน้าแดงฝาด แต่ก็ยังส่งยิ้มกว้างพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นลูกผู้น้องกับเขา ตอนปีใหม่ เจ้าไม่ได้ไปเยี่ยมหาน้าข้า แต่ไปดูข้าสินะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็แย้มยิ้มยอมรับ “ใช่ ข้าไปเพื่อดูเจ้า ข้าแปลกใจว่าเจ้าจะเป็นผู้หญิงแบบไหน ก็เลยไปดู ไม่คิดว่าเราจะถูกชะตากันมาก”
อิงจื่อยิ้มพูด “ข้าก็รู้สึกว่าคุยกับเจ้าแล้วถูกคอ เห็นเจ้าเป็นเพื่อนคนหนึ่ง ข้ายังคิดว่าครั้งหน้าไปบ้านท่านอาจะไปเที่ยวหาเจ้าด้วย ไม่คิดว่าตอนงานหมั้น เจ้ากลับมาพร้อมกับพวกเขา ตอนนั้นข้าตกใจมาก พอรู้ว่าเจ้าเป็นลูกผู้น้องเขา ข้ายังแอบตำหนิเจ้าในใจเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มตอบ “ดังนั้น เพื่อให้ภายหน้าเจ้าไม่ตำหนิข้าอีก วันนี้ข้าถึงตั้งใจมาพูดเรื่องหนึ่งกับเจ้า”
อิงจื่อถลึงดวงตาเบิกกว้าง ถามอย่างประหลาดใจ “พูดเรื่องอะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บคืนรอยยิ้ม ขบคิดครู่หนึ่ง บอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับเมิ่งเหรินเมื่อไม่นานมานี้กับนาง ทั้งเน้นย้ำกับนางว่า สภาพการณ์ในตอนนี้ของเมิ่งเหรินแย่มาก หากพวกเขาแต่งงานกัน จะเป็นการทำร้ายนางได้
อิงจื่อฟังจบ รอยยิ้มบนใบหน้าเหือดหาย ดวงตาหมองมัว นั่งไม่พูดไม่จาบนเก้าอี้
เมิ่งเชี่ยนโยวลองหยั่งเชิงพูด “อิงจื่อ เจ้าเป็นหญิงที่ดี ข้าทนเห็นเจ้าแต่งงานไปแล้วต้องมีชีวิตอับเฉาไม่ได้ ดังนั้นวันนี้ข้าถึงตั้งใจมาบอกเรื่องทั้งหมดนี้กับเจ้า เจ้าไตร่ตรองให้ดีเถอะ งานแต่งงานนี้เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อ? หากเจ้าต้องการถอนหมั้น ฝ่ายพวกเราจะไม่ตำหนิว่าสักคำ”
อิงจื่อยังคงไม่พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่รบเร้านาง นั่งรอคำตอบนางเงียบๆ
แม่อิงจื่อนั่งอยู่ในลานบ้านคอยฟังความเคลื่อนไหวภายในบ้านมาตลอด เมื่อครู่ยังได้ยินเสียงพูดคุยสรวลเสของคนทั้งสอง ตอนนี้เสียงกลับเงียบหายไป จึงรีบลุกขึ้น แสร้งทำเป็นไปเติมน้ำเข้าไปตรวจดูความเคลื่อนไหวภายในห้อง
อิงจื่อเห็นแม่ตัวเองเข้ามา ดวงตาแดงก่ำ แม่อิงจื่อรีบถามเสียงเบา “อิงจื่อ เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
อิงจื่อมองเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวจำต้องพูดเรื่องที่เพิ่งพูดกับอิงจื่อออกมาอีกครั้ง
แม่อิงจื่อได้ฟังแล้วก็ตะลึงค้าง กาน้ำในมือร่วงหล่นพื้น เกิดเสียงดังก้อง
คนในลานบ้านได้ยินเสียงเอะอะ ร้องถามเสียงดัง “แม่อิงจื่อ เป็นอะไรหรือ?”
แม่อิงจื่อเรียกสติกลับมา ลนลานตอบ “ไม่มีอะไร ข้าไม่ระวังทำกาน้ำหล่นพื้น”
กลุ่มผู้หญิงในลานบ้านพูดหยอก “จะต้องมีเรื่องดีเกิดขึ้นอีกแล้ว ดูแม่อิงจื่อเถอะ ดีใจจนโยนกาน้ำทิ้งเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดจะเก็บกาน้ำขึ้นมา แม่อิงจื่อร้องเสียงหลง “อย่าแตะต้อง ข้าเอง!”
เมิ่งเชี่ยนโยวสะดุ้งตกใจ หดมือกลับ แม่อิงจื่อนั่งยองลงเซื่องๆ เก็บกาน้ำขึ้นมา วางบนโต๊ะในห้อง ตนเองก็นั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งข้างโต๊ะ
ภายในห้องปกคลุมไปด้วยความเงียบครู่ใหญ่
กลุ่มคนในลานบ้านก็เริ่มประหลาดใจ แม้จะหันหน้ามองกัน แต่ก็ไม่มีใครกล้าเปล่งเสียงซักถาม
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ แม่อิงจื่อถึงเอ่ยคำประนาม “เสียแรงที่เขาเป็นบัณฑิต เขากระทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้อธิบาย
แม่อิงจื่อเห็นอิงจื่อได้รับความกระทบกระเทือนใจ พูดอย่างปวดใจ “ลูกที่น่าสงสารของแม่ ทำไมชีวิตเจ้าถึงอาภัพเช่นนี้ เดิมแม่คิดว่าหาคู่ครองที่ดีให้เจ้าได้แล้ว ไม่คิดว่ากลับกลายเป็นทำร้ายลูก”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดหว่านล้อมนาง “ข้ามาวันนี้ก็เพื่อบอกพวกท่าน หากพวกท่านต้องการถอนหมั้น พวกเราก็จะไม่คัดค้าน”
น้ำเสียงแม่อิงจื่อเจือความฉุนเฉียว “เรื่องมาถึงตอนนี้เจ้าจะให้พวกเราถอนหมั้นอย่างไร? เจ้าไม่เห็นคนในลานบ้านมาช่วยทำฟูกนอนผ้าห่มจนเสร็จแล้วหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ท่านป้าข้ารู้ว่าเรื่องนี้พวกเราเป็นฝ่ายผิด ดังนั้นหากพวกท่านจะถอนหมั้น สิ่งของที่ส่งมาตอนหมั้นหมายพวกเราจะไม่รับคืน อีกอย่างพวกท่านยังไปบอกคนอื่นได้ด้วยว่าเป็นพวกท่านที่ไม่พึงใจพวกเราถึงถอนหมั้น”
“เจ้าพูดง่ายดายนัก ตอนหมั้นหมายพวกเจ้าจัดเตรียมขบวนมาอย่างใหญ่โต ตอนนี้คนทั้งละแวกนี้ต่างก็รู้ว่าอิงจื่อได้คู่ครองที่ดี หากไปบอกคนอื่นว่าพวกเราถอนหมั้นก่อน พวกเขาจะมองพวกเราอย่างไร? ต่อไปใครจะกล้ามาทาบทามสู่ขออิงจื่อของพวกเราอีก?” แม่อิงจื่อพูดอย่างเคืองขุ่น
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดแต่ว่าหลังจากอิงจื่อแต่งงานมีแต่จะต้องระทมทุกข์ ไหนเลยจะคิดถึงปัญหานี้ ได้ยินดังนั้นก็พูดไม่ออก อึดใจหนึ่งถึงพูดว่า “เช่นนั้นพวกท่านคิดจะทำอย่างไร?”
อิงจื่อเงยหน้าขึ้น แม้ดวงตาจะยังแดงก่ำ กลับพูดอย่างแน่วแน่ “ข้าไม่ถอนหมั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่คิดว่านางจะเลือกตัดสินใจเช่นนี้ ให้ฉงนใจ พูดหว่านล้อมนาง “อิงจื่อ เจ้าต้องคิดให้ดีนะ หากครั้งนี้เจ้าไม่ถอนหมั้น ภายหน้าจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
อิงจื่อพยักหน้า “ข้ารู้ แต่ข้าก็ยังไม่คิดจะถอนหมั้น”
“เพราะอะไร?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
อิงจื่อตอบ “แต่โบราณพ่อแม่เป็นคนจัดการ แม่สื่อเป็นผู้ดำเนินการ ข้าหมั้นหมายกับเขาแล้ว ก็คือฟ้าลิขิตแล้ว ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะดีหรือร้าย ข้าก็ยอมรับแล้ว”
แม่อิงจื่อไม่เห็นด้วย “อิงจื่อเอ๊ย เรื่องนี้เราต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อน เจ้าอย่าได้ตัดสินใจเร็วเช่นนี้”
“ท่านแม่ คนมากมายก่อนแต่งงานไม่เคยพบหน้ากัน พอแต่งไปก็ยังมีชีวิตที่มีความสุข อย่างน้อยข้าก็ได้เห็นว่าเขาเป็นคนอย่างไร รู้นิสัยใจคอเขา หากพวกเราแต่งงานกันจริงๆ ไม่แน่ว่าชีวิตจะไม่มีความสุข” อิงจื่อตอบ
แม่อิงจื่อยังคงไม่ยินยอม “แต่ตอนนี้เขาสอบซิ่วไฉไม่ได้แล้ว!”
อิงจื่อตอบ “สอบไม่ได้ก็ไม่ต้องสอบ พวกเรามีมือมีเท้า ต่อให้เขาสอบซิ่วไฉไม่ได้ พวกเราก็ไม่อดตาย อีกอย่าง ข้าไม่รู้อักษรสักตัว เช่นนี้เป็นพวกเราที่อาจเอื้อมเอง”
“อิงจื่อ เจ้า” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดไม่ออก
แม้ดวงตาจะแดงก่ำ อิงจื่อกลับยิ้มให้นาง “โยวเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดีกับข้า ถึงหว่านล้อมให้ข้าถอนหมั้น แต่ข้าไม่อยากถอนหมั้นจริงๆ ไม่ว่าเขาจะดีหรือร้าย ข้าก็ยอมรับแล้ว”
แม่อิงจื่อก็ตาแดงเอ่อ “อิงจื่อที่น่าสงสารของแม่”
อิงจื่อพูดโอ้โลมนาง “ท่านแม่ ท่านควรจะยินดี ข้าได้เจอกับครอบครัวที่ดีเช่นนี้ มีแต่คิดแทนข้าทุกอย่าง ท่านคิดดู หากพวกเขาไม่บอกพวกเราเรื่องนี้ ข้าก็ต้องแต่งออกไปอยู่ดี ถึงตอนนั้นคนที่ไม่รู้อะไรเลยอย่างข้า ถึงจะต้องทนทุกขเวทนาอย่างแท้จริง”
เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มหวั่นไหว แต่ก็ยังพูดหว่านล้อม “อิงจื่อ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงทั้งชีวิตของเจ้า เจ้าค่อยๆ ปรึกษากับคนในครอบครัวแล้วค่อยตัดสินใจเถอะ ข้ารับประกันกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าตัดสินใจอย่างไร ข้าก็สนับสนุนเจ้า”
อิงจื่อพยักหน้ายิ้ม “ขอบคุณเมิ่งเชี่ยนโยว”
หลังจากออกมาจากบ้านอิงจื่อ เมิ่งเชี่ยนโยวให้เหวินเปียวบังคับรถม้าค่อยๆ เดินทางกลับ ตัวเองนั่งขบคิดเป็นนานอยู่บนรถม้า
รถม้ามาถึงบ้านใหญ่เมิ่งก่อน เมิ่งเชี่ยนโยวบอกหญิงชราเมิ่งและภรรยาเมิ่งต้าจินที่รอคอยอย่างกระวนกระวายใจว่า อิงจื่อยังไม่ทำการตัดสินใจ เมื่อพวกเขาใคร่ครวญดีแล้ว จะส่งข่าวมาเอง
อย่างไรหญิงชราเมิ่งก็อายุมากกว่า พอได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็วางใจลงได้กึ่งหนึ่ง แอบกระซิบพูดกับภรรยาเมิ่งต้าจิน “ไม่ต้องเป็นห่วง งานแต่งของเหรินเอ๋อร์จะไม่ถูกยกเลิก”
ภรรยาเมิ่งต้าจินไม่เข้าใจ “ท่านแม่ ท่านรู้ได้อย่างไร?”
หญิงชราเมิ่งกระซิบพูด “หากพวกเขาคิดจะถอนหมั้น จะต้องเอ่ยปากต่อหน้าโยวเอ๋อร์ ตอนนี้บอกว่าขอเวลาตัดสินใจ ความเป็นจริงก็คือต้องการหาที่ลงให้ตัวเองก่อน เจ้าวางใจเถอะ อีกไม่กี่วันพวกเขาจะต้องส่งข่าวมาบอกว่าจะไม่ถอนหมั้น”
ภรรยาเมิ่งต้าจินเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง รอคอยอย่างกระสับกระส่าย
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้กลับไปหมู่บ้านหลี่อีก แต่กลับไปที่บ้าน เมิ่งชื่อทำตัวเหมือนเด็ก เดินไปดูหน่ออ่อนของมันฝรั่ง เมิ่งเชี่ยนโยวตามไปพูดแหย่เย้า “ท่านแม่ ท่านไปดูวันละหลายรอบ มันฝรั่งถูกท่านมองจนไม่กล้าแตกหน่อแล้ว”
เมิ่งชื่อไม่ได้ต่อว่านาง กลับพูดอย่างยินดี “โยวเอ๋อร์ เจ้ารีบมาดู มันฝรั่งนี้แตกหน่อจริงๆ แล้วใช่หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเดินไปดู หยิบมันฝรั่งขึ้นมาเพ่งพินิจ พบว่ามันฝรั่งมีหน่ออ่อนงอกออกมาแล้วจริงๆ ดีอกดีใจเข้าไปกอดเมิ่งชื่อหมุนเป็นวงกลม “ท่านแม่ มันฝรั่งแตกหน่อจริงๆ แล้ว อีกไม่กี่วันพวกเราก็เริ่มเพาะปลูกได้แล้ว”
เมิ่งชื่อถูกนางหมุนจนเริ่มมึนหัว รีบร้อนพูด “ดีๆๆ แม่รู้แล้ว เจ้าปล่อยแม่ก่อนเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยมือ ย่อตัวลง พินิจดูมันฝรั่งอย่างละเอียด พบว่ามันฝรั่งแตกหน่อเกือบทั้งหมดแล้ว บางลูกยังมีหน่ออ่อนงอกออกมาหลายตารากด้วย จึงหยิบมันฝรั่งขึ้นมาพูดกับเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ ท่านเห็นหรือยัง หนึ่งหน่ออ่อนก็คือหนึ่งเมล็ดพันธุ์ มันฝรั่งลูกนี้แตกหน่อออกมาหลายตาราก แปลว่าเอาไปเพาะได้หลายเมล็ดพันธุ์”
เมิ่งชื่อแม้จะดีใจเช่นกัน แต่ก็ยังสงสัย “หน่ออ่อนพวกนี้ไม่อยู่ที่เดียวกัน พอเอาไปปลูก หน่อที่อยู่ด้านล่างจะไม่ถูกกดทับตายหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบายให้นางฟังอย่างตื่นเต้น “ก่อนพวกเราจะปลูกมันฝรั่ง จะหั่นมันฝรั่งเป็นชิ้นเล็กๆ แตกต่างกัน แต่ละชิ้นจะต้องมีหนึ่งหน่ออ่อน เวลาปลูก จับหน่ออ่อนพลิกขึ้นก็ได้แล้ว”
เมิ่งชื่อถึงเข้าใจ พูดอย่างยินดี “สิ่งนี้ปลูกแบบนี้ก็ได้ด้วย? เป็นครั้งแรกที่แม่ได้ยินแบบนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับนาง “สองสามวันนี้ท่านจะต้องพรมน้ำให้มันฝรั่งมากหน่อย ให้พวกมันแตกหน่ออ่อนออกมามากกว่านี้ พวกเราจะได้มีเมล็ดพันธุ์เยอะขึ้น”
เมิ่งชื่อพยักหน้า “รู้แล้ว”
ผ่านไปอีกหลายวัน ภายใต้การประคบประหงมอย่างดีของเมิ่งชื่อ มันฝรั่งทุกลูกต่างแตกหน่อออกยอดเพิ่มขึ้นไม่น้อย เมิ่งเชี่ยนโยวตรวจดูอย่างละเอียด ก็เริ่มเตรียมงานเพาะปลูกมันฝรั่งในมือ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น