พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1635-1640
บทที่ 1635 ข้าพูดคำไหนคำนั้น
เหมียวอี้วางระฆังดาราในมือลง ทางโค่วเจิงส่งข่าวมากำชับเขาแล้ว บอกเขาว่าอย่าเพิ่งทำซี้ซั้ว ให้รักษาตัวเองให้ปลอดภัยแล้วรอให้ตนไปถึง
ชำเลืองมองชางหงที่กำลังจ้องตนด้วยสายตาคับแค้นใจแวบหนึ่ง เหมียวอี้ไม่สนใจนางอีก ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ถ้าสู้กกันขึ้นมาจริงๆ เขาก็ไม่เห็นผู้หญิงพวกนี้อยู่ในสายตาเลย ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีประโยชน์ให้ใช้งานอยู่ มีหรือที่จะพัวพันอยู่กับพวกนาง เวลาโมโหขึ้นมาก็อาจจะกำจัดทิ้งหมดเลยก็ได้
หันกลับไปเอียงหน้าบอกใบ้เหยียนซิวเล็กน้อย เหยียนซิวจึงเรียกเมี่ยวฉุนออกมา แล้วคลายผนึกบนตัวเมี่ยวฉุน
พอลบผนึกออก เมี่ยวฉุนก็พลันลืมตาขึ้น แววตาของนางบางครั้งก็ดุร้าย บางครั้งก็อ่อนโยน บนใบหน้าก็ยิ่งสื่ออารมณ์ที่หลากหลายปนกัน ตัวสั่นพลางเอามือกุมศีรษะ ควบคุมอารมณ์ตัวเองลำบาก เห็นได้ชัดว่าควบคุมตัวเองได้ยากแล้ว
เหมียวอี้ส่ายหน้าเบาๆ เหยียนซิวทำได้เพียงลงมือควบคุมเมี่ยวฉุนเอาไว้อีกครั้ง
ไม่ใช่ว่าเหมียวอี้คลายเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาบนตัวเมี่ยวฉุนไม่ได้ และไม่ใช่ว่าลงมือช่วยไม่ได้ แต่ถ้าช่วยแล้วก็อาจจะนำความยุ่งยากมาให้ตัวเอง การใช้เคล็ดวิชาฝึกตนกำจัดเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในร่างกายให้อีกฝ่าย นั่นไม่ใช่สิ่งที่เคล็ดวิชาธาตุไฟทั่วไปสามารถทำได้ จะทำให้คนสงสัยได้ง่ายมาก
ทำไมเขากับเหยียนซิวจึงไม่ได้รับผลกระทบจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาน่ะเหรอ สิ่งนี้อธิบายได้ง่ายมาก อย่างมากก็บอกไปว่าเหมียวอี้ใช้เคล็ดวิชาธาตุไฟปกป้องทั้งสองเอาไว้ก่อนแล้ว ตอนนั้นกำลังรีบร้อนฉุกละหุก จึงดูแลไม่ทั่วถึงเมี่ยวฉุน และด้วยสภาพอย่างนั้นของเมี่ยวฉุน คาดว่าก็คงจะไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจนเช่นกัน
ดังนั้นหากต้องการจะช่วยเมี่ยวฉุน ก็ต้องไม่ใช่เขาที่เป็นคนช่วย นี่ก็คือเหตุผลที่เขาเสียเวลาอยู่กับพวกชางหง
พอพวกชางหงเห็นว่ามีนักบวชหญิงคนหนึ่งตกอยู่ในมือทั้งสอง แต่ละคนก็ทำสีหน้าคับแค้นทันที ชางหงตะคอกถามว่า “ทำไมถึงจับตัวคนสำนักพุทธของข้า?”
เหมียวอี้เหล่ตาตอบว่า “ตัวก็ถูกมัดไว้แล้ว ปากยังอยู่ไม่สุขอีก ตรงนี้ใช่ที่พูดของเจ้าเหรอ?”
“เจ้า…” ชางหงโมโหแล้ว รู้สึกอยากจะหนีจากการถูกมัดแล้วไปสู้ตายกับเหมียวอี้
“ศิษย์พี่หง” ชางลั่วดึงนางไว้ บอกใบ้ว่าด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ คงไม่ดีถ้าเท่านจะทำอะไรอีก แล้วตัวเองก็พูดแทน “แม่ทัพภาคหนิว พวกเจ้าทำอะไรกับนาง?”
“ทำไมนางถึงกลายเป็นแบบนี้ พวกเจ้าก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ทำไมต้องมาแกล้งโง่ตรงนี้ด้วย” เหมียวอี้ถามกลับ
ชางลั่วจึงกล่าวอย่างคร่งขรึมจริงจัง “พวกอาตมาจะไปรู้ได้อย่างไร…” แต่ยังไม่ทันพูดจบก็ต้องหยุดชะงักแล้ว
เหยียนซิวเก็บเมี่ยวฉุนเอาไว้ แล้วดึงอวิ่นหมิงที่มีสภาพสะบักสะบอมออกมาอีก ปฏิบัติกับอวิ่นหมิงอย่างไม่เกรงใจ โยนลงมากระแทกพื้นโดยตรง แล้วถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “บนตัวเขาไม่มีสิ่งของอะไรที่สามารถพิสูจน์ตัวตนเขาได้เลย”
เมื่อครู่นี้เพิ่งจะเห็นนักบวชหญิงถูกจับตัว ตอนนี้เห็นนักบวชชายโดนจับอีกแล้ว ทั้งยังมีสภาพอนาถกว่าด้วย ชางหงและบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องก็ทำสีหน้าโกรธเคืองทันที พวกนางพบว่าหนิวโหย่วเต๋ออาศัยที่ตัวเองมีอ๋องสวรรค์โค่วหนุนหลัง จึงไม่มองว่าคนสำนักพุทธเป็นคนแล้ว คนของตำหนักสวรรค์มีสิทธิ์อะไรถึงถ่อมาพาลเกเรที่แดนสุขาวดี!
และสิ่งที่ยิ่งทำให้นักบวชสำนักหลัวช่าอับอายจนโมโหก็คือ เหมียวอี้ใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบหน้าอกอวิ่นหมิงแล้ว เหยียบติดพื้นเอาไว้แนบแน่น
“แม่ทัพภาคหนิว แดนสุขาวดีไม่ใช่สถานที่ที่ตำหนักสวรรค์อย่างพวกเจ้าจะมาพาลเกเรได้ตามอำเภอใจ อย่านึกนะว่าเป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วแล้วจะทำตามใจได้!” ครั้งนี้
ชางลั่วก็ข่มไฟโกรธไม่ไหวแล้วเช่นกัน เตือนอย่างเย่อหยิ่งไร้มารยาทมาก
เหมียวอี้ขี้คร้านจะสนใจนาง ดึงกระบี่วิเศษมาไว้ในมือ คมกระบี่จ่ออยู่บนใบหน้าอวิ่นหมิง แล้วถามเสียงเรียบว่า “บอกมา! ทำไมเจ้าถึงวางกับดักลอบสังหารข้า?”
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ ใบหน้าโกรธแค้นของบรรดาศิษย์สำนักหลัวช่าก็ชะงักทันที ลอบสังหาร? พระรูปนี้ลอบสังหารหนิวโหย่วเต๋อเหรอ? ลอบสังหารลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วเนี่ยนะ? จะเป็นไปได้อย่างไร?
อวิ่นหมิงกลับยิ้มอ่อน ราวกับมองความตายเป็นบ้านหลังสุดท้ายของชีวิต “ตกอยู่ในมือเจ้าแล้ว อาตมาไม่หวังว่าจะได้มีชีวิตต่อไปหรอก เหตุใดต้องพูดให้มากความ”
เขารู้แล้วว่าครั้งนี้ตัวเองไม่มีทางรอดเลย ไม่ว่าจะเป็นฝั่งตำหนักสวรรค์หรือฝั่งแดนสุขาวดีก็จะลงโทษเขาเพื่อไม่ให้มีใครเอาเยี่ยงอย่าง ไม่หวังว่าจะโชคดีรอดชีวิตอะไรทั้งนั้น
ปลายกระบี่กรีดบนใบหน้าของอวิ่นหมิงช้าๆ จนมีรอยเลือดซึมออกมาราวกับปักลายดอกไม้ไว้บนผ้า เหมียวอี้กล่าวเย็นชา “มาถึงขั้นนี้แล้ว ปากแข็งต่อไปยังจะมีความหมายอีกเหรอ? ข้าได้ยินไป่ลิ่มที่ดาวฮุ่ยหลินเรียกหนึ่งในพวกเจ้าว่า ‘อวิ่นกวง’ คนใกล้ตายมักจะพูดความจริงจากใจ เดาว่าไป่ลิ่วคงไม่ได้หลอกข้าหรอก มีชื่อนี้อยู่แล้ว เจ้านึกว่าข้าจะสืบไม่เจอเหรอว่าพวกเจ้าเป็นใคร? เจ้าตกอยู่ในมือข้าแล้ว นึกว่าข้าจะสืบประวัติเจ้าไม่เจอเชียวเหรอ?”
อวิ่นหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไปสืบหาเอาเถอะ ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองคำพูด อาตมารู้ตัวไม่มีทางรอดแล้ว ปล่อยให้อาตมาไปสบายเถอะ”
เหมียวอี้จึงบอกว่า “ประเด็นสำคัญก็อยู่ตรงนี้แหละ เจ้าทำให้ข้าไม่สบายใจ ข้าจะทำให้เจ้าทรมานยิ่งกว่าตาย ทำเจ้าอยู่อย่างทรมานจนต้องร้องขอความตาย อยากจะลองมั้ยล่ะ?” คมกระบี่จ่ออยู่ด้านบนของลูกตาเขาแล้ว ท่าทางเหมือนจะจิ้มลงมาได้ทุกเมื่อ
อวิ่นหมิงพลันเงียบลงทันที จากนั้นผ่านไปนานถึงได้ถามอีกว่า “เจ้าพูดคำไหนคำนั้นหรือเปล่า?”
ไม่ว่าใครก็ฟังออกว่าเขากำลังจะยอมเปิดปากแล้ว แต่สาเหตุไม่ใช่เพราะกลัวตายหรือไม่กลัวตาย แต่พอลองเปลี่ยนความคิด ก็รู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบังอีก ไข่มุกห้ามังกรก็ตกอยู่ในมืออีกฝ่ายแล้ว ประวัติของเขาก็สืบได้ไม่ยากเลย สำนักหนีหายนะครั้งนี้ไปไม่พ้น เกรงว่าท่านอาจารย์ที่ติดต่อคนไม่ได้คงจะ…การที่เขาถ่วงเวลาจนถึงตอนนี้แล้วค่อยเปิดปากพูด ก็นับว่าให้เวลากับสำนักเพียงพอแล้ว นับว่าทำดีที่สุดแล้ว ถ้าจะให้ทรมานเพราะสิ่งนี้อีกก็ไม่คุ้มค่า อีกทั้งในใจเขาก็มีความคับแค้นอยู่เช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะถูกตระกูลอิ๋งกดดัน ก็คงไม่เดินมาถึงจุดนี้ เขาหวังว่าตระกูลโค่วจะสามารถทำให้ตระกูลอิ๋งอยู่อย่างอิสระไม่ได้
“ขอเพียงเจ้าพูดความจริงออกมา ข้าก็จะปล่อยให้เจ้าไปสบาย” เหมียวอี้กล่าว
“เจ้าอยากจะรู้อะไรล่ะ?” อวิ่นหมิงถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “พวกเจ้าเป็นใคร ทำไมถึงวางแผนทำร้ายข้า?”
“ศิษย์ของพระอรหันต์ตัวลี่ ได้รับคำสั่งจากท่านอาจารย์ให้มาโปรดเจ้า” อวิ่นหมิงตอบ
เมื่อตอบมาแบบนี้ บรรดาศิษย์ของสำนักหลัวช่าก็ตกใจไม่หยุด ถึงไม่ถึงว่าที่แดนสุขาวดีจะมีคนลงมือลอบสังหารลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วแล้วจริงๆ และคนที่แอบดำเนินการเรื่องนี้ก็คือพระอรหันต์ผู้สง่าผ่าเผย
“พระอรหันต์ตัวลี่?” เหมียวอี้ขมวดคิ้วครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ข้ากับอาจารย์เจ้ามีความแค้นต่อกันเหรอ?”
อวิ่นหมิงตอบว่า “เจ้ากับอาจารย์ข้าไม่มีความแค้นต่อกัน แต่เจ้ามีความแค้นกับตระกูลอิ๋ง ในงานวันเกิดของพระโพธิสัตว์หลันเย่ อิ๋งหยางลูกหลานของตระกูลอิ๋งแนะให้ท่านอาจารย์ลงมือกับเจ้า แต่ท่านอาจารย์ปฏิเสธไป ทว่าท่านอาจารย์ถูกตระกูลอิ๋งบีบจุดอ่อนเรื่องที่ดำเนินกิจการอยู่ในตลาดสวรรค์ไว้แล้ว ด้วยความที่ถูกตระกูลอิ๋งบีบบังคับ ท่านอาจารย์ถึงได้เดินมาถึงขั้นนี้ ส่งลูกศิษย์ห้าคนให้ติดตามเจ้ามาตลอดทางเพื่อหาโอกาสลงมือ ส่วนเรื่องในตอนหลังเจ้าก็เห็นแล้ว”
เป็นตระกูลอิ๋งอีกแล้วเหรอ? ไฟโกรธพลันเดือดปุดขึ้นมาในใจเหมียวอี้ จดจำชื่อ ‘อิ๋งหยาง’ เอาไว้แล้ว
ที่จริงก่อนหน้านี้เขาก็สงสัยนิดหน่อยว่าคงไม่พ้นพวกคนใหญ่คนโตฝั่งตำหนักสวรรค์ ตอนที่เขาอยู่ตำหนักสวรรค์ก็แทบจะไม่ได้คบค้ากับคนสำนักพุทธเลย ไม่มีความแค้นอะไรกับฝั่งแดนสุขาวดีจริงๆ ทั้งยังไม่ได้ขัดผลประโยชน์อะไรกันด้วย คนสำนักพุทธไม่จำเป็นต้องหาเรื่องเขา ต่อให้เป็นคนโง่ก็รู้ว่าหลังจากลงมือกับเขาแล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปง ถ้าไม่ใช่คนที่ใช้อำนาจกดดันคนฝั่งนี้ได้พอสมควร ก็ไม่มีทางบีบให้คนฝั่งพุทธมาเสี่ยงอันตรายแบบนี้ได้
เมื่อได้รับคำตอบนี้ ก็บอกได้เพียงว่าได้พิสูจน์การคาดเดาในใจเขาแล้ว แน่นอน เขาเองก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือโกหก เป็นไปได้เช่นกันว่าจะเสี้ยมเขาควายให้ชนกัน
“สำนักฮุ่ยหลินก็ร่วมทำเรื่องนี้ด้วยเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับสำนักฮุ่ยหลิน ถ้าจะเกี่ยวก็เกี่ยวกับไป่ลิ่วแค่คนเดียว…” อวิ่นหมิงไม่ปิดบัง เล่าเรื่องนี้อย่างละเอียดราวกับเทถั่วลงในกระบอกไม้ไผ่
ขณะที่บรรดาศิษย์ของสำนักหลัวช่าฟังจนทอดถอนใจไม่หยุด จู่ๆ เหมียวอี้ก็ชี้กระบี่ไปที่พวกนางอีก “แล้วพวกเจ้าล่ะ? พวกนางเป็นพวกเดียวกับพวกเจ้าหรือเปล่า?”
สาเหตุที่เขาจงใจสาดโคลน สาเหตุแรกก็เป็นเพราะอยากจะให้สำนักหลัวช่าเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ สาเหตุรองก็เพราะอยากแกล้งให้ผู้หญิงพวกนี้รู้สึกรังเกียจ แล้วก็ยังมีจุดประสงค์อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คืออยากจะทดสอบว่าอวิ่นหมิงกำลังทำหม้อชำรุดให้ตกแตก[1] จงใจกัดซี้ซั้วไปทั่วหรือเปล่า
บรรดาศิษย์สำนักหลัวช่าได้ยินแล้วอึ้งทันที
โชคดีที่หลังจากอวิ่นหมิงเปลืองแรงหันไปมองแวบหนึ่ง ก็ช่วยมอบความบริสุทธิ์ให้พวกนางแล้ว “อาตมาไม่รู้จักพวกนาง ไม่รู้ว่าพวกนางเป็นใคร แต่ศิษย์สำนักพุทธของแดนสุขาวดีที่สามารถแต่งตัวอย่างนี้ได้ เดาคงไม่มีสำนักที่สองแล้ว เหมือนจะเป็นนางมารสวรรค์ศิษย์สำนักหลัวช่า”
พวกสำนักหลัวช่าโล่งใจทันที ถ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องลอบสังหารลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วจริงๆ ถ้าพยานยืนกรานให้การแบบนั้น ก็จะเกิดปัญหาใหญ่แล้ว ต่อให้จะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ก็จะถูกสอบสวนอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นกัน ต่อให้ไม่ได้แต่ก็หนังหลุด
“ไม่ใช่พวกเดียวกับพวกเจ้าจริงเหรอ? แล้วทำไมพวกนางถึงวางแผนจะทำร้ายข้า?” เหมียวอี้ถามยืนยันอีกครั้ง
ชางลั่วที่อยู่ตรงข้ามกล่าวเสียงดังทันทีว่า “แม่ทัพภาคหนิว พวกเราพูดไว้ชัดเจนแล้วว่าทำไมต้องล้อมเจ้าไว้ พวกเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนคนนี้”
“จะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะตัดสิน ต้องตรวจสอบก่อนถึงจะรู้” เหมียวอี้กล่าว
คำพูดของเขานั้นไม่ผิด กลุ่มศิษย์สำนักหลัวช่าที่มาขวางไว้เถียงไม่ออก
“สิ่งที่ข้ารู้ก็มีเพียงเท่านี้ โยมหนิวรักษาสัญญาได้หรือไม่?” อวิ่นหมิกลับมีเรื่องถาม
“ข้าพูดคำไหนคำนั้น!”
เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ ไม่แม้แต่จะมองเขาด้วยซ้ำ ยกมือขึ้นแล้วแทงกระบี่ยาวลงไป เสียงดังฉึก เสียบเข้าไปตรงหว่างคิ้วอวิ่นหมิง ทะลุหัวกระโหลกแล้ว
กระบี่ยาวตอกลงบนพื้นพร้อมร่างคน
อวิ่นหมิงเบิกตากว้าง เหมือนเขาจะคาดไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะเด็ดขาดตรงไปตรงมาขนาดนี้ ร่างกระตุกสองสามครั้งก่อนจะค่อยๆ แน่นิ่งไป เลือดจากศีรษะไหลย้อยลงมา
เหมียวอี้ย้ายเท้าที่เหยียบบนหน้าอกเขาออกไปแล้ว มือที่จับด้ามกระบี่ก็คลายออกแล้วเช่นกัน
ถ้าถามว่าทำไมเขาถึงเด็ดขาดรวดเร็วขนาดนี้ ก็เป็นเพราะอวิ่นหมิงเห็นเองกับตาว่าแล้วว่าเหยียนซิวใช้เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง บางทีอวิ่นหมิงอาจจะไม่รู้จักเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางก็ได้ แต่จะต้องมีคนรู้แน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่ปล่อยให้อวิ่นหมิงตกอยู่ในมือคนอื่นแล้วพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป เหตุผลก็เรียบง่ายแบบนี้
บรรดาศิษย์ของสำนักหลัวช่าที่อยู่แดนสุขาวดีก็เคยได้ยินเรื่องความโหดหนิวโหย่วเต๋อมาก่อนเช่นกัน ได้ยินว่าสังหารคนของตระกูลผู้มีอำนาจตายจนเลือดนองเป็นแม่น้ำที่ตลาดสวรรค์ วันนี้นับว่าทำให้พวกนางได้เข้าใจถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘สมคำร่ำคือ’ แล้ว แค่ดูจากกระบี่ที่สังหารอย่างไม่ทันตั้งตัวก็รู้แล้ว
เมื่อได้เห็นฉากนี้กับตาตัวเอง ตอนนี้บรรดาศิษย์ของสำนักหลัวช่าก็เริ่มสงสัย ว่าอาจจะเป็นการเข้าใจผิดกันจริงๆ หรือเปล่า หนิวโหย่วเต๋อคนนี้กำลังหลบหนีการไล่สังหาร จะมีอารมณ์ถ่อมาขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัวที่ดาวพิษได้อย่างไร ดีไม่ดีผู้ต้องสงสัยตัวจริงอาจจะฉวยโอกาสหนีไปแล้วก็ได้ กลับถูกพวกเขาทำให้บังเอิญมาเจอกับท่านนี้แทน
แต่มีเพียงชางหงที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจ้องเหมียวอี้ ไม่ยอมเปลี่ยนเป้าหมายผู้ต้องสงสัย
เหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อโค่วเจิงอีกครั้ง แล้วรายงานสถานการณ์ที่ถามได้จากฝั่งนี้ให้ฟัง
โค่วเจิงยังคงอยู่ระหว่างทาง หลังจากได้รู้สถานการณ์แล้วก็รายงานต่ออ๋องสวรรค์โค่วทันที ส่วนอ๋องสวรรค์โค่วก็ติดต่อไปทางแดนสุขาวดีเช่นกัน ต้องการจะจับพระอรหันต์ตัวลี่
ฝั่งแดนสุขาวดีค่อนข้างตกตะลึงเมื่อได้รู้ข่าว นึกไม่ถึงว่าพระอรหันต์จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ สะเทือนไปถึงประมุขพุทธะ ฝั่งเขาหลิงซานออกคำสั่งให้ไปจับตัวคนมาทันที
…………………………
[1] ทำหม้อชำรุดให้ตกแตก 破罐子 破摔 อุปมาว่าทำให้เรื่องเลวร้ายกว่าเดิม
บทที่ 1636 พระโพธิสัตว์เม่ยจี
ทว่าฝั่งเหมียวอี้ก็ถ่วงเวลาให้ยาวขึ้นแล้วจริงๆ ไม่เพียงแค่ทำให้พระอรหันต์ตัวลี่หนีไปจนไร้เงา ศิษย์ของพระอรหันต์ตัวลี่ก็หนีไปหมดแล้วเช่นกัน ผู้บังคับใช้กฎไปแล้วคว้าน้ำเหลว จับได้เพียงเณรน้อยจำนวนหนึ่งที่ไม่รู้สถานการณ์อะไรเลย
ที่จริงพระอรหันต์ตัวลี่อยากจะหนีไปคนเดียวก็ไม่เป็นไร เพราะเขาก็หนีไปค้นเดียวจริงๆ แต่ระหว่างทางที่หลบหนีเกิดนึกถึงศิษย์เหล่านั้นขึ้นมา ถ้าตัวเองหนีไปคนเดียวก็เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อศิษย์ในสำนัก จึงรอให้ตัวเองไปถึงสถานที่ปลอดภัยก่อน แล้วค่อยติดต่อไปสารภาพบาปกับลูกศิษย์ ให้ทุกคนหนีให้เร็วที่สุด
ทว่าการกระทำของพระอรหันต์ตัวลี่ก็เท่ากับยอมรับแล้วว่าทำเรื่องลอบสังหารหนิวโหย่วเต๋อ ไม่อย่างนั้นจะทำตัวเป็นวัวสันหลังหวะอย่างนี้ทำไม? ไม่ต้องสอบสวนอะไรแล้วจริงๆ ฝั่งเขาหลิงซานเดือดดาลมาก สืบสาวราวเรื่อง ติดตามจับกุม!
เรื่องพวกนี้เอาไว้พูดต่อทีหลัง เพราะตอนนี้เหมียวอี้กำลังถูกศิษย์สำนักหลัวช่าล้อมไว้ แต่เขาก็ไม่ได้กังวล เพียงนั่งสมาธิฝึกตนอยู่บนพื้น โดยมีเหยียนซิวเฝ้าระแวดระวังคุ้มกันอยู่ข้างกาย
“นายท่าน!” ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว จู่ๆ เหยียนซิวก็ถ่ายทอดเสียงเตือน
เหมียวอี้ลืมตาขึ้นและลุกขึ้นยืน พระโพธิสัตว์หลันเย่มาด้วยตัวเองแล้ว มีศิษย์หลายคนติดตาม หวยอวี้ที่เป็นหนึ่งในนั้นค่อนข้างเคารพเกรงกลัว
จะไม่ให้หวยอวี้เกรงกลัวก็คงไม่ได้ เบื้องบนสืบเจอตั้งแต่ครั้งแรกว่าพระอรหันต์ตัวลี่ไปที่ดาวหลันเย่ จึงถ่ายทอดคำสั่งมาให้พระโพธิสัตว์หลันเย่ ว่าถ้าหากพระอรหันต์ตัวลี่อยู่ด้วย ก็ให้ควบคุมตัวทันที เท่ากับเปิดโปงเรื่องของพระอรหันต์ตัวลี่ที่ดาวหลันเย่ออกมาในรวดเดียว ตอนนี้หวยอวี้ถึงได้เข้าใจว่าทำไมก่อนหน้านี้พระอรหันต์ตัวลี่ถึงถามเรื่องหนิวโหย่วเต๋อกับนางบ่อยมาก ที่แท้ตัวเองก็กลายเป็นฆาตรกรสมทบโดยไม่รู้ตัวแล้ว เขาหลิงซานเดือดดาลมาก จะไม่ให้นางเกรงกลัวได้อย่างไร?
แต่ฝั่งดาวหลันเย่ไม่รู้แม้กะทั่งว่าพระอรหันต์ตัวลี่ไปเมื่อไร พอไปดูที่เรือนพักแขกของพระอรหันต์ตัวลี่ ถึงได้รู้ว่าพระอรหันต์ตัวลี่ไปแล้ว ไม่ได้บอกใครทั้งนั้น พระโพธิสัตว์หลันเย่จึงตำหนิหวยอวี้อย่างโมโหไปยกหนึ่ง จากนั้นก็นำคนตามมาด้วยตัวเองทันที
ไม่ให้ออกหน้าเองคงไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าฝั่งเขาหลิงซานเดือดดาลแล้ว อ๋องสวรรค์โค่วส่งลูกเขยมาร่วมอวยพรวันเกิดก็นับว่าเห็นแก่หน้าเจ้า ปรากฏว่าฝ่ายเจ้ากลับกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดจะเอาชีวิตลูกเขยเขยเขา ฝั่งเขาหลิงซานยังคุยง่ายหน่อย เพราะมีพุทธะจิ้งฮวาอยู่ ประเด็นสำคัญคือไปมีเรื่องกับอ๋องสวรรค์โค่วท่านนั้นไม่ไหว เพราะระบบไม่เหมือนฝั่งแดนสุขาวดี ท่านนั้นเป็นบุคคลที่มีอำนาจมากจริงๆ กุมอำนาจทางทหารไว้เยอะมากที่ตำหนักสวรรค์ แม้แต่ประมุขชิงและประมุขพุทธะยังไม่กล้าทำอะไรเขาง่ายๆ เลย คนที่มีกำลังทหารของตัวเองอย่างนี้ แค่ออกคำสั่งคำเดียวก็ทำให้พระโพธิสัตว์หลันเย่เสียหายยับเยินได้แล้ว
ดังนั้นตามหลักเหตุผลแล้วจึงต้องออกหน้าด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องให้คำอธิบาย อย่างน้อยก็จะต้องมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ตัวเองสักหน่อย แสดงให้เห็นว่าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
“นมัสการพระโพธิสัตว์”
ไม่เพียงแค่เหมียวอี้เท่านั้น แม้แต่บรรดาศิษย์ของสำนักหลัวช่าก็ทำความเคาพพร้อมกัน
หลังจากหลันเย่ประนมมือ ก็มองตรงไปที่เหมียวอี้พร้อมถามว่า “แม่ทัพภาคหนิว ได้ยินว่าเมี่ยวฉุน ศิษย์ของหวยอวี้อยู่ในมือเจ้า?”
“ใช่แล้ว!” เหมียวอี้พยักหน้า แล้วเอียงหน้าบอกใบ้เหยียนซิว จากนั้นเหยียนซิวก็เรียกเมี่ยวฉุนที่มีสภาพผิดปกติออกมา เหมียวอี้อธิบายว่า “ตอนที่ติดกับดัก ข้าฉุกละหุกอยู่กับการปกป้องตัวเอง เลยดูแลนางไม่ทั่วถึง จึงทำให้ถูกเจ็ดอารมณ์หกปรารถนารุกัดกิน แต่โชคดีที่สุดท้ายก็รักษาชีวิตนางไว้ได้ รอกำจัดเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในร่างกายทิ้งไปก็ไม่น่าจะเป็นอะไรแล้ว”
“ขอบคุณมาก!” หลันเย่ก้มหน้า แล้วเอียงหน้าบอกใบ้หวยอวี้อีก ให้นางไปรับตัวคนมา
หวยอวี้ก้าวขึ้นมาข้างหน้า แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้กลับยื่นมือออกมาขวาง “คนบาดเจ็บเพราะข้า เรื่องรักษาย่อมเป็นสิ่งที่ข้าพึงปฏิบัติ”
เหยียนซิวเก็บเมี่ยวฉุนกลับมาทันที
พระโพธิสัตว์หลันเย่จึงกล่าวว่า “อาตมารับรู้ถึงน้ำใจของแม่ทัพภาคหนิวแล้ว เพียงแต่นี่เป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนั้น สำนักย่อมรักษาเองได้”
เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ แล้วพูดเปิดเผยตรงๆ เสียเลยว่า “หนิวไม่กล้าไม่ไว้หน้าพระโพธิสัตว์หรอก เพียงแต่คนทางบ้านบอกมา ว่าเมี่ยวฉุนเป็นพยานบุคคล ถ้าคนที่บ้านยังมาไม่ถึง หนิวก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจว่าจะส่งคนให้ใคร พระโพธิสัตว์ได้โปรดเข้าใจ”
เขาไม่ได้พูดซี้ซั้วขึ้นมาเอง ก่อนหน้านี้โค่วเจิงก็บอกไว้อย่างนี้ ถ้าในมือไม่มีพยาน เกรงว่าถึงตอนนั้นจะเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรก็ยังไม่รู้ชัดเลย
พระโพธิสัตว์หลันเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในเมื่อเป็นประสงค์ของตระกูลโค่ว นางก็ไม่สะดวกจะบังคับขอแล้ว ทำได้เพียงโบกมือให้หวยอวี้ถอยไป ยังไม่ต้องทำอะไร รอให้คนของตระกูลโค่วมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ทางนี้รออยู่ไม่นาน บรรดาศิษย์ของสำนักหลัวช่าก็ทำสีหน้าซาบซึ้งใจ รีบจัดแถวยืนรอ
พวกเหมียวอี้มองตามพวกนาง เห็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งเหาะมาจากท้องฟ้า เหาะลงมาพร้อมกระโปรงที่ปลิวพลิ้ว ตรงกลางมีเตียงเตี้ยพร้อมมุ้งบางหลังหนึ่ง เห็นภาพผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนอนเอนกายอยู่ในนั้นรางๆ
เหมือนเคยเห็นฉากนี้มาก่อน ทำให้เหมียวอี้เหม่อลอยเล็กน้อย ในหัวปรากฏภาพที่เจอกับอวิ๋นจือชิวครั้งแรกในปีนั้น หลังจากได้พบกันโดยบังเอิญที่วัดเมี่ยวฝ่าครั้งนั้น ใครจะไปคาดคิดว่าจะได้แต่งงานกัน? ตอนหลังอวิ๋นจือชิวก็เคยบอกเช่นกัน ว่าถ้าไม่ใช่เพราะทั้งสองเคยเจอกันที่วัดเมี่ยวฝ่า พอเจอกันเหมียวอี้ก็หนีไปแล้ว ในภายหลังตอนที่เหมียวอี้ไปโรงเตี๊ยมเมฆาวายุ นางก็คงจะแค่ปฏิบัติกับเหมียวอี้เหมือนคนทั่วไปเท่านั้น ระหว่างทั้งสองก็ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรตามมาทีหลังเลย ยิ่งไม่มีทางที่จะกลายเป็นสามีภรรยากันด้วย
วาสนาเป็นสิ่งที่อธิบายได้ไม่ชัดเจนจริงๆ พอนึกถึงปีนั้นที่เห็นอวิ๋นจือชิวแต่งตัวเย้ายวนเหมือนชาวป่าเดินเนิบนาบออกมาจากเกี้ยว เหมียวอี้ก็รู้สึกอบอุ่นในใจ มุมากอมยิ้มเล็กน้อย จู่ๆ ก็คิดว่าอยากจะกลับไปกอดเอาใจผู้หญิงคนนั้นเร็วๆ หน่อย บางทีอาจจะลองให้อวิ๋นจือชิวแต่งตัวเหมือนในปีนั้นอีกสักครั้ง
พอม่านมุ้งแหวกออก เท้าเปลือยที่ขาวดุจหยกสองข้างก็เหยียบลงพื้น สตรีที่เกล้าม้วยผมสูงเป็นก้อนดุจก้อนเมฆ มีผ้าผืนเล็กสองชิ้นที่ปิดแทบไม่มิดหน้าอกเดินลงมาแล้ว บนตัวมีเสื้อผ้าน้อยชิ้นจนน่าสงสาร ตรงหน้าอกมีสร้อยหยกปปิดบังไว้นิดหน่อยเท่านั้นเอง เป็นเรือนร่างที่หน้าอกอิ่มบั้นท้ายอวบ เอวเล็กบิดสะโพก กระโปรงยาวผ้ามุ้งบางคลุมเอวและสะโพกเอาไว้ แหวกกระโปรงข้างหนึ่งเผยให้เห็นขาที่เรียวยาว ผิวขาวดุจหิมะ ในดวงตางามเผยอารมณ์ที่หลากหลาย สีหน้าท่าทางของนางช่างทำให้สรรพสิ่งหลงใหลในรูปรสกลิ่นเสียงจริงๆ ทำให้คนเลือดลมสูบฉีด
บรรดาศิษย์หญิงที่อยู่ทางซ้ายและขวาของนางก็แต่งตัวเปิดเผยมากเช่นกัน พระสิบกว่ารูปที่หามเกี้ยวก็กำยำล่ำสัน เปลือยร่างกายท่อนบน กล้ามเนื้อแต่ละมัดบนร่างกายดูแข็งแกร่งดุจหินผา
แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าคนพวกนี้คือคนของสำนักหลัวช่า เหมียวอี้เริ่มกลุ้มใจ หลังจากมาที่แดนสุขาวดีแล้ว ก็รู้สึกเหมือนโดนโค่นล้มความรู้ที่ตัวเองมีต่อสำนักพุทธนิดหน่อย เหมือนจะมีพระผู้หญิงเยอะกว่าพระผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำไมเขาถึงเจอแต่กระอย่างนี้ล่ะ?
“พระโพธิสัตว์!” ศิษย์สำนักหลัวช่าประนมมือ
พระโพธิสัตว์หลันเย่ยิ้มบางๆ แล้วเข้าไปต้อนรับ ประนมมือกล่าวว่า “พระโพธิสัตว์เม่ยจี”
มีพระโพธิสัตว์โผล่มาอีกแล้วเหรอ? เหมียวอี้พูดไม่ออก
พระโพธิสัตว์เม่ยจีวางมือซ้ายตรงหน้าอก ไม่ได้ไหว้กลับทั้งสิบนิ้ว แต่จีบนิ้วทำความเคารพกลับอย่างสง่างามมาก กล่าวด้วยเสียงที่อ่อนโยนนุ่มนวล “พระโพธิสัตว์หลันเย่” จากนั้นสายตาก็มองตรงไปหาเหมียวอี้ “คาดว่าท่านนี้คงจะเป็นหนิวโหย่วเต๋อ แม่ทัพภาคตลาดผีสินะ?”
“ใช่แล้ว” พระโพธิสัตว์หลันเย่พยักหน้า
เหมียวอี้ประนมมือ “หนิวโหย่วเต๋อนมัสการพระโพธิสัตว์”
“หึหึ…” เม่ยจีเอามือปิดปากหัวเราะ บิดเอวอ่อนราวกับเป็นงูว่ายน้ำ เท้าเปล่าเดินเหยียบฝุ่นเข้ามา ลมที่เจือกลิ่นหอมพัดเข้ามาวูบหนึ่ง เรือนร่างเย้ายวนถึงขีดสุด นางเดินวนพลางมองสำรวจเหมียวอี้ศีรษะจดเท้า จากนั้นยื่นศีรษะมาตรงข้างหูเหมียวอี้ พร้อมขยับปากแดงบอกว่า “ไม่ต้องมากพิธี”
ดวงตางามชำเลืองมองศพของอวิ่นหมิงที่นอนอยู่บนพื้น จากนั้นก็หันตัวเผยแผนหลังเปลือยเปล่าให้เหมียวอี้ เดินกลับมาทางฝั่งสำนักหลัวช่า พอกระดกนิ้วเล็กน้อย ก็มีพระศีรษะโล้นเปลือยแขนสองคนก้าวขึ้นมาหิ้วชางหงที่ถูกมัดทันที
“เจ้าคือชางหงสินะ? แม่ทัพภาคหนิวบอกว่าพวกเจ้าวางแผนลอบสังหารเขา เจ้าจะอธิบายยังไง?” น้ำเสียงของเม่ยจีเย็นเยียบลงหลายส่วน
เหมียวอี้ย่อมรู้ว่าตัวเองกำลังใส่ร้าย และอีกฝ่ายก็ย่อมรู้ว่าสำนักหลัวช่าไม่มีทางทำเรื่องนั้น เป็นการเสแสร้งต่อหน้าเขาเท่านั้นเอง
ชางหงจึงอธิบายทันทีว่า “พระโพธิสัตว์ ไม่มีเรื่องแบบนี้แน่นอน พวกศิษย์กำลังเก็บสมุนไพรที่ดาวพิษ แล้วพบว่ามีบุคคลต้องสงสัยขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัว เลยไล่ตามมาตลอดทางจนถึงที่นี่ แล้วก็บังเอิญเจอแม่ทัพภาคหนิวกับลูกน้องของเขา แต่แม่ทัพภาคหนิวปรากฎตัวอยู่ในจุดที่ผู้ต้องสงสัยซ่อนตัว ศิษย์จึงมีเหตุผลที่จะสงสัยว่าแม่ทัพภาคหนิวคือคนที่ขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัว ใครจะคิดว่าแม่ทัพภาคหนิว ย้อนมาใส่ร้าย บอกว่าพวกเราลอบสังหารเขา ศิษย์พูดความจริงทุกประโยค พระโพธิสัตว์ได้โปรดเป็นกระจกที่ใสสะอาด”
เม่ยจีหันหน้ามาเหล่ตามอง “แม่ทัพภาคหนิว เมิ่งถัวหลัวใช้ในทางที่ดีได้ ใช้ในทางที่ร้ายได้ เป็นสมุนไพรต้องห้าม นี่คือสิ่งที่ตำหนักสวรรค์กับแดนพุทธรับรู้ร่วมกัน ชางหงสงสัยว่าเจ้าขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัว เจ้ามีอะไรจะพูดหรือเปล่า?”
“พระโพธิสัตว์กำลังสอบสวนหนิวเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
เม่ยจีตอบว่า “ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ทางที่ดีก็ต้องสืบหาให้ชัดเจน” ความหมายในคำพูดก็คือยอมรับแล้วว่ากำลังสอบสวน
เหมียวอี้ตอบว่า “พวกท่านคนเยอะได้เปรียบกว่า ข้าเห็นแล้วไม่เหมือนกำลังสอบสวน แต่เหมือนอาศัยพวกเยอะมารังแกมากกว่า ชางหงคนนี้เป็นคนของพวกท่าน ใช่ว่านางพูดอะไรแล้วจะถูกต้องทุกอย่าง ถ้าจะสอบสวนก็ย่อมได้ แต่รอให้คนฝั่งตำหนักสวรรค์มาก่อนแล้วค่อยสอบสวนก็ยังไม่สาย แต่ก่อนที่คนของตำหนักสวรรค์จะมา หนิวก็ปฏิเสธที่จะตอบทุกคำถามของพระโพธิสัตว์”
มีอยู่จุดหนึ่งที่เหมียวอี้เองก็ต้องยอมรับ นั่นก็คือการมีตระกูลโค่วหนุนหลังนั้นได้ประโยชน์ไม่น้อยเลย ถ้าไม่มีตระกูลโค่วหนุนหลัง มีหรือที่เขาจะกล้าพูดอย่างนี้กับคนระดับเทพประจำดาว ถ้าไปทำให้อีกฝ่ายโมโหก็สามารถฟาดให้เจ้าตายด้วยฝ่ามือเดียวได้เลย
เม่ยจีหันตัวมาพร้อมยิ้มอย่างเป็นกันเอง แต่ความเย็นเยียบที่แผ่นซ่านออกมาจากดวงตานั้นยากจะปิดบังไหว ลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วแล้วอย่างไรล่ะ ต่อให้นางสั่งสอนสักหน่อยแล้วจะทำไมล่ะ? ถึงอย่างไรที่นี่คือแดนพุทธ แต่ครั้งนี้เรื่องราวแตกต่างออกไป เพราะก่อนที่จะมานางได้รับแจ้งจากเบื้องบน ว่าฝั่งโค่วหลิงซวีลงมือแล้ว วัดใหญ่แต่ละแห่งของพุทธะหน้าหยกที่อยู่ในอาณาเขตทัพเหนือของตำหนักสวรรค์ทยอยกันถูกทหารสวรรค์ปิดล้อมและตรวจสอบแล้ว ศิษย์สำนักพุทธที่โดนจับมีเป็นล้าน ข่าวขอความช่วยเหลือทยอยส่งไปทางพุทธะหน้าหยกไม่หยุด ถ้านางกล้าแตะต้องหนิวโหย่วเต๋อแม้เพียงเล็กน้อย เกรงว่าศีรษะของศิษย์สำนักพุทธจะร่วงลงพื้นเท่าไรก็ยังไม่รู้เลย อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงว่าผู้ที่จะรับกรรมก่อนก็คือศิษย์ของนาง
“ว่ากันว่าแม่ทัพภาคหนิวไม่เห็นใครอยู่ในสายตามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว วันนี้ได้เห็นก็นับว่าสมคำร่ำลือจริงๆ” เม่ยจีเดินมาตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วเอามือจิ้มหน้าอกเหมียวอี้พลางยิ้มอย่างเป็นกันเอง
เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “พระโพธิสัตว์ชมเกินไปแล้ว พระโพธิสัตว์ก็ทำลายภาพลักษณ์ของชาวพุทธที่หนิวเคยเจอเหมือนกัน” เขายกมือมาบังมือของนาง แล้วถอยลบไปด้านข้างอย่างช้าๆ
ในสายตาของคนที่อยู่รอบข้าง การกระทำนี้ค่อนข้างเสียมารยาท โดยเฉพาะผู้ติดตามของเม่ยจี แต่ละคนทำสีหน้าขุ่นเคือง ทยอยกันย้ายฝีเท้าก้าวมาข้างหน้าแล้ว
เม่ยจียกมือขึ้นเล็กน้อยแล้วหยุด ดวงตาทั้งสี่สบประสานกับเหมียวอี้
พระโพธิสัตว์หลันเย่กลับมองฉากนี้อย่างสนใจ
ในขณะนี้เอง เม่ยจีกับหลันเย่ก็แทบจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพร้อมกัน แล้วทุกคนก็ทยอยกันมองตาม
คนนับพันปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางท้องฟ้า ผู้ที่นำหน้านมาก็คือโค่วเจิง เห็นเพียงโค่วเจิงจ้องข้างล่างแล้วโบกมือ คนนับพันข้างหลังกลายเป็นหมื่นคนในชั่วพริบตาเดียว แล้วหมื่นคนก็เพิ่มเป็นแสนคน ทหารสวมเกราะหนึ่งแสน แม่ทัพใหญ่เกราะแดงยืนอยู่ข้างหน้าอย่างดุร้ายน่าเกรงขาม
โค่วเจิงนำทัพใหญ่หนึ่งแสนมาด้วยตัวอง!
บทที่ 1637 ตัวละครเล็กๆ
พอโค่วเจิงมาถึงก็เห็นเม่ยจีกับเหมียวอี้กำลังคุมเชิงกันแล้ว ทำให้คนรู้สึกเหมือนการต่อสู้กำลังจะปะทุ ไม่รู้ว่าทำไมทั้งสองถึงทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขนาดนี้
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พอเห็นเหมียวอี้ยังปลอดภัยดี โค่วเจิงก็โล่งใจบ้างแล้วนิดหน่อย พอเอียงหน้าเล็กน้อยบอกว่า “อืม” แม่ทัพเกราะแดงคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายก็โบกมือสั่ง ในทัพใหญ่จำนวนหนึ่งแสน นอกจากแม่ทัพเกราะแดงสิบกว่าคนที่ยังอยู่ข้างกายโค่วเจิง นอกนั้นก็พุ่งออกไปตั้งกระบวนทัพแล้ว ล้อมทุกคนที่อยู่ตรงนั้นเอาไว้
ถึงแม้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จะมีไม่มาก แต่ก็เปิดเผยออกมาให้เห็นแล้วเช่นกัน แต่ละคนง้างลูกธนูไว้บนสาย เล็งไปยังคนที่ถูกล้อมไว้
สีหน้าของหลันเย่กับเม่ยจีดูไม่ค่อยสู้ดีนัก ทั้งสองกำลังมองไปรอบๆ
เมื่อพวกลูกน้องมาล้อมเพื่อคุมสถานการณ์ไว้แล้ว โค่วเจิงถึงได้นำคนเข้ามาในกระบวนทัพ
“พี่ใหญ่โค่ว” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ
โค่วเจิงมองข้ามหลันเย่กับเม่ยจี แล้วพยักหน้าเบาๆ ให้เหมียวอี้ “ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
เหมียวอี้ยิ้มพร้อมตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่แน่ใจขอรับ ต้องถามความเห็นของพระโพธิสัตว์เม่ยจีก่อน”
“อ้อ!” โค่วเจิงเอามือไขว้หลัง แล้วเอียงหน้ามองเหยียดเม่ยจีแวบหนึ่ง “หรือมียังมีคนกล้าทำร้ายกันอย่างโจ่งแจ้งอีก? ข้าก็อยากจะเห็นว่าใครกันที่มีความกล้าอย่างนั้น!”
ในเวลานี้ เขาได้แสดงความมีอำนาจอิทธิพลของตัวเองออกมาหมดแล้ว มองพระโพธิสัตว์เม่ยจีที่มีระดับเทียบเท่าเทพประจำดาวด้วยสายตาเหยียดหยาม
ความจริงก็เป็นอย่างนั้น เขาไม่ได้มาเพื่อวางมาดอย่างเดียว ถ้าจะให้โอ้อวดวางมาดจริงๆ แม้แต่ระดับจอมพลก็ยังต้องเกรงอกเกรงใจเขาเลย แล้วมีหรือที่เขาจะเห็นคนระดับเทพประจำดาวอยู่ในสายตา
ท่าทีของเขากระตุ้นให้เม่ยจีค่อนข้างทุกข์ใจ ถึงอย่างไรฝั่งนี้ก็ยังมีกลุ่มลูกศิษย์ของสำนัก แล้วจะให้นางทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร นางถามเสียงต่ำว่า “โค่วเจิง เจ้าหมายความว่าอะไร?”
เหมือนกับที่เม่ยจีทำกับเหมียวอี้ โค่วเจิงเอามือไขว้หลังเดินเข้ามาประชิดนางทีละก้าว บนใบหน้าแสดงความเหย่อหยิ่งจองหองออกมาหมด จนกระทั่งหน้าอกแทบจะแนบชิดกับหน้าอกที่ยื่นออกมาของนาง เขาถึงได้หยุด จากนั้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมบอกว่า “ก็ไม่มีความหมายอะไรหรอก! แต่ถ้าเจ้าอยากจะมีความหมายอะไร โค่วคนนี้ก็จะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าได้ทุกเมื่อ!”
ศิษย์ของเม่ยจีโมโหแล้ว ตอนที่พวกเขาเพิ่งจะเคลื่อนไหว แม่ทัพเกราะแดงแถวหนึ่งก็ถลันตัวมาเตรียมพร้อมป้องกันอยู่ทางซ้ายและขวาของโค่วเจิง เล็งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายคันมาทางนี้อย่างรวดเร็ว
เหมียวอี้มองเม่ยจีที่เดี๋ยวก็กำหมัดเดี๋ยวก็คลายหมัด ในใจแอบรู้สึกขำ ถ้าพูดถึงพลังความสามารถ โค่วเจิงสู้เม่ยจีไม่ได้แน่นอน แต่ช่วยไม่ได้ที่ยอดฝีมือที่โค่วเจิงพามาด้วยก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน
เม่ยจีโบกมือห้ามคนของสำนักตัวเองไม่ให้วู่ว่าม แล้วหันตัวหลบโค่วเจิง ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม “โค่วเจิง เจ้าอารมณ์ขึ้นเยอะเลยนะ! ถ่อมาพาลเกเรถึงแดนสุขาวดีแล้ว”
โค่วเจิงอสยะยิ้ม “ก็ช่วยไม่ได้ ดาบมาจ่อคอตระกูลโค่วของข้าแล้ว ถ้าไม่เจ้าอารมณ์สักหน่อย เกรงว่าคนของตระกูลโค่วจะตายหมดตั้งแต่เมื่อไรก็ยังไม่รู้เลย”
เม่ยจีหลุดหัวเราะ “ไม่ปะทะฝีปากกับเจ้าแล้ว คุยเรื่องสำคัญเถอะ หนิวโหย่วเต๋อตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าโขมยเก็บเมิ่งถัวหลัว เจ้าก็รู้กฎของแดนสุขาวดี”
“เจ้าเก็บเมิ่งถัวหลัวไปเหรอ?” โค่วเจิงหันมาถามเหมียวอี้
เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมิ่งถัวหลัวหน้าตาเป็นยังไง แล้วอีกอย่างนะ เมิ่งถัวหลัวก็ไม่ได้มีแค่ที่ดาวพิษด้ววย ถ้าข้าอยากได้เมิ่งถัวหลัวจริงๆ ยังจะต้องถ่อมาที่นี่อีกเหรอ? ที่ตลาดผีมีทุกอย่างนั้นแหละ ข้าเป็นแม่ทัพภาคตลาดผีนะ จะหาเมิ่งถัวหลัวไม่ได้เชียวเหรอ? คงไม่มีใครไร้เดียงสาถึงขั้นคิดว่าเมิ่งถัวหลัวถูกควบคุมจนไม่เล็ดรอดออกมาหมุนเวียนที่ตลาดเลยหรอกมั้ง? อย่างมากก็แค่ราคาแพงขึ้นก็เท่านั้นเอง ข้าจำเป็นต้องถ่อมาเสี่ยงอันตรายที่นี่เพื่อเก็บเมิ่งถัวหลัวด้วยเหรอ?”
โค่วเจิงได้ยินแล้วแอบพยักหน้า ที่จริงก่อนหน้านี้เขาก็สงสัยอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน รู้สึกว่าสำนักหลัวช่าไม่มีทางยิงธนูโดยไร้เป้า แต่พอได้ยินเหมียวอี้พูดอย่างนี้แล้ว ก็พบว่าไม่มีความจำเป็นนั้นจริงๆ จึงหันกลับมาบอกเม่ยจีว่า “เรื่องที่ไม่มีหลักฐาน ทางที่ดีอย่าพูดซี้ซั้ว”
เม่ยจีเงียบไปครู่หนึ่งเดิมทีก็รู้สึกเช่นกันว่าเหมียวอี้โดนไล่สังหารมา เป็นไปไม่ได้ที่จะมีกะจิตกะใจถ่อมาโขมยเก็บเมิ่งถัวหลัวที่ดาวพิษ ตอนนี้พอได้ยินเหมียวอี้อธิบายแล้ว ก็รู้สึกว่าสอดคล้องกับความเป็นจริง แต่ปากนางกลับยอมรับตรงๆ ไม่ได้ จึงบุ้ยปากไปทางเหมียวอี้พร้อมบอกว่า “ถ้าอยากจะพิสูจน์ความบริสุทธ์ของตัวเองก็ง่ายมาก ค้นตัวสักหน่อยเดี๋ยวก็รู้แล้ว”
“ค้นตัว? ไม่ใช่ว่าไม่ได้หรอกนะ แต่ถ้าค้นแล้วไม่เจออะไร ก็ต้องมีคนรับผิดชอบสักหน่อยรึเปล่า คนของตระกูลโค่วน่ะ ไม่ใช่ว่าใครอยากจะมาใส่ความก็ใส่ความได้นะ” โค่วเจิงกล่าว
จะไม่ให้สัญญานี้ก็ไม่ได้ เม่ยจีมองเขาพร้อมยิ้มอย่างเป็นกันแน่…
ผลสุดท้ายก็คือ ฝั่งสำนักหลัวช่าไม่ได้ค้นตัวเหมียวอี้ ส่วนโค่วเจิงก็ยอมรับเช่นกันว่าสำนักหลัวช่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องลอบสังหารเหมียวอี้ นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ถ้าไม่โดนกดดันจนหมดทางเลือด โค่วหลิงซวีกับพุทธะหน้าหยกก็ไม่อยากทำเรื่องราวระหว่างกันให้ใหญ่โต
“นี่คือพยาน ทำไมเจ้าถึงฆ่าเขาทิ้งแล้ว?” เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าศพของอวิ่นหมิง โค่วเจิงก็ถ่ายทอดเสียงตำหนิเหมียวอี้
เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงตอบว่า “ข้ารับปากต่อหน้าฝูงชนแล้ว ว่าขอเพียงเขาสารภาพความจริงออกมา ข้าก็จะทำให้เขาไปสบาย จะพูดจาไม่เป็นคำพูดได้ยังไง ต่อให้มีพยานแล้วยังไงล่ะ เกรงว่าคงจะไม่เกิดประโยชน์อะไรต่อผลลัพธ์สุดท้าย”
โค่วเจิงขมวดคิ้ว เขาไม่ได้พูดอะไรอีกแล้วเช่นกัน
เรื่องราวต่อจากนั้นก็เรียบง่ายมาก ส่วนพยานอย่างเมี่ยวฉุน โค่วเจิงก็ไม่ปล่อยไปเช่นกัน ต้องพากลับที่ตำหนักสวรรค์ เพื่อความเที่ยงธรรม ฝั่งแดนสุขาวดีก็ต้องให้คนออกมาเช่นกัน พระโพธิสัตว์หลันเย่ติดตามเดินทางมาด้วยตัวเอง
โค่วเจิงมาอย่างรีบร้อนแล้วก็ไปอย่างรีบร้อน พาเหมียวอี้กลับไปด้วยกันแล้ว ส่วนเรื่องสืบสวนพระอรหันต์ตัวลี่อะไรนั่น แดนพุทธก็ไม่มีทางปล่อยให้ตำหนักสวรรค์ช่วยจัดการแทนเช่นกัน
เรื่องบางเรื่องที่จริงทุกคนก็มีข้อมูลอยู่ในใจแล้ว ต่างก็รู้ว่าตระกูลอิ๋งบงการอยู่เบื้องหลัง แต่ไม่มีใครหาหลักฐานได้ เมื่อไม่มีหลักฐานที่เชื่อมโยงได้ว่ามาแทรกแซงฝั่งแดนสุขาวดี ตระกูลอิ๋งก็ไม่มีทางยอมรับ และตระกูลอิ๋งก็ไม่มีทางทิ้งหลักฐานอะไรไว้เช่นกัน
เพียงแต่สำหรับตระกูลโค่วแล้ว เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องใช้หลักฐาน ขอเพียงยืนยันได้ก็พอแล้ว แค่รอดูว่าตระกูลอิ๋งจะแอบมาแลกเปลี่ยนทำข้อตกลงอะไรกับตระกูลโค่วแล้ว ไม่อย่างนั้นวันพระก็ไม่ได้มีหนเดียว ทีใครทีมัน
นี่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายสำหรับเหมียวอี้ ถ้าไม่ได้เกิดเรื่องนี้ขึ้น เขาก็จะมีโอกาสไปเที่ยวชมที่เขาหลิงซานแล้ว ตอนนี้จึงทำได้เพียงส่งข่าวไปขออภัยฆราวาสผู่หลัน
ขณะมองส่งคนกลุ่มนี้จากไป เม่ยจีก็แสยะยิ้ม สายตาบังเอิญไปตกอยู่บนตัวชางหงที่ยังถูกมัด แล้วโบกมือกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ปล่อยนางเถอะ”
ใครจะคิดว่าพอชางหงถูกแก้มัดแล้ว ก็รีบเดินมาคุกเข่าตรงหน้าเม่ยจีทันที แล้วกล่าวเสียงดังว่า “พระโพธิสัตว์ ศิษย์มั่นใจได้ว่าคนที่ล่วงล้ำเข้าดาวพิษคือหนิวโหย่วเต๋อ”
เม่ยจีขมวดคิ้วมองนาง ไม่รู้ว่าศิษย์คนนี้โง่จริงหรือแกล้งโง่ เขาอุตส่าห์ไม่เอาเรื่องเจ้าแล้ว เจ้าจะยังกัดไม่ปล่อยทำไมอีก? ต่อให้ยืนยันได้ว่าหนิวโหย่วเต๋อโขมยเก็บเมิ่งถัวหลัวแล้วยังไงล่ะ มีตระกูลโค่วหนุนหลังอยู่ ยังจะลงโทษเขาให้ถึงตายเหมือนคนทั่วไปได้เหรอ อย่างมากก็แค่ลดขั้นเขาสองขั้นเท่านั้น แต่ตอนเลื่อนขั้นเขาก็ยังเร็วกว่าคนทั่วไปอยู่ดี และการไปล่วงเกินตระกูลโค่วก็ไม่ได้ทำให้เราได้ประโยชน์อะไรเลย มีวัดและศิษย์อยู่มากมายอยู่ในอาณาเขตของอีกฝ่าย อีกฝ่ายมีวิธีการยัดข้อหาเจ้าอยู่แล้ว เพื่อให้หนิวโหย่วเต๋อโดนลดขั้นแค่สองขั้น มันคุ้มแล้วเหรอที่เจ้ายอมแลกมากขนาดนั้น?
“เจ้าเห็นกับตาเหรอว่าเขาโขมยเก็บเมิ่งถัวหลัว?” น้ำเสียงของเม่ยจีเคร่งขรึมลง นี่นับว่ากำลังเตือนแล้ว เพราะนางไม่สะดวกจะพูดต่อหน้าฝูงชนว่าอีกฝ่ายมีคนหนุนหลัง พวกเราไม่สะดวกจะไปล่วงเกิน
“เปล่าค่ะ!” ชางหงก้มหน้า
“เอาล่ะ เรื่องนี้ถือว่าผ่านไปแล้ว” เม่ยจีโบกมือแล้วหันตัวเดินไปทางเตียงเตี้ย
ชางหงพลันเงยหน้าขึ้นมา แล้วจู่ๆ ก็ตะโกนว่า “ต่อให้เขาจะไม่ได้โขมยเก็บเมิ่งถัวหลัว แต่ศิษย์ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมในอีกอย่าง ถ้าเขาไม่ได้มาเพื่อโขมยเก็บเมิ่งถัวหลัว เช่นนั้นเขาจะบุกเข้ามาที่ดาวพิษทำไม? พระโพธิสัตว์ ท่านไม่รู้สึกว่ามีลับลมคมในหรือคะ?”
นางรู้สึกเจ็บช้ำเพราะสายตาเหยียดหยามของเหมียวอี้แล้วจริงๆ แต่ความจริงก็เป็นเหมือนกับสายตาเหยียดหยามคู่นั้น เพราะผลสุดท้ายเหมียวอี้ไม่เป็นอะไรเลยสักนิด กลับเป็นนางที่ถูกมัดจนได้รับความอับอายต่อหน้าฝูงชน ตัวเองไม่ผิดแท้ๆ อุตส่าห์มีจิตใจที่ไร้ความเห็นแก่ตัว แต่ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ล่ะ? แค่เพราะอีกฝ่ายที่อำนาจหนุนหลัง ก็สามารถทำทุกอย่างได้ตามอำเภอใจแล้วเหรอ? นางรู้สึกไม่ยอม นางไม่เชื่อหรอกว่าตัวเองจะโค่นเหมียวอี้ไม่ได้!
ในบางเวลา ตัวละครเล็กๆ ก็สามารถสร้างผกระทบที่ยิ่งใหญ่ได้ โดยเฉพาะตัวละครเล็กๆ ที่ไม่ยอมประนีประนอม
ชางลั่วกับชางอวี่แอบกระวนกระวายแทนชางหง พบว่าศิษย์พี่หงไม่รู้จักแก้ไขนิสัยดื้อดึงเจ้าอารมณ์ของตัวเองเลย จะทำให้ตัวเองมีแผลไปทั้งตัวให้ได้เลยใช่มั้ย?
เม่ยจีพลันหยุดฝีเท้า รู้สึกใจอ่อนกับคำพูดนี้แล้วจริงๆ หันตัวช้าๆ มองไปยังลูกศิษย์น้อยที่กำลังคุกเข่าไม่ยอมลุก แล้วจ้องมองนางพักใหญ่…
ผ่านไปไม่นาน ชางหงที่สวมชุดใยแมงมุมไหมดำใหม่อีกครั้งก็โชคดีได้ติดตามเม่ยจีไปที่ดาวพิษเพียงลำพัง ส่วนเม่ยจีก็สวมชุดสีดำนั่นเช่นกัน
ทั้งสองหยุดอยู่บนท้องฟ้าเหนือซากของสำนักหนานอู๋ ชางหงชี้ซากข้างล่างที่ถูกปัดกวาดออกมา “พระโพธิสัตว์ ท่านดูสิ ตรงนี้คือซากของสำนักหนานอู๋ ทำไมต้องใช้ความพยายามมากขนาดนั้นเพื่อปัดกวาดซากออกมาด้วยล่ะ? ไม่ว่าจะคิดยังไง ศิษย์ก็รู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล”
เม่ยจีก็ใช่ว่าจะไม่เคยมาที่นี่ ย่อมรู้ว่าตอนที่ซากนี้ถูกฝุ่นกลบไว้หน้าตาเป็นอย่างไร มิหนำซ้ำร่องรอยการปัดกวาดใหม่นี้ก็ชัดเจนมาก
นางขมวดคิ้วมุ่น ในดวงตางามเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ คิดไม่ตกเช่นกันว่าการที่เหมียวอี้มาปัดกวาดที่นี่หมายความว่าอะไร จะถ่อมารำลึกอดีตที่สำนักหนานอู๋ทำไม? ไร้สาระเกินไปรึเปล่า! หรือจะเป็นศิษย์ของสำนักหนานอู๋? เป็นไปได้เหรอ?
“เจ้าแน่ใจนะว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนปัดกวาดออกมา?” เม่ยจีสงสัย
“ถึงแม้ตอนนั้นเขาจะโพกผ้าดำ แต่ศิษย์ก็ยังมั่นใจมากว่าเป็นเขาค่ะ” ถึงแม้ชางหงจะไม่แน่ใจว่านี่เป็นฝีมือเหมียวอี้ก็ตาม เพราะนางไม่เห็นว่าใครปัดกวาดที่นี่ แต่นางก็พูดมั่วไปอย่างนั้นแล้ว
“อ้อ!” เม่ยจีจ้องมองข้างล่างครู่หนึ่ง แต่ก็มองเบาะแสอะไรไม่ออกอยู่ดี ยังคิดไม่ตกว่าทำไมเหมียวอี้ต้องทำอย่างนี้ หลังจากผ่านไปพักใหญ่ จู่ๆ นางก็หัวเราะคิกคัก “สงสัยจะมีเงื่อนงำที่ให้คนอื่นรู้ไม่ได้จริงๆ หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ช่างน่าสนใจ…ชางหง!”
“คะ” ชางหงเอ่ยรับ
“นางหนูอย่างเจ้าก็น่าสนใจเหมือนกัน” เม่ยจีหันมามองประเมินนางศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเอง “เจ้ามาอยู่กับข้าเถอะ ถ้าเจ้าไม่มีความเห็นแย้ง เดี๋ยวกลับไปข้าจะคุยกับอาจารย์เจ้าเอง”
ชางหงอึ้งชั่วขณะ จากนั้นก็รู้สึกปลาบปลื้มมาก เพราะเม่ยจีคืออาจารย์ย่าของนาง ทรัพยากรในมือย่อมมีมากกว่าอาจารย์ของนางอยู่แล้ว สามารถให้อนาคตกับนางแบบที่ท่านอาจารย์ให้ไม่ได้ นางจึงรีบประนมมือทันที “ศิษย์น้อมรับคำสั่งค่ะ!”
เห็นได้ชัดว่าเม่ยจีก็อยากจะทดสอบให้ชัดเจนเช่นกันว่าเหมียวอี้กำลังเล่นลูกไม้อะไรกันแน่ ไม่นานก็สั่งให้กลุ่มคนที่สวมชุดใยแมงมุมไหมดำค้นหาในบริเวณซากสำนักหนานอู๋เป็นวงกว้าง แม้แต่นางก็ค้นหาเบาะแสด้วยตัวเองแล้ว ไม่ปล่อยผ่านแม้แต่มุมเดียว ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบลึกลงไปใต้ดิน
ทว่าผลการสืบหาทำให้คนผิดหวัง คนกลุ่มนี้ไม่ใช่แค่ค้นหาที่ซากสำนักหนานอู๋เท่านั้น แต่ถึงขั้นค้นหาภายในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรของซากอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบว่าจุดไหนมีลับลมคมใน ต่อให้เป็นใต้ดินก็ไม่พบร่องรอยทางลับใดๆ เลย
เม่ยจียิ่งสงสัยมากขึ้น ว่าหนิวโหย่วเต๋อคิดจะทำอะไรกันแน่?
หลังจากทำซ้ำไปซ้ำมาได้สักพัก คนที่ควรจะกลับก็กลับ คนที่ควรจะอยู่ก็อยู่ ภารกิจเก็บรวบรวมเมิ่งถัวหลัวยังคงดำเนินต่อไป
พวกชางลั่วกับชางอวี่ได้อยู่ต่อ แต่กลับแอบมองชางหงที่กำลังส่งต่องานให้พวกนางด้วยความอิจฉา เพราะเมื่อครู่นี้ท่านอาจารย์มีคำสั่งลงมาแล้ว ว่าตั้งแต่นี้ไปจะให้ชางหงติดตามรับใช้พระโพธิสัตว์เม่ยจี ต่อจากนี้จะส่งต่อภารกิจเก็บสมุนไพรให้ชางลั่วรับผิดชอบ
บทที่ 1638 ตลาดผีคืออาณาเขตของข้า!
“อ้อ ทัพเหนือปล่อยคนเร็วขนาดนั้นเชียวเหรอ?”
วังสวรรค์ ประมุขชิงกำลังเอามือไขว้หลังเดินเนิบนาบอยู่ระหว่างวิมานหยกอันงดงาม หลังจากได้ยินรายงานแล้วจึงเอ่ยถามอย่างสบายๆ
ซ่างกวนชิงที่เดินตามหลังตอบว่า “ใช่ขอรับ สงสัยหนิวโหย่วเต๋อที่อยู่ทางแดนสุขาวดีจะไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่อย่างนั้นอ๋องสวรรค์โค่วคงไม่ถอนกำลังจากวัดพวกนั้นเร็วขนาดนี้”
ประมุขชิงพ่นเสียงทางจมูกสองที “เจ้าลูกลิงนี่อยู่ไม่สุขจริงๆ ไปที่ไหน ที่นั่นก็เกิดเรื่อง แต่เจ้าลูกลิงนี่ก็ใช้ได้จริงๆ ขนาดตระกูลอิ๋งวางแผนลอบทำร้ายเขาที่นั่นแล้ว แต่ก็ยังกำจัดเขาทิ้งไม่ได้ ปล่อยให้เขารอดชีวิตกลับมาได้ ตาแก่อิ๋งคงจะไม่สบอารมณ์เท่าไรแล้วมั้ง”
ซ่างกวนชิงยิ้มสู้ “ผ่านวันพระนี้ไปได้ แต่เกรงว่าจะผ่านวันพระหน้าไปไม่ได้ ไม่ใช่แค่ตระกูลอิ๋งเท่านั้น ตระกูลอื่นๆ ไม่มีทางนั่งดูหนิวโหย่วเต๋อเติบโตขึ้นมาโดยไม่ทำอะไรแน่ ต่อไปเกรงว่าเขาจะต้องรับทั้งทวนในที่แจ้งและเกาทัณฑ์ในที่ลับ”
“เขาหาเรื่องใส่ตัวเอง ข้าจะคอยดูว่าเขาจะทนได้นานแค่ไหน” ประมุขชิงยิ้มเย้ย
หลังจากออกจากแดนสุขาวดีแล้ว เหมียวอี้ก็ยังไม่มีทางกลับไปตลาดผีได้ เขาติดตามโค่วเจิงกลับไปที่จวนของอ๋องสวรรค์โค่วโดยตรง
นี่เป็นครั้งที่สองที่เหมียวอี้มาที่จวนตระกูลโค่ว ตอนที่เพิ่งจะมาถึงประตู ก็เห็นอวิ๋นจือชิวนำเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์มารออยู่นอกประตูแล้ว ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างรู้ใจ
ไม่ว่ายามปกติอวิ๋นจือชิวจะเจ้าอารมณ์ขนาดไหน แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เหมียวอี้จำต้องยอมรับ นั่นก็คือเมื่อไรที่ได้เห็นอวิ๋นจือชิว เขาก็จะมีความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน ความรู้สึกนี้เขาหาไม่ได้จากตัวผู้หญิงคนอื่น ตอนที่อยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิว เขาสามารถเปิดเผยข้อเสียของตัวเองได้อย่างกำเริบเสิบสาน ด่านางได้เต็มที่ว่าเป็นผู้หญิงปากร้าย แต่กับเมียคนอื่นๆ เขาด่าซี้ซั้วไม่ได้
แน่นอน พออวิ๋นจือชิวอารมณ์ขึ้นเมื่อไร ก็จะจับเขามาซ้อมอย่างดุร้ายเหมือนเดิม เลิกคิดไปได้เลยว่านางจะเป็นสาวน้อยที่ยอมเชื่อฟังทุกอย่าง ไม่มีทางเสียหรอก
อวิ๋นจือชิวได้พูดไว้เองแล้วว่า ‘ก่อนที่เจ้าจะแต่งงานกับข้า ข้าก็เป็นอย่างนี้มาก่อนแล้ว ตอนถลกกระโปรงปีนขึ้นมาบนตัวข้า ทำไมเจ้าไม่พูดอย่างนี้ล่ะ ตอนนี้เพิ่งมานึกเสียใจทีหลัง เพิ่งรู้สึกขัดลูกหูลูกตาเหรอ? สายไปหรือเปล่า!
คนที่รออยู่ตรงประตูยังมีกลุ่มลูกสาวหลานสาวของตระกูลโค่ว ทุกคนวิ่งมาต้อนรับแล้ว เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวเหมือนนกนางแอ่น ไม่ใช่ว่าเหมียวอี้มีเสน่ห์หรอก แต่เป็นเพราะรู้ว่าเหมียวอี้คือคนที่นายท่านตระกูลโค่วตั้งใจจะเลี้ยงดูอบรม ถ้านายวันไหนที่นายท่านไม่อยู่แล้ว ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเหมียวอี้จะเกี่ยวข้องกับอนาคตของคนจำนวนมาก ถ้าไม่รีบฉวยโอกาสผูกมิตรตั้งแต่ตอนนี้ แล้วจะรอตอนไหน? เรื่องบางเรื่องถ้าจะให้ผู้ชายประจบสอพลอเกินไปก็จะไม่น่าดู ให้ผู้หญิงออกหน้าจะเหมาะกว่า
โค่วเจิงทักทายทุกคน ก่อนจะนำพระโพธิสัตว์หลันเย่และพรรคพวกไปเยี่ยมคารวะนายท่านแล้ว
เหมียวอี้ก็ทักทายทุกคนเช่นกัน เสร็จแล้วถึงได้มากุมมือทั้งสองข้างของอวิ๋นจือชิวพลางสบตา สุดท้ายก็ยังเป็นอวิ๋นจือชิวที่ผลักเขาออกเบาๆ ด้วยสายตาหยาดเยิ้ม “ไปคารวะท่านพ่อบุญธรรมก่อน มีอะไรค่อยคุยกันทีหลัง”
“อื้ม!” เหมียวอี้พยักหน้า แล้วรีบเดินตามโค่วเจิงไป
“น้องเจ็ด แบบนี้ถือว่าห่างกันไปนานเลยเหมือนคู่แต่งงานใหม่รึเปล่าจ๊ะ?”
“คืนนี้ทุกคนอย่าไปรบกวนน้องเจ็ดอีกนะ ไม่ง่ายเลยกว่าคู่รักจะได้เจอกัน คืนนี้เป็นเวลาจู๋จี๋กัน บรรยากาศก็เป็นใจ พวกเราอย่าไปทำลายบรรยากาศดีๆ เชียวล่ะ”
กลุ่มผู้หญิงเดินคล้องแขนอวิ๋นจือชิวเข้าไปข้างใน พูดหยอกล้อเอาสนุกตลอดทาง อวิ๋นจือชิวก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน ตบมุกกลับอย่างไม่เก้อเขิน กลุ่มผู้หญิงหัวเราะคิกคักไม่หยุด ดูร่าเริงเบิกบานใจมาก
ทว่าทุกคนก็รู้ดี ว่าความร่าเริงเบิกบานใจนี้ล้วนตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่อย่างอ๋องสวรรค์โค่ว ถ้าอ๋องสวรรค์โค่วล้มลงเมื่อไร เกียรติยศความร่ำรวยของทุกคนก็อาจจะสลายหายไปด้วย บางทีอาจจะไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น เพราะมีความเป็นไปได้สูงว่าล้มแล้วจะโดนเหยียบซ้ำ
เมื่อมีคนนอกมาหา โค่วหลิงซวีก็ไปพบแขกที่ตำหนักหลักของจวนอ๋องสวรรค์ หลังจากแขกและเจ้าบ้านทำทักทายกันแล้ว โค่วเจิงก็รายงานสถานการณ์เท่าที่รู้ให้อ๋องสวรรค์โค่วฟังต่อหน้าพระโพธิสัตว์หลันเย่
ที่จริงตอนนี้เรื่องบางเรื่องก็ได้ผ่านไปแล้ว เพียงแต่เรื่องบางเรื่องนั้นเป็นคำพูดจากปากเหมียวอี้ฝ่ายเดียว ยังต้องทำให้สอดคล้องกับความเป็นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งตำหนักสวรรค์หรือฝั่งแดนสุขาวดีก็ล้วนอยากรู้สถานการณ์ พยานบุคคลอย่างเมี่ยวฉุนกลายเป็นกุญแจสำคัญแล้ว
เรื่องรักษาเมี่ยวฉุน อ๋องสวรรค์โค่วส่งให้โค่วเจิงไปจัดการ ฝั่งพระโพธิสัตว์หลันเย่ก็ต้องเข้าร่วมจับตาดูเช่นกัน จากนั้นแขกกับเจ้าบ้านก็แยกย้าย เพียงแต่โค่วหลิงซวีกลับบอกให้เหมียวอี้อยู่คุยกันก่อน
“ในเมื่อโดนลอบจู่โจม พอหนีออกจากดาวฮุ่ยหลินได้แล้วทำไมไม่รีบติดต่อขอความช่วยเหลือจากที่บ้าน กลับยื้อเวลาออกไประยะหนึ่ง?”
ในตำหนักเหลือเพียงอ๋องสวรรค์โค่ว ถังเฮ่อเหนียนและเหมียวอี้สามคน คำถามที่อ๋องสวรรค์โค่วโยนออกมาทำให้บรรยากาศในตำหนักกดดันขึ้นนิดหน่อย
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบช้าๆ ว่า “ด้วยสถานการณ์ในตอนนั้น ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครต้องการจะเล่นงานข้าให้ถึงตาย แล้วทำไมถึงรู้เส้นทางของข้าได้ ข้าเลยไม่กล้าติดต่อใคร ก็เลยหาที่ปลอดภัยซ่อนตัวก่อนแล้วค่อยว่ากัน นึกไม่ถึงว่าจะบังเอิญเจอกับคนของสำนักหลัวช่า”
อ๋องสวรรค์โค่วหรี่ตาจ้องเขาครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็โบกมือให้เขาถอยออกไป “ไม่ง่ายกว่าเจ้ากับเจ้ากับเจ้าเจ็ดจะได้เจอกันสักครั้ง ไปอยู่กับเจ้าเจ็ดเถอะ”
“ขอรับ!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะแล้วถอยออกไป
รอจนกระทั้งเหมียวอี้ออกไกลแล้ว อ๋องสวรรค์โค่วถึงได้แสยะยิ้ม “ฟังความหมายในคำพูดของเขาออกรึเปล่า? เขาป้องกันแม้กระทั่งตระกูลโค่วแล้ว”
“เฮ้อ!” เฒ่าถังถอนหายใจเบาๆ “คุณชายใหญ่ไปรับตัวคุณหนูเจ็ดกลับมาจากตลาดผีด้วยตัวเอง ต่อให้ตอนนั้นเขาจะคิดไม่ทัน แต่หลังจากนั้นจะต้องตระหนักได้แน่นอน เมื่อรู้ว่าทางนี้เห็นคุณหนูเจ็ดเป็นตัวประกัน เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิต เขาก็ย่อมขาดความเชื่อมั่น การที่เขาระวังตัวมากขึ้นก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์”
อ๋องสวรรค์โค่วเอามือไขว้หลัง “เดินบนเส้นทางนี้แล้ว เรื่องบางเรื่องเขาก็ควรเรียนรู้ที่จะปรับตัว เขาควรจะเข้าใจ ว่าในเมื่อบนตัวประทับตราของตระกูลโค่วแล้ว กลายเป็นคนบนเรือของตระกูลโค่ว ก็ต้องร่วมหัวจมท้าย ถ้าเรือลำนี้ชนหินแล้วจมลงเมื่อไร ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดว่าจะอยู่สบายเลย เขาเองก็ปลีกตัวไม่พ้นอยู่ดี ถ้าอยากให้เรือใหญ่ลำนี้ไปได้ไกลกว่าเดิม ก็จะต้องร่วมใจกันทำงาน ไม่ใช่ว่าใครอยากจะขึ้นก็ขึ้น อยากจะลงก็ลง ไม่ใช่แค่เขาหรอก ไม่ว่าคนไหนของตระกูลโค่วก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น เดี๋ยวเจ้ากลับไปอธิบายหลักการนี้ให้เขาฟังให้เข้าใจ ไม่ได้มีเจตนาจะสู้กับเขา อย่าให้เรื่องเล็กทำให้อึดอัดใส่กัน ถ้าก้าวข้ามอุปสรรคนี้ไปไม่ได้ เช่นนั้นตระกูลโค่วก็เก็บเขาไว้ไม่ได้แล้ว มีอย่างที่ไหนกัน จะมาอาศัยบารมีแต่ไม่ยอมจ่ายอะไรเลย!”
“ขอรับ!” เฒ่าถังเอ่ยรับ
อวิ๋นเซวียน ชื่อของลานบ้านที่โค่วหลิงซวีลงมือเขียนด้วยตัวเอง
ถึงแม้อวิ๋นจือชิวจะตกอยู่ในสถานะกึ่งกักบริเวณ แต่ตระกูลโค่วก็ดูแลนางดีเหมือนเป็นลูกสาวคนหนึ่ง มอบสวนเดี่ยวให้แห่งหนึ่ง สภาพแวดล้อมสงบเงียบสวยงาม มีตึกศาลา มีสะพานและลำธารเล็กๆ ตอนแรกที่อวิ๋นจือชิวมาที่นี่ นางก็พักอยู่ที่นี่แล้ว ตอนนี้ก็ยังพักอยู่ที่นี่ ต่อให้อวิ๋นจือชิวจะไม่ได้อยู่ที่จวนตระกูลโค่ว สวนแห่งนี้ก็ยังคงถูกเก็บไว้ให้อวิ๋นจือชิว เทียบเท่ากับเป็นบ้านฝ่ายเจ้าสาวของอวิ๋นจือชิว
ในอ่างน้ำหรูหราที่สลักทองเลี่ยมหยก เหมียวอี้ที่เปลือยล่อนจ้อนกำลังแช่อยู่ในน้ำ อวิ๋นจือชิวที่สวมชุดชั้นในเผยส่วนเว้าส่วนโค้งกำลังช่วยอาบน้ำขัดตัวให้เขา อวิ๋นจือชิวที่ยามปกติดุดันปากร้าย แต่ยามนี้บทจะได้ดูแลคนก็ทำได้อย่างพิถีพิถันเป็นพิเศษ
ทั้งสองถ่ายทอดเสียงคุยกันตลอด เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่แดนสุขาวดี
เมื่อรู้ว่าได้หกเคล็ดวิชาพิเศษภาคฟ้าครบแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ย่อมปลาบปลื้มไม่หยุด นางรับของมาจากมือเหมียวอี้ พอหาเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคฟ้าเจอแล้ว ก็มานั่งพิงอยู่ข้างกายเหมียวอี้ แล้วเริ่มศึกษาอย่างละเอียด
“คัดลอกเคล็ดวิชาภาคฟ้าให้เหยียนซิวกับเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ ส่วนแผนที่ดาวอีกสองฉบับก็รีบเปรียบเทียบให้เร็วที่สุด ข้าสงสัยว่าในนั้นจะมีทางเข้าออกลับของแดนสุขาวดี ยังมีอีกฉบับที่ไม่ได้ทำสัญลักษณ์ประตูดวงดาว ข้าไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร” ขณะที่พูด มือข้างหนึ่งของเหมียวอี้ก็ล้วงเข้าไปเล่นในหน้าอกขาวเด้งของอวิ๋นจือชิว
“อย่าทำเป็นเล่น” อวิ๋นจือชิวกำลังมีสมาธิ ใช้ข้อศอกตีเขาสองสามที
เหมียวอี้จนปัญญา คิดในใจว่าตัวเองจะนำของมาให้นางในเวลานี้ทำไมกันนะ?
สุดท้ายอวิ๋นจือชิวที่ถูกถอดเสื้อชั้นในจนร่างกายเปลือยเปล่าก็นอนหมอบอยู่บนแท่นหยก นางใช้ข้อศอกยันร่างกายท่อนบนเอาไว้ แล้วในมือก็ถือแผ่นหยกอ่านจนเคลิบเคลิ้ม ท่านขุนนางเหมียวจึงหยิบผ้าขนหนูมาบริการเหมือนม้าเหมือนวัว ช่วยอาบน้ำถูหลังให้นางแล้ว…
ถึงแม้เมี่ยวฉุนจะถูกเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในแฝงในของวิเศษโจมตี เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่อยู่ในร่างกายไม่ได้เยอะ แต่เวลาจะช่วยรักษาขึ้นมาก็ต้องใช้ความพยายามไม่น้อยเลย ใช้เวลาไปครึ่งเดือนเต็มๆ กว่าจะกำจัดพิษออกจนหมด
ในวันที่สอบสวนในตำหนักหลัก โค่วหลิงซวีกับพระโพธิสัตว์หลันเย่ก็มาอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ส่วนเหมียวอี้ก็ถูกเรียกว่าคอยฟังและตรวจสอบความเช่นกัน
สุดท้ายเรื่องลอบจู่โจมในดาวฮุ่ยหลินที่เมี่ยวฉุนเล่าก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเหมียวอี้ไม่ได้โกหก ทั้งสองฝ่ายล้วนได้พยานคำพูดแล้ว
พระโพธิสัตว์หลันเย่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ที่นี่นาน พอจบเรื่องก็กล่าวขอตัวลากับโค่วหลิงซวี โค่วเจิงเป็นตัวแทนไปส่งแขก ส่วนเหมียวอี้ก็ถูกรั้งให้อยู่ต่ออีก
“โหย่วเต๋อ ตอนอยู่ที่ตลาดผีเจ้าอาจจะต้องระวังตัวมากขึ้นแล้ว” จู่ๆ โค่วหลิงซวีก็กล่าวออกมาช้าๆ
เหมียวอี้นั่งฟังมาตลอด ที่จริงเขามองออกแล้วว่าเหมือนโค่วหลิงซวีจะไม่ค่อยสนใจการสอบสวนเมื่อครู่นี้สักเท่าไร เหมือนจะเหม่อลอนครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอด เขาจึงกุมหมัดคารวะ “ท่านพ่อบุญธรรมไม่ต้องห่วง ข้าจะระวังตัว”
โค่วหลิงซวีส่ายหน้าเบาๆ รู้ว่าเขายังไม่รู้ถึงสถานการณ์ จึงพยักหน้าบอกใบ้ถังเฮ่อเหนียน
เฒ่าถังเข้าใจ จึงแจ้งข่าวที่สำคัญมากให้ฟัง “ท่านเขย ท่านต้องระวังตัวแล้วจริงๆ ถ้าหากคาดการณ์ไม่ผิด ราชินีสวรรค์อาจจะตั้งครรภ์โอรสสวรรค์แล้ว”
เหมียวอี้เบิกตากว้าง ข่าวนี้ฮือฮาจริงๆ มิน่าล่ะถึงทำให้โค่วหลิงซวีเหม่อลอยได้
เขาย่อมเข้าใจว่าเมื่อราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์โอรสสวรรค์แล้วหมายความว่าอะไร ก็หมายความว่าตระกูลเซี่ยโห้วบรรลุเป้าหมายแล้ว หมายความว่าความร่วมมือระหว่างตระกูลเซี่ยโห้วกับตระกูลโค่วจบลงแล้ว เกรงว่าทางตึกศาลาสัตยพรตคงจะไม่รักษาความปลอดภัยให้เขาอีก จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านอาถัง ยืนยันได้หรือเปล่า?”
เมื่อถามออกมาแบบนี้ เขาก็รู้สึกอีกว่าเป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น อาศัยช่องทางข่าวสารของตระกูลโค่ว มีหรือที่จะพูดออกมาโดยยังไม่ได้ยืนยันข่าว
ผู้เฒ่าถังบอกว่า “ถึงแม้ตำหนักสวรรค์จะไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ดูจากความเคลื่อนไหวที่ไม่ปกติของตำหนักนารีสวรรค์ เกรงว่าคงจะใกล้แล้ว แล้วทางตระกูลเซี่ยโห้วก็ส่งข่าวมาเช่นกัน บอกว่าจะพยายามช่วยให้เจ้าเลื่อนยศกลับไปเป็นแม่ทัพสองแถบให้เร็วที่สุด ในระหว่างนี้จะรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยของเจ้า แต่หลังจากนี้ก็รับประกันได้ยากแล้ว”
โค่วหลิงซวีพูดต่อจากเขา “ที่จริงเจ้าก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไป ตึกศาลาสัตยพรตไม่มีทางปล่อยให้ตลาดผีเกิดความวุ่นวายใหญ่โต ทางบ้านจะส่งยอดฝีมือไปคุ้มกันเจ้า”
“ท่านพ่อบุญธรรม!” เหมียวอี้พลันเงยหน้า แล้วกล่าวเสียงดังว่า “ตลาดผีคืออาณาเขตของข้า!”
โค่วหลิงซวีกับถังเฮ่อเหนียนอึ้งพร้อมกันทันที อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันเลิกลั่ก ทั้งคู่มองออกแล้วว่าต่างฝ่ายต่างก็ไม่เข้าว่าเหมียวอี้หมายความว่าอะไร
“ท่านเขย ข้าว่าท่านคงจะเข้าใจ ว่าตลาดผีคืออาณาเขตของตึกศาลาสัตยพรต” ถังเฮ่อเหนียนถาม
เหมียวอี้เงยหน้ายืดอก “ท่านพ่อบุญธรรม ข้าคือแม่ทัพภาคตลาดผี ถ้าเอาแต่หดหัวรอให้คนอื่นมาลงมือต่อไปแบบนี้ไม่ใช่วิธีที่ดี ขอเพียงท่านพ่อให้อำนาจตัดสินใจแก่ข้าในระดับหนึ่ง ที่จริงก็ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน ในเมื่อซ้ายก็หลบไม่ได้ ขวาก็หลบไม่ได้ ไม่สู้ชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ!”
ตั้งแต่เขาเริ่มก้าวเข้าสู่แดนฝึกตน ไม่ว่าจะไปคุมอาณาเขตไหน ก็ไม่เคยเก็บกดเหมือนตอนเป็นแม่ทัพภาคตลาดผีเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนกดดันอยู่ในอาณาเขตของตัวเองจนไม่กล้าโผล่หน้าออกมา เขาอยากจะระบายไฟโกรธนี้มาตั้งนานแล้ว
บทที่ 1639 อำนาจการตัดสินใจด้วยตัวเอง
ถังเฮ่อเหนียนตะลึงงัน นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้กล่าวอะไรเช่นนี้ออกมา ย้ายสายตาจากบนหน้าเหมียวอี้ไปที่หน้าโค่วหลิงซวี อยากจะดูปฏิกิริยาของโค่วหลิงซวี
ด้านนอกตำหนัก โค่วเจิงกลับมาจากการไปส่งขบวนเดินทางของพระโพธิสัตว์หลันเย่ ตอนที่มาถึงประตูก็ได้ยินคำพูดตอนท้ายของเหมียวอี้เช่นกัน เขาเดินเข้ามายื่นอยู่อีกข้างในตำหนักอย่างเงียบๆ กำลังสังเกตปฏิกิริยาของโค่วหลิงซวี
บนใบหน้าโค่วหลิงซวีไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เพียงจ้องมองเหมียวอี้ครู่หนึ่ง แล้วถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เจ้าเตรียมจะลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบยังไง?”
เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ “เปลี่ยนจากฝ่ายถูกกระทำเป็นฝ่ายกระทำ โดยเฉพาะการรอให้พวกเขามาหาเรื่องข้า ไม่สู้ให้ข้าไปหาเรื่องพวกเขาก่อนดีกว่า ลงมือกับฐานลับของพวกเขาที่ตลาดผี กดดันให้พวกเขาอึดอัดทุกข์ใจ กดดันจนพวกเขาร่วมแรงกัน ถึงจะกดดันให้ฝ่าบาทตอบตกลงที่จะปล่อยข้าออกจากตลาดผี แบบนั้นข้าถึงจะกลับมาทำงานรับใช้ที่ทัพเหนือให้ท่านพ่อบุญธรรมได้!”
โค่วหลิงซวีกับถังเฮ่อเหนียนสบตากันอย่างรู้สึกผิดคาดอีกครั้ง นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะมีอารมณ์รุนแรงขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะอยากงัดข้อกับตระกูลอื่นโดยตรง
โค่วเจิงชำเลืองมองเหมียวอี้พลางแอบเดาะลิ้น คิดในใจว่าช่างกล้า คงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วจริงๆ!
ถังเฮ่อเหนียนขมวดคิ้ว “ท่านเขย เรื่องนี้เวลาพูดน่ะพูดง่าย ขนาดตระกูลเรายังไม่ค่อยรู้เรื่องฐานลับของพวกเขาที่ตลาดผีเลย ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะหาฐานลับของพวกเขาที่ตลาดผีเจอหรือไม่ ลำพังแค่ความเสี่ยงที่อยู่ในนั้น ท่านเคยคิดบ้างรึเปล่า ถ้ากดดันจนพวกเขาจนตรอกเป็นสุนัขกระโดดกำแพง แล้วลงมือสังหารท่านโดยตรง เกรงว่าต่อให้เป็นตึกศาลาสัตยพรตก็ปกป้องท่านลำบากมาก”
เหมียวอี้อธิบายอย่างใจเย็น “ท่านอาถัง ถ้าข้าไม่ทำอย่างนี้ แล้วพวกเขาจะปล่อยข้าไปเชียวเหรอ? ถ้าข้าไม่ทำอย่างนี้ ก็แสดงว่าไม่มีอันตรายใช่มั้ย? ฝ่าบาทไม่ความคิดยังไง ท่านพ่อบุญธรรมกับท่านอาถังก็รู้แจ่มชัดกว่าข้า ตราบใดที่ข้าไม่ทรยศท่านพ่อบุญธรรม ก็เป็นไปไม่ได้ที่ฝ่าบาทจะปล่อยข้าออกจากตลาดผี จะกดดันให้ข้าอยู่ในสถานที่อันตรายตลอด และถ้าข้าทรยศท่านพ่อบุญธรรมเมื่อไร ก็จะต้องแบกรับคำครหาว่าคนทรยศอกตัญญู ไร้ศีลธรรมจรรยาไปตลอดชีวิต ท่านอาถังข้าไม่มีทางให้ถอยแล้ว จะเป็นเป้านิ่งรอให้พวกเขาลงมือกับข้าไม่ได้!”
ถังเฮ่อเหนียนมอบโค่วหลิงซวีที่เงียบไปแวบหนึ่ง แล้วถอนหายใจเบาๆ “ท่านเขย ข่าวเข้าใจความกังวลของท่าน แต่ในบ้านมีงานมากมาย ต้องเกี่ยวข้องกับหลายด้านมาก เป็นไปไม่ได้ที่จะให้บุคลากรสำคัญวนรอบตลาดผีอยู่ตลอด หวังว่าท่านจะเข้าใจ”
เหมียวอี้ตอบว่า “ท่านอาถัง ข้าเองก็ไม่อยากก่อเรื่องหรอก แต่ต่อให้ต้นไม้อยากจะอยู่นิ่งๆ แต่ลมกลับพัดไม่หยุด! เริ่มตั้งแต่ตอนที่ข้าบริหารร้านขายของชำซื่อตรงที่ตลาดสวรรค์ สถานการณ์ของข้าก็ไม่เคยปลอดภัยอย่างแท้จริงเลย ข้าเดินผ่านมาโดยมีอันตรายแฝงอยู่รอบตัวตลอด แต่ข้าไม่กลัวหรอก ข้าชินมาตั้งนานแล้ว ข้าก็เลยกล้าล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์ กล้านำกำลังพลครึ่งหนึ่งของธงพยัคฆ์ไปตีทัพใหญ่หนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติง อนาคตดีๆ ที่ได้มาไม่ใช่เพราะอดทน แต่เป็นเพราะต่อสู้มาทั้งนั้น! ส่วนเรื่องกำลังคน…ท่านอาถัง ข้าคุมตลาดสวรรค์มาหลายปีขนาดนี้ เพื่อที่จะปกป้องตัวเองจากอันตรายรอบตัว เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะไม่เตรียมคนไว้เลย ตอนที่ในมือข้ากุมอำนาจการซื้อขายของร้านค้าจำนวนมากเอาไว้ ข้าก็ต้องคบหาสหายไว้บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ และลูกน้องคนสนิทของข้าก็ถูกผลักดันให้ขึ้นตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์หลายแห่งทั้งแบบโจ่งแจ้งและแบบลับ ข้าควบคุมช่องทางทรัพยากรได้จำนวนหนึ่ง ดังนั้นข้าจึงคบหาสหายไว้หลายวงการ ข้ามั่นใจว่าข้าหาคนมาช่วยได้แน่นอน ขนาดในปีนั้นที่ข้าไม่มีที่พึ่งพา ข้ายังไม่กลัวเลย ตอนนี้มีตระกูลสนับสนุนแล้ว ข้าก็ยิ่งไม่กลัว!”
ในดวงตาถังเฮ่อเหนียนฉายแววตกตะลึง ที่แท้เจ้าหนุ่มนี่ก็ขยายอำนาจตัวเองตั้งแต่ตอนเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์แล้ว
โค่วเจิงก็ทำสายตาตกตะลึงเช่นกัน
โค่วหลิงซวีหลับตาเล็กน้อย พร้อมถามเสียงเรียบ “บอกรายละเอียดมา เจ้าเตรียมจะลงมือยังไง?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ท่านพ่อบุญธรรม ข้าถูกดดันให้หดหัวอยู่ในจวนแม่ทัพภาคมาตลอด ไม่รู้สถานการณ์เกี่ยวกับฐานลับของแต่ละตระกูลในตลาดผีเลย ถ้าจะให้บอกรายะละเอียดตอนนี้ก็ถือว่าเร็วไปหน่อย เรื่องวางแผนให้รอบคอบและมองการณ์ไกลน่ะข้าทำไม่ไหวหรอก ข้าชินกับการพลิกแพลงตามสถานการณ์มากกว่า ดังนั้นข้าจึงอยากให้ท่านพ่อบุญธรรมให้อำนาจตัดสินใจกับข้าในระดับหนึ่ง”
โค่วหลิงซวีหลุบตาต่ำลง แล้วถามด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบา “เจ้ารู้สึกว่าตระกูลโค่วจำกัดอิสระของเจ้าเหรอ?”
เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ “ท่านพ่อบุญธรรมเข้าใจผิดแล้ว ข้าแค่หวังให้ท่านพ่อบุญธรรมให้โอกาสข้าตัดสินเองตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป”
นี่ก็คือข้อเสียของการเข้ามาอยู่ในตระกูลโค่ว ไม่ว่าเรื่องไหนก็ต้องขอคำชี้แนะจากตระกูลโค่วก่อนตลอด มีเรื่องมากมายที่เขาไม่สามารถทำเองได้เลย เรียกได้ว่าถูกจำกัดอิสระไว้เข้มงวดมาก หลายวันก่อนหลังจากถังเฮ่อเหนียนพูดคุยกับเขาในเชิงลึกไปครั้งหนึ่ง เขาก็ไตร่ตรองมาเยอะมาก นอกจากนอนกับอวิ๋นจือชิวอย่างเอาเป็นเอาตายทุกวันเพราะห่างกันไปนาน เขาก็ไตร่ตรองเรื่องนี้มาตลอด ไม่ต้องพูดถึงการหลุดพ้นจากตระกูลโค่วโดยสิ้นเชิง อย่างน้อยเขาก็ต้องคิดหาทางช่วงชิงทางหนีทีไล่ในการถอยหลับบ้างสักนิด ไม่อย่างนั้นการทำแบบนี้ต่อไปก็ไม่ใช่วิธีการที่ดี
เรื่องที่ราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์ เขารู้สึกว่าอาจจะมีโอกาสนี้ แต่ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เขาก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะลองดู
โค่วหลิงซวียังไม่มีปฏิกิริยากับสิ่งนี้ ยังคงกล่าวอย่างไม่รีบร้อนว่า “เจ้าเป็นคนของตระกูลโค่วแล้ว ที่ให้เจ้ารายงานขึ้นมาทุกเรื่องก็เพราะมีหลายเรื่องที่ดึงขนเส้นเดียวสะท้านทั้งร่างกาย[1] และสถานการณ์เบื้องล่างของเจ้าก็ไม่ชัดเจน ทางนี้สามารถช่วยเจ้าพิจารณาถึงสถานการณ์โดยรวมได้มากขึ้น ทำให้เจ้าเสียเปรียบน้อยลง ทั้งเป็นการหวังดีต่อตระกูลโค่ว และหวังดีต่อเจ้า”
เหมียวอี้จึงกล่าวอย่างจริงใจว่า “ข้าทราบว่าท่านพ่อบุญธรรมหวังดีกับข้า หนิวโหย่วเต๋อก็ไม่ใช่คนที่ไม่เข้าใจเหตุผลเช่นกัน ย่อมรู้จักบันยะบันยัง ไม่ได้บอกว่าตัวเองจะตัดสินใจซี้ซั้ว เพียงหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากท่านพ่อบุญธรรม ให้โอกาสข้าตัดสินใจเองตามสถานการณ์ที่พบเจอ ไม่ได้แปลว่าจะไม่บอกอะไรกับตระกูลเลย แต่เรื่องบางเรื่องนั้นเปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า ถ้ามีอำนาจรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อการแสดงความสามารถของข้า หวังว่าท่านพ่อบุญธรรมจะช่วยให้สมปรารถนา?”
“เจ้าคิดว่าเจ้างัดข้อกับตระกูลพวกนั้นไหวจริงๆ เหรอ?” โค่วหลิงซวีเอ่ยถามเสียงเรียบ
“ข้าย่อมไม่มศักยภาพนั้น ก็เลยหวังจะได้รับการสนับสนุนจากท่านพ่อบุญธรรม หวังว่าท่านพ่อบุญธรรมจะช่วยข้าแก้ไขปัญหาจุกจิกใจในภายหลังให้” เหมียวอี้ตอบ
โค่วหลิงซวีร้องอ๋อ แล้วเดินผ่านข้างกายเหมียวอี้อย่างช้าๆ หลังจากหยุดยืนนิ่งแล้ว ก็เอามือไขว้หลังมองออกไปนอกประตูตำหนัก แล้วพูดกับเขาในขณะที่หันหลังให้ว่า “ปัญหาจุกจิกใจในภายหลังอะไรบ้าง? ลองพูดมาก่อน”
เหมียวอี้ตามไปข้างหลังเขา “ประการแรกคือการสนับสนุนจากท่านพ่อบุญธรรมในการประชุมราชสำนัก ไม่อย่างนั้นเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์โดยรวม หนิวโหย่วเต๋อก็ต้านรับไม่ไหวเลย”
“นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว เป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าช่วยได้ก็ย่อมต้องช่วย” โค่วหลิงซวีกล่าว
เหมียวอี้บอกต่อว่า “พวกทหารยศต่ำในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีไร้ความหวังที่จะได้เลื่อนขั้น กลายเป็นปลิ้นปล้อนแก่ประสบการณ์ไปหมดแล้ว คาดว่าคงถูกอำนาจแต่ละฝ่ายแทรกซึมเข้ามา ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็เก็บเป็นความลับไม่ได้เลย ข้าหวังว่าจะเปลี่ยนคนชุดใหม่ หวังว่าท่านพ่อบุญธรรมจะส่งกำลังคนที่มีฝีมือมาให้ข้าสักชุดหนึ่ง เป็มกลุ่มคนที่เชื่อฟังคำสั่งข้าอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ในที่สุดโค่วหลิงซวีก็ทำสีหน้ามีเมตตากรุณาแล้ว ยังนึกว่าเหมียวอี้ต้องการจะตัดสินใจเองโดยสิ้นเชิง การให้เขาส่งคนทางนี้ไปให้ ก็แปลว่าเหมียวอี้ยังไม่ได้คิดจะปลีกตัวออกจากการควบคุมของตระกูลโค่ว โค่วหลิงซวีจึงหันกลับไปมองถังเฮ่อเหนียน “ผู้เฒ่าถัง เจ้าไปจัดการเรื่องนี้เถอะ”
โค่วเจิงตกใจทันที แต่ถังเฮ่อเหนียนกลับกล่าวอย่างลังเลนิดหน่อยว่า “นายท่าน เกรงว่าเรื่องนี้คงจะจัดการลำบาก ประการแรกคือตลาดผีไม่ได้อยู่ในเขตปกครองของทัพเหนือ แต่อยู่ในการควบคุมของราชินีสวรรค์ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าการไปตลาดผีนั้นยุ่งยาก ในภายหลังถ้าจะย้ายออกจากตลาดผีก็ยุ่งยากเช่นกัน เกรงว่าจะไม่มีใครอยากไป”
โค่วหลิงซวีบอกว่า “เรื่องทางวังหลังน่ะ ข้าจะให้สนมอวี้ไปคุยกับราชินีสวรรค์ให้ ตอนนี้ราชินีสวรรค์กับลังพบเจอเรื่องมงคล ตระกูลโค่วของข้าออกแรงช่วยเยอะขนาดนี้ เป็นเวลาที่คุยง่ายพอดี ตระกูลเซี่ยโห้วต้องตอบแทนน้ำใจที่ติดหนี้พวกเราเอาไว้ ไม่มีทางมาขัดขวางเรื่องเล็กน้อยในเวลานี้ น่าจะไม่ยากมาก ส่วนเรื่องความกังวลของกำลังพลเบื้องล่าง ถ้าทุ่มเททำงานรับใช้ข้า ข้าจะดูแลพวกเขาไม่ดีเชียวหรือ?”
โค่วเจิงยังคงฟังอย่างเงียบๆ แต่ในใจกลับเข้าใจ ว่าการที่ท่านพ่อพูดแบบนี้ได้ ก็แสดงว่าตอบรับคำขอของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว
“ขอรับ! บ่าวจะกลับไปแจ้งให้สนมอวี้ทราบเดี๋ยวนี้ เร่งให้สนมอวี้รีบจัดการเรื่องนี้อย่างเร็วที่สุด” ถังเฮ่อเหนียนย่อตัว
โค่วหลิงซวีบอกอีกว่า “ยังมีอะไรอีกก็บอกมาพร้อมกันเลย” ประโยคนี้ย่อมใช้ถามเหมียวอี้อยู่แล้ว
เหมียวอี้ก็ไม่เกรงใจเช่นกัน “ท่านพ่อบุญธรรม หลังจากได้คนมาแล้ว มอบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ให้พวกเขาทุกคนด้วยได้หรือเปล่า?”
โค่วหลิงซวีก็ไม่เกรงใจเช่นกัน “เดิมทีจวนแม่ทัพภาคตลาดผีก็มีไว้แต่ในนามอยู่แล้ว ไม่มีสิทธิ์ใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ข้าส่งคนให้เจ้าได้ แต่ย้ายธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของทัพเหนือไปไม่ได้ ราชินีสวรรค์ก็ไม่มีอำนาจนี้เช่นกัน เรื่องนี้ไม่มีทางช่วยเจ้าได้”
เดิมทีเหมียวอี้อยากจะถามว่า ถ้าตัวเองจะหาธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มาเองได้หรือไม่ แต่พอคิดไปคิดมาก็ไม่ได้ถาม จะได้ไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัว ทำได้เพียงเปลี่ยนเป็นขอร้อง “ท่านพ่อบุญธรรม ข้าอยากจะได้หัวของคนคนหนึ่ง!”
“ว่ามา!” โค่วหลิงซวีกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ ดูไม่สะทกสะท้าน
“ข้าอยากจะลงดาบแรกที่หัวของอิ๋งหยางก่อน!” เหมียวอี้กล่าว
เมื่อกล่าวมาแบบนี้ โค่วเจิงกับถังเฮ่อเหนียนก็รีบหันมามองพร้อมกัน โค่วหลิงซวีก็หันตัวมาเช่นกัน แล้วกล่าวด้วยแววตตาที่วูบไหว “หลายชายของอิ๋งจิ่วกวงเหรอ?”
“ใช่แล้ว!” เหมียวอี้กล่าวอย่างใจเย็น “อิ๋งหยางวางแผนสังหารข้าที่แดนสุขาวดี ข้าต้องคิดบัญชีนี้กับเขา”
โค่วเจิงอดไม่ได้ที่จะบอกว่า “น้องเขย อิ๋งหยางจะสั่งคนที่แดนสุขาวดีได้ยังไง ในใจเจ้าน่าจะรู้ชัดนะ เบื้องหลังคือตระกูลอิ๋ง”
“แต่ข้าทำอะไรตระกูลอิ๋งไม่ได้ ทำได้เพียงลงดาบกับอิ๋งหยางก่อน” เหมียวอี้ตอบอย่างซื่อสัตย์มาก
โค่วเจิงกล่าวอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เจ้าช่างซื่อสัตย์จริงๆ หลานชายของตระกูลอิ๋งตายเพราะเจ้าทั้งทางตรงทางอ้อมไปสองคนแล้ว ถ้าเจ้าฆ่าอีกคน จะให้ตระกูลอิ๋งทนความรู้สึกนี้ได้ยังไง?”
“แต่ก็ไม่เร็วเท่าการให้กำเนิดของพวกเขาหรอก แต่ได้ยินว่าตายไปสองก็เกิดใหม่อีกสอง” เหมียวอี้ตอบอย่างเย็นชา แล้วกล่าวอย่างแน่วแน่อีก “ตระกูลอิ๋งลงมือกับข้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้ากลับทำอะไรตระกูลอิ๋งไม่ได้ ถ้าอีกฝ่ายยื่นมือมาข้างหนึ่ง ข้าก็ทำได้เพียงตัดทิ้งข้างหนึ่ง! ไม่ใช่แค่คั้รงนี้ ในภายหลังหากตระกูลอิ๋งลงมือกับข้าอีก ข้าก็จะไประบายอารมณ์กับลูกหลานของตระกูลอิ๋ง ข้าก็อยากจะเห็นว่าพวกเขาจะให้กำเนิดเร็วกว่า หรือข้าจะสังหารทิ้งเร็วกว่า ประการต่อมา ข้าต้องกดดันให้ฐานลับของตระกูลอิ๋งทางตลาดผีมีปฏิกิริยาโต้ตอบ จะได้หาเบาะแสเจอแล้วกำจัดทิ้งสะดวก!”
โค่วเจิงอ้าปากค้าง แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “นี่เจ้ากำลังล่วงเกินตระกูลอิ๋งแบบถึงตายแล้ว!”
“พี่ใหญ่ ต่อให้ข้าไม่ลงมือ แล้วพวกเขาจะเลิกรางั้นเหรอ พวกเขาจะปล่อยข้าไปเหรอ?” เหมียวอี้ถามกลับ
โค่วเจิงพูดไม่ออก เขามองดูปฏิกิริยาของบิดา แม้แต่ถังเฮ่อเหนียนก็อดไม่ได้ที่จะเกาศีรษะ
โค่วหลิงซวีเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “ทางนี้ไม่มีทางช่วยเจ้าฆ่าลูกหลานตระกูลอิ๋ง ถ้าเจ้ามีความสามารถเจ้าก็จัดการเอาเอง”
“ท่านพ่อบุญธรรม ข้าต้องการรู้แค่ความเคลื่อนไหวและทิศทางของเขา” เหมียวอี้กล่าว
“ผู้เฒ่าถัง เจ้าจับตาดูการเคลื่อนไหวของเจ้าเด็กตระกูลอิ๋งนั่นหน่อยก็แล้วกัน” โค่วหลิงซวีสั่ง
ผู้เฒ่าถังยิ้มเจื่อน “นายท่าน ทางตระกูลอิ๋งแสดงท่าทีแล้ว ว่ายินดีจะปล่อยตำแหน่งหัวหน้าภาคให้สองตำแหน่งกับเรื่องที่แดนสุขาวดี”
โค่วหลิงซวีตอบว่า “ถ้าจะทำอย่างนั้นก็ช่างเถอะ ถ้ามีวิธีการทำให้ตระกูลโค่วไม่รู้ว่าใครทำ นั่นก็เป็นความสามารถของตระกูลอิ๋ง! เป็นฝั่งตระกูลอิ๋งที่ทำผิดธรรมเนียมก่อน เอาแค่ที่เห็นอย่างชัดเจน นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ตระกูลอิ๋งลงมือกับโหย่วเต๋อ? ควรจะทำให้ตระกูลอิ๋งได้สติสักหน่อย คืนตำแหน่งหัวหน้าภาคสองตำแหน่งนั่นไปเถอะ ไปจัดการตามที่โหย่วเต๋อบอก”
“ขอรับ!” ผู้เฒ่าถังยิ้มเจื่อนพลางพยักหน้าเอ่ยรับ เพียงแต่ไม่รู้ว่าตระกูลอิ๋งจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อได้เห็นท่าทีของตระกูลโค่ว ไม่รู้ว่าหลานชายคนนั้นของตระกูลอิ๋งจะกลัวหรือเปล่า
…………………………
[1] ดึงขนเส้นเดียวสะท้านทั้งร่างกาย 牵一发而动全身 หมายถึง การเคลื่อนไหวเล็กน้อยที่ส่งผลกระทบต่อส่วนรวม
บทที่ 1640 แผนที่อีกหนึ่งฉบับ
“ขอบคุณท่านพ่อบุญธรรมที่ช่วยให้สมปรารถนา!” เหมียวอี้กุมหมัดขอบคุณ
โค่วหลิงซวีโบกมือให้จากข้างหลัง “คนบ้านเดียวกัน ยังมีอะไรจะขออีกก็พูดออกมาทีเดียวเลย”
เหมียวอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วก็ตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่มีขอรับ รอให้นึกออกแล้วค่อยรบกวนท่านพ่อบุญธรรมอีก”
“หึ! เจ้านี่ช่างไม่เกรงใจเลยจริงๆ” โค่วหลิงซวีพ่นเสียงทางจมูก แล้วโบกมือบอกว่า “เอาล่ะ ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วก็กลับไปอยู่กับเจ้าเจ็ดก่อน เจ้าเองก็อยู่ที่นี่นานเกินไปไม่ได้ ยังต้องกลับไปที่ตลาดผีให้เร็วที่สุด ถือโอกาสนี้ใช้เวลาอยู่กับนางให้มากๆ ส่วนเรื่องเปลี่ยนกำลังพลที่ตลาดผี เดี๋ยวผู้เฒ่าถังจะติดต่อเจ้าไปอีกที”
ผู้เฒ่าถังก็พยักหน้าเช่นกัน “ท่านเขย หากเรื่องทางนี้เรียบร้อยแล้ว บ่าวจะติดต่อท่านไปทันที”
“รบกวนท่านอาถังแล้ว” เหมียวอี้กุมหมัดขอบคุณ แล้วถือโอกาสขอตัว
หลังจากมองส่งเขาจากไปแล้ว ผู้เฒ่าถังก็หันตัวถามว่า “นายท่าน จะให้เขาก่อเรื่องที่ตลาดผีจริงเหรอ?”
โค่วหลิงซวีตอบว่า “ที่เขาพูดก็ไม่ผิด ตราบใดที่เขาไม่ทรยศค่ะ ประมุขชิงก็ไม่มีทางปล่อยเขาออกจากตลาดผี จะคุมตัวเขาไว้ที่ตลาดผีตลอด พวกเราปกป้องเขาได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว ปกป้องทั้งชีวิตไม่ได้ สถานการณ์กลายเป็นอย่างนี้แล้ว การเก็บเขาไว้ในมือก็กลายเป็นซี่โครงไก่อยู่ดี ถ้าเขาเผชิญกับสถานการณ์วิกฤต พวกเราจะทำยังไงล่ะ? จะช่วยหรือจะไม่ช่วย? ตระกูลอื่นล้วนต้องการเล่นงานเขาให้ถึงความตาย ตระกูลโค่วของเราตระกูลเดียวหากรับมือกับตะกูลอื่นต่อไปนานๆ ก็จะได้ไม่คุ้มเสีย แต่ถ้าไม่ช่วยเขา ชื่อเสียงของพวกเราก็จะไม่น่าฟังเช่นกัน ตอนนี้เขาก็เรื่องสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน ถ้าเป็นอย่างที่เขาบอกได้จริงๆ ถ้ากลับมาทำงานให้ตระกูลโค่วที่ทัพเหนือได้จริงๆ ก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว แต่ถ้าทำไม่สำเร็จ ตายอยู่ในมือตระกูลอื่น ก็นับว่าเรื่องนี้จบลงแล้วเช่นกัน”
โค่วเจิงกลับถังเฮ่อเหนียนทำสีหน้าครุ่นคิด ยอมเข้าใจว่าคำว่า ‘จบ’ หมายความว่าอะไร หนิวโหย่วเต๋อถูกประมุขชิงกดไว้ที่ตลาดผี เป็นการสร้างสถานะฝ่ายถูกกระทำไม่ตระกูลโค่วมากจริงๆ นี่คือสิ่งที่ตระกูลโค่วไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย สิ้นเปลืองความคิดมากมายเพื่อชิงตัวลูกศิษย์ของอสุราอัคนีเอาไว้ในมือ แต่กลับกลายเป็นตัวภาระแล้ว ในเมื่อหมดประโยชน์แล้ว บางทีการตายด้วยน้ำมือของตระกูลอื่น ก็จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ทั้งสองคนเข้าใจแล้วว่าทำไมโค่วหลิงซวีถึงตอบตกลงเงื่อนไขของหนิวโหย่วเต๋ออย่างใจถึงตรงไปตรงมา ที่พยายามช่วยเขาเต็มที่ ก็เพื่อจะให้โลกภายนอกได้เห็นเท่านั้น โค่วหลิงซวีทุ่มทุนไปเยอะเพื่อดึงตัวมา ถ้าทิ้งไปง่ายๆ จะให้ลูกน้องมองเขาอย่างไร จะไม่ผิดหวังท้อใจกันหรอกเหรอ
“เฮ้อ!” ถังเฮ่อเหนียนถอนหายใจเบาๆ เรื่องบางเรื่องก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาจริงๆ เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ที่จริงจะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ ว่าเจ้าเด็กนี่มีจุดที่เหนือกว่าคนอื่นจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าหาญงัดข้อกับตระกูลอื่น ความกล้าของเขาไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นจะเทียบติด ระดับผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ คนอื่นยังคิดอยู่เลยว่าจะปีนขึ้นไปยังไง จะกอบโกยทรัพยากรอย่างไง ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าหมอนี่จะขยายอำนาจตัวเองไปแล้ว?” เขาหมายถึงเรื่องที่เหมียวอี้อาศัยอำนาจตอนรับตำแหน่งที่ตลาดสวรรค์มาหาเส้นสายกับคนหลากหลายวงการ
“เจ้าใหญ่ ที่หนิวโหย่วเต๋อพูดเมื่อครู่นี้เจ้าก็ได้ยินแล้ว” โค่วหลิงซวีหันตัวมามองโค่วเจิง เตือนอย่างจริงจังว่า “เขาหัวรุนแรง บ้าพลัง ทุ่มสุดตัว เมื่อไหร่ที่สภาพแวดล้อมไม่เอื้อประโยชน์ต่อตัวเอง เขาก็กล้ายอมแลกทุกอย่างแล้วสู้ตาย คนประเภทนี้บางทีก็โง่ที่สุดเหมือนกัน แต่บางทีก็น่ากลัวที่สุด เพราะคนที่ประสบความสำเร็จก็มักจะเป็นคนประเภทนี้ เมื่อไม่มีโอกาส ก็จะสร้างโอกาสให้ตัวเอง ไม่ใช่พวกลังเลห่วงหน้าพะวงหลังพี่รู้จักแต่รอโอกาส บนโลกนี้มีโอกาสเยอะพอกับจำนวนคนรอเสียที่ไหนกัน ถ้าประสบความสำเร็จก็มีชื่อเสียง ถ้าพ่ายแพ้ชีวิตก็ไร้ค่า นี่ก็คือความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่างต้นหญ้าที่ผงาดขึ้นมากับลูกหลานผู้มีอำนาจ! พวกเจ้ามีตระกูลปกป้องมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยได้รับความพ่ายแพ้อะไร สิ่งที่เรียนมาได้ก็เป็นเพราะใช้อำนาจที่คนรุ่นก่อนรักษาไว้ให้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อาศัยอำนาจอ้อมไปอ้อมมา คนที่หมกมุ่นว่าตัวเองฉลาดแล้วภาคภูมิใจในตนเองน่ะเป็นคนโง่ อ้อมค้อมนานๆ เข้าก็จะทำให้ตัวเองเลอะเลือน ถ้าเจอคนที่เจ้าอ้อมค้อมด้วยไม่ไหว ใช้ดาบแทงเข้ามาใส่เจ้าโดยตรง เจ้าก็จะลนลานทำอะไรไม่ถูก บนตัวหนิวโหย่วเต๋อมีสิ่งที่ควรค่าให้เจ้าเรียนรู้”
“ขอรับ! ลูกได้เรียนรู้แล้ว” โค่วเจิงกุมหมัดคารวะพลางโค้งตัวค้างไว้
พอเหมียวอี้ที่มีเรื่องหนักใจเดินมาถึงนอกสวน ก็อดไม่ได้ที่จะหยุดฝีเท้า เงยหน้ามองตัวอักษร ‘อวิ๋นเซวียน’ บนประตูที่โค่วหลิงซวีเขียนด้วยตัวเอง
พูดถึงขั้นนั้นแล้ว โค่วหลิงซวีก็ไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยอวิ๋นจือชิวออกจากจวนอ๋องสวรรค์เลย เขาย่อมเข้าใจว่าอวิ๋นจือชิวอยู่ทำอะไรที่นี่ เขาอยู่ข้างนอกแต่กลับทิ้งให้เมียตัวเองมาเป็นตัวประกันอยู่ที่นี่ สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกผิดในใจ
เพียงแต่พอกลับมาย้อนคิดดูตอนนี้ การทิ้งอวิ๋นจือชิวไว้ที่นี่ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่ อย่างน้อยก็ปลอดภัยไร้กังวล เรื่องที่เขากำลังจะทำที่ตลาดผี ไม่เหมาะที่จะพาอวิ๋นจือชิวไปเสี่ยงอันตรายด้วย ถ้าทำเรื่องนี้สำเร็จก็จะแลกอิสระมาให้อวิ๋นจือชิวได้ แต่ถ้าเรื่องนี้ล้มเหลว ก็เกรงว่าโฉมงามคงจะกระดูกแตกสลาย หลังจากเขาตายไป อวิ๋นจือชิวก็จะหมดคุณค่าให้ตระกูลโค่วกักตัวไว้ สามารถทำให้อวิ๋นจือชิวได้รับอิสระเช่นกัน และในมืออวิ๋นจือชิวก็มีช่องทางและทรัพยากรที่เขาทิ้งไว้ให้ ชีวิตในอนาคตคงจะไม่มีปัญหา ส่วนจีเหม่ยลี่และอนุภรรยาคนอื่นๆ ก็ล้วนมีอำนาจหนุนหลังหนุนหลัง ต่อให้ตัวเองตายไปก็ไม่ส่งผลกระทบต่อพวกนางมากนัก
ส่วนคนอื่นๆ คนตายก็เหมือนโคมไฟที่ดับแล้ว เขาก็ดูแลไม่ทั่วถึงเช่นกัน
หลังจากจบเรื่องแล้วจะได้ไม่มีความกังวลเกินไป พอนึกถึงตรงนี้ จู่ๆ เหมียวอี้ก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง รู้สึกว่าตัวเองสามารถเผชิญหน้ากับสารเลวพวกนั้นได้อย่างเต็มที่แล้ว!
เขาเก็บงำความกลุ้มใจของตัวเอง เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม แล้วเดินก้าวยาวเข้าไปในหออวิ๋นเซวียน
ไม่นานข้างในก็มีเสียงของเสวี่ยเอ๋อร์ดังขึ้น “ฮูหยิน นายท่านกลับมาแล้วค่ะ”
ผ่านไปม่นาน อวิ๋นจือชิวที่มีเสียงเครื่องประดับดังกรุ๊งกริ๊งก็นำเชียนเอ๋อร์เดินออกมาจากลานบ้านด้านหลัง ปิ่นทองบนมวยผมสั่นไหว คนงดงามกว่าดอกไม้ เปล่งประกายสดใส
ก่อนจะเข้ามา อวิ๋นจือชิวก็มองประเมินเขาศีรษะจดเท้า แล้วพูดหยอกว่า “ยิ้มตาหยีแบบนี้ ไปเจอเรื่องอะไรดีๆ มาล่ะ? มีบ้านไหนจะนำสาวงามส่งให้ถึงที่เหรอ?”
เหมียวอี้ยื่นมือไปจับคางที่ขาวเกลี้ยงเกลาของนาง “เมื่อคืนนี้ใครกันนะที่ร้องขอชีวิต พอได้ใส่เสื้อผ้าก็ปากดีเลยนะ?”
เพี้ยะ! อวิ๋นจือชิวปัดมือเขาออก พอนึกถึงเรื่องที่ถูกกระทำจนจะเป็นจะตายเมื่อคืนนี้ นางก็อับอายจนเกินทน แก้มแดงเหมือนพระอาทิตย์ยามเย็นทันที นางยกกระโปรงขึ้นมา แล้วเตะเขาอย่างโมโหเพราะอับอาย “ปากไม่มีหูรูด คนจัญไรไม่รู้จักอาย”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เม้มปากแอบหัวเราะ เหมือนจะมีแค่ตอนที่ทำเรื่องนั้นแล้วเท่านั้น ฮูหยินถึงจะยอมแพ้เมื่ออยู่ต่อหน้านายท่าน
อวิ๋นจือชิวถลึงตาใส่สาวใช้ พวกนางทำหน้านิ่งอย่างซื่อสัตย์ทันที แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
“ผีบ้า!” อวิ๋นจือชิวยื่นมือไปบิดเอวเหมียวอี้อีก เสร็จแล้วถึงได้คล้องแขนเขาเดินเข้าไปในเรือน พร้อมถามว่า “ไม่เป็นไรแล้วใช่มั้ย?”
“จะเป็นอะไรไปได้ล่ะ ก็แค่ให้ทั้งสองฝ่ายให้คำอธิบาย พระโพธิสัตว์หลันเย่พาคนกลับไปแล้ว” เหมียวอี้ตอบอย่างผ่อนคลาย
ส่วนบทสนทนากับตระกูลโค่ว รวมทั้งเรื่องที่ตัวเองกำลังจะทำ เขาไม่ได้คิดจะบอกนาง นางจะได้ไม่กังวล
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” อวิ๋นจือชิวใช้มือข้างหนึ่งตบหน้าอกที่อิ่มเอิบของตัวเอง หลังจากทั้งสองเข้าไปในศาลาแล้วก็ปล่อยแขนเหมียวอี้ รับถ้วยน้ำชาจากมือเชียนเอ๋อร์ยื่นให้เขา ส่วนตัวเองก็นั่งลงตรงข้าม รอให้เหมียวอี้จิบน้ำชาจนชุ่มคอแล้ว นางถึงได้ถ่ายทอดเสียงในขอบเขตแคบๆ “รีบๆ หน่อย ในที่สุดข้าก็เปรียบเทียบแผนที่สองฉบับนั้นจนเจอเบาะแสก่อนที่เจ้าจะกลับตลาดผีแล้ว ส่วนรายละเอียดอาจจะยังเทียบไม่เจออะไร ต้องรอไปตรวจสอบกับสถานที่จริงถึงจะแน่ใจได้”
“อ้อ!” เหมียวอี้วางถ้วยน้ำชาลง แล้วถามว่า “ผลเป็นยังไง?”
อวิ๋นจือชิวตอบว่า “เจ้าเดาไว้ไม่ผิดหรอก แผนที่หนึ่งในนั้นอาจจะเป็นทางลับที่ใช้เข้าออกแดนสุขาวดีจริงๆ เพราะจุดเริ่มต้นของประตูดวงดาวแห่งหนึ่งก็อยู่ในแดนสุขาวดี น่าจะเป็นทางออกมาจากแดนสุขาวดี ส่วนตำแหน่งโดยละเอียดของประตูดวงดาวก็อยู่ที่อาณาเขตนิรนามฝั่งแดนสุขาวดี ถ้าอยากจะหาให้เจอก็คงต้องทำตามขั้นตอน ส่วนจุดเริ่มต้นของประตูดวงดาวอีกแห่งอยู่ฝั่งตำหนักสวรรค์ ตำแหน่งประตูดวงดาวก็อยู่ที่อาณาเขตนิรนามเช่นกัน ถ้าอิงตามแผนที่แดนอเวจีครั้งก่อน เชื่อมโยงกับวัตถุประสงค์ของผู้ซ่อนสมบัติ มีทั้งทางเข้าและทางออกคู่กัน ประตูดวงดาวอีกแห่งก็น่าจะเป็นทางเข้าแดนสุขาวดี”
เหมียวอี้พยักหน้า “แล้วแผนที่อีกฉบับล่ะ?”
พอพูดถึงแผนที่อีกฉบับ อวิ๋นจือชิวก็ขมวดคิ้วมุ่น เหมือนอึกอักอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทำท่าเหมือนไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
เหมียวอี้แปลกใจทันที “อย่าบอกนะว่ามีอะไรไม่สะดวกจะพูดกับข้า? เป็นอะไรไป อย่าบอกนะว่าแอบลักลอบทำอะไรกับใครลับหลังข้า?”
“ไปตายไป!” อวิ๋นจือชิวถลึงดวงตางาม นางปรี๊ดแตกทันที ถลันตัวเข้าไปดึงมวยผมเหมียวอี้ บีบคอเขาเอาไว้ กดหัวเขาลงไปบนโต๊ะโดยตรง เรียกได้ว่าทารุณมาก เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เห็นแล้วปวดประสาท โชคดีที่ทั้งสองคุ้นชินกับสิ่งนี้ตั้งนานแล้ว
หารู้ไม่ว่าสำหรับอวิ๋นจือชิวแล้ว คนอื่นจะล้อเล่นอย่างไรก็ได้ แต่มีเพียงคำว่า ‘แอบลักลอบ’ ที่ไม่ควรเอ่ยกับนาง ภายนอกนางดูเหมือนไม่เป็นอะไร แต่ลึกๆ แล้วนางเป็นคนหัวโบราณมาก เพราะเคยมีอดีตกับเฟิงเสวียนมาก่อน ในใจจึงอ่อนไหว โดยเฉพาะเมื่อคำนั้นหลุดมาจากปากเหมียวอี้ ก็ยิ่งยั่วยุอารมณ์นางได้เป็นพิเศษ สิ่งนี้กลายเป็นจุดอ่อนในชีวิตของนางที่ไม่มีหนทางเยียวยาแล้ว
“ผู้หญิงปากร้าย เจ้าบ้าไปแล้วสินะ ล้อเล่นไม่ได้รึไง?” เหมียวอี้พยายามลุกขึ้นยืน ใช้มือข้างหนึ่งผลึกนางออก
อวิ๋นจือชิวใช้มือสองข้างเท้าเอว “พูดมาให้ชัดเจนเถอะ ใครกันแน่ที่แอบลักลอบ? เจ้าแอบหาเศษหาเลยกินลับหลังข้า ยังมีหน้ามาว่าข้าอีกเหรอ?”
พอเอ่ยเรื่องหาเศษหาเลยกิน ในหัวเหมียวอี้ก็มีภาพหวงฝู่จวินโหรวลอยขึ้นมา เขาจึงพ่นเสียงทางจมูกแล้วนั่งลงทันที “เป็นบ้าอะไรล่ะ ถามเรื่องแผนที่ ถึงขั้นต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ? รีบบอกมาเถอะ อย่ามัวปิดบัง เป็นยังไงกันแน่?”
อวิ๋นจือชิวก็แค่สะกิดจุดอ่อนเพื่อกระตุ้นปฏิกิริยาเขาก็เท่านั้นเอง พอพิจารณาดูให้ดี นางรู้เช่นกันว่าเหมียวอี้พูดโดยไม่ได้ตั้งใจ นางจึงทำเสียงฮึดฮัดแล้วกลับมานั่งลงตรงข้าม ยกกระโปรงขึ้นนั่งไขว่ห้าง แล้วเหล่ตาบอกว่า “ยอมรับผิดมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สบตากันอย่างพูดไม่ออก ทั้งสองแอบถอนหายใจ เป็นเพราะไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะว่าสองสามีภรรยาคู่นี้อย่างไรดี เอะอะก็ทะเลาะกันจนแตกคอได้แล้ว แบบนี้มันใชเรื่องเสียที่ไหน
“ก็ได้! ข้าผิดไปแล้วตกลงมั้ย?” เหมียวอี้ยอมรับผิดอย่างปากไม่ตรงกับใจ ในใจกลับเกิดความคิดชั่วร้าย ถึงอย่างไรก็ยังมีเวลา คืนนี้นางตัวแสบได้ทรมานแน่
อวิ๋นจือชิวทำเสียงฮึดฮัด ค่อยๆ สงบสติอารมณ์อย่างช้า ทว่านางเริ่มขมวดคิ้วอีกครั้ง “หนิวเอ้อร์ แผนที่ฉบับนั้นน่ะ ข้าก็แค่เดานะ เจ้าได้ยินแล้วอย่าร้อนใจล่ะ”
“ร้อนใจ?” เหมียวอี้ทั้งโมโหทั้งอยากขำ “ก็แค่แผนที่ตั้งแต่สมัยไหนแล้วก็ไม่รู้ ข้าจะเป็นถึงขนาดนั้นเลยเหรอ? โดนเจ้าโมโหใส่จนชินตั้งนานแล้ว ผู้ชายของเจ้าเป็นคนข่มอารมณ์ไม่ไหวขนาดนั้นเลยเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน แล้วเบะปากบอกว่า “เจ้าพูดเองนะว่าไม่ร้อนใจ ข้าสงสัยว่าจุดหมายสุดท้ายที่ทำสัญลักษณ์ไว้บนแผนที่ จะเป็นสถานที่เดียวกับที่เจ้ารองของเจ้าติดอยู่ตอนนี้”
เมื่อกล่าวประโยคนี้ออกมา เหมียวอี้ก็พลันลุกขึ้นยืน แล้วถลึงตาจ้องนางทันที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น