คัมภีร์วิถีเซียน 1637-1638
ตอนที่ 1637 ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
“ข้าสังหารรังวิญญาณ แต่ประวัติความเป็นมาของที่แท้จริงของสิ่งที่สิงอยู่ พวกเจ้ารู้อะไรบ้าง” หานลี่มีสีหน้าราบเรียบ ไม่ได้ตอบคำถามของบุรุษแซ่กุย แต่ถามย้อนกลับแทน
เมื่อได้ยินหานลี่เอ่ยเช่นนี้ บุรุษแซ่กุยและเซียนเซียน พลันหน้าเปลี่ยนสี อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งไม่ได้
“พี่หานมีจุดสงสัยตรงไหนหรือ? ลองพูดมาสิ!” หลังจากที่เซียนเซียน เงียบขรึมไปเล็กน้อยถึงได้เอ่ยอย่างแช่มช้า
“ไม่มีอะไร แค่ก่อนตายเจ้านั่นเรียกตัวเองว่าเป็นร่างแยกของราชามารเหนือฟ้า สำหรับเรื่องนี้ไม่ทราบว่าสหายทั้งสองคิดเห็นอย่างไร?” หานลี่เผยท่าทางคลุมเครือออกมา
“ราชามารเหนือฟ้า!”
“เป็นไปไม่ได้!”
ครั้งนี้เซียนเซียน และบุรุษแซ่กุยแทบจะร้องอุทานออกมาพร้อมกัน และยิ่งไปกว่านั้นยังเผยสีหน้าตกตะลึงระคนหวาดกลัวออกมา
“อ๋อ ราชามารเหนือฟ้าข้าเพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก แต่ดูแล้วสหายทั้งสองกลับดูเข้าใจเป็นอย่างดี ไม่ทราบว่าจะอธิบายให้ผู้แซ่หานฟังได้หรือไม่” หานลี่พลันขมวดคิ้ว สายตามองปราดไปที่ทั้งสอง
บุรุษแซ่กุยแค่นเสียงหึด้วยความเย็นชา สีหน้าเคร่งขรึมสลับกับสดใส ดูเหมือนว่าจะไม่สนใจต่อปากต่อคำอะไร
และหลังจากที่หญิงสาวเผ่าผลึกลังเลเล็กน้อย ปากบางถึงได้เผยอขึ้นพลางเอ่ยว่า
“พี่หานน่าจะรู้จักมารเหนือฟ้าสินะ ราชามารเหนือฟ้าเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดในบรรดามารเหนือฟ้า พวกมันมีร่างแยกเป็นสิบล้านร่าง ต่อให้ยามเคราะห์สวรรค์ของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ถูกราชามารระดับนี้สิงเข้าไปในจิตใจ หากไม่ระวังก็อาจจะถูกกลืนกิน จนกลายเป็นหุ่นเชิด”
“แม้แต่จิตวิญญาณเที่ยงแท้ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้!” หานลี่ได้ฟังคำนี้ สายตาพลันเคร่งขรึม
“ไม่ใช่แค่จิตวิญญาณเที่ยงแท้ ได้ยินว่าแม้แต่เทพเซียนในแดนเทพเซียนพบกับราชามารเหนือฟ้าก็ยังมีโอกาสถูกควบคุม แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล่าเท่านั้น ส่วนรายละเอียดนั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ผู้ใดก็ไม่เคยเห็นมาก่อน กลับเป็นพี่หานที่บอกว่ารังวิญญาณนี้ถูกราชามารเหนือฟ้าสิงอยู่ เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ?” เซียนเซียน พลันหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา แล้วอดไม่ไหวเอ่ยยืนยันอีกครั้ง
“อันใดท่านเซียนเซียนคิดว่าข้าน้อยหลอกลวงหรือ” หานลี่ได้ยินประวัติความเป็นมาของราชามารเหนือฟ้า ภายใต้ความตกตะลึงนั้นความคิดจึงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่ก็ตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ
“เหตุใดน้องหญิงถึงคิดเช่นนี้ แต่แค่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ถึงได้จำต้อง…”
“ข้ากลับคิดว่าสิ่งที่เขาพูดอาจจะเป็นความจริง”
ไม่รอให้เซียนเซียนได้เอ่ยอะไรอีก บุรุษแซ่กุยที่มีแววตาเคร่งขรึมอยู่ด้านข้าง ก็เอ่ยปากแทรกด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกทันที
“สหายกุยหมายความว่าอย่างไร?” ไม่ใช่แค่หานลี่ที่ตกตะลึง ดวงตางดงามของเซียนเซียนเองก็เคร่งขรึม เอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา
“หึ อย่าแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เลย ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะไม่พบความผิดปกติของรังวิญญาณ เจ้าน่าจะรู้ดี จิตวิญญาณฟ้าดินระดับนี้อย่างรังวิญญาณไม่มีทางถูกสิ่งธรรมดาๆ สิงสู่แน่ ต่อให้เป็นเจ้าหรือข้าก็ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ และยิ่งไปกว่านั้นเจ้านี้ก็บอกไปไว้ก่อนแล้วว่าสังหารไปแล้ว พวกเราอยู่กันตั้งหลายคน ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องหลอกลวง” บุรุษแซ่กุยตอบกลับอย่างเย็นชา
“ต่อให้เป็นเช่นนั้นมันจะรู้รังของวิญญาณและต้นกำเนิดของกิเลนเที่ยงแท้ได้อย่างไร และมายืนรอผลพลอยได้แบบนั้นหรือ” เซียนเซียน สั่นศีรษะแล้วเอ่ยโต้แย้ง
“จุดนี้เดายากจริงๆ อาจจะเป็นเพราะตอนที่ร่างแยกราชามารเหนือฟ้าโชคดีทะลวงเข้ามาในแดนนี้ ได้กลืนกินสิ่งที่อยู่ในระดับเดียวกับเจ้าและข้าที่หนีออกมาเข้าพอดี จึงรู้จักที่นี่ และอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ เจอกับรังวิญญาณที่ควบคุมที่นี่ จากนั้นถึงได้กลืนกินคนอื่นๆ ที่มาที่นี่ ถึงได้รู้เรื่องของพวกเรา” บุรุษแซ่กุยเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เช่นนั้นละก็ อาจจะเป็นไปได้หลายส่วน ทว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ พวกเราค้นหาดูก็รู้แล้ว หากข้าจำไม่ผิดละก็ สิ่งที่ราชามารเหนือฟ้าสิงสู่ สุดท้ายร่างกายจะกลายเป็นธุลีมาร แม้ว่ารังวิญญาณจะมีความพิเศษ แต่ก็ไม่อาจโชคดีได้” เซียนเซียนเอ่ยไปพลาง สายตางดงามก็พลางมองไปยังด้านล่างไปมา
หานลี่ได้ฟังคำนี้ก็ก้มหน้าลงมองด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
ผลคือหลังจากมองมาแล้วก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้
คาดไม่ถึงว่าหัวกะโหลกหน้าคนประหลาดที่เดิมเป็นดังก้อนหินสีเทาขาวพลันกลายเป็นกองเถ้าถ่านกองใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กองแน่นิ่งๆ อยู่บนพื้นด้านล่าง
หานลี่เสียแรงไปมาก ในที่สุดก็มองเห็นเค้าโครงเดิมของใบหน้าประหลาดท่ามกลางขี้เถ้าสีดำเทาออกอยู่สองสามส่วน มุมปากจึงอดที่จะกระตุกไม่ได้
ในสถานการณ์เช่นนี้คนอื่นๆ อีกสองคนย่อมมองเห็นด้วยเช่นกัน
สตรีเผ่าผลึกไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แค่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ส่วนบุรุษแซ่กุยกลับยกมือขึ้น ตะปบไปกลางอากาศด้านล่าง
ชั่วขณะนั้นขี้เถ้าสีดำกลุ่มหนึ่งพลันกลายเป็นควันสีดำ ถูกบุรุษดูดเข้ามาในมือ และจ้องเขม็งมองไป
“ไม่ผิดเป็นธุลีมารจริงๆ” บุรุษแซ่กุยแววตาเปล่งประกายวาวโรจน์ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ถึงได้โยนขี้เถ้าสีดำในมือออกแล้วเอ่ยอย่างเยือกเย็น
“ดูแล้วพี่หานคงพูดไม่ผิด รังวิญญาณนี้ถูกร่างแยกของราชามารเหนือฟ้าควบคุมจริงๆ มิน่าล่ะถึงได้รับมือยากเช่นนี้ ก่อนหน้าเราสองคนติดกับเขาอย่างไม่รู้ตัว จนเกือบจะถูกคร่าชีวิตไป จะว่าไปแล้วน้องหญิงต้องขอบคุณบุญคุณช่วยชีวิตของพี่หานจริงๆ” เซียนเซียนหัวเราะน้อยๆ ออกมา แววตาเปล่งประกายระยิบระยับ แล้วเอ่ยขอบคุณหานลี่
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าเองก็โชคดีถึงได้สังหารมารตัวนี้ได้ มารตัวนี้มีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกรจริงๆ ช่างต่อกรได้ยากนัก” หานลี่ย้อนนึกถึงสถานการณ์ที่ชายชุดดำสร้างใบหน้าประหลาดออกมาไม่หยุด มุมปากอดที่จะกระตุกไม่ได้ ในใจพลันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาสองสามส่วน
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว นี่เป็นเพราะรังวิญญาณไม่มีร่างที่แท้จริง จึงไม่อาจกระตุ้นอิทธิฤทธิ์ที่แท้จริงของมารได้ กระตุ้นได้แค่หนึ่งถึงสองส่วนเท่านั้น มิเช่นนั้นละก็อิทธิฤทธิ์ของมารเหนือฟ้าแทบจะไม่ด้อยไปกว่าเทพเซียนในแดนวิญญาณ แม้ว่าจะถูกร่างแยกของมันควบคุม ก็น่ากลัวเป็นอย่างมาก ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเราในยามนี้ได้แน่ ทว่าร่างแยกของมันถูกสหายหานสังหารแล้ว เกรงว่าคงไม่ยอมล้มเลิกง่ายๆ หากสหายหานบรรลุขึ้นไป มารตนนี้จะต้องมารบกวนด้วยตนเองแน่” แววตาของบุรุษแซ่กุยฉายแววเย็นชา กลับเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“เคราะห์การบรรลุ! หึๆ เรื่องไกลตัวเช่นนี้ ข้าน้อยไม่คิดหรอก” หานลี่กลับหัวเราะหึๆ ออกมา ราวกับว่าไม่ใส่ใจเลยสักนิด
“เอาละ ในเมื่อข้าและสหายเซียนอธิบายแก่นายท่านแล้ว เรื่องที่เกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้ก็ควรเอ่ยสักหน่อย” หลังจากที่บุรุษแซ่กุยหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา ก็เอ่ยถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของการเดินทางในครั้งนี้
“ไม่ว่าต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ตอนที่ข้าอยู่ในร่างของรังวิญญาณก็ไม่เห็นเลยสักนิด” ครั้งนี้หานลี่กลับตอบกลับอย่างสบายอารมณ์
แต่ฟังคำพูดนี้ของหานลี่ บุรุษแซ่กุยกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม สตรีผู้งดงามนามว่าเซียนเซียนพลันขมวดคิ้วมุ่น แล้วเผยสีหน้าขบคิดออกมา
สิ่งที่น่าแปลกก็คือ ทั้งสองกลับไม่ได้เผยสีหน้าตกตะลึงระคนโกรธขึ้งหรือสีหน้าฉงนสงสัยใดๆ
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ในใจพลันรู้สึกประหลาดใจ
“สหายกุยคิดอย่างไร?” สตรีเผ่าผลึกพลันเปล่งเสียงหัวเราะ คาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยถามบุรุษแซ่กุยหนึ่งประโยค
“สหายหานไม่มีคลื่นของต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้บนร่างจริงๆ เจ้าสิ่งนี้ที่มีต่างเดียวกันกับพวกเรา ไม่อาจใช้สมบัติอะไรมาปิดบังความรู้สึกของพวกเราได้ แน่นอนว่าย่อมไม่ได้โกหก แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเราสู้กับรังวิญญาณ ล้วนสัมผัสได้ถึงต้นกำเนิดบนร่างของรังวิญญาณ” บุรุษแซ่กุยเอ่ยออกมาทีละคำๆ
“เช่นนั้น พี่กุยและข้าก็คาดเดาเช่นเดียวกัน” ใบหน้าของเซียนเซียนซีดเผือด
“ใช่แล้ว ในเมื่อสหายหานไม่มีต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้ เช่นนั้นหลังจากที่รังวิญญาณตาย ต้นกำเนิดไม่สลายหายไปกลับคืนพื้นดิน ก็คงกลับไปในรังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้เช่นเดิม มีเพียงต้องรอให้รังวิญญาณถือกำเนิดขึ้น ถึงจะเอาสิ่งนั้นมาได้” บุรุษแซ่กุยเอ่ยด้วยสีหน้าเ**้ยมเกรียม
“หากเป็นอย่างแรก พวกเราย่อมไม่มีโอกาสอีก แต่หากเป็นอย่างที่สองก็ต้องรอแค่อีกสองสามร้อยปีเท่านั้น” สตรีเผ่าผลึกฝืนเอ่ยขึ้น
“อ๋อ มีเรื่องเช่นนี้ด้วย สหายทั้งสองมีวิธีตรวจสอบหรือไม่ว่าเป็นแบบใด” หานลี่ได้ฟังแล้วพลันใจเต้น สองมือกอดอกแล้วพลันลูบใต้คาง อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“แน่นอนว่าไม่มี อย่างแรกไม่มีร่องรอยให้ตรวจ ส่วนอย่างที่สองไม่มีที่มาที่ไป” สตรีเผ่าผลึกเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
หานลี่ได้ยินคำนี้พลันรู้สึกสิ้นหวังเช่นกัน ถึงอย่างไรเสียพลังต้นกำเนิดนั้นก็อาจจะช่วยให้เขาบรรลุระดับอินทรีย์ได้ ตอนนี้กล่าวเช่นนี้ไม่เท่ากับว่าต่อให้ต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้ยังคงอยู่ แต่ก็ต้องรออีกสองสามร้อยปีถึงจะมีความหวังที่จะได้มาครอบครอง
ทว่าแม้ว่าบุรุษและสตรีคู่นี้จะดูไม่เหมือนโกหก แต่แน่นอนว่าเขาย่อมไม่มีทางพูดความจริงทั้งหมดอยู่แล้ว
ทันใดนั้นแววตาทั้งสองของเขาพลันเปล่งแสงสีฟ้าวาววับ แผ่จิตสัมผัสออกไปในเวลาเดียวกัน ลำแสงหลีกหนีปรากฏขึ้นแล้ววนเวียนอยู่รอบๆ เริ่มตรวจสอบทุกอย่างอย่างละเอียด
ผลคือเขาตรวจสอบทุกอย่างในรัศมีสองสามลี้อย่างละเอียด กลับไม่มีร่องรอยว่าจะหาเจอเลยสักนิด ทำได้เพียงบินกลับไปอีกครั้งด้วยความกลัดกลุ้ม แล้วร่อนลำแสงหลีกหนีลงด้านข้างอีกสองคน
เมื่อเห็นท่าทางไม่ยินยอมของหานลี่ เซียนเซียนและบุรุษแซ่กุยก็ย่อมเชื่อคำพูดก่อนหน้าของหานลี่ ทั้งสามล้วนเงียบขรึม สีหน้าขบคิดเรื่องของตนเองแตกต่างกันไป
สำหรับสตรีนามว่าเซียนเซียนผู้นี้ การเดินทางครั้งนี้ย่อมสูญเปล่าแล้ว ในใจจะรู้สึกโศกเศร้าแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว
บุรุษแซ่กุยยังนับว่าเยือกเย็น แต่แววตาพลันเปล่งประกายไม่แน่นอน พลางขบคิดอะไรสักอย่าง
“หึๆ ดูแล้วการเดินทางครั้งนี้คงสูญเปล่าแล้ว โชคดีที่ข้าสิงอยู่ในร่างมังกรวารีสีเงิน เวลาสองสามร้อยปีย่อมรอไหว” บุรุษแซ่กุยดูเหมือนจะคิดอะไรได้ ฉับพลันนั้นพลันหัวเราะออกมาเบาๆ
“เจ้าคือร่างของมังกรวารีสีเงิน ต่อให้รออีกหลายปี ก็ยังคงต้องซัดสาดกับระดับศักดิ์สิทธิ์และระดับที่สูงยิ่งกว่า ส่วนข้าหากรอสักสองสามร้อยปี ต่อให้ได้ต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้มา ก็ไม่แน่ว่าจะมีเวลาหลอมและใช้ฝึกฝนได้” เซียนเซียนกลับรู้สึกสับสน
“ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องนี้แล้ว เหตุใดไม่ล้มเลิกไปเสียเลย หรือว่าจะรวมร่างกันข้า เป็นร่างเดียวกันเป็นอย่างไร?” บุรุษแซ่กุยได้ฟังแววตาพลันฉายแววแปลกประหลาดขณะเอ่ย
“รวมจิตสัมผัสกับเจ้า แน่นอนว่าย่อมได้ แต่นายท่านต้องละทิ้งสติปัญญา ให้ข้าเป็นหลัก ข้าจะตอบรับในทันใด” คิ้วดำขลับของเซียนเซียนพลันเลิกขึ้น สีหน้าเคร่งขรึม
“หึ ไม้อ่อนไม่ชอบ ชอบไม้แข็ง!” บุรุษแซ่กุยได้ยินคำนี้ ชั่วขณะนั้นใบหน้าพลันมีสีหน้าโหดเ**้ยมปรากฏขึ้น สองมือถูกันไปมา ชั่วขณะนั้นบนร่างพลันมีกลิ่นโลหิตคละคลุ้งแผ่ออกมา
“อันใดสหายกุยคิดว่าคนคนเดียวจะต่อกรกับพี่หานและข้าที่ร่วมมือกันได้หรือ?” เซียนเซียนใจหายวาบ แต่ใบหน้างดงามกลับมีจิตสังหารปรากฏขึ้นขณะเอ่ย
“สหายหาน เจ้าจะสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้หรือ? หากเจ้ายอมจากไป กลับไปผู้แซ่กุยจะขอบคุณอย่างหนัก!” บุรุษแซ่กุยแววตาเปล่งประกายเย็นเยียบ หลังจากกวาดสายตาไปบนเรือนร่างของหานลี่ ก็เอ่ยปากพูดขึ้น
ตอนที่ 1638 ค้นพบ
“ตกรางวัลอย่างหนัก?” หานลี่ได้ฟังคำนี้กลับหัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา
“อันใดสหายไม่เชื่อคำพูดของผู้แซ่กุยหรือ หากเป็นเช่นนั้นละก็ ข้าน้อยไม่ใช่ว่าจะไม่อาจจ่ายได้” บุรุษแซ่กุยเบะปากขณะเอ่ย
“พี่หาน เกราะมารเหนือฟ้าชิ้นนี้มีเพียงข้าที่เคยศึกษาถึงจะฝึกฝนได้ ขอแค่เจ้ากับข้าร่วมมือกัน น้องหญิงไม่เพียงกลับไปซ่อมแซมเกราะมารตัวนี้ และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากนี้สองสามร้อยปี ก็ยังคงพาสหายไปมาตามหาต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้แล้วแบ่งให้สหายได้” เซียนเซียนเผยสีหน้าราบเรียบออกมา ดูเหมือนว่าจะมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าหานลี่จะช่วยนาง
ผลคือเหมือนกับที่สตรีผู้นี้คาดเดาเอาไว้ หานลี่แค่ครุ่นคิดไปเล็กน้อย ก็สั่นศีรษะให้กับบุรุษแซ่กุย
“ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ครั้งนี้ผู้แซ่หานไม่อาจไม่ยุ่งได้ หากสหายรู้จักวางตัวละก็ ก็ไปเสียเถิด”
เมื่อได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้ บุรุษแซ่กุยพลันรู้สึกโกรธเกรี้ยว ใบหน้าเผยสีหน้าโหดเ**้ยมออกมา กลิ่นอายโลหิตที่แผ่ออกมาจากเรือนร่างฉุนกึกขึ้นมาหลายส่วน
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ในร่างมีเสียงฟ้าผ่าดังกึกก้อง ประจุไฟฟ้าสีทองเป็นสายๆ ปรากฏออกมา ในเวลาเดียวกันเทวรูปสีทองอ่อนสามหัวหกแขนก็ปรากฏขึ้นที่แผ่นหลังของเขารางๆ
ส่วนใต้ฝ่าเท้านั้นพลันมีกระบี่บินสีเขียวยี่สิบสามสิบเล่มเปล่งแสงสว่างวาบแล้วบินออกมา ลำแสงเย็นเยียบเปล่งแสงเจิดจ้า ดอกบัวสีเขียวผลิกลีบออกมาอย่างแช่มช้า
ส่วนหานลี่นั้นพลันเอาสองมือไพล่หลัง มองบุรุษแซ่กุยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
เซียนเซียนเห็นเช่นนั้น แน่นอนว่าพลันฉีกยิ้มอย่างเบิกบาน
แต่ก็ไม่ได้เคลื่อนไหว แค่พลิกฝ่ามือทั้งสองข้าง มือข้างหนึ่งมียันต์วิเศษสีเขียวปรากฏออกมาแผ่นหนึ่ง ผิวของมันสลักลวดลายกิเลนสีเขียวตัวหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งมีลำแสงสว่างวาบ ธงสีดำปรากฏออกมา
ผิวของทั้งสองล้วนมีอักขระอยู่เต็มไปหมด แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ของธรรมดา
หญิงสาวผู้นี้แค่โบกสะบัดสิ่งของทั้งสอง พายุสีดำลูกหนึ่งและเงาลวงตากิเลนสีเขียวก็ปรากฏขึ้น จากนั้นพลันพลิ้วไหว แล้วผสมรวมกันภายในพริบตา
เงาลวงตากิเลนอาศัยพลังวายุขยายใหญ่ขึ้นสองสามเท่า ปากก็ร้องคำรามต่ำๆ ออกมาไม่หยุด และมองศัตรูที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าถมึงทึง
แม้ว่าบุรุษแซ่กุยจะมีท่าทางดุร้าย ตอนนี้มองเห็นหานลี่และพวกทั้งสองร่วมมือกัน สีหน้าพลันเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก
สำหรับเขาแล้วพลังของหญิงสาวเผ่าผลึกนั้นเขาไม่สนใจ แต่เรื่องที่หานลี่จัดการรังวิญญาณเพียงลำพังเมื่อครู่ กลับทำให้เขาตกใจอยู่ไม่น้อย
เขารู้ตัวเองว่าหากปะทะกันหนึ่งต่อหนึ่งกับรังวิญญาณ ก็มีโอกาสชนะแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นยังถูกร่างแยกของราชามารเหนือฟ้าสิงสู่อยู่
“เยี่ยม เยี่ยมมาก วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล หวังว่าวันข้างหน้าที่จะได้พบกันอีกสหายทั้งสองยังคงปลอดภัยเช่นวันนี้” หลังจากที่แววตาโหดเ**้ยมเปล่งประกายสองสามครั้ง บุรุษแซ่กุยก็เอ่ยอย่างเย็นชาออกมา
จากนั้นเมื่อสิ้นเสียง เขาพลันสะบัดแขนเสื้อไอสีเทาพุ่งออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ชั่วขณะนั้นพลันมีรถวายุประหลาดทรงกรวยแหลมสีแดงโลหิตคันหนึ่งปรากฏขึ้นรางๆ
ร่างของบุรุษแซ่กุยพลันพลิ้วไหว แล้วจมหายเข้าไปในรถ จากนั้นเสียงหวีดร้องก็ดังขึ้น รถวายุกลายเป็นสายรุ้งสีโลหิตสายหนึ่ง พุ่งไปยังขอบฟ้า
หลังจากกะพริบวาบสองสามรอบ ในที่สุดก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
คนผู้นี้กลับเด็ดขาดมาก เมื่อเห็นว่าโอกาสชนะมีไม่มาก ก็หนีไปอย่างไม่ลังเลในทันที
หญิงสาวเผ่าผลึกมีสีหน้าผ่อนคลายลง สองมือพลันร่ายอาคม เงาลวงตากิเลนกลางอากาศสลายหายไป ชั่วขณะนั้นพลันกลายเป็นยันต์วิเศษและธงเล็กๆ ด้ามหนึ่งอีกครั้งแล้วพลันร่อนลงมาด้านล่าง และถูกเก็บกลับไป
จากนั้นสตรีผู้นี้ถึงได้หันกายมาพร้อมกับหัวเราะคิกคัก แล้วคารวะพร้อมกับเอ่ยกับหานลี่ด้วยท่าทีอ่อนช้อย
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณพี่หานที่ทำให้เจ้าอัปลักษณ์นั่นตกใจจนล่าถอยไป มิเช่นนั้นจะได้หนีออกจากที่นี่อย่างเป็นๆ หรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่พูดยาก “
“หึ เจ้าวางใจข้ามากเกินไป ไม่กลัวว่าข้าจะไม่พอใจเจ้า แล้วจัดการเจ้า แล้วใช้เคล็ดวิชาค้นวิญญาณเพื่อเอาเคล็ดวิชาซ่อมแซมเกราะมารหรือ?” หานลี่เหลือบตามองสตรีผู้นั้นแวบหนึ่ง พลางแค่นเสียงหึขณะเอ่ย
“แม้ว่าน้องหญิงและพี่หานจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ก็มั่นใจว่ามองออกว่าสหายไม่ใช่ผู้ที่ไร้เมตตา และยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าพลังยุทธ์ของน้องหญิงจะไม่สูงนัก แต่ก็รู้จักเคล็ดวิชาลับอย่างการค้นจิตวิญญาณอยู่บ้าง ต่อให้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ก็ไม่อาจปล่อยให้ใครได้ข่าวสำคัญไปง่ายๆ” เซียนเซียนไม่สนใจคำพูดของหานลี่เลยสักนิด กลับหัวเราะอย่างเบิกบาน
หานลี่ได้ฟังคำนี้กลับอดที่จะรู้สึกหมดคำพูดไม่ได้
เป้าหมายของการเดินทางของเขาในครั้งนี้คือการซ่อมแซมเกราะมารเหนือฟ้า ไม่ต้องการมีปัญหาอะไรเพิ่มอีก
ส่วนสิ่งของเหนือชั้นอย่างต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้ เขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ยามนี้ก็ไม่มีโอกาสได้มันมาอีก แน่นอนว่าจึงต้องรอกลับไปถามให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยขบคิดอีกทีว่าจะทำอย่างไร และยิ่งไปกว่านั้นราชามารเหนือฟ้าและการกลายพันธุ์ของอสูรวิญญาณครวญก็ทำให้เขารู้สึกว้าวุ่นใจ หลังจากกลับไปต้องศึกษาอย่างละเอียดเช่นกัน
“วัตถุดิบของวานรมารระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้น ข้าจะเอาทั้งหมด” หานลี่ครุ่นคิดรอบหนึ่ง ถึงได้ใช้น้ำเสียงอย่างไม่อาจปฏิเสธได้เอ่ยออกมา
“ไม่มีปัญหา เมื่อกลับไปแล้วนอกจากน้องหญิงจะซ่อมแซมเกราะมารแทนพี่หาน ยังจะส่งของขวัญเช่นเดียวกันให้อีกด้วย เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณเป็นครั้งสุดท้าย” สตรีนามว่าเซียนเซียนผู้นี้เป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาดเป็นอย่างมาก ไม่เพียงจะตอบรับยังเอ่ยสิ่งตอบแทนออกมาเองอีกด้วย
หานลี่เห็นอีกฝ่ายรู้จักวางตัวเช่นนี้ พลันพยักหน้าด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง
“พี่หานการต่อสู้เมื่อครู่ เกรงว่าจะรบกวนมารอสูรอยู่ไม่น้อย พวกเราเองก็รีบไปกันเถิด จะได้ไม่มีปัญหาอะไรเพิ่มอีก” สายตาของเซียนเซียนกวาดไปบนโครงกระดูกที่ไม่สมบูรณ์บนพื้น แววตาฉายแววกลัดกลุ้ม แล้วใช้น้ำเสียงสอบสวนเอ่ยถาม
“อืม เหตุการณ์เมื่อครู่มันยิ่งใหญ่ไปหน่อยจริงๆ พวกเราไปกันเถิด” หานลี่กวาดตามองรอบๆ แล้วเอ่ยเห็นด้วยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
หญิงสาวเผ่าผลึกเผยสีหน้ายินดีออกมา
ทันใดนั้นทั้งสองก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนี กลายเป็นสายรุ้งสีขาวเขียวสองสาย พุ่งไปยังด้านนอกเทือกเขา
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ที่นี่ก็เงียบสงัด ไม่มีเงาร่างผู้ใดอีก
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน หานลี่และพวกทั้งสองก็บินออกมานอกเทือกเขา ลำแสงหลีกหนีหม่นแสง ปรากฏตัวอีกครั้งตรงเทือกเขาที่แยกกับเย่ว์จง
เซียนเซียน ชูมือข้างหนึ่งขึ้นโดยไม่ปริปาก ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเงินสายหนึ่งก็พุ่งออกไป หลังจากหมุนวนอยู่รอบๆ สองสามรอบ กลับเปล่งแสงสว่างวาบแล้วบินกลับมาที่แขนเสื้อ
หญิงสาวผู้นี้หน้าเปลี่ยนสี จากนั้นก็หัวเราะอย่างขมขื่นออกมา แล้วถึงได้หันหน้ามาเอ่ยกับหานลี่
“ไม่ผิดดังที่คาด เกรงว่าสหายเย่ว์จะเพลี่ยงพล้ำไปแล้ว หากผู้ที่ลงมือไม่ใช่ผู้แซ่กุยก็เป็นมารอสูรระดับสูงที่ถูกรังวิญญาณสังหารตัวนั้น หากรู้เช่นนี้ละก็คงไม่สู้ให้สหายเย่ว์เข้าไปในเทือกเขากับพวกเราจะดีกว่า ครานี้ระหว่างทางกลับของพวกเราอาจจะพบกับอันตรายเข้าแล้ว”
“สหายเย่ว์เพลี่ยงพล้ำเป็นเรื่องที่โชคร้ายจริงๆ ทว่าต่อให้เข้าในนั้นกับพวกเรา ก็ไม่อาจเข้าไปในทางเดินไอมารได้ เช่นนั้นก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเพลี่ยงพล้ำได้ ส่วนทางกลับนั้นพวกเราก็กลับไปทางเดิมเถิด ถึงอย่างไรเสียพวกเราก็มารอบหนึ่งแล้ว นับว่าพอเชื่อถือได้” หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย ก็เอ่ยเช่นนี้ออกมา
“ก็มีเพียงต้องทำเช่นนี้ รอช้ามิได้แล้ว พวกเราออกเดินทางกันเถิด” หญิงสาวเผ่าผลึกถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ย
หานลี่พลันพยักหน้า
ทั้งสองกลายเป็นลำแสงหลีกหนีแล้วบินกลับไปทางเดิม
แน่นอนว่าหานลี่และพวกทั้งสองย่อมไม่รู้ว่าห่างจากพวกเขาไปตั้งไม่รู้กี่หมื่นลี้ มีมารอสูรแปลงกายนับร้อยนับพันตัวกำลังพุ่งมาทางหานลี่พร้อมกัน
และผู้นำทัพก็คือมารหลายตาระดับศักดิ์สิทธิ์ตนนั้นและผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความสามารถ มารเขายักษ์สีดำสนิทคู่นั้น ซึ่งมียามว่ามารอสูรร่างมนุษย์อู่ลี่
เขาสวมชุดเกราะสีดำ ใบหน้าดูเหมือนโหดเ**้ยมแต่กลับเคร่งขรึม และบางครั้งก็กวาดสายตาไปที่ไข่มุกสีแดงโลหิตที่กำแน่นอยู่ในมือ
ไข่มุกผิวเรียบที่ที่แต่เดิมควรแวววาว ยามนี้คาดไม่ถึงว่าจะมีรอยแตกตรงใจกลาง และยิ่งไปกว่านั้นลำแสงยังมีท่าทางจะสลายไปจนหมดแล้ว
หลังจากได้ข่าวขอความช่วยเหลือจากจิ่วเยี่ย มารหลายตาระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นก็ไม่อาจแยกตัวได้ แต่เพราะกลัวว่าหานลี่และพวกจะหนีไปจริงๆ จึงส่งเขาไปในทันที และรวบรวมมารอสูรระดับสูงในบริเวณรอบตรงไปยังสัญญาณที่จิ่วเยี่ยทิ้งไว้
แต่เขาเพิ่งจะออกมาได้ไม่นาน สมบัติของสหายร่วมเผ่าพันธุ์ที่เดิมใช้แสดงตำแหน่งก็แตกออกเป็นสองส่วน
นี่จึงทำให้มารอสูรตัวนั้นตกตะลึง
เรื่องที่เกิดเช่นนี้ได้แน่นอนว่าแปดเก้าส่วนก็เป็นเพราะสหายร่วมวิถีที่ไล่ตามไปเพลี่ยงพล้ำแล้ว
เช่นนั้นละก็ จะสกัดอีกฝ่ายได้หรือไม่ เขาก็ไม่มั่นใจจริงๆ
แต่เมื่อนึกถึงแววตาเย็นเยียบก่อนออกเดินทาง ‘เจ้านาย’ ของตนเองผู้นั้น
ก็ยิ่งทำให้ ‘อู่เยี่ย’ สั่นสะท้านตามสัญชาตญาณ
เขาไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย หากตอนนี้ตนเองอาศัยข้อแก้ตัวนี้กลับไปอยู่ข้างกายเขา จะต้องถูกฉีกออกเป็นสองส่วนทันที
เมื่อครุ่นคิดเช่นนี้มารอสูรตัวนี้ก็ร้อนใจ ชั่วขณะนั้นปากพลันเปล่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมา เร่งความเร็วของมารอสูรด้านหลัง
ชั่วขณะนั้นเสียงวายุมารพลันดังสนั่น มารอสูรทั้งหมดพลันหมุนวน ความเร็วเพิ่มขึ้นสองส่วน
……
เหนือยอดเขาที่ดูเหมือนธรรมดาตรงชายแดนของเทือกเขามารสีทอง มีคนสี่คนกำลังยืนกรานอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน
ด้านหนึ่งเป็นชายชราผมสีดอกเลาและหญิงสาวสวมชุดชาววัง อีกด้านหนึ่งคือชนต่างเผ่าหน้าเหลี่ยมเรือนผมสีเขียวมรกต รวมทั้งชายร่างใหญ่ร่างกายผ่ายผอมที่ดูห้าวหาญ
ทั้งสี่คนล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม ใช้สายตาไม่เป็นมิตรมองอีกฝ่าย
“ที่นายท่านมาก็เพราะอยากไล่พวกเราสองคนสินะ ไม่คิดว่ามันบ้าเกินไปหรือ?” ชายชราก็คือผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เหยียนในหอเมฆาอัสนีวันนั้น เอ่ยปากด้วยสีหน้าราบเรียบ
“หึ ข้าสนใจที่นี่ ต้องเข้าไปตรวจสอบ ไม่อยากให้ใครมารอผลพลอยได้อยู่ใต้ต้นไม้” ชายผมสีเขียวย่อมเป็นชนต่างเผ่าระดับหลอมสุญตาที่เสียเปรียบให้หานลี่ ยามนี้พลันเอ่ยขึ้นอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
“พวกเจ้าเองรังแกกันเกินไปแล้ว พวกเราหาที่นี่เจอก่อน มีสิทธิ์อะไรต้องยอมให้พวกเจ้า” หญิงสาวชุดชาววังได้ยิน พลันโกรธเกรี้ยวขึ้นมา
“มีสิทธิ์อะไร? พวกเราที่อยู่ที่นี่ แน่นอนว่าผู้ใดกำปั้นใหญ่ ผู้นั้นย่อมเป็นผู้กำหนดเหตุผล หากเจ้าไม่ถอยก็ได้ เช่นนั้นก็ให้ข้าประลองกับพวกเจ้าสักหน่อย หากเอาชนะข้าได้ หุบเขาแห่งนี้ย่อมเป็นของพวกเจ้า มิเช่นนั้นละก็ ก็รีบไปให้ไกลจากข้า” ชนต่างเผ่าผมสีเขียวมีจิตสังหารฉายแวบผ่าน พลางเอ่ยอย่างโหดเ**้ยม
คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทีไม่เป็นมิตรตั้งแต่คำแรก ท่าทางหมายจะลงมือ
“เหตุใดนายท่านต้องรีบร้อนลงมือด้วย คนตรงๆ ไม่พูดจาลับหลัง สหายร้อนใจรีบไล่เราสองคนเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมเป็นเพราะจานอาคมในมือมีปฏิกิริยาต่อหุบเขาแห่งนี้ แต่จานอาคมมีปฏิกิริยาตอบสนอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้างในจะมีเห็ดเซียนซ่อนอยู่ เรื่องเข้าใจผิดเช่นนี้ ก็เหมือนกับวันก่อน สหายน่าจะเคยมีประสบการณ์มาแล้วลายครั้ง เช่นนั้นละก็ไม่สู้เข้าไปค้นหาด้วยกันสักรอบ หลังจากมั่นใจแล้วพวกเราค่อยตัดสินกันเป็นอย่างไร มิเช่นนั้นผู้แซ่เหยียนก็ไม่มีทางจากไปเช่นนี้แน่ คงทำได้เพียงต้องประลองกับนายท่านสักตั้ง” ชายชราแซ่เหยียนกลับเยือกเย็นเป็นอย่างมาก พลางเอ่ยอย่างราบเรียบ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น