ยอดหญิงสกุลเสิ่น 163.2-164.1

ตอนที่ 163-2 การเข่นฆ่าที่ริมทะเลสาบเย่ว์เลี่ยง

 

มีโจรลักม้าที่คิดเองว่าตนฉลาดคิดจะเอาเปรียบ ชูดาบใหญ่ที่สว่างไสวหัวเราะบ้าคลั่งโผเข้ามาหาเถาฮวา เถาฮวาตื่นเต้นดีใจจนหน้าแดง แกว่งกระบองเหล็กขวางเอวแล้วกวาดออกไป ดาบของโจรลักม้าที่น่าสงสารผู้นั้นเพิ่งจะชูขึ้นเหนือศีรษะก็ลอยออกไปแล้ว ตกลงบนพื้นดิ้นพล่าน แต่จะลุกก็ลุกไม่ขึ้น คาดว่าเอวน่าจะหักแล้ว 


 


 


“เถาฮวาเก่งมาก” เสิ่นเวยแอบอู้เอ่ยชมหนึ่งประโยค 


 


 


เถาฮวาก็ยิ่งฮึกเหิมราวกับเลือดที่ถูกสูบฉีดจนเต็ม ยิ้มแย้มโผเข้าไปหาโจรลักม้าคนหนึ่ง โจรลักม้าทั้งหมดก็หวาดกลัว เพียงกระบวนท่าเดียวก็ทำพี่น้องของพวกเขาพิการได้ เด็กคนนี้เป็นร่างแปลงของปีศาจงั้นหรือ 


 


 


เถาฮวาไม่สนใจว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร นางสะดวกเช่นไรก็ทำเช่นนั้น กระบองเหล็กในมือประเดี๋ยวก็ทุบประเดี๋ยวก็กวาดประเดี๋ยวก็ตี ไม่นานนักโจรลักม้าเจ็ดแปดคนที่ล้อมนางอยู่ก็ล้มลงบนพื้นร้องโอดโอย เถาฮวาเหลือบมอง เห็นคุณหนูไม่ต้องการความช่วยเหลือจากนางก็เหยียบโจรลักม้าบนพื้นแล้วตีซ้ำอย่างมีความสุข 


 


 


คุณหนูเคยสอนไว้ว่า ‘ต้องรีบฆ่าให้หมด อย่าทิ้งให้เหลือหายนะในภายหลัง’ นางไม่เพียงจำได้ แต่ยังทำตามอีกด้วย ดังนั้นคุณหนูจึงชอบนางเช่นนี้ ชอบนางยิ่งกว่าพี่หลีฮวาและคนอื่นๆ ไม่ต้องสนว่านางจะรู้ได้อย่างไร อย่างไรเสียนางรู้ก็แล้วกัน 


 


 


วรยุทธ์ของลูกพี่หูไม่เลวเลยจริงๆ เชี่ยวชาญวิชาดาบอย่างถึงที่สุด เสิ่นเวยสู้กับเขาจึงเสียเปรียบอยู่เล็กน้อย กระบี่อ่อนคล่องมือไม่เท่าดาบหมื่นโลหิต 


 


 


แต่ดาบหมื่นโลหิตของนางให้โอวหยางไน่ยืมไปแล้ว โอวหยางไน่นำคนไปปราบโจรลักม้ากลุ่มนั้นที่ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาบเย่ว์เลี่ยง หลายวันมานี้นางฆ่าจนเบื่อเล็กน้อยแล้ว ครั้งนี้จึงไม่ได้ตามไป แต่มาพักเท้าที่ทะเลสาบเย่ว์เลี่ยงก่อน 


 


 


แม้จะเสียเปรียบ แต่เสิ่นเวยกลับไม่ได้ด้อยกว่า ท่าร่างของนางเร็วและแปลกประหลาด ทั้งยังชำนาญการต่อสู้ระยะประชิด กระบี่อ่อนเกี่ยวพันดาบหัวกะโหลกกริชในมือซ้ายก็แทงเข้าไปในทรวงอกของลูกพี่หู 


 


 


ลูกพี่หูตกใจอย่างยิ่ง หลบไม่ทันแล้ว พยายามใช้วิชาทั้งหมดที่มีจึงหลบเลี่ยงจุดสำคัญได้ แต่ไหล่ซ้ายกลับถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง โลหิตพุ่งออกมาในชั่วพริบตา เปื้อนแขนครึ่งฝั่งของเขาเป็นสีแดงฉาน 


 


 


ลูกพี่หูไม่ได้รับบาดเจ็บเช่นนี้มานานเท่าไรแล้ว ดวงตาเขาแดงก่ำ กัดฟันโจมตีมายังเสิ่นเวยอย่างดุร้าย ยิ่งสู้เขาก็ยิ่งตกใจ เด็กคนนี้เป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงเจ้าเล่ห์เช่นนี้ ที่ใช้ทั้งหมดล้วนเป็นลูกไม้สกปรก มีประสบการณ์ยิ่งกว่าผู้มีประสบการณ์เช่นเขาเสียอีก เขาแอบเสียใจอย่างอดไม่ได้ เหตุใดถึงไม่เห็นว่าเกิดหายนะเช่นนี้ขึ้นแล้ว 


 


 


เขามองพี่น้องที่ล้มลงคนแล้วคนเล่า ลูกพี่หูก็มีความคิดอยากหยุดรบ ซ้ำยังไม่ได้มีความแค้นฝังลึกอะไร ไม่อาจทิ้งชีวิตลงที่นี่ได้ 


 


 


แต่เสิ่นเวยไม่ให้โอกาสเขาเอ่ยปากอย่างสิ้นเชิง แต่ละกระบวนท่าว่องไวโหดเ**้ยม ทุกๆ สามถึงห้ากระบวนท่าก็มักจะทิ้งบาดแผลไว้บนร่างเขาได้เสมอ ตอนที่ริมทะเลสาบเย่ว์เลี่ยงเหลือเพียงลูกพี่หูโจรลักม้าเพียงผู้เดียว เขาก็รู้ว่าวันนี้จะต้องตาย ตามความคิดที่ว่าต่อให้ตายก็ไม่มีทางให้เจ้ามีชีวิตที่ดีได้ ลูกพี่หูก็แผดเสียงร้อง ใช้แรงทั้งหมดที่มีต่อสู้ จะต้องตายไปพร้อมกับเสิ่นเวย 


 


 


เสิ่นเวยฉลาดอย่างยิ่ง หดตัวถอยหลังออกไปทันที “เสี่ยวเฮยเสี่ยวไป๋ เจ้าสองคนดูทิวทัศน์อยู่หรือไร ยังไม่รีบมาแทนที่ข้าอีก” 


 


 


เจียงเฮยกับเจียงไป๋กระตุกมุมปากเข้าไปรบกับลูกพี่หูแล้ว บ่นในใจ คุณหนูสี่ลำเอียง เถาฮวาที่กำลังต่อสู้ห้าวหาญเพียงนั้นไม่เรียก กลับเรียกพวกเขาสองพี่น้อง 


 


 


เสิ่นเวยสะบัดมือเล็กๆ ร้องเสียงดัง “เฮ้อ เหนื่อยจริงๆ เลย” โจรลักม้าชั่วผู้นี้รับมือยากเกินไปแล้ว สูงตัวเท่าม้า เนื้อก็แข็ง นางทำเขาเลือดออกมากขนาดนั้นแล้ว เขายังไม่ล้มลงอีก 


 


 


“เจ็บตรงไหน ให้ข้าดูหน่อย” สวีโย่วที่อยู่ข้างๆ เขยิบเข้ามาลูบมือเล็กๆ ของเสิ่นเวยทันที 


 


 


เสิ่นเวยตอบสนองไว ดันมือของเขาออก “ทำอะไร อย่าทำท่าเหมือนกับว่าข้าสนิทกับท่านนักสิ ชายหญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกันรู้หรือไม่” 


 


 


สวีโย่วเคืองแล้ว เด็กคนนี้เปลี่ยนสีเร็วจริงๆ ก่อนหน้านี้ยังเคยจูบเขาอยู่เลย ตอนนี้กลับเปลี่ยนสีไม่ยอมรับแล้ว เขาชายตามองเสิ่นเวย ยกมุมปากยิ้มเยาะ “เสี่ยวโย่วโย่วหรือ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าตั้งชื่อนี้ให้ข้าตั้งแต่เมื่อไร” 


 


 


ความหยิ่งยโสของเสิ่นเวยลดฮวบลงในชั่วขณะ กล่าวอย่างรักษาท่าที “ไม่ใช่ว่าเป็นแผนชั่วคราว เพื่อไม่ให้ฐานะเปิดเผยหรือไร ไม่รู้หรือว่าชื่อเสียงคุณชายใหญ่ของท่านน่ะโด่งดังยิ่งนัก” 


 


 


“อ้อ จริงหรือ” สวีโย่วยังคงชายตามองนางอย่างเย็นชา เรียกเสี่ยวโย่วโย่วราวกับเรียกลูกสุนัขอย่างนั้น 


 


 


เสิ่นเวยแค่นเสียงกระทืบเท้า “ข้าตั้งชื่อเล่นให้ท่านแล้วทำไม ท่านไม่คิดว่าชื่อนี้สนิทสนมเป็นอย่างยิ่งหรือ ท่านเองก็เรียกข้าว่าเสี่ยวเวยเวยไม่ใช่หรือ” เสิ่นเวยกล่าวตำหนิอย่างไม่พอใจ 


 


 


เหอะ คนอะไร ผู้เป็นใหญ่จะทำอะไรย่อมได้ ในขณะที่ชาวบ้านถูกจำกัดวิถีชีวิต เผด็จการ บ้าอำนาจ ลัทธิชายเป็นใหญ่ 


 


 


“คุณหนู คนผู้นั้นตายแล้ว” ขณะที่เสิ่นเวยกำลังบ่นในใจ จู่ๆ เถาฮวาก็เอ่ยปาก 


 


 


เสิ่นเวยเหลือบตาขึ้นมอง ก็เห็นกระบี่ยาวของเจียงเฮยเจียงไป๋แทงอยู่บนร่างลูกพี่หูพร้อมกัน ดาบหัวกะโหลกของลูกพี่หูชูขึ้นฟ้า ดวงตาเบิกกว้าง ตายตาไม่หลับ 


 


 


เสิ่นเวยดีใจในใจ หลังจากนั้นก็ตบหน้าผากเสมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ “แย่แล้ว ลืมเหลือพยาน” โจรลักม้าผู้นี้แข็งกล้าเพียงนี้ จะต้องไม่ใช่บุคคลนิรนามแน่นอน เหลือพยานไว้สักคนก็จะได้ไต่ถามข้อมูลที่มีประโยชน์ได้ อย่างดีที่สุดก็สามารถลากพวกเขาไปที่รังโจรได้ ไม่ก็สามารถทำให้พวกเขาเดินอ้อมน้อยลงได้มิใช่หรือ 


 


 


เมื่อเสิ่นเวยพูดเช่นนี้ สวีโย่วกับเจียงเฮยเจียงไป๋ก็คิดถึงจุดนี้ได้เช่นกัน คนไม่กี่คนสบตากัน หรือว่า จะพลิกหาดู ดูว่ายังมีคนที่ยังไม่ตายหรือไม่ 


 


 


คนไม่กี่คนพลิกหาอยู่นานก็เจอคนผู้หนึ่งจริงๆ ขาเขาหัก มองดูก็รู้ว่าเป็นผลงานของเถาฮวา คาดว่าคงจะเจ็บจนหมดสติ ตอนนี้ได้อากาศคืนมา ปีกจมูกพลันขยับ เหลือลมหายใจแผ่วเบา 


 


 


เสิ่นเวยดีใจอย่างยิ่ง สั่งให้เจียงไป๋ลากคนออกมากินยา ช่วยชีวิตกลับมาได้ด้วยความยากลำบาก ไม่อาจปล่อยให้เขาตายได้ สำหรับศพของโจรลักม้าที่เหลือก็โยนออกไปให้ไกลได้ก็ยิ่งดี เลี่ยงไม่ให้เปรอะเปื้อนน้ำทะเลสาบเย่ว์เลี่ยง 


 


 


งานใช้แรงเหล่านี้ย่อมมีเจียงเฮยเจียงไป๋มาจัดการ เสิ่นเวยเก็บมือไว้ในแขนเสื้อสั่งคนทั้งสองจนยุ่งหัวหมุน สำหรับเถาฮวาเด็กผู้หญิงแรงเยอะคนนี้คือคนของเสิ่นเวยเอง นางจึงทำใจเรียกใช้ไม่ลง 


 


 


สวีโย่วมองท่าทางเล็กๆ น้อยๆ อย่างดวงตาที่ยิ้มของเสิ่นเวย ในใจก็ว้าวุ่น เขาคิดแล้วคิดอีก ยังคงรู้สึกว่าต้องอยู่ตามลำพังกับเด็กคนนี้สักพักให้ได้ 


 


 


“นี่ เจ้าทำอะไร” เสิ่นเวยไม่ทันระวังก็ถูกสวีโย่วโยนขึ้นหลังม้าแล้ว ยังไม่ทันได้ร้องตกใจ ม้าที่ขี่อยู่ก็ห้อตะบึงออกไปแล้ว 


 


 


“คุณชาย!” เถาฮวาร้องอุทาน ลุกขึ้นกำลังจะไล่ตาม แต่ถูกเจียงเฮยเจียงไป๋ขวางไว้ซ้ายขวา “คุณชายใหญ่พาคุณหนูสี่ออกไปเล่น อีกประเดี๋ยวก็กลับ” 


 


 


เถาฮวาคิดครู่หนึ่ง รู้สึกว่าคุณชายใหญ่สวีผู้นั้นดีกับคุณหนูของตนอย่างยิ่ง คุณหนูน่าจะไม่เป็นอันตรายจึงกอดกระบองเหล็กกลับไปนั่งอีกครั้ง 


 


 


“ท่านจะพาข้าไปไหน” เสิ่นเวยตะโกนเสียงดังสู้ลม 


 


 


สวีโย่วนั่งอยู่ข้างหลังนาง มือหนึ่งขี่ม้า มือหนึ่งโอบเอวที่ผอมบางของนางไว้ “เดินเล่น” สวีโย่วตอบกลับเสียงดัง 


 


 


มุมปากของเสิ่นเวยกระตุก เดินเล่นก็ควรจะเดินไม่ใช่หรือ เจ้าขี่ม้าเรียกว่าเดินเล่นหรือ แต่อย่างไรเสียสวีโย่วคนโรคจิตคนนี้ก็ไม่อาจพานางไปขายได้ ร่างของเสิ่นเวยก็ผ่อนคลายลง เพื่อที่จะทำให้สบายตัว จึงถือโอกาสพิงอ้อมอกของสวีโย่ว นางมาจากสังคมอันเสื่อมทรามอย่างยุคปัจจุบัน การสัมผัสใกล้ชิดแค่นี้เป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว 


 


 


ทว่าร่างสวีโย่วกลับแข็งทื่อ ทันใดนั้นในดวงตาก็มีความดีใจบ้าคลั่งแวบผ่าน ได้กำไรเหนือความคาดหมาย เด็กคนนี้อ่อนข้อขึ้นมาแล้วน่ารักเพียงนี้ได้อย่างไร สวีโย่วกระชับแขนที่กอดเสิ่นเวยแน่นอย่างทนไม่ได้ คางเกยอยู่บนศีรษะของนาง 


 


 


ไม่รู้เหมือนกันว่าขี่ม้าออกไปไกลแค่ไหนแล้ว เสิ่นเวยรู้สึกเพียงแค่สายลมที่หวิดหวิวพัดผ่านหูไป นางหลับตาลง จมดิ่งอยู่ในความเร็วแห่งการห้อตะบึงนี้ 


 


 


ในที่สุดม้าก็หยุดลง ทอดสายตาออกไปล้วนแต่เป็นหญ้ารกร้างไม่มีที่สิ้นสุด สวีโย่วชี้ทิศทางหนึ่งแล้วกล่าว “ดูสิ นั่นคือเมืองชายแดน” เป็นที่ที่พวกเขาออกมาเมื่อสิบวันก่อน 


 


 


เสิ่นเวยมองออกไป นอกจากหญ้ารกร้างก็มองไม่เห็นเค้าโครงเมืองชายแดนเลย แต่นางรู้ว่าตรงนั้นคือเมืองชายแดน เป็นที่ที่อยู่ทางตะวันตกสุดของต้ายง ที่นั่น ปู่ของนาง พี่ใหญ่ลูกผู้พี่ของนาง รวมถึงทหารประชาชนเมือชายแดนนับไม่ถ้วนรอให้นางกลับไปอยู่ ดังนั้นนางจึงไม่อาจทำให้พวกเขาผิดหวังได้ 


 


 


“อีกสามวันพวกเราก็กลับไปแล้ว” สวีโย่วคล้ายอ่านความคิดของเสิ่นเวยออก เขาปล่อยเชือกบังเ**ยน มือทั้งคู่ต่างก็กอดเอวนางไว้ ดึงนางเข้ามาในอ้อมอกของตนแนบแน่น เขาก้มหน้า คางอยู่ใกล้ไหล่นาง ลมหายใจที่ช้ายาวของเขากระเพื่อมอยู่ข้างหูนาง เพียงนางเอียงหน้าก็สามารถแตะริมฝีปากที่อุ่นร้อนของเขาได้แล้ว 


 


 


เสิ่นเวยกลอกตามองฟ้าเงียบๆ ชายผู้นี้เป็นเขาน้ำแข็งหมื่นปีไม่เข้าใกล้สตรีไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงชอบครอบครองนางเช่นนี้เล่า เสิ่นเวยอยากจะดันหัวสุนัขตัวนั้นบนไหล่นางออกไปอย่างยิ่ง แต่ก็รู้สึกว่าอ้อมกอดของสวีโย่วอบอุ่น อีกทั้งยังสบาย เช่นนั้นก็ทนไปแล้วกัน ในใจคิดเงียบๆ หัวหมา หัวหมา นั่นคือหัวหมา ฮ่าๆ สนุกจะตาย 


 


 


ทว่าสวีโย่วกลับรู้สึกไม่พอใจ เขาอยากสัมผัสหวานใจในอ้อมกอดอีกขั้น ในขณะที่เขาก้มหน้าคิดจะลอบโจมตี มือขาวๆ ของเสิ่นเวยก็ผลักหน้าเขาออก “พอแล้วหรือยัง อย่าได้คืบจะเอาศอก ให้ท่านเข้าใกล้สักพักก็ถือว่าไว้หน้าท่านแล้ว หากติดใจขึ้นมาเล่าทำอย่างไร” 


 


 


สบสายตาหยอกล้อที่คล้ายยยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของเสิ่นเวย สวีโย่วก็รู้สึกเพียงแค่ใบหน้าร้อนผ่าว อย่างไรเสียก็เป็นครั้งแรกที่ทำเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เช่นนี้ ประสบการณ์ไม่มากพอ หน้าก็หนาไม่พอ รู้สึกเพียงแค่ลูกผู้ชายเช่นตนพ่ายแพ้ต่อเด็กน้อยเสียแล้ว เสียหน้าเล็กน้อยจริงๆ 


 


 


ไม่ว่าอย่างไรสวีโย่วก็คือสวีโย่ว ความสามารถในการเรียนรู้แกร่งกล้าจึงเลียนแบบท่าทางเสเพลของเด็กน้อยในยามปกติ “แล้วหากข้าติดใจขึ้นมาจริงๆ เล่าจะทำอย่างไร เจ้าใช้เครื่องหอมอะไรหรือ หอมจริงๆ” ศีรษะของเขาซุกซบอยู่บนไหล่ของเสิ่นเวยและสูดดม 


 


 


เสิ่นเวยอึดอัดกับลมหายใจของเขาอย่างยิ่ง รู้สึกเขินอายเล็กน้อย “สวีโย่ว” นี่เป็นเสียงที่เสิ่นเวยกัดฟันเอ่ยออกมา 


 


 


ทว่าสวีโย่วกลับกระตุกมุมปาก หัวเราะอย่างเริงร่า ในเสียงหัวเราะมีความสุขและความสบายใจ เสิ่นเวยโมโหจนหยิกเอวเขาอย่างแรงหนึ่งที 


 


 


“พอแล้วๆ ไม่ทำแล้ว ขอข้ากอดเจ้าอีกสักพัก” สวีโย่วเห็นเด็กน้อยโกรธเกรี้ยวแล้วก็รีบลูบศีรษะนางเพื่อปลอบโยน 


 


 


เสิ่นเวยยิ่งโมโห เจ้าแอบลักไก่งั้นหรือ อะไรคือขอกอดอีกสักพัก เจ้าใกล้จะระเบิดอยู่แล้วรู้ใช่หรือไม่ อาวุธร้ายแรงข้างหลังก้นนางคืออะไรคิดว่านางไม่รู้จริงๆ หรือ เสิ่นเวยอยากจะถีบคนข้างหลังผู้นี้ลงไปจริงๆ แต่คิดดูแล้วตนก็จำทางกลับไปไม่ได้จึงยอมทนต่ออีกหน่อย 


 


 


จุ๊ๆ ผู้ชายแก่นี่ช่างน่ากลัวจริงๆ คงจะอัดอั้นอย่างยิ่งแล้วสินะ เสิ่นเวยคาดเดาถึงความเศร้าที่ต้องเจอในคืนวันแต่งงานของตนได้แล้วก็จุดเทียนร้อยเล่มไว้อาลัยให้ตัวเองเงียบๆ ในใจ 


 


 


ตอนที่เสิ่นเวยกับสวีโย่วกลับมาถึงริมทะเลสาบเย่ว์เลี่ยง โอวหยางไน่ก็นำคนมารออยู่ที่นั่นแล้ว คราวนี้พวกเขาได้กำไรมาเยอะอย่างยิ่ง นอกจากม้า เสบียง เงินทอง ยังได้ยามาอีกไม่น้อย ล้วนแต่เป็นของที่กองทัพต้องการ 


 


 


ในอีกแง่ความหมาย โจรลักม้ากับกองทัพก็เป็นความเหมือนที่แตกต่างมิใช่หรือ 


 


 


โจรลักม้าที่ยังไม่สิ้นลมผู้นั้นก็ถูกเจียงเฮยเจียงไป๋ทรมานจนฟื้นแล้ว เมื่อไต่ถาม โอ้ คาดไม่ถึงว่าเป็นโจรลักม้ากลุ่มนั้นที่มีกำลังแข็งแกร่งที่สุด คนที่ตายตาไม่หลับผู้นั้นก็คือหัวหน้าของพวกเขา 


 


 


ไอ๊หยา ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลยจริงๆ รีบนำทางไปข้างหน้า พวกเราจะไปปราบรังโจรของพวกเขาอีก 


 


 


เสิ่นเวยยิ้มจนตากลายเป็นขีด คิดคำนวณในใจ ปราบโจรลักม้ารังนี้แล้ว เวลาสามวันก็เพียงพอให้พวกเขากำจัดกลุ่มโจรลักม้าได้อีกสองสามกลุ่ม เช่นนั้น โจรลักม้าบริเวณทะเลสาบเย่ว์เลี่ยงก็กวาดล้างไปได้เกือบหมดแล้ว พวกเขาก็สามารถนำอาวุธยุทธภัณฑ์ที่ได้จากข้าศึกกลับจวนได้แล้ว 


 


 


ออกมานานเพียงนั้นก็รู้สึกคิดถึงอยู่บ้างจริงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านปู่เฒ่าผู้นั้นจะคิดถึงนางบ้างหรือไม่  

 

 


ตอนที่ 164-1 จัดตั้งกองทหารเด็ก

 

เสิ่นเวยกวาดล้างโจรลักม้าอย่างมีความสุข โดยเฉพาะกลุ่มนี้ที่มีกำลังแข็งแกร่งที่สุด เมื่อพวกเขาได้ยินว่าลูกพี่หูหัวหน้าของตนพร้อมด้วยคนสนิทที่แกร่งกล้ายี่สิบกว่าคนของเขาล้วนตายหมดแล้ว ทั้งหมดก็ยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่สู้ ลูกพี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของใคร แล้วนับประสาอะไรกับโจรเล็กๆ เหล่านี้เช่นพวกเขาเล่า ผู้รู้สถานการณ์คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ ปกป้องชีวิตก่อนดีที่สุด 


 


 


เสิ่นเวยตะลึงงันแล้ว แม้ว่านางไม่อยากไว้ชีวิตโจรลักม้าที่ก่อกรรมทำชั่วเหล่านี้ แต่หากจะให้นางลงมือกับโจรลักม้าที่คุกเข่าลงกับพื้นไม่ขัดขืนเลยแม้แต่นิดเดียวจริงๆ นางก็ยังทำไม่ลง 


 


 


จะทำอย่างไรดี ฆ่าทิ้งหรือ ทำไม่ลง ปล่อยหรือ ก็ไม่ได้ ท้ายที่สุดก็ยังคงเป็นสวีโย่วที่เตือนนาง “ค่ายทหารเดนตายยังขาดคนอยู่มิใช่หรือ” 


 


 


เสิ่นเวยตบเข่าฉาดเข้าใจกระจ่างขึ้นมาทันที ใช่แล้ว โจรลักม้าเหล่านี้แต่ละคนโหดเ**้ยมอย่างยิ่ง ลงสนามรบแล้วจะต้องต่อสู้แข็งแกร่งกว่าทหารทั่วไปแน่นอน แม้ว่าจะตายในสนามรบก็ไม่เสียดาย หากโชคดีรอดมาได้ก็นับว่าได้ทำคุณงามความดีให้ต้ายง อีกทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากเพียงนี้ที่พวกเขาได้มาจากการกวาดล้างโจรลักม้าก็จำเป็นต้องมีกำลังคนขนกลับไปด้วยไม่ใช่หรือ หวังจะให้พวกเขาแค่สองร้อยคนนี้ขนก็ไม่รู้ว่าจะถึงเมื่อไหร่ 


 


 


ใช่แล้ว เอาเช่นนี้แล้วกัน เสิ่นเวยปรับแผนยุทธวิธีทันที โจรลักม้าสามกลุ่มที่ถูกกวาดล้างในภายหลังจึงค่อนข้างโชคดี นอกจากจะฆ่าคนดื้อรั้นที่ไม่ยอมก้มหัวให้ไม่กี่คนแล้ว คนที่เหลืออยู่ก็ขอเพียงยอมจำนนต่อเสิ่นเวยล้วนได้รับการไว้ชีวิตทั้งสิ้น 


 


 


วันนี้ที่กลับเมืองชายแดนเป็นวันที่พี่รองเสิ่นซวงออกเรือนพอดี เสิ่นเวยทอดมองไปยังทิศเมืองหลวงสีหน้าซึมเซา จะว่าไปหลังจากที่นางกลับจวนมาคนที่มีความสัมพันธ์อันดีที่สุดในหมู่พี่สาวน้องสาวทั้งหมดก็คือพี่รอง นางเองก็ชื่นชมพี่รองที่ใจกว้างเปิดเผยผู้นี้อย่างยิ่ง วันนี้นางออกเรือน ตนกลับอยู่ห่างไกลพันลี้ ไม่สามารถไปส่งนางได้ พูดขึ้นมาแล้วก็เสียดายจริงๆ 


 


 


แต่ว่านางเองก็คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว ก่อนเดินทางไปวัดต้าเจวี๋ยก็ส่งสินเดิมเพิ่มให้ล่วงหน้า ของที่ให้พี่รองคือภาพวาดชื่อดังรัชสมัยก่อน ของที่ให้พี่สามคือตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึง อย่างไรเสียนางก็ไม่เหมือนพี่รอง ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ดูแลบ้าน ไม่มีทางปล่อยให้พี่รองขาดเงินส่วนตัว 


 


 


แต่พี่สามกลับไม่เหมือนกัน นางเป็นลูกอนุภรรยา ต่อให้จืออี๋เหนียงจะได้รับความโปรดปราน ในมือก็ไม่อาจถือเงินส่วนตัวมากเกินไปได้ เงินที่ให้พี่สามย่อมไม่เยอะ 


 


 


เงินนั้น ไม่ว่าเมื่อไรก็ตามล้วนแต่เป็นความมั่นใจของสตรี พี่สามผู้นั้นแม้ว่าเสิ่นเวยจะไม่ชอบเท่าไรนัก แต่ก็ไม่ได้เกลียดอะไร เห็นแก่ที่เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันจึงช่วยนางเสียหน่อย แม้ว่านางจะไม่รู้จักสำนึกในบุญคุณ แต่ก็ยังมีจืออี๋เหนียงอยู่ มีจืออี๋เหนียงที่ฉลาดเช่นนี้อยู่ก็ถือว่ามีประโยชน์กับน้องเจวี๋ยด้วยเช่นกัน 


 


 


สำหรับเสิ่นเสวี่ย เสิ่นเวยกลับไม่ได้เพิ่มสินเดิมให้นางน้อยกว่าใคร ต้องแสร้งทำดีให้คนอื่นเห็นเสียหน่อย ไม่อาจเผยจุดอ่อนให้คนนินทาได้ สินเดิมเพิ่มเติมที่เสิ่นเวยให้เสิ่นเสวี่ยคือผ้าเช็ดหน้า กระเป๋าเงินใบเล็กและของต่างๆ ที่หลีฮวาและคนอื่นๆ ทำ แม้ของขวัญจะด้อยค่าแต่มากไปด้วยน้ำใจไมตรี ต่อให้เสิ่นเสวี่ยอาเจียนแทบตายก็คายออกมาไม่ได้ 


 


 


“เป็นอะไรไป คิดถึงบ้านแล้วหรือ” สวีโย่วเห็นอารมณ์ของเสิ่นเวยดิ่งลง จึงสะบัดบังเ**ยนเดินไปข้างนาง 


 


 


“วันนี้เป็นวันมงคลที่พี่รองของข้าออกเรือน แต่ข้ากับพี่ใหญ่กลับอยู่ที่ซีเจียง” เสิ่นเวยทอดมองไปไกลกล่าวเสียงเบา ไม่รู้เหมือนกันว่าในจวนจะมีคนมากันเยอะหรือไม่ ครึกครื้นหรือไม่ ตั้งแต่ที่มาต้ายงแห่งนี้เสิ่นเวยก็ยังไม่เคยเห็นบุตรสาวตระกูลสูงออกเรือนเลย ก่อนหน้านี้ยังเตรียมตัวมุงดูระยะใกล้ชิดด้วยความดีใจอย่างยิ่ง ทว่าตอนนี้กลับคว้าน้ำเหลวเสียแล้ว 


 


 


สวีโย่วตกใจ ไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะมีมุมแบบนี้ด้วย สายตาที่มองเสิ่นเวยก็ยิ่งอ่อนโยน กล่าวปลอบ “วางใจเถอะ จักรพรรดิไม่อาจมองข้ามจวนจงอู่โหวได้หรอก” ท่านเสิ่นโหวยังพยายามเพื่อต้ายงอยู่ที่ซีเจียง จักรพรรดิมีแต่จะเป็นบุญคุณเพิ่มบำเหน็จให้จวนจงอู่โหว 


 


 


เสิ่นเวยเองก็คิดถึงจุดนี้เช่นกัน พยักหน้าอย่างอดไม่ได้ ขอเพียงแค่ท่านปู่ยังไม่พ่ายแพ้ที่ซีเจียง เช่นนั้นจวนจงอู่โหวในเมืองหลวงก็จะสูงตระหง่านไม่พังทลาย ถ้าหากมีการยุยงอย่างไม่ระวัง จักรพรรดิก็จะใส่ใจพวกเขาขึ้นอีกสามส่วน 


 


 


เสิ่นเวยคิดไว้ไม่มีผิด เช้าวันนี้จักรพรรดิยงเซวียนกับขันทีใหญ่ของเขาสนทนาเรื่อยเปื่อย จู่ๆ ก็ตรัส “วันนี้เป็นวันที่บุตรสาวของเสิ่นซื่อจื่อออกเรือนใช่หรือไม่” 


 


 


ขันทีใหญ่จางเฉวียนก้มศีรษะ “ทูลฝ่าบาท ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฟังว่าเมื่อวานเสิ่นซื่อจื่อก็ขอลางานแล้ว” 


 


 


จักรพรรดิยงเซวียนเดินวนอยู่ในห้องหนังสือจักรพรรดิหลายก้าว ตรัสต่อ “อาโย่วกับแม่ทัพอู่เลี่ยไปถึงได้กี่วันแล้ว” 


 


 


“ประมาณครึ่งเดือนได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ สิบวันก่อนแม่ทัพอู่เลี่ยเพิ่งจะส่งข่าวกลับมามิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” จางเฉวียนกล่าวเตือน 


 


 


“อืม” จักรพรรดิยงเซวียนพยักหน้า เรื่องนี้เขาจะลืมได้อย่างไร เมื่อคิดว่าหลานชายเกือบจะตายระหว่างทางไปซีเจียงเบื้องลึกในหัวใจเขาก็โมโหขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด อยากจะฆ่าหั่นศพคนที่ปล่อยข่าวผู้นั้นเป็นอย่างยิ่ง 


 


 


แต่อย่างไรเสียเมื่อนึกถึงเสิ่นผิงยวนเขาก็ได้สติกลับมา มีเขาปกครองซีเจียงด้วยตัวเอง เขาก็ยังคงวางใจได้ อืม ต้องคิดหาวิธีจัดสรรข้าวของไปให้ซีเจียงหน่อย อีกไม่นานเสบียงก็จะหมด อาวุธยุทโธปกรณ์เหล่านั้นก็ต้องรวบรวมมิใช่หรือ ยังมีเสื้อนวมอีก ชั่วพริบตาซีเจียงก็ใกล้จะเข้าหน้าหนาวแล้ว ไม่มีเสื้อนวมแล้วเหล่าทหารจะผ่านฤดูหนาวไปได้อย่างไร จักรพรรดิยงเซวียนคิดเช่นนั้นเช่นนี้ไปต่างๆ นานา 


 


 


จะว่าไปแล้วจักรพรรดิยงเซวียนก็ยังเป็นจักรพรรดิที่ห่วงใยใต้หล้าจริงๆ จะปกครองอย่างไร้รากฐานได้อย่างไร คนฉลาดแต่หากขาดปัจจัยสำคัญก็ยากจะประสบความสำเร็จ เขาเองก็มีใจเหลือเฟือแต่กำลังกลับไม่เพียงพอ 


 


 


“เสิ่นผิงยวนเองก็ลำบาก” จู่ๆ จักรพรรดิยงเซวียนก็ถอนพระปัสสาสะ หลังจากนั้นก็หมุนตัวตรัส “เจ้าไปตำหนักคุนหนิง[1] บอกฮองเฮาว่าให้นางพระราชทานสินเดิมให้หลานสาวผู้นี้ของเสิ่นผิงยวน” 


 


 


แม้ว่าในใจจางเฉวียนจะประหลาดใจเล็กน้อย แต่กลับถอยออกไปอย่างไม่แสดงสีหน้า พูดในใจ ความโปรดปรานของจักรพรรดิที่มีต่อท่านเสิ่นโหวมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว 


 


 


จวนจงอู่โหวรับได้รับพระราชทานบำเหน็จจากฮองเฮา ทั่วทั้งจวนต่างก็รู้สึกเป็นเกียรติ แม้ว่าจะเป็นเพียงคฑาหรูอี้หยกหนึ่งคู่ แต่เมื่อวางสินเดิมชิ้นนี้ไว้ข้างหน้าสุด เมืองหลวงทั้งเมืองก็ไม่มีใครที่ไม่อิจฉา สตรีมีหน้ามีตาในบ้านสามี ใครบ้างจะไม่เคารพชื่นชม 


 


 


ในขณะที่ฮูหยินสวี่ดีใจก็ตระหนักได้อย่างเฉียบแหลมว่าจักรพรรดิทรงให้เกียรติแก่ท่านโหว สามีของนาง บุตรชายของนางไม่มีเกียรติที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ คิดถึงตรงนี้ก็เป็นห่วงเรื่องสงครามที่ซีเจียงขึ้นมาอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ คิดว่าต้องไปจุดธูปหน้าพระพุทธรูปให้บ่อยขึ้น ขอพรให้ท่านโหวและลูกชายปลอดภัย คุ้มครองให้ซีเจียงได้รับชัยชนะ 


 


 


เดินอยู่ในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ติดต่อกันสองวันจึงกลับมาถึงเมืองชายแดนซีเจียง เพราะว่าคุ้นเคยเส้นทางแล้ว ตลอดทางกลับจึงราบรื่นมากเป็นพิเศษ ไม่เจอกองทัพซีเหลียงที่ลาดตระเวน นี่ทำให้เสิ่นเวยเสียดายเล็กน้อย นางยังเตรียมที่จะหาเงินระหว่างทางกลับเพิ่มอีก อย่างไรเสียมีแรงงานที่เยอะเพียงนี้ ไม่ใช้ก็เสียเปล่า 


 


 


เสิ่นเวยกลับมาคราวนี้ ท่านปู่นางสามารถลงจากเตียงเดินโดยใช้ไม้เท้าได้แล้ว เสิ่นเวยตื่นเต้นดีใจ “ท่านปู่ เป็นอย่างไร หลานไม่ทำให้ท่านเสียหน้าใช่หรือไม่” ขบวนม้ายาวๆ นั้นเดินผ่านประตูเมือง ใช้เวลาช่วงเช้าเต็มๆ 


 


 


“ไม่เสียหน้าๆ คุณชายสี่ทำคุณงามความดีสูงสุด คุณชายสี่ลำบากแล้วจริงๆ” ท่านเสิ่นโหวยังไม่ทันได้เปิดปาก ฟังต้าฉุยข้างๆ ก็แย่งพูดแล้ว 


 


 


เขามองขบวนม้านั้นด้วยดวงตาที่เป็นประกาย ร่างทั้งร่างสั่นระริกอย่างตื่นเต้น ให้ตายเถอะ คุณชายสี่เป็นเด็กผู้มากับโชคที่จุติจากสวรรค์ลงมาเกิดจริงๆ ใช่หรือไม่ ตั้งแต่ที่เขามาเมืองชายแดน ของต่างๆ ในยุ้งฉางก็ไม่เคยขาดแคลนเลย 


 


 


ขอเพียงแค่การเตรียมรบไม่ขาดแคลนสิ่งของ ก็ไม่มีใครหน้าไหนที่ยังกลัวพวกชั่วซีเหลียงอยู่ ตามการป้องกันเมืองแล้ว จะฆ่าพวกเขาไม่ตายได้อย่างไร 


 


 


ท่านเสิ่นโหวมองหลานสาวตัวน้อยที่ตากแดดจนดำเล็กน้อยใบหน้าเต็มไปด้วยความชื่นชม ดีๆๆ สวรรค์ยังไม่ไร้เมตตาต่อเสิ่นผิงยวน ยังมอบหลานสาวที่ฉลาดเฉียบแหลมผู้หนึ่งไว้ให้เขา หลานสาวแล้วอย่างไร หลานสาวก็เป็นคนของตระกูลเสิ่นของเขา เป็นแบบอย่างที่ดีได้ 


 


 


แต่เมื่อเห็นคุณชายใหญ่ที่ขัดหูขัดตาผู้นั้นข้างกายหลานสาว ท่านเสิ่นโหวก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบหน้า เดิมเขาวางแผนแล้วว่าจะให้เจ้าสี่แต่งลูกเขยเข้าบ้าน ภายหลังก็รวมเป็นหนึ่งเดียวกับจวนจงอู่โหว นัยตรงก็ทิ้งไว้ให้เชียนเกอเอ๋อร์ นัยแฝงก็ทิ้งไว้ให้เจ้าสี่ มีเจ้าสี่ช่วยประคับประคองเชียนเกอเอ๋อร์ ไม่ว่าอย่างไรจวนโหวก็ไม่มีทางตกต่ำได้ 


 


 


หากแต่งเขยเข้าบ้านแต่หาคนดีๆ ไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องให้เจ้าสี่มีวงศ์ตระกูลเสีย นี่เองก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากการแต่งเขยเข้าบ้านนัก 


 


 


แต่เขาคิดแล้วคิดอีกก็คิดไม่ถึงว่าจักรพรรดิจะพระราชทานการสมรสให้เจ้าสี่ จักรพรรดิไหนเลยจะรู้จักเจ้าสี่ หากไม่ใช่คุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋องผู้นี้ที่เป็นลูกหมาป่าผู้สายตาเฉียบแหลมจริงๆ ดันชอบเจ้าสี่ของเขาตั้งแต่แรกพบ 


 


 


แม้ว่าแผนการกวาดล้างโจรลักม้าครั้งนี้เขาจะสร้างคุณงามความดีได้มาก แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางให้ท่านเสิ่นโหวเลิกเกลียดเขา 


 


 


สวีโย่วเองก็ตามีแววยิ่งนัก เห็นท่านเสิ่นโหวไม่ชอบหน้าเขาก็ไม่เข้าใกล้อย่างรู้ตัวดี พลางปกป้องตัวเองไปด้วย ใครให้ตาเฒ่าผู้นี้เป็นปู่ของน้องสี่เล่า ใครให้เขาตกหลุมรักหลานสาวของเขาเล่า 


 


 


เสิ่นเวยมองเสบียงที่เต็มยุ้งฉาง รู้สึกถึงการประสบความสำเร็จจริงๆ ลาลาลา ข้าเป็นผึ้งน้อยแสนขยัน เป็นยอดฝีมือน้อยที่สร้างสมบัติให้วงศ์ตระกูล 


 


 


จางสงกับเฉียนเป้าเองก็ทยอยกลับมาแล้ว นอกจากพวกเขาจะขนส่งเสบียงแล้ว ยังขนส่งผ้าฝ้ายและผ้าหยาบมาไม่น้อย ยังมีเสบียงแห้ง เกลือและสิ่งของที่เมืองชายแดนขาดแคลนต่างๆ 


 


 


เหตุใดถึงเป็นผ้าฝ้ายและผ้าหยาบแทนที่จะเป็นผ้านวมก็เพราะว่าราคาผ้านวมสูงอย่างยิ่ง ซื้อผ้าฝ้ายกับผ้าหยาบคุ้มทุนกว่ามาก อย่างไรเสียเมืองชายแดนก็มีสตรีที่ว่างไม่มีอะไรทำเยอะเพียงนั้น ยังต้องกังวลอีกหรือว่าจะทำเสื้อนวมได้ไม่ดี อีกทั้งสตรีเหล่านี้ยังสามารถนำเงินค่าจ้างไปใช้จ่ายภาระในครอบครัวได้อีก ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ดียิ่งนัก 


 


 


ในมือถือเงินอยู่ เสิ่นเวยก็มีความมั่นใจแล้ว เรื่องที่อยากทำมากมายก็เตรียมดำเนินการได้แล้ว 


 


 


นางไปหาบ้านหลังใหญ่ที่ไม่ไกลจากจวนโหวก่อน เริ่มรับสมัครแรงงาน ต้องเป็นสตรีและหญิงสาวที่ทำงานเย็บปักถักร้อยได้ ทำเครื่องแบบทหารและรองเท้าทหารให้เหล่าทหาร ได้ค่าจ้างวันละสิบอีแปะต่อคน มีข้าวเที่ยงเลี้ยง 


 


 


เมื่อข่าวแพร่ออกไป ประชาชนเมืองชายแดนก็แย่งกันลงชื่อสมัคร อย่าว่าแต่ได้เงินค่าจ้าง รวมถึงเลี้ยงข้าว ต่อให้ไม่มีอะไรให้พวกนางก็ยินดีทำ อย่างไรเสียเหล่าทหารก็ปกป้องบ้านเกิดของพวกนางอยู่ 


 


 


เครื่องแบบทหารล้วนแต่ใช้ผ้าหยาบสีดำหรือสีเขียว ตรงกลางบุใยฝ้าย ปริมาณผ้าฝ้ายในเครื่องแบบแต่ละชุดต่างก็ใช้อย่างพอดี ต้องรับรองได้ว่าเครื่องแบบทหารมีความหนาพอที่จะรักษาความอุ่นได้ 


 


 


รองเท้าทหารต่างก็ใช้หนังกันน้ำ ปริมาณหนังที่ใช้สำหรับคนอื่นแล้วพูดได้ว่ายากอย่างยิ่ง แต่สำหรับเสิ่นเวยแล้วกลับเป็นเรื่องขี้ประติ๋ว นางปราบโจรภูเขารังโจรลักม้ามามากมายเพียงนั้น ทั้งยังพาคนไปล่าสัตว์มากมายเพียงนั้น อย่าว่าแต่ไม่มี หนังเยอะจนใช้ไม่หมดด้วยซ้ำ 


 


 


เพื่อเร่งงาน เสิ่นเวยจึงนำระบบการทำงานประสานกันอย่างยุคปัจจุบันมาใช้ แบ่งขั้นตอนการผลิตเสื้อผ้ารองเท้าเป็นหลายๆ ทาง คนหนึ่งรับผิดชอบทำเพียงขั้นตอนเดียว ความเร็วก็จะเร็วขึ้นอย่างมาก 


 


 


ข้าวมื้อเที่ยงนั้นเสิ่นเวยเองก็ไม่ได้ละเลยพวกนาง แม้ว่าจะไม่มีหมั่นโถว แต่แป้งทอดธัญพืชกลับมีเพียงพอ กับข้าวก็เป็นอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสัตว์ ถั่วงอกหรือว่าเนื้อตุ๋นผักดองแห้ง ล่าสัตว์อะไรได้ก็ได้กินเนื้อชนิดนั้น แกงจืดสาหร่ายก็มีให้กิน 


 


 


ทั้งหมดนี้ อาหารที่เรียบง่ายในสายตาของเสิ่นเวย ในสายตาของสตรีที่เป็นแรงงานกลับเป็นอาหารชั้นดีที่หาได้ยากแล้ว สงครามครั้งนี้ยังไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร แม้ว่าในบ้านจะมีข้าวเหลือเล็กน้อยแต่ก็ยังกินได้ทุกวัน แต่เนื้อกลับไม่มีมานานมากแล้ว แม้จะมีเงินก็ซื้อไม่ได้อยู่ดี 


 


 


บางครั้งที่เสิ่นเวยมาตรวจตราก็เห็นสตรีจำนวนมากทำใจกินอิ่มไม่ลง เก็บแป้งทอดธัญพืชและแผ่นเนื้อกลับไปในเด็กๆ และคนชราที่บ้านกิน เสิ่นเวยเห็นแล้วก็แสบจมูกขึ้นมา หลังกลับไปก็ปรึกษากับชวีไห่ ทุกๆ ห้าวันจะมอบสวัสดิการให้สตรีและหญิงสาวแรงงาน ของไม่เยอะนัก แต่ละคนจะได้แป้งทอดสองจิน เนื้อดิบหนึ่งจิน 


 


 


ประชาชนเมืองชายแดนซื่อสัตย์รู้สำนึกในบุญคุณมากเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่เสิ่นเวยมา พวกนางก็จะแย่งกับทักทายนาง ในแววตาเต็มไปด้วยความเคารพและซาบซึ้ง 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] ตำหนักคุนหนิง ที่ประทับของฮองเฮา 


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)