คัมภีร์วิถีเซียน 1639-1641
ตอนที่ 1639 สกัดกั้น
เมื่อได้ยินคำพูดของชายชราแววตาของชนต่างเผ่าผมสีเขียวก็ฉายแวววาวโรจน์ ฉับพลันนั้นพลันสาวเท้ามาข้างหน้า หมายจะลงมือ
แต่ในยามนั้นเองชายร่างใหญ่ร่างกายผ่ายผอมดูห้าวหาญผู้นั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบมาอยู่ข้างกายของชนต่างเผ่าผมสีเขียว ริมฝีปากขยับขมุบขมิบถ่ายทอดเสียงไป ดูเหมือนว่าจะตักเตือนอะไรสักอย่าง
ชนต่างเผ่าผมสีเขียวมีสีหน้าเคร่งขรึมสลับกับสดใสไปมา หลังจากผ่านไปชั่วครู่จิตสัมผัสบนเรือนร่างถึงได้จางลงไป แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา
“เยี่ยม ไปดูก่อนว่าในหุบเขามีอะไรซ่อนอยู่ หากไม่ใช่เห็ดเซียนพวกเราก็แยกกัน หากใช่ ก็หึๆ…”
หลังจากที่ชนต่างเผ่าผมสีเขียวหัวเราะอย่างเย็นชาแล้ว ก็ไม่สนใจชายชราและพวกทั้งสองอีก พาชายร่างใหญ่ร่างกายผ่ายผอมกลายเป็นสายรุ้งสองสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในหุบเขาที่ถูกไอมารปกคลุมด้านล่าง
“ท่านอาเยี่ยนพวกเราจะทำอย่างไรดี จะเข้าไปในหุบเขาพร้อมพวกเขาจริงๆ หรือ?” หญิงสาวชุดชาววังเห็นเหตุการณ์นี้ ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยถามชายชรา
“แน่นอนว่าต้องเข้าไป จานอาคมมีปฏิกิริยาตอบสนอง จะปล่อยไปง่ายๆ ได้อย่างไร” ชายชราแซ่เยี่ยนตอบกลับอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“แต่สองคนนั้น…” หญิงสาวชุดชาววังลังเเล็กน้อย
“หากด้านในไม่มีเห็ดเซียน สองคนนั้นย่อมไม่ทำอันใด หากมีก็ยิ่งไม่ควรถอย มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าพวกเราเสี่ยงอันตรายเข้ามาที่นี่เพราะเหตุใดกัน” ชายชราสั่นศีรษะ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“แน่นอน เป็นเพราะนีเอ๋อร์ไม่ได้คิดให้รอบคอบ ต้องค้นหาหุบเขาแห่งนี้ดูสักรอบ” หญิงสาวสวมชุดชาววังครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วกัดฟันเอ่ยขึ้น
“เจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลนัก! แม้ว่าอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ของข้าจะยังฟื้นฟูได้ไม่สมบูรณ์ แต่เพื่อการเดินทางครั้งนี้ได้เตรียมสมบัติวิเศษมาชิ้นหนึ่ง หากเจอเห็ดเซียน ขอแค่ไม่ปะทะกับอีกฝ่าย รับประกันว่าพวกเราก็หนีออกมาได้อย่างปลอดภัยแน่” ชายชราเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ
จากความห่างไกลของชายชราและนาง แน่นอนว่าหญิงสาวสวมชุดชาววังย่อมเชื่อคำพูดของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อได้ฟังเช่นนี้ ความรู้สึกไม่ปลอดภัยในใจก็มลายหายไป พยักหน้าและไม่เอ่ยอะไรอีก
ดังนั้นทั้งสองจึงกลายเป็นลำแสงหลีกหนีเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วบินเข้าไป
ทว่าเมื่อเข้ามาในหุบเขาชายชราแซ่เยี่ยนกลับพบพิรุธทันที
คิดไม่ถึงว่าหุบเขาที่ดูธรรมดาๆ เมื่อมองจากภายนอกจะลึกล้ำยากจะคาดเดาเช่นนี้ ครึ่งบนของหุบเขามีไอมารสีดำอ่อนลอยคลอเคลียอยู่ ครึ่งล่างกลับดูเหมือนเหวลึกยากคาดเดา แม้ว่าจะควบคุมสมบัติอาคมลงลึกไปพันจั้งเศษ ก็ยังไม่อาจมองเห็นตีนเขาได้
นี่จึงทำให้ชายชราทั้งตกตะลึงระคนดีใจ
สิ่งที่ดีใจก็คือด้านล่างลึกเช่นนี้ ด้านนอกกลับมีไอมารหนาแน่น เกรงว่าคงตรวจสอบไม่สะดวกนัก
เมื่อครุ่นคิดเช่นนี้ชายชราแซ่เยี่ยนและหญิงสาวชาววังก็ควักอาวุธที่มีรูปทรงเหมือนจานออกมา แล้วบินเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขา
หากไม่มีชนต่างเผ่าผมสีเขียวและพวกทั้งสองคนอยู่ที่นี่ เพื่อผลลัพธ์ที่เพิ่มขึ้น ไม่แน่ว่าพวกเขาทั้งสองก็อาจจะแยกกันค้นหา แต่ยามนี้ย่อมไม่มีทางทำเรื่องเสี่ยงอันตรายอย่างการแยกกันให้อีกฝ่ายโจมตีแน่
ทั้งสองบินอยู่ด้านหน้าคนหนึ่งด้านหลังคนหนึ่ง หลังจากกะพริบวาบๆ สองสามครั้ง ก็สลายหายไปท่ามกลางไอสีดำจางๆ ในหุบเขา
และในเวลาเดียวกันในลำธารที่ไหลลึกลงไปด้านล่างในส่วนลึกของหุบเขา ตรงตีนลำน้ำ มีของสีดำสนิทที่กายครึ่งหนึ่งจมอยู่ในโคลนเคลื่อนไหวอยู่ จากนั้นดวงตาสีเขียวสองดวงก็ลืมขึ้น แววตาไร้ความรู้สึก
……
ด้านนอกหุบเขาห่างออกไปหมื่นลี้ กบยักษ์สูงสองสามจั้งตัวหนึ่ง คาบจานอาคมที่เหมือนกันเอาไว้ พามารอสูรรูปร่างประหลาดเจ็ดแปดตัวบินมา
บางครั้งดวงตาวัวทั้งสองของกบยักษ์ก็มองไปที่จานอาคมในปาก ความเร็วไม่ค่อยรวดเร็วนัก แต่ทิศทางที่ตรงมาก็คือตำแหน่งของหุบเขา
ติดกันเป็นมารอสูรสีแดงสดที่ดูเหมือนแมลงปอยักษ์ ขนาดตัวใหญ่กว่ากบยักษ์ร้อยเท่า มือข้างหนึ่งถือจานอาคมเอาไว้เช่นกัน ปากกลับเอ่ยอะไรพึมพำๆ ไม่หยุด
“นายท่านข้าสัมผัสได้ถึงคลื่นประหลาดที่หุบเขา แต่ที่นั่นเป็นรังเก่าของมารจระเข้ มันโหดเ**้ยมมาก ข้าอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน ทำได้แค่รายงานนายท่าน ให้นายท่านจัดการด้วยตนเอง”
“หึ ไม่ใช่อาจจะ เจ้าไปคงถูกมันกินแน่ มารจระเข้ตัวนั้นเกือบจะบรรลุขึ้นไปอยู่ระดับศักดิ์สิทธิ์แล้ว แม้แต่นายท่านสามคนก็ไม่อาจไปหาเรื่องมันง่ายๆ เจ้ามั่นใจไหมว่าตนมองไม่ผิด ปฏิกิริยาของอาวุธเผ่ามนุษย์ เป็นหุบเขาแห่งนี้จริงๆ ใช่ไหม? หากผิดพลาดอย่างมาโทษว่าข้าไม่เกรงใจล่ะ” กบยักษ์เอ่ยด้วยเสียงอู้อี้ สีหน้าดูไม่เห็นด้วยนัก
“นายท่านโปรดวางใจ ข้าตรวจสอบมาแล้วเป็นสิบครั้ง มั่นใจเต็มเปี่ยม อาวุธของเผ่ามนุษย์มีปฏิกิริยาตอบสนองกับหุบเขาแห่งนี้” ดวงตาประกอบของมารอสูรที่ดูเหมือนแมลงปอเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง แทบจะตบอกตนเองรับประกัน
“เยี่ยม หากหาเห็ดเซียนตัวนั้นเจอในหุบเขานี้จริงๆ ข้าจะตกรางวัลให้เจ้าไม่น้อยแน่” เห็นได้ชัดว่ากบยักษ์ไม่ได้คาดหวังกับคำพูดของมารอสูรที่อยู่ด้านหลังมากนัก จึงเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา
นั่นก็ไม่แปลก!
หลังจากที่มันพามารอสูรระดับกลางและสูงกลุ่มหนึ่งออกจากเทือกเขามารสีทอง แน่นอนว่าย่อมต้องสังหารคนของเผ่าวิญญาณที่เข้ามาจากภายนอกไปเกือบครึ่ง และชิงจานอาคมมาค้นหาเห็ดเซียนตัวนี้ไปทั่วเช่นกัน แต่กลับไม่พบเบาะแสอะไร จากปฏิกิริยาตอบสนองของจานอาคมสิบกว่าครึ่ง ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนผิดพลาด ไม่พบร่องรอยของเห็ดเซียนนั่นเลยสักนิด
เช่นนั้นผู้นี้จึงไม่คาดหวังกับการเดินทางครั้งนี้มากเท่าใดนัก
มันเริ่มขบคิดแม้กระทั่งว่าหากเข้าไปในหุบเขาครั้งนี้แล้วไม่ได้อะไร ควรจะไปค้นหาทางไหนต่อ
ส่วนมารอสูรระดับสูงที่เหลือสองสามตนที่อยู่ด้านหลัง เป็นเพราะสองสามวันที่ผ่านมากระโดดไปกลางอากาศอย่างต่อเนื่อง จึงมีท่าทีไร้ชีวิตชีวา
พวกของกบยักษ์รีบเข้าไปด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่กลับไม่พบว่าด้านหลังของพวกมันห่างออกไปสิบลี้เศษ มีหมอกโลหิตบางๆ กลุ่มหนึ่ง ไล่ตามพวกมันมาอยู่ไกลๆ
ท่ามกลางหมอกโลหิตมีเงาร่างอรชรอ้อนแอ้นที่บอบบางจนแทบมองไม่เห็นปรากฏขึ้นรางๆ
……
หานลี่และหญิงสาวเผ่าผลึกออกจากเทือกเขาที่เป็นที่อยู่ของวานรมาร ระยะทางต่อจากนั้นย่อมราบรื่นมาก ไม่พบกับความยุ่งยากอะไร ผลคือคาดไม่ถึงว่าในระยะเวลาสั้นๆ ห้าวัน ก็มาได้ครึ่งทางแล้ว มาถึงหมอกบางๆ ที่สังหารอีแร้งหน้าคนในวันนั้น
เมื่อเห็นมองบางๆ ผืนนี้ แม้ว่าพวกเขาจะรีบร้อนขนาดไหน ก็อดที่จะลดความเร็วลงไม่ได้ พอปรึกษากันเล็กน้อย ก็บินเข้าไปในม่านหมอกอย่างระมัดระวัง
หานลี่มีสีหน้าไร้ความรู้สึกอยู่ท่ามกลางลำแสงหลีกหนี แต่ในเวลาเดียวกันในแววตาก็มีลำแสงสีฟ้าสว่างวาบ สองมือกำศิลาวิญญาณสีสันแวววาวเอาไว้ ยังคงดูดซับไอวิญญาณบริสุทธิ์จากศิลาวิญญาณไม่หยุด
แม้จะเป็นเพราะเร่งเดินทาง จนไม่อาจนั่งสมาธิฟื้นฟูพลังปราณได้ แต่ด้วยยาลูกกลอนหายากและศิลาวิญญาณระดับสุดยอดจำนวนมากนี้ สองสามวันนี้เขาจึงฟื้นฟูพลังยุทธ์ไปได้กว่าครึ่ง
ทว่าการซ่อมแซมเทวรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้นั้น ยังทำได้น้อยมาก
เช่นนั้นจึงทำให้หานลี่ผ่อนคลายลงเฮือกหนึ่ง มั่นใจว่าหากพบมารอสูรที่แข็งแกร่งอะไร ก็พอจะมั่นใจได้
แต่เมื่อจิตสัมผัสของเขาบังเอิญกวาดไปทางกำไลอสูรวิญญาณสีดำในแขนเสื้อนั้น ก็รู้สึกกลัดกลุ้มอยู่หลายส่วน
อสูรวิญญาณครวญสำแดงอานุภาพที่เกรียงไกรออกมาอย่างฉับพลัน จนถึงตอนนี้ก็ยังคงหลับสนิท
เมื่อเขากวาดจิตสัมผัสไป พลังปราณที่อสูรตัวนี้ใช้ไปจนหมดในวันนั้น ก็ฟื้นฟูมากว่าครึ่งแล้ว นับได้ว่ามีพลังฟื้นฟูที่น่าตกตะลึง แต่เมื่อเขาใช้จิตสัมผัสเชื่อมโยงกับอสูรตัวนี้ คิดจะเรียกมันให้ตื่น กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักกระผีกริ้น
หากไม่ใช่เพราะเขาสัมผัสได้ว่าการเชื่อมโยงของเขาและวิญญาณครวญยังไม่ขาดออกจากกัน ก็แทบจะคิดว่าเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตายไปแล้ว
แน่นอนว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่าหานลี่ไม่มีวิธีปลุกอสูรตัวนี้เลย หลังจากขบคิดสองสามครั้งในที่สุดก็ล้มเลิกความคิดนี้
เพราะจากประสบการณ์ของเขา สภาวะที่อสูรวิญญาณหลับลึกไปเองเช่นนี้ ปกติแล้วจะเป็นการพัฒนาระดับขั้นหรือการปกป้องตัวเอง ล้วนไม่ควรใช้วิธีการบีบบังคับไปรบกวนให้มันตื่น
ส่วนหานลี่นั้นเดิมทีก็ให้ความสำคัญกับอสูรวิญญาณครวญเป็นอย่างมาก หลังจากเกิดความเปลี่ยนแปลงสองสามวันก่อน ก็ให้ความสำคัญมากขึ้น ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ และให้มันตื่นเองจะดีกว่า
เมื่อครุ่นคิดเช่นนั้น หานลี่ก็พักเรื่องของอสูรตัวนี้เอาไว้ก่อน ดึงจิตสัมผัสกลับมา แล้วดูสถานการณ์ในร่างกายของตนเอง
แต่แค่จุดตันเถียนในยามนี้เปล่งแสงสีทองระยิบระยับ แต่ทารกวิญญาณกลับมีผิวสีเขียวอ่อน มือเล็กๆ ทั้งสองปิดอยู่ตรงทรวงอก ถือดวงแสงเพลิงสีเงินแวววาวเอาไว้ไม่ขยับเขยื้อน
ดวงแสงเพลิงสีเงินกลับดูแปลกประหลาดนัก!
เปลวเพลิงที่เดิมเปล่งแสงสีเงินระยิบระยับ คาดไม่ถึงว่าจะมีลูกไฟสีขาวนวลเล็กๆ ผสมอยู่ และยิ่งไปกว่านั้นท่ามกลางดวงแสงเพลิงลูกนั้น ก็มีอักขระสีเงินกะพริบวาบอยู่รางๆ ไม่หยุด
หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ พลันมุมปากกระตุก อดที่จะเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้
เปลวเพลิงสีขาวนวลนั้นไม่ต้องถามถึง แน่นอนว่าย่อมเป็นเพลิงเที่ยงแท้สีทองดำที่ดูดซับมาจากอีแร้งหน้าคน
จะว่าไปแล้วเพลิงกลืนวิญญาณดูดซับเพลิงวิญญาณอื่นได้และมีความสามารถในการหลอมรวมพร้อมกับพัฒนานั้น เป็นอิทธิฤทธิ์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จะพัฒนาไปจนถึงขั้นไหนกันแน่ ช่างเป็นเรื่องที่ทำให้หานลี่ตั้งตารอคอยจริงๆ
เมื่อเห็นเพลิงกลืนวิญญาณกำลังหลอมเพลิงเที่ยงแท้สีทองดำโดยไม่เปิดปัญหาอะไร หานลี่ก็ดึงจิตสัมผัสกลับมา ยังคงแผ่จิตสัมผัสไปรอบด้านอย่างระมัดระวัง
แม้ว่าหมอกบางเบาผืนนี้จะกว้างใหญ่ไม่น้อย แต่พอหานลี่และเซียนเซียน บินเข้ามากลับไม่พบการลอบโจมตีจากมารอสูรตัวใดอีก
ดูแล้วอีแร้งหน้าคนก่อนหน้าคงเป็นมารอสูรระดับสูงที่มีอยู่ในหมอกบางเบาผืนนี้ เป็นเพราะถูกสังหารไปอย่างกะทันหัน ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วันจึงไม่มีมารอสูรระดับสูงตนอื่นเข้ามาในเขตนี้
หากเป็นเช่นนี้การกลับไปของทั้งสอง จึงราบรื่นไม่มีสิ่งใดมาขัดขวาง
เพราะผ่านมาได้อย่างราบรื่น ประกอบกับหานลี่และเซียนเซียน เคยผ่านมาแล้วรอบหนึ่ง แน่นอนว่าจึงเร็วกว่าครั้งที่แล้วมาก
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน พวกเขาก็บินผ่านหมอกบางเบามาถึงเขตแดนแล้ว
ทว่าหลังจากที่สายรุ้งสีเขียวบินออกมาจากหมอกบางเบาแล้ว ก็หยุดชะงักอยู่กลางอากาศ จากนั้นลำแสงหลีกหนีพลันหม่นแสง เงาร่างหานลี่ปรากฏออกมา
แต่เขาในยามนี้มองสถานการณ์ตรงหน้า สีหน้าพลันซีดขาวไปเล็กน้อย
เห็นเพียงห่างจากเขาไปไม่ถึงสองสามร้อยจั้ง พายุสีดำกำลังซัดสาดเป็นระลอกๆ มารอสูรระดับสูงนับร้อยนับพันตัวลอยอยู่ตรงนั้น
หน้าสุดของมารอสูรฝูงนี้เป็นมารอสูรที่แปลงกลายเป็นมนุษย์ตนหนึ่ง เอวหนาใหญ่ บนศีรษะมีเขายักษ์สีดำงอกออกมาคู่หนึ่ง สวมชุดเกราะเหล็กสีดำ กายท่อนบนไม่ต่างอะไรจากเผ่ามนุษย์ แต่ท่อนล่างกลับมีขนอสูรสีดำเต็มไปหมด กำลังใช้สายตางงงันมองมาทางหานลี่
และตรงข้ามมารอสูรร่างมนุษย์ไปห้าสิบหกสิบจั้ง มีบุรุษสวมชุดเกราะสีเงิน เท้าเหยียบอยู่บนรถเหาะสีโลหิตคนหนึ่ง กำลังยืนประจันหน้ากับมันด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ตอนที่ 1640 แย่งทางหนี
แน่นอนว่าบุรุษชุดเกราะสีเงินที่ยืนเผชิญหน้ากับเหล่ามารอสูรนั้นคือบุรุษแซ่กุยที่ล่วงหน้าจากไปก่อน ตอนที่อยู่ในเทือกเขาวานรมาร
ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือไม่ คาดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะไปทางเดียวกันกับหานลี่ และถูกมารอสูรจำนวนมากขนาดนี้ขวางเอาไว้
บุรุษแซ่กุยในยามนี้เห็นท่าทางประหลาดของมารอสูรสองเขาตรงข้าม พลันรู้สึกฉงนพลางหันกลับไปอย่างรวดเร็ว
ผลคือมองมาปราดเดียวก็เห็นหานลี่และเซียนๆ ที่บินตามออกมาติดๆ
ชนต่างเผ่าผู้นี้พลันตกตะลึง แต่เมื่อกลอกตาไปมา กลับเผยสีหน้ายินดีออกมา
จะว่าไปแล้วอย่ามองว่าเมื่อครู่บุรุษแซ่กุยยังมีท่าทีเยือกเย็น แต่ในใจกลับร้อนใจเป็นอย่างมาก
เขาไปจากหานลี่และพวก ไม่หยุดพักระหว่างทาง แต่ก็มาถูกมารอสูรจำนวนมากขวางเอาไว้ที่นี่ จะตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว
ฝูงอสูรที่อยู่ตรงข้ามมีมารอสูรระดับกลางเป็นผู้นำ แต่มารอสูรระดับสูงก็มีมากถึงสามสิบกว่าตัวแล้ว ประกอบมารอสูรร่างมนุษย์สองเขาที่เป็นผู้นำ คาดไม่ถึงว่าพลังยุทธ์จะไม่แตกต่างอะไรกับเขามากนัก
แม้ว่าเขาจะหยิ่งผยองแต่ก็รู้ว่าหากลงมือจะต้องเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำแน่
ความหวังเดียวก็คือใช้วิธีสลัดมารอสูรเหล่านี้ให้หลุด จากนั้นก็ใช้ความเร็วสูงสุดหนีไป
แต่เมื่อเขาเห็นว่าในบรรดามารอสูรเหล่านี้ มีอยู่เจ็ดแปดตัวที่เป็นมารอสูรประเภทแมลงมีปีกคู่หนึ่งหรือหลายคู่อยู่บนแผ่นหลัง ก็รู้สึกระแวงขึ้นมา
มารอสูรเหล่านี้นั้นไม่ต้องพูดถึง ความเร็วไม่เชื่องช้าแน่นอน หากมีสองสามตัว เขาก็พอจะสู้ได้ ดูว่าจะสลัดได้หรือได้ แต่จำนวนมากขนาดนี้กรูกันเข้ามา เขาก็ไม่มีทางหนีแน่
ตอนนี้หานลี่มาปรากฏตัว ก็เท่ากับจะแบ่งกับเขาไปครึ่งหนึ่ง โอกาสที่เดิมทีมีไม่ถึงหนึ่งส่วน ก็แบ่งออกเป็นหลายส่วนทันที
จะไม่ทำให้บุรุษแซ่กุยดีใจอย่างบ้าคลั่งได้อย่างไร
เซียนๆ เห็นเหตุการณ์นี้ สีหน้าพลันดูไม่ได้ไปตั้งนานแล้ว
หานลี่มีสีหน้าดีกว่าเล็กน้อย แต่แววตาก็เปล่งประกายไม่หยุด ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
แม้ว่ามารอสูตรฝั่งตรงข้ามจะมีจำนวนมาก แต่กลับเบิกเนตรมีสติปัญญาหมดแล้ว ดังนั้นแม้ว่าทุกตัวจะมองมาทางทั้งสามคนด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ก็ไม่ได้กู่ร้องคำรามกรูกันเข้ามา แต่ทุกตัวกลับใช้สายตาที่ดูเหมือนมองคนตายจ้องเขม็งมายังทั้งสาม
ภายใต้ความประหลาดใจที่นี่จึงเงียบสงัด
แต่ครู่ต่อมาความเงียบสงัดนี้ก็ถูกคนทำลายลง
“ฮ่าๆ เป็นเจ้าที่ฆ่านายน้อยไม่ผิดแน่ ขอแค่สังหารเจ้าหรือจับเจ้าเป็นๆ กลับไป นายท่านจะต้องตกรางวัลอย่างงามแน่ ฆ่า! ที่เหลืออีกสองคนก็ฆ่าซะ ส่วนคนผู้นี้ก็พยายามจับมาให้ข้า” มารสองเขานามว่าอู่ลี่เห็นใบหน้าของหานลี่ชัดเจน ฉับพลันนั้นก็อ้าปากออกหัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมา จากนั้นก็หยุดหัวเราะ ออกคำสั่งที่เต็มไปด้วยจิตสังหารออกมา
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกจากปาก มารอสูรระดับสูงที่รออยู่ด้านหลังของเขาก็เปล่งเสียงร้องคำรามออกมา จากนั้นวายุสีดำพลันหมุนวน พุ่งมาทางหานลี่และพวกทั้งสามคน
ด้านหน้าวายุสีดำมีลำแสงหลีกหนีสิบกว่าสายแค่กะพริบวาบ ก็กระโจนออกมาจากวายุสีดำ แล้วกระโจนมาหานลี่และพวกทั้งสามคน
ในลำแสงสีดำนั้นไม่ใช่วิหคประหลาดสามหัว ก็เป็นแมลงยักษ์ที่ปีกยักษ์อยู่ที่แผ่นหลัง
ส่วนมารสองเขานั้น ผิวมีลำแสงสีเขียวพัวพันอยู่ ใต้ฝ่าเท้ามีจานอาคมกลมๆ สีเขียวที่ดูธรรมดาๆ เพิ่มขึ้นมา แค่พลิ้วไหว ก็เปล่งแสงยี่สิบกว่าสายออกมา ความเร็วไม่ด้อยไปกว่ามารอสูรเหล่าวิหคและแมลงเลยสักนิด
ทิศทางที่มันกระโจนออกมาก็คือตำแหน่งของหานลี่ มองเห็นมันกะพริบวาบอีกครั้ง ก็กระโจนมาตรงหน้าหานลี่
“แยกกันไป!”
หานลี่ระงับความประหลาดใจที่อีกฝ่ายจำตนเองได้เอาไว้ ปากก็เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาและเย็นชา ลำแสงหลีกหนีปรากฏขึ้น กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งแหวกอากาศไป
เห็นเพียงระหว่างที่ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงเจิดจ้า ลำแสงหลีกหนีก็อยู่ห่างออกไปสี่สิบกว่าจั้ง และพุ่งออกไปอย่างไม่มีท่าทีจะหยุดเลยแม้แต่น้อย
ในเมื่อเขาไม่ได้เผชิญหน้ากับมารอสูรฝั่งตรงข้าม และไม่ได้มีเจตนาจะถอยเข้าไปในหมอกบางเบาอีกครั้ง แต่บินไปอีกด้าน
การเคลื่อนไหวของเซียนๆ และบุรุษแซ่กุยเองก็ไม่ได้เชื่องช้าเลยแม้แต่น้อย
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นบุรุษพลันอ้าปากออกพ่นไอโลหิตออกมากลุ่มหนึ่ง ชั่วครู่ก็จมหายไปใต้รถโลหิตใต้ฝ่าเท้า
รถโลหิตแผ่ไอสีดำออกมาพร้อมกับเสียงร้องคร่ำครวญ เสียง “สวบ” ดังขึ้น แล้วสลายหายไปจากที่เดิม และในทันใดนั้นกลางอากาศห่างออกไปร้อยจั้งเศษ รถวายุพลันเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้น จากนั้นเสียงกรีดร้องแหลมๆ พลันดังขึ้น กลายเป็นไอสีดำกลุ่มหนึ่งพุ่งแหวกอากาศไป
ส่วนเซียนๆ นั้นเมื่อได้ยินเสียงอันแผ่วเบาของหานลี่ ก็กัดฟันสะบัดแขนเสื้อ ธงด้ามเล่มสีสันแวววาวด้ามหนึ่งปรากฏออกมา
ร่างของสตรีผู้นี้มีลำแสงสีขาวสว่างวาบ ชั่วพริบตาก็กลายเป็นดวงแสงสีขาวกลุ่มหนึ่ง หมุนติ้วๆ เสียง “ปัง” ดังขึ้น ดวงแสงสีขาวยี่สิบสามสิบลูกที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วบินออกมา พุ่งตรงไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน
ดวงแสงทุกลูกมีความเร็วที่น่าตกตะลึง แค่พลิ้วไหวก็อยู่ห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้งพร้อมกับเงาเป็นสาย
ดวงแสงสีขาวที่กระโจนเข้าไปหาเหล่าอสูรย่อมถูกเหล่าอสูรบ้างก็อ้าปากพ่น บ้างก็ใช้มือใหญ่ยักษ์ตะปบเอาไว้ ทยอยกันสลายหายไป
แต่ดวงแสงสีขาวส่วนใหญ่ ยังคงหนีออกไปได้ร้อยจั้งเศษ
ในฉากที่มารอสูรระดับสูงจำนวนมากขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีผู้ใดดูออกว่า ลูกไหนถึงจะมีร่างของหญิงสาวเผ่าผลึกอยู่
เมื่อเห็นหานลี่และพวกทั้งสามคนไม่ว่าจะมีพลังยุทธ์แข็งแกร่งหรืออ่อนแอ แต่ล้วนเป็นผู้ที่ลื่นไหลจนจับไม่อยู่ มารสองเขารู้สึกโกรธเกรี้ยว ปากก็เปล่งเสียงร้องคำรามต่ำๆ ออกมา สองมือแยกออก ชั่วครู่ก็จะปบดวงแสงสีขาวที่พุ่งผ่านข้างกายไปจนแตกละเอียด
จากนั้นจานสีเขียวใต้ฝ่าเท้าของมันก็เปล่งแสงสว่างวาบ กลับกลายเป็นเรือไม้สีเขียวมรกตลำหนึ่ง เปล่งเสียงหวีดร้องแล้วพุ่งไล่ตามหานลี่ไป
ด้านหลังของเขามีมารอินทรีเรือนกายสีดำสนิทขนาดสองสามจั้งตัวหนึ่ง รวมทั้งผึ้งเขียวยักษ์ความยาวสองสามฉื่อ บนเรือนร่างมีลำแสงอันสีเปล่งแสงสว่างวาบ
ทั้งสามดูเหมือนว่าจะมุ่งมาหาหานลี่ ความเร็วไม่ด้อยไปกว่าสายรุ้งสีเขียว ไล่ตามหานลี่อย่างไม่ลดละ
ตรงทิศทางอื่นด้านหลังบุรุษแซ่กุยก็มีมารอสูรระดับสูงที่ความเร็วไม่เชื่องช้าสองสามตัวไล่ตามไป
ส่วนมารอสูรที่เชี่ยวชาญการเหาะเหินตัวอื่นๆ นั้น ก็ลังเลเล็กน้อย แล้วข้ามผ่านดวงแสงสีขาวที่แตกตัวออกเหล่านั้นไป
ส่วนมารอสูรที่ควบคุมวายุมารอยู่ด้านหลังไปอีก ก็เปล่งเสียงหวีดร้องออกมา คาดไม่ถึงว่าบินแยกเป็นสามกลุ่ม สองกลุ่มพุ่งไปหาหานลี่และบุรุษแซ่กุย
กลุ่มที่เหลือเองก็พุ่งไปทางดวงแสงเหล่านั้น
แน่นอนว่าหานลี่ย่อมเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้านหลังตนเองทั้งหมด มองเห็นหญิงสาวเผ่าผลึกทิ้งทางหนีทีไล่เอาไว้ดังคาด ในใจพลันรู้สึกผ่อนคลายลง ทันใดนั้นก็ควบคุมลำแสงหลีกหนีหนีไป
จากความเร็วของหานลี่ในตอนนี้ความเร็วของเขานับว่าเคลื่อนย้ายพลันลี้ในชั่วพริบตา พริบตาเดียวก็หนีออกมาได้สองสามหมื่นลี้
เมื่อหันหัวกลับไปกลับเห็นมารอสูรสามหัวด้านหลังยังคงไล่ตามมาติดๆ ห่างออกไปร้อยจั้งเศษราวกับแมลงเกาะกระดูก สลัดออกไปได้ไม่ไกลนัก
ส่วนไกลออกไปก็มีวายุสีดำกลุ่มหนึ่งปรากฏอยู่รางๆ ไล่ตามมาติดๆ อย่างไม่ลดละเช่นกัน
แววตาของหานลี่ฉายแววเย็นเยียบ
หากมีแค่มารอสูรระดับสูงสามตัวด้านหลัง ก็ยังไม่พอให้หวาดกลัว แต่หากถูกทั้งสามคนพัวพันเอาไว้ มารอสูรตัวอื่นที่อยู่ด้านหลังห่างออกไปยี่สิบกว่าตัวกรูกันเข้ามาล้อม จากพลังยุทธ์ที่ยังไม่ฟื้นฟูในยามนี้ ก็ต้องเสียเปรียบเข้าแล้วจริงๆ
เมื่อขบคิดในใจเช่นนี้ หานลี่ที่อยู่ในลำแสงหลีกหนีก็ไม่ลังเลอีก มือหนึ่งร่ายอาคม ชั่วขณะนั้นแผ่นหลังพลันมีเสียงอัสนีฟ้าฟาดดังขึ้น ปีกขนนกสีสันแวววาวคู่หนึ่งปรากฏออกมา
ปีกสองข้างแค่กระพือเบาๆ เสียงฟ้าผ่าก็ดังออกมา
สายรุ้งสีเขียวสั่นเทากลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวสายหนึ่งพุ่งออกไป แค่กะพริบวาบก็สลายหายไปทันที
ครู่ต่อมาห่างออกไปร้อยจั้งเศษ สายฟ้าสีเขียวขาวพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ประจุไฟฟ้าถึงได้เปล่งเสียงอึกทึกพลันปรากฏขึ้น แต่สายฟ้านี้แค่หยุดชะงัก ก็พุ่งออกมาแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอยอีกครั้ง
เช่นนั้นหานลี่ที่กระตุ้นปีกวายุอัสนีอย่างบ้าคลั่งก็สำแดงเคล็ดวิชาอัสนีหลีกหนีที่เหนือชั้นออกมา
เห็นเพียงประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวกะพริบเรืองๆ แค่ไม่กี่อึดใจ ก็ดึงระยะห่างออกจากมารอสูรสามตัวด้านหลังไปได้สองสามร้อยจั้ง
อู่ลี่เห็นเช่นนั้น พลันตกตะลึง จากนั้นพลันรู้สึกร้อนใจ
หากปล่อยให้ผู้ที่อยู่ตรงหน้าหนีไปได้จริงๆ จุดจบของเขาในยามที่กลับไปจะเป็นอย่างไรไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว
ทันใดนั้นมันพลันอ้าปากออก คาดไม่ถึงว่าจะพ่นกระจอกสัมฤทธิ์สามเหลี่ยมออกมา
เป็นสีเหลืองนวล ผิวของมันดูเหมือนจะรางเลือนเป็นพิเศษ!
แต่มารสองเขากลับหันหน้าไป คำรามใส่มารอสูรระดับสูงอีกสองตัว
เมื่อได้ยินเสียงคำรามนี้ มารอินทรีและผึ้งเขียวก็มองสบตากันแวบหนึ่ง ในแววตาล้วนเผยท่าทีลังเลออกมา
ใบหน้าของมารสองเขาฉายแววตาโหดเ**้ยม แล้วร้องคำรามออกมา
ท่ามกลางเสียงคำรามครั้งนี้ กลับเต็มไปด้วยจิตสังหาร
มารอินทรีและผึ้งสีเขียวร่างกายสั่นเทา แล้วถึงได้ฝืนพยายามอ้าปากออก พ่นไข่มุกขนาดเท่ากำปั้นสีดำและเขียวออกมาสองเม็ด เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในกระจก
กระจกสัมฤทธิ์สามเหลี่ยมสั่นเทาทันที เปล่งเสียงร้องหึ่งๆ ออกมา ในเวลาเดียวกันลำแสงที่แผ่ออกมาจากกระจกก็เปลี่ยนสี กลายเป็นสีเขียวดำ
อู่ลี่เห็นเช่นนั้นพลันรู้สึกดีอกดีใจ โยนกระจกสัมฤทธิ์ในมือออกไป อ้าปากออก พ่นไข่มุกสีเทาออกมา
ไข่มุกเม็ดนี้วนโคจรล้อมรอบกระจกสัมฤทธิ์ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในกระจกเช่นกัน
ชั่วขณะนั้นกระจกสัมฤทธิ์มันสั่นคลอนยิ่งกว่าเดิม ลำแสงวิญญาณที่แผ่ออกมาเปลี่ยนเป็นสีดำเขียวเทาสามสี
จากนั้นก็เห็นมารสองเขายื่นนิ้วอ้วนๆ ออกมานิ้วหนึ่งชี้ไปทางกระจกสัมฤทธิ์
ชั่วขณะนั้นผิวกระจกพลันเปล่งแสงเจิดจ้า ฉับพลันนั้นพลันพ่นหมอกลำแสงสามสีออกมา
ลำแสงนี้ราวกับมังกรที่ออกมาแหวกว่ายนอกทะเลอย่างไรอย่างนั้น แค่กะพริบวาบก็ม้วนเอามารอสูรสามตัวเข้าไป กระจกสัมฤทธิ์พลันพลิ้วไหวแล้วจมหายเข้าไปในหมอกลำแสง
จากนั้นหมอกลำแสงแค่พลิ้วไหว ก็อยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดสิบจั้งอย่างเงียบเชียบ ไล่ตามประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวไปราวกับภูตผี
คาดไม่ถึงว่ามารทั้งสามจะอาศัยสมบัติอาคมรวมพลังของทั้งสามเข้าด้วยกัน ความเร็วจึงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
แม้จะมองดูแล้วช้ากว่าหานลี่เล็กน้อย
แต่มารที่มีนามว่าอู่ลี่ผู้นี้กลับรู้สึกผ่อนคลายลงไปเฮือกหนึ่ง
อีกฝ่ายมีพลังยุทธ์น้อยกว่าเขา พวกเขาทั้งสามรวมพลังกันกระตุ้นสมบัติอาคม ขอเวลานานหน่อย ก็ไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะรักษาระดับความเร็วเช่นนี้เอาไว้ได้ ไล่ตามอีกฝ่ายทันก็เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็วแล้ว
ตรงหน้าประจุไฟฟ้าสีเขียวขาว ปรากฏขึ้นท่ามกลางเสียงฟ้าคำรามรางๆ แล้วสลายหายไปด้านหลังม่านลำแสงสามสีราวกับภูตผี
ทั้งสองคนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลัง ชั่วครู่ก็หายวับไปที่ขอบฟ้า
วายุมารสีดำสนิทที่ไล่ตามอยู่ด้านหลัง ตอนแรกก็ไล่ตามไปได้สองสามหมื่นลี้ แต่เมื่อเห็นหานลี่และมารทั้งสามอยู่ห่างออกไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
วายุสีดำพลันสลายตัวออก มารอสูรระดับสูงสามสิบกว่าตัวปรากฏกายขึ้น แล้วมองสบตากันไปมาอยู่ที่เดิม
ตอนที่ 1641 ผึ้งพันตัว
“ซือๆ ทำอย่างไรดี ชาวแดนวิญญาณผู้นั้นรวดเร็วถึงเพียงนี้ แม้แต่นายท่านอู่ลี่ก็ทำได้เพียงพยายามไล่ตามไปเท่านั้น พวกเราไม่อาจไล่ตามทันได้” มารอสูรตนหนึ่งที่ร่างกายคล้ายหมาป่า แต่คอยาวดุจงูเหลือมเปล่งเสียงซือๆ ออกมาขณะเอ่ย
“ยังต้องถามอีกหรือ แน่นอนว่าต้องไล่ตามต่อไป นายท่านอู่ลี่ไม่ได้ส่งตำแหน่งของทุกคนให้พวกเราแล้วหรือ ไปตามตำแหน่ง แม้ว่าจะอยู่ห่างออกไปล้านลี้ ก็ตามนายท่านกบได้” มารอสูรอีกตนหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายหมูป่า แต่หูยาวกลับพ่นคำพูดของมนุษย์
“หึ จากความเร็วของเจ้าจะไล่ตามนายท่านอู่ลี่ คงต้องรอชาติหน้าตอนบ่ายๆ แล้ว” มารอสูรหัวเหมือนงูเหลือมยักษ์ กลับกลอกตาส่งค้อนให้ แล้วเอ่ยอย่างดูแคลน
“หมายความว่าอะไร ฟังจากคำพูดของเจ้า ดูเหมือนว่าที่นี่จะมีเพียงเจ้าคนเดียวที่ตามทัน เมื่อครู่พวกเราเป็นตัวถ่วงเจ้าหรือ?” มารอสูรที่ดูเหมือนหมูป่าดูเหมือนจะกล้าหาญ แต่ความจริงในใจลึกๆ พูดคุยแค่ไม่กี่ประโยค ก็ดึงอีกฝ่ายกับคนอื่นๆ ให้เป็นปฏิปักษ์กัน
ทว่าพลังยุทธ์ของมารอสูรงูเหลือม เดิมทีก็เหลือเพียงไม่กี่คน เมื่อได้ฟังคำนี้ก็แค่หัวเราะอย่างเย็นชา และไม่ได้แยกแยะเลยสักนิด
ท่าทางเช่นนี้แน่นอนว่าย่อมทำให้มารอสูรตนอื่นๆ ล้วนมีแววตาไม่เป็นมิตร
“เอาล่ะ งูเหลือมพูดมีเหตุผล พวกเรามีความเร็วแตกต่างกัน หากไล่ตามไปทั้งหมด คงเป็นไปไม่ได้ แต่ให้นายท่านอู่ลี่และพวกทั้งสามคนไล่ตามไปลำพัง ก็ไม่ค่อยเหมาะสม เช่นนี้ก็แล้วกัน พวกเราเลือกคนที่มีรวดเร็วที่สุดมาห้าคน แล้วไล่ตามไป คนอื่นๆ ก็กลับไปรอฟังคำสั่งก็แล้วกัน” อสูรน้อยประหลาดเรือนกายแวววาวระยิบระยับ ราวกับสร้างขึ้นจากกระเบื้องหลากสีพลันเอ่ยปากขึ้น
ในคำพูดคาดไม่ถึงว่าแฝงไว้ด้วยน้ำเสียงออกคำสั่งครึ่งหนึ่ง!
แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือมารอสูรที่เกเรทั้งหมดรวมทั้งมารอสูรงูเหลือมต่างฟังคำสั่งของอสูรน้อยกระเบื้องอย่างไม่มีข้อคิดเห็นใดๆ ทันใดนั้นก็โต้เถียงกันรอบหนึ่ง เหลือเพียงมารอสูรที่รวดเร็วที่สุดห้าตัว
มารอสูรที่เหลือรวมตัวกันกลายเป็นวายุมาร แล้วกลับไปทางเดิม
ในบรรดามารอสูรที่เหลือทั้งห้ามีอสูรหัวงูเหลือมตัวนั้นและอสูรน้อยกระเบื้องรวมอยู่ด้วย
อสูรทั้งห้ากลายเป็นลำแสงหลีกหนีรวมตัวกัน ความเร็วไม่อาจเปรียบเทียบกับก่อนหน้าได้
เห็นเพียงสายรุ้งสีดำหนาความยาวสิบจั้งเศษ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งผ่านอากาศไป
……
ผิวของหานลี่มีประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวเปล่งแสงสว่างวาบ สลายหายไปท่ามกลางเสียงฟ้าผ่าราวกับสายฟ้า แล้วปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แค่ชั่วอึดใจก็อยู่ห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง แล้วพุ่งผ่านไป
มองจากไกลๆ ก่อนหน้าเขายังอยู่ตรงขอบฟ้าอีกด้าน วินาทีต่อมากลับมาปรากฏที่ขอบฟ้าอีกด้าน แค่กะพริบวาบคนก็สลายหายไป
หลังจากที่ประจุไฟฟ้าสีเขียวสาวเปล่งแสงอึกทึกพร้อมกับสลายหายไปได้ไม่นาน หมอกลำแสงสามสีสายหนึ่งก็เปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ แค่กะพริบวาบเรืองๆ ก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
หานลี่ที่อยู่ในอัสนีลำแสงไม่ได้หันหัวกลับมา กลับรู้ดีว่ามารอสูรสามตัวนั้นอยู่ห่างออกไปยี่สิบสามสิบลี้ กำลังไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ
นี่จึงทำให้เขาขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งขรึมไปเล็กน้อย
เขาหนีมารทั้งสามมาครึ่งวันแล้ว แม้ว่าระยะห่างจากค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ แต่ยังห่างไกลจากคำว่าสลัดอสูรทั้งสามได้อีกมาก
ไอมารท่ามกลางเทือกเขามารสีทองทำให้ผู้ที่มาจากภายนอกได้รับข้อจำกัดทางจิตสัมผัส แต่สำหรับมารอสูรเหล่านี้กลับเป็นเหมือนมัจฉาที่แหวกว่ายอยู่ในสายธาร แผ่จิตสัมผัสออกมาในระยะสองสามร้อยลี้ได้อย่างง่ายดาย
ต่อให้เขาหนีมารทั้งสามไปครึ่งเดือน เดาว่าก็ไม่อาจสลัดพวกที่อยู่ด้านหลังได้
ส่วนระยะห่างกับเขตอาคมกักตัวนอกเทือกเขามารสีทองยังอยู่ห่างอีกสิบกว่าวัน เขาจะมีเสียเวลานานขนาดนั้นได้อย่างไร
และยิ่งไปกว่านั้นในเทือกเขายังมีมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์อยู่ หากเสียเวลานานไป อาจจะดึงดูดมาได้
เรื่องที่อันตรายเช่นนี้หานลี่ไม่มีทางทำแน่
เมื่อบินมาเป็นระยะเวลานาน เขาก็สูญเสียอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายในร่างไปไม่น้อย ไม่อาจประคับประคองปีกวายุอัสนีต่อไปได้อีก
และยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่ามารอสูรสามตนจะมีพลังกระจกประหลาดคอยช่วยเหลือจนสามารถไล่ตามอย่างไม่ลดละได้ แต่ฝูงมารอสูรที่เขาหวาดกลัวมากที่สุดกลับไร้เงา
เช่นนั้นละก็จากนั้นวันเวลาก็ค่อยๆ ไหลผ่านไป จิตสังหารของหานลี่จึงค่อยๆ เพิ่มขึ้น
แต่ประจุไฟฟ้ากลับไม่เชื่องช้าลงเลยสักนิด ไม่เห็นท่าทีแปลกประหลาดใดๆ
หลังจากบินมาได้อีกหนึ่งมื้ออาหาร ตรงหน้าพลันมีทะเลหมอกสีเทาปรากฏขึ้น แม้ว่าจะไม่ถึงกับเข้มข้น แต่มองไกลๆ ก็ดูมีขนาดพื้นที่ไม่น้อย
หานลี่เห็นเช่นนั้นแววตาพลันฉายแววเย็นชา สายฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบบนเรือนร่างอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด แล้วกระโจนเข้าไปข้างใน
หลังจากเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น หานลี่ก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางหมอกสีเทา ในเวลาเดียวกันดวงตาก็เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบพลางกวาดมองไปรอบทิศทาง
เมื่อมั่นใจว่ารอบๆ ไม่มีมารอสูรตนอื่นๆ แอบซ่อนอยู่ หานลี่พลันพลิกฝ่ามือมือหนึ่ง ในมือมียันต์วิเศษสีม่วงปรากฏขึ้น และพลิกฝ่ามือตบไปบนร่าง
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ยันต์วิเศษกลายเป็นลำแสงวิญญาณกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มร่างของหานลี่เอาไว้ ในเวลาเดียวกันในลำแสงก็มีอักขระสีเงินหมุนวนไปมาอยู่รางๆ
แต่เมื่อลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายไป เงาร่างของหานลี่ก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
คาดไม่ถึงว่าเขาจะใช้ยันต์ชำระพิสุทธิ์ทำให้ร่างกายหายวับไป
เมื่อใช้ยันต์วิเศษแผ่นนี้ เขาก็สามารถปกปิดได้แม้กระทั่งระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมารอสูรระดับหลอมสุญตาสามตัวที่อยู่ด้านหลัง
หากไม่ใช่เพราะร่างกายที่ล่องหนแล้วความเร็วจะลดลงเป็นอย่างมาก ในเวลาสั้นๆ ไม่อาจหนีออกจากขอบเขตจิตสัมผัสของอสูรสามตัวด้านหลังได้ หานลี่ก็อาจจะใช้ยันต์วิเศษแผ่นนี้แล้วสลัดทิ้งไปตั้งนานแล้ว
เขาในตอนนี้ซ่อนตัวอยู่ในหมอกหนาไม่ขยับเขยื้อน ดวงตาทั้งสองหรี่ลงพลางมองไปยังทิศทางที่ตนเองมา พลางตั้งสติเพ่งมองไป
นั่นก็ไม่แปลก! ในระยะห่างสิบกว่าลี้ สำหรับความเร็วของอสูรสามตัวด้านหลัง ย่อมมาถึงได้ในชั่วพริบตา
หานลี่เพิ่งจะพ่นลมหายใจออกมาแค่สองครั้ง หมอกลำแสงสามสีสายหนึ่งก็เปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นที่ขอบของทะเลสีเทา
หมอกลำแสงหมุนวนลำแสงวิญญาณกลุ่มหนึ่งบินออกมา หมุนคว้างแล้วเผยกระจกสัมฤทธิ์สามเหลี่ยมออกมา
และในยามนั้นหมอกลำแสงสามสีก็หม่นแสง เผยร่างของอู่ลี่และเพื่อนมารอสูรทั้งสามออกมา
“เกิดอันใดขึ้น กลิ่นอายของคนผู้นี้หายไปแถวๆ นี้” มารอินทรีขนาดสองสามจั้งดวงตาเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ เผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมา
“คงไม่ได้หนีไปแล้วหรอกกระมัง?” ผึ้งเขียวยักษ์พ่นคำพูดของมนุษย์ออกมา
“หนีไปแล้ว! นั่นเป็นไปไม่ได้ ต่อให้เป็นพวกนายท่านในเทือกเขา ก็ไม่อาจหนีออกไปหมื่นลี้ได้ในพริบตา” อู่ลี่มองไปรอบๆ จากนั้นสายตาก็ตกอยู่ที่ทะเลหมอกเบื้องหน้า พลางเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“อ๋อ เช่นนั้นคนผู้นั้นก็น่าจะสำแดงอิทธิฤทธิ์อำพรางกายที่สูงส่งอะไรสักอย่าง หรืออาจจะมีสมบัติเก็บกลิ่นอาย” มารอินทรีดูเหมือนจะมีสติปัญหาไม่ต่ำต้อย แววตาเปล่งประกาย แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า
“คงเป็นเช่นนั้นแปดเก้าส่วน ดูแล้วคนผู้นี้คงรู้ว่าไม่อาจหนีจากการไล่ล่าของพวกเราได้ ดังนั้นจึงหยุดหนีเตรียมจะให้พวกเราล้มเลิกไปเสียเลย” อู่ลี่มองทะเลหมอกสีเทาเขม็ง ใบหน้าเผยรอยยิ้มเ**้ยมเกรียมออกมา
“หึๆ คนผู้นี้พลังยุทธ์ข้าไม่ได้ ทำอย่างนี้ไม่เป็นการหาที่ตายหรือ” ผึ้งเขียวได้ยินคำพูดของอู่ลี่และมารอินทรี ก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาระลอกหนึ่ง
“หึ อย่าประมาทไป คนผู้นี้กล่าวทำเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมมีที่พึ่งพิง ข้าไม่เคยบอกพวกเจ้า ที่นายน้อยเพลี่ยงพล้ำไปเมื่อสองสามวันก่อน น่าจะเพลี่ยงพล้ำด้วยน้ำมือของคนผู้นี้ มิเช่นนั้นนายท่านไม่โกรธเกรี้ยวถึงเพียงนี้ ในเวลาสำคัญเช่นนี้ถึงยังส่งคนออกมา” ใบหน้าของออู่ลี่มีสีหน้าโหดเ**้ยมฉายแววสว่างวาบ แล้วแค่นเสียงหึขณะเอ่ย
“อะไรนะ นายน้อยถูกคนผู้นี้สังหาร มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” ผึ้งเขียวร้องอุทานด้วยเสียงแหบแห้ง
“แม้ว่านายน้อยจะมีพลังยุทธ์ไม่ต่างอะไรกับพวกเรา แต่ในตัวจะต้องมีสมบัติวิเศษที่นายท่านมอบให้สองสามชิ้นแน่นอน ไม่มีทางถูกคนผู้นั้นสังหารง่ายๆ เช่นนั้นละก็ คนผู้นี้คงจัดการยากจริงๆ ต้องระวังหน่อยแล้ว” มารอินทรีเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน
“ต่อให้อันตรายจริงๆ พวกเราก็ต้องเสี่ยง หากไม่อาจสังหารหรือจับเป็นคนผู้นั้นได้ กลับไปเผชิญกับความโกรธของนายท่านจะมีจุดจบเช่นนี้ พวกเจ้าน่าจะรู้ดี” น้ำเสียงของอู่ลี่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม และยิ่งไปกว่านั้นยังตะปบมือทั้งสองข้างไปบนหัว
เขาวัวสีดำสนิทสองข้างถูกดึงลงมา
จากนั้นพลันสะบัดมือทั้งสอง เขายักษ์คู่นั้นกลายเป็นค้อนเหล็กสีดำสองเล่มเปล่งแสงสว่างวาบ ประกอบกับเอวหนาๆ ของเขา บวกกับเกราะเหล็กสีดำพลันทำให้ดูน่าเกรงขาม จิตสังหารลอยตลบอบอวล
อินทรีสีดำและผึ้งยักษ์สีเขียวได้ฟังคำพูดก่อนหน้าของสหายร่วมวิถี ก็เผยแววตาหวาดกลัวออกมา
แต่ทันใดนั้นปากของอินทรีดำก็เปล่งเสียงร้องแหลมๆ ออกมา กระพือปีกทั้งสองข้าง ลำแสงสีเหลืองนับหมื่นสายเปลี่ยนรูปท่ามกลางหมอกลำแสง ชั่วพริบตาก็กลายเป็นชายสวมชุดคลุมสีเหลืองร่างกายสูงยาวคนหนึ่ง
มือข้างหนึ่งถือหอกกระดูกสีขาว มืออีกข้างหนึ่งถือโล่กลมสีทองเรืองรองเอาไว้
ผิวของหอกกระดูกมีเปลวเพลิงสีดำหมุนวนอยู่ และมีเสียงกรีดร้องดังแว่วออกมา ผิวของโล่ทรงกลมสลักลวดลายมารยักษ์สามหัวหกแขนเอาไว้ ตรงขอบมีลำแสงเย็นเยียบเปล่งแสงสว่างวาบ ดูเหมือนว่าจะแหลมคมมาก
ส่วนผึ้งยักษ์สีเขียวก็เปล่งเสียงร้องต่ำๆ ออกมา ในเวลาเดียวกันปีกที่โปร่งใสที่แผ่นหลังก็รางเลือนไปและสั่นเทา
เหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้นในครู่ต่อมา
ลำแสงสีเขียวบนร่างของผึ้งยักษ์พลันหมุนวน ชั่วขณะนั้นลำแสงที่หนาแน่นพลันทะลักออกมาจากปีกทั้งสองข้าง ชั่วครู่ก็แผ่ขยายออกไปสิบกว่าจั้ง
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้อู่ลี่และมารอินทรีก็มีสีหน้าหวาดผวา รีบร้อนถอยหลังออกไปทั้งซ้ายและขวาหลายก้าว ดูเหมือนจะหวาดกลัวลำแสงเหล่านี้
ผลคือลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงเหล่านี้พลันเปลี่ยนรูป ทยอยกันขยายขนาดจนมีขนาดเท่าไข่ไก่ ร่างกายเป็นผึ้งยักษ์สีเขียว
นอกจากขนาดที่เล็กลงเป็นอย่างมากแล้ว รูปลักษณ์ภายนอกล้วนไม่ต่างอะไรกับหงส์ยักษ์สีเขียว
“ชิงเจิน เคล็ดวิชาแยกร่างพันผึ้งของเจ้า ดูเหมือนจะร้ายกาจกว่าก่อนหน้า ครั้งที่แล้วเห็นเจ้าสำแดงเคล็ดวิชานี้ ยังไม่อาจสร้างผึ้งหลายตาจำนวนมากขนาดนี้” ชายชุดสีเหลืองจ้องเขม็งไปยังผึ้งสีเขียวเหล่านั้น แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า
“หึๆ นั่นเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งจะฝึกฝนเคล็ดวิชานี้มาอยู่ในระดับสูงขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ร่างแยกเหล่านี้ไม่เพียงมีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าครึ่ง แม้แต่พลังการโจมตีของมันก็ไม่อาจเทียบกับก่อนหน้าได้” ผึ้งยักษ์สีเขียวกลับเอ่ยอย่างพึงพอใจ
“เยี่ยม เยี่ยมมาก เช่นนั้น พวกเราก็มั่นใจขึ้นแล้ว ชิงเจินเจ้าให้ร่างแยกเหล่านี้เปิดทางอยู่ข้างหน้า พวกเราจะตรวจสอบในทะเลหมอกผืนนี้ คนผู้นั้นน่าจะซ่อนตัวอยู่ในนี้” อู่ลี่ตบมือที่ถือค้อนทั้งสองไปด้านหน้า แล้วหัวเราะฮ่าๆ พลางออกคำสั่งขณะเอ่ย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น