พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1641-1644

 บทที่ 1641 แพะรับบาป

 

“จะถลึงตาโตขนาดนั้นทำไม อยากจะกินคนเหรอ? ต่อให้ข้าจะหน้าตาดี แต่เจ้าก็ไม่ต้องถลึงตาจ้องข้าอย่างนี้หรอกมั้ง? น่าตกใจนะ” อวิ๋นจือชิวพยายามทำให้กลายเป็นเรื่องขบขัน “ข้าพูดแล้วเจ้าจะร้อนใจน่ะสิ แค่ลองก็รู้แล้ว ยังจะมาปากแข็งอีก สงสัยในใจของเจ้า ฮูหยินอย่างข้าคงไม่สำคัญเท่าพี่น้องของเจ้าหรอกมั้ง!”


เหมียวอี้จ้องนางไม่ละสายตา “ข้าไม่ได้ร้อนใจ ทำไมเจ้าถึงคิดว่าเกี่ยวข้องกับเจ้ารอง?”


“อย่ามองลงต่ำ เจ้าอยู่เหนือหัวข้าไม่ได้นะ ข้าไม่ตกหลุมพรางเจ้าหรอก นั่งลง นั่งลงคุยกัน” อวิ๋นจือชิวชี้ลงข้างล่าง “ข้าบอกว่าข้าแค่สงสัย เจ้าจะร้อนใจทำไม?”


“ข้าไม่ได้ร้อนใจ” พอเหมียวอี้หย่อนก้นนั่งลงแล้ว ก็ยังไม่ยอมทิ้งประเด็นสนทนานี้ “รีบบอกมา เรื่องเป็นยังไงกันแน่ แผนที่ที่มีมานานขนาดนั้น จะไปเกี่ยวข้องกับเจ้ารองได้ยังไง?”


อวิ๋นจือชิวรู้ว่าเขาร้อนใจ ถ้าจะพูดหยอกต่อไปทั้งสองก็จะทะเลาะกัน นางจึงไม่พูดหยอกเขาแล้ว “ข้าเจอจุดเริ่มต้นของแผนที่แล้ว จุดหมายปลายทางยังคงเป็นอาณาเขตดาวนิรนาม ยังคงต้องทำตามขั้นตอนเพื่อหาจุดหมายปลายทางสุดท้าย ถึงจะยืนยันการคาดเดาของข้าได้”


เหมียวอี้ทำสีหน้าราวกับโดนตะคริวกิน “น้องชิว เจ้าล้อข้าเล่นรึเปล่า เจ้าอิงจากอะไรถึงเดาว่าเกี่ยวข้องกับเจ้ารอง?”


“จุดเริ่มต้นอยู่ใกล้กับทางเข้าแดนสุขาวดี อยู่ที่น่านฟ้าเถาะติง!” อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างเฉียบขาด


เหมียวอี้จึงบอกว่า “ไม่เข้าใจ! เจ้าอิงจากอะไรถึงโยงเจ้ารองไปเกี่ยวข้องน่านฟ้าเถาะติง…” คำพูดเขาหยุดชะงัก แล้วตัวเองก็เริ่มขมวดคิ้วพึมพำเช่นกัน “น่านฟ้าเถาะติง น่านฟ้าเถาะติง!” เขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง แล้วถามอย่างสงสัย “เจ้านึกเชื่อมโยงไปถึงข่าวของพระปีศาจหนานโปที่ปล่อยออกมา ปีศาจจิ้งจอกสามหางที่ปรากฏตัวที่น่านฟ้าเถาะติงเหรอ?”


อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “ไม่ใช่แค่นี้นะ ถ้าแค่เพราะน่านฟ้าเถาะติง ข้าคงไม่นึกเชื่อมโยงถึงเรื่องนี้หรอก ตรงด้านบนของดาวเคราะห์ดวงที่ระบุไว้บนจุดหมายปลายทางของแผนที่ ตั้งใจระบุวัดแห่งหนึ่งเอาไว้ ในวัดยังมีเงาคนที่คลุมเครือด้วย…วัดอะไรกันที่ควรค่าแก่การทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่ดาวโดยเฉพาะ? ทำเครื่องหมายวัดไว้เฉยๆ ก็ว่าแปลกแล้ว แต่ยังตั้งใจแสดงเงาคนที่คลุมเครือเอาไว้ในวัดเพื่ออะไรอีก? นอกเสียจากว่า เงาคนคนนี้จะสำคัญต่อแผนที่ดาวฉบับนี้มากเท่านั้น!”


“วัด? เงาคน?” เหมียวอี้แววตาเลื่อนลอย นึกถึงคำพูดของปีศาจจิ้งจอกสามหางที่เกาก้วนเล่าให้ฟัง ในวัดแห่งหนึ่งระบุเงาคนที่มองเห็นหน้าตาไม่ชัดเจนเอาไว้ เขาอดไม่ได้ที่จะทำสายตาตกตะลึง สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วหลุดพูดออกมาว่า “พระปีศาจหนานโป!”


อวิ๋นจือชิวพยักหน้าอีกครั้ง แต่ก็ส่ายหน้าอีก “แต่ข้าแค่นำสิ่งที่เจ้าสงสัยในตอนแรกมาเชื่อมโยงกัน ส่วนรายละเอียดจะถูกหรือไม่ถูก ข้าก็ยืนยันไม่ได้เหมือนกัน”


“สำนักหนานอู๋…ถูกทำลายด้วยน้ำมือพระปีศาจหนานโป…ซากสำนักหนานอู๋…กลางร่องรอยความเจ็บปวดของหนานอู๋…ผู้ซ่อนสมบัติ…จุดซ่อนสมบัติ…พระปีศาจหนานโป!” เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง แล้วก้าวไปอยู่ใต้ชายคาของศาลาเย็น เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า  แล้วถอนหายใจออกมาอย่างช้าๆ หรี่ตาครุ่นคิดอะไรบางอย่าง


อวิ๋นจือชิวเดินไปข้างหลังเขา เอาแขนคล้องเอวเพื่อให้ร่างกายแนบชิดกับเขา พลางกล่าวเสียงต่ำว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้ารอง แต่นี่เป็นแค่การคาดเดาของข้า เจ้าอย่าร้อนใจสิ”


“มีความเป็นไปด้สูงมาก!” เหมียวอี้ส่ายหน้าเบาๆ แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจราวกับกลัดกลุ้มไร้ที่สิ้นสุด “ถ้าจุดที่ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่คือสถานที่ผนึกของพระปีศาจหนานโปจริงๆ ข้าคิดว่าข้าน่าจะยืนยันตัวตนของผู้ซ่อนสมบัติได้แล้ว”


“อ้อ!” อวิ๋นจือชิวปล่อยเขา เดินอ้อมมาด้านข้าง มองใบหน้าด้านข้างที่มีเค้าความแข็งแกร่งชัดเจนของเขาพร้อมถามว่า “หมายความว่ายังไง?”


เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำอย่างไม่แน่ใจ “ดูจากเบาะแสที่ปรากฏบนจุดซ่อนสมบัติ ผู้ซ่อนสมบัติกับสำนักหนานอู๋น่าจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ห้ามผู้หาสมบัติไม่ให้เอาทรัพย์สินที่สำนักหนานอู๋ทิ้งไว้หรอก หลังจากสำนักหนานอู๋ถูกทำลายไปแล้วหลายปี พระปีศาจหนานโปถึงได้ถูกผนึกไว้ ถ้าแผนที่นี้ชี้ทางไปสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปจริงๆ จะต้องเป็นหลายปีหลังจากนั้นถึงจะปล่อยคนเข้ามาในจุดซ่อนสมบัติได้ พระปีศาจหนานโปถูกศิษย์ทั้งหกของตัวเองผนึกไว้แล้ว ซึ่งพวกเขาก็คือประมุขปราชญ์หกลัทธิ และตอนที่ประมุขปราชญ์หกลัทธิยังมีชีวิตอยู่ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้คนนอกรู้ว่าสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปอยู่ตรงไหน ไม่อย่างนั้นด้วยพฤติกรรมหยิ่งยโสจนมองไม่เห็นใครอยู่ในสายตาของพระปีศาจหนานโป ถ้าหลุดออกมาก็จะต้องกวาดล้างสำนักแน่นอน นี่คือเรื่องที่เป็นความลับสุดยอด ประมุขปราชญ์หกลัทธิใกล้ตายแล้วถึงได้คายความลับออกมา ตอนมีชีวิตอยู่ไม่มีทางที่จะบอกใคร ถึงขั้นว่าต่อให้ตายไปก็ไม่กล้าบอกด้วย! ว่ากันว่าพระปีศาจหนานโปมีพลังอิทธิฤทธิ์ล้ำลึก ไปถึงขั้นที่สามารถควบคุมการเวียนว่ายตายเกิดได้แล้ว คนอื่นอาจจะไม่กล้ายืนยัน แต่พวกเรากลับได้เห็นเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางฉบับครบสมบูรณ์แล้ว เห็นชัดเจนว่าระดับสูงสุดของเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางเป็นแบบนี้ และเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางก็ถูกสร้างโดยพระปีศาจหนานโป หรือพูดได้อีกอย่างว่า ถ้าพระปีศาจหนานโปหลุดออกมาเมื่อไร ต่อให้ประมุขปราชญ์หกลัทธิจะตายไปนานแล้ว แต่พระปีศาจหนานโปก็มีวิธีการจับพวกเขาที่เกิดใหม่ในชาติหน้ามาลงโทษได้อยู่ดี เจ้าว่าประมุขปราชญ์หกลัทธิจะกลัวมั้ยล่ะ?”


อวิ๋นจือชิวก็สูดหายใจอย่างตกตะลึงเช่นกัน แล้วพูดต่ออย่างลังเลว่า “ดังนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่คนนอกจะรู้สถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโ ถ้าให้คนนอกรู้ขึ้นมา ก็จะต้องบอกศัตรูของพระปีศาจหนานโปแน่นอน หรือไม่ก็หาทางตามหาคนที่สามารถทำลายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปได้”


เหมียวอี้เม้มปากแน่น แล้วกล่าวอย่างยากลำบาก “ข้าเชื่อว่าถ้าไม่ถึงคราวตาย ประมุขปราชญ์หกลัทธิก็ไม่มีทางบอกสถานที่ผนึกออกมาง่ายๆ แน่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวว่าเชื่อใจใครหรือไม่เชื่อใจใคร แต่คนสุดท้ายที่กดดันให้ประมุขปราชญ์หกลัทธิตายก็สอดคล้องกับเงื่อนไขสองข้อที่เจ้าบอก อย่างน้อยก็สอดคล้องแล้วหนึ่งเงื่อนไข เพราะอาจารย์ของเขาตายด้วยน้ำมือพระปีศาจหนานโป นับว่าเป็นศัตรูของพระปีศาจหนานโปจริงๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ก่อนที่ประมุขปราชญ์หกลัทธิจะตาย คนสุดท้ายที่ได้เจอก็น่าจะเป็นเขาแล้ว และเป็นไปได้มากที่สุดว่าก่อนตายจากฝังความลับนี้ไว้”


อวิ๋นจือชิวพลันเบิกตากว้าง แล้วเงยหน้ามองเหมียวอี้อย่างตะลึงงัน “ประมุขไป๋!”


“ประมุขไป๋” เหมียวอี้พยักหน้าถอนหายใจเบาๆ แล้วเงยหน้ามองพลางฟ้าพึมพำว่า “เหล่าไป๋ ประมุขไป๋…เหล่าไป๋ ใช่ท่านรึเปล่า? ถ้าเป็นท่านจริงๆ ทำไมต้องทำเรื่องราวให้ซับซ้อนขนาดนี้?”


“เหล่าไป๋?” อวิ๋นจือชิวได้ยินเขาพึมพำ จึงลองถามว่า “เจ้าสงสัยว่าพวกเขาสองคนคือคนคนเดียวกันเหรอ?”


เหมียวอี้ถอนหายใจอีก “ไม่รู้สิ”


“เหล่าไป๋นั่นหน้าตาดีอย่างที่เจ้าบอกจริงเหรอ?” อวิ๋นจือชิวถามอย่างแปลกใจอีก


เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “ตั้งแต่ข้าเกิดมาจนกระทั่งตอนนี้ ข้าก็ยังไม่เคยเห็นใครดูดีกว่าเขาเลย บุคลิกสง่างามเฉียบแหลม ท่วงท่าที่สง่าและรักอิสระของเขานั้นไม่มีใครเทียบติด มีสง่าราศีไร้ที่เปรียบ ขนาดข้ายังไม่มีทางบรรยายออกมาได้เลย ต่อให้ปีศาจจิ้งจอกพันหน้าปลอมตัวเป็นเขา แต่เกรงว่าคงแปลงร่างให้มีสง่าราศีเหมือนเขาไม่ได้อยู่ดี ไม่มีทางลอกเลียนแบบได้ ส่วนหน้าตาก็หล่อผิดธรรมชาติจริงๆ ถ้าจะบอกว่าเขาเป็นที่สุดแห่งยุค ก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไปเลยสักนิด เป็นที่สุดแห่งยุคจริงๆ! ข้ายังจินตนาการไม่ออกเลย ว่าคนที่ดูเหมือนไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับใครแบบนั้น ทำไมถึงเป็นประมุขไป๋ที่ทำให้ประมุขชิงกับประมุขพุทธะหวาดกลัวได้ จินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าคนที่มีลักษณะแบบนั้นจะไปแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์ได้!”


เขาบรรยายจนอวิ๋นจือชิวรู้สึกอยากรู้ อยากจะเห็นมากว่าผู้ชายคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ นึกไม่ถึงถึงขั้นทำให้เหมียวอี้ชื่นชมหน้าตาได้ มีผู้ชายที่หน้าตาดีขนาดนั้นด้วยเหรอ? แต่ก็ถามอย่างลังเลอีกว่า “ถ้าเหล่าไป๋นั่นคือประมุขไป๋จริงๆ แล้วประมุขไป๋ที่โดนขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจล่ะ? ประมุขชิงกับประมุขพุทธะคงไม่ถึงขั้นไม่รู้หรอกมั้งว่าประมุขไป๋หนีไปแล้ว? มิหนำซ้ำ อาศัยความสามารถอย่างเขา ก็ไม่น่าจะยืมมือเจ้าสิ เขาออกมารับมือกับทุกอย่างด้วยตัวเองไม่ดีกว่าหรอกเหรอ?”


เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าก็เลยคิดไม่ตกไง คิดไม่ตกจริงๆ! แต่อย่างน้อยตอนนี้ข้าก็แน่ใจได้ว่าผู้ซ่อนสมบัติคือประมุขไป๋!”


“จุดที่น่าสงสัยเยอะเกินไ บางทีอาจจะมีความลับอะไรบางอย่างที่พวกเราไม่รู้ คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิดแล้ว” อวิ๋นจือชิวใช้มือข้างหนึ่งจับบ่าเขา แล้วขมวดคิ้วถามว่า “หนิวเอ้อร์ ถ้าจุดที่ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่คือที่อยู่ของเจ้ารองจริงๆ เจ้าเตรียมจะทำยังไง?”


เหมียวอี้ตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่า “ข้าก็ย่อมต้องไปหาเขาอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะปล่อยให้เขาโดนขังอยู่ที่นั่นโดยไม่สนใจ”


“นี่ก็คือสิ่งที่ข้าลังเลก่อนหน้านี้” อวิ๋นจือชิวจับไหล่เขาหันมาอย่างโมโหนิดหน่อย นางมองหน้าเขาพร้อมบอกว่า “หนิวเอ้อร์ ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าใช้อารมณ์ทำงาน เจ้าก็น่าจะรู้ถึงสถานการณ์ที่น่านฟ้าเถาะติง  ตำหนักสวรรค์ก็กลัวพระปีศาจหนานโปมากเหมือนกัน ตั้งแต่ได้รับข่าวจากปีศาจจิ้งจอกสามหาง ก็ส่งกำลังพลจำนวนมากไปสำรวจบริเวณนั้นแล้ว มันใช่เรื่องเหรอที่เจ้าจะไปโผล่อยู่ที่นั่น?”


“เอ่อ…” เหมียวอี้พูดไม่ออก เขาละเลยเรื่องนี้ไปแล้วจริงๆ จนกระทั่งตอนนี้ตำหนักสวรรค์ก็ยังไม่ยอมเลิกเลย ค้นหาสถานที่นั่นไม่ยอมหยุด ถ้าเขาโผล่หน้าไปคงจะถูกพบได้ง่ายๆ คิดไปคิดมาก็เลยทำได้เพียงพักเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว รอให้คิดาวิธีได้ครอบคลุมก่อนแล้วค่อยแก้ปัญหาอีกที ได้แต่บ่นอย่างแค้นใจว่า “เจ้ารองมันรนหาที่ตาย ให้เขาได้รับบทเรียนลำบากยาวๆ หน่อยก็ดีเหมือนกัน!”


อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน แล้วพูดเหยียดว่า “ปากไม่ตรงกับใจ! ถ้ามีวิธีการ เกรงว่าข้าคงจะห้ามเจ้าไม่ไหวหรอก แสร้งทำเป็นจัดการกับญาติพี่น้องที่กระทำผิดกฎอะไรกัน เจ้าน่ะเป็นคนไม่สังวรณ์ในคำพูดและการกระทำของตนเอง!”


เหมียวอี้ปากกระตุก ขณะกำลังจะเถียงกลับ ใครจะคิดว่าตรงประตูลานบ้านด้านในจะมีคนมารายงาน “คุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่มาแล้ว”


“เชิญ…” เหมียวอี้เพิ่งจะพูดคำว่า ‘เชิญเข้ามา’ แต่ฝ่ามือหอมข้างหนึ่งก็มาอุดปากเขาไว้แล้ว นอกจากอวิ๋นจือชิวแล้วจะเป็นฝีมือใครไปได้


“เจ้าทำอะไรน่ะ?” เหมียวอี้ดึงมือนางออก แล้วามอย่างหงุดหงิดนิดหน่อย


อวิ๋นจือชิวชี้ไปยังมวยผมเอียงบนศีรษะของเขา “เจ้าจะออกไปเจอคนในสภาพนี้เหรอ? ยังไม่รีบไปจัดทรงแล้วค่อยออกไปอีก” นางหันกลับมาสั่งว่า “เชียนเอ๋อร์ รีบไปช่วยจัดทรงผมให้นายท่านสักหน่อย”


เหมียวอี้ยกมือลูบบนยอดศีรษะโดยจิตใต้สำนึก เขาสีหน้าดำมืดลงแล้ว ชี้อวิ๋นจือชิวซ้ำๆ ทำท่าเหมือนกำลังบอกว่าเจ้าคอยดูเถอะ จากนั้นสะบัดชายเสื้อรีบวิ่งออกไป กลัวว่าคนนอกเห็นแล้วจะเสียหน้า


อวิ๋นจือชิวแอบหัวเราะ จากนั้นก็จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย กลับมาทำท่าทางจริงจังเหมือนเดิม นางกำลังครุ่นคิด ว่าโค่วเจิงพาฮูหยินมาที่นี่ด้วยธุระอะไร นางตะโกนบอกเสียงดังว่า “เชิญเข้ามา!” แล้วตัวเองก็นำเสวี่ยเอ๋อร์ออกไปต้อนรับ


ผ่านไปครู่เดียว นางก็พาโค่วเจิงและสุยฉูฉู่ฮูหยินของเขาเข้ามาข้างในด้วยตัวเอง


ความงามของสุยฉูฉู่นั่นย่อมไม่ต้องพูดถึง ลูกชายคนโตของอ๋องสวรรค์โค่วมีหรือที่จะเสียเปรียบ จะต้องเป็นยอดหญิงงามที่พาออกหน้าออกตาทางสังคมได้อยู่แล้ว นางหัวเราะพูดคุยกับอวิ๋นจือชิวมาตลอดทาง


ทั้งสามเดินเข้ามาในโถงหลักแล้วนั่งลง โค่วเจิงมองซ้ายมองขวา แล้วถามอย่างแปลกใจนิดหน่อยว่า “เจ้าเจ็ด น้องเขยล่ะ?”


อวิ๋นจือชิวที่กำลังคุยเล่นกับสุยฉูฉู่เก็บรอยยิ้มบนใบหน้าทันที แล้วพ่นเสียงทางจมูก “พี่ใหญ่ ท่านยังไม่รู้อีกเหรอว่าผู้ชายอย่างพวกท่านเป็นยังไง? ท่านกับพี่สะใภ้ใหญ่มาได้จังหวะพออดี เขาพึงดึงหญิงรับใช้เข้าห้องหาไปหาความสำราญ ห้ามก็ห้ามไม่อยู่” นางหันกลับมาโบกมือให้เสวี่ยเอ๋อร์ “ไปดูหน่อยว่าพวกเขาเสร็จหรือยัง ให้นายท่านรีบโผล่หัวออกมา มีแขกมาแล้ว อย่ามัวแต่หาความสำราญไม่รู้จักจบจักสิ้น”


เสวี่ยเอ๋อร์รีบก้มหน้าแล้วเดินออกไป แต่ในใจกลับตกตะลึง พบว่าฮูหยินช่างหาข้ออ้างได้ดีจริงๆ ให้นายท่านเป็นแพะรับบาป ถ้าให้นายท่านรู้แล้ว ก็คงจะโมโหจนกระอักเลือดแน่


สุยฉูฉู่เม้มปากหัวเราะ พบว่าเจ้าเจ็ดช่างมีปากที่ไม่ปรานีใคร ขนาดผู้ชายของตัวเองก็ยังโดนไปด้วยแล้ว ที่จวนตระกูลโค่วแห่งนี้ นอกจากเจ้าเจ็ดแล้วก็ไม่มีใครกล้าพูดอย่างนี้กับผู้ชายของตัวเองเลย แต่ก็ว่าได้ดี ในด้านนี้ไม่มีผู้ชายคนไหนดีสักคน


โค่วเจิงกระตุกมุมากเล็กน้อย แล้วยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาปิดบังสีหน้าอับอาย ในใจก็กำลังด่าเหมียวอี้เช่นกัน เป็นคนประเภทไหนกัน แค่สุ่มมาที่นี่สักครั้งก็เจอกับเรื่องแบบนี้เข้าแล้ว ซวยจริงๆ!

 

 

 


บทที่ 1642 อย่าทำซี้ซั้ว!

 

เหมียวอี้ที่จัดแต่งทรงผมอย่างรวดเร็วรีบเดินออกมา พอก้าวเข้าประตูมาก็กุมหมัดคารวะอย่างร่าเริง “ให้พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่รอนานแล้ว”


โค่วเจิงกับสุยฉูฉู่พยักหน้าอย่างสุภาพ


อวิ๋นจือชิวลุกขึ้นต้อนรับ แล้วถามเหมือนไม่ได้ตั้งใจว่า “เสร็จเรื่องแล้วเหรอ?”


เหมียวอี้ไม่ได้คิดอะไรมาก นึกว่าอวิ๋นจือชิวช่วยอ้างเหตุผลว่าเขาติดธุระ ถึงได้ออกมาช้า จึงพยักหน้าตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “เสร็จเรื่องแล้ว ได้ยินว่าพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่มา จะไม่รีบทำให้เสร็จเร็วๆ ได้ยังไง”


โค่วเจิงกับสุยฉูฉู่ตกใจทันที มองเหมียวอี้ด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เคยเห็นคนหน้าด้านมาก่อน แต่ก็ไม่เคยเห็นใครหน้าด้านขนาดนี้เลย ยังมีหน้ามายอมรับต่อหน้าบ่าวรับใช้อีก ทำเหมือนพวกเขาสองสามีภรรยามาขัดจังหวะเรื่องดีๆ ของเจ้าอย่างนั้นแหละ


เสวี่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่อีกด้านเหลือบมองอวิ๋นจือชิวพลางเม้มปากกลั้นขำ ในใจรู้สึกทอดถอนใจไม่หยุด ฮูหยินกำลังวางกับดักนายท่านแบบถึงตายแลว!


และคำตอบที่สร้างสรรค์ของเหมียวอี้ก็แทบจะทำให้อวิ๋นจือชิวหลุดขำออกมาแล้ว เล็บที่อยู่ในแขนเสื้อกำลังจิดเนื้อตัวเองเพื่ออดกลั้นไม่ให้ขำออกมา นางกะว่าเดี๋ยวค่อยบอกความจริงเหมียวอี้ทีหลัง อยากจะเห็นมาว่าเหมียวอี้จะหน้าดำคร่ำเครียดอย่างไร


เหมียวอี้เองก็ค้นพบความผิดปกติแล้วเช่นกัน พบว่าโค่วเจิงกับสุยฉูฉู่มองตนด้วยสายตาแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั่งลงแล้ว ก็ถามอย่างประหลาดใจว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่มีธุระอะไรเหรอ?”


โค่วเจิงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง พยายามสงบสติอารมณ์ตัวเอง ไม่ให้เรื่องมโนสาเร่มารบกวนเรื่องสำคัญ เขาถอนหายใจแล้วบอกว่า “โหย่วเต๋อ ท่านพ่อตอบรับเงื่อนไขของเจ้าหมดแล้ว ท่านพ่อยอมให้เจ้าเป็นกรณีพิเศษเลย!”


หนึ่งในเรื่องสำคัญที่จะมาคุยก็คือเรื่องนี้ หวังว่าเหมียวอี้จะเข้าใจว่าโค่วหลิงซวีให้ความสำคัญกับเขาขนาดไหน นี่คือวิธีการซื้อใจคนที่ใช้บ่อย


เหมียวอี้รีบส่งสายตาให้โค่วเจิง แล้วก็ถือโอกาสพยักหน้า บอกใบ้ว่าเข้าใจแล้ว


โค่วเจิงที่ได้รับสายตาจากเหมียวอี้ตระหนักได้ทันทีว่าเหมียวอี้อาจจะไม่ได้บอกเรื่องนี้กับอวิ๋นจือชิว สุยฉูฉู่ก็เห็นสายตาของเหมียวอี้เช่นกัน อวิ๋นจือชิวที่นั่งอยู่ต่ำกว่าเหมียวอี้มองไม่เห็นพอดี


ทว่าอวิ๋นจือชิวก็แปลกใจแล้ว “ท่านสามี ท่านเสนอเงื่อนไขอะไรกับท่านพ่อบุญธรรมของข้า?”


เหมียวอี้หันกลับมาตอบนางด้วยท่าทางจริงจัง “โดนลอบสังหารที่แดนสุขาวดี ข้าเลยอยากจะเพิ่มการป้องกันที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีสักหน่อย พวกตาแก่กร้านโลกที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีน่ะ ข้าไม่กล้าหวังอะไรหรอก เลยขอให้ท่านพ่อบุญธรรมช่วยเปลี่ยนคนที่จวนแม่ทัพภาคให้สักหน่อย เปลี่ยนคนที่พึ่งพาไว้ใจได้ เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจของท่านพ่อบุญธรรม แต่ท่านก็รับปากแล้ว”


อวิ๋นจือชิวได้ยินแล้วพยักหน้าทันที “เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณท่านพ่อบุญธรรมจริงๆ” นางเองก็รู้จักพวกตาแก่กร้านโลกที่ตลาดผี ถ้าอาศัยให้พวกนั้นรักษาความปลอดภัยให้เหมียวอี้ ก็ไม่น่าไว้ใจสักเท่าไร ขณะเดียวกันนางก็รู้ ว่าต่อให้โค่วหลิงซวีจะออกหน้าจัดการเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ง่ายอยู่ดี แต่ในเมื่อโค่วหลิงซวีรับปากแล้ว ก็ถือว่าช่วยเหลือได้ไม่น้อยแล้วจริงๆ


ดูจากการแอบเปลี่ยนเนื้อหาของเหมียวอี้ โค่วเจิงก็เข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว หลังจากเงียบและครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง  ถึงได้ถามว่า “โหย่วเต๋อ เจ้าเตรียมจะกลับไปที่ตลาดผีเมื่อไร?”


“อีกสองวันก็จะเดินทางแล้ว” เหมียวอี้กล่าว


โค่วเจิง “เกรงว่าจะต้องเลื่อนไปอีกสักหน่อย ข้าจะบอกข่าวอะไรเจ้าอย่างหนึ่ง ราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์แล้ว ข่าวนี้ยืนยันแล้ว ฝ่าบาทปลาบปลื้มมาก เตรียมจะจัดงานเลี้ยงประกาศข่าวดีที่อุทยานหลวงอย่างเป็นทางการ สิ่งที่ท่านพ่อจะบอกก็คือ ถ้าจะให้เจ้าหนีไปทันทีที่ได้ยินข่าวเรื่องราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์ ก็กลัวว่าคงจะมีคนคิดมาก จึงให้เจ้าไปเข้าร่วมงานเลี้ยงก่อนแล้วค่อยไป” เขาไม่ได้เอ่ยถึงว่าเหมียวอี้รู้เรื่องที่ราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์ตั้งนานแล้ว


เหมียวอี้ครุ่นคิดพลางพยักหน้า “ได้!”


โค่วเจิงลุกขึ้นแล้วบอกว่า “งั้นก็ตกลงตามนี้แล้วกัน ถึงตอนนั้นค่อยออกเดินทางพร้อมกัน แล้วให้เจ้าเจ็ดไปกับพี่สะใภ้ใหญ่”


นี่ก็คือจุดประสงค์ที่เขาพาสุยฉูฉู่มาด้วย ไม่ว่าเหมียวอี้จะตายด้วยน้ำมือของตระกูลเหล่านั้นหรือไม่ แต่ในตอนที่เรื่องราวยังไม่ดำเนินไปถึงขั้นนั้น สิ่งที่ควรจะพยายามก็ยังต้องพยายามต่อไป แล้วสุยฉูฉู่ก็เป็นสะใภ้ใหญ่ด้วย กอปรกับฐานะของโค่วเจิงในตระกูลโค่วตอนนี้ ในอนาคตสุยฉูฉู่จะกลายเป็นฮูหยินของหัวหน้าตระกูล มีความเป็นไปได้สูงว่าจะได้กลายเป็นนายหญิงของตระกูลโค่ว อากัปกิริยาบางอย่างก็ต้องรักษาเอาไว้ ดังนั้นสุยฉูฉู่จึงไม่สะดวกจะรีบแสดงบทบาทมากเกินไปเหมือนคนอื่น โค่วเจิงย่อมต้องแอบช่วยฮูหยินของตัวเองเป็นการส่วนตัว ให้ฮูหยินสานสัมพันธ์อันดีกับเจ้าเจ็ดเอาไว้ และถือว่ากำลังช่วยเขาซื้อใจคนด้วยเช่นกัน


หลังจากส่งทั้งสองไปแล้ว ตอนที่เหมียวอี้เพิ่งจะหันตัวมา ก็ถูกอวิ๋นจือชิวเดินตามมาคล้องแขน “หนิวเอ้อร์ ราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์แล้ว ความร่วมมือระหว่างตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วก็จบลงแล้วน่ะสิ? ตึกศาลาสัตยพรตจะยังปกป้องเจ้าอยู่มั้ย?”


เหมียวอี้ยิ้มตอบ “เจ้าวางใจได้ ท่านพ่อย่อมพิจารณาถึงเรื่องนี้แล้ว ดูความเคลื่อนไหวก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เขาไม่ยอมบอกเรื่องที่ตัวเองเตรียมจะลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ


หลังจากนั้นหลายวัน วันแรกของงานเลี้ยงอุทยานหลวง ทางวังหลังก็ส่งข่าวมา ว่าสนมอวี้จัดการเรื่องนี้เรีนบร้อยแล้ว ราชินีสวรรค์ตอบตกลงให้เปลี่ยนกำลังคนที่ตลาดผีแล้ว


วันต่อมา ตระกูลโค่วนำโดยอ๋องสวรรค์โค่ว รวมทั้งคนในตระกูลโค่ว คนกลุ่มใหญ่มาถึงเรือนพักของตระกูลโค่วที่อุทยานหลวง


ตอนที่เข้ามาในสวน เขาชำเลืองมององครักษ์ที่เฝ้าอยู่นอกเรือน เพราะไม่รู้ว่าเป็นกองกำลังกลุ่มไหนของกองทัพองครักษ์ ตอนที่เขาเพิ่งจะออกจากอุทยานหลวงได้ไม่นาน กำลังพลกองมังกรดำของมู่อวี่เหลียนก็ถูกย้ายออกจากอุทยานหลวงแล้ว ก่อนที่จะไป มู่อวี่เหลียนก็ตั้งใจติดต่อมาหาเพื่อบอกให้เขารู้


คนกลุ่มนี้ไม่ได้อยู่ในเรือนพักนานสักเท่าไร พอผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ก็รวมตัวกันไปที่พระตำหนักอุทยานแล้ว


บนลานกว้างนอกตำหนักหลักของพระตำหนักอุทยาน ตำแหน่งยืนชัดเจน ขุนนางยืนอยู่ข้างหน้า ทุกคนในครอบครัวอยู่ข้างหลัง ยืนกันแน่นขนัดเต็มลานกว้างแล้ว


บนบันไดหน้าตำหนัก แม่ทัพใหญ่เกราะแดงประคองกระบี่ยืนเรียงแถวอยู่ทางซ้ายและขวา กำลังมองไปรอบๆ ด้วยสายตาที่ดุร้ายราวกับเหยี่ยวและหมาป่า เป็นกำลังพลของกองทัพองครักษ์นั่นเอง


รอได้สักประเดี๋ยว ประมุขชิงกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เดินออกมาจากตำหนักพร้อมกัน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เชิดหน้ายืดอก สีหน้าสง่าภูมิฐาน แต่ความดีใจที่แสดงออกทางสายตากลับยากที่จะปิดบังได้ นางกำลังกวาดมองกลุ่มขุนนางที่ยืนอยู่ตรงตีนบันได


ตุ้งตุ้งตุ้ง! หลังจากเสียงกลองสะท้านฟ้าดังขึ้นสามครั้ง เสียงกลองยังดังก้องอยู่ระหว่างฟ้าดิน ทุกคนบนลานกว้างทำความเคารพพร้อมกัน ส่งเสียงพร้อมกัน “คารวะฝ่าบาท คารวะราชินีสวรรค์!”


ในโอกาสที่เป็นทางการ ยามเผชิญหน้ากับการเข้าเฝ้าของกลุ่มขุนนาง เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยกแขนเสื้อสองข้างที่ใหญ่โคร่งขึ้นมา แล้วโอบรวมกันเพื่อแสดงความเคารพกลับ


ประมุขชิงโบกแขนเสื้อ “ไม่ต้องมากพิธี!”


“ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยราชินีสวรรค์!” หลังจากกล่าวขอบคุณแล้ว ทุกคนถึงได้ยืนตรงและมองขึ้นมาข้างบน


บนใบหน้าประมุขชิงมองไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน ในงานไม่ได้มีพิธีการจุกจิกหยุมหยิมอะไรเกินไป ได้ยินเพียงเสียงที่ดังก้องของเขา “ข้า วันนี้จะประกาศข่าวมงคลให้ทุกคนรู้อย่างเป็นทางการ ราชินีสวรรค์กำลังตั้งครรภ์โอรสสวรรค์ให้ข้า ข้ามีผู้สืบทอดแล้ว!”


“ยินดีด้วยฝ่าบาท ยินดีด้วยราชินีสวรรค์…” เตรียมคำพูดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ทุกคนกล่าวเสียงดังพร้อมเพรียงกันสามรอบ


บนใบหน้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เรียกได้ว่ากระปรี้กระเปร่าขึ้นในชั่วพริบตาเดียว กวาดมองเบื้องล่างด้วยแววตาสดใสเป็นประกาย ใช้คำว่า ‘มารดาได้พึ่งบารมีบุตรชาย’ นั้นเหมาะสมกับนางที่สุดแล้ว


ซ่างกวนชิงเดินลงบันไดไปหนึ่งขั้น แล้วจู่ๆ ก็กล่าวเสียงดังว่า “ฝ่าบาทถ่ายทอดคำสั่ง นิรโทษกรรมทั้งใต้หล้า! นักโทษทุกคนที่ถูกคุมขัง ขอเพียงไม่ใช่นักโทษกบฏ ก็จะได้รับอภัยโทษทั้งหมด! ผู้ร้ายที่กำลังหลบหนี ขอเพียงไม่ใช่นักโทษกบฎ หากยอมมอบตัว จะได้รับอภัยโทษทั้งหมด!”


“เป็นบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของฝ่าบาท เมตตาท่วมท้นสรรพสิ่ง!” เสียงของคนนับหมื่นดังขึ้นพร้อมกัน


“ฝ่าบาททรงจัดงานเลี้ยงให้ทั่วแดนร่วมฉลอง กคนกลับไปนั่งประจำที่” ซ่างกวนชิงกล่าว


“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” ทุกคนกล่าวเสียงดังพร้อมกันอีกครั้ง


ประมุขชิงกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่หันตัวเดินเข้าไปในตำหนักพร้อมกัน บรรดาขุนนางใหญ่ที่มีสิทธิ์เข้าราชสำนักเดินตามหลังขึ้นบันไดไป เข้าไปร่วมงานเลี้ยงด้านใน


“ท่านปู่สวรรค์ ยินดีด้วย!”


ข้างหลังเซี่ยโห้วท่า เสียงแสดงความยินดีดังขึ้นเป็นแถบ มีทั้งปลอมบ้างจริงใจบ้างปนกันไป เซี่ยโห้วท่ากล่าวขอบคุณไม่หยุด ใบหน้าชรายิ้มแย้มราวดอกไม้บาน


สมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้หญิงยืนแยกทางซ้ายและขวา เดินอ้อมตำหนักใหญ่เข้าไปร่วมงานเลี้ยงด้านในแล้ว


ประมุขชิงเลี้ยงรับรองขุนนางใหญ่อยู่ในตำหนักใหญ่ ส่วนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เลี้ยงรับรองสมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้หญิงอยู่ที่ลานบ้านด้านใน


ที่จริงแล้ว ถ้านำสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิงของแต่ละตระกูลมารวมกัน ก็จะมีจำนวนเยอะที่สุด ก็ช่วยไม่ได้ บรรดาขุนนางใหญ่แต่ละคน ถ้าจะบอกว่ามีสามภรรยาสี่อนุก็ถือว่ายังน้อยไป เพราะถ้าเห็นแล้วถูกใจก็จะรับเข้ามาไว้ในบ้าน ถ้ามีอนุภรรยาน้อยก็แปลกแล้ว


พอขุนนางใหญ่ไปแล้ว สมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้หญิงก็ไปแล้ว ตอนนี้ลูกหลานของแต่ละตระกูลที่เหลืออยู่ก็มีไม่เยอะ เหลือไม่กี่พันคนเท่านั้น


ไม่นานก็มีเทพธิดาจำนวนมากมาจัดโต๊ะอาหาร นำอาหารเลิศรสสีสันงดงามมาวางไว้ สุราหยกก็ย่อมขาดไม่ได้เช่นกัน


ลำดับโต๊ะของแต่ละตระกูลอิงตามตำแหน่งขุนนาง เหมียวอี้ได้อาศัยบารมีนั่งแถวหน้าที่อยู่ห่างจากบันไดตำหนักไม่ไกล


ทางฝั่งตระกูลโค่ว  โค่วเจิง โค่วเหมี่ยนและกลุ่มคนรุ่นเดียวกันกำลังยกจอกสุราดื่มฉลองด้วยกันอย่างร่าเริง “เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องมากพิธี” ทว่ายากที่จะปฏิเสธการเชื้อเชิญได้ เขาก็ทำได้เพียงดื่มหมดจอกก่อนเพื่อแสดงความเคารพ


ขณะที่วางจอกสุราที่รินไว้เต็มลง พวกโค่วฉิน โค่วเหมี่ยนก็สังเกตเห็นว่าเหมียวอี้ใจลอยนิดหน่อย ทุกคนมองตามสายตาเหมียวอี้ เห็นกำลังมองไปทางกลุ่มตระกูลอิ๋งพอดี พบว่าเหมียวอี้จับตาดูอิ๋งหยางแล้ว ความไม่เป็นมิตรในสายตาเหมียวอี้นั้นยากจะปิดบัง พวกเขามองหน้ากันเลิกลั่ก ย่อมได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในแดนสุขาวดีมาแล้ว


“เฮ้อ โหย่วเต๋อ วันนี้เป็นงานมงคลของฝ่าบาท อย่าไปคิดถึงคนเฮงซวยเลย มา พวกเรามาดื่มกันอีกสักจอก” โค่วเหมี่ยนชูจอกสุราขึ้นมาปลอบใจ。


คนที่นั่งโต๊ะเดียวกันพยักหน้า ทุกคนพากันพูดปลอบใจ มีเพียงโค่วเจิงที่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร เพราะเขาคือคนที่รู้ดีกว่าใคร ว่าต่อไปเหมียวอี้จะทำอะไรกับอิ๋งหยาง


เหมียวอี้สีหน้าเรียบเฉย เดินวนไปวนมาอยู่ในโต๊ะกับพวกเขาอย่างขอไปที


และในตอนนี้เอง ลูกชายของโค่วเจิงซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานคนโต หรือโค่วเหวินไป๋นั่นเอง มือข้างหนึ่งถือจอกสุรา มืออีกข้างถือกาสุรา มาดื่มคารวะกับผู้อาวุโสก่อน นับว่าเป็นลำดับอาวุโสเช่นกัน ข้างหลังเขา คาดว่าคงมีรุ่นหลานของตระกูลโค่วคงผลัดกันเข้ามาแล้ว


โค่วเหวินไป๋เริ่มตั้งแต่บิดา ดื่มคารวะไล่ลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนที่คารวะเหมียวอี้ กลับพบว่าเหมียวอี้มองไม่เห็นเขา เจ้าตัวกำลังเอียงหน้าไปอีกด้าน


“อาเขย” โค่วเหวินไป๋ยกจอกสุราพลางตะโกนเรียกด้วยรอยยิ้ม


“โหย่วเต๋อ เหวินไป๋มาดื่มคารวะเจ้า” โค่วฉินก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นกัน


ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะกำลังมองอิ๋งหยางหัวเราะร่าเริงอยู่ทางฝั่งตระกูลอิ๋ง เป็นเวลาที่ไฟโกรธสุมทรวง ไม่สนใจใยดีโค่วเหวินไป๋เลย แต่กลับลุกขึ้นยืนแล้วถือกาสุรากับจอกสุราเตรียมจะเดินออกไป


โค่วเหวินไป๋สีหน้าเปลี่ยนไปมาก นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะไม่ไว้หน้าเขามากขนาดนี้ต่อหน้าฝูงชน ยืนถือจอกสุราค้างอยู่อย่างนั้น


แต่พวกโค่วเจิงกลับตกใจ พบว่าเหมียวอี้กำลังถือ ‘อาวุธ’ เดินไปทางตระกูลอิ๋ง แต่ละคนร้องในใจว่าแย่แล้ว เจ้าคนหัวรุนแรงคนนี้มันคิดจะทำอะไร?


โค่วเจิงรีบถ่ายทอดเสียงบอก โค่วฉินกับโค่วเหมี่ยนถลันตัวเข้าไปขวางเหมียวอี้ทันที ไม่รู้ว่ากำลังแอบพึมพำอะไรกันอยู่


“ท่านพ่อ! เขาหมายความว่ายังไง?” โค่วเหวินไป๋ถ่ายทอดเสียงถามโค่วเจิง


โค่วเจิงถลึงตาจ้องเขาอย่างดุดัน “ยังกลัววุ่นวายไม่พอรึไง? ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ถอยไป!” เขาลุกขึ้นเดินไปทางเหมียวอี้เช่นกัน ยื่นมือไปดึงแขนเหมียวอี้ แล้วกล่าวเสียงต่ำ “โหย่วเต๋อ วันนี้เป็นวันมงคลของฝ่าบาท อย่าทำซี้ซั้ว!”


“ข้าก็แค่จะไปดื่มคารวะเอง ไม่เกิดเรื่องหรอก” เหมียวอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้มเรียบๆ


สามพี่น้องพูดไม่ออก เจ้าก่อเรื่องจนชื่อเสียงโด่งดังแล้ว ด้วยพฤติกรรมของเจ้าในตอนนี้ ยังกล้าบอกอีกเหรอว่าจะไม่เกิดเรื่อง ใครจะไปเชื่อล่ะ?

 

 

 


บทที่ 1643 งานเลี้ยงที่พระตำหนักอุทยาน

 

เมื่ออยู่ภายในโอกาสและสถานที่แบบนี้ พวกเขาเชื่อว่าคนอื่นไม่กล้าก่อเรื่อง แต่กับเหมียวอี้คนนี้ เขาไม่มีความเชื่อใจเลยจริงๆ เพราะมีตัวอย่างบทเรียนให้เห็นมาก่อนแล้ว ถ้าจะบอกว่าในโลกนี้มีใครกล้าก่อเรื่องในงานมงคลของราชันสวรรค์ ก็เป็นท่านนี้แน่นอน!


อีกสามคนบนโต๊ะสบตากันอย่างพูดไม่ออก ทั้งสามมีฐานะเหมือนเหมียวอี้ ล้วนเป็นเขยของตระกูลโค่ว แต่กลับเป็นเขยแท้ๆ ฮูหยินของพวกเขาล้วนเป็นลูกสาวแท้ๆ ของอ๋องสวรรค์โค่ว ไม่ใช่แค่ลูกสาวบุญธรรมอย่างอวิ๋นจือชิว


รุ่นที่สองของตระกูลโค่ว ถ้านับรวมอวิ๋นจือชิวด้วย ก็เรียงลำดับพี่น้องได้เป็น โค่วฉิน โค่วเหมี่ยน โค่วอิง โค่วเชี่ยน โค่วอวี้ อวิ๋นจือชิว


เฉียนลู่แต่งงานกับโค่วอิง ชูเจี้ยนแต่งงานกับโค่วเชี่ยน เซิงมู่เสวี่ยแต่งงานกับโค่วอวี้


ตอนนี้เฉียนลู่คือหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ ส่วนชูเจี้ยนเดิมทีก็เป็นลูกน้องคนสนิทของโค่วหลิงซวี หลังจากแต่งงานกับโค่วเชี่ยนแล้ว ก็ค่อยๆ กลายเป็นตัวละครที่ทำหน้าที่พิทักษ์ตระกูลโค่วอย่างทุกวันนี้ และเป็นคนเดียวของเขยตระกูลโค่วที่ได้พักอาศัยอยู่ในตระกูลโค่วโดยไม่ได้แยกบ้าน เรียกได้ว่ากุมอำนาจมหาศาลในการเฝ้าประตูและปกป้องคนในบ้านของตระกูลโค่วเอาไว้ ส่วนเซิงมู่เสวี่ยก็เนื่องจากบิดาเป็นลูกน้องคนสนิทของโค่วหลิงซวีมาตั้งแต่ปีแรกๆ แล้วรบตายในศึกใหญ่เพื่อช่วยชีวิตโค่วหลิงซวีเอาไว้ ทว่าเซิงมู่เสวี่ยมีความสามารถค่อนข้างอ่อนด้อย โค่วหลิงซวีอยากจะสนับสนุนอย่างไรก็สนับสนุนลำบาก แต่เห็นแก่บุญคุณของบิดาอีกฝ่าย จึงมอบโค่วอวี้ลูกสาวคนสุดท้องให้แต่งงานกับเขา นับว่าได้ตอบแทนบุญคุณที่บิดาได้ช่วยชีวิตแล้ว ได้รับประกันเกียรติยศความร่ำรวยของเซิงมู่เสวี่ยไปทั้งชีวิต นับว่าเป็นการให้คำอธิบายแก่บิดาของเขารวมทั้งบรรดาลูกน้องที่อุทิศตนรับใช้


ไม่ว่าความสามารถของเซิงมู่เสวี่ยจะเป็นอย่างไร ถึงแม้จะเป็นแค่ตำแหน่งที่ว่างงาน ในมือไม่ได้มีอำนาจมากมาย แต่ก็ยังมียศสูง มียศเดียวกับเฉียนลู่และชูเจี้ยน ตอนนี้อยู่ในระดับแม่ทัพใหญ่เกราะแดงแล้ว ในบรรดาลูกเขยพวกนี้ จะว่าไปแล้วเหมียวอี้ก็ยังมียศต่ำสุด


ทั้งสามทยอยกันลุกขึ้นมา เฉียนลู่กับชูเจี้ยนไปเกลี้ยกล่อมเหมียวอี้ มีเพียงเซิงมู่เสวี่ยที่เดินไปข้างกายโค่วเหวินไป๋ที่กำลังมีสีหน้าย่ำแย่ แต่ตบบ่าเขาพร้อมเตือนสติว่า “เหวินไป๋ อย่าเข้าใจผิดนะ อาเขยของเจ้าไม่ได้มีเจตนาจะกลั่นแกล้งเจ้า เขาพุ่งเป้าไปที่คนนั้น นั่น…” บุ้ยปากไปทางตระกูลอิ๋ง “อิ๋งหยาง!”


เซิงมู่เสวี่ยเป็นคนอ่อนโยนประจำตระกูลโค่ว ถึงอย่างไรก็ไม่มีความกังวลทุกข์ร้อนใดๆ ทั้งนั้น ทำตัวอิสระเสรีไปวันๆ ไม่ไปล่วงเกินใครทั้งนั้น ไม่แย่งชิงอะไรกับใครด้วย ถึงขั้นควบคุมให้ลูกสาวลูกชายตัวเองใช้ชีวิตอย่างสงบเสงี่ยม สรุปก็คือฝั่งเขาแน่วแน่ที่จะไม่เข้าไปยุ่งกับการแข่งขันอย่างลับๆ ระหว่างลูกหลานตระกูลโค่ว ไม่ยืนอยู่ฝ่ายไหนทั้งนั้น มีท่าทีอย่างนี้มาตลอด ไม่ล่วงเกินฝ่ายไหน รักษามิตรภาพกับทุกฝ่ายเอาไว้ตลอด เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ ก็ไม่มีใครมาดึงเขาไปเป็นพวก สำหรับคนอ่อนโยนคนนี้ ในตระกูลโค่วไม่ว่าใครจะมีเรื่องดีๆ อะไรก็จะไม่ลืมเขา อย่างไรเสียโค่วอวี้ฮูหยินของเขาก็ยังเป็นลูกสาวของโค่วหลิงซวี


พอได้ฟังเขาอธิบายอย่างนี้ โค่วเหวินไป๋ก็มองปี่ฝั่งตระกูลอิ๋ง ทำให้เข้าใจทันที เพราะเขาก็ได้ยินเรื่องที่แดนสุขาวดีมาเหมือนดัน ท่าทางจะไม่ได้กลั่นแกล้งตนจริงๆ ด้วย แต่เขาก็นึกอะไรบางอย่างได้ รีบถามเสียงต่ำว่า “อาเขย เขาคงจะไม่ก่อเรื่องในงานนี้หรอกใช่มั้ย?”


เซิงมู่เสวี่ยส่งสายตาที่สื่อความหมายลึกซึ้งให้เขา ราวกับกำลังบอกว่า ‘เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ’ จากนั้นหันตัวเดินไปทางเหมียวอี้ ไปช่วยเกลี้ยกล่อมตามกระแส


โค่วเหวินไป๋อกสั่นขวัญแขวน เขาย่อมเคยได้ยินมาก่อนว่าอาเขยจอมเอาเปรียบคนนี้เป็นคนอย่างไร เป็นคนที่กล้าก่อเรื่องในพิธีรับสนมของราชันสวรรค์ กล้าตบหน้าอิ๋งจิ่วกวงต่อหน้าฝูงชน มีหรือที่จะกลัวลูกหลานของตระกูลอิ๋ง


ภายใต้การเกลี้ยกล่อมซ้ำๆ ของทุกคน เหมียวอี้บอกว่า “พี่ใหญ่ ในเมื่อท่านไม่เชื่อใจข้าขนาดนี้ งั้นก็ไปด้วยกันกับข้าเลยสิ ถ้าข้าก่อเรื่องเมื่อไร พวกท่านจะได้ห้ามทันที”


ทุกคนมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา แล้วโค่วฉินก็ขมวดคิ้วบอกว่า “ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจเจ้า แต่ในเมื่อเจ้าไม่ก่อเรื่อง ทำไมเจ้าจะต้องไปดื่มสุราคารวะกับเขาให้อึดอัดด้วย?”


“ข้าก็แค่เห็นเขาสนุกสนานเกินไป อยากจะเข้าไปขัดจังหวะเขาก็เท่านั้นเอง” เหมียวอี้กล่าว


เขาพูดความจริงสุดๆ แล้ว อีกฝ่ายแทบจะเล่นงานจนเขาตาย แต่กลับยังดื่มสุราอย่างสนุกสนานอยู่ทางนั้น ถ้ามองไม่เห็นก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเห็นแล้วจะให้แกล้งทำเป็นไม่เห็นก็ยากหน่อย เขาเข้าตระกูลโค่วมาเพื่ออะไรล่ะ? ถ้าเข้าตระกูลโค่วมาแล้วยังต้องทนรับความไม่ยุติธรรมอย่างนี้ เขาก็รู้สึกผิดกับตัวเองเกินไปแล้ว ดังนั้นจึงอยากจะเข้าไปหาสักหน่อย…ทางที่ดีต้องทำให้อีกฝ่ายก่อเรื่องเอง


ทว่านี่คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ พวกโค่วเจิงไม่มีทางปล่อยให้เขาเข้าไปในเวลานี้ ถ้าคนของตระกูลโค่วไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วยก็ว่าไปอย่าง แต่ในเมื่ออยู่ตรงนี้แล้วยังปล่อยให้เหมียวอี้ก่อเรื่อง กลับไปก็จะแก้ตัวกับท่านพ่อไม่ไหว


โค่วเจิงก็ยิ่งแอบถ่ายทอดเสียงบอกอิ๋งอู๋หม่านที่อยู่ฝั่งตระกูลอิ๋ง “ให้ลูกชายเจ้าหลบไปหน่อย เดี๋ยวต่อไปเกิดเรื่องขึ้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนนะ”


สี่อ๋องสวรรค์เท่าเทียมกันมาก แต่ละคนจะมีลูกชายสามลูกสาวสาม ลูกชายสามคนของอิ๋งจิ่วกวงมีอิ๋งอู๋หม่าน อิ๋งอู๋เชวีย อิ๋งอู๋เฟย


อิ๋งอู๋หม่านก็คือลูกชายคนโตของตระกูลอิ๋ง พอได้ยินก็หันกลับมามอง พอเห็นคนของตระกูลโค่วกำลังขวางเหมียวอี้อยู่ทางนั้น ก็เข้าใจทันทีว่าโค่วเจิงหมายถึงอะไร จึงถ่ายทอดเสียงเย้ยว่า “ขู่ข้าเหรอ? นึกว่าตระกูลอิ๋งของข้ากลัวตระกูลโค่วของเจ้ารึไง?”


“ขู่เจ้าเหรอ?” โค่วเจิงพ่นเสียงทางจมูก ขี้คร้านจะพูดกับเขาแล้ว จึงหันตัวมาคว้าข้อมือเหมียวอี้ ไม่สนว่าเหมียวอี้จะมีข้ออ้างเหลวไหลอะไร ลากกลับมาโดยตรง


เมื่อได้เห็นฉากนี้ ในใจอิ๋งอู๋หม่านก็รู้สึกหนักหน่วงเล็กน้อย เขาไม่เห็นเหมียวอี้อยู่ในสายตาหรอก เพราะประเด็นสำคัญอยู่ที่ท่าทีของตระกูลโค่ว การปฏิเสธตำแหน่งหัวหน้าภาคสองตำแหน่งนั่นต่างหากที่ทำให้ตระกูลอิ๋งกังวลที่สุด ต่อไปก็ยังไม่รู้เลยว่าตระกูลโค่วจะลงมือกับลูกหลานคนไหนของตระกูลอิ๋ง ตระกูลอิ๋งทำได้ ตระกูลโค่วก็ทำได้เหมือนกัน อาจจะพุ่งเป้ามาที่อิ๋งหยางเป็นพิเศษก็ได้


“อิ๋งหยาง เจ้าออกจากงานเลี้ยงไปก่อน กลับจวนไปก่อน” สุดท้ายอิ๋งอู๋หม่านก็ถ่ายทอดเสียงบอกลูกชายที่อยู่อีกโต๊ะหนึ่ง


เมื่อเห็นเหมียวอี้กำลังจ้องอิ๋งหยาง เขาก็ไม่อยากให้อิ๋งหยางกับเหมียวอี้เจอกัน ไม่ใช่เพราะกลัวเหมียวอี้ แต่ถ้าก่อเรื่องในเวลานี้ ต่อให้มีเหตุผลแก้ตัวที่ฟังขึ้น แต่ก็ยังเป็นการไม่ไว้หน้าราชันสวรรค์ ราชินีสวรรค์และตระกูลเซี่ยโห้วอยู่ดี ตามหลักแล้วคนทั่วไปไม่กล้าก่อเรื่องในโอกาสและสถานที่แบบนี้หรอก แต่หนิวโหย่วเต๋อนั่นเหลวไหลเกินไปจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อครู้นี้มีตระกูลโค่วขวางอยู่ ดีไม่ดีก็อาจจะเกิดเรื่องขึ้นแล้วก็ได้


ที่เขาให้อิ๋งหยางกลับไป ก็เพราะวันนี้ยังต้องใช้เวลาที่อุทยานหลวงอีกนาน เขากังวลว่าเหมียวอี้จะจับตาดูอิ๋งหยางไม่เลิก ถ้าต่อไปเหมียวอี้ได้มาเจอกับอิ๋งหยางอีก ในงานมงคลที่ยิ่งใหญ่จนได้รับอภัยโทษทั้งแผ่นดินก็จะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะอยู่ดีเลย หลบคนบ้าอย่างเหมียวอี้ไว้หน่อยจะดีกว่า


ในบรรดาทหารยามที่เฝ้าอยู่บนบันไดนอกตำหนัก มีคนมองลงมาสังเกตความเคลื่อนไว้ของคนในงานเลี้ยง ความเคลื่อนไหวของคนตระกูลโค่วอยู่ในสายตาของเขา และข้อมูลก็ป้อนกลับไปที่หูของซ่างกวนชิงอย่างรวดเร็ว


ในตำหนัก ระหว่างที่งานเลี้ยงดำเนินไป สี่อ๋องสวรรค์ก็หาข้ออ้างทยอยกันไปในตำหนักด้านข้าง


ประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องสูงชำเลืองมองที่นั่งข้างล่างที่ขาดคน ซ่างกวนชิงเข้ามาถ่ายทอดเสียงข้างหูทันที บอกความเคลื่อนไหวข้างนอกให้ประมุขชิงรู้


ประมุขชิงแอบทำเสียงฮึดฮัด “อยากจะก่อเรื่องในงานมงคลของข้าอีกแล้ว เจ้าลูกลิงนั่นเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วรึไง? ทางตระกูลอิ๋งไม่ได้แอบมาเจรจาประนีประนอมกับตระกูลโค่วเชียวเหรอ?”


ซ่างกวนชิงตอบว่า “ไม่รู้ว่ารายละเอียดเป็นยังไง แต่มีเรื่องบางเรื่องที่ค่อนข้างน่าสนใจ ช่วงนี้ตระกูลอิ๋งควบคุมดูลูกหลานแบบเข้มงวดมาก ลูกหลานของตระกูลอิ๋งไม่ค่อยออกนอกบ้านเลย”


“อ้อ!” ประมุขชิงรู้สึกบันเทิงทันที “สงสัยครั้งนี้ตระกูลโค่วจะไม่อยากเมตตาแล้ว ตระกูลอิ๋งเริ่มกลัวแล้วล่ะ”


ซ่างกวนชิงบอกว่า “บ่าวก็สงสัยอย่างนี้เช่นกัน เป็นตระกูลอิ๋งที่หาเรื่องใส่ตัวเอง หนิวโหย่วเต๋อมีเรื่องกับคนไปทั่วขนาดนั้น ถ้าทำเรื่องนี้อย่างสะอาดเรียบร้อย ก็เกรงว่าคงจะตัดสินได้ยากว่าใครเป็นคนลงมือ แต่ตระกูลอิ๋งดันทำงานไม่เรียบร้อย เปิดโปงตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก ครั้งนี้คงจะทำตระกูลโค่วเดือดดาลแล้วจริงๆ”


พอกวาดมองที่นั่งวางของสี่อ๋องสวรรค์แวบหนึ่ง ประมุขชิงก็แสยะยิ้ม “น่าสนใจดีนี่ กลัวก็แต่สุนัขจะกัดกับสุนัขไม่ไหว”


ในตำหนักด้านข้าง สี่อ๋องสวรรค์กำลังล้อมอยู่รอบอ่างน้ำ ฮ่าวเต๋อฟางกับก่วงลิ่งกงอยู่ตรงข้ามกัน อิ๋งจิ่วกวงกับโค่วหลิงซวีอยู่ตรงข้ามกัน


ในบรรดาสี่คนนี้ มีเพียงโค่วหลิงซวีที่วางสองมือลงในอ่างน้ำที่มีกลีบดอกไม้โปรยแล้วล้างมืออย่างสบายๆ อิ๋งจิ่วกวงที่จ้องอยู่ตรงข้ามเขาเหมือนจะแค้นจนกัดฟันกรอด เมื่ออยู่ต่อหน้าคนพวกนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งทำตัวสุขุมนุ่มลึกอะไร


“ตาแก่โค่ว ทะเลาะกันต่อไปก็ไม่เป็นผลดีกับใคร คนที่ได้ประโยชน์มีแต่ท่านที่นั่งอยู่ข้างใน ถึงยังไงหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่เป็นอะไร เห็นอะไรดีๆ ก็รับไว้เถอะ” ฮ่าวเต๋อฟางกล่าวโน้มน้าว


โค่วหลิงซวียิ้มเรียบๆ “ดูพูดเข้าสิ ซูกวงกวงบอกว่าตระกูลอิ๋งไม่ได้ทำไม่ใช่เหรอ ข้ารับไว้แล้ว เหมือนข้าจะไม่ได้ทำอะไรตระกูลอิ๋งนี่นา? พวกเจ้ามาพูดสุ่มสี่สุ่มห้าอะไรกัน”


“พอแล้ว อยู่ต่อหน้าคนชัดเจนไม่พูดอะไรคลุมเครือ เรื่องบางเรื่องทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ แพ้แล้วก็คือแพ้แล้ว ต้องถูกลงโทษ” ก่วงลิ่งกงกล่าว


เพื่อที่สี่อ๋องสวรรค์จะได้รักษาผลประโยชน์ในระดับนี้ของพวกเขาเอาไว้ เมื่อระหว่างพวกเขาเผชิญกับเรื่องที่ประนีประนอมกันกันลำบาก ก็จะดึงคนที่เหลือมาช่วยประสานงานให้ หาวิธีการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม จะให้สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายจริงๆ ไม่ไหวหรอก นอกเสียจากจะตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบอย่างถึงที่สุด หมดสิทธิ์ในการเจรจาต่อรอง ทำได้เพียงปล่อยให้คนฆ่าแกงเท่านั้นแหละ ดังนั้นระหว่างทั้งสี่จึงมีทั้งการแข่งขันและความร่วมมือกัน


หลังจากตระกูลโค่วปฏิเสธตำแหน่งหัวหน้าภาคสองตำแน่งนั้นไปแล้ว อิ๋งจิ่วกวงก็เกิดปัญหายุ่งยากแล้ว จึงถือโอกาสบอกให้ฮ่าวเต๋อฟางและก่วงลิ่งกงรู้


ที่จริงระหว่างสี่อ๋องสวรรค์นั้นพยายามหลีกเลี่ยงไม่ลงมือกับคนในครอบครัวของกันและกัน นอกเสียจากจะโดนกดดันจนหมดทางเลือก ไม่อย่างนั้นถ้าโต้ตอบกันไปโต้ตอบกันมา ผู้ที่สูญเสียก็จะมีแต่ครอบครัวพวกเขาเอง


โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม “โดนปรับเหรอ? เดี๋ยวต่อไปข้าโดนปรับด้วยก็สิ้นเรื่องแล้ว”


อิ๋งจิ่วกวงข่มไฟโกรธเอาไว้ เรากล่าวเสียงต่ำว่า “อย่าพูดเลวร้ายนักเลย ก็เสนอราคามาเถอะ”


เรื่องนี้ใช่ว่าจะแก้ปัญหาไม่ได้ ทำเอาลูกหลานของตระกูลอิ๋งไม่กล้าออกจากบ้านนั้นเป็นเรื่องเล็ก เฉพาะสิ่งนี้ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะ ว่าจิ่วกวงจ่ายค่าปรับไม่ไหวแล้วจริงๆ ขนาดลูกหลานในบ้านตัวเองปกป้องไว้ไม่ได้ อย่าว่าแต่คนนอกเลย แล้วจะให้ลูกหลานในบ้านมองเขาอย่างไร?


โค่วหลิงซวีเงยหน้า “ข้าไม่ต้องการค่าชดเชยจากเจ้า ก็ยังไม่พอใจอีกเหรอ?”


อิ๋งจิ่วกวงบอกว่า “ตาแก่โค่ว ค่ะแนะนำว่าเจ้าอย่าทำเกินไปนัก หนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่ผู้ชายของลูกสาวแท้ๆ ของเจ้าสักหน่อย อาศัยวรยุทธ์และฐานะของเขา ข้ายอมมอบตำแหน่งหัวหน้าภาคให้สองตำแหน่ง ก็ถือว่าไว้หน้าเจ้าแล้ว แถมเจ้านั่นก็ไม่เป็นอะไรเลยสักนิด รอดชีวิตกลับมาแล้ว เจ้าคิดจะเอายังไงอีก?”


“ซูกวงกวง เราจะหาเรื่องให้ได้เลยใช่ไหม?” โค่วหลิงซวีถาม


อิ๋งจิ่วกวงเดือดดาลแล้ว ชี้โค่วหลิงซวีที่อยู่ตรงข้าม พลางถามสองคนที่อยู่ทางซ้ายและขวา “พวกเจ้าดูสิ ไม่ใช่ข้าที่ไม่เล่นตามกติกานะ เป็นเขาที่ตอแยไม่เลิก เรื่องนี้เจรจากันไม่ไหวแล้ว ได้ ไม่ยอมหยุดใช่ไหม ได้ ข้าก็อยากจะดูว่าใครจะกลัวใคร อย่างมากก็แค่แหลกลาญไปพร้อมกัน!”


ฮ่าวเต๋อฟางกับก่วงลิ่งกงสบตากันแวบนึง  แล้วก็พยักหน้าเบาๆ ฮ่าวเต๋อฟางบอกว่า “เอาอย่างนี้ไหมล่ะ ทุกคนถอยคนละก้าว ซูกวงกวงให้ตำแหน่งหัวหน้าภาคสามตำแหน่ง แล้วตาแก่โค่วก็หยุดตรงนี้ เรื่องนี้ก็นับว่าผ่านไปแล้ว เป็นยังไง?”


ก่วงลิ่งกงบอกว่า “ข้าคิดว่าได้นะ แล้วพวกเจ้าสองคนคิดว่ายังไง?”


อิ๋งจิ่วกวงแสยะยิ้ม “ครั้งนี้ข้ายอม!” นับว่าตกลงแล้ว


“เขาบอกแล้วไง ข้าไม่ต้องการอะไรชดเชย” ใครจะคิดว่าโค่วหลิงซวีกลับกล่าวยังเย็นชา


ทำให้อีกสามคนสีหน้าเปลี่ยนทันที ฮ่าวเต๋อฟางกล่าวเสียงต่ำว่า “ตาแก่โค่ว ก็หมายความว่า เจ้าดึงดันที่จะเปิดศึกให้ได้เลยใช่ไหม?”


โค่วหลิงซวีส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าข้าต้องการเปิดศึก แต่ตระกูลอิ๋งลงมือสังหารหนิวโหย่วเต๋อครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อให้ข้าจะอยากปลอบใจ แต่ก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรแล้ว เขาเปิดเผยต่อหน้าข้าเลย ว่าเขาไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ต้องการแค่หัวของอิ๋งหยาง!”


“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าไม่มีวิธีการควบคุมเขา” ก่วงลิ่งกงกล่าว


โค่วหลิงซวีก้มหน้าล้างมือต่อไป “ถึงแม้ข้าจะรับปากเขา แต่ก็มีอยู่เรื่องนึงที่ข้าเปิดเผยให้เขารู้ไปแล้ว ตระกูลโค่วไม่มีทางลงมือกับลูกหลานของตระกูลอิ๋ง ถ้าเขาอยากได้หัวของอิ๋งหยาง ก็ให้ไปจัดการเอาเอง ข้าทำถึงขั้นนี้แล้ว อย่าบอกนะว่าเจ้ายังไม่พอใจอีก?”


“พวกเราหายหน้าไปตลอดงาน จะดูเหลวไหลเกินไป” จู่ๆ ฮ่าวเต๋อฟางก็บอกแบบนี้ ก่อนจะเอามือไขว้หลังเดินออกไปแล้ว


“อย่าให้ฝ่าบาทรอนานจะดีกว่า” ก่วงลิ่งกงกล่าวกลัวหัวเราะ แล้วหันตัวเดินออกไปเช่นกัน


โค่วหลิงซวียกมือสองข้างที่เปียกน้ำ สะบัดละอองน้ำใส่หน้าอิ๋งจิ่วกวง “ถ้ามีครั้งหน้า ถ้าไม่เกรงใจแล้วนะ!” พูดจบแล้วก็เดินออกไป


ข้างหน้าอิ๋งจิ่วกวงมีลำแสงปรากฏออกมา สกัดละอองน้ำไว้กลางอากาศ พอลำแสงหายไป เสาน้ำต้นหนึ่งก็ตกลงในอ่างน้ำ แทนที่เขาจะต่อว่าการกระทำที่ไร้มารยาทของโค่วหลิงซวี กลับถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็หันตัวเดินออกไปเช่นกัน…


งานเลี้ยงข้างนอกดำเนินไปได้ครึ่งทาง ตอนที่เหมียวอี้ที่ออกจากวงสุราของรุ่นเล็กแล้วมองไปทางตระกูลอิ๋ง ก็พบว่าอิ๋งหยางไม่อยู่แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าไปไหน เขาจะหาข้ออ้างออกจากโต๊ะไปเช่นกัน


“พี่ใหญ่ เขา…” โค่วฉินบอกใบ้


คนอื่นๆ ก็ปวดประสาทเช่นกัน แต่ใครจะคิดว่าโค่วเจิงกลับส่ายหน้า บอกใบ้ว่าไม่ต้องไปสนใจเหมียวอี้ เพราะเขาสังเกตเห็นตั้งนานแล้วว่าอิ๋งหยางไม่อยู่ ออกจากงานไปก่อนเวลา ถ้าอิ๋งอู๋หม่านไม่ป้องกันไว้ก่อนก็แปลกแล้ว


เขาเดาไว้ไม่ผิด เหมียวอี้เอาแต่คิดถึงอิ๋งหยางไม่เลิกจริงๆ แต่เหมียวอี้ก็ไม่ใช่คนโง่ ถ้าก่อเรื่องในเวลานี้อีก เกรงว่าตัวเองคงจะไม่โชคดีได้ไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์เหมือนครั้งก่อนแล้ว จาบจ้วงเดชานุภาพสวรรค์ต่อเนื่องกันแบบนี้ ไม่ว่าใครก็ช่วยเขาไม่ได้แล้ว


ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางก่อเรื่อง จะตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไปหาอิ๋งหยาง ให้อิ๋งหยางเป็นฝ่ายก่อเรื่องเอง ดูว่าจะวางกับดักให้อิ๋งหยางตายได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าเขาเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่เป็นเพราะเขารู้อยู่แก่ใจ ว่าถ้าพลาดโอกาสครั้งนี้ไป ถ้าครั้งหน้าอยากจะลงมือกับอิ๋งหยางอีก ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นแล้ว ตระกูลโค่วปฏิเสธตำแหน่งหัวหน้าภาคสองตำแหน่งงั้นไปแล้ว ถือว่าได้แหวกหญ้าให้งูตื่น ต่อไปนี้การคุ้มครองข้างกายอิ๋งหยางจะต้องแน่นหนา ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะแตะต้องก็แตะต้องได้ ดังนั้นเขาจึงไม่อยากพลาดโอกาสครั้งนี้


ทว่าเดินหาไปรอบๆ แล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นเงาอิ๋งหยาง ถึงแม้วันนี้พระตำหนักอุทยานจะเปิดสถานที่รับแขกมากมาย แต่บางสถานที่เขาก็เข้าไปไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นตำหนักใหญ่ที่ใช้รับรองแขกของประมุขชิง คาดว่าอิ๋งหยางก็เข้าไปหลบข้างในไม่ได้เช่นกัน ที่สวนด้านหลังราชินีสวรรค์ก็มีไว้รองรับสมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้หญิง ทั้งยังมีสนมของวังหลังอยู่เยอะมาก ไม่มีทางปล่อยให้แขกผู้ชายเข้าไป


หาอิ๋งหยางไม่เจอ แต่กลับเดินเนิบนาบอยู่ในศาลาที่อยู่ระหว่างน้ำพุของสวนชมทิวทัศน์ กลางน้ำมีภูเขาจำลองที่เกิดขึ้นจากหยกขาวธรรมชาติ มีหงส์เฟิ่งหวงขนสีรุ้งตัวหนึ่งที่นอนขดอยู่บนนั้น


เหมียวอี้เดินออกมาจากตึกศาลา เดินช้าๆ อยู่บนแท่นลอยริมสระน้ำ เขาหยุดยืนอยู่บนริมแท่นลอยที่อยู่ห่างจากภูเขาจำลองเพียงสองจั้ง แล้วเงยหน้ามองหงส์รุ้งที่นอนสงบนิ่งอยู่บนภูเขาจำลองลูกนั้น


ทิวทัศน์งดงามดุจภาพวาด บนภูเขาหยกมีหงส์สีรุ้ง คนที่อยู่ใต้ศาลามองกันผ่านน้ำกัน อีกฝ่ายอยู่ที่สูง อีกฝ่ายอยู่ข้างล่าง เป็นฉากที่เหมือนภาพวาด


เหมียวอี้ที่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแอบมองประเมินไปรอบๆ รอจนกลุ่มเทพธิดาทยอยกันเดินออกไปจากสวนแล้ว เหมียวอี้ที่กำลังเหลียวซ้ายแลขวาก็พลันพลิกมือแล้วกำหมัด ในมือเขากุมของบางอย่างเอาไว้ หมัดของเขาที่กำไว้แน่นมีระลอกคลื่นสีฟ้าลอยขึ้นมาจางๆ

 

 

 


บทที่ 1644 หงส์เฟิ่งหวงมีเคราะห์

 

ใครจะคิดว่าจะมีเทพธิดาอีกกลุ่มปรากฏตัวขึ้น รีบร้อนเดินขวักไขว่ไปมาอยู่ระหว่างศาลา


เหมียวอี้เก็บของที่อยู่ในมือ เอามือไขว้หลังก้มหน้ามองน้ำที่มีไอหมอกลอยขึ้นมาจางๆ ราวกับเห็นเงาตัวเองแล้วนึกสงสารตัวเองขึ้นมา


เทพธิดาที่เดินผ่านแค่เหลือบมองเขาสองทีเท่านั้น พวกนางไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม วันนี้พระตำหนักอุทยานเปิดรับแขก จุดที่มีทหารยามเฝ้าก็แสดงว่าล่วงล้ำเข้าไปไม่ได้ ส่วนจุดที่ไม่มีทหารเฝ้าก็แสดงว่าปล่อยให้แขกเดินเล่นได้ ยกตัวอย่างเช่นสวนชมทิวทัศน์แห่งนี้ เดิมทีก็มีไว้ให้แขกเดินเล่นพักผ่อนอยู่แล้ว จะกันให้แขกเดินเล่นอยู่บนลานกว้างด้านนอกอย่างเดียวไม่ได้หรอก


หลังจากเทพธิดาไปแล้ว เหมียวอี้ก็ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา แต่กลับมองเงาของตัวเองในน้ำด้วยความตะลึงงัน ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า เขารู้สึกว่าบนภูเขาจำลองที่อยู่ในเงาสะท้อน หงส์เฟิ่งหวงที่เหมือนกำลังนอนหลับพักผ่อนเงยหน้าขึ้นมาแล้ว เหมือนกำลังมองเขาอยู่ เพียงแต่ไอหมอกจางๆ ที่อยู่บนผิวน้ำทำให้เขามองเห็นไม่ชัด


เหมียวอี้เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ มองไปบนภูเขาจำลอง พบว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดกับภาพสะท้อนในน้ำ เพราะหงส์สีรุ้งตัวนั้นตื่นขึ้นมาแล้วจริงๆ ดวงตาหงส์สีทองที่อยู่ใต้ยอดหัวสีแดงสดราวกับดอกพลับพลึงแดงกำลังมองต่ำลงมาหาเขาที่ริมสระน้ำ


ยอดแห่งสัตว์ปีก ราชินีแห่งนก มีความสูงส่งเลอค่าโดยธรรมชาติ สวยแพงจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ หงส์สีรุ้งตัวนี้มองเหมียวอี้ด้วยแววตาฉงนสนเท่ห์ เหมือนเจือด้วยความไม่เข้าใจ จ้องมองเหมียวอี้อยู่อย่างนั้น


เหมียวอี้ตะลึงงัน เมื่อสบตากับอีกฝ่ายได้สักประเดี๋ยว สุดท้ายก็คิ้วกระตุกแล้ว เหมือนตระหนักอะไรบางอย่างได้


มาตามหาอิ๋งหยางแต่หาไม่เจอ นึกไม่ถึงว่าจะได้มาเจอหงส์เฟิ่งหวงที่นอนอยู่ตัวเดียว อดไม่ได้ที่จะนึกถึงประสบการณ์ที่เคยมีที่รังหงส์ ในใจเขาเกิดความรู้สึกชั่ววูบบางอย่าง อยากจะนำ ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ออกมาทดสอบดู เขาไม่กลัวว่าถ้ามีคนมาเห็นแล้วจะเป็นอย่างไร อยากมากก็แค่บอกไปโดยตรงว่า ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ นี้ถูกเก็บมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์


ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เขาแค่อยากจะเห็นว่าหงส์เฟิ่งหวงที่ถูกคุมขังอยู่ในตำหนักสวรรค์จะรู้จักของที่มาจากรังหงส์หรือเปล่า


แต่เขากลับไม่อยากเปิดเผยของสิ่งนี้ออกมาอย่างเป็นทางการ เพียงกำไว้ในฝ่ามือเท่านั้น แค่นี้ก็สะเทือนไปถึงหงส์สีรุ้งตัวนี้แล้ว ดูจากที่อีกฝ่ายจ้องมองอย่างสงสัย เหมียวอี้ก็เข้าใจแล้ว ว่าหงส์สีรุ้งตัวนี้อาจจะสัมผัสอะไรบางอย่างได้


พอมองไปรอบๆ อีกครั้ง เหมียวอี้ก็ถึงขั้นยอมร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจดูไปหนึ่งรอบ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใคร ก็สะบัดมือที่กำหมัดวางไว้ข้างหลัง มือที่กำแน่นมีคลื่นสีฟ้าจางๆ ปรากฏขึ้นอีกครั้ง


หงส์สีรุ้งที่อยู่บนภูเขาจำลองมีปฏิกิริยาอีกครั้ง ตอบสนองเหมือนกำลังรู้สึกสะเทือนขวัญ คอที่พับอยู่เล็กน้อยเริ่มยืดขึ้นมาทีละนิด ดวงตางามดุจกระจกสีทองค่อยๆ เบิกกว้างจ้องมองเหมียวอี้


เหมียวอี้ย้ายมือที่ไว้หลังอยู่ออกมาข้างหน้าอย่างช้าๆ หมัดที่กำแน่นคลายออกทีละนิด ลำแสงสีฟ้าอ่อนโยนค่อยๆ แผ่กระจายออกมาจากซอกนิ้ว หงส์สีรุ้งบนภูเขาจำลองก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ ตามนิ้วที่แผ่ออกของเหมียวอี้เช่นกัน ขนหางยาวสวยลอยเองโดยไร้ลม ดวงตาหงส์จ้องในฝ่ามือเหมียวอี้อย่างไม่ละสายตาไปไหน


ตอนที่เหมียวอี้แบมือข้างนั้นอย่างเต็มที่ กลางฝ่ามือก็ปรากฏไข่มุกสีฟ้าโปร่งแสงเม็ดหนึ่ง มันกำลังเปล่งแสงอันงดงามราวกับภาพมายา ในไข่มุกมีเงาเปลวเพลิงโยกไหว ราวกับหงส์เฟิ่งหวงกำลังเคลื่อนไหวตามเงาเปลวเพลิงในไข่มุก สวยสดงดงามมาก สิ่งนี้คือ ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ที่นำมาจากรังหงส์นั่นเอง


ขณะจ้องมองไข่มุกในฝ่ามือของเหมียวอี้ หงส์สีรุ้งที่ลุกขึ้นยืนก็มีหยดน้ำตาใสปรากฎขึ้นในดวงตาอย่างช้าๆ ชั่วพริบตาที่ไหลออกมาจากตาก็กลายเป็นไข่มุกที่ลักษณะเหมือนกับหยกเย็นทันที ตกลงในน้ำจนเกิดระลอกคลื่น แล้วก็จมลงในน้ำแล้ว


“วี้ด…วี้ด…วี้ด…” หงส์สีรุ้งพลันเงยหน้า แล้วส่งเสียงร้องอันยาวแหลมอย่างถี่กระชั้นราวกับเสียงหยกกระทบทอง เสียงดังก้องท้องฟ้า ขนสีรุ้งลอยขึ้นมาตามลม


หงส์เฟิ่งหวงตัวอื่นที่อยู่ในพระตำหนักอุทยาน รวมทั้งบรรดาหงส์เฟิ่งหวงที่กำลังลากพาหนะต่างก็พากันรีบหันมองมาทางนี้


มังกรใหญ่ที่ขดตัวอยู่บนหลังคาตำหนักใหญ่เงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วมองไปนังเขตแดนหงส์ด้วยสายตาเป็นประกาย


กลุ่มคนที่กำลังยกจอกสุราดื่มกันอย่างสนุกสนานบนลานกว้างพลันเงียบเสียง พากันหันไปมองทางเขตแดนหงส์ ทุกคนงุนงงไม่เข้าใจ


บรรดาสนมมากมายที่อยู่ในสวนด้านหลังหยุดหัวเราะพูดคุยแล้วแล้ว ทุกคนมีสีหน้างงงัน ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ขมวดคิ้วมุ่น


ในตำหนักใหญ่ ราชันและขุนนางถือจอกสุราค้างไว้ในมือ ทยอยกันมองไปด้านนอกตำหนักเช่นกัน ประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องบนถามเสียงเรียบ “มีเรื่องอะไร?”


เมื่อเขาเอ่ยถาม ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายโพ่จวินกับผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ขวาอู๋ฉวี่ก็ลุกขึ้นมาจากที่นั่งในงานเลี้ยง ทั้งสองมีสีหน้าเย็นเยียบ กวาดสายตาเยียบเย็นมองไปนอกตำหนัก แม่ทัพใหญ่เกราะแดงหลายคนที่อยู่ตรงประตูใหญ่ถลันตัวออกไปทันที


ในสวนชมทิวทัศน์ เหมียวอี้ยืนอยู่ริมน้ำทำอะไรไม่ถูกแล้ว การเคลื่อนไหวที่กะทันหันของหงส์สีรุ้งทำให้เขาตกใจ รีบเก็บหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็งที่อยู่ในมือแล้ว


เขาเหลียวซ้ายแลขวา อยากจะหลบก็หลบไม่ทันแล้ว ตามหัวมุมและประตูต่างๆ มีเหล่าเทพธิดาโผล่ออกมาด้วยความตกใจ กำลังมองมาทางนี้ด้วยความตะลึงงัน


บนท้องฟ้ามีเงาคนหลายคนถลันวูบเข้ามา แม่ทัพใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งสะบัดแส้ยาวโลหะที่เต็มไปด้วยฟันหมาป่า มันคือแส้สยบมังกร!


โครม เงาแส้สาดเข้ามา ราวกับมีสายฟ้าแวบผ่านเข้ามา เสียงดังฟังชัด โดนบนตัวหงส์สีรุ้งที่กำลังเงยหน้าส่งเสียงร้องพอดี ตีจนหงส์สีรุ้งที่ร้องลากเสียงยาวหยุดชะงัก เสียงร้องนั้นเปลี่ยนเป็นเสียงร้องที่เศร้าโศก


แส้สยบมังกรห้าเส้นโผล่ออกมาอย่างกระทันหัน แม่ทัพใหญ่เกราะแดงห้าคนล้อมหงส์สีรุ้งตัวนั้นเอาไว้ เงาแส้ห้าสายโบกอยู่กลางอากาศ เงาแส้กระพริบวิบวับอยู่บนท้องฟ้าเหนือศีรษะเหมียวอี้


เพี้ยะ! เพี้ยะ! เพี้ยะ…


เสียงแส้ดังไม่หยุด หงส์สีรุ้งที่ร้องสะอื้นเป็นพักๆ ไม่กล้าขัดขืน โดนฟาดจนเลือดและเศษเนื้อปลิวกระจาย เส้นขนสีรุ้งทั้งตัวก็ยิ่งฉีกขาด ขนอันสวยงามที่หลุดร่วงปลิวว่อนเต็มท้องฟ้า


ผ่านไปไม่นาน หงส์สีรุ้งก็โดนตีจนร้องไม่ออกแล้ว ตกลงบนภูเขาจำลองอย่างแรง เงยหน้าเล็กน้อยอย่างอ่อนแอ มองเหมียวอี้ด้วยแววตาที่เศร้าโศกสิ้นหวัง หยดน้ำตาในดวงตาร่วงหล่น กลายเป็นเม็ดไข่มุกที่เหมือนกับหยกเย็นไหลจากบนภูเขาจำลองลงมาในน้ำ น้ำตาไหลไม่หยุด


เลือดสีแดงสดไหลลงมาจากภูเขาจำลอง ย้อมจนน้ำในบ่อกลายเป็นสีแดง


ไม่เห็นว่าในที่สุดมันก็ร้องไม่ออกแล้ว เงาแส้ในมือของแม่ทัพใหญ่เกราะแดงห้าคนบนท้องฟ้าถึงได้หยุดเคลื่อนไหว แส้สยบมังกรอันน่าสะพรึงที่เจือปนรอยเลือดห้อยตกลงมา


บนใบหน้าเหมียวอี้ไร้ความหวาดกลัว มองดูหงส์สีรุ้งสภาพจนตรอกตัวนั้นที่กำลังก้มหัวที่มีเลือดไหลอย่างเงียบๆ ในใจรู้สึกแย่ นึกไม่ถึงว่าการกระทำเพียงชั่ววูบของตัวเอง จะทำร้ายให้หงส์สีรุ้งตัวนี้กลายสภาพเป็นอย่างนี้แล้ว


มีคนไม่น้อยที่ตกใจเสียงความเคลื่อนไหวทางนี้แล้วมามุงดู เมื่อเห็นหงส์เฟิ่งหวงตัวหนึ่งเป็นบ้า พวกเขาก็ประหลาดใจ


พวกโค่วเจิงที่โผล่หน้ามาเห็นเหมียวอี้ยืนอยู่ในที่เกิดเหตุ ไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร


ผ่านไปไม่นาน ซ่างกวนชิงที่ตามหลังแม่ทัพใหญ่เกราะแดงสองคนออกมาก็ปรากฏตัวแล้ว เขากวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวเทพธิดา ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”


เทพธิดาที่ถูกจับจ้องรู้สึกเป็นกังวลมาก สำหรับเทพธิดาอย่างพวกนาง ผู้การใหญ่วังสวรรค์ท่านนี้สามารถตัดสินความเป็นความตายของพวกนางได้ด้วยคำพูดประโยคเดียวเท่านั้น ขนาดสนมมากมายในวังหลังเห็นซ่างกวนชิงแล้วก็ยังกลัว แล้วนับประสาอะไรกับพวกนาง เทพธิดาคนนั้นรีบคุกเข่าแล้วส่ายหน้าหน้าตอบด้วยความหวาดกลัว “ตอบผู้การใหญ่ บ่าวไม่ทราบค่ะ”


ซ่างกวนชิงมองข้ามนางทันที เขาชำเลืองหงส์สีรุ้งที่หายใจรวยรินแวบหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างเย็นชาไร้ความปราณี “ลากสัตว์เดรัจฉานขนแบนที่หมดสนุกตัวนั้นไปประหารทิ้งนอกพระตำหนักอุทยาน”


เหมียวอี้ได้ยินแล้วหันขวับกลับมา จ้องไปที่ซ่างกวนชิง


“วันนี้เป็นวันมงคลของฝ่าบาท” น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นข้างหลังซ่างกวนชิง ทำให้แม่ทัพใหญ่เกราะแดงที่กำลังจะก้าวออกไปปฏิบัติหน้าที่หยุดชะงัก


ซ่างกวนชิงหันมามอง เห็นเพียงเกาก้วนที่สวมหมวกทรงสูงสีดำ และสวมผ้าคลุมสีดำปลิวสะบัดปรากฏตัวจากประตูพระจันทร์ด้านหลัง เมื่อท่านนี้โผล่หน้ามา ลูกหลานขุนนางพี่มาดูเอาสนุกก็ถอยหลังหลบโดยจิตใต้สำนึก ซ่างกวนชิงมองดูปฏิกิริยาทั้งสองฝั่ง แล้วก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า เจ้าหมอนี่มีอิทธิพลต่อลูกหลานขุนนางแบบไม่ธรรมดาจริงๆ


เกาก้วนมายืนเคียงข้างซ่างกวนชิง แล้วจ้องหงส์สีรุ้งตัวนั้นบนภูเขาจำลอง


ซ่างกวนชิงกำลังไตร่ตรองคำพูดของเกาก้วน เราก็พยักหน้าเล็กน้อย เพราะรู้สึกว่ามีเหตุผล วันนี้เป็นวันมงคลของฝ่าบาท ฝ่าบาทอภัยโทษให้ทางใต้หล้า แต่ตัวเองกลับจะสังหารชีวิตในวังสวรรค์ แบบนั้นไม่เหมาะสมจริงๆ จึงยิ้มแล้วบอกว่า “เป็นวาสนาของสัตว์เดรัจฉานตัวนี้นะ รบกวนให้ทูตขวาเกามาพูดขอร้องให้เสียแล้ว” เขาโบกมือยกเลิกคำสั่งก่อนหน้านี้


แต่ใครจะคิดว่าเกาก้วนจะกล่าวเสียงเรียบอีก “ขอร้อง? ความเป็นความตายของมันไม่เกี่ยวกับข้า ข้าเพียงรู้สึกว่าเหตุการณ์ไม่ปกติที่เกิดขึ้นกะทันหันมีเงื่อนงำนิดหน่อย” ขณะที่พูดก็โบกมือหนึ่งที ข้างหลังมีคนของหน่วยตรวจการขวาสามคนออกมาทันที เป็นสามลูกพี่ใหญ่ของหน่วยตรวจการขวา สามหัวหน้าผู้ตรวจการใต้บังคับบัญชาของเกาก้วนนั่นเอง


ทั้งสามคนเรียกได้ว่ามีชื่อเสียงด้านลบ โหดร้ายกระหายเลือด ไม่รู้ว่ามีขุนนางตำหนักสวรรค์มากมายเท่าไรที่ตายอนาถด้วยน้ำมือของพวกเขา ถ้าตกอยู่ในมือของทั้งสามคน ต่อให้ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ก็กลายเป็นมีความผิดได้ โทษเล็กก็กลายเป็นโทษใหญ่ได้เช่นกัน เป็น ‘เพชฌฆาต’ ผู้เลื่องชื่อของหน่วยตรวจการขวา ถ้าจะให้พูดจากบางมุม ยอมมีเรื่องกับเกาก้วน ดีกว่ายอมมีเรื่องกับสามคนนี้


หนึ่งในนั้นคือคนที่เหมียวอี้รู้จัก เคยติดต่อกันตอนอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี เขามีสีหน้าดุร้ายกระหายเลือด


สามคนนั้นเข้าไปสอบถามถึงสถานการณ์จากกลุ่มคนทันที ลงมือตรวจสอบด้วยตัวเอง อาศัยประสบการณ์ที่เชี่ยวชาญของพวกเขา เรียกได้ว่าไม่ปล่อยผ่านเบาะแสแม้เพียงเล็กน้อย


ผ่านไปครู่เดียว บรรดานางในก็ชี้ไปที่เหมียวอี้อย่างระมัดระวัง ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไร


แต่ฐานะของเหมียวอี้ไม่ธรรมดา เบื้องหลังเกี่ยวข้องกับอ๋องสวรรค์โค่ว สามลูกพี่ใหญ่จึงไม่กล้าตัดสินใจเองโดยพลการ ไปรายงานเกาก้วนแล้ว


เกาก้วนเชิดคางพยักหน้าเล็กน้อย เหมิงเซวี่ยเอ่ยรับคำสั่ง แล้วถลันตัวไปข้างกายเหมียวอี้ ในดวงตาฉายแววดุร้ายแวบหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะแห้งๆ ใส่เหมียวอี้ แล้วยื่นมือเชิญ “แม่ทัพภาคหนิว ทูตขวาเกาเชิญพบ”


เหมียวอี้ตามไปอย่างสงบนิ่งใจเย็น


ลูกหลานตระกูลโค่วที่ได้เห็นฉากนี้รู้สึกหวาดระแวงกลัว ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ทำอะไรอีก


พวกตระกูลอิ๋งที่เหม็นขี้หน้าเหมียวอี้กลับดูมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น เฝ้าคอยให้เหมียวอี้ยั่วโมโหต่อหน้าผู้พิพากษาหน้าตายท่านนี้


ไม่เพียงแค่ตระกูลโค่ว กลุ่มลูกหลานขุนนางที่รีบเข้ามาใกล้ฝั่งนี้ แต่โค่วเจิงกลับหยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออ๋องสวรรค์โค่ว ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาเขาก็ห้ามเกาก้วนไม่ไหว


พอมาถึงตรงหน้าเกาก้วน เหมียวอี้ก็กุมหมัดคารวะ “คารวะผู้การใหญ่ คารวะทูตขวาเกา”


ซ่างกวนชิงพยักหน้ายิ้มบางๆ นับว่าไว้หน้าตระกูลโค่วแล้ว แต่หางตากลับเหล่มองเกาก้วนที่อยู่ข้างกาย


เกาก้วนยังคงมีสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ กล่าวเสียงเรียบว่า “นางในพวกนั้นเป็นพยานว่าก่อนและหลังเกิดเรื่อง เจ้าอยู่ข้างหงส์เฟิ่งหวงตัวนั้นตลอด คาดว่าเจ้าคงรู้ดีที่สุดว่าระหว่างนั้นเกิดความผิดปกติอะไร บอกมาเถอะ เกิดเรื่องอะไรขึ้น”


เหมียวอี้หันกลับมามองหงส์สีรุ้งที่กำลังร้องไห้และหายใจรวยรินแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าสุดท้ายหงส์สีรุ้งตัวนี้จะมีจุดจบเป็นอย่างไร สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกผิดในใจ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาหุนหันพลันแล่น ก็คงไม่กลายเป็นอย่างนี้ เขาหันกลับมาอีกครั้ง ตอนนี้มีความคิดบางอย่างแล้ว จึงตอบอย่างใจเย็นว่า “ก็ไม่มีอะไรขอรับ ข้าเห็นว่าขนทั้งตัวมันสวยดี อยากจะถอนกลับไปฝากคนอื่นสักสองก้าน แต่ใครจะคิดว่ามันจะร้องดังขนาดนั้น แค่ถอนไปสองก้านเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องใช่อะไรหรอกกระมัง”


เมื่อให้คำตอบแบบนี้ ซ่างกวนชิงก็กระตุกมุมปาก คนตระกูลโค่วที่ฟังอยู่ข้างๆ ก็ยิ่งปวดประสาท โค่วเจิงก็ยิ่งเจ็บใจในความไม่เอาถ่ายของเขา


ส่วนพวกที่คอยซ้ำเติมก็ตกใจมาก มิน่าล่ะจู่ๆ หงส์เฟิ่งหวงถึงได้ร้องเหมือนผี ที่แท้ก็มีคนจะถอนขนมันนี่เอง!


“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเหรอ?” เกาก้วนจ้องตาเขาครู่หนึ่ง “เจ้าหมิ่นเดชานุภาพของตำหนักสวรรค์แล้ว! นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ตอนเจ้าทำลายกลองสะท้านฟ้าในการทดสอบที่แดนอเวจี ก็ให้อภัยเจ้าไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนี้กล้าทำผิดอีกครั้ง ดูท่าจะต้องให้บทเรียนเจ้ายาวๆ สักหน่อยแล้ว! ทหาร ลากลงไป เฆี่ยนห้าแส้สยบมังกร!”


กลุ่มคนที่อยู่ข้างๆ สูดหายใจอย่างตกตะลึง เฆี่ยนห้าแส้สยบมังกร แบบนี้จะไม่ทำให้โครงสร้างร่างกายพังหรอกเหรอ แบบนี้เหมือนเฆี่ยนให้ตายทั้งเป็นชัดๆ!


กลุ่มคนที่รอให้เหมียวอี้ดวงซวยตาลุกวาวทันที เฝ้าคอยมาก!


ซ่างกวนชิงพูดไม่ออก เมื่อครู่นี้เจ้ายังบอกอยู่เลยว่าวันนี้เป็นวันมงคลของฝ่าบาท สงสัยเรื่องนี้จะไม่ได้ตกถึงมือเจ้าเฉยๆ หรอก พอเรื่องนี้ตกอยู่ในมือเจ้าแล้ว เจ้าก็ไม่ได้ยึดหลักการนั้นเลย ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมลูกหลานขุนนางถึงได้กลัวเกาก้วนขนาดนี้


“แค่กๆ นายท่านเกา…” ซ่างกวนชิงกระแอม แอบบอกใบ้ว่าให้ปรานีหน่อย ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะปกป้องเหมียวอี้ แต่เขารู้ดีว่าฝ่าบาทยังไม่ได้กู้หน้ากลับมา ยังเตรียมจะรอดูละครเด็ดที่ฝั่งตลาดผีอีก


ใครจะคิดว่าเกาก้วนจะยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่สะทกสะท้าน ทำเหมือนไม่ได้ยินอะไร


เหมียวอี้หน้าดำทันที ตะโกนบอกว่า “ทูตขวาเกา ดึงขนสองก้านเท่านั้นเอง จะเล่นงานข้าให้ถึงตายเชียวเหรอ!”


ทว่าเกาก้วนไม่สนใจเลย ไม่แยแสอะไรทั้งนั้น ลูกน้องอีกสองคนของเขาถลันตัวออกมาทันที มาจับแขนซ้ายแขนขวาเหมียวอี้เอาไว้ ต้องการจะคุมตัวไปลงโทษ


“ทูตขวาเกา!” โค่วเจิงถลันตัวออกมากุมหมัดคารวะต่อเกาก้วน ต้องการจะขอร้อง


“ถ้ามีใครเข้ามาแทรกแซงการบังคับใช้กฎหมายอีก โดนทำโทษข้อหาเดียวกัน!” เกาก้วนกล่าวเสียงเรียบ


“อ้าปากก็บังคับใช้กฎหมาย หุบปากก็บังคับใช้กฎหมาย ทูตขวาเกาช่างมีบารมีมากจริงๆ!”


เสียงพูดจาถากถางที่มีอำนาจบารมีในตัวเองดังมาจากข้างหลัง ทุกคนหันมองตาม กลุ่มคนที่กำลังล้อมอยู่หลีกทางให้อีกครั้ง โค่วหลิงซวี อ๋องสวรรค์โค่วมาด้วยตัวเองแล้ว มายืนอยู่ตรงหน้าเกาก้วนโดยตรง แล้วถามอย่างเยียบเย็น “เกาก้วน เจ้าคิดจะทำอะไร?”


“หรือท่านอ๋องจะมาขัดขวางการบังคับใช้กฎหมายของเกาคนนี้?” เกาก้วนถามอย่างเย็นชา


โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม แล้วหันหน้าช้าๆ ไปมองซ่างกวนชิง ก่อนจะถามเนิบๆ ว่า “ผู้การใหญ่ ข้าคุยกับเจ้าไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”


“…” ซ่างกวนชิงงงไปชั่วขณะ ในหัวกำลังคิดว่า ท่านนี้เคยคุยอะไรกับข้าด้วยเหรอ? ก่อนหน้านี้ทั้งสองก็เคยคุยเรื่องอะไรบางอย่างกันไป เพียงแต่หมายถึงเรื่องไหนล่ะ แล้วเกี่ยวอะไรกับเรื่องวันนี้?


“ข้าบอกว่าต้องการขนหงส์สองก้านมอบให้ลูกสาว เจ้าตอบตกลงแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องให้ลูกเขยข้ามาเด็ด แล้วทำไมกลายเป็นหมื่นเดชานุภาพของตำหนักสวรรค์ได้ล่ะ?” โค่วหลิงซวีเตือน


โคตรพ่อเจ้าสิ! ในใจที่สุดซ่างกวนชิงก็นึกออกแล้ว จึงแอบด่าในใจ


แต่เขาก็เข้าใจเช่นกัน ว่าตัวเองจะไม่เล่นละครฉากนี้ด้วยก็ไม่ได้ ท่านนี้ก็คงเข้าใจเช่นกันว่าฝ่าบาทอยากจะกู้หน้าคืนมา ประการต่อมา ถ้าไปทะเลาะกันต่อหน้าฝ่าบาทจริงๆ การลงโทษลูกเขยอ๋องสวรรค์จนตายเพื่อขนนกแค่สองเส้นก็จะฟังดูเหลวไหลเกินไป ถ้าทะเลาะกันในงานมงคลของฝ่าบาท ก็จะเป็นการป่วนทำลายงานมงคลนี้


ที่สำคัญที่สุดก็คือ พอตาแก่นี่เอ่ยปากพูดออกมา ก็ชัดเจนเลยว่ากำลังกดดันให้ตนรับการโจมตีนี้ไว้ ตนจะไม่รับไว้ก็ไม่ได้ เพราะใครจะไปรู้ว่าโค่วหลิงซวีเคยคุยเรื่องส่งมอบขนนกกับตนหรือเปล่า ถ้าตาแก่โค่วยืนกรานว่าเคยคุย อย่างมากตัวเองก็แค่แก้ตัวว่าไม่เคย ความขัดแย้งก็จะเปลี่ยนจากตัวหนิวโหย่วเต๋อไปอยู่ที่การถกเถียงระหว่างตนกับตาแก่โค่วทันที ในการประชุมราชสำนัก ตาแก่ผีนี่มีพวกเยอะกว่า ถ้าเถียงกันขึ้นมาตนก็จะเสียเปรียบ


เรื่องนี้แค่ตัวเองให้ความร่วมมือก็พอแล้ว ถ้าไม่ให้ความร่วมมือ อีกฝ่ายก็จะลากให้ผู้การใหญ่อย่างเขาซวยไม่ด้วย ทำให้เขาอึดอัดรำคาญใจ!


ซ่างกวนชิงมองลูกหลานของตระกูลโค่วแวบหนึ่ง เมื่อนึกถึงฉากที่โค่วเจิงเพิ่งขอร้องเกาก้วนแต่ไม่ได้ผล เขาก็อดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจ พวกรุ่นลูกเทียบกับพวกตาแก่ที่เดินฝ่าออกมาจากลมคาวฝนเลือดไม่ติดเลยสักนิด ขิงแก่มักเผ็ดกว่าเสมอ!


“อ้อ…” ซ่างกวนชิงยกมือตบหน้าผาก แล้วหัวเราะแห้งๆ ให้เกาก้วน “ทูตขวาเกา เจ้าดูความจำของข้าสิ มีเรื่องอย่างนั้นจริงๆ ก่อนหน้านี้อ๋องสวรรค์โค่วบอกแล้วว่าจะเอาขนนกสองก้าน ข้าลืมไปชั่วขณะ”


เกาก้วนเหล่ตามองอย่างเย็นเยียบ


โค่วหลิงซวีขยุ้มมือไปข้างหลัง ดูดขนบนตัวหงส์สีรุ้งบนภูเขาจำลองออกมาสองเส้น พอขนนกตกอยู่ในมือเขาแล้ว เขาก็ลูบไล้ชื่นชม ราวกับทำให้เกาก้วนเห็น ว่าเอาขนนกไปสองก้านแล้วจะเป็นอะไรไป ข้าถอนให้เจ้าดูแล้ว เจ้าจะทำอะไรข้าได้?


จากนั้นก็ตบวางขนสองเส้นให้โค่วเจิง แล้วกวาดตามองโค่วเจิงอย่างเย็นเยียบ ราวกับกำลังตำหนิว่า แค่เรื่องเล็กๆ แค่นี้ก็จัดการไม่ได้


โค่วเจิงรับขนนกสองก้านมา แล้วก้มหน้าเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร


โค่วหลิงซวีไม่สิ้นเปลืองคำพูดอะไรอีก ไม่สนใจเหมียวอี้ที่ยังคงถูกควบคุมตัว แล้วก็ไม่ชายตามองเกาก้วนเลยสักนิด เดินก้าวยาวไปข้างหน้า เดินเฉียดบ่าเกาก้วนไป โดยมีผู้ติดตามเดินตามหลังไปไม่กี่คน แสดงพลังอำนาจของท่านอ๋องเต็มที่ ทำให้คนที่ดูเหตุการณ์อยู่ตรงนั้นจำนวนไม่น้อยแอบเดาะลิ้น นับว่าเข้าใจถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘จัดการเรื่องยากให้เหมือนเรื่องง่าย’ แล้ว


สองคนของหน่วยตรวจการขวาที่กำลังคุมตัวเหมียวอี้มองไปที่เกาก้วน รอการชี้แนะในขั้นต่อไป


เกาก้วนยังจะชี้แนะอะไรได้อีก ซ่างกวนชิงยอมรับต่อหน้าฝูงชนแล้ว ในเมื่อผู้การใหญ่วังสวรรค์ยอมรับเรื่องนี้แล้ว ถ้าตัวเองจะสืบหาความรับผิดชอบต่อไป ก็ต้องไปสืบหาที่ซ่างกวนชิงแล้ว ผ้าคลุมบ่าสีดำสะบัดหนึ่งที หันตัวเดินก้าวยาวออกไปแล้ว ไม่ได้พูดอะไรอีกเช่นเดียวกัน


สองคนของหน่วยตรวจการขวาสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นก็ปล่อยเหมียวอี้ แล้วเดินตามเกาก้วนออกไป


“พาตัวไปรักษา” ซ่างกวนชิงชี้ไปที่หงส์สีรุ้งบนภูเขาจำลอง แล้วก็ส่ายหน้าให้เหมียวอี้อย่างจนใจ พบว่าท่านนี้ไม่ว่าไปที่ไหนก็อยู่ไม่สุขจริงๆ ใช้เวลาประเดี๋ยวเดียวก็ก่อเรื่องได้อีกแล้ว จากนั้นก็ตะโกนถามกลุ่มคนว่า “มาล้อมกันอยู่ที่นี่ทำไม? มามุงดูเอาสนุกเหรอ?”


คนกลุ่มนี้ไม่กล้าทำกำเริบเสิบสานต่อหน้าเขาเช่นกัน เริ่มแยกย้ายกันไปแล้ว มีคนไม่น้อยรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าหนิวโหย่วเต๋อจะรอดพ้นจากเงื้อมมือเกาก้วนไปได้


“ไป!” โค่วเจิงดึงเหมียวอี้ให้เดินออกมา เหมียวอี้หันกลับมามองอีกครั้ง มองดูหงส์สีรุ้งตัวนั้นถูกพาออกไป


ในตำหนักใหญ่ ซ่างกวนชิงที่กลับมาแล้วแอบรายงานสถานการณ์ให้ประมุขชิงรู้ ประมุขชิงชำเลืองมองโค่วหลิงซวีที่กำลังพูดคุยกับคนอื่นๆ อย่างสนุกสนาน แล้วก็ชำเลืองมองเกาก้วนที่นั่งลง รู้สึกพูดไม่ออกนิดหน่อย เด็ดขนหงส์ไปสองก้าน แค่ลงโทษนิดหน่อยก็สิ้นเรื่องแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่ต้องการจะเล่นงานหนิวโหย่วเต๋อให้ถึงตาย มิน่าล่ะถึงกดดันจนโค่วหลิงซวีต้องออกหน้าไปรับมือเอง ช่างไม่กลัวการล่วงเกินคนอื่นเลยจริงๆ!


แต่เรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้ว ประมุขชิงก็ไม่ได้ว่าอะไร ถ้าพูดจากมุมมองของเขา เกาก้วนก็ไม่ได้ทำอะไรผิด เหมาะกับตำแหน่งหน่วยตรวจการขวามาก


กลุ่มขุนนางในตำหนักยังคงกินดื่มกันราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ที่จริงทุกคนล้วนแอบได้รับข่าวมาแล้ว รู้แล้วว่าข้างนอกเกิดเรื่องขึ้น เพียงแต่ทุกคนทำเนียนก็เท่านั้นเอง


กลุ่มผู้หญิงในสวนด้านหลังก็กลับมาหัวเราะพูดคุยกันตามปกติแล้วเช่นกัน ทุกคนแอบได้รับข่าวมาแล้ว เมื่อเห็นราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่นั่งอยู่เบื้องบนยังไม่อารมณ์เสีย ทุกคนก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ แค่แอบวิจารณ์กันอย่างลับๆ ก็เท่านั้น


สนมสวรรค์จ้านหรูอี้ที่นั่งถัดมาจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่นั่งอย่างเย็นชานิ่งเฉย ไม่มีอารมณ์สุนทรีที่จะเข้าสังคมกับใคร หลังจากได้รับข่าวแล้ว นางก็แค่กวาดสายตามองหาอวิ๋นจือชิวที่อยู่ในงาน พบว่าอวิ๋นจือชิวยังคงพูดคุยยิ้มแย้มเหมือนคนไม่เป็นอะไร นางจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)