อัจฉริยะสมองเพชร 1642-1647

 ตอนที่ 1642

 

 เจียงฟังโหย่วสติแตก

เท่านี้ก็น่าทึ่งพออยู่แล้วที่คนตรงหน้าเขาสำเร็จความเข้าใจทั้งแก่นสารแห่งมิติและแก่นสารของเวลา แต่ใครจะไปคิดว่าเขาจะสามารถทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณได้ด้วย!


ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา แทบไม่มีใครเลยใน 3 ตระกูลชั้นนำที่สำเร็จแก่นสารทั้งสามประการ แม้แต่เหล่านักปราชญ์โบราณก็ถือว่าการสำเร็จความเข้าใจในแก่นสารรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดของพวกเขา สามารถโอ้อวดกับเหล่านักปราชญ์โบราณรุ่นเดียวกันได้


แต่ด้วยวิธีการอะไรสักอย่าง คนคนเดียวสามารถทำความเข้าใจแก่นสารได้หมดทั้ง 3 รูปแบบ มันเป็นไปได้อย่างไร?


เขาเป็นปีศาจชนิดไหน?


ขณะที่เจียงฟังโหย่วกำลังตกตะลึง หัวขโมยก็พังหน้าต่างขุมสมบัติออกไป พร้อมจะหลบหนี


“คุณคิดว่าผมจะปล่อยคุณไปหรือ หลังจากที่คุณกอบโกยทรัพย์สมบัติของตระกูลเจียงจนหมดเกลี้ยง? คุณดูผมผิดไปเสียแล้วล่ะ!”


เจียงฟังโหย่วหน้าแดงก่ำด้วยโทสะ เขากระทืบเท้าอย่างแรงและกระโจนออกทางหน้าต่างไป จากนั้นก็เงื้อมือขวาขึ้นและกวาดไปอย่างกราดเกรี้ยว


ฟึ่บ!


กระแสพลังงานอันทรงพลังระเบิดออกมาด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง ก่อเกิดเป็นกำแพงพลังงานที่สกัดกั้นหนทางหลบหนีเอาไว้ทั้งหมด ในเวลาเดียวกัน เจียงฟังโหย่วก็เพิ่มความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณในมือของเขาเพื่อสร้างดาบอันคมกริบขึ้นมา และตวัดเข้าใส่ร่างของหัวโขมยอย่างแรง


ควั่บ!


ด้วยความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณของเจียงฟังโหย่ว ดาบนั้นทะลุผ่านขีดจำกัดของมิติและเวลา พุ่งตรงเข้าใส่ลำคอของหัวโขมย


วิ้ง!


แต่ขณะที่พลังจิตวิญญาณในรูปดาบกำลังจะแตะลำคอของหัวโขมย ลำแสงจางๆก็สะท้อนออกจากร่างของหัวโขมยนั่น ทำลายดาบได้อย่างง่ายดาย ทำให้เขาหลบหนีไปได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ


“ปราการคลื่นจิตวิญญาณ? คุณเป็น…ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณหรือ?” เจียงฟังโหย่วหัวใจกระตุกอีกครั้งขณะที่เกือบร่วงจากกลางอากาศ


ความตกตะลึงที่เขาได้รับในวันนี้มากเกินกว่าที่เขาเคยเผชิญมาทั้งชีวิตเสียอีก!


ปราการคลื่นจิตวิญญาณเป็นเทคนิคการต่อสู้เฉพาะของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ด้วยการใช้กระแสพลังจิตวิญญาณห่อหุ้มร่างไว้ ผู้นั้นจะสามารถปัดป้องกันการโจมตีจิตวิญญาณได้เกือบทั้งหมด


มันเป็นเทคนิคที่ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณตัวจริงส่วนใหญ่ใช้กัน แม้แต่เจียงฟังโหย่วเองก็ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะสำแดงเทคนิคนั้น…


นอกจากสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของเวลา มิติ และจิตวิญญาณแล้ว เจ้าหัวขโมยนั่นยังเป็นผู้พยากรณ์จิตวิญญาณด้วยหรือ?


ผู้เชี่ยวชาญที่เก่งกาจไร้เทียมทานขนาดนี้ปรากฏตัวบนทวีปแห่งปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่?


แต่เจียงฟังโหย่วก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมัวจังงัง เขารีบสะบัดข้อมือ แล้วธงรูปสามเหลี่ยมก็มาอยู่ในมือของเขาและพุ่งขึ้นสู่กลางอากาศ


ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ธงจิตวิญญาณมืดดำ!


มันเป็นของล้ำค่าที่หลอมโดยนักปราชญ์โบราณคนหนึ่งของตระกูลเจียง เจียงฟังโหย่วได้ธงผืนนี้มาราว 100 ปีแล้ว และเขาก็ใช้พลังจิตวิญญาณบ่มเพาะมันทุกวัน ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่เคยใช้มันอีกเลยนับตั้งแต่การต่อสู้ครั้งใหญ่เมื่อ 80 ปีก่อน


พูดอีกอย่างก็คือ ธงจิตวิญญาณมืดดำผืนนี้ได้รับการบ่มเพาะจากพลังจิตวิญญาณมา 80 ปีแล้ว


เมื่อเปิดใช้งานธงจิตวิญญาณมืดดำ พลังจิตวิญญาณมหาศาลก็แผ่ซ่านออกมาโดยรอบ ทำให้ใครก็ตามที่อยู่ในอาณาเขตของมันไม่อาจหลบหนีได้


รังสีอันโหดร้ายพุ่งขึ้นสู่กลางอากาศ ราวกับอุณหภูมิโดยรอบบริเวณตระกูลเจียงตกฮวบอย่างกะทันหัน แม้แต่นักรบระดับเซียนที่มีความทนทานต่อความร้อนและความเย็นระดับหนึ่งก็ยังรู้สึกเหมือนกับว่าความเย็นเยือกนั้นซึมซาบเข้าสู่จิตวิญญาณของพวกเขา ทำให้ตัวสั่นไม่หยุด


พลังจิตวิญญาณที่ธงจิตวิญญาณมืดดำแผ่ออกมานั้นมีเจตนาโหดเหี้ยม ผู้ที่มีวรยุทธอ่อนด้อยกว่าก็จะต้องลงเอยด้วยการหมดสภาพหรือพิการไปเพราะการโจมตีอันโหดร้ายของธงผืนนี้ หรือต่อให้ผู้ที่มีวรยุทธสูงกว่าก็ยังเกิดอาการเวียนหัว ทำให้ปฏิกิริยาตอบโต้ของพวกเขามีความเร็วลดลง เกิดเป็นจุดอ่อนให้ฝ่ายตรงข้ามเล่นงานได้


เมื่อหลายปีก่อน ปรมาจารย์หยางได้ทำการดวลฉันมิตรกับเจียงฟังโหย่ว เขาถูกธงจิตวิญญาณมืดดำผืนนี้เล่นงานและเกือบจะได้รับบาดเจ็บสาหัส


ด้วยประสิทธิภาพของธง ร่างของหัวโขมยนั่นหยุดชะงักไปอย่างกะทันหัน ราวกับมดที่ถูกขังไว้ในก้อนน้ำแข็ง ไม่อาจหลบหนีได้แม้ว่าจะพยายามดิ้นรนแค่ไหนก็ตาม


เมื่อเห็นว่าเขาสกัดกั้นการหลบหนีของหัวขโมยได้แล้ว เจียงฟังโหย่วถอนหายใจอย่างโล่งอก “คุณอาจเป็นผู้พยากรณ์จิตวิญญาณตัวจริง แต่วรยุทธของคุณยังอ่อนด้อยเกินไป เทียบชั้นกับประสิทธิภาพของธงจิตวิญญาณมืดดำไม่ได้หรอก!”


ขณะที่เขากำลังจะเข้าถึงตัวหัวขโมยเพื่อดูหน้าตาของหมอนั่นให้ชัดๆ ก็พลันรู้สึกว่าธงที่อยู่กลางอากาศสั่นสะท้านไม่หยุด เขาต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าดูเหมือนธงจิตวิญญาณมืดดำจะสูญเสียการควบคุม!


พลังจิตวิญญาณที่สั่งสมมาตลอด 80 ปี ดูเหมือนจะกดทับหัวขโมยไว้ แต่ไม่ช้า พลังงานหมุนวนขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้น


“ขะ-เขา…กำลังซึมซับพลังจิตวิญญาณของธงจิตวิญญาณมืดดำหรือ? แย่แล้ว…” เจียงฟังโหย่วหน้าซีดเผือด เขาแทบลมจับ


ธงจิตวิญญาณมืดดำเป็นหนึ่งในของล้ำค่าที่มีอานุภาพแข็งแกร่งที่สุดของตระกูลเจียง! แต่ไม่เพียงคุณจะไม่จังงังกับการโจมตีของมัน ยังถึงกับซึมซับพลังจิตวิญญาณจากมันด้วย…


คุณมันปีศาจ! เปิดเผยตัวออกมาเดี๋ยวนี้นะ!


เจียงฟังโหย่วหน้าดำคร่ำเครียด เขาจับผืนธงไว้แล้วชี้ไปที่ร่างของหัวโขมย “แก ไอ้สารเลว! ไม่มีทางที่ฉันจะปล่อยให้แกทำแบบนั้นหรอก ตายซะ!”


ธงจิตวิญญาณมืดดำไม่ได้มีความสามารถเพียงแค่โจมตีจิตวิญญาณ แต่ยังมีประสิทธิภาพการต่อสู้อันไร้เทียมทานด้วย ภายใต้พละกำลังของมัน แม้แต่นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 2-ร่างอันทรงเกียรติ ก็ยังพ่ายแพ้อย่างราบคาบ


ฟิ้วววว!


ธงจิตวิญญาณมืดดำพุ่งเข้าใส่ร่างของหัวโขมยด้วยความเร็วสูงสุด เจียงฟังโหย่วคิดว่าคราวนี้เขาคงเล่นงานอีกฝ่ายได้เสียที แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อหัวขโมยยกมือขึ้นแตะธงเบาๆ จากนั้น…


ธงจิตวิญญาณมืดดำก็เริ่มหมุนวนอย่างรื่นเริงบันเทิงใจรอบตัวหัวขโมยนั่น เกิดเสียงหวีดหวิวด้วยความดีใจดังออกมาจากร่างของมัน ราวกับแสดงความยินดีที่ได้กลับมาเจอกับท่านพ่อที่ห่างหายกันไปนาน!


พลั่ก!


เจียงฟังโหย่วหน้าซีดเผือด เขากระอักเลือดออกมากองใหญ่ ด้วยความพรั่นพรึง เขารู้สึกเหมือนสายสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับธงจิตวิญญาณมืดดำถูกตัดจนขาดสะบั้น!


“คะ-คุณ…คุณทำให้ธงจิตวิญญาณมืดดำของผมยอมจำนนได้…” เจียงฟังโหย่วแทบปล่อยโฮออกมา


การที่คุณจะขโมยพลังจิตวิญญาณที่อยู่ในธงไปก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ถึงกับทำให้มันยอมจำนนได้ในชั่วพริบตา…


นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เราอยู่ที่ไหน? เราเป็นใคร?


เจียงฟังโหย่วบอบช้ำเสียจนเริ่มจะสงสัยว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ทำไม


นั่นเป็นของล้ำค่าที่เขาใช้เวลากว่า 100 ปีในการบ่มเพาะมัน แต่มันกลับทรยศเขาไปหาเจ้านายคนใหม่โดยไม่ต้องไตร่ตรองเลย…


ราวกับการอุ้มชูดูแลที่เขาทำมาเนิ่นนานต้องสูญเปล่า การทรยศครั้งนี้เหมือนกริชที่แทงลึกเข้าสู่หัวใจของเขา…


ฟึ่บ!


หลังจากทำให้ธงจิตวิญญาณมืดดำยอมจำนนได้แล้ว ไอ้หัวขโมยก็รีบเก็บธงเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติก่อนจะหลบหนีต่อไป


“นั่นมันไอ้หัวขโมยที่กวาดข้าวของไปจากขุมสมบัติของเราใช่ไหม? มันคิดจะไปไหน?”


“ถ้าฉันปล่อยให้แกหนีรอดไปได้ล่ะก็ จะไม่ใช้แซ่เจียงอีกต่อไป!”


การปะทะระหว่างเจียงฟังโหย่วกับหัวขโมยก่อให้เกิดความอึกทึกครึกโครมและเรียกเหล่าสมาชิกตระกูลเจียงออกมา ผู้อาวุโสหลายสิบคนของตระกูลเจียงบินมาตีวงล้อมบริเวณนั้นไว้ ปิดทางหลบหนีของหัวโขมย


เมื่อเห็นว่ากำลังเสริมมาแล้ว เจียงฟังโหย่วถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาหยิบตราหยกอันหนึ่งออกมาแล้วโยนมันขึ้นไปกลางอากาศด้วยสีหน้าเคืองแค้น


วิ้ง!


ทันทีที่ตราหยกนั้นปรากฏ ค่ายกลที่อยู่ล้อมรอบตระกูลเจียงก็ถูกเปิดใช้งาน พลังงานมหาศาลครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณไว้อย่างรวดเร็ว


ค่ายกลอารักขาของตระกูลเจียงถูกเปิดใช้งานแล้ว!


เจียงฟังโหย่วหรี่ตาและชี้นิ้วไปที่ตราหยกก่อนจะสั่งการ “สกัดกั้น!”


วิ้ง!


ท่ามกลางแสงเจิดจ้า กระแสพลังงานก็ครอบคลุมไปทั่ว


มันไม่ใช่เพียงแค่ศิลปะการควบคุมมิติหรือจิตวิญญาณ แต่เป็นการสะสมพลังงานตั้งต้นที่ยังไม่ได้ผ่านการขัดเกลา


ไม่มีจุดอ่อนใดๆในพลังงานมหาศาลที่มารวมตัวกันนี้ หากใครติดกับ ก็ไม่มีทางหนีรอดไปได้


ดูเหมือนจะรู้ถึงประสิทธิภาพอันน่าสะพรึงของการรวมตัวกันของพลังงาน ไอ้หัวขโมยถอยกรูดด้วยความหวาดกลัว ถึงกับสะดุดระหว่างที่กำลังล่าถอย


แต่ทันใดนั้น พลังงานที่สะสมไว้เป็นจำนวนมหาศาลก็ระเบิดออก เกิดคลื่นความสั่นสะเทือนกวาดไปทั่วบริเวณก่อนทุกอย่างจะหายวับไป


“ค่ายกลหยุดทำงาน?” เจียงฟังโหย่วถึงกับอึ้ง


ในตอนนั้น เขารู้สึกเหมือนกับมีอสูรจากสวรรค์สักหมื่นตัวเหยียบย่ำอยู่ในหัวสมองของเขา


ด้วยวิธีการอะไรสักอย่าง ไอ้หัวขโมยดูเหมือนจะมีความสามารถลึกลับที่สามารถเอาชนะทุกอย่างที่เขาโยนใส่


ไอ้น้องชาย, ในโลกนี้มีอะไรบ้างที่คุณทำไม่ได้?


โชคร้ายที่เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านั้น


ยังไม่ทันที่เจียงฟังโหย่วจะหายตกตะลึง ไอ้หัวขโมยก็โบกมือ แล้วตราหยกก็ลอยละลิ่วไปหาเขา


ฟึ่บ!


ตราหยกนั้นร่อนลงบนฝ่ามือของหัวโขมย และด้วยการแตะเบาๆ เสียงฮัมอย่างตื่นเต้นก็ดังออกมาจากตราหยก


มันยอมจำนนแล้วเช่นกัน!


พลั่ก!


เจียงฟังโหย่วกระอักเลือดออกมาอีกครั้งขณะที่มองเห็นทุกอย่างมืดดำไปหมด


เขาไม่รู้ว่าร่างกายอันแก่ชราของตัวเองจะทนรับความบอบช้ำได้แค่ไหนก่อนที่จะแตกสลาย


คุณจะช่วยหยุดขโมยข้าวของของผมเสียทีได้ไหม?


ทำให้ธงจิตวิญญาณมืดดำและตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลของผมยอมจำนนได้…มันเป็นของผมนะ ไม่ใช่ของคุณ!


คุณทำให้พวกมันยอมจำนนได้อย่างไร!


ดูผมตอนนี้สิ อย่างกับผมเป็นคนนอกอย่างนั้นแหละ!


เห็นท่านพ่อตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ เจียงเฟยเฟยรี่เข้ามาด้วยความกังวล “ท่านพ่อ…”


แต่เจียงฟังโหย่วรีบยับยั้งเธอไว้ด้วยเสียงตวาด “อย่าเข้ามา! ระวังตัวด้วย อย่าปล่อยให้หมอนั่นทำให้เจ้ายอมจำนนได้…”


ในเมื่อไอ้หัวขโมยทำให้ธงจิตวิญญาณมืดดำ ตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูล และแม้แต่ค่ายกลอารักขายอมจำนนได้ เขาก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะทำให้ลูกสาวของเขายอมจำนนเช่นกันหากเธอเข้าไปใกล้


อันที่จริง…เขาคิดไปกระทั่งว่าหมอนั่นอาจทำให้ตัวเขาเองยอมจำนนได้ด้วยซ้ำ ถ้าเขาเข้าไปใกล้กว่านี้!


“…” เจียงเฟยเฟย


“…” จางเซวียน

 

 

 


ตอนที่ 1643

 

 ผมคือหัวหน้าตระกูลของพวกคุณ

รู้ดีว่าอันตรายแน่หากปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไป เจียงฟังโหย่วรีบหันไปสั่งการผู้อาวุโสหลายสิบคนที่ตีวงล้อมอยู่ “เหล่าผู้อาวุโส ฟังคำสั่งของผมนะ เล่นงานไอ้หัวขโมยนั่นให้ได้!”


ฟึ่บ!


ผู้อาวุโสหลายสิบคนพุ่งเข้าใส่พร้อมๆกัน พวกเขาขับเคลื่อนพลังปราณและพลังจิตวิญญาณให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อสร้างพละกำลังทำลายล้างที่พุ่งตรงเข้าใส่ไอ้หัวขโมยที่อยู่ตรงกลาง ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขาประสานกันอย่างเหมาะเจาะราวกับมังกรผงาด สามารถฉีกกระชากจนเกิดรอยแยกแห่งมิติมากมายนับไม่ถ้วนอยู่โดยรอบ


“แบบนี้ไม่เข้าท่าแล้ว…”


จางเซวียนหน้าดำคร่ำเครียด เขาติดกับอยู่ตรงกลาง


เขาเคยคิดว่าขอแค่หนีรอดจากการตีวงล้อมของพวกตระกูลเจียงได้ ก็คงจะยื้อเวลาได้นานพอที่จะทะลุมิติหนีไปโดยใช้หอกสวรรค์กระดูกมังกร ไม่คิดว่าผู้อาวุโสเหล่านี้จะพร้อมใจกันเล่นงานเขาอย่างกะทันหัน


ด้วยพลังงานที่โหมกระหน่ำมาจากทุกทิศทาง มิติที่อยู่รอบตระกูลเจียงจึงเกิดความไม่เสถียรขึ้นมาอย่างรุนแรง หากเขาทำการทะลุมิติตอนนี้ ก็มีโอกาสที่จะต้องเผชิญกับคลื่นรบกวนของมิติ ทำให้ตกอยู่ในอันตรายกว่าที่เป็นอยู่


พูดอีกอย่างก็คือ เขาไม่อาจพึ่งพาศาสตร์แห่งมิติได้หากจะหลบหนีจากที่นี่


บ้าบออะไรอย่างนี้! ถ้ารู้เสียก่อน จะไม่วุ่นวายกับฉนวนแห่งจิตวิญญาณนั่นเลย ป่านนี้เขาคงหนีออกจากตระกูลเจียงไปได้แล้ว!


แต่ก็ชัดเจนว่าเหล่าผู้อาวุโสที่ตีวงล้อมอยู่คงไม่ปล่อยให้เขามีเวลาตีอกชกหัว พละกำลังของคนเหล่านั้นบีบอัดเข้ามาด้วยแรงกดดันหนักหน่วงอย่างไม่ลดละ


เท่าที่ดูจากการโจมตี ต่อให้นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานอย่างปรมาจารย์หยางก็คงรับมือได้ยาก


รู้ดีว่าตัวเองคงเละเป็นเนื้อบดแน่หากเผชิญหน้ากับการผนึกกำลังกันของเหล่าผู้อาวุโส จางเซวียนจึงยกมือขึ้นและตวาดก้อง “ยับยั้งพวกเขาไว้!”


ฟึ่บ!


ตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลเจียงที่เขาทำให้มันยอมจำนนได้เมื่อครู่ลอยขึ้นจากขวามือของเขา ภายใต้คำสั่งของตราสัญลักษณ์ ค่ายกลอารักขาสร้างปราการโปร่งใสล้อมรอบตัวจางเซวียนไว้


บึ้ม! บึ้ม! บึ้ม!


การโจมตีของเหล่าผู้อาวุโสพุ่งเข้าใส่ปราการ เกิดความสั่นสะเทือนที่แผ่ออกไปโดยรอบ แต่ก็โชคดีที่แม้แต่การผนึกกำลังกันของคนเหล่านั้นก็ไม่อาจทะลุปราการได้


“มันใช้ได้ผล…” จางเซวียนมองภาพตรงหน้าอย่างพรั่นพรึงก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่


เขาหวนนึกถึงประสบการณ์ที่เคยมีกับค่ายกลอารักขาของตระกูลจางและตระกูลหลัว จึงรีบนำตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลเจียงออกมาเพื่อควบคุมค่ายกลอารักขาของพวกเขา โชคดีที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน


ตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลคือกุญแจที่ใช้ควบคุมค่ายกลอารักขา การทำให้มันยอมจำนนได้ก็หมายความว่าเขามีค่ายกลทุกอันของตระกูลเจียงอยู่ในมือ พูดอีกอย่างก็คือ ไม้ตายสูงสุดของตระกูลเจียงที่ทำให้คู่ต่อสู้หวาดกลัวได้กลายเป็นเครื่องรางที่มอบความปลอดภัยให้เขา


“คะ-คุณ…”


เจียงฟังโหย่วรู้ว่าไอ้หัวขโมยทำให้ตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลยอมจำนนได้ แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะควบคุมค่ายกลของพวกเขาได้ด้วยความพยายามเพียงครั้งเดียว อันที่จริง เหตุผลที่เขาสั่งการให้เหล่าผู้อาวุโสเล่นงานไอ้หัวขโมยอย่างเร่งด่วนก็เพื่อจะจัดการขั้นเด็ดขาดก่อนที่อีกฝ่ายจะรู้ว่าควรใช้ตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลอย่างไร


ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองจะเสียสติ


ใช่ว่าเขาไม่เคยเจอผู้เชี่ยวชาญระดับนี้มาก่อน อันที่จริง ชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดที่มาพบเขาก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนจะมีพละกำลังเหนือกว่าปรมาจารย์หยางเสียอีก แต่ก็ดูท่าว่าชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้นคงจัดการสถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้เหมือนกัน


“โจมตีต่อไป!” เจียงฟังโหย่วตวาด


ได้ยินคำสั่งของหัวหน้าตระกูล เหล่าผู้อาวุโสปล่อยการโจมตีอย่างต่อเนื่อง


จางเซวียนรู้ดีว่าตัวเองได้รับการปกป้องจากค่ายกลอารักขา จึงไม่ร้อนใจอีกต่อไป


“หยุดก่อน!”


เขาหัวเราะหึๆ แล้วเคาะนิ้วไปที่ช่องว่างตรงหน้า


บึ้มมมม!


พลังจิตวิญญาณปริมาณมหาศาลระเบิดออกไปโดยรอบ สกัดกั้นการเคลื่อนไหวของเหล่าผู้อาวุโสไว้ พวกนั้นทำไม่ได้ทั้งโจมตีและหลบหนี


เหล่าผู้อาวุโสมองหน้ากันด้วยความสับสน ต่างคนต่างชะงักกับสิ่งที่เกิดขึ้น


เมื่อทนไม่ไหวอีกต่อไป ผู้อาวุโสคนหนึ่งตวาดก้อง “ท่านหัวหน้า มันเกิดอะไรขึ้น?”


“ทำไมตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลถึงอยู่ในมือเขา? ทำไมเขาควบคุมค่ายกลอารักขาของพวกเราได้?”


“หมอนั่นเป็นใคร?”


คำถามพรั่งพรูออกจากปากของเหล่าผู้อาวุโสที่กำลังงงงัน


“เกิดอะไรขึ้น? เขาเป็นใคร?” เจียงฟังโหย่วทึ้งผมอย่างคลุ้มคลั่ง นั่นคือสิ่งที่ผมอยากรู้เหมือนกัน ผมอยากรู้สุดๆเลยว่าเขาเป็นใครและตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น?


รู้ดีว่าเรื่องด่วนตอนนี้คือการจับตัวหัวขโมยให้ได้ เจียงฟังโหย่วคำราม “ไอ้สารเลวนั่นลอบเข้าไปในขุมสมบัติของเราและกวาดทรัพย์สมบัติของเราไปหมด…”


แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ หัวขโมยก็ตะโกนสวนมา “เหล่าผู้อาวุโส ฟังคำสั่งของผม! ชายผู้นั้นน่ะคือฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น เขาปลอมตัวเป็นผมและขโมยทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลเจียงไป พวกคุณจะปล่อยให้เขาหนีไปไม่ได้นะ!”


เสียงนั้นดังก้องอยู่กลางอากาศ ทะลุไปถึงสวรรค์


เจียงฟังโหย่วถึงกับผงะและหันไปมองหัวขโมยที่ยืนอยู่กลางวงล้อม หมอนั่นเลิกคิดจะหลบหนีแล้ว และเขาก็ค่อยๆปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของตัวเองจนเหมือนเจียงฟังโหย่วอย่างไม่มีผิดเพี้ยน!


ราวกับเขากำลังส่องกระจก!


“คุณ…” เจียงฟังโหย่วตัวแข็ง ถึงกับผงะกับสิ่งที่เห็น


เขาเคยเห็นคนอื่นๆปลอมตัวมาก่อน และแม้ตัวเขาเองในอดีตก็เคยทำอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่ว่านักรบคนหนึ่งจะปลอมตัวอย่างไร อย่างดีที่สุดที่ทำได้ก็คือปรับเปลี่ยนหน้าตาและบุคลิกเท่านั้น มันเป็นเรื่องที่สุดจะจินตนาการได้ที่นักรบคนหนึ่งปรับเปลี่ยนได้แม้กระทั่งรังสีของจิตวิญญาณจนเหมือนเป๊ะกับบุคคลที่เขาตั้งใจจะปลอมตัวเป็นคนนั้น!


เหล่าผู้อาวุโสต่างก็จังงังกับสิ่งที่เห็น


ในชั่วพริบตา พวกเขาก็พบว่ามีหัวหน้าตระกูลสองคนยืนอยู่ตรงหน้า และกำลังพูดในสิ่งที่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง


พวกเขาควรจะเชื่อใคร?


เห็นเหล่าผู้อาวุโสเริ่มหวั่นไหว จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลน่ะจะเชื่อฟังคำสั่งของหัวหน้าตระกูลเท่านั้น ในฐานะผู้อาวุโสของตระกูลเจียง พวกคุณคงไม่หลงลืมข้อเท็จจริงข้อนี้หรอกนะ?”


จางเซวียนโบกมือ แล้วตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลก็เรืองแสงเจิดจ้าออกมา


จากนั้น เหล่าผู้อาวุโสก็รู้สึกว่าพลังงานที่พันธนาการพวกเขาไว้สลายตัวไป ทำให้สามารถเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง


“มีแต่หัวหน้าตระกูลเท่านั้นที่จะทำให้ตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลยอมจำนนได้ เขาจะต้องเป็นหัวหน้าตระกูลตัวจริง!”


“ผู้ที่ควบคุมค่ายกลอารักขาได้จะเป็นหัวหน้าตระกูลตัวปลอมได้อย่างไร?”


…..


การควบคุมค่ายกลอารักขาเป็นความสามารถเฉพาะของหัวหน้าตระกูล เมื่อหลักฐานโดดเด่นเห็นชัดอยู่ตรงหน้า ใช้เวลาไม่นานเหล่าผู้อาวุโสก็เชื่อคำพูดของจางเซวียน พวกเขาพากันส่งสายตาเป็นปฏิปักษ์ใส่เจียงฟังโหย่วตัวจริง


“…..”


เจียงฟังโหย่วนึกไม่ถึงว่าไอ้หัวขโมยจะย้อนเกล็ดเขาแบบนี้


เขายังพอรับได้กับการที่หมอนั่นสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของทั้งเวลา มิติ และจิตวิญญาณ และข้อเท็จจริงที่ว่าอีกฝ่ายมีความสามารถของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ เขาก็ยังรับได้


แต่การปลอมตัวเป็นเขาและสวมบทบาทหัวหน้าตระกูล ถึงกับโน้มน้าวใจเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเจียงให้เป็นปฏิปักษ์ต่อเขาด้วย…เรื่องนี้ให้อภัยไม่ได้!


“ทุกคน อย่าไปฟังเขา ผมคือเจียงฟังโหย่วตัวจริง! ก่อนหน้านี้ ผมใช้ค่ายกลอารักขาโจมตีเขา เขานั่นแหละคือคนที่ขโมยตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลไป…” เจียงฟังโหย่วรีบอธิบายเพื่อหวังจะแก้ไขสถานการณ์


“บังอาจ! คุณคิดว่าตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลนั้น ใครๆก็ทำให้มันยอมจำนนได้หรือ? ต่อให้มันถูกขโมยและมีคนอื่นทำให้มันยอมจำนนได้จริงๆ แล้วคุณคิดหรือไงว่าค่ายกลอารักขาของตระกูลเจียงจะถูกควบคุมได้ง่ายๆ?” จางเซวียนคำราม “อย่างน้อยก็ควรจะพูดอะไรที่มันน่าเชื่อถือกว่านี้หน่อย!”


หลังจากตำหนิเจียงฟังโหย่ว เขาก็หันไปถามเหล่าผู้อาวุโสที่อยู่โดยรอบ “ใช่ไหม ผู้อาวุโส?”


“ค่ายกลอารักขาของตระกูลเจียงของพวกเราได้รับการขัดเกลาและเพิ่มพลังจากน้ำมือของเหล่าบรรพบุรุษมานับไม่ถ้วน จนถึงจุดที่มันมีความเป็นหนึ่งเดียวในตัวเอง หากไม่ได้รับการถ่ายทอดมรดกตกทอดของตระกูลเจียง ต่อให้ประธานสมาคมผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลสำนักงานใหญ่ก็ไม่มีทางควบคุมค่ายกลอารักขาของเราได้!”


“จริงด้วย เขาควบคุมค่ายกลอารักขาโดยใช้ตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลได้อย่างเชี่ยวชาญ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคือหัวหน้าตระกูลตัวจริง!”


“ผมได้ยินว่าฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจสามารถปลอมตัวเป็นมนุษย์ได้ ถึงขั้นที่แม้แต่ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวก็ยังแยกแยะความแตกต่างได้ยาก เป็นไปได้ไหมว่าหัวหน้าตระกูลตัวปลอมจะเป็นฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจปลอมตัวมาจริงๆ?”


“ผมก็ไม่แน่ใจ บอกตามตรงนะ ผมยังสับสนกับสถานการณ์ตอนนี้อยู่เลย…”


ฝูงชนต่างคิดหนัก


ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าไม่มีใครทำให้ตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลยอมจำนนได้ในระยะเวลาอันสั้น หรือต่อให้ศัตรูทำแบบนั้นได้จริง ก็ไม่มีทางที่เขาจะควบคุมและสั่งการค่ายกลอารักขาได้อย่างรวดเร็ว ใช่ไหม?


หากไม่ใช้ความพยายามเนิ่นนานหลายปี ก็ไม่มีทางที่จะควบคุมค่ายกลได้!


“แกเป็นใคร? เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นใช่ไหม?” ผู้อาวุโสคนหนึ่งตวาดเจียงฟังโหย่ว


“เผ่าพันธุ์ปีศาจบ้านคุณน่ะสิ! ผมคือเจียงฟังโหย่ว! เจียงฟังผิง อย่าบอกนะว่าคุณจำผมไม่ได้? เรารู้จักกันตั้งแต่อายุ 7 ปี! ตอนที่คุณอายุ 8 ปีน่ะ คุณไม่สามารถฝึกฝนศิลปะหัวใจเดือดให้เชี่ยวชาญได้ เลยมาหาผมเพื่อขอคำชี้แนะ เพราะคุณสำนึกในบุญคุณของผม จึงมอบผลหยกแดงก่ำให้เป็นการชดเชย แต่ผมไม่รู้ว่าคนที่มีระดับวรยุทธอ่อนด้อยน่ะไม่ควรกินผลหยกแดงก่ำ ผมเลยเกือบตายจากการที่ลมปราณแตกซ่าน…คุณต้องจำเรื่องนี้ได้แน่ ใช่ไหม?” เจียงฟังโหย่วตวาดลั่น

 

 

 


ตอนที่ 1644

 

 เหมือนกันอย่างกับแกะ

พูดตามตรง ไอ้หัวขโมยทำให้เจียงฟังโหย่วรู้สึกว่าตัวเองบอบช้ำเสียจนไม่น่าจะหายดีดังเดิมได้อีก


แต่หากตัดเรื่องนั้นออกไป เมื่อพิจารณาถึงรูปร่างหน้าตาและแม้แต่รังสีของจิตวิญญาณที่เหมือนกับเขาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ก็ไร้ประโยชน์ที่จะโยนกันไปมาว่าใครคือตัวจริงหรือตัวปลอม วิธีที่ดีที่สุดสำหรับเขาในการพิสูจน์ว่าเขาคือเจียงฟังโหย่วตัวจริงก็คือความทรงจำ!


เขาเติบโตขึ้นมาในตระกูลเจียงตั้งแต่อายุยังน้อย จึงคุ้นเคยกับผู้อาวุโสทุกคนที่นี่ ต่อให้อีกฝ่ายจะปลอมตัวได้อย่างแนบเนียนแค่ไหน ก็ไม่มีทางรู้รายละเอียดของเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เคยเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา!


ดังนั้น เจียงฟังโหย่วจึงเริ่มเปิดเผยความลับส่วนตัวเพื่อยืนยันตัวตนของเขาอย่างไม่ลังเล


“เอ่อ…”


คำพูดนั้นทำให้ผู้อาวุโสฟังผิงอึ้งไป ความสงสัยปรากฏชัดในดวงตาของเขา


เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่พวกเขายังเด็กมาก แล้วคนที่รู้ก็มีแต่ทั้งคู่เท่านั้น ไม่มีทางที่คนนอกจะรู้เรื่องนี้ได้เลย พูดอีกอย่างก็คือ ถ้าเจียงฟังโหย่วคนที่ไม่มีตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลเป็นตัวปลอม ก็ไม่มีทางที่เขาจะรู้เรื่องนี้!


หรือว่าเจียงฟังโหย่วคนที่มีตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลจะเป็นตัวปลอม?


“มีอะไร?” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งที่อยู่ข้างเจียงฟังผิงตั้งคำถาม


“สิ่งที่เขาพูดน่ะ…เป็นเรื่องจริง!” เจียงฟังผิงตอบอย่างกระอักกระอ่วน


ออกจะเป็นเรื่องน่าอับอายไม่น้อยที่ความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆที่เขาเคยทำสมัยยังเด็กถูกนำมาพูดถึงอีกครั้งต่อหน้าฝูงชน


“จริงหรือ?”


ได้ยินคำนั้น เหล่าผู้อาวุโสหันกลับไปมองจางเซวียนพร้อมกับขมวดคิ้ว


ใน 2 คนนี้ จะต้องมีใครคนหนึ่งที่เป็นตัวปลอม ถ้าเจียงฟังโหย่วคนที่ไม่มีตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลเป็นตัวจริง คนที่มีตราสัญลักษณ์ก็จะต้องเป็นตัวปลอม!


“ไม่จำเป็นต้องมองผมแบบนั้นหรอก ถึงเรื่องนี้จะมีคนรู้ไม่มาก แต่ก็ไม่ยากเกินไปที่จะไถ่ถามจากเหล่าผู้อาวุโสในตระกูล!”


จางเซวียนนึกไม่ถึงว่าเจียงฟังโหย่วจะตอบโต้รวดเร็วแบบนี้ แถมยังหยิบยกประเด็นสำคัญเสียด้วย แต่เขาก็ยังคงรักษารอยยิ้มเยือกเย็นเอาไว้ ไม่แสดงออกถึงความปั่นป่วนแม้แต่น้อย เขาหันไปมองเจียงฟังผิงและพูดว่า “เจียงฟังผิง เทคนิควรยุทธที่คุณฝึกฝนน่ะคือศิลปะการบ่มเพราะจิตวิญญาณ 3 จุดที่ได้รับการถ่ายทอดจากผู้อาวุโสเจียงเชา แต่ด้วยข้อผิดพลาดหลายข้อในการฝึกฝนวรยุทธ คุณจึงต้องเผชิญกับความเจ็บปวดแสนสาหัสที่จุดชีพจรจื่อเหมินทุกครั้งที่เกิดพายุ คุณจะพบว่าตัวเองไม่อาจควบคุมพลังปราณได้ และบางครั้งมันก็ถึงตีกลับ…”


ก่อนหน้านี้ ตอนที่ผู้อาวุโสหลายสิบคนปล่อยการโจมตีเข้าใส่เขาพร้อมๆกัน จางเซวียนได้รีบประมูลหนังสือของแต่ละคนไว้ในหอสมุดเทียบฟ้า ดังนั้นจึงรู้ปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่


ในเมื่อเจียงฟังโหย่วอยากเล่นเกม ‘ใครจะขุดคุ้ยได้ลึกกว่า’ เขาก็ไม่เดือดร้อนที่จะร่วมเล่นด้วย


“เอ่อ…” เจียงฟังผิงถึงกับผงะกับการเปิดเผยข้อมูลครั้งนี้ เขาพยักหน้า “ใช่ เรื่องนั้นถูกต้อง…แต่ผมไม่เคยบอกใครถึงปัญหาเรื่องนี้มาก่อน แล้วคุณรู้ได้อย่างไร?”


จางเซวียนถึงกับคิ้วกระตุก


เวรละ เรามัวแต่ตั้งใจจะเอาชนะเจียงฟังโหย่ว จนพลั้งปากเปิดเผยข้อมูลมากไป


หอสมุดเทียบฟ้ามองเห็นข้อบกพร่องของทุกคน เขาอาจใช้ความรู้เหล่านี้ในการจัดฉากให้ตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ล้ำลึกเกินหยั่งได้ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อต้องมาเกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงๆ โดยเฉพาะต่อหน้าผู้ที่สนิทสนมกับเขา


บ่อยครั้งที่ข้อมูลที่หอสมุดเทียบฟ้าเปิดเผยนั้นก็ลึกซึ้งเกินไปจนแม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้เรื่องนั้น


ทั้งที่ไม่ค่อยสบายใจ แต่จางเซวียนก็วางสีหน้าเรียบเฉยและถอนหายใจเฮือก “บอกคุณตามตรงนะ ผมมองเห็นปัญหานี้มานานแล้ว แต่เกรงว่าการเพิ่มความคาดหวังของคุณมีแต่จะทำให้คุณผิดหวังภายหลัง จึงตัดสินใจเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน ที่ผ่านมา ผมได้พยายามค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาของคุณมาตลอด ซึ่งก็โชคดีที่เมื่อ 2 วันก่อนผมหาวิธีรักษามันได้สำเร็จ ดูนี่สิ!”


หลังจากพูดจบ จางเซวียนก็เคาะนิ้ว


ฟึ่บ!


หนังสือเทคนิควรยุทธถูกถ่ายทอดเข้าสู่สมองของเจียงฟังผิง


หลังจากที่อ่านหนังสือทั้งหมดในคลังหนังสือตระกูลเจียงแล้ว จางเซวียนก็ถ่ายโอนหนังสือศิลปะการบ่มเพาะจิตวิญญาณ 3 จุดเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าด้วย ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่ามีข้อผิดพลาดอย่างไร เมื่อประมวลมันเข้ากับศาสตร์แห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้า เขาก็สามารถแก้ไขปัญหาที่เจียงฟังผิงกำลังเผชิญอยู่ได้โดยไม่ยุ่งยากมากนัก


“อะ-เอ่อ…”


เมื่ออ่านหนังสือที่เพิ่งได้รับการถ่ายทอดมา เจียงฟังผิงตัวสั่นไม่หยุดราวกับถูกสายฟ้าฟาด ด้วยความสามารถในการเรียนรู้ของเขา เขาบอกได้เลยว่าเทคนิควรยุทธนี้ล้ำค่าแค่ไหน หากเขาฝึกฝนมันอย่างเคร่งครัด ไม่เพียงแต่อาการบอบช้ำจะบรรเทา ยังจะยกระดับวรยุทธได้อีกมากด้วย!


หรือว่าจะเป็นความจริงที่หัวหน้าตระกูลมองเห็นปัญหาของเขามานานแล้วและได้พยายามศึกษาค้นคว้าเพื่อหาวิธีแก้ไขให้เขามาตลอด?


ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เขาก็เป็นหนี้บุญคุณท่านหัวหน้าตระกูล


“ยินดีด้วย ผู้อาวุโสฟังผิง!”


เพียงแค่เห็นสีหน้าของเจียงฟังผิง ก็เห็นชัดว่าหนังสือที่เขาได้รับการถ่ายทอดนั้นมีผลมาก เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ข้างเจียงฟังผิงรีบประสานมือและแสดงความยินดีกับเขา


“อย่าหลงกลหมอนั่น!”


เจียงฟังโหย่วนึกไม่ถึงว่าไอ้หัวขโมยจะสามารถจี้จุดของความบอบช้ำที่เจียงฟังผิงกำลังเผชิญอยู่และถึงกับหาข้อแก้ไขได้ด้วย เพียงแค่คิดว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับปีศาจชนิดไหน ก็รู้สึกเหมือนเส้นผมทั้งหมดบนศีรษะตั้งชั้นไปหมด “ผมคือเจียงฟังโหย่วตัวจริง! ผู้อาวุโสฟังเฉิง เรารู้จักกันมานานกว่า 100 ปีแล้ว…และ”


ยังไม่ทันที่เจียงฟังโหย่วจะพูดจบ จางเซวียนก็พูดแทรก “ผู้อาวุโสฟังเฉิง เรารู้จักกันมานานกว่า 100 ปีแล้ว และผมเชื่อว่าคุณน่าจะเข้าถึงขั้น 3 ของศิลปะการปลอบประโลมจิตวิญญาณของคุณแล้ว ใช่ไหม? แต่ศาสตร์แห่งจิตวิญญาณนี้ดูเหมือนจะไม่เข้ากันกับเทคนิคที่คุณเคยฝึกฝนมาก่อนหน้านี้ ผมจึงขอแนะนำให้คุณปรับเปลี่ยนการฝึกฝนวรยุทธสักเล็กน้อย รับรองว่าคุณจะยกระดับวรยุทธได้รวดเร็วกว่าเดิมมาก!”


หลังจากพูดจบ จางเซวียนก็กระดิกนิ้วและส่งเจตจำนงเศษเสี้ยวหนึ่งของเขาออกไป


เมื่อเจียงฟังเฉิงได้อ่านหนังสือเทคนิควรยุทธที่ถูกถ่ายทอดให้ เขาก็ตัวแข็งทื่อไปทันที ออกอาการงงงันขีดสุดกับสิ่งที่ได้รับ


เทคนิควรยุทธนี้เป็นรูปแบบเดียวกันกับเทคนิคที่เขาเคยฝึกฝนมาก่อน แต่แข็งแกร่งกว่าศิลปะการปลอบประโลมจิตวิญญาณที่เขากำลังฝึกฝนอยู่ในตอนนี้มาก!


“อันที่จริง ผมไม่ได้ให้ความสนใจแค่กับผู้อาวุโสฟังผิงและผู้อาวุโสฟังเฉิงนะ เพื่อนำพาตระกูลเจียงของเราไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ผมเฝ้าดูพวกคุณทุกคนอยู่ และรู้ดีว่าปัญหาและความยากลำบากที่พวกคุณกำลังเผชิญอยู่ในการฝึกฝนวรยุทธคืออะไร…”


“ผู้อาวุโสฟังเจิน ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด คุณกำลังฝึกฝนมหาคัมภีร์แห่งจิตวิญญาณขั้น 4 อยู่ใช่ไหม? ระดับวรยุทธของคุณยังไม่ถึงขั้นนะ เพราะฉะนั้นผมขอแนะนำคุณว่าอย่ารีบร้อน เพราะมันจะนำผลเสียมาสู่คุณมากกว่าผลประโยชน์ คุณรู้สึกบ้างหรือเปล่าว่าตัวเองมักหายใจขัดบ่อยๆ และจิตวิญญาณกับกายเนื้อก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยสัมพันธ์กัน?”


“ผู้อาวุโสฟังหลิง พลังชีวิตของคุณเหือดแห้งไปมากนะ ผมขอแนะนำให้คุณหยุดยุ่งเกี่ยวกับสาวๆสักระยะหนึ่งก่อน ไม่อย่างนั้นคุณจะอายุสั้น…”


“ผู้อาวุโสฟังหู ผมรู้ว่าคุณชื่นชอบการวาดภาพ แต่คุณจะปล่อยให้มันขัดขวางการฝึกฝนวรยุทธไม่ได้ วรยุทธของคุณหยุดชะงักมาเป็นระยะเวลานานแล้วนะ…”


…..


จางเซวียนระบุปัญหาของผู้อาวุโสจำนวนหลายสิบคนนั้นทีละคนทีละคน ไม่ช้า ทั่วทั้งบริเวณก็ตกอยู่ในความเงียบ


คำพูดของเขาทำให้แต่ละคนชะงัก เขาจี้ข้อบกพร่องและปัญหาใหญ่ๆที่ทุกคนกำลังเผชิญอยู่ในตอนนั้นได้ทั้งหมด


หรือว่าเขาจะเป็นหัวหน้าตระกูลตัวจริง?


ไม่อย่างนั้น จะรู้มากขนาดนี้ได้อย่างไร? ราวกับจับพวกเขาแก้ผ้าและล้วงความลับของพวกเขาออกมาอย่างนั้นแหละ!


“….”


เห็นเหล่าผู้อาวุโสต่างเงียบกริบ เจียงฟังโหย่วทึ้งผมออกมาอีกกระจุกหนึ่งอย่างคลุ้มคลั่ง


คุณเป็นใครกัน?


แม้แต่ผมยังไม่รู้ซึ้งถึงวรยุทธของผู้อาวุโสเหล่านี้เลย แล้วคุณรู้ได้อย่างไร?


อีกอย่าง จี้จุดให้พวกเขาเห็นได้อย่างถูกต้องโดยไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย เอาชนะใจผู้อาวุโสทุกคนได้ภายในชั่วพริบตา…


และผู้อาวุโสเหล่านั้น…เราจะทำอย่างไรในเมื่อพวกเขาเลือกเข้าข้างหมอนั่นกันหมดแล้ว?


ชีวิตของเราเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า? หรือว่าเราจะไม่ใช่เจียงฟังโหย่ว?


เราอยู่ที่ไหน? เราคือใคร? เราเป็นอะไร?


เจียงฟังโหย่วสับสนอลหม่านกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวเขา เขารู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมา จากนั้นก็หันหน้าไปมองเฟยเฟยซึ่งเป็นความหวังสุดท้าย “เฟยเฟย พ่อเป็นพ่อของเจ้านะ เจ้าต้องจำพ่อได้สิ ใช่ไหม? พ่อคือตัวจริง!”


ต่อให้ผู้อาวุโสทุกคนจำเขาไม่ได้ แต่อย่างน้อยลูกสาวของเขาก็ต้องจำเขาได้ จริงไหม?


“ฉัน…” เจียงเฟยเฟยคิดไม่ถึงว่าจะต้องเผชิญหน้ากับท่านพ่อสองคนพร้อมๆกัน เธอไม่อาจตัดสินใจแน่ชัดได้


เธอควรทำอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้?


ครู่ต่อมา เธอก็รวบรวมความคิดและพูดว่า “ก่อนจะเข้าสู่ขุมสมบัติ ท่านพ่อได้บอกฉันว่าฉันจะต้องทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณให้ได้ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ตาม ไม่อย่างนั้นฉันจะต้องถูกบังคับให้เข้าพิธีแต่งงาน ฉันจะต้องเลือกว่าจะแต่งงานกับจางเซวียนจากตระกูลจางหรือหลัวเทียนหยาจากตระกูลหลัว มีแต่ท่านพ่อของฉันเท่านั้นที่รู้ว่าฉันตอบว่าอย่างไร ถ้าพวกคุณพูดคำตอบของฉันออกมาได้ นั่นก็จะเป็นการพิสูจน์ว่าใครเป็นตัวจริง!”

 

 

 


ตอนที่ 1645

 

ตัวปลอม!

เท่าที่ดูจากรูปลักษณ์และรังสีของจิตวิญญาณ เจียงเฟยเฟยก็ไม่อาจระบุได้ว่าใครเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม เธอจึงต้องใช้บทสนทนาระหว่างเธอกับท่านพ่อเป็นตัวตัดสิน


“เจ้าพูดว่า…” หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เจียงฟังโหย่วกำลังจะพูดคำตอบของเจียงเฟยเฟยออกมา ก็พอดีกับที่เสียงหนึ่งขัดขึ้น


“เจ้าพูดว่า ‘ฉันไม่อยากแต่งงานกับจางเซวียนคนนั้น เขาก็ดีแต่คุยโวโอ้อวดถึงพละกำลังของตัวเองและทำลายความมั่นใจของใครต่อใครไปทั่ว อีกอย่าง เขาถึงกับปฏิเสธแม้แต่องค์หญิงน้อยแห่งตระกูลหลัว ปฏิเสธต่อหน้าสาธารณชนเลยด้วย เขาไม่ใส่ใจความรู้สึกหรือเกียรติยศศักดิ์ศรีของใครเลย!”


“คือ…” เจียงเฟยเฟยอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “ใช่ ฉันพูดแบบนั้นจริงๆ…”


“…”


ร่างของเจียงฟังโหย่วถึงกับกระตุกอีกครั้ง ในตอนนั้น เขารู้สึกราวกับว่าไอ้หัวขโมยเข้ามาสิงในหัวสมองของเขาและขโมยความทรงจำของเขาไป


นั่นคือคำพูดที่ลูกสาวของเขาพูดกับเขาก่อนหน้านี้ แล้วหมอนั่นถ่ายทอดออกมาอย่างถูกต้องได้อย่างไร?


เจียงฟังโหย่วคำรามกร้าวพร้อมกับเส้นเลือดที่บนขมับที่ปูดโปน “ไม่ใช่แล้วล่ะ มันไม่ถูกต้อง…ก่อนหน้านี้คุณซ่อนตัวอยู่ใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าผมกับเฟยเฟยพูดอะไรกัน?


เขากำลังจะจับตัวหัวขโมยที่เข้าไปกวาดทรัพย์สมบัติของตระกูลเจียง แต่ทุกอย่างก็ผิดเพี้ยนไปจนเกินจะควบคุม ถึงขั้นที่แม้แต่ตัวเขาก็เริ่มสงสัยในตัวตนของตัวเอง ไม่มีคำไหนจะใช้พรรณนาความรู้สึกที่เจียงฟังโหย่วรู้สึกตอนนี้ได้


“ผมก็พูดได้เหมือนกันว่าก่อนหน้านี้คุณซ่อนตัวอยู่!” จางเซวียนคำรามเยาะ “เอาล่ะ เลิกปะทะคารมอย่างไร้สาระและเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของคุณออกมาเสียที! ไม่อย่างนั้น ถ้าพวกเราโจมตีพร้อมกันล่ะก็ ชะตาเดียวที่รอคุณอยู่ก็คือความตาย!”


“ผม…”


ได้ยินคำนั้น เจียงฟังโหย่วตัวสั่นด้วยความร้อนรน เขาอยากจะปฏิเสธ แต่ไม่อาจหาคำไหนมาโน้มน้าวการโต้แย้งให้กลับมาเข้าข้างเขาได้


ทุกอย่างไม่เป็นใจให้เขาเลย เหล่าผู้อาวุโสไม่เชื่อเขา และเขาก็ไม่มีตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลหรือสัญลักษณ์ใดๆที่จะยืนยันตัวตนของตัวเอง หากพวกนั้นรวมหัวกันเล่นงานเขาล่ะก็ เขาต้องไม่รอดแน่


และกรณีเลวร้ายที่สุด อาจถึงกับต้องเสียชีวิตเลยทีเดียว


“เอาล่ะ ผมขอพูดอะไรเพื่อความชอบธรรมสักหน่อย”


ขณะที่เจียงฟังโหย่วกำลังอับจนถ้อยคำและไม่รู้จะทำอย่างไร เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นท่ามกลางเหล่าผู้อาวุโส จากนั้นชายชราคนหนึ่งก็เดินออกมา


จางเซวียนชำเลืองมองและเห็นว่าอีกฝ่ายคือผู้อาวุโสฟังอวิ๋นของตระกูลเจียง


แม้สถานภาพของเขาภายในตระกูลจะไม่สูงส่งนัก แต่ก็เป็นผู้อาวุโสที่ได้รับความเคารพอย่างสูง และคำพูดของเขาก็ถือว่ามีน้ำหนักมาก ก่อนหน้านี้จางเซวียนได้ให้คำชี้แนะกับเขาเช่นกัน


“ผู้อาวุโสฟังอวิ๋นพูดมาได้เลย” จางเซวียนประสานมือ


“อือ!” ผู้อาวุโสฟังอวิ๋นพยักหน้า ด้วยแววตาที่ดูซับซ้อน เขาพูดว่า “เมื่อครู่นี้คุณได้ให้คำชี้แนะกับวรยุทธของพวกเรา เราตั้งใจฟังอย่างถี่ถ้วน และคำพูดของคุณก็พุ่งตรงเข้าสู่ใจกลางของวรยุทธแห่งจิตวิญญาณ อันที่จริงก็ไม่ถือว่าเป็นการพูดเกินไปหากจะกล่าวว่าคำพูดของคุณปราศจากข้อบกพร่องอย่างสิ้นเชิง ผมยินดีมากที่ได้คุณมาเป็นหัวหน้าตระกูลของพวกเรา ภายใต้การนำของคุณ ไม่ช้าไม่นานตระกูลเจียงของเราจะต้องเหนือชั้นกว่าตระกูลหลัวและตระกูลจางแน่…แต่น่าเสียดายที่คุณไม่ใช่!”


“ผมไม่ใช่?” จางเซวียนถึงกับชะงัก “ผมคือเจียงฟังโหย่วตัวจริง…”


ผู้อาวุโสฟงอวิ๋นยกมือขึ้นเพื่อยับยั้งจางเซวียน “พูดกับคุณตามตรงนะ ไม่ใช่ผมคนเดียวที่รู้ เหล่าผู้อาวุโสทุกคนที่อยู่ตรงนี้ต่างก็รู้กันทั้งนั้น พวกเรารู้จักหัวหน้าตระกูลเจียงฟังโหย่วมาอย่างน้อยก็ร้อยปีแล้ว และรู้ดีถึงขีดจำกัดของความสามารถของเขา…การที่มองเห็นข้อบกพร่องของพวกเราและแก้ปัญหาได้อย่างไร้ที่ตินั้น เขาไม่มีความสามารถถึงขนาดนั้นหรอก! ถ้าเขาทำได้แบบนั้นจริง ตระกูลเจียงของเราคงไม่ต้องรั้งท้ายในบรรดาสามตระกูลชั้นนำ…”


“ผู้อาวุโสฟังอวิ๋นพูดถูก เจียงฟังโหย่วเป็นคนดี แต่ความสามารถของเขาไม่ได้มีอะไรโดดเด่น!


“คุณเก่งกาจกว่าหัวหน้าตระกูลของพวกเรามาก!”


ทันทีที่ผู้อาวุโสฟังอวิ๋นเริ่ม ผู้อาวุโสอีก 2-3 คนต่างก็ส่งเสียงแสดงความเห็นพ้อง


ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความธรรมดาสามัญของเขา เจียงฟังโหย่วแทบอยากจะหาที่ซุกซ่อน


นี่มันนรกอะไร! พวกคุณมองผมแบบนี้เองหรือ? ผมไม่มีความสามารถอะไรโดดเด่น? ดีล่ะ ผมจะจำไว้! เดี๋ยวเราจะต้องคุยกัน!


อย่างน้อยที่สุด พวกคุณก็ไม่ควรดูถูกผมต่อหน้าคนแปลกหน้าไม่ใช่หรือ?


เพิ่งเมื่อครู่นี้เองที่เขาจนปัญญาในการจะพิสูจน์ตัวตนของตัวเองต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโส แต่สุดท้ายพวกนั้นก็จดจำเขาได้ว่าเป็นหัวหน้าตระกูลตัวจริง แต่แทนที่จะดีใจ เขากลับรู้สึกว่าหัวใจถูกธนูนับดอกไม่ถ้วนยิงเข้าใส่จนพรุนไปหมด


ในช่วงเวลาที่กำลังรู้สึกย่ำแย่ เขาเห็นเจียงเฟยเฟยพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง “ความสามารถของท่านพ่อของฉันออกจะอ่อนด้อยไปสักหน่อย ไม่มีทางที่เขาจะระบุทุกอย่างแบบที่คุณพูดมาได้หรอก!”


เจียงฟังโหย่วยกมือกุมหน้าอก


พ่อรู้ว่าเจ้าพยายามจะหว่านล้อมเหล่าผู้อาวุโส แต่ก็ไม่น่าจะพูดอะไรที่บาดใจขนาดนี้!


มันเรื่องอะไรพ่อถึงมีลูกสาวแบบเจ้า?


เมื่อครู่นี้เองที่เจียงฟังโหย่วยังรู้สึกผิดที่ข่มขู่ลูกสาวของเขาเรื่องการเข้าพิธีแต่งงาน แต่ในเมื่อแม้แต่เจียงเฟยเฟยก็ยังดูจะไม่เคารพเขามากนัก เขาก็พลันรู้สึกว่าการจับเธอแต่งงานกับจางเซวียนก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่สักเท่าไหร่


ขณะที่เจียงฟังโหย่วกำลังเจ็บปวดหัวใจถึงขีดสุด จางเซวียนก็ได้แต่อึ้งตะลึงกับสถานการณ์ตรงหน้า


เขาคิดว่าคงสามารถเอาชนะใจฝูงชนของตระกูลเจียงได้ด้วยการชี้ข้อบกพร่องและบอกวิธีแก้ไขปัญหาของพวกเขา แต่กลับกลายเป็นว่านั่นคือกุญแจที่ทำให้พวกนั้นรู้ว่าเขาเป็นตัวปลอม…


การเป็นคนโดดเด่นนั้นมีชีวิตที่ยากเย็นจริงๆ ต่อให้พยายามปกปิดตัวเองสักแค่ไหน ใครๆก็มองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเขาอยู่ดี


ไม่ว่าจะทำอย่างไร เขาก็ฉายแสงเหมือนกับหิ่งห้อยยามค่ำคืน โดดเด่นและเห็นชัดแต่ไกล…


“การที่คุณสามารถให้คำชี้แนะเรื่องวรยุทธของจิตวิญญาณแก่พวกเราและระบุรายละเอียดได้โดยปราศจากข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย…ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด คุณคงได้อ่านหนังสือทั้งหมดในคลังหนังสือตระกูลเจียงแล้วใช่ไหม? และเมื่อครู่นี้ ปรากฏการณ์การยอมจำนนของเหล่าบรรพบุรุษก็เกิดขึ้น คุณใช่ไหมที่เป็นผู้สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณ?” เจียงฟังอวิ๋นตั้งคำถาม


ถึงเขาจะถูกเปิดโปงแล้ว แต่ก็ดูไม่เหมือนว่าผู้อาวุโสของตระกูลเจียงตั้งใจจะต้อนเขาให้จนมุม จางเซวียนจึงพยักหน้าและยอมรับ “ใช่!”


“สามารถทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณและมีความเข้าใจล้ำลึกในตระกูลเจียงของเรา คุณเป็นสมาชิกจากครอบครัวสาขาของตระกูลเจียงหรือเปล่า?” เจียงฟังอวิ๋นถามด้วยความสงสัย


พวกเขากำลังนึกถึงอัจฉริยะชั้นยอดที่ปรากฏตัวในตระกูลหลัว-หลัวเทียนหยา!


ทั้งที่มาจากครอบครัวสาขา แต่หลัวเทียนหยาก็สามารถทำความเข้าใจแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติได้ เป็นไปได้ไหมว่าเรื่องแบบเดียวกันจะเกิดขึ้นกับพวกเขา?


ไม่อย่างนั้น อีกฝ่ายจะเข้าใจพวกเขาและเทคนิควรยุทธที่พวกเขาฝึกฝนอย่างล้ำลึกได้อย่างไร?


เมื่อได้ยินคำถามนั้น จางเซวียนถึงกับไปไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามนั้นอย่างไร


“อันที่จริง ไม่ว่าคุณจะมาจากครอบครัวสาขาหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่ว่าคุณทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณได้ ก็หมายความว่าคุณมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลของพวกเรา อีกอย่าง คุณก็ทำให้ตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลยอมจำนนได้ ทั้งยังควบคุมค่ายกลอารักขาของพวกเราได้ด้วย!”


เจียงฟังโหย่วนัยน์ตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น เขาก้าวออกมาประสานมือและโค้งคำนับ “ดังนั้น…ผมจึงหวังว่าคุณจะจะรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลตัวจริงของพวกเรา และนำพาตระกูลเจียงของเราผ่านวิกฤตการณ์ที่รอคอยอยู่ตรงหน้าไปได้!”


“….” จางเซวียนถึงกับผงะกับเหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างกะทันหัน


เขาต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะโต้ตอบได้ เขาส่ายหน้าและพูดว่า “บอกตามตรงนะ ผมไม่ได้มาจากตระกูลเจียง!”


หากเขาเป็นสมาชิกจากครอบครัวสาขาของตระกูลเจียงก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่นี่เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดกับตระกูลเจียงเลย


“คุณไม่ได้มาจากตระกูลเจียงหรือ?”


ทุกคนพากันชะงัก


“ก็ไม่เป็นไร นั่นไม่ได้ทำให้เกิดความแตกต่างอะไรมากนักหรอก ข้อเท็จจริงที่ว่าคุณสามารถทำความเข้าใจแก่นสารแห่งจิตวิญญาณของตระกูลเจียงได้ก็หมายความว่าคุณมีสายสัมพันธ์ที่ตัดกันไม่ขาดกับตระกูลเจียงของเรา…ทำไมคุณถึงไม่แต่งงานกับเฟยเฟยล่ะ? ด้วยวิธีนี้ คุณก็จะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เป็นหัวหน้าตระกูลของเรา!” ผู้อาวุโสฟังอวิ๋นยื่นข้อเสนอ


“ไม่มีทาง!” นึกไม่ถึงว่าผู้อาวุโสฟังอวิ๋นจะลากเธอเข้าสู่การแต่งงานอย่างง่ายๆแบบนี้ เจียงเฟยเฟยรีบส่ายหน้าปฏิเสธ


นอกจากความจริงที่ว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าเธอปลอมตัวเป็นท่านพ่อของเธอแล้ว เธอก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใครและอายุมากขนาดไหน จะให้เต็มใจแต่งงานกับคนแปลกหน้ากันโดยสิ้นเชิงคนนี้นี่นะ?


“ผู้อาวุโสฟังอวิ๋น คุณก็เกรงอกเกรงใจเกินไปแล้ว ผมพร้อมที่จะเจรจากับพวกคุณเรื่องที่จะขึ้นรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเจียง แต่สำหรับการแต่งงานกับเธอนั้น…ลืมได้เลย!”


ถ้าตระกูลเจียงไม่ถือสาหาความกับการที่จะมีคนนอกมาเป็นหัวหน้าตระกูล เขาก็จะรับเรื่องนี้ไว้พิจารณา


เจียงฟังโหย่วมีความสัมพันธ์บางอย่างกับชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้น แต่ในฐานะตระกูลที่มีมรดกตกทอดนับถอยหลังไปได้หลายหมื่นปี ก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่ทั้งตระกูลจะทรยศมวลมนุษย์กันหมด น่าจะเป็นเพราะแกะดำเพียง 2-3 ตัวที่ซุกซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง


ไม่อย่างนั้น สภาปรมาจารย์ก็น่าจะรู้เรื่องนี้แล้ว


ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ หากตระกูลเจียงทรยศมวลมนุษย์จริงๆ การเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเจียงของเขาจะช่วยผลักดันให้ทุกคนกลับเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้องและยับยั้งการกระทำที่จะเป็นการทำร้ายมวลมนุษย์ได้


“คุณพูดว่า…ลืมมันเสียเถอะ? คุณหมายความว่าอย่างไร?” เจียงเฟยเฟยถึงกับปรี๊ด ฉันยังไม่ได้พูดบทของฉันเลย คุณก็พรวดพราดรีบปฏิเสธฉันเสียแล้ว…


 

 

 


ตอนที่ 1646

 

 ความลับของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่ไม่มีใครรู้ (1)

ถึงอย่างไร เธอก็เป็นอัจฉริยะผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่งของทวีปแห่งปรมาจารย์ ทั้งยังมีความงดงามไม่เป็นรองใคร เมื่อตอนอยู่ที่ปูชนียสถานนักปราชญ์ก็ไม่เคยขาดแคลนคนหมายปอง…


แต่หมอนี่กลับปฏิเสธออกนอกหน้าตอนที่ผู้อาวุโสเสนอให้เขาแต่งงานกับเธอ ทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?


“คุณไม่ต้องคิดให้ลึกซึ้งไปหรอก ผมหมายความอย่างที่พูดนั่นแหละ คุณขี้เหร่เกินไป ผมไม่ชอบ”


เมื่อพูดจบ จางเซวียนก็ไม่ใส่ใจเจียงเฟยเฟยที่กำลังปรี๊ดแตก เขาหันกลับไปหาผู้อาวุโสฟังอวิ๋นอีกครั้ง “ผมมีคนรักอยู่แล้ว เกรงว่าจะต้องปฏิเสธข้อเสนอเรื่องการแต่งงานที่คุณพูดมา แต่ถ้าคุณยังอยากให้ผมเป็นหัวหน้าตระกูลโดยยกเว้นเรื่องนั้นเสีย ผมก็จะไม่ปฏิเสธข้อเสนอของคุณอีกต่อไป ผมจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะนำพาตระกูลเจียงไปสู่ความยิ่งใหญ่โดยไม่พลาดพลั้ง เลือกเส้นทางที่ผิด!”


เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นเริ่มปรากฏตัวในทวีปแห่งปรมาจารย์แล้ว นั่นเป็นสัญญาณว่าสงครามกำลังใกล้เข้ามา ตอนนี้เขามีทั้งตระกูลจางและตระกูลหลัวเป็นพรรคพวก หากรวมตระกูลเจียงเข้ามาได้ นั่นก็จะดีที่สุด


แถมยังเป็นโอกาสดีที่จะได้รู้ว่าชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้นเป็นใคร


อีกอย่าง จากการทรยศของสมาคมผู้หยั่งรู้ ตระกูลเจียง และสภาปรมาจารย์…เขารู้สึกว่ายังมีบางอย่างลึกซึ้งกว่าที่เห็น


บางทีมันอาจเป็นความเข้าใจผิดครั้งใหญ่ก็เป็นได้


ส่วนอีกด้านหนึ่ง เมื่อได้ยินว่าจางเซวียนไม่เต็มใจจะแต่งงานเข้าสู่ตระกูลเจียง เหล่าผู้อาวุโสต่างเงียบกริบ


พวกเขาไม่เคยมีคนนอกเป็นหัวหน้าตระกูลมาก่อน


“แบบนั้นไม่ได้หรอก พวกเราเป็นตระกูลนะ ไม่ใช่สำนัก เหล่าสมาชิกตระกูลเจียงจะไม่มีวันยอมรับคนนอกมาเป็นหัวหน้าตระกูลของเรา!”


“แต่เขาทำให้ตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลยอมจำนนได้ อ่านหนังสือทุกเล่มในคลังหนังสือของเราแล้ว แถมยังสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณด้วย ถ้าเราปล่อยเขาไป นั่นอาจหมายถึงอันตรายใหญ่หลวงที่จะมาสู่พวกเราในอนาคต!”


“ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณ ก็หมายความว่าเขาได้สร้างสายสัมพันธ์ที่ไม่มีวันขาดสะบั้นกับตระกูลเจียงของเราแล้ว ตอนนี้เขาอาจยังไม่เต็มใจจะแต่งงานเข้าสู่ตระกูลเจียง แต่ขอแค่เขาพำนักอยู่ที่นี่นานพอ เราก็อาจหว่านล้อมให้เขายินยอมได้…เฟยเฟยอาจไม่น่ารักเท่าไหร่ อารมณ์ก็ร้อน แต่ผมเชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไป ทั้งคู่น่าจะปรับตัวเข้าหากันได้”


“อีกอย่าง กลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็มาถึงทวีปแห่งปรมาจารย์แล้ว ตามข่าวที่เราได้รับมา เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นกำลังดำเนินการเคลื่อนไหวบางอย่างในอาณาจักรใต้ดิน ขณะที่กองกำลังของสภาปรมาจารย์และสภายอดขุนพลก็มีน้อยมาก ถ้าเกิดเหตุการณ์ใหญ่โตขึ้น ตระกูลเจียงของเราจะต้องกลายเป็นทัพหน้า เราต้องการผู้นำที่เข้มแข็งพอที่จะนำพวกเราได้ในช่วงเวลาแบบนี้!”


“ที่สำคัญ เขายังมีความเข้าใจอันล้ำลึกในเรื่องวรยุทธของจิตวิญญาณด้วย แม้แต่คำชี้แนะบางส่วนของเขาก็ทำให้พวกเราได้ประโยชน์มาก…”


…..


เหล่าผู้อาวุโสหารือกันอย่างเคร่งเครียด


บางคนก็เห็นด้วย บางคนก็ไม่ยอมรับ


หลังจากการหารือกันอย่างยาวนานโดยไม่ได้ข้อสรุป เจียงฟังอวิ๋นก็หันกลับมาแล้วถามว่า “ผมขออนุญาตถาม ถ้าคุณไม่ได้มาจากตระกูลเจียง แล้วคุณเป็นใคร?”


คนอื่นๆต่างก็หยุดการหารือและหันมามอง


แม้แต่เจียงเฟยเฟยก็ยังลืมว่าอีกฝ่ายเคยดูถูกหน้าตาของเธอไว้


“ตอบตามตรงนะ อันที่จริงผมคือ…” รู้ดีว่าตระกูลเจียงไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเขา จางเซวียนจึงคิดว่าปลอมตัวต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ เขากลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิมและพูดต่อ “…ผมคือจางเซวียน!”


“จางเซวียน? คุณคือทายาทน้อยแห่งตระกูลจางหรือ?”


“หัวหน้าตระกูลจาง?”


ทุกคนมองหน้ากันด้วยความตกตะลึงขั้นสุด


หัวหน้าตระกูลจางลักลอบเข้ามาในตระกูลเจียง อ่านหนังสือทั้งหมดของพวกเขา สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณ แถมยังทำให้ตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลยอมจำนนได้ด้วย


พวกเขาเคยคิดว่าต่อให้หัวหน้าตัวปลอมคนนี้ไม่ได้มาจากตระกูลเจียง ก็น่าจะเป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์สักคนที่พำนักอยู่ในตระกูลเจียงมาแล้วเป็นเวลานาน ไม่อย่างนั้น จะรู้เรื่องราวของตระกูลเจียงมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร?


ไม่เคยคาดฝันเลยสักนิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นชายหนุ่มอายุแค่ 20 ปี


ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่เคยมาเยือนตระกูลเจียงสักครั้งเลยด้วย!


พูดอีกอย่างก็คือ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าถึงมรดกตกทอดของตระกูลเจียง แต่ก็สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณแล้ว…


“คะ-คุณ…”


ในเวลาเดียวกัน เจียงเฟยเฟยก็หน้าซีดขาวราวกับกระดาษ นัยน์ตาของเธอแทบปะทุออกมา


เธอพลันนึกได้ว่าตัวเองเคยดูถูกอีกฝ่ายไว้ต่อหน้าต่อตาเขา…นี่เธอกำลังสร้างศัตรูตัวฉกาจให้กับตระกูลเจียงหรือเปล่า?


แต่มาคิดอีกที หมอนี่ก็ทำเกินเลยไป เขาถึงกับพูดออกมาว่าเธอหน้าตาขี้เหร่!


ตอนแรก เธอคิดว่าจะหาโอกาสซ้อมอีกฝ่ายให้น่วมเพื่อเอาคืน แต่เท่าที่เห็น เธอคงไม่มีโอกาสได้ทำแบบนั้น


หมอนี่แข็งแกร่งและทรงพลังเกินไป!


แม้แต่ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวมากกว่า 12 คนจากสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่พร้อมกับรองประธานเหรินก็ยังรับมือกับเขาไม่ไหว หากเธอท้าทายเขา เธอคงมอดไหม้เป็นจุณด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!


“คุณคือจางเซวียน…นั่นอธิบายได้เลยว่าทำไมคุณถึงสามารถใช้แก่นสารของเวลา!”


เจียงฟังโหย่วแทบไม่เชื่อว่าไอ้หัวขโมยที่ลักลอบเข้ามาในขุมสมบัติตระกูลเจียงจะเป็นจางเซวียนผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคนนั้น เขางงงันถึงขีดสุดราวกับถูกสายฟ้าฟาด


เขาคิดว่าไอ้หัวขโมยน่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เก่งกาจสักคน แต่ใครจะไปคิดว่าแท้ที่จริงแล้วคือชายหนุ่มที่มีอายุน้อยกว่าลูกสาวของเขาเสียอีก!


“ไม่ใช่แล้วล่ะ มีบางอย่างไม่ถูกต้อง นอกจากแก่นสารของเวลา ผมจำได้ว่าคุณยังใช้อำนาจของการสกัดกั้นมิติด้วย…” เมื่อหวนนึกถึงการปะทะระหว่างตัวเขากับชายหนุ่ม เจียงฟังโหย่วหรี่ตาด้วยความประหลาดใจ “คงไม่ใช่ว่าคุณสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติด้วยหรอกนะ ใช่ไหม?”


“ตามนั้นแหละ ผมสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติด้วย” จางเซวียนพยักหน้า


สถานการณ์เมื่อครู่นี้คับขันเกินไปสำหรับเขา เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้ทุกสิ่งที่มีอยู่ ในเมื่อสายไปแล้วที่จะปกปิดเรื่องราวต่างๆ จึงจำเป็นต้องยอมรับตามตรง


“ถ้าคุณสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติ แล้ว…หลัวเทียนหยาแห่งตระกูลหลัว…”


เจียงฟังโหย่วกำลังคิดว่าชายหนุ่มทำอย่างไรถึงสามารถปลอมตัวเป็นเขาได้แนบเนียนถึงขนาดที่แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสและลูกสาวของเขาเองก็ยังสับสนว่าใครเป็นตัวจริงตัวปลอม…และเมื่อผนวกเข้ากับช่วงเวลาที่หลัวเทียนหยาปรากฏตัว…


เจียงฟังโหย่วนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความพรั่นพรึงขึ้นมาทันที


“หลัวเทียนหยาเป็นตัวตนหนึ่งของผม!” จางเซวียนตอบพร้อมกับพยักหน้า


“เอ่อ…ไม่สงสัยแล้ว!” เจียงฟังโหย่วอ้าปากค้างอยู่นานก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ


เขาเคยคิดว่ามันช่างบังเอิญเหลือเกินที่มีอัจฉริยะผู้เก่งกาจปรากฏตัวขึ้นที่ตระกูลหลัวในเวลาเพียงไม่นานหลังจากที่พวกเขาเผชิญกับการถูกเหยียดหยามครั้งใหญ่ แต่ลงท้ายก็กลายเป็นจางเซวียนที่ปลอมตัวมา


เจียงเฟยเฟยก็อึ้งตะลึงกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน


ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอเป็นหัวหน้าของ 2 ใน 3 ตระกูลชั้นนำ…


เรื่องแบบนี้เป็นไปได้ด้วยหรือ?


หากเทียบตัวเธอกับเขา ก็รู้ดีว่าไม่มีทางแข่งขันกับเขาได้เลยไม่ว่าจะเป็นด้านไหน


ทั้งแก่นสารของเวลา แก่นสารแห่งมิติ และแก่นสารของจิตวิญญาณ…เขาทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนตลอดประวัติศาสตร์หลายหมื่นปี…


แก่นสารเหล่านี้กลายเป็นสิ่งไร้ค่าที่แม้แต่ชายหนุ่มอายุ 20 ปีคนหนึ่งก็สามารถเรียนรู้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?


ในบรรดาสามตระกูลชั้นนำ นอกจากผู้ก่อตั้งของพวกเขา ก็มีทายาทจำนวนน้อยมากที่สำเร็จความเข้าใจแก่นสารของแต่ละตระกูล แต่ว่ากันตามตรง หากนำคนเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับปีศาจที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ก็ดูเหมือนว่าบุคคลที่เคยได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะและได้รับการยกย่องอย่างสูงในสามตระกูลชั้นนำนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับขยะกองหนึ่ง!


“เอาล่ะ ทุกคน!” เมื่อหายตกตะลึง เจียงฟังโหย่วกวาดสายตาไปทั่วฝูงชนและพูดว่า “ผมมีเรื่องเดียวที่อยากจะพูด หลังจากที่ผมพูดจบแล้ว ก็ขอยกให้เป็นการตัดสินใจของพวกคุณทุกคน!”


“ท่านหัวหน้าเชิญพูดมาเลย” เจียงฟังอวิ๋นกับคนอื่นๆรีบขานรับ


“ฉนวนแห่งจิตวิญญาณในขุมสมบัติได้หายไป” เจียงฟังโหย่วพูด “ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เขานี่แหละคือผู้ที่นำไปและทำให้มันยอมจำนนได้”


“ผมนำฉนวนแห่งจิตวิญญาณไปจริงๆ แต่ยังไม่ได้ทำให้มันยอมจำนน” จางเซวียนตอบด้วยใบหน้าแดงก่ำ


การที่เขาจะยกเค้าขุมสมบัติของคนเหล่านี้จนเกลี้ยงก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การถูกนำมาพูดถึงอย่างเปิดเผยก็ทำให้เขาออกจะอับอายไม่น้อย


เท่าที่เห็น ดูเหมือนเขาจะไม่มีทางเลือกนอกจากต้องคืนทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้คนเหล่านี้


“เขานำฉนวนแห่งจิตวิญญาณไปหรือ?”


ได้ยินคำพูดของเจียงฟังโหย่ว เหล่าผู้อาวุโสนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ จากนั้น เจียงฟังโหย่วก็ก้าวออกมาข้างหน้าก้าวหนึ่งและทรุดตัวลงคุกเข่า “หัวหน้าตระกูลเจียง, เจียงฟังโหย่ว คารวะท่านประธานสมาคม!”


“เหล่าทายาทตระกูลเจียงคารวะท่านประธานสมาคม!”


ผู้อาวุโสคนอื่นๆต่างก็รีบทรุดตัวลงคุกเข่า


“ประธานสมาคม?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


เขาควรจะเป็นหัวหน้าตระกูลของคนเหล่านี้ไม่ใช่หรือ?


ทำไมตอนนี้ถึงเรียกเขาว่าท่านประธานสมาคม?


เห็นความสับสนของจางเซวียน เจียงฟังโหย่วส่งโทรจิตหา “ในเมื่อคุณทำความเข้าใจเทคนิควรยุทธทั้งหมดของตระกูลเจียงแล้ว คุณก็คงจะรู้ว่าหนังสือเกี่ยวกับจิตวิญญาณส่วนใหญ่ของพวกเรามีรากฐานมาจากมรดกตกทอดของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ”


“ใช่!” จางเซวียนพยักหน้า


นี่คือสิ่งที่เขาสงสัยมาตลอดตั้งแต่ก้าวเข้าสู่คลังหนังสือของตระกูลเจียง


มรดกตกทอดของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณถูกสภาปรมาจารย์ทำลายไปแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมตระกูลเจียงถึงยังคงเก็บหนังสือที่เกี่ยวข้องกับมรดกตกทอดของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณไว้? ยิ่งไปกว่านั้น ทำไมพวกเขาถึงใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างเปิดเผยในทวีปแห่งปรมาจารย์ทั้งที่มีมรดกตกทอดในลักษณะนี้?


“ฉนวนแห่งจิตวิญญาณคือสัญลักษณ์ของอำนาจที่ตกทอดกันมาภายในสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ใครก็ตามที่ได้ครอบครองฉนวนแห่งจิตวิญญาณจะได้รับเลือกให้เป็นประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ เป็นผู้ที่เหล่าสมาชิกตระกูลเจียงจะต้องรับใช้” เจียงฟังโหย่วอธิบาย

 

 

 


ตอนที่ 1647

 

 ความลับของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่ไม่มีใครรู้ (2)

“ฉนวนแห่งจิตวิญญาณคือสัญลักษณ์แห่งอำนาจของสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ?”


จางเซวียนตาโตด้วยความตกตะลึง


ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมมันถึงหนักอึ้งขนาดนี้! หากปราศจากความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณ เขาก็ไม่สามารถยกมันได้ แม้จะใช้จิตวิญญาณต้นกำเนิดก็ตาม กลับกลายเป็นว่ามันมีประวัติศาสตร์อยู่เบื้องหลังแบบนี้นี่เอง!


“มันเกิดอะไรขึ้น? ตระกูลเจียงได้มรดกตกทอดของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณมาได้อย่างไร? แล้วทำไมตระกูลเจียงถึงรับใช้เจ้าของฉนวนแห่งจิตวิญญาณ? ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณถูกสภาปรมาจารย์กำจัดเพราะพวกเขาทรยศมวลมนุษย์ไม่ใช่หรือ?” จางเซวียนตั้งคำถามเป็นชุดด้วยความงุนงง


เขาไม่สามารถทำความเข้าใจเหตุการณ์นี้ได้จริงๆ


ในฐานะหนึ่งในสามตระกูลชั้นนำ สภาปรมาจารย์จับตามองตระกูลเจียงมาตลอด พวกเขาควรจะกำจัดตระกูลเจียงที่รับมรดกตกทอดของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณมา ยิ่งไปกว่านั้น การที่จะมีความเชี่ยวชาญเรื่องศิลปะแห่งจิตวิญญาณกับการเป็นผู้พยากรณ์จิตวิญญาณนั้นก็เป็นอะไรที่แตกต่างกันคนละเรื่อง แล้วทำไมสภาปรมาจารย์ถึงยังปล่อยให้ตระกูลเจียงตั้งอยู่ได้?


เจียงฟังโหย่วลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับสุดยอดของตระกูลเจียง พูดกันตรงนี้คงไม่เหมาะ ผมขอเชิญปรมาจารย์จางตามพวกเราเข้าสู่ห้องโถงใหญ่เพื่อสนทนาเรื่องนี้ต่อ”


ถึงค่ายกลอารักขาจะสามารถป้องกันคนนอกไม่ให้แอบฟังบทสนทนาของพวกเขาได้ แต่เรื่องนี้มีความสำคัญยิ่งใหญ่และต้องเก็บเป็นความลับสุดยอด ปลอดภัยไว้ก่อนจึงดีที่สุด


“ได้” จางเซวียนพยักหน้า


“เชิญทางนี้เลย” เจียงฟังโหย่วถอนหายใจอย่างโล่งอก


จางเซวียนพยักหน้ารับ ในเมื่อเขาสามารถควบคุมค่ายกลอารักขาของตระกูลเจียงได้ ก็ไม่ต้องกังวลว่าพวกนั้นอาจใช้วิธีการบางอย่างเล่นงานเขา


จางเซวียนตามเจียงฟังโหย่วไป ไม่ช้าก็มาถึงห้องโถงขนาดใหญ่


หลังจากที่จางเซวียนได้ที่นั่งแล้ว เจียงฟังโหย่วกับคนอื่นๆก็หาที่นั่งของตัวเองอย่างรวดเร็ว


พวกเขารีบเปิดใช้งานปราการในห้องโถงใหญ่เพื่อแยกตัวออกจากโลกภายนอก จากนั้นเจียงฟังโหย่วก็หันมาและพูดว่า “ปรมาจารย์จาง ผมได้ยินว่าครั้งหนึ่งคุณเคยมีศิษย์สายตรงที่ชื่อลู่ชง เขาได้พัฒนาตัวเองจนก้าวหน้าอย่างมากในฐานะผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ จนถึงระดับของนักปราชญ์โบราณเลยทีเดียว ไม่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่?”


“เป็นความจริง” จางเซวียนพยักหน้า


ก่อนหน้านี้ เพื่อช่วยชีวิตเขา ลู่ชงได้เข้าปะทะอย่างดุเดือดกับเหล่าปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวจากสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ แม้เรื่องนี้จะคลี่คลายไปแล้ว แต่ข่าวคราวก็แพร่กระจายไปทั่ว ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เจียงฟังโหย่วจะรู้เรื่องนี้


“ถ้าเป็นอย่างนั้น ปรมาจารย์จาง…จะถูกต้องหรือเปล่าหากจะพูดว่าคุณก็เป็นผู้พยากรณ์จิตวิญญาณคนหนึ่งเช่นกัน?” เจียงฟังโหย่วถามต่อ


“จะพูดอย่างนั้นก็ได้” จางเซวียนยอมรับอย่างตรงไปตรงมา


“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรผิดพลาดแล้วล่ะ…”


เห็นจางเซวียนยอมรับตามตรง ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก เจียงฟังโหย่วตั้งคำถามต่อด้วยนัยน์ตาที่มีแววของความตื่นเต้น “ไม่ทราบว่าคุณได้มรดกตกทอดของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณมาจากไหน? คุณมีโอกาสได้พบผู้พยากรณ์จิตวิญญาณคนอื่นๆบ้างหรือเปล่า?”


“มรดกตกทอดที่ผมได้รับมีต้นกำเนิดมาจากจิตวิญญาณดวงหนึ่งซึ่งบังเอิญเอาชีวิตรอดมาได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ผมเกรงว่าผมจะไม่เคยพบผู้พยากรณ์จิตวิญญาณตัวจริงมาก่อน” จางเซวียนส่ายหน้า


เพราะอันที่จริง มั่วคุนเสินก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นผู้พยากรณ์จิตวิญญาณตัวจริง หากจะพูดให้ถูกต้อง เขาเป็นเพียงเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณที่ยังคงมีความคิดจิตใจเป็นของตัวเองมากกว่า


และนอกจากมั่วคุนเสินกับลู่ชง จางเซวียนก็ไม่เคยพบผู้พยากรณ์จิตวิญญาณคนไหนมาก่อน


“คุณไม่เคยพบผู้พยากรณ์จิตวิญญาณมาก่อนหรือ?” เจียงฟังโหย่วถามด้วยน้ำเสียงที่ออกจะไม่เห็นด้วย


“ใช่” จางเซวียนตอบ “ก็เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณน่ะไม่เป็นที่ยอมรับของโลกไม่ใช่หรือ? ผมเชื่อว่ามรดกตกทอดของพวกเขาน่าจะถูกสภาปรมาจารย์กำจัดและหายสาบสูญไปจากทวีปแห่งปรมาจารย์แล้ว ใช่หรือเปล่า?”


“ไม่เป็นที่ยอมรับ?” ได้ยินคำนั้น เจียงฟังโหย่วเงียบไป ครู่ต่อมาเขาก็ส่ายหน้าและพูดว่า “ดูเหมือนคุณจะยังไม่รู้ความจริงนะ!”


“ความจริง?”


“ผมรู้ว่าเรื่องนี้คุณคงทำใจให้เชื่อได้ยาก แต่ความจริงก็คือ เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณไม่เคยทรยศมวลมนุษย์!” เจียงฟังโหย่วพูดอย่างจริงจัง


“พวกเขาไม่เคยทรยศมวลมนุษย์?” จางเซวียนถึงกับงงเมื่อได้ยินคำพูดนั้น


การทรยศของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณเป็นเหตุการณ์ที่ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดโดยสภาปรมาจารย์ ไม่มีใครในทวีปแห่งปรมาจารย์ที่ไม่รู้เรื่องนี้…แต่เจียงฟังโหย่วกลับปฏิเสธอย่างหนักแน่น?


เจียงฟังโหย่วถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่อง “เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นนั้นแข็งแกร่งมาก ในครั้งนั้น ขนาดมีปรมาจารย์ขงกับศิษย์สายตรงทั้ง 72 คนของเขาเป็นผู้นำ กองกำลังของมวลมนุษย์ก็ยังรับมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่ไหว อันที่จริง มีครั้งหนึ่งด้วยซ้ำที่ฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจกักขังปรมาจารย์โขงไว้ที่เฉินข่ายได้สำเร็จ เมื่อปราศจากปรมาจารย์ขง กองทัพมนุษย์ก็ถูกต้อนให้จนมุม…”


จางเซวียนพยักหน้ารับ เขาจำได้ว่าเคยได้ยินเรื่องนี้จากไอ้โหดมาแล้วครั้งหนึ่ง


“ในสงครามครั้งนั้น กองกำลังมนุษย์เสียเปรียบมาก กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจรู้จักพวกเราดีราวกับหลังมือของพวกมันเลยทีเดียว แต่ความรู้ของพวกเราที่มีเกี่ยวกับพวกมันนั้นมีจำกัดมาก ดังนั้นเราจึงอับจนหนทางเมื่อต้องเผชิญกับเจตนาสังหารของพวกมัน…ต่อให้นักรบคนหนึ่งมีพละกำลังเทียบเท่ากับเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่ก็จะสูญเสียความมีเหตุผลและความรู้ผิดชอบชั่วดีของตัวเองไปทันทีเมื่อต้องเผชิญกับเจตนาสังหารจากปราณสังหารของพวกมัน ทำให้พวกเขาตกเป็นเหยื่อของเผ่าพันธุ์ปีศาจได้อย่างง่ายดาย!” เจียงฟังโหย่วพูดต่อ


จางเซวียนครุ่นคิด


เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขาพอเข้าใจ ครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับเผ่าพันธุ์ปีศาจในระหว่างการประลองปรมาจารย์ที่เมืองหลวงแห่งสมาพันธ์นานาอาณาจักร เหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นกับเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีพลังปราณเทียบฟ้า ก็คงต้องพ่ายแพ้ให้มันไปแล้ว


ปราณสังหารส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณของผู้นั้นโดยตรง ต่อให้ปรมาจารย์ก็ยังเผชิญหน้ากับพวกมันได้ยาก นับประสาอะไรกับนักรบธรรมดาสามัญ


“เพื่อแก้ไขสถานการณ์ ปรมาจารย์ขงได้ตัดสินใจให้เหล่านักรบฝึกฝนตัวเองให้เชี่ยวชาญเรื่องวรยุทธของจิตวิญญาณเพื่อรับมือกับกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจ และจะได้เปิดเผยความลับที่อยู่เบื้องหลังจิตวิญญาณของพวกมัน…”


ถึงตอนนี้ เจียงฟังโหย่วหน้าดำคร่ำเครียด “แม้จะมีอันตราย แต่เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณก็รับภารกิจนี้ไว้ เพื่อให้ได้รับความไว้ใจจากเผ่าพันธุ์ปีศาจ เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณจึงต้องแยกตัวออกจากสภาปรมาจารย์ ซึ่งผลก็เป็นอย่างที่คุณเห็นในบันทึกของสภาปรมาจารย์นั่นแหละ พวกเขากลายเป็นปีศาจร้ายจากการฝึกฝนและวีรกรรมครั้งนี้ เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณถูกสภาปรมาจารย์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และมรดกตกทอดของพวกเขาก็ถูกทำลายจนสิ้นซาก”


“เอ่อ…” จางเซวียนถึงกับอึ้งเมื่อได้ฟังเรื่องราว


ถ้าสิ่งที่เจียงฟังโหย่วพูดเป็นความจริง เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณก็ได้เสียสละครั้งยิ่งใหญ่เพื่อมวลมนุษย์ พวกเขาควรจะเป็นวีรบุรุษ แต่กลับถูกก่นด่าสาปแช่งจากผู้คนมากมายที่พวกเขาได้ช่วยชีวิตไว้ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา…


ราวกับจะอ่านใจของจางเซวียนได้ เจียงฟังโหย่วพูดต่อ “ในยุคสมัยนั้น มนุษย์มีชีวิตที่ทุกข์ทรมานภายใต้การกดขี่ของเผ่าพันธุ์ปีศาจ พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะควบคุมชีวิตและความตายของตัวเองได้ ไม่มีมนุษย์คนไหนที่ไม่อยากขับไล่เผ่าพันธุ์ปีศาจและนำชีวิตของตัวเองกลับคืนมา เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณรู้ดีว่าการเสียสละของพวกเขามีความจำเป็นและจะก่อให้เกิดประโยชน์ครั้งใหญ่ พวกเขาจึงไม่ลังเลที่จะทำแบบนั้น!”


“เพื่อให้เผ่าพันธุ์ปีศาจเกิดความไว้วางใจ สภาปรมาจารย์จึงได้เคลื่อนกองกำลังปรมาจารย์ครั้งใหญ่เพื่อตีวงล้อมเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณไว้ ภายในค่ำคืนเดียว อาชีพหนึ่งก็ล่มสลาย ประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณในครั้งนั้นก็ถูกสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่จับตัวไว้ และเขาก็ตัดสินใจฆ่าตัวตายหลังจากนั้นไม่นาน”


“ประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณตัดสินใจฆ่าตัวตาย?” จางเซวียนตั้งคำถาม


ถ้าประธานสมาคมฆ่าตัวตาย แล้วเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณจะแฝงตัวเข้ากับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นได้อย่างไร?


“การฆ่าตัวตายเป็นเพียงฉากหน้า ดูเหมือนเขาฆ่าตัวตาย แต่แท้ที่จริงแล้วจิตวิญญาณของเขายังคงมีชีวิตอยู่ เขาฝากฝังมรดกตกทอดของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณไว้กับผู้ก่อตั้งของเราก่อนที่จะ หนีไปลี้ภัยกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น” เจียงฟังโหย่วถอนหายใจเฮือกใหญ่


“เพราะได้เห็นการล่มสลายของอาชีพผู้พยากรณ์จิตวิญญาณกับตา ผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่กักตัวปรมาจารย์ขงไว้จึงไม่ระแวงเจตนาของสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณอีกต่อไป และเมื่อเวลาผ่านไป ประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณก็ประสบความสำเร็จในการค้นหาความลับที่อยู่เบื้องหลังปราณสังหาร และค้นพบวิธีที่จะส่งข้อมูลของเผ่าพันธุ์ปีศาจกลับสู่สภาปรมาจารย์ เขายังจัดฉากเพื่อวางแผนสังหารผู้เชี่ยวชาญเผ่าพันธุ์ปีศาจผู้ทรงพลังตัวนั้นด้วย”


“ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้คิดค้นและถ่ายทอดเทคนิควรยุทธเกี่ยวกับจิตวิญญาณที่มีข้อบกพร่องโดยเกี่ยวพันกับลักษณะเฉพาะของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น ซึ่งเป้าหมายของเขาไม่ใช่แค่ทำลายเผ่าพันธุ์ปีศาจเพียงตัวสองตัว แต่เป็นการทำลายล้างเผ่าพันธุ์ และการที่จะทำแบบนั้นได้ เขารู้ดีว่าต้องโน้มน้าวใจเผ่าพันธุ์ปีศาจให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อให้พวกมันฝึกฝนเทคนิควรยุทธเกี่ยวกับจิตวิญญาณที่เขาคิดค้นขึ้น แต่ก็แน่นอนว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจย่อมไม่เต็มใจจะฝึกฝนเทคนิควรยุทธเกี่ยวกับจิตวิญญาณที่มีข้อบกพร่อง”


“ดังนั้น เขาจึงคิดค้นเทคนิควรยุทธเกี่ยวกับจิตวิญญาณขึ้นมาใหม่ โดยข้อบกพร่องของมันจะไม่ปรากฏชัดกับผู้ฝึกฝน ในระยะสั้น การฝึกฝนเทคนิควรยุทธเกี่ยวกับจิตวิญญาณของเขาจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดๆ ทั้งยังทำให้จิตวิญญาณของผู้นั้นแข็งแกร่งขึ้นด้วย แต่หากยังฝึกฝนต่อไป ปราณสังหารของผู้นั้นจะค่อยๆอ่อนแอลงเรื่อยๆ ลงท้าย ประสิทธิภาพในการต่อสู้ก็จะถูกทำลายไปจนหมด!”


“เทคนิควรยุทธเกี่ยวกับจิตวิญญาณที่มีข้อบกพร่อง?” จางเซวียนอึ้งขณะที่นึกอะไรได้บางอย่าง


ในครั้งนั้น ตอนที่เขาเข้าสู่อาณาจักรใต้ดินที่อยู่ใต้สถาบันปรมาจารย์หงหย่วน เขาได้สังหารราชาใบไม้สีทองและราชาใบไม้เขียว และได้ทรัพย์สมบัติของพวกมันมา มีหนังสือเกี่ยวกับเทคนิควรยุทธของจิตวิญญาณอยู่มากมายในแหวนเก็บสมบัติของทั้งคู่ แต่เขาก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าเทคนิคเหล่านั้นมีข้อบกพร่องอยู่มากมาย


ในครั้งนั้น เขายังรู้สึกว่ามันน่าแปลกที่เทคนิควรยุทธของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นจะธรรมดาสามัญขนาดนั้น โดยเฉพาะในเมื่อพวกมันมีผู้พยากรณ์จิตวิญญาณเป็นพรรคพวก แต่ตอนนี้ ถ้าเรื่องของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่เจียงฟังโหย่วเล่ามาเป็นความจริง ทุกอย่างก็ลงตัว


เทคนิควรยุทธเกี่ยวกับจิตวิญญาณอันธรรมดาสามัญที่เผ่าพันธุ์ปีศาจฝึกฝนนั้นเป็นเจตนาของประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อบั่นทอนประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกมันนั่นเอง!


ทั้งเต็มใจเสียสละตัวเองและยอมแบกรับชื่อเสียงด่างพร้อยเพื่อให้มวลมนุษย์ได้รับชัยชนะ…แท้ที่จริงแล้วเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณคือวีรบุรุษตัวจริง!


จางเซวียนกำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้น


ในตอนนั้นเอง เขาก็พลันคิดอะไรได้ “คุณพูดถึงผู้เชี่ยวชาญของเผ่าพันธุ์ปีศาจผู้ทรงพลังตัวหนึ่งที่เคยกักขังปรมาจารย์ขงไว้ คุณรู้หรือเปล่าว่า…มันชื่ออะไร?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)