คัมภีร์วิถีเซียน 1642-1643
ตอนที่ 1642 สังหารในพริบตา
ผึ้งยักษ์ได้ยินคำนี้พลันพยักหน้า จากนั้นก็ไม่เห็นว่ามันจะเคลื่อนไหวใดๆ ผึ้งมารรอบๆ กรูกันเข้ามาทันที กลายเป็นเมฆสีเขียวจมหายเข้าไปในทะเลหมอก
ส่วนอู่ลี่และพวกทั้งสามกลับขยับริมฝีปากพูดอย่างแผ่วเบา แล้วถึงได้สะบัดหางบินตามไป
ฝูงผึ้งที่อยู่ในทะเลหมอกบินออกมาได้เล็กน้อย ก็เปล่งเสียง “หึ่ง” ออกมา กลายเป็นดอกไม้สีเขียว พุ่งไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน
ตัวผึ้งยักษ์กลับมีการเคลื่อนไหวที่ไม่รวดเร็วนัก แม้กระทั่งร่อนลงด้านล่างอู่ลี่และมารอินทรีที่ลายเป็นชายชุดสีเหลือง
มารอีกสองตัวกลับเคยชินกับสิ่งนี้ ท่าทางไม่สนใจเลยสักนิด
แม้ว่าเคล็ดวิชาผึ้งพันตัวแยกร่างจะมีอานุภาพไม่น้อย แต่เมื่อสำแดงออกมา ตัวของผึ้งยักษ์กลับพลังยุทธ์ลดลงครึ่งหนึ่ง แน่นอนว่าย่อมต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก
ร่างแยกผึ้งมารจำนวนมากบินเริงระบำอยู่ท่ามกลางทะเลหมอก ชั่วขณะนั้นก็ค้นหาทุกอย่างรอบๆ ด้าน แล้วเคลื่อนตัวไปด้านหน้า
ทะเลหมอกทั้งผืนแผ่ออกไปแค่ร้อยกว่าลี้เท่านั้น ไม่นับว่ามากมายอะไร แต่แค่ครู่ต่อมามารอสูรทั้งสามตัวก็จมเข้าไปในส่วนลึกไม่น้อย
แต่ยามนี้ยังคงไม่ได้อะไร
ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้อู่ลี่ก็ยิ่งมีสีหน้าเคร่งขรึมยิ่งขึ้น อสูรสองตัวที่เหลือก็มีสีหน้าเคร่งขรึม
หลังจากผ่านไปอีกชั่วครู่ มองเห็นฝูงผึ้งบินมาอยู่ตรงส่วนลึกของม่านหมอก ฉับพลันนั้นเสียง “ครืนๆ” ก็ดังห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้ง ลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบท่ามกลางม่านหมอก มีดยาวเล่มหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้น สับผึ้งมารตัวหนึ่งออกเป็นสองส่วน
จัดการได้อย่างเรียบร้อยเป็นอย่างมาก!
จากนั้นเงาสีทองสายหนึ่งก็พุ่งออกมา กลายเป็นสายรุ้งสีทองสายหนึ่งพุ่งหนีไป ความเร็วน่าตกตะลึง
“หาพบแล้ว รีบตามไป!” เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ผึ้งยักษ์สีเขียวก็ร้องอุทานออกมาด้วยความดีใจทันที จากนั้นก็กระตุ้นร่างแยกอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
รอบด้านมีเสียงหึ่งๆ ดังขึ้น ผึ้งมารที่เหลือกลายเป็นดอกบัวสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตามไป
ส่วนมารสองเขาและมารอินทรีพลันมองสบตากันแวบหนึ่ง แววตาฉายแววประหลาดใจ แต่ทันใดนั้นร่างกายก็ขยับ บินมาด้วยกัน
เสียง “ปัง” ดังขึ้น วายุมารสีดำกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งขึ้นไปบนฟ้า หมุนวนแล้วไล่ตามเงาสีทองที่อยู่ไกลออกไปไป
กลับเป็นร่างของผึ้งยักษ์สีเขียวที่สยายปีกทั้งสองข้างออก ยังคงบินด้วยความเร็วธรรมดาๆ
เมื่อศิลาเพลิงสายฟ้าที่ด้านหน้าถูกไล่ตามมา หลังจากผ่านไปชั่วครู่ไม่ว่าเงาผึ้งมารสีทองหรือว่าวายุสีดำ ต่างก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
ผึ้งสีเขียวเห็นเช่นนั้นดวงตาประกอบก็กะพริบปริบๆ สองปีกพลันหยุดชะงัก ท่าทางไม่อยากตรงไปข้างหน้าอีก
และในยามนั้นเองเหนือศีรษะของมารตัวนั้นก็มีหมอกสีเทาอีกกลุ่มพุ่งแหวกอากาศมา ลำแสงสีทองสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏตัวออกมา แล้วตรงไปยังหัวของผึ้งสีเขียวอย่างรวดเร็ว
ลำแสงสีทองเปล่งแสงเจิดจ้าหาที่เปรียบ ไม่รอให้เข้าใกล้ผึ้งยักษ์ พลังแรงกดก็ครอบลงมา
เดิมพลังยุทธ์ของผึ้งยักษ์สีเขียวก็อยู่ในตำแหน่งที่ต่ำที่สุดในบรรดามารทั้งสามตน ประกอบกับสำแดงเคล็ดวิชาผึ้งพันตัวแยกร่างไปเมื่อครู่จนทำให้พลังยุทธ์ลดลงเป็นอย่างมาก มองเห็นลำแสงสีทองพุ่งเข้ามาด้วยท่าทีน่าดุดัน สายตาก็อดที่จะฉายแววหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้
แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือมารตนนี้กลับนิ่งงันอยู่กลางอากาศ ไม่มีเจตนาจะหลบหลีกเลยแม้แต่น้อย
มองเห็นลำแสงสีทองสว่างวาบ หมายจะกระโจนผ่านหัวผึ้งยักษ์ไป ฉับพลันนั้นกลางอากาศพลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น หอกกระดูกสีขาวด้ามหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้ามารตัวนั้น
หลังจากเสียง “เคร๊ง” ดังขึ้น หอกกระดูกก็ต้านทานเอาไว้ เปลวเพลิงสีดำชั้นหนึ่งปรากฏออกมา ชั่วครู่ก็ดีดลำแสงสีทองที่พุ่งเข้ามาออกไป
และหลังจากที่ลำแสงสีทองหมุนวน ก็คืนร่างเดิม
เป็นทวนยาวสีทองเรืองรอง
จากนั้นเบื้องหน้าผึ้งยักษ์ก็มีลำแสงสีเหลืองปรากฏขึ้น ด้านในมีเงาร่างคนปรากฏขึ้นลาง
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้ที่หนีไปไกลอย่างมารอินทรีที่แปลงกลายเป็นชายชุดเหลือง
เขายกมือขึ้นกวักเรียก เสียง “สวบ” ดังขึ้น หอกกระดูกเปล่งแสงสว่างวาบพลางถูกดูดเข้ามาอยู่ในมือ ส่วนมืออีกข้างพลันพลิ้วไหว โล่กลมสีทองปรากฏออกมาต้านทานเอาไว้เบื้องหน้า
ทว่าเขาในยามนี้สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ สายตาเปล่งประกายพลางจ้องเขม็งไปยังลำแสงสีทองที่พุ่งออกมาจากหมอกสีเทา
ส่วนในม่านหมอกพลันมีลำแสงสีดำสว่างวาบ เงาสีดำขนาดเท่าโต๊ะกลมสองตัวปรากฏขึ้น และกดลงมาด้านล่างอย่างแรง
เสียงวายุดังสนั่นขึ้น เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น!
หลังจากเงาสีดำเปล่งแสงสว่างวาบ กลางอากาศก็บิดเบี้ยว ราวกับถูกฉีกออกอย่างไรอย่างนั้น
ยิ่งมีพลังไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งฉีกหมอกด้านล่างออกในชั่วพริบตา
ชั่วขณะนั้นด้านล่างพลันมีเงาร่างคนเปล่งแสงสีทองเรืองรองปรากฏออกมา
เงาร่างคนผู้นี้เห็นร่างกายถูกเปิดโปง ก็ดูเหมือนว่าจะร้อนรน รีบร้อนใช้สองมือโจมตีไปกลางอากาศ เงากำปั้นสีทองสองกำปั้นพุ่งแหวกอากาศมา ตรงไปหาเงาสีดำ ส่วนตัวของเงาสีทองก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนี กลายเป็นสายรุ้งสายหนึ่งพุ่งออกไป
“คิดจะไปไหน!” เสียงคำรามแสบแก้วหูดังออกมากลางอากาศ
จากนั้นเงาสีดำสองกลุ่มก็ร่อนลงมา ม่านลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบ โจมตีเงากำปั้นสีทองจนแตกละเอียด แล้วพลิ้วไหวเผยค้อนสีดำยักษ์สองด้ามออกมา
ค้อนยักษ์สองด้ามหมุนคว้างอยู่กลางอากาศ พลังดูดยักษ์สองกลุ่มปรากฏออกมา ชั่วครู่ก็ครอบคลุมด้านล่างในรัศมียี่สิบจั้งเศษ
เงาร่างคนสีทองกลายเป็นสายรุ้งเพิ่งจะบินไปได้สิบจั้งเศษ ลำแสงหลีกหนีก็หยุดชะงักแล้วลดความเร็วลงเป็นอย่างมาก
ชายชุดเหลืองที่มองดูอยู่ไกลๆ พลันโบกมือทั้งสอง ชั่วขณะนั้นหอกกระดูกในมือพลันเปล่งเสียงกรีดร้อง กลายเป็นลำแสงสีดำสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกมา
ส่วนหางของผึ้งยักษ์สีเขียวก็สะบัด เส้นไหมสีเขียวพุ่งออกมา
ทั้งสองแค่กะพริบวาบ ก็มาอยู่ตรงหน้าเงาร่างคนสีทองตามลำดับ
เส้นไหมสีเขียวดูเหมือนไม่สะดุดตา แต่ตั้งแต่ปรากฏขึ้นจนถึงตอนนี้ แค่รางเลือนไปเล็กน้อยก็จมหายเข้าไปในร่างของเงาสีทอง
ชั่วขณะนั้นเงาร่างกายของสีทองก็สั่นสะท้าน ลำแสงสีทองที่แผ่ออกมาหม่นแสง กลิ่นอายคละคลุ้งโชยออกมา
ครู่ต่อมาลำแสงสีดำพลันสั่นคลอน เปล่งแสงสว่างวาบแล้วทะลวงผ่านจุดตันเถียนของเงาลวงตาเช่นกัน
เปลวเพลิงสีดำชั้นหนึ่งเผาไม้บนเรือนร่างของเงาลวงตา กลืนกินมันเอาไว้ข้างในจนหมด
ค้อนยักษ์สีดำกลางอากาศร่อนลงมาทันที ทุบลงไปบนเปลวเพลิงสีดำอย่างรุนแรง
เสียง “ปัง” ดังสะเทือนเลื่อนลั่นขึ้น!
เปลวเพลิงสีดำรวมทั้งเงาร่างคนสีทองด้านใน สลายหายไปกลายเป็นผุยผงภายใต้พลังมหาศาล
ระลอกคลื่นยี่สิบสามสิบจั้งปรากฏขึ้น เงามารสองเขาร่างกายสูงใหญ่ถึงได้เปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้น
เขามองเห็นการณ์ด้านล่างด้วยรอยยิ้มเ**้ยมเกรียม
มารอินทรีและผึ้งสีเขียวที่อยู่ไกลออกไปเห็นฉากนี้ ใบหน้าพลันทยอยเผยรอยยิ้มออกมา
พวกมันใช้แผนการที่ปรึกษาเอาไว้ก่อนหน้า คือใช้ฝูงผึ้งแหวกหญ้าให้งูตื่น แล้วค่อยทำให้ผึ้งยักษ์เผยพิรุธของศัตรูออกมา สำเร็จดังคาด สังหารศัตรูผู้นี้ได้
แต่ในยามที่ทั้งสามคนกำลังรู้สึกผ่อนคลายลงนั้น ด้านหลังผึ้งยักษ์สีเขียวห่างออกไปสองสามจั้ง กระบี่ยาวสีเขียวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน หลังจากเสียงหึ่งๆ ต่ำๆ ดังขึ้น ก็กลายเป็นกระบี่ลำแสงที่เจิดจ้าจนแสบตาสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
“แย่แล้ว”
ถึงอย่างไรเสียผึ้งยักษ์สีเขียวก็เป็นมารอสูรระดับสูงที่เทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา แทบจะความผิดปกติที่ด้านหลังได้ในเวลาเดียวกัน ภายใต้ความตกตะลึงนั้นหางทรงกรวยก็สะบัดอย่างไม่ต้องขบคิด
พ่นหนามพิษสีเขียวออกมา ความยาวสองสามฉื่อ และสั่นเทา เงาหนามเป็นชั้นๆ เปล่งเสียงระเบิดแหลมๆ ออกมา ชั่วครู่ก็ครอบคลุมร่างของผึ้งยักษ์เอาไว้
ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ!
ผึ้งยักษ์แค่สั่นเทาก็ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ซากศพร่วงลงสู่พื้น
ส่วนหนามพิษที่สร้างขึ้น ก็กลายเป็นสองส่วนอย่างเงียบเชียบ ไม่อาจต้านทานได้เลยสักนิด
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น เปลวเพลิงสีเขียวกลุ่มหนึ่งบินออกมาจากซากศพครึ่งท่อน
“สหายอิงถัง ช่วยด้วย!” ผึ้งสีเขียวขนาดจิ๋วในเปลวเพลิงสีเขียว ร้องตะโกนอย่างร้อนรนทำอะไรไม่ถูกไปพลาง พุ่งเข้ามาชายชุดสีเหลืองที่อยู่ใกล้เคียงไปพลาง
จนถึงยามนี้มารอินทรีที่มีนามว่าอิงถังก็พบความเปลี่ยนแปลงด้านหลังของตนเองแล้ว ใบหน้าจึงเปลี่ยนสี สะบัดแขนเสื้อโดยมิได้ปริปากใดๆ
ไอสีดำกลุ่มหนึ่งม้วนออกมา ม้วนเอาจิตวิญญาณดั้งเดิมของผึ้งยักษ์ไป
แต่เสียงแค่นเสียงอย่างเย็นชาพลันดังขึ้นกลางอากาศ
ชายชุดเหลืองได้ฟังก็จับศีรษะของตนเองด้วยความรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกเข็มแหลมทิ่มแทง อดที่จะร้องคร่ำครวญออกมาไม่ได้ เงาร่างร่อนลงมาราวกับวิหค
ห่างออกไปแค่คืบเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น จากนั้นประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวสายหนึ่งก็เปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้น และมีมือสีขาวนวลดุจหยักตัดยื่นออกมา
นิ้วทั้งห้ากางออก เปลวเพลิงลำแสงห้าสีม้วนวนออกมา ชั่วครู่ก็ม้วนมารตนนี้เข้าไปข้างใน
ร่างกายของชายชุดสีเหลืองที่แต่เดิมลดระดับลง พลันแข็งค้างในชั่วพริบตา
และในชั่วพริบตาที่เสียเวลานั้น นิ้วทั้งห้าพลันกางออก กลายเป็นสีทองเรืองรอง และขยับราวกับสายฟ้า พุ่งไปที่ทรวงอกของมารอินทรี
ชายชุดสีเหลืองมีสีหน้าไร้สีโลหิต
แม้ว่าจิตสัมผัสของเขาจะยังคงรู้สึกเจ็บปวดยากจะรับไว้ แต่ถึงอย่างไรเสียก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตธรรมดาๆ ในช่วงเวลาเป็นตายเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าจะกดความคิดที่ซับซ้อนเอาไว้ แล้วฝืนใช้จิตสัมผัสของตนเอง
ชั่วขณะนั้นโล่กลมสีทองที่ลอยอยู่ตรงหน้าเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า ท่ามกลางลำแสงสีทอง ผิวของมันพลันมีอักขระประหลาดขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันปรากฏขึ้น
อานุภาพของโล่ใบนี้ถูกเขากระตุ้น ต้านทานเอาไว้ให้เขาอยู่เบื้องหลัง
สำหรับมารตนนี้ความรู้สึกเจ็บปวดที่หัวกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว ขอแค่ต้านทานการโจมตีนี้ไว้ได้ จากนี้ย่อมรักษาชีวิตและโจมตีย้อนกลับได้
ในยามที่ความคิดของมารอินทรีตัวนี้ผุดขึ้นมา ลำแสงสีทองพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ฝ่ามือสีทองสอดเข้าไปในโล่ คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีท่าทีหลบหลีกเลยสักนิด
เสียงระเบิดดังเสียดแก้วหูดังขึ้น ขณะที่ลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ ฝ่ามือสีทองก็จมหายเข้าไปในโล่ทรงกลม เปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งผ่านทรวงอกของชายชุดเหลือง ตะปบแกนมารในร่างของเขาออกมา
จากนั้นแขนทั้งแขนก็เปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ ฉับพลันนั้นเปลวเพลิงสีเงินชั้นหนึ่งพลันทะลักออกมา ชั่วพริบตาก็ห่อหุ้มร่างของมารอินทรีเอาไว้
จิตวิญญาณดั้งเดิมที่ชำรุดด้านใน ทำได้เพียงร้องคร่ำครวญ ก็กลายเป็นควันสีเขียวสายหนึ่งสลายหายไปอย่างไร้เงากลางท้องฟ้าและพื้นดิน
สายฟ้าสีเขียวขาวในยามนี้หม่นแสง ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเขียวคนหนึ่ง แผ่นหลังมีปีกคู่หนึ่งถึงได้ปรากฏขึ้นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก และค่อยๆ ดึงแขนข้างนั้นกลับมา
บนฝ่ามือตะปบแกนมารสีดำอ่อนเปล่งแสงเรืองๆ เอาไว้
ชายหนุ่มนี้ก็คือหานลี่
จิตวิญญาณดั้งเดิมของผึ้งสีเขียวที่เดิมคิดจะพุ่งมาเห็นเหตุการณ์นี้ ชั่วขณะนั้นก็ตกใจจนขวัญกระเจิง ผิวของมันเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ เปลี่ยนทิศทางหนีไปอีกครั้งในทันที
แต่กลับสายไปแล้ว!
มุมปากของหานลี่รอยยิ้มเยาะออกมา แขนอีกข้างสะบัดออกไป
หมอกลำแสงสีเทากลุ่มหนึ่งม้วนออกมาจากแขนเสื้อ แค่กะพริบวาบก็ห่อหุ้มจิตวิญญาณดั้งเดิมที่หนีไม่ทันของผึ้งสีเขียวเอาไว้
จากนั้นลำแสงเทวะดูดปราณก็เปล่งแสงเจิดจ้าเป็นหมื่นสาย!
ผึ้งสีเขียวขนาดจิ๋วแค่นเสียงหึ ถูกหมอกลำแสงสีเทาต้านเอาไว้แล้วระเบิดออก กลายเป็นดวงลำแสงสีเขียวแล้วหายวับไป
ตอนที่ 1643 ได้กระจก
ในชั่วพริบตาที่จิตวิญญาณดั้งเดิมของผึ้งเขียวถูกทำลาย ห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง ผึ้งมารที่บินหึ่งๆ อยู่ท่ามกลางม่านหมอกเหล่านั้น ก็เปล่งแสงสว่างวาบ
เสียง “ปังๆ” ดังขึ้น ระเบิดร่างกายตัวเองออกทีละตัวๆ
ตั้งแต่ที่ผึ้งยักษ์สีเขียวถูกทำลายร่าง จนถึงตอนที่จิตวิญญาณมารสองตัวสลายหายไป ก็เกิดขึ้นแค่ชั่ววินาทีเท่านั้น
หานลี่ไม่แม้แต่จะมองซากศพของมารอินทรีที่ตกลงมา เลื่อนสายตาไปมองอสูรมารระดับสูงตัวสุดท้ายที่อยู่ไกลออกไป
สายตาเย็นชาดุจน้ำแข็ง
แน่นอนว่ามารสองเขาย่อมมองเห็นเหตุการณ์ทางด้านนี้ทั้งหมด ภายใต้ความตกตะลึง ก็มีสีหน้าเขียวคล้ำ
แม้ว่าผึ้งยักษ์และมารอินทรีจะมีพลังยุทธ์ไม่เท่าเขา แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก คาดไม่ถึงว่าแค่ปะหน้าทั้งสองก็จะถูกอีกฝ่ายสังหารได้อย่างง่ายดาย แม้แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมก็ยังหนีไม่พ้น
นี่จะไม่ทำให้มันรู้สึกหนาวสะท้านได้อย่างไร
แม้ว่าอีกฝ่ายจะทำสำเร็จ แต่ก็เป็นเพราะใช้การลอบโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว เขาถามตัวเองหากตนอยู่ในสถานการณ์เดียวกับอีกฝ่าย ก็ไม่อาจสังหารสหายร่วมวิถีได้อย่างเรียบร้อยเช่นนี้
ทว่ามารตัวนี้เองก็แปลกประหลาดใจอยู่บ้าง
การดึงดูดความสนใจของพวกเขาเมื่อครู่และสิ่งที่ปรากฏขึ้นทีหลังอย่างเงาสีทองซึ่งถูกค้อนของเขาทำลาย มันคืออะไรกัน
พวกเขาสัมผัสได้ชัดๆ ว่ามีพลังวิญญาณที่ไม่ธรรมดา มิเช่นนั้นคงไม่ถูกหลอกอย่างง่ายดายเช่นนี้
ไม่ว่าจะอย่างไร หากเขาเข้าไปประมือเพียงลำพังละก็ แปดเก้าส่วนคงต้องเพลี่ยงพล้ำ ไม่สู้รอให้กำลังเสริมมา แล้วค่อยคิดหาวิธีสังหารอีกฝ่ายจะดีกว่า
หากไม่ไหวจริงๆ ก็ฝ่าฝืนกฎของเทือกเขาและสัญญาที่ทำกับแดนนอกปิดทางเข้าเอาไว้ แล้วสังหารคนผู้นี้ทิ้งไปเสียเลย
คิดดูแล้วบรรดาระดับสุดยอดที่มาจากภายนอก คงไม่มาถกปัญหาอะไรกับนายท่านระดับศักดิ์สิทธิ์ที่เทือกเขาเพื่อคนเพียงคนเดียว
มารสองเขาช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายนัก หลังจากได้สติจากการตกตะลึงแล้ว ก็คิดหาวิธีรับมือออกในทันใด
ดังนั้นในเวลาเดียวกันที่หานลี่มองมา ฉับพลันนั้นเขาก็ตะปบมือทั้งสองออกไป
หลังจากเสียง “สวบๆ” ดังขึ้น ค้อนเหล็กสองด้ามก็หดเล็กลงจนมีขนาดเท่าปกติ และบินกลับมาในมือของเขา
จากนั้นพลันอ้าปากออกพ่นกระจกสัมฤทธิ์สามเหลี่ยมก่อนหน้านี้ออกมาอีกครั้ง มือหนึ่งชี้ไปที่สมบัติชิ้นนี้อย่างรวดเร็ว
ผิวของกระจกสัมฤทธิ์เปล่งเสียงหึ่งๆ พลางพ่นลำแสงเย็นเยียบออกมากลุ่มหนึ่ง แล้วห่อหุ้มลงมาด้านล่าง
ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น
หลังจากลำแสงเย็นเยียบลดระดับลงมา เงาร่างสูงใหญ่ของมารสองเขาก็หายวับไปจากที่เดิม
จากนั้นกระจกสัมฤทธิ์ก็สั่นเทากลายเป็นเงาสายหนึ่ง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วสลายหายไปจากกลางอากาศ
ฉากนี้ทำให้หานลี่ที่อยู่ไกลออกไปตกตะลึง และรู้สึกคาดไม่ถึงไปเล็กน้อย
แต่ทันใดนั้นเขาก็มีสีหน้าเคร่งขรึม รูม่านตามีลำแสงสีฟ้าสว่างวาบ ระลอกคลื่นประหลาดปรากฏขึ้น ทำให้ผู้คนที่มองดวงตาของเขา ถูกดึงดูดสายตาแม้กระทั่งจิตวิญญาณเข้าไป
ดูเหมือนว่าจะมองอะไรออก หานลี่ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม สองนิ้วจึงแตะไปที่หว่างคิ้วอย่างรวดเร็ว
ไอสีดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น และผนึกรวมกันกลายเป็นดวงตาสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกดวงหนึ่ง
นั่นก็คือเนตรทำลายล้าง
เมื่อเนตรปีศาจปรากฏรูป ก็กลอกตาไปมาทันที ลำแสงสีดำสนิทไหลวนอยู่ มีอักขระไหลวนไปมาอยู่ในแววตารางๆ
เสียงแผ่วเบาดังขึ้น ลำแสงสีดำความหนาเท่านิ้วมือถูกพ่นออกมาจากเนตรทำลายล้าง และเปล่งแสงสว่างวาบพลางจมหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากผ่านไปชั่วครู่บรรยากาศรอบๆ ห่างออกไปรอยจั้งเศษ พลันมีเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นดังขึ้น จากนั้นรัศมีลำแสงสีดำกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ระลอกคลื่นสั่นเทากลางอากาศและสลายออก
เสียงอึกทึกดังขึ้น ลำแสงเย็นเยียบสีหม่นหมองดีดออกมาจากรัศมีลำแสง และบินห่างออกไปสิบจั้งเศษ ถึงได้ซวนเซหยุดลง
ลำแสงหม่นแสง มารสองเขาพลันปรากฏตัวขึ้นด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว
แทบจะในเวลาเดียวกันเสียงฟ้าผ่าก็ดังเหนือหัวของมารตนนั้น ประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ ด้านในมีเงาร่างคนสายหนึ่งปรากฏขึ้นรางๆ
“แย่แล้ว”
ร่างของมารสองเขายังไม่ทันยืนให้มั่นคง แต่หลังจากกวาดสายตาไปเหนือศีรษะ จิตใจพลันหนักอึ้ง แทบจะสะบัดมือทั้งสองไปตามความรู้สึก
ชั่วขณะนั้นค้อนยักษ์สองด้ามในมือพลันเปล่งเสียงหวีดร้อง แล้วพุ่งลงไปทับเงาร่างคนเหนือศีรษะ
ในเวลาเดียวกันตรงทรวงอกก็มีผลึกลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ ธงสีฟ้าด้ามหนึ่งบินออกมา พลิ้วไหวเล็กน้อย แล้วกลายเป็นม่านลำแสงสีฟ้า ห่อหุ้มเรือนร่างของเขาเอาไว้
ส่วนตัวของมารสองเขาพลันมีลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างกายกลับพุ่งออกไปราวกับลูกธนู หมายจะดึงระยะห่างออกจากหานลี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
แต่หานลี่จะปล่อยให้มารตนนี้สมใจได้อย่างไร เห็นเพียงอัสนีสีเขียวขาวบนท้องฟ้าระเบิดออกเสียงดังสนั่น สายฟ้าเปลี่ยนสีกลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเงินระยิบระยับ
จากนั้นร่างกายพลันขยายใหญ่ขึ้น หมุนวนแล้วกลายเป็นวิหคยักษ์สีเขียวขนาดสองสามจั้งตัวหนึ่ง สยายปีกทั้งสองข้างออก แล้วพาประจุไฟฟ้าสีเงินหนาเท่าปากชามกระโจนเข้ามาเป็นสายๆ
ความเร็วของมันนั้น ชั่วพริบตาที่ลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ กรงเล็บยักษ์ก็ตะปบไปหาค้อนสีดำที่บินเข้ามา
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นขึ้น!
ค้อนยักษ์ถูกกรงเล็บยักษ์เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปราวกับกระดาษ จากนั้นเสียงโอดครวญพลันดังขึ้น อสรพิษสีเงินระเบิดออกแล้วดีดตัวออกมาเป็นสายๆ
ครู่ต่อมากรงเล็บยักษ์ก็ไม่หยุดชะงักเลยแม้แต่น้อย ชั่วครู่ก็ตะปบไปที่ม่านลำแสงสีฟ้าบนเรือนร่างของมารสองเขา
นอกเหนือความคาดหมายไปเล็กน้อย ม่านลำแสงสีฟ้าที่ดูธรรมดาๆ กลับเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นม่านลำแสงที่ดูราวกับผลึกน้ำ
ไม่ว่าประจุไฟฟ้าหรือว่าพลังมหาศาลของกรงเล็บยักษ์ เมื่อตะปบไปที่มัน ก็จมหายเข้าไปราวกับโคลนที่จมลงสู่มหาสมุทร ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มารสองเขาที่อยู่ในรัศมีลำแสงพลันผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง อดที่จะเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้
แต่ไม่รอให้เขาได้เคลื่อนไหวใดๆ อีก ด้านนอกรัศมีลำแสงก็มีเสียงกรีดร้องแหลมสูงดังขึ้น เห็นจะงอยวิหคสีเขียวกลายเป็นลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจิกลงมาเป็นสายๆ
เสียง “ปังๆๆ” ดังขึ้นสามครั้ง รัศมีลำแสงระเบิดออก จากนั้นเสียงไพเราะก็ดังขึ้น คาดไม่ถึงว่ารัศมีลำแสงแวววาวจะถูกจิกอยู่ที่เดียว แล้วแตกออกเป็นเสี่ยงๆ สุดท้ายก็กลายเป็นลำแสงสีฟ้าแล้วสลายหายไป
“เอ๋”
มารสองเขาที่อยู่ด้านในพลันตกตะลึง แขนสองข้างโบกสะบัดขึ้นไปด้านบนพร้อมกัน
เสียงแหวกอากาศดังขึ้น กรงเล็บสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏออกมา กลายเป็นกรงเล็บตาข่ายตัดสลับกันไปมาอย่างหนาแน่น ต้านทานเหนือศีรษะของเขาเอาไว้
แต่จะงอยปากของวิหคยักษ์สีเขียวพลันขยับอีกครั้ง
ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง ชั่วครู่ก็จมหายเข้าไปในกรงเล็บลำแสง
ชั่วขณะนั้นสายฟ้าสีเงินพลันออกฤทธิ์ กรงเล็บตาข่ายถูกฉีกออกอย่างง่ายดาย ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปราวกับเงาลวงตา
ร่างมารสองเขาสั่นเทาอย่างหนัก รูโลหิตขนาดเท่าปากชามปรากฏขึ้นตรงนั้น และยิ่งไปกว่านั้นในรูโลหิตยังมีลำแสงสีเงินเปล่งแสงเป็นระยะๆ
ชั่วขณะนั้นใบหน้าของมารตัวนี้พลันเผยสีหน้าหวาดกลัวไม่อยากจะเชื่อออกมา แต่ไม่รอให้มันได้เปล่งเสียงร้องคร่ำครวญ รูโลหิตตรงทรวงอกก็มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีเงินพุ่งออกมาเป็นสายๆ แล้วระเบิดออกอีกครั้ง
สายฟ้าสีเงินจมหายเข้าไปในม่านสองเขา
หลังจากเสียงฟ้าร้องดังขึ้นชั่วครู่ ถึงได้หยุดลง
กายเนื้อของมารสองเขารวมทั้งจิตวิญญาณดั้งเดิมด้านใน กลายเป็นผุยผงท่ามกลางลำแสงอัสนีที่รุนแรงตั้งนานแล้ว สลายหายไปจากยุทธภพนี้อย่างไร้ร่องรอย
เหลือเอาไว้เพียงกระจกสัมฤทธิ์สามเหลี่ยมบานนั้น!
หลังจากที่หานลี่กวาดสายตาไปบนกระจกสัมฤทธิ์ ก็ยกมือขึ้นกวัก ชั่วขณะนั้นพลังแรงดูดกลุ่มหนึ่งพลันก่อตัวขึ้น ชั่วครู่ก็ดูดสมบัติที่ไร้เจ้าของเข้ามาอยู่ในมือ และก้มหน้าลงพิจารณาสองแวบ
แต่ก็ไม่พบอะไรจากการมองแบบลวกๆ นั้น
ทว่าเขากลับรู้สึกสนใจเจ้าสิ่งนี้มาก
กระจกบานนี้สามารถรวบรวมพลังปราณ และยังพาคนหลีกหนีไปกลางอากาศได้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สมบัติอาคมธรรมดาๆ และไม่รู้ว่ามารตัวนี้ได้สมบัติชิ้นนี้มาอย่างไร
มือหนึ่งโบกสะบัด ฉับพลันนั้นลำแสงสีเหลืองที่แผ่ออกมาจากกระจกพลันสลายหาย
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะต้องการสังหารอีกฝ่าย เขาจึงสำแดงยันต์ชำระพิสุทธิ์และยันต์เกราะเอกออกมาทีเดียว แต่ตอนนี้ได้สมบัติชิ้นนี้มาแล้ว ก็นับว่าไม่เสียเปรียบนัก
หานลี่ขบคิดเช่นนี้ ก็ไม่ได้มีเจตนาจะรั้งรอต่อ ลำแสงหลีกปรากฏขึ้น กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่ง พุ่งไปยังส่วนลึกของทะเลหมอก
สองสามเค่อพายุมารสีดำผืนหนึ่งก็หวีดร้องดังขึ้นมาจากขอบฟ้า
แต่หลังจากที่หมุนวนหน้าทะเลหมอก ชั่วขณะนั้นก็หม่นแสงลงแล้วสลายหายไป ด้านในวายุมีมารอสูรรูปร่างประหลาดๆ ห้าตนปรากฏขึ้น
“ที่ที่พวกเขาสามคนหายไปครั้งสุดท้ายคือที่นี่” อสูรน้อยหนึ่งในนั้นที่ร่างกายดูเหมือนสร้างขึ้นจากกระเบื้องเคลือบกวาดสายตาไปยังทะเลหมอกแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
อสูรทั้งสี่ที่เหลือมองทะเลหมอก แววตาฉายแววระแวดระวัง
“จากการร่วมมือของนายท่านอู่ลี่และพวกทั้งสาม จะไม่มีข่าวคราวในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้ได้อย่างไร หรือว่าพบความยุ่งยากอะไรระหว่างทาง?” มารอสูรหัวงูเหลือมตัวนั้นเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา
“ก็ไม่แน่ใจนัก ทว่าไม่ว่าอย่างไร ทุกท่านก็ต้องกระตือรือร้นไว้ พวกเราต้องระวังมากหน่อย” อสูรน้อยสั่นศีรษะ จากนั้นก็ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่ไม่ปล่อยให้สงสัยอีก
“ขอรับ”
มารอสูรที่เหลือทยอยกันก้มหน้าลงตอบรับอย่างนอบน้อม
จากนั้นมารอสูรห้าตนก็กลายเป็นวายุมาร พุ่งเข้าไปในทะเลหมอก
หลังจากผ่านไปครึ่งเค่อ ตรงจุดที่หานลี่สังหารมารสองเขา มารอสูรเหล่านั้นก็ทยอยกันปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
พวกมันใช้สายตาฉงนสงสัยพิจารณาทุกอย่างรอบด้าน
อสูรประหลาดตัวที่เหมือนเป็ดแต่หัวมีเขาเดี่ยวสีขาวตัวนั้น กลายเป็นลำแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งไปด้านล่าง แค่กะพริบวาบก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
การเคลื่อนไหวนี้แน่นอนว่าย่อมดึงดูดความสนใจจากมารอสูรตนอื่นๆ จึงอดที่จะมองสบตากันไปมาแวบหนึ่งไม่ได้
แต่ผ่านไปแค่ชั่วครู่ ไอมารด้านล่างพลันหมุนวน มารอสูรเป็ดตัวนั้นบินออกมาจากด้านใน
แค่ตะปบเท้าที่มีพังผืดออกมา ก็มีเศษเขาวัวขนาดเท่ากำปั้นปรากฏขึ้นในเท้าทั้งสองข้าง
“นี่คือเขาวิญญาณของนายท่านอู่ลี่ มาตกอยู่ที่นี่ได้อย่างไร หรือว่ากลับคืนสวรรค์แล้ว” มารอสูรเสืออีกตนหนึ่ง เอ่ยพึมพำด้วยความหนาวเหน็บหัวใจ
“ดูแล้วพวกเขาสามคนคงเพลี่ยงพล้ำไปแล้วจริงๆ คาดไม่ถึงว่าผู้ที่กำลังไล่ตามจะมีอิทธิฤทธิ์ถึงเพียงนี้?” อสูรน้อยหรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วเอ่ยพึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไรต่อ ผู้ที่มาจากภายนอกผู้นั้นหนีไปตั้งนานแล้ว พวกเราไม่อาจไล่ตามได้อีก” มารอสูรงูเหลือมมีสีหน้าเคร่งขรึมสลับกับสดใส แล้วอดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น
“หึ ต่อให้รู้ตำแหน่งของคนผู้นี้ ข้าก็ไม่อาจไล่ตามไปได้อีก ในเมื่ออีกฝ่ายสังหารอู่ลี่และพวกทั้งสามได้อย่างง่ายดาย พวกเราเข้าไปก็คงไม่ใช่คู่มือ กลับกันเถิด!” อสูรน้อยแค่นเสียงด้วยความเย็นชา เอ่ยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“แต่หากเป็นเช่นนี้ กลับไปก็ไม่รู้ว่าจะรายงานอย่างไรสินะ นายท่านจะต้องโกรธมากแน่” อสูรกลับเอ่ยอย่างแช่มช้าและหวาดกลัว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น