อัจฉริยะสมองเพชร 1632-1641

 ตอนที่ 1632

 

 แก่นสารของเวลา

“แต่ก็เป็นไปได้ว่าเขาอาจแค่พลิกดูเนื้อหาโดยใช้การรับรู้จิตวิญญาณ แต่จดจำอะไรไม่ได้เลย…” หนานกงหยวนเฟิงตั้งข้อสังเกตหลังจากที่เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง


การพลิกดูเนื้อหากับการจดจำเนื้อหาเป็น 2 แนวคิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


สำหรับการพลิกดูเนื้อหา ผู้นั้นก็แค่ต้องกวาดสายตาผ่านหนังสือโดยใช้การรับรู้จิตวิญญาณ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพยายามทำความเข้าใจหรือซึมซับเนื้อหาเหล่านั้น แต่สำหรับการจดจำเนื้อหา จะต้องดำเนินการแปรสภาพเนื้อหานั้นให้กลายเป็นความทรงจำ จึงเป็นธรรมดาที่ทั้งสองอย่างจะมีความยากในระดับที่ต่างกันมาก


ถ้าเป็นแค่การพลิกดูเนื้อหาหนังสือเป็นแสนเล่มพร้อมๆกัน ตัวเขาก็ทำได้


“รอดูก่อนเถอะ เดี๋ยวก็ได้รู้แล้วว่าเขาเป็นของจริงหรือเปล่า!” ถานไท่เจินชิงตอบ


ทันทีที่ถานไท่เจินชิงพูดจบ หนังสือเป็นแสนเล่มที่ลอยอยู่กลางอากาศก็พลิกไปจนถึงหน้าสุดท้าย ก่อนจะลอยกลับคืนสู่ชั้นหนังสือ


“ผู้อาวุโสที่ 8, ผมขอรบกวนให้คุณนำหนังสือกลับไปไว้ที่เดิมด้วยนะ” จางเซวียนสั่งการก่อนจะสูดหายใจลึกและหลับตา ดูเหมือนกำลังพยายามซึมซับความรู้ที่เขาเพิ่งได้มาใหม่


“ขอรับ” ผู้อาวุโสที่ 8 ตอบรับขณะเก็บชั้นหนังสือเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติของเขาแล้วรีบออกไป


ราวสิบอึดใจต่อมา จางเซวียนก็ลืมตาและพูดว่า “จิ่วเซี่ยว ก่อนหน้านี้คุณได้ฝึกฝนเทคนิควรยุทธฉบับเรียบง่ายของตระกูลจางแล้ว ด้วยเวลาที่มีจำกัด ผมจะแก้ไขข้อบกพร่องให้ 2-3 ข้อนะ หลักใหญ่น่ะอยู่ที่เทคนิคการต่อสู้และความเข้าใจในกฎเกณฑ์ของเวลา ผมได้ประมวลหนังสือไว้ 2 เล่มจากหนังสือที่ผมเพิ่งอ่านไป จะถ่ายทอดให้คุณเดี๋ยวนี้แหละ!”


หลังจากพูดจบ จางเซวียนก็กระดิกนิ้วและส่งเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งของเขาเข้าสู่จิตใต้สำนึกของจางจิ่วเซี่ยว


“เอ่อ…” เมื่อได้รับความรู้ที่ท่านอาจารย์เพิ่งถ่ายทอดให้ จางจิ่วเซี่ยวตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที


กฎเกณฑ์ของเวลานั้นเป็นที่รู้กันว่ามีความเป็นนามธรรมและล้ำลึกยิ่งกว่ากฎเกณฑ์ของมิติเสียอีก ทำให้ทำความเข้าใจได้ยากมาก มีนักรบมากมายที่ใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับความพยายามหยั่งถึงกฎเกณฑ์ของเวลา แต่ก็ต้องล้มเหลวอย่างน่ารันทด


ด้วยเหตุผลนี้ที่ทำให้แม้แต่ทายาทตระกูลจางก็ยังเข้าถึงกฎเกณฑ์ของเวลาได้ด้วยการปลุกความสามารถของสายเลือดหรือผ่านทางศิลปะเพลงดาบของตระกูลจางเท่านั้น


จางจิ่วเซี่ยวเคยคิดว่าต่อให้เขามีความถนัดด้านศิลปะของกาลเวลา แต่ก็คงต้องใช้ระยะเวลานานกว่าที่จะทำความเข้าใจมันได้ แต่หนังสือที่ท่านอาจารย์ของเขาเพิ่งถ่ายทอดให้ถูกเรียบเรียงไว้ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ทำให้ผู้รับสามารถตีความหลักการพื้นฐานของกฎเกณฑ์แห่งเวลาได้มากขึ้นทีละน้อย และด้วยสิ่งนี้ ความยากในการทำความเข้าใจกฎเกณฑ์แห่งเวลาจึงลดลงมาก


ด้วยความเร็วในการพัฒนาของเขา เขามั่นใจว่าจะสามารถเชี่ยวชาญเรื่องกฎเกณฑ์แห่งเวลาได้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือน


แต่ก็โชคร้ายที่นั่นยังคงนานเกินไป


เมื่อเกิดความคิดนั้นขึ้น จางจิ่วเซี่ยวเงยหน้า “ท่านอาจารย์ ผมไม่คิดว่าจะมีเวลาพอให้ผมทำความเข้าใจหนังสือ 2 เล่มนี้ได้หมด…”


ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากนำเกียรติยศศักดิ์ศรีมาสู่ตระกูลจาง แต่แม้ท่านอาจารย์จะได้ประมวลหนังสือขึ้น 2 เล่มและถ่ายทอดให้เขาแล้ว เขาก็ยังต้องใช้เวลาระยะหนึ่งกว่าที่จะเข้าใจมันดีพอและนำมาใช้ในการต่อสู้ได้


เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะรีบร้อนกันได้เลย


หนึ่งชั่วโมงเป็นระยะเวลาที่สั้นเกินไป!


“ใจเย็นน่ะ อย่าตื่นตระหนก ปล่อยพลังจากเลือดหยดนี้เข้าสู่ร่างของคุณเสีย!” เหมือนจางเซวียนจะคาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้ว เขากระดิกนิ้วเบาๆ แล้วเลือดหยดหนึ่งก็ซึมเข้าสู่หว่างคิ้วของจางจิ่วเซี่ยว


มันคือหนึ่งในเลือดหยดที่เข้มข้นที่สุดของตระกูลจาง


วิ้ง!


ทันทีที่หยดเลือดซึมเข้าสู่ร่างของจางจิ่วเซี่ยว มันก็ปล่อยพลังออกมา ทำให้จางจิ่วเซี่ยวเข้าสู่สภาวะพิเศษ


“นี่มัน…การเร่งเวลา?” ถานไท่เจินชิงหรี่ตา


ตอนที่หยดเลือดซึมเข้าสู่ร่างของจางจิ่วเซี่ยว ถานไท่เจินชิงรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าจิตใต้สำนึกของอีกฝ่ายดำดิ่งเข้าสู่วังวนของกาลเวลา ซึ่งกระแสกาลเวลาที่อยู่ในวังวนนั้นแยกตัวออกจากโลกภายนอก


พูดอีกอย่างก็คือ ระยะเวลา 1 ชั่วโมงของโลกภายนอกหมายถึง 1 วันหรืออาจยาวนานกว่านั้นสำหรับจิตใต้สำนึกของจางจิ่วเซี่ยว


ผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลจางเห็นสิ่งที่จางเซวียนทำ เขาตั้งข้อสังเกตด้วยความยำเกรง “เร่งกาลเวลาของจิตใต้สำนึก สิ่งนี้เหมือนกับกลไกของคลังตรวจสอบเลือด”


คลังตรวจสอบเลือดของตระกูลจางทำให้ทายาทตระกูลจางสามารถเร่งเวลาของจิตใต้สำนึกของพวกเขาได้ ส่งผลให้พวกเขาฝึกฝนวรยุทธได้เร็วขึ้น มันมีบทบาทสำคัญในการนำพาเหล่าอัจฉริยะตระกูลจางให้เหนือชั้นกว่าคู่ต่อสู้ของพวกเขา


“คลังตรวจสอบเลือดจะเร่งกาลเวลาให้เร็วขึ้นสิบเท่า ขณะที่ท่านหัวหน้าตระกูลสามารถเร่งเวลาได้มากกว่าร้อยเท่า…” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งของตระกูลจางเสริมและกลืนน้ำลาย


“เซวียนเอ๋อใช้หยดเลือดที่เข้มข้นที่สุดของตระกูลจางของเราสร้างค่ายกลเร่งกาลเวลาขึ้นในหัวของจางจิ่วเซี่ยว” เซียนดาบชิงตั้งข้อสังเกตพร้อมกับพยักหน้า


คนอื่นอาจไม่รู้ว่าจางเซวียนกำลังทำอะไร แต่ในฐานะอดีตหัวหน้าตระกูลจางและผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดคนหนึ่ง เขามองออกอย่างง่ายดายว่าลูกชายของตัวเองกำลังทำอะไรอยู่


ภายใต้สถานการณ์ปกติ การเรียกพลังจากสายเลือดจะต้องใช้พลังจากหยดเลือดของผู้นั้น มีอยู่บ่อยครั้งที่ทายาทของเหล่าตระกูลนักปราชญ์ต้องสูญเสียพลังของสายเลือดไปหลังจากสำแดงเทคนิคการต่อสู้ได้เพียง 1 หรือ 2 เทคนิค


แต่จางเซวียนใช้ศาสตร์ลับเพื่อปรับเปลี่ยนกระแสของกาลเวลาสำหรับจิตใต้สำนึกของจางจิ่วเซี่ยว ด้วยสิ่งนี้ ไม่เพียงแต่อัตราการใช้พลังจากหยดเลือดจะต่ำมาก การเร่งเวลาก็ยังเป็นไปได้เร็วขึ้นอีกหลายเท่า


“ถึงเขาจะเร่งเวลาได้มากกว่าร้อยเท่า แต่ก็น่าจะยังต้องใช้เวลา 2-3 วันเป็นอย่างน้อย จางจิ่วเซี่ยวจะมีพละกำลังพอที่จะเอาชนะถานไท่เจี้ยนขุยได้ภายในเวลาเพียง 2-3 วันหรือ?” ผู้อาวุโสที่พูดขึ้นก่อนหน้านี้ตั้งคำถามอย่างไม่แน่ใจ


แม้วิธีการของหัวหน้าตระกูลของพวกเขาจะน่าทึ่งมาก แต่จางจิ่วเซี่ยวก็แทบจะเริ่มต้นจากศูนย์ ต่อให้มีการเร่งเวลา แต่เพียงแค่ 2-3 วัน จะเพียงพอให้จางจิ่วเซี่ยวเอาชนะถานไท่เจี้ยนขุยได้หรือ?


ผู้อาวุโสส่วนใหญ่ของตระกูลจางใช้เวลาหลายศตวรรษในการศึกษาศิลปะของกาลเวลา แต่พวกเขาก็แทบไม่ก้าวหน้าไปไหนเลย


จางเซวียนไม่ใส่ใจความสงสัยของฝูงชน เขากลับไปยังที่นั่งของตัวเองและหลับตา ดูเหมือนจะกำลังซึมซับความรู้ที่เพิ่งได้มาจากหนังสือหลายแสนเล่มนั้น


เหตุผลที่เขาใช้การรับรู้จิตวิญญาณพลิกหน้าหนังสือก็เพื่อปกปิดสายตาของกลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์และพวกตระกูลจาง เพราะอันที่จริง เพียงแค่กวาดสายตามอง เขาก็ถ่ายโอนหนังสือทั้งหมด จดจำรายละเอียดของมัน และประมวลขึ้นเป็นศิลปะแห่งกาลเวลาเทียบฟ้าได้แล้ว


หนังสือที่เขาถ่ายทอดให้จางจิ่วเซี่ยวนั้นเป็นฉบับเรียบง่าย และตอนนี้ เขากำลังวางแผนว่าจะฝึกฝนฉบับสมบูรณ์


เหล่าบรรพบุรุษตระกูลจางมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเรื่องเวลา…จางเซวียนครุ่นคิดด้วยความยำเกรงขณะศึกษาศิลปะแห่งกาลเวลาเทียบฟ้าที่อยู่ในสมองของเขา


พูดได้เลยว่าบรรพบุรุษหลายคนของตระกูลจางประสบความสำเร็จอย่างมากในเรื่องของเวลา ไม่น่าแปลกใจที่ตระกูลจางสามารถก้าวขึ้นเป็นตระกูลนักปราชญ์หมายเลข 1 ของทวีปแห่งปรมาจารย์ได้ กลายเป็นกลุ่มอำนาจที่ไม่มีใครเอาชนะได้ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา


ด้วยการฝึกฝนอย่างหนักของพวกเขา พวกเขาสามารถทำความเข้าใจความลับมากมายของกาลเวลาได้


…..


ครู่ต่อมา


บึ้มมม!


จางเซวียนพลันรู้สึกว่าเขาคว้าอะไรบางอย่างที่จับต้องได้ และทุกอย่างดูจะกระจ่างชัดขึ้นมาตรงหน้า ความคิดหนึ่งเกิดขึ้นในสมองของเขาและค่อยๆแข็งแกร่งหนักแน่นขึ้นทีละน้อย


ในเวลาเดียวกัน ปรากฏการณ์แบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นที่หอบรรพบุรุษของตระกูลหลัวก็กำลังเกิดขึ้นที่หอบรรพบุรุษของตระกูลจาง โชคร้ายที่สมาชิกทุกคนของตระกูลจางมารอชมการดวลระหว่างจางจิ่วเซี่ยวกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์กันหมด จึงไม่มีใครได้เห็นปรากฏการณ์นั้น


วิ้ง!


เมื่อจางเซวียนลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็มีลำแสงเป็นประกายฉายออกจากนัยน์ตาของเขา


ในที่สุดเราก็ทำความเข้าใจแก่นสารของเวลาได้แล้ว…ดูเหมือนว่าแก่นสารของเวลาของตระกูลจางจะมีศูนย์กลางอยู่ที่แนวคิดเรื่องการเร่งเวลา


หลังจากทำความเข้าใจแก่นสารของเวลาของตระกูลจางได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว จางเซวียนก็เข้าถึงหลักการของมรดกตกทอดของตระกูลจาง


โดยพื้นฐาน แก่นสารเรื่องเวลาของตระกูลจางจะทำให้ผู้นั้นเร่งกาลเวลาได้ ส่งผลให้สามารถเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าที่ใครจะตอบโต้ทัน


เป็นทำนองเดียวกันกับหอฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงของสภาปรมาจารย์ ซึ่ง 1 ปีในนั้นเทียบเท่ากับ 1 เดือนของโลกภายนอก


แม้จะยังมีประสิทธิภาพไม่เท่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นความสามารถที่ไร้เทียมทานมาก


เพราะอย่างน้อยที่สุด มันก็ทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาก้าวขึ้นสู่ระดับใหม่


ก่อนหน้านี้ หยดเลือดหยดหนึ่งของตระกูลจางจะสูญสลายไปหลังจากใช้การเร่งเวลา 2 ครั้ง แต่ด้วยความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์ของเวลาที่เราเข้าใจอย่างลึกซึ้งกว่าเดิม ทำให้ตอนนี้เราสามารถเก็บหยุดเลือดไว้ในร่างกายและใช้มันได้ตามใจโดยไม่สิ้นเปลืองพลังงาน! เลือดหยดหนึ่งสามารถปล่อยพลังให้เราใช้งานได้อย่างน้อยก็หลายสิบครั้ง! จางเซวียนคิดอย่างลิงโลด


ในจำนวนหยดเลือดของตระกูลจาง 3 หยดที่เซียนดาบชิงมอบให้ เขาได้ใช้ไปแล้วหนึ่งหยดในการรับมือกับหอกสวรรค์กระดูกมังกร และอีกหนึ่งหยดเพื่อเร่งกาลเวลาให้จางจิ่วเซี่ยว ดังนั้นจึงเหลือเพียงหยดเดียว แต่ด้วยความเข้าใจเรื่องแก่นสารของเวลาที่ได้มาใหม่ จางเซวียนก็สามารถใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าเดิม


เมื่อย้อนคิดดู ก็รู้สึกว่าตัวเองสูญเสียเลือดหยดแรกไปโดยเปล่าประโยชน์ที่ใช้มันไปกับหอกสวรรค์กระดูกมังกร


พูดได้ว่าพลังงาน 99% ของมันสูญเปล่าโดยไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย!


แต่ตอนนี้ เขามีความสามารถในการควบคุมกฎเกณฑ์ของเวลาแล้ว นับจากนี้ไป เขาจะใช้พลังงาน ทุกเศษเสี้ยวจากหยดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้น ต่อให้ตอนนี้เขาเหลือเลือดอยู่เพียงหยดเดียว แต่ก็เกินพอที่จะให้ใช้ประโยชน์ได้อีกหลายสิบครั้ง!

 

 

 


ตอนที่ 1633

 

ถานไท่ยอมแพ้

การที่จางเซวียนทำความเข้าใจแก่นสารของเวลาได้สำเร็จนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดการปะทุของพลังงานหรืออำนาจใดๆ แต่ถานไท่เจินชิงก็ยังรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาได้แต่ขมวดคิ้ว


สำหรับเขา ดูราวกับว่าสถานภาพของหัวหน้าตระกูลจางได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างปุบปับ รังสีที่อีกฝ่ายแผ่ออกมานั้นหนักแน่นและแข็งแกร่ง ทำให้เกิดความรู้สึกว่าล้ำลึกเกินหยั่ง


“หมดเวลาแล้ว”


1 ชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ด้วยการกระดิกนิ้วของจางเซวียน จางจิ่วเซี่ยวก็ตื่นจากภวังค์ เขาสูดหายใจลึก 2-3 ครั้งขณะสำรวจความรู้ใหม่ที่เพิ่งได้รับ ก่อนจะเดินตรงเข้าหาถานไท่เจี้ยนขุย


จางจิ่วเซี่ยวประสานมือและโค้งคำนับอย่างงาม เขาเอ่ยปากอย่างสุภาพ “ได้โปรดกรุณาด้วย!”


“ได้สิ” ถานไท่เจี้ยนขุยพยักหน้า จากนั้นก็ลดระดับพลังงานในร่างกายลง ในชั่วพริบตา วรยุทธของเขาก็ลดต่ำลงไปเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 8 สูงสุด ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับจางจิ่วเซี่ยว


“เริ่มดวลกันเถอะ!” จางเซวียนพูดขณะโบกมืออยู่ด้านข้าง


“โปรดให้คำชี้แนะผมด้วย”


จางจิ่วเซี่ยวก้าวออกไปก้าวหนึ่งโดยไม่รีรอ ก่อนจะหายวับไปทันที ยังไม่ทันที่ใครจะทันได้รู้ตัว เขาก็ไปยืนจังก้าอยู่ตรงหน้าถานไท่เจี้ยนขุย


ด้วยการปล่อยพลังเบาๆ พละกำลังมหาศาลก็พุ่งออกจากฝ่ามือของเขา


“ช่างรวดเร็วและทรงพลัง!”


ตอนแรก ถานไท่เจี้ยนขุยไม่คิดว่าคู่ต่อสู้ของเขาจะพัฒนาอะไรได้มากนักหลังจากที่เขาลดระดับวรยุทธของตัวเองแล้ว เพราะถึงอย่างไร เขาก็เป็นนักรบขั้นการพักฟื้นภายใน ขณะที่อีกฝ่ายเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 8 สูงสุดเท่านั้น


แต่การเคลื่อนไหวอย่างว่องไวของจางจิ่วเซี่ยวทำให้เขาไม่ทันระวังตัว ถานไท่เจี้ยนขุยหรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ เขารีบขับเคลื่อนพลังปราณอย่างร้อนรนขณะล่าถอย


ถานไท่เจี้ยนขุยบอกได้ว่าคู่ต่อสู้ของเขายังไม่ได้เข้าถึงแก่นสารของเวลา แต่ก็อยู่ไม่ห่างจากระดับขั้นนั้นมากนัก


สามารถเข้าใกล้แก่นสารของเวลาได้ภายในเวลาชั่วโมงเดียว…มนุษย์ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ?


ปฏิกิริยาตอบโต้ของถานไท่เจี้ยนขุยนั้นไม่ช้านัก แต่จางจิ่วเซี่ยวเร็วกว่ามาก เขาปล่อยการโจมตีจากฝ่ามืออีกครั้งและกระดิกนิ้วเบาๆ


ฟิ้วววว!


กระแสดาบฉีพุ่งออกจากนิ้วทั้ง 5 ของเขาพร้อมกัน


กระแสดาบฉีเหล่านี้ดูเหมือนจะพุ่งไปด้วยความเร็วไม่มากนัก แต่อันที่จริง มันไม่ได้ถูกจำกัดด้วยมิติและเวลา จึงสามารถพุ่งตรงเข้าถึงเป้าหมายได้ในชั่วพริบตา ทำให้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่อีกฝ่ายจะปัดป้องได้สำเร็จ


“นี่คือศิลปะเพลงดาบขั้นสูงสุดของตระกูลจาง! ขะ-เขา…” เซียนดาบชิงกับเซียนดาบเหมิงมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง


แม้แต่กับพวกเขา ทั้งสองก็ยังต้องผนึกกำลังกันอย่างใกล้ชิดกว่าที่จะสำแดงศิลปะเพลงดาบขั้นสูงสุดของตระกูลจางออกมาได้ จางจิ่วเซี่ยวไม่เคยร่ำเรียนศิลปะเพลงดาบของตระกูลจางมาก่อน แต่กลับเข้าถึงขั้นนี้ได้ภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง…


แถมยังเป็นกระแสดาบฉีที่พุ่งออกมาจากปลายนิ้วของเขาด้วย ไม่ใช่ปลายดาบ…


หนังสือพิสดารพันลึกแบบไหนกันที่ลูกชายของพวกเขาถ่ายทอดให้จางจิ่วเซี่ยว?


แม้ถานไท่เจี้ยนขุยจะล่าถอยอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่อาจหนีพ้นกระแสดาบฉีที่ไล่หลังเขามาติดๆ แต่ด้วยสัญชาตญาณการต่อสู้ที่เขามีอยู่ เขาก็สามารถสำแดงกระบวนท่าที่ปกป้องตัวเองได้ในวินาทีสุดท้าย ซึ่งก็ลงเอยด้วยการที่กระแสดาบฉีสร้างความเสียหายได้เพียงกับเสื้อผ้าของเขาเท่านั้น


“คราวนี้ตาผมล่ะนะ…” ถานไท่เจี้ยนขุยเคยคิดว่าเขาน่าจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้สบายและสร้างคุณงามความดีครั้งใหญ่ให้กับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ แต่เพียงแค่ปะทะกันครั้งแรก เขาก็เกือบจะได้รับบาดเจ็บสาหัสเสียแล้ว รู้ดีว่าคงเป็นความโง่เขลามากหากยังคงสบประมาทคู่ต่อสู้ของเขาต่อไป สีหน้าของถานไท่เจี้ยนขุยพลันเคร่งเครียดขึ้นมา


โดยไม่บอกไม่กล่าว เขาพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายด้วยความเร็วอันน่าทึ่งเพื่อปล่อยการโจมตี


ด้วยศิลปะของกาลเวลาที่เขาพอมีความเข้าใจอยู่บ้าง ความเร็วในการเคลื่อนไหวนั้นจึงว่องไวอย่างน่าทึ่ง หากมองด้วยตาเปล่า ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไล่ตามการเคลื่อนไหวของเขาได้ทัน หรือต่อให้ใช้การรับรู้จิตวิญญาณก็ตาม ยังไม่ทันที่ใครจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หมัดอันทรงพลังก็มาจ่ออยู่ตรงหน้าจางจิ่วเซี่ยวแล้ว


แต่ถึงจะเจอกับการโจมตีอย่างกะทันหันจากถานไท่เจี้ยนขุย จางจิ่วเซี่ยวก็ไม่มีอาการหวาดหวั่นแม้แต่น้อย เขาใช้นิ้ววาดกลางอากาศและสร้างโดมป้องกันตัวที่ทำจากกระแสดาบฉีไว้โดยรอบ ทำให้ปัดป้องการโจมตีของถานไท่เจี้ยนขุยได้สำเร็จ


ถึงตอนนี้ ถานไท่เจินชิงส่ายหน้าอย่างหนักใจและถอนหายใจเฮือก “ดูเหมือนเจี้ยนขุยจะแพ้…”


“แพ้หรือ? คู่ต่อสู้ของเขาเก่งกาจก็จริง แต่เจี้ยนขุยก็ต้านทานไว้ได้นี่” หนานกงหยวนเฟิงถึงกับชะงักกับข้อสังเกตของถานไท่เจินชิง


ในมุมมองของเขา ชายหนุ่มทั้งสองดูจะมีทักษะทัดเทียมกัน อันที่จริง เมื่อเผชิญหน้ากับหมัดอันทรงพลังของถานไท่เจี้ยนขุย จางจิ่วเซี่ยวก็ดูเหมือนจะถูกบีบให้อยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ ไม่อาจตอบโต้ได้ แล้วทำไมถานไท่เจินชิงถึงพูดว่าถานไท่เจี้ยนขุยกำลังจะแพ้?


“คู่ต่อสู้ของเจี้ยนขุยยังไม่ได้ใช้พลังจากหยดเลือดเลยนะ” ถานไท่เจินชิงโพล่งออกมา


“เอ่อ…” ได้ยินคำนั้น หนานกงหยวนเฟิงตาโตก่อนจะเงียบไป


แน่นอนว่าพวกเขาได้หาข้อมูลเรื่องความสามารถพิเศษของตระกูลจางมาแล้วก่อนที่จะมาท้าทายอีกฝ่าย สำหรับข้อมูลที่ได้มา พวกเขาพบว่าตระกูลจางสามารถเรียกใช้พลังงานจากหยดเลือดเพื่อผลักดันพละกำลังและความเร็วของตัวเองให้เพิ่มสูงขึ้นได้มากในช่วงระยะเวลาหนึ่ง


ในเมื่อจางจิ่วเซี่ยวสามารถยืนหยัดเทียมบ่าเทียมไหล่กับถานไท่เจี้ยนขุยได้โดยที่ยังไม่ต้องเรียกใช้พลังงานจากหยดเลือด ก็ชัดเจนว่าใครจะเป็นผู้ชนะหากเขาเรียกใช้พลังงานจากหยดเลือดขึ้นมา


“อีกอย่าง ถึงภาพที่ปรากฏจะดูเหมือนว่าจางจิ่วเซี่ยวถูกผลักดันให้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องตั้งรับ แต่คุณเห็นหรือเปล่าว่าเขาพัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆในระหว่างการต่อสู้? ช่วงแรกเขาแค่ยืนหยัดต้านทานหมัดของเจี้ยนขุย แต่ตอนนี้เขาสามารถตอบโต้กลับได้ถึง 3 หมัดจากจำนวน 10 หมัดนั้น ช้าๆแต่ว่าแน่นอน เห็นได้ชัดว่าเขากำลังทำความคุ้นเคยกับพละกำลังที่ได้มาใหม่ อันที่จริง ดูเหมือนกับว่าเขาจงใจออมมือให้เจี้ยนขุยด้วยซ้ำ เพื่อจะใช้ประโยชน์จากโอกาสครั้งนี้ในการขัดเกลาอำนาจการควบคุมของเขาและเพิ่มพูนความเข้าใจในศิลปะแห่งกาลเวลาให้มากขึ้น!”


ถานไท่เจินชิงพูดพร้อมกับยิ้มอย่างหมดปัญญา


เขาเกลียดที่จะต้องยอมรับ แต่มันคือเรื่องจริง


ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาได้ยินว่าหนานกงหยวนเฟิงเพลี่ยงพล้ำให้ตระกูลหลัว ก็คิดว่าช่างเหลวไหลสิ้นดีที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่หลังจากได้เห็นกับตาถึงประสิทธิภาพการต่อสู้ของอัจฉริยะรุ่นหลังของตระกูลจาง ก็พลันรู้สึกว่าทวีปแห่งปรมาจารย์กลายเป็นดินแดนอันทรงพลังที่พวกเขาไม่อาจสบประมาทได้อีกต่อไป


100 สำนักแห่งนักปราชญ์แยกตัวออกจากโลกใบนี้มาหลายหมื่นปีแล้ว ไม่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของโลกภายนอก กว่าจะรู้ตัวอีกที พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับกบในบ่อน้ำ!


ได้ยินถานไท่เจินชิงรำพึง หนานกงหยวนเฟิงหันกลับไปมองการดวลอีกครั้ง ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น การเคลื่อนไหวของจางจิ่วเซี่ยวดูจะพลิ้วไหวราบรื่นขึ้นเรื่อยๆระหว่างที่การดวลดำเนินไป ไม่ช้าเขาก็สามารถตอบโต้หมัดของถานไท่เจี้ยนขุยได้ถึง 7 ใน 10 หมัด


ถึงตอนนี้ ก็ชัดเจนว่าสถานการณ์เริ่มไม่เข้าข้างถานไท่เจี้ยนขุยแล้ว


ในช่วงเวลาหนึ่งระหว่างการโจมตีของถานไท่เจี้ยนขุย จางจิ่วเซี่ยวก้าวออกไปข้างหน้าก้าวหนึ่งและปล่อยหมัดอันทรงพลังเข้าใส่การป้องกันตัวของอีกฝ่าย ถ้าหมัดนั้นเข้าถึงตัวถานไท่เจี้ยนขุยล่ะก็ เขาจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่


ด้วยความปั่นป่วน ถานไท่เจี้ยนขุยรีบถอยออกมาขณะร้องว่า “ผมยอมแพ้!”


เขาไม่คิดเลยว่าเรื่องจะลงเอยแบบนี้ แต่ถึงอย่างไร ก็เห็นชัดแล้วว่าคู่ต่อสู้ของเขามีประสิทธิภาพการต่อสู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แถมด้วยวิธีการที่เหนือชั้นกว่าที่เขาจะรับมือได้ เขาไม่เหลือโอกาสที่จะได้ชัยชนะอีกแล้ว


ส่วนอีกด้านหนึ่ง เมื่อได้ยินว่าถานไท่เจี้ยนขุยยอมแพ้ จางจิ่วเซี่ยวถอนหมัดออกและหยุดการโจมตี เขาเอาสองมือไพล่หลังไว้และจ้องมองฝูงชนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์อย่างเงียบๆ ดูเหมือนจะเฝ้าคอยอย่างอดทนให้คู่ต่อสู้คนต่อไปปรากฏตัว


“ท่านอาจารย์ ผมเอง!”


รู้สึกได้ถึงการยั่วยุในทีของจางจิ่วเซี่ยว ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก้าวออกมา


“พละกำลังของคุณเหนือกว่าเจี้ยนขุยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในเมื่อเจี้ยนขุยเอาชนะเขาไม่ได้ คุณก็ไม่มีโอกาสมากนักหรอกนะ” ถานไท่เจินชิงพูดพร้อมกับส่ายหน้า


อันที่จริง พละกำลังของศิษย์สายตรงทั้ง 4 คนของเขาไม่ได้ต่างกันมากนัก ถึงชายหนุ่มคนที่เพิ่งก้าวออกมาจะมีความเข้าใจในกฎเกณฑ์ของเวลาเหนือกว่าถานไท่เจี้ยนขุย แต่ก็ยังไม่ดีพอที่จะเอาชนะจางจิ่วเซี่ยวในตอนนี้


ถึงต่อสู้ไป ก็แน่นอนว่าการดวลจะต้องจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของศิษย์สายตรงของเขา


หนานกงหยวนเฟิงก็รู้สึกแบบเดียวกัน เขาเสนอแนะ “ทำไมคุณไม่ลองลดระดับวรยุทธแล้วไปดวลกับเขาล่ะ?”


ถานไท่เจินชิงครุ่นคิดอย่างหนักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะชำเลืองมองจางเซวียน เห็นสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวของชายหนุ่ม เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะส่ายหน้า “ช่างมันเถอะ! แพ้ก็คือแพ้ ต่อให้ผมก้าวออกไป ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทุกอย่างจะต้องลงเอยแบบเดิม”


พูดตามตรง เขาไม่เคยคิดเลยว่าจางจิ่วเซี่ยวจะเป็นภัยคุกคาม เขามั่นใจว่าจะเอาชนะชายหนุ่มได้อย่างง่ายดาย…แต่ปัญหาก็คือความพ่ายแพ้ของจางจิ่วเซี่ยวไม่ได้หมายความว่าตระกูลจางจะพ่ายแพ้ไปด้วย!


หัวหน้าตระกูลจางได้ใช้ ‘การเก็บความทรงจำผ่านการรับรู้ของจิตวิญญาณ, ผลงานของหนังสือพันเล่ม’ แถมยังยกระดับความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์ของเวลาให้กับลูกศิษย์ของตัวเองจนถึงระดับที่เหนือชั้นกว่าศิษย์สายตรงของเขาได้ภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง…


คนที่มีความสามารถระดับนี้ไม่มีทางที่จะอ่อนแอแน่


หากเขาท้าดวล ก็เป็นไปได้ว่าหัวหน้าตระกูลจางจะเปิดการโจมตีเช่นกัน ซึ่งลงท้ายผลก็จะออกมาแบบเดิม ในกรณีเลวร้ายที่สุด เขาอาจต้องกระเด็นออกไปเร่ร่อนอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์เหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับหนานกงหยวนเฟิงในการดวลกับตระกูลหลัว


ในเมื่อทุกอย่างไม่เป็นใจ ก็ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องทำให้ตัวเองดูย่ำแย่


ถานไท่เจินชิงประสานมือโดยไม่ลังเลและพูดว่า “พวกเรายอมรับความพ่ายแพ้!”


เห็นอีกฝ่ายยอมแพ้หลังจากที่ดวลกันได้เพียงนัดเดียว จางเซวียนประสานมือกลับและยิ้มให้ “ผู้อาวุโส ผมซาบซึ้งมากที่คุณเมตตาลูกศิษย์ของผม!”


เขาคาดหวังไว้เต็มที่ว่าจางจิ่วเซี่ยวจะสามารถเอาชนะถานไท่เจี้ยนขุยได้ แต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้ายอมรับความพ่ายแพ้แบบนี้


แม้แต่หนานกงหยวนเฟิงก็ยังดิ้นรนไม่น้อยกว่าจะยอมแพ้


“แพ้ก็คือแพ้ ไม่มีความเมตตาหรืออะไรทำนองนั้นหรอก” ถานไท่เจินชิงตอบ เขาสะบัดข้อมือแล้วนำหินหมึกของนักปราชญ์โบราณจื้อหยู่ออกมา จากนั้นก็ประสานมือและกล่าวว่า “ลาก่อน!”


หลังจากรับหินหมึกมาแล้ว จางเซวียนคว้ากระจกเงาแห่งกาลเวลาที่ลอยอยู่กลางอากาศและชำเลืองมองมันแวบหนึ่งก่อนจะส่งคืนให้ถานไท่เจินชิง “กระจกเงาของคุณ”


“ขอบคุณมาก”


ถานไท่เจินชิงรับกระจกเงามาก่อนจะจากไปพร้อมกับคนอื่นๆ ในชั่วพริบตา พวกเขาก็หายลับไป

 

 

 


ตอนที่ 1634

 

ตระกูลหลัวมาถึง

หลังจากบินไปได้ระยะหนึ่ง กลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ที่ออกจากตระกูลจางก็หยุดพัก


“ท่านอาจารย์ ผมรู้สึกเสียเกียรติและศักดิ์ศรีมากที่พวกเราต้องยอมแพ้แบบนั้น!” ชายหนุ่มคนหนึ่งร้องออกมา


“ถึงจางจิ่วเซี่ยวจะพัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็ว” ชายหนุ่มอีกคนพูดเสียงลอดไรฟัน “แต่หากเราใช้พละกำลังเต็มที่ตั้งแต่ต้น ก็น่าจะเอาชนะเขาได้ อีกอย่าง หัวหน้าตระกูลจางอาจมีทักษะในการถ่ายทอดความรู้ก็จริง แต่ถ้าคำพูดของเซียนดาบชิงเป็นความจริงล่ะก็ นี่ย่อมเป็นครั้งแรกที่หัวหน้าตระกูลจางได้เข้าใกล้มรดกตกทอดของตระกูล ต่อให้เขาจะปราดเปรื่องแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่ความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์แห่งเวลาของเขาจะเหนือชั้นกว่าพวกเราได้ภายในเวลาชั่วโมงเดียวหรอก!”


ในเมื่อพวกเขาปฏิบัติภารกิจที่ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์มอบหมายให้ไม่สำเร็จ ก็แน่นอนว่าจะต้องถูกลงโทษอย่างหนักเมื่อกลับไป


เห็นบรรดาลูกศิษย์ของเขาไม่พอใจกับความพ่ายแพ้ ถานไท่เจินชิงส่ายหน้า “พวกคุณพูดว่าความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์แห่งเวลาของหัวหน้าตระกูลจางยังอ่อนด้อยกว่าพวกคุณหรือ?”


“ถูกต้อง!” ชายหนุ่มคนหนึ่งพยักหน้าอย่างมั่นใจ


“ก่อนหน้านี้น่ะ ผมยังเห็นด้วยกับคุณนะ แต่ตอนนี้…ดูกระจกเงาแห่งกาลเวลานี่สิ!”


ถานไท่เจินชิงสะบัดข้อมือโดยไม่อธิบายอะไร กระจกเงาบานสีทองมาอยู่ในฝ่ามือของเขา


“เกิดอะไรขึ้นกับกระจกเงาหรือ?”


ทุกคนรีบเข้ามารุมล้อมถานไท่เจินชิง แค่มองแวบเดียว พวกเขาก็หรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ


มีรอยร้าวเป็นทางยาวปรากฏขึ้นบนผิวหน้าของกระจก ดูเหมือนบาดแผลขนาดใหญ่


“ท่านอาจารย์ เกิดอะไรขึ้นน่ะ? ใครทำลายกระจกเงาแห่งกาลเวลา?” ถานไท่เจี้ยนขุยถามด้วยความตกใจ


กระจกเงาแห่งกาลเวลาเป็นหนึ่งในทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่สุดของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังสร้างความเสียหายให้มันได้ยาก แล้วทำไมจู่ๆถึงเกิดรอยร้าวขนาดใหญ่บนผิวหน้าของมันแบบนี้?


“มันเกิดขึ้นเพราะการชําเลืองมองเพียงแวบเดียวของหัวหน้าตระกูลจาง!” ถานไท่เจินชิงพูดด้วยแววตาที่บ่งบอกความรู้สึกล้ำลึก


“เป็นเพราะการชำเลืองมองเพียงแวบเดียว?”


ทุกคนต่างขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ


กระจกเงาแห่งกาลเวลามีความทนทานถึงขนาดที่ต่อให้พวกเขาใช้พละกำลังเต็มพิกัดกับมัน ก็ไม่อาจเกิดร่องรอยได้แม้แต่น้อย หัวหน้าตระกูลจางเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด แต่การชําเลืองมองของเขาทำให้เกิดรอยร้าวเป็นทางยาวขนาดนี้บนกระจกเงาแห่งกาลเวลาได้?


“กระจกเงาแห่งกาลเวลาเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษคนหนึ่งของเราทิ้งไว้ให้เป็นบททดสอบกับคนรุ่นหลัง มันมีค่ายกลทุกชนิดฝังอยู่ภายในเพื่อท้าทายผู้ที่ปล่อยให้จิตใต้สำนึกซึมซาบเข้าไปในกระจก หัวหน้าตระกูลจางดูเหมือนจะชำเลืองมองเพียงแวบเดียว แต่อันที่จริง จิตใต้สำนึกของเขาได้ซึมซาบเข้าไปในกระจกเงาแห่งกาลเวลาและทำลายค่ายกลทั้งหมดที่อยู่ภายในนั้นแล้ว!” ถานไท่เจินชิงอธิบายอย่างเคร่งเครียด


“จิตใต้สำนึกของเขาซึมซาบเข้าสู่กระจกเงาแห่งกาลเวลาและทำลายค่ายกลทั้งหมดที่อยู่ในนั้น?” ฝูงชนหรี่ตาด้วยความไม่อยากเชื่อ


ยิ่งคนคนหนึ่งมีความเข้าใจในกฎเกณฑ์แห่งเวลาล้ำลึกมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะเอาตัวรอดจากกระจกเงาแห่งกาลเวลาได้เร็วขึ้นเท่านั้น แต่หัวหน้าตระกูลจางไม่เพียงแค่เอาตัวรอดออกมาจากกระจกเงาแห่งกาลเวลาได้ ยังทำลายค่ายกลทั้งหมดที่อยู่ในนั้นด้วย…ความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์แห่งเวลาของเขาจะต้องล้ำลึกขนาดไหนถึงทำเรื่องแบบนี้ได้?


“เป็นไปได้ว่าเขาน่าจะสำเร็จแก่นสารของเวลาแล้ว” ถานไท่เจินชิงไขข้อสงสัยที่อยู่ในใจทุกคน


ในตอนนั้น ผู้ฟังต่างเงียบกริบ


แก่นสารของเวลาและแก่นสารของมิตินั้นแตกต่างกันกับแก่นสารเพลงดาบและอื่นๆ แม้แต่นักปราชญ์โบราณก็ยังประสบความสำเร็จในการทำความเข้าใจแก่นสารทั้งสองแบบนี้ได้ยาก แต่ชายหนุ่มที่เป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 กลับทำได้


“ดูเหมือนหัวหน้าตระกูลจางคนนี้จะปราดเปรื่องพอๆกันกับหลัวเทียนหยาแห่งตระกูลหลัว ไม่ง่ายเลยที่ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ของเราจะบรรลุเป้าหมาย” หนานกงหยวนเฟิงถอนหายใจเฮือก


ไม่แปลกใจแล้วที่ถานไท่เจินชิงรีบกลับออกมา เพราะหากเป็นการดวลในระดับวรยุทธเดียวกัน ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ที่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของเวลาได้ ต่อให้ตัวเขาจะเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานที่ลดระดับวรยุทธลงมาก็ตาม


การจากมาถือเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้ ไม่อย่างนั้นก็มีแต่จะต้องอับอายขายหน้า


…..


“เราชนะ?”


“เราเอาชนะผู้เชี่ยวชาญจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ได้จริงๆ!”


ตรงกันข้ามกับความหม่นหมองของถานไท่เจินชิงกับพรรคพวกจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ ความแช่มชื่นยินดีปรีดาอบอวลท่วมท้นไปทั่วทั้งตระกูลจาง


ครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินว่ากลุ่มผู้เชี่ยวชาญจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์มาเสนอคำท้าดวล ต่างก็พากันคิดว่าต้องถูกย่ำยีศักดิ์ศรีแน่แล้ว แต่ใครจะคิดว่าหัวหน้าตระกูลของพวกเขาจะขับไล่คนเหล่านั้นไปได้อย่างง่ายดายขนาดนี้?


นี่เป็นสิ่งที่เหล่าสมาชิกตระกูลจางไม่เคยนึกฝันมาก่อน


แต่สิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้ก็เกิดขึ้นจริงต่อหน้าต่อตาแล้ว!


“ผมชนะแล้วหรือ?”


แม้แต่จางจิ่วเซี่ยวก็แทบไม่เชื่อว่าเกิดอะไรขึ้น


ดวลกับทายาทของนักปราชญ์และเอาชนะได้…ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาจะไม่มีวันคิดเลยว่าตัวเองจะทำเรื่องแบบนี้ได้สำเร็จ!


ในสมองของเขาไม่มีความรู้สึกใดนอกจากความสำนึกในบุญคุณอย่างล้ำลึกต่อท่านอาจารย์ เป็นเพราะท่านอาจารย์ที่ช่วยให้เขาได้มาซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในตอนนี้


“ผมอยากให้คุณฝึกฝนวรยุทธจากหนังสือทั้งสองเล่มที่ผมเพิ่งถ่ายทอดในอีก 2-3 วันนับจากนี้ พยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำความเข้าใจแก่นสารของเวลาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้นะ และผมก็อยากให้คุณฝึกฝนเทคนิควรยุทธนี้ไปพร้อมๆกันด้วย ด้วยสิ่งนี้ คุณจะฝ่าด่านวรยุทธได้ในอีกไม่ช้าและยกระดับวรยุทธขึ้นได้อีกมาก!” จางเซวียนมองจางจิ่วเซี่ยวอย่างเคร่งขรึม


“คุณคือลูกศิษย์ที่อ่อนด้อยที่สุดของผมในเวลานี้ เพราะฉะนั้นจะต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อยกระดับวรยุทธ ผมหวังว่าในอนาคตคุณจะกลายเป็นผู้อารักขามวลมนุษยชาติเหมือนกับบรรดาศิษย์พี่ของคุณ!”


“ขอรับ ท่านอาจารย์! ผมจะไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวัง” จางจิ่วเซี่ยวประสานมือ


“อือ!” จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ


จากนั้นเขาก็หันไปมองเซียนดาบชิงเหมิง


จางเซวียนสูดหายใจลึกและพูดออกมา “ท่านพ่อ, ท่านแม่!”


เรื่องจริงก็คือเขายอมรับทั้งคู่เป็นพ่อแม่ของเขาแล้ว แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เขาพบว่ามันยากเย็นอย่างไม่น่าเชื่อในการที่จะเรียกทั้งสองคนว่าท่านพ่อกับท่านแม่


แต่เขาก็รู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมที่จะปล่อยให้ความสัมพันธ์เป็นไปแบบนี้ ดูเหมือนในอนาคตเขาจะต้องร่วมมือกับเซียนดาบชิงเหมิงเพื่อปกป้องมวลมนุษย์จากเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น และทั้งคู่ก็มีอิทธิพลในตระกูลจางมากกว่าเขา คงจะไม่เข้าท่านักหากปล่อยให้ความสัมพันธ์ดำเนินไปอย่างครึ่งๆกลางๆอย่างที่เป็นมาตลอด


ดังนั้น จางเซวียนจึงรวบรวมความกล้าและพูดออกไป


เซียนดาบชิงเหมิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มกว้าง ทั้งคู่กำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้นขณะร้องออกมา “เซวียนเอ๋อ!”


พวกเขารอคอยวันนี้มาเนิ่นนานนับตั้งแต่ทั้งสามได้กลับมาพบกัน แต่ก็รู้ดีว่าได้ทำผิดกับลูกชายไว้ จึงไม่กล้าเอ่ยปากบอกความคาดหวังของตัวเองที่มีต่อเขา ทั้งคู่ได้แต่หวังว่าจะมีสักวันที่ลูกชายจะยอมรับพวกเขาด้วยความเต็มใจ


นึกไม่ถึงเลยว่าความปรารถนาจะเป็นจริงอย่างรวดเร็วแบบนี้!


“แม้เทคนิควรยุทธที่ท่านพ่อกับท่านแม่ฝึกฝนจะถือเป็นเทคนิคชั้นยอด แต่ความตึงเครียดและความกดดันที่ได้รับตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมาทำให้เกิดสิ่งอุดตันในทางเดินพลังปราณของท่านพ่อท่านแม่ พลังปราณไม่อาจไหลเวียนได้อย่างราบรื่น ผมจะถ่ายทอดวิธีกำจัดสิ่งอุดตันให้นะ เพื่อที่ท่านพ่อกับท่านแม่จะได้ฝ่าด่านวรยุทธโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” จางเซวียนพูด


ท่านพ่อกับท่านแม่ของเขาอาจเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่จากการวิเคราะห์ของหอสมุดเทียบฟ้า ยังมีข้อบกพร่องอยู่หลายข้อในเทคนิควรยุทธและสภาพร่างกายของพวกเขา ข้อบกพร่องเหล่านี้มาจากด่านคอขวดที่กีดขวางการยกระดับวรยุทธเอาไว้


ถ้าทั้งคู่แก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ไม่ช้าไม่นานก็คงได้สำเร็จขั้นสูงสุดของวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่!


“ลูกกำลัง…ให้คำชี้แนะพ่อกับแม่หรือ?” ได้ยินคำพูดของลูกชาย เซียนดาบชิงเหมิงขมวดคิ้วด้วยความอัศจรรย์ใจ


ตอนนี้ลูกชายของพวกเขาเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด…สามารถให้คำชี้แนะกับนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3 อย่างพวกเขาได้ด้วยหรือ?


“อันที่จริงก็ไม่ใช่คำชี้แนะหรอก ผมแค่ชี้ให้เห็นข้อบกพร่องบางข้อที่ผมรู้สึกได้ในวรยุทธของท่านพ่อกับท่านแม่ เพื่อที่ท่านพ่อกับท่านแม่จะได้แก้ไขความบอบช้ำที่ได้รับมา” จางเซวียนอธิบายยิ้มๆ


เขาใช้หอสมุดเทียบฟ้าประมวลหนังสือเกี่ยวกับทั้งคู่มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่มีเวลาพอที่จะอธิบายสภาวะร่างกายของพวกเขาและมอบคำชี้แนะให้


หลังจากพูดจบ จางเซวียนก็นำสมุดเปล่าออกมา 2 เล่มและเริ่มเขียนลงไป ไม่ช้าเขาก็อธิบายข้อบกพร่องและปัญหาทั้งหมดที่ทั้งคู่กำลังทุกข์ทรมานอยู่พร้อมวิธีแก้ไข


“เอ่อ…”


เซียนดาบชิงเหมิงรับสมุดมาพลิกดู ทั้งคู่ตัวแข็งด้วยความตกใจ


สิ่งที่ลูกชายของพวกเขาชี้ให้เห็นนั้นไม่มีอะไรผิดพลาดเลย ล้วนแต่เป็นปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่จริงๆ!


จางเซวียนหันไปมองผู้อาวุโสคนอื่นๆและสั่งการ “ผมอยากให้พวกคุณที่เหลือสำแดงเทคนิคการต่อสู้ออกมา เพื่อที่ผมจะได้ให้คำชี้แนะสำหรับวรยุทธของพวกคุณ”


ในเมื่อสงครามกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นมาจ่ออยู่ตรงหน้า จางเซวียนจึงถือว่าเป็นความจำเป็นสูงสุดสำหรับเขาที่จะต้องยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ของเหล่าสมาชิกตระกูลจางให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้


แต่ยังไม่ทันที่เหล่าผู้อาวุโสจะได้ทำอะไร องครักษ์คนหนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาด้วยสีหน้ากระวนกระวาย


“ท่านหัวหน้า, ข่าวร้าย! ตระกูลหลัวมาถึงทางเข้าเมืองพยัคฆ์มังกรแล้ว!”


หลังจากบินมา 3 วันเต็ม ในที่สุดกลุ่มคนจากตระกูลหลัวก็มาถึง!

 

 

 


ตอนที่ 1635

 

จัดการศพนักปราชญ์โบราณ

รู้ดีว่าสักวันเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับตระกูลหลัวอยู่ดี จางเซวียนจึงสั่งการ “ให้พวกเขาเข้ามา!”


“ขอรับ!” องครักษ์พยักหน้าก่อนจะรีบออกไป


“ตระกูลหลัวช่างบังอาจนัก! คราวที่แล้วยังอับอายขายหน้าไม่พอหรือไง? ดิ้นรนอยากจะทำให้ตัวเองกลายเป็นตัวตลกเสียเหลือเกิน?”


“ก็พูดยากนะ ผมรู้มาว่าพวกเขาได้หัวหน้าตระกูลคนใหม่ที่สำเร็จแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติแล้ว เป็นไปได้ว่าพวกนั้นคงมาที่นี่เพื่อล้างอายจากการถูกเหยียดหยามเมื่อครั้งงานหมั้น!”


“ล้างอายจากการถูกเหยียดหยาม? พวกนั้นจะโอหังไปถึงไหน? หัวหน้าตระกูลของพวกเขาชื่อหลัวเทียนหยาใช่ไหม มีสิทธิ์อะไรจะมาท้าดวลกับหัวหน้าตระกูลของเรา?”


“เขาก็แค่สมาชิกคนหนึ่งจากครอบครัวสาขาที่บังเอิญสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติเท่านั้นเอง มีดีแค่ไหนกันถึงอาจหาญจะมาท้าดวลกับหัวหน้าตระกูลของพวกเรา เราจะต้องสั่งสอนบทเรียนที่เขาไม่มีวันลืม…”


…..


เสียงออกความเห็นทำนองนี้ดังขึ้นทั่วห้อง


ได้ยินเหล่าสมาชิกตระกูลจางเหยียบย่ำหลัวเทียนหยาเพื่อยกเขาให้สูงขึ้น จางเซวียนรู้สึกเหนื่อยใจอย่างบอกไม่ถูก


หากคนพวกนี้ได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วหัวหน้าตระกูลหลัวคนใหม่ก็คือตัวเขา…จะพากันตกใจจนลมจับกันไปหมดหรือเปล่า?


เขาควรจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไรเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างทั้งสองตระกูลให้จบสิ้น?


ถ้าเขาบอกตระกูลหลัวว่าเขาคือหลัวเทียนหยา แน่นอนว่าพวกนั้นจะต้องคิดว่าเขาพยายามจะเหยียบย่ำซ้ำเติมอีกครั้ง โดยเฉพาะหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานหมั้น


ส่วนอีกด้านหนึ่ง ถ้าเขาบอกตระกูลจางว่าแท้ที่จริงแล้วเขาคือหลัวเทียนหยา เรื่องที่เขามีสายเลือดตระกูลหลัวบริสุทธิ์ถึงระดับ ‘9’ ก็ย่อมทำให้พวกเขาคิดหนัก ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด พวกนั้นอาจคิดไปได้ถึงขั้นที่ว่าท่านพ่อของเขาเล่นไม่ซื่อ!


ช่างเป็นสถานการณ์ที่ยุ่งยากลำบากใจอะไรอย่างนี้!


ทุกคนอยากจะโดดเด่น แต่ไม่รู้เลยว่าความโดดเด่นนั้นมีผลตามมาอย่างไร!


มันมาพร้อมกับความยุ่งยากและเหนื่อยใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!


หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่ จางเซวียนก็ยังหาวิธีเหมาะๆที่จะออกจากสถานการณ์คับขันนี้ไม่ได้ จึงได้แต่หาเหตุที่จะยื้อเวลาออกไปพลางๆ “ระหว่างนี้ ผมขอให้พวกคุณต้อนรับพวกตระกูลหลัวไปก่อนนะ พอดีผมเกิดแรงบันดาลใจบางอย่างขึ้นมาและอยากจะฝึกฝนวรยุทธตอนนี้…”


หากตัวเขากับหลัวเทียนหยาไม่อยู่ ก็แน่นอนว่าจะไม่มีอะไรเลยเถิดเกิดขึ้นระหว่างทั้งสองตระกูล


การปรากฏตัวของเขามีแต่จะทำให้เรื่องยุ่งยากกว่าเดิม


“ไปเถอะ ให้พวกเราจัดการเรื่องตระกูลหลัวเอง” เซียนดาบชิงตอบพร้อมกับพยักหน้า


เหตุผลของความขัดแย้งระหว่างตระกูลจางกับตระกูลหลัวก็คือการที่จางเซวียนปฏิเสธงานหมั้น คงจะดีที่สุดสำหรับจางเซวียนที่จะหลบลี้หนีหน้าไปจากพวกตระกูลหลัวเสียก่อน เพื่อไม่ให้เป็นการยั่วยุพวกนั้นให้ขุ่นเคืองขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อพวกเขายังคงเคืองแค้นกับเรื่องนั้นอยู่


หลังจากฝากฝังภาระไว้กับท่านพ่อของเขาแล้ว จางเซวียนก็พาหลัวลั่วชิงเข้าที่พัก


เขาจัดให้เธอพักอยู่ในห้องข้างๆ ก่อนจะกลับเข้าห้องนอนของตัวเอง จากนั้นก็เข้าสู่รังนางพญามด


ด้วยความเข้าใจอย่างล้ำลึกเรื่องมิติ จางเซวียนจึงสามารถเพิ่มพลังและขยายขนาดของรังนางพญามดได้ ทำให้มันแข็งแกร่งและใหญ่โตกว่าเมื่อก่อน พื้นที่ทั้งหมดของรังนางพญามดครอบคลุมอาณาเขตหลายร้อยลี้จากด้านหนึ่งไปจนสุดปลายอีกด้านหนึ่ง มีอาคารรวมทั้งสิ่งปลูกสร้างอยู่นับไม่ถ้วน ในแง่ของขนาด มันเทียบได้กับเมืองใหญ่ๆเมืองหนึ่งเลยทีเดียว


จางเซวียนรีบหาที่ว่างในรังนางพญามดและทรุดตัวลงนั่ง เขาใช้สมาธิ แล้วศพร่างใหญ่โตร่างหนึ่งก็ร่วงลงมากระแทกกับพื้นกระเบื้องหินสีน้ำเงินที่อยู่ด้านล่างจนฝุ่นฟุ้ง


มันคือศพของนักปราชญ์โบราณที่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นที่จางเซวียนได้สังหารเมื่อครั้งอยู่ที่สมาคมผู้หยั่งรู้แห่งเมืองหุบเขาเก็บเกี่ยว กว่าเขาจะนำมาเก็บไว้ในแหวนเก็บสมบัติได้ก็ยากเอาการ แต่การนำศพออกมานั้นง่ายกว่ามาก เขาทำได้โดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือของหอกสวรรค์กระดูกมังกร


จางเซวียนใช้หยดเลือด 3 หยดของปรมาจารย์ขงไปจนหมดแล้ว หน้าหนังสือสีทองก็ถูกใช้ไปแล้วเช่นกัน แถมไอ้โหดก็จำศีลอยู่ นั่นหมายความว่าตอนนี้เขาไม่มีไม้ตายไว้ใช้ปกป้องชีวิตของตัวเองเลย ซึ่งนับว่าอันตรายมากเมื่อพิจารณาถึงสภาวะปัจจุบันของทวีปแห่งปรมาจารย์ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นมากที่เขาจะต้องหลอมหุ่นโลหะไร้วิญญาณให้ได้โดยเร็วที่สุด


“เราควรจะลองดูก่อนไหมว่าจะเข้าไปในร่างของศพได้หรือเปล่า?” จางเซวียนคิดขณะถอดจิตวิญญาณต้นกำเนิดออกจากกายเนื้อ


ถึงเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณตัวนี้จะตายไปแล้ว แต่ศพของมันก็ยังแผ่แรงกดดันออกมายังพื้นที่โดยรอบ แม้จากระยะไกล ก็ยังรู้สึกได้ว่ารังสีของมันยังแผดกล้าอยู่ ทำให้จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาต้องเผชิญกับแรงกดดันที่ดูเหมือนจะฉีกมันออกเป็นชิ้นๆได้


พละกำลังของนักปราชญ์โบราณนี่สบประมาทไม่ได้เลยจริงๆ! จางเซวียนคิดอย่างเคร่งเครียด


หลังจากที่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาได้รับการบ่มเพาะจากแรงกดดันของหอกสวรรค์กระดูกมังกร มันก็แข็งแกร่งทนทานอย่างไม่น่าเชื่อ แม้แต่นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังสร้างความบอบช้ำให้กับจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาได้ยาก แต่ถึงอย่างนั้น จางเซวียนก็พบว่าการเข้าสู่ร่างของศพนี้มีความลำบากอยู่ไม่น้อย…


เหลือเชื่อจริงๆ!


จางเซวียนพยายามอีก 2-3 ครั้ง แต่ก็ต้องล่าถอยกลับมาก่อนจะพยายามเข้าใกล้ศพอีกครั้งแล้วครั้งเล่า ลงท้ายเขาก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างหมดหวัง


ในการหลอมหุ่นโลหะไร้วิญญาณ ขั้นแรก จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาจะต้องเข้าสู่ร่างของศพได้ก่อน ถ้าเขาทำไม่ได้แม้แต่จะแตะต้องมัน แล้วจะหลอมมันได้อย่างไร?


ดูเหมือนเราจะต้องยกระดับของจิตวิญญาณให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าเราฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ ก็น่าจะเข้าสู่ร่างของศพนี้ได้! จางเซวียนคิดขณะดึงจิตวิญญาณต้นกำเนิดกลับเข้ากายเนื้อ


เขารีบลำดับความสำคัญของเรื่องราวต่างๆที่กำลังพัลวันอยู่ในสมอง


อันดับแรก เราจะต้องหาเทคนิควรยุทธที่ปรมาจารย์ขงใช้ในการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ อันดับที่ 2 เราจะต้องหาลูกศิษย์ให้มากกว่านี้และทำให้พวกเขาสำนึกในบุญคุณ เพื่อสร้างหน้าหนังสือสีทองขึ้นมา ส่วนอันดับที่ 3 เราจะต้องผลักดันให้จิตวิญญาณของเราฝ่าด่านวรยุทธให้ได้เพื่อหลอมศพนี้!


ถึงจางเซวียนจะรู้ว่าหน้าหนังสือสีทองมีประสิทธิภาพการต่อสู้อันไร้เทียมทาน แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่ามันจะสังหารนักปราชญ์โบราณได้


เพราะถึงอย่างไร นักปราชญ์โบราณก็เป็นสัญลักษณ์ของความไร้เทียมทานในหัวใจของนักรบทุกคน นักรบคนไหนก็ตามที่ยังไม่ได้เข้าถึงระดับนั้นก็สามารถถูกนักปราชญ์โบราณเล่นงานได้อย่างง่ายดายเพียงแค่การใช้ความคิด ดังนั้น ผู้ที่ยังไม่ได้เป็นนักปราชญ์โบราณจึงไม่บังอาจแม้แต่จะคิดฝันว่าจะทำร้ายนักปราชญ์โบราณได้…


แต่เขาสังหารนักปราชญ์โบราณคนหนึ่งไปแล้วอย่างง่ายดายโดยใช้หน้าหนังสือสีทอง


ไม่มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตชิ้นไหนที่จะมีประสิทธิภาพดีไปกว่านี้ เพราะฉะนั้นเขาจะต้องพยายามสร้างหน้าหนังสือสีทองขึ้นให้ได้มากที่สุด


ภารกิจอันดับแรกและอันดับ 2 นั้นยากที่จะทำให้สำเร็จได้ในตอนนี้ แต่อันดับ 3 เราน่าจะทำได้!


เขาไม่แน่ใจนักเรื่องสถานการณ์ของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ในตอนนี้ จึงถือว่าอันตรายมากหากจะมุ่งหน้าไปที่นั่น โดยเฉพาะในสภาวะที่ตัวเขาไม่มีไม้ตายติดตัว หากผู้ที่ร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจคิดร้ายกับเขา เขาคงต้องเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่นแน่ จางเซวียนจึงยังไม่คิดจะมุ่งหน้าไปสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ตอนนี้


ส่วนภารกิจอันดับ 2 ถึงหน้าหนังสือสีทองจะทรงพลังแค่ไหน แต่การจะได้มันมาก็เป็นกระบวนการที่จะต้องปล่อยให้เกิดขึ้นเอง ไม่สามารถบังคับมันได้


เขาเคยคิดว่าหน้าหนังสือสีทองจะเกิดขึ้นจากความสำนึกในบุญคุณของลูกศิษย์ของเขา แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป มันน่าจะขึ้นอยู่กับความล้ำลึกของความสำนึกในบุญคุณนั้นด้วย หรืออาจมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ปลอดภัยหากเขาจะพึ่งพามันเพียงอย่างเดียว


ดังนั้น เมื่อพิจารณาแล้ว ก็ดูเหมือนว่าภารกิจอันดับ 3 จะเป็นสิ่งที่เขาควบคุมได้มากที่สุด


เมื่อเรียบเรียงความคิดสำเร็จ จางเซวียนออกจากรังนางพญามดและรีบออกจากที่พักของเขาไป ระหว่างทาง เขาพบผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลจาง จึงสั่งการ “พาผมไปที่หอสมุดที”


ในฐานะหัวหน้าตระกูล ก็แน่นอนว่าเขามีอำนาจที่จะเข้าสู่หอสมุดของตระกูลจางได้อย่างอิสระ ไม่จำเป็นต้องลักลอบแอบซ่อนเหมือนเมื่อก่อน


…..


4 ชั่วโมงต่อมา จางเซวียนเดินออกจากหอสมุดพร้อมกับความผิดหวังและความค้างคาใจ


ถึงตระกูลจางจะเป็นตระกูลนักปราชญ์หมายเลข 1 ของทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ก็มีหนังสือขั้นสูงที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณอยู่ไม่มากนัก แม้เขาจะรวบรวมหนังสือใหม่ๆไว้ได้จำนวนหนึ่ง แต่ก็ยังไม่อาจประมวลขึ้นเป็นเคล็ดวิชาเทียบฟ้าของวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 ที่สมบูรณ์แบบได้


พูดอีกอย่างก็คือ เขายังฝึกฝนวรยุทธไม่ได้ในตอนนี้


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาหันกลับไปตั้งคำถามกับผู้อาวุโสที่พาเขามา “ตระกูลหลัวเป็นอย่างไรบ้าง?”


“รายงานท่านหัวหน้า ตระกูลหลัวแจ้งว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อท้าทายคุณเข้าสู่การดวล แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือหัวหน้าตระกูลของพวกเขา, หลัวเทียนหยา ที่เพิ่งได้รับการสถาปนาขึ้นใหม่มีภารกิจด่วนที่ต้องไปจัดการ จึงมาพร้อมกับพวกเขาไม่ได้ ดังนั้นพวกเราจึงจัดให้พวกตระกูลหลัวพักอยู่ในบริเวณรับรองแขกไปก่อน” ผู้อาวุโสตอบ


“อือ ดีแล้ว” เห็นสถานการณ์เรียบร้อยดี จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตั้งคำถามอีก “ในอาณาบริเวณที่ใกล้เคียงกับตระกูลจาง มีกลุ่มอาชีพหรือกลุ่มอำนาจไหนที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษในเรื่องจิตวิญญาณบ้าง?”


“กลุ่มอาชีพหรือกลุ่มอำนาจที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษเรื่องจิตวิญญาณ?” ผู้อาวุโสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะให้คำตอบ “สมาคมผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองนาฏศิลป์ ห่างจากตระกูลจางไปราวสี่หมื่นลี้ ด้วยธรรมชาติของวิชาชีพของพวกเขา คนเหล่านั้นจึงคุ้นเคยกับเรื่องจิตวิญญาณเป็นอย่างดี แต่หากจะพูดถึงกลุ่มอำนาจที่มีความเข้าใจล้ำลึกที่สุดเรื่องจิตวิญญาณ ก็แน่นอนว่าจะต้องเป็นตระกูลเจียง, 1 ใน 3 ตระกูลใหญ่ เหล่าบรรพบุรุษของพวกเขาสำเร็จแก่นสารของจิตวิญญาณ และเมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่ก็ใช้เวลาเดินทางจากตระกูลจางของเราเพียงครึ่งวันเท่านั้น!”

 

 

 


ตอนที่ 1636

 

ตระกูลเจียงทรยศมวลมนุษย์ด้วยหรือ?

“ตระกูลเจียง?” จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตบหน้าผากเมื่อนึกได้


ทำไมก่อนหน้านี้เขาถึงนึกไม่ออกนะ?


ในบรรดาสามตระกูลใหญ่ ตระกูลจางเชี่ยวชาญเรื่องศิลปะแห่งกาลเวลา ตระกูลหลัวเชี่ยวชาญเรื่องศิลปะแห่งมิติ และตระกูลเจียงเชี่ยวชาญเรื่องศิลปะแห่งจิตวิญญาณ


ตอนที่เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณถูกกวาดล้างออกจากทวีปแห่งปรมาจารย์ในครั้งนั้น มรดกตกทอดเรื่องวรยุทธของจิตวิญญาณก็แทบจะหายสาบสูญไปหมด เป็นเพราะผู้ก่อตั้งตระกูลเจียงที่ได้ยืนหยัดและรวบรวมวรยุทธเกี่ยวกับจิตวิญญาณของทวีปแห่งปรมาจารย์ขึ้นมาใหม่ ด้วยความเข้าใจในแก่นสารเรื่องจิตวิญญาณของเขา เขาจึงได้คิดค้นศิลปะแห่งจิตวิญญาณอันไร้เทียมทานขึ้นมามากมายนับไม่ถ้วน และกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคสมัยนั้น


จะว่าไป จางเซวียนก็ไม่คุ้นเคยกับตระกูลเจียงนัก เขาเคยพบหัวหน้าตระกูล, เจียงฟังโหย่ว เพียงครั้งเดียวเมื่อตอนที่ตระกูลหลัวจัดงานหมั้น และเคยปะทะกับทายาทชั้นยอดของตระกูลเจียงคนหนึ่ง, เจียงเฟยเฟย ระหว่างการทดสอบของนักออกแบบสวรรค์สร้างที่เป็นส่วนประกอบหนึ่งของการเข้าท้าทายหอคอยปรมาจารย์เมื่อครั้งอยู่ที่ปูชนียสถานนักปราชญ์


ไม่นึกเลยว่าตระกูลเจียงจะอยู่ห่างจากตระกูลจางเพียงแค่การเดินทางครึ่งวันเท่านั้น


“ท่านหัวหน้า คุณคิดจะศึกษาเทคนิควรยุทธที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณหรือ?” ผู้อาวุโสถามด้วยความอยากรู้


“หลายวันมานี้ ผมยกระดับวรยุทธขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และนั่นส่งผลให้จิตวิญญาณต้นกำเนิดของผมเกิดความไม่มั่นคง ผมกำลังคิดว่าจะศึกษาเทคนิควรยุทธเกี่ยวกับจิตวิญญาณสักหน่อยเพื่อขัดเกลาจิตวิญญาณของผมให้ก้าวไปสู่ระดับขั้นที่สูงขึ้น” จางเซวียนตอบ


ได้ยินคำนั้น ผู้อาวุโสพยักหน้า


ปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นได้กับนักรบที่ยกระดับวรยุทธของตัวเองรวดเร็วเกินไป


ครั้งแรกที่หัวหน้าตระกูลของพวกเขามาถึงตระกูลจาง อีกฝ่ายเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 7 พื้นที่ลวงตาเท่านั้น แต่ภายในเวลาไม่นาน เขาก็กลายเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด นี่เป็นการก้าวกระโดดอย่างน่าทึ่งของวรยุทธ แน่นอนว่าปัญหาที่เกิดจากการยกระดับวรยุทธรวดเร็วเกินไปจะยังไม่ส่งผลชัดเจนนักในตอนนี้ แต่หากพยายามยกระดับวรยุทธให้สูงขึ้นไปอีกโดยมีรากฐานที่ไม่มั่นคง ก็อาจทำให้ประสบปัญหาอย่างหนักในอนาคต


เมื่อรู้เจตนาของหัวหน้าตระกูล ผู้อาวุโสตั้งข้อสังเกต “ตระกูลจางของเราไม่ได้มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับตระกูลเจียงมากนัก แต่ในฐานะสมาชิกของตระกูลชั้นนำเหมือนกัน ผมก็ไม่คิดว่าตระกูลเจียงจะปฏิเสธคำขอของท่านหัวหน้าหรอก ตราบใดที่คำขอของคุณไม่ได้ล่วงล้ำความลับของมรดกตกทอดของพวกเขา”


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนตาโต


จริงด้วย ตอนนี้เขาไม่ใช่คนไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่ไม่มีใครรู้จักอีกต่อไปแล้ว!


ศิลปะแห่งจิตวิญญาณอาจเป็นความลับของตระกูลเจียงที่ได้รับการอารักขาอย่างแน่นหนา แต่ในฐานะหัวหน้าตระกูลจาง หัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์ และศิษย์พี่ของปรมาจารย์หยาง หากเขาเอ่ยปากขอศึกษาหนังสือศิลปะเกี่ยวกับจิตวิญญาณขั้นพื้นฐานที่อยู่ในหอสมุดของตระกูลเจียง พวกนั้นก็ไม่น่าจะปฏิเสธ


หลังจากกล่าวลาผู้อาวุโสแล้ว จางเซวียนก็บอกหลัวลั่วชิงว่าจะออกไปข้างนอกสักครู่ ก่อนจะชักหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมาเพื่อเปิดรอยแยกแห่งมิติและออกเดินทาง


เขาได้พิกัดของตระกูลเจียงจากผู้อาวุโสที่เพิ่งสนทนาด้วยเมื่อครู่นี้


จางเซวียนเดินทางด้วยความเร็วสูง ไม่ช้าก็มาถึงชานเมืองแห่งหนึ่ง ก็เหมือนกับตระกูลจาง เมืองนี้ครอบคลุมพื้นที่หลายหมู่ กว้างใหญ่กว่าสมาพันธ์นานาจักรวรรดิเสียอีก


ตระกูลเจียง!


หนึ่งในสามตระกูลชั้นนำ, ยักษ์ใหญ่ของทวีปแห่งปรมาจารย์!


จางเซวียนสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างรวดเร็วและพบว่ามีค่ายกลป้องกันตัวมากมายถูกฝังไว้ เขาอดชื่นชมไม่ได้ ดูเหมือนตระกูลชั้นนำทุกตระกูลจะมีพละกำลังและอำนาจที่สบประมาทไม่ได้เลย


เขาเคยเข้าสู่ตระกูลหลัวและตระกูลจาง ซึ่งทั้งสองตระกูลก็มีค่ายกลทุกชนิดที่ทำให้แม้แต่นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังตกที่นั่งลำบากได้หากขาดความระมัดระวัง ชัดเจนว่าตระกูลเจียงก็เป็นแบบเดียวกัน


แต่ถึงอย่างนั้น ค่ายกลก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับจางเซวียน ด้วยหอสมุดเทียบฟ้า สิ่งที่เขาเห็นก็มีแต่ข้อบกพร่องกับข้อบกพร่องเท่านั้น


หลังจากเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ครู่หนึ่ง จางเซวียนกำลังคิดจะยื่นสมุดแนะนำตัวให้องครักษ์ที่อารักขาบริเวณทางเข้าตระกูลเจียงเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าไปรายงานถึงการมาเยือนของเขา ก็พอดีกับที่ต้องหรี่ตาด้วยความระแวง


จางเซวียนผลุบเข้าไปซ่อนตัวในพุ่มไม้ที่อยู่ใกล้ๆ


เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าผ่านพุ่มไม้เขียวชอุ่มนั้น และเห็นร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศเหนืออาณาเขตตระกูลเจียง


จากนั้น หัวหน้าตระกูลเจียง, เจียงฟังโหย่ว ก็รีบออกมาต้อนรับผู้มาเยือน แล้วทั้งสองก็ร่อนลงกับพื้นพร้อมกัน


“ทำไมเขามาที่นี่? หมายความว่าตระกูลเจียงก็ร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นด้วยหรือ?” จางเซวียนคิดอย่างเคร่งเครียด


ผู้ที่เพิ่งปรากฏตัวนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดที่เขาได้พบเมื่อครั้งอยู่ที่ภูเขาห้วยขาวและสมาคมผู้หยั่งรู้แห่งเมืองหุบเขาเก็บเกี่ยว


ทำไมชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดถึงมาปรากฏตัวที่นี่?


การที่หัวหน้าตระกูลเจียงออกมาต้อนรับด้วยตัวเองนั้นบ่งบอกว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา


“ขอดูหน่อยเถอะ!” จางเซวียนสูดหายใจลึก จากนั้นก็ใช้ดวงตาหยั่งรู้สำรวจพื้นที่โดยรอบก่อนจะเดินออกไป


ตอนนี้เขาอาจไม่มีไม้ตายอยู่กับตัวมากนัก หากต้องปะทะกับชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดในเวลานี้ก็คงพ่ายแพ้แน่ แต่ถึงอย่างนั้นจางเซวียนก็ยังมั่นใจในทักษะการซ่อนตัวของตัวเอง


อีกอย่าง ด้วยการที่เขาสำเร็จความเข้าใจเรื่องมิติและเวลาแล้ว เขาก็มั่นใจว่าต่อให้สู้ไม่ได้ ก็ยังหลบหนีทัน


ฟึ่บ!


รอยแยกแห่งมิติมากมายนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นตรงหน้าจางเซวียนขณะที่เขาแทรกตัวเข้าไปผ่านประตูใหญ่ของตระกูลเจียง


มีองครักษ์มากมายอารักขาอยู่หน้าประตู ซึ่งระดับวรยุทธของพวกเขาก็มีตั้งแต่ระดับเซียนขั้น 3 ไปจนถึงขั้น 4 แต่ไม่มีใครสักคนที่รู้สึกได้ว่าจางเซวียนผ่านเข้าไป ราวกับเขาไม่มีตัวตน


นี่คือทักษะการควบคุมมิติที่ทรงพลัง


ด้วยการปิดกั้นพื้นที่รอบตัวเองและป้องกันไม่ให้มีพลังงานเล็ดลอดออกไปจากการเข้าสู่พื้นที่หรือออกจากพื้นที่ จางเซวียนก็สามารถซ่อนตัวได้แม้แต่จากแสง ตราบใดที่อีกฝ่ายมีระดับวรยุทธต่ำกว่า ก็ไม่มีทางรู้สึกถึงการปรากฏตัวของเขาได้เลย


หลังจากเดินผ่านทางเดินและเลี้ยวอีกหลายครั้ง ในที่สุดจางเซวียนก็มาถึงห้องโถงขนาดใหญ่ที่หรูหรางดงาม


ที่อยู่ตรงหน้าเขาคือบริเวณที่เจียงฟังโหย่วกับชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดร่อนลง ถึงจางเซวียนจะมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเรื่องกฎเกณฑ์แห่งมิติแล้ว แต่เขาก็ไม่กล้าเข้าใกล้เกินไป


จางเซวียนจึงหาพื้นที่เพื่อซ่อนตัวก่อนจะมองเข้าไปในห้องโถง


ด้านในห้อง เขาเห็นชาย 2 คนยืนหันหน้าเข้าหากัน ดูเหมือนกำลังหารือเรื่องสำคัญบางอย่าง


จางเซวียนสูดหายใจลึกและเพ่งสมาธิเข้าสู่ห้องโถงนั้น ไม่ช้าเขาก็ได้ยินบทสนทนา


“…ข่าวที่คุณได้มา? ผมเข้าใจแล้ว!”


ชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดพยักหน้าและพูดว่า “ผมจะมอบหมายให้คุณจัดการก็แล้วกัน จะมีอะไรผิดพลาดไม่ได้นะ ถ้าเราทำสำเร็จล่ะก็ พวกเราจะพบกับวันคืนใหม่ ความฝันที่เราเคยใฝ่ฝันมาเนิ่นนานหลายปีจะได้กลายเป็นจริงเสียที!”


“ได้ ผมเข้าใจ” เจียงฟังโหย่วรีบพยักหน้า


“คุณเข้าใจก็ดีแล้ว จำคำเตือนไว้ด้วยนะ เหตุการณ์สำคัญกำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ และสงครามครั้งใหญ่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ คุณจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมทุกเมื่อ!”


หลังจากพูดจบ ชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดก็ส่ายหน้าอย่างเคร่งเครียด เขากล่าวอำลาก่อนจะจากไป


ถึงชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดจะจากไปแล้ว จางเซวียนก็ยังไม่กล้าเคลื่อนไหว เขาปิดกั้นรังสีไว้อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ขณะที่ซ่อนมิติที่อยู่รอบตัวไว้อย่างแน่นหนา ไม่เปิดช่องโหว่ให้ใครรู้ได้ว่ามีตัวเขาอยู่


ขณะที่จากไป ชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดลดสายตาลงมองด้านล่างอยู่ครู่หนึ่ง แต่ดูเหมือนจะเป็นแค่การกวาดสายตามองผ่านๆ เพียงครู่เดียวเขาก็หายวับไป ดูเหมือนจะจากไปอีกทาง


“เฮ่อออ!” เห็นชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดจากไป เจียงฟังโหย่วถอนหายใจเฮือกใหญ่ แววตาของเขาบ่งบอกความรู้สึกที่ซับซ้อน เขาเดินออกจากห้องโถง


จางเซวียนคาดว่าอีกฝ่ายคงจะไปดำเนินการบางอย่างตามที่ตกลงไว้กับชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้น


“ตระกูลเจียงร่วมมือกับไอ้สารเลวกลุ่มนั้นด้วยหรือ พวกเขาทรยศมวลมนุษย์ใช่ไหม?” จางเซวียนเฝ้ามองเจียงฟังโหย่วเดินจากไป เขาย่นหน้าผากเป็นร่องลึก


ตระกูลเจียงเป็น 1 ใน 3 ตระกูลชั้นนำ! แม้สถานภาพของพวกเขาจะด้อยกว่าตระกูลจางและตระกูลหลัว แต่ก็ได้รับความเคารพอย่างสูงในทวีปแห่งปรมาจารย์ ในตระกูลของพวกเขามีปรมาจารย์อยู่มากมาย ทำไมถึงทรยศมวลมนุษย์และไปร่วมมือกับไอ้สารเลวกลุ่มนั้นได้?


เขาเคยพบชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้น 2 ครั้งแล้ว ถึงจะยังมองไม่เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของอีกฝ่าย แต่การที่หมอนั่นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจก็บ่งบอกตัวตนที่แท้จริงของเขาได้


ต่อให้หมอนั่นไม่ใช่เผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่การที่เขาอยู่ในแก๊งเดียวกับพวกมันก็แปลว่าเขาคือคนทรยศ


ส่วนการที่หัวหน้าตระกูลเจียงมีการหารือเรื่องราวที่เป็นความลับกับหมอนั่น ก็ทำให้ยากเต็มทีที่จางเซวียนจะไม่สงสัย


“’พวกเราจะพบกับวันคืนใหม่’, ‘สงครามครั้งใหญ่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้’…หมายความว่าอย่างไร? พวกเขาคงตั้งใจสร้างความเดือดร้อนให้สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ หรือบางที อาจจะเป็นทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์เลยก็ได้” จางเซวียนกำหมัดแน่น


เขายังคงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีแผนการอย่างไร แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกนั้นขโมยร่างกายท่อนบนของไอ้โหดไปและพาเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณหลายตัวเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ ก็บ่งบอกชัดเจนแล้วว่าพวกมันมีเป้าหมายยิ่งใหญ่อยู่ในใจ! หากเกิดอะไรขึ้นกับทวีปแห่งปรมาจารย์ ทุกอย่างที่เขาเป็นห่วงเป็นใยจะต้องตกอยู่ในอันตราย


ไม่ว่าจะเป็นตระกูลจาง ตระกูลหลัว แก๊งชวนชวน สถาบันปรมาจารย์หงหย่วน…ทันทีที่รังนกถูกทำลาย ก็จะไม่มีไข่ใบไหนยังคงอยู่รอดปลอดภัยได้!


การร่วมมือกันระหว่างตระกูลเจียงกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นถือเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่สำหรับมวลมนุษย์ ซึ่งในเมื่อเขารู้แล้ว เขาก็จะต้องยับยั้งมันให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนก็ตาม


“เราต้องหารือกับท่านพ่อท่านแม่เพื่อตัดสินใจว่าจะรับมือกับตระกูลเจียงอย่างไร…” จางเซวียนส่ายหน้าอย่างเคร่งเครียด


หากพวกเขาไม่อาจถอนรากถอนโคนอิทธิพลของตระกูลเจียงได้ในคราวเดียว พวกนั้นก็จะต้องเตลิดหนีไปซ่อนตัว ด้วยอิทธิพลยิ่งใหญ่ที่ตระกูลเจียงมีอยู่ทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์ การปฏิบัติการในเงามืดก็จะถือเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่ของมวลมนุษย์หากเกิดสงครามกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นขึ้นมาจริงๆ


“ในเมื่อตระกูลเจียงทรยศมวลมนุษย์ เราก็ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองแล้วล่ะ…ขอเข้าไปสำรวจหนังสือในหอสมุดของพวกเขาหน่อยเถอะ!”


เมื่อคิดได้ จางเซวียนรีบสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างรวดเร็วก่อนจะมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง

 

 

 


ตอนที่ 1637

 

การฝ่าด่านวรยุทธของวรยุทธที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ

ครู่ต่อมา จางเซวียนก็มาถึงอาคารหลังโอ่อ่า


มีป้ายติดอยู่หน้าอาคาร ตัวอักษรขนาดใหญ่เปล่งประกายอยู่บนนั้น – คลังหนังสือตระกูลเจียง!


คงเป็นที่นี่ จางเซวียนคิด


ถึงเขาจะเคยลักลอบเข้าไปถ่ายโอนหนังสือในห้องสมุดที่ต่างๆอยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อขึ้นเป็นหัวหน้าสถาบันปรมาจารย์หงหย่วน ก็ตัดสินใจที่จะไม่ทำแบบนั้นอีก


แต่สำหรับตอนนี้ ในเมื่อตระกูลเจียงเลือกที่จะทรยศมวลมนุษย์ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จางเซวียนจะต้องยึดถือหลักการหรือใช้คุณธรรมกับพวกเขา


จางเซวียนเดินไปที่ประตูและแตะมันเบาๆ ประตูบานนั้นเปิดออกสู่ทางเดินเล็กๆของค่ายกลที่อารักขาอาคารไว้ เขาเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล


หลังจากเชี่ยวชาญศาสตร์การปลดปล่อยมิติเทียบฟ้าขั้น 4 แล้ว ฉนวนและค่ายกลส่วนใหญ่ก็ไม่เป็นปัญหากับจางเซวียนอีก


“ที่นี่มีหนังสือเกี่ยวกับจิตวิญญาณอยู่มากมายจริงๆ” จางเซวียนพึมพำอย่างดีใจขณะรีบกวาดสายตาไปยังบรรดาหนังสือที่อยู่ในชั้นแรก


แต่หนังสือส่วนใหญ่ในชั้นแรกไม่ได้ลึกซึ้งนัก จางเซวียนจึงไม่อยากเสียเวลาถ่ายโอนพวกมัน เขารีบเดินไปยังชั้นถัดไป


หนังสือเกี่ยวกับจิตวิญญาณในชั้น 2 มีระดับขั้นสูงกว่าชั้นแรก ด้วยการกวาดสายตาอย่างรวดเร็ว จางเซวียนก็พบว่าพวกมันมีเนื้อหาที่ตื้นเขินเกินไปสำหรับระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาในตอนนี้ จึงเดินขึ้นไปรวดเดียว 5 ชั้น และหยุดอยู่ที่ชั้น 7


จำนวนหนังสือที่ชั้น 7 นี้มีน้อยลงมาก รวมแล้วก็มีชั้นหนังสือไม่กี่สิบชั้นซึ่งมีหนังสืออัดแน่นอยู่หลายหมื่นเล่ม


จางเซวียนกวาดสายตาทั่วชั้นหนังสืออย่างรวดเร็วและถ่ายโอนหนังสือทั้งหมดเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าก่อนจะพลิกดู


เขาขมวดคิ้วจนเป็นร่องลึก ทำไมถึงมีหนังสือเกี่ยวกับผู้พยากรณ์จิตวิญญาณอยู่มากมายนัก?


ด้วยความประหลาดใจ จางเซวียนพบว่าหนังสือส่วนใหญ่มีรายละเอียดเกี่ยวกับเทคนิควรยุทธของจิตวิญญาณที่ควรจะเป็นเทคนิคเฉพาะของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ


มีความแตกต่างโดยพื้นฐานระหว่างเทคนิควรยุทธของจิตวิญญาณที่เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณฝึกฝนกับเทคนิควรยุทธของจิตวิญญาณที่นักรบทั่วไปฝึกฝนกันอยู่ในทุกวันนี้


เทคนิควรยุทธสมัยใหม่ที่นักรบส่วนใหญ่ฝึกฝนกันอยู่ในปัจจุบันเป็นการฝึกฝนเพื่อบ่มเพาะจิตวิญญาณ ขณะที่เทคนิควรยุทธของจิตวิญญาณที่เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณฝึกฝนนั้นเกี่ยวข้องกับหุ่นโลหะไร้วิญญาณ พิธีกรรมของจิตวิญญาณ และอื่นๆที่เป็นทำนองเดียวกัน


หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ถ้าเทคนิควรยุทธของจิตวิญญาณสมัยใหม่เปรียบได้กับนายแพทย์ เทคนิควรยุทธของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณก็คือกูรูยาพิษ


แม้จะมีความชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัยว่าเทคนิควรยุทธทั้ง 2 แบบมีเป้าหมายอยู่ที่จิตวิญญาณ แต่กรรมวิธีในการฝึกวรยุทธของเทคนิคทั้ง 2 รูปแบบนี้ก็แตกต่างกันมาก


ในฐานะหนึ่งในสามตระกูลชั้นนำ ตระกูลเจียงได้รับการยกย่องอย่างสูงจากชาวโลก แต่ทำไมพวกเขาถึงมีหนังสือเทคนิควรยุทธของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณอยู่มากมายขนาดนี้?


หรือว่า…ผู้ก่อตั้งตระกูลเจียงเป็นผู้สืบทอดคนหนึ่งของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ? จางเซวียนกระพริบตาปริบๆเมื่อเกิดความคิดนี้ขึ้นมา


เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณถูกกำจัดไปแล้ว และมรดกตกทอดของพวกเขาก็หายสาบสูญไปจากโลก สิ่งนี้เป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ตระกูลเจียงกลับมีหนังสือมากมายที่เกี่ยวข้องกับมรดกตกทอดของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ…ยากที่จะเชื่อว่าทั้งสองฝ่ายไม่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน!


ด้วยความสงสัยมากมายที่อยู่ในใจ จางเซวียนเดินขึ้นไปยังชั้นถัดไป


ที่ชั้น 8 มีหนังสือน้อยกว่าเดิมอีก แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงเกี่ยวข้องและมีรากฐานมาจากมรดกตกทอดของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ


ถ้าตระกูลเจียงสืบเชื้อสายมาจากผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ นั่นก็อธิบายได้ว่าทำไมพวกเขาถึงเลือกทรยศมวลมนุษย์…จางเซวียนคิดพร้อมกับหรี่ตา


วิธีการอันโหดร้ายของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณนั้นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้สภาปรมาจารย์ตัดสินใจกำจัดพวกเขา แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือผู้พยากรณ์จิตวิญญาณเลือกที่จะทรยศมวลมนุษย์ด้วยการไปเข้าร่วมกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น!


มรดกตกทอดของกูรูยาพิษก็มีหลายอย่างที่โหดเหี้ยม แต่สภาปรมาจารย์เลือกที่จะโดดเดี่ยวพวกเขาแทนที่จะใช้กำลังเข้าสังหาร


ถ้าจางเซวียนเข้าใจไม่ผิด เรื่องนี้ก็อธิบายได้ว่าทำไมตระกูลเจียงถึงมีความสัมพันธ์กับชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้น


หลังจากถ่ายโอนหนังสือแล้ว จางเซวียนก็ขึ้นไปชั้นบนสุดของคลังหนังสือตระกูลเจียง


ชั้นนี้มีหนังสือน้อยลงไปอีก เพียงแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น


ด้วยการกวาดสายตาเพียงแวบเดียว เขาก็ถ่ายโอนพวกมันเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าได้หมด


ประมวล!


จางเซวียนรีบประมวลหนังสือที่เขาถ่ายโอนมาเข้ากับเทคนิควรยุทธที่ลู่ชงถ่ายทอดให้


วิ้ง!


หนังสือสองเล่มปรากฏขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้า จางเซวียนแตะมันอย่างแผ่วเบา เขาตาโตด้วยความตื่นเต้น


เราได้เทคนิควรยุทธที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณของวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 การพักฟื้นภายใน และขั้น 2 ร่างอันทรงเกียรติมาแล้ว! มันยังคงมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยที่สุดเราก็สามารถแก้ไขได้แล้วเป็นส่วนใหญ่…


สำหรับการฝ่าด่านวรยุทธของนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 นั้น วรยุทธของพลังปราณและวรยุทธของจิตวิญญาณจะมีความแตกต่างกัน สำหรับวรยุทธของพลังปราณ ไม่มีสูตรสำเร็จพื้นฐานตายตัวที่นักรบจะต้องทำตามในการฝ่าด่านวรยุทธ ดังนั้นแต่ละคนจึงต้องค้นหาวิธีการที่เหมาะสมสำหรับตัวเอง


ส่วนวรยุทธที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ เนื่องจากไม่มีทางเดินพลังปราณหรืออะไรทำนองนั้นอยู่ในจิตวิญญาณ การฝ่าด่านวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 จึงมีเงื่อนไขว่านักรบจะต้องบ่มเพาะจิตวิญญาณของตัวเองให้แข็งแกร่งและสามารถควบคุมพลังจิตวิญญาณของตัวเองได้


เราจะฝ่าด่านวรยุทธที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ! จางเซวียนคิด


เขารีบสร้างปราการขึ้นที่มุมหนึ่งของห้องก่อนจะเข้าสู่รังนางพญามด


หลังจากหาพื้นที่โล่งๆได้แล้ว จางเซวียนก็วางทรัพยากรสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไว้รอบๆ จากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นก่อนจะศึกษาศาสตร์แห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้าของวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 ที่อยู่ในสมอง


ครู่ต่อมา จางเซวียนก็ถอดจิตวิญญาณต้นกำเนิดออกจากหว่างคิ้ว แล้วทรัพยากรในการฝึกฝนวรยุทธก็ลอยเข้าหาเขา


ฟู่!


ทรัพยากรเหล่านั้นแหลกสลายไปพร้อมๆกัน พลังจิตวิญญาณอันเข้มข้นพวยพุ่งออกไปโดยรอบ จางเซวียนรีบซึมซับพลังจิตวิญญาณเหล่านั้นเข้าสู่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาอย่างรวดเร็ว


เขาได้ทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธเหล่านี้จากขุมสมบัติของตระกูลหลัว นอกจากจะใช้ในการยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณแล้ว ยังมีมากพอสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธของพลังปราณไปสู่การเป็นนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 ด้วย


วันคืนที่เขาต้องลำบากลำบนพึ่งพาการทดสอบสายฟ้าเพื่อรวบรวมพลังงานสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธได้ผ่านไปแล้ว!


ด้วยการบ่มเพาะจากพลังจิตวิญญาณเข้มข้น จิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียนก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ มันฝ่าด่านคอขวดไปได้อย่างรวดเร็วและก้าวเข้าสู่อาณาเขตที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน


วิ้ง!


ขณะที่จางเซวียนบ่มเพาะจิตวิญญาณต้นกำเนิดด้วยพลังจิตวิญญาณที่เขาซึมซับไว้ มันก็โปร่งแสงและใสกระจ่างขึ้นเรื่อยๆ ใสสะอาดกว่าแต่ก่อน แสงสีรุ้งเปล่งประกายอยู่รอบตัวเขาราวกับเทพเจ้าแห่งการหยั่งรู้


จิตวิญญาณของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณโดยทั่วไปจะยังคงเย็นเยือกและมีสิ่งปนเปื้อนอยู่แม้จะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้แล้ว แต่เทคนิควรยุทธของจิตวิญญาณที่จางเซวียนฝึกฝนนั้นคือศาสตร์แห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้า


ยิ่งไปกว่านั้น จิตวิญญาณของเขายังผ่านการบ่มเพาะจากการทดสอบสายฟ้ามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ทำให้มันเติบโตอย่างมีคุณภาพ ตอนนี้จิตวิญญาณของเขาปราศจากรังสีพลังหยินอันเย็นเยือกอย่างที่ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณโดยทั่วไปมี


ต่อให้ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวจากสภาปรมาจารย์มาเห็นภาพนี้ ก็จะไม่มีใครคิดเลยว่าจิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียนเกี่ยวข้องกับเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ


เมื่อรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณต้นกำเนิด จางเซวียนตาโตด้วยความตื่นเต้น


ในที่สุด…วรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 การพักฟื้นภายใน ก็สำเร็จแล้ว!


การมาเยือนตระกูลเจียงของเขาถือว่าได้ผลตอบแทนอย่างงาม ถ้าไม่ใช่เพราะหนังสือที่เขาได้ถ่ายโอนไว้ ใครจะไปรู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าเขาจะฝ่าด่านวรยุทธที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณได้?


ไปต่อ!


แม้จะฝ่าด่านวรยุทธของจิตวิญญาณไปสู่ขั้นการพักฟื้นภายในแล้ว จางเซวียนก็ยังรู้สึกได้รางๆว่าจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขายังไม่แข็งแกร่งพอที่จะเข้าสู่ร่างของศพเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นที่เป็นนักปราชญ์โบราณตัวนั้น


เขาจึงซึมซับพลังจิตวิญญาณต่อโดยไม่ลังเลและผลักดันตัวเองเข้าสู่ขั้นต่อไป


4 ชั่วโมงต่อมา…


จางเซวียนหยุดการซึมซับพลังจิตวิญญาณ เขาลืมตาขึ้นช้าๆ


เราเข้าถึงขั้นโลกจารึกของวรยุทธขั้นการพักฟื้นภายในแล้ว…


ไม่เหมือนกับวรยุทธระดับเซียน วรยุทธแต่ละขั้นของนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จะแบ่งออกเป็น 6 ขั้นย่อย คือขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูง ขั้นสูงสุด ขั้นสมบูรณ์แบบ และขั้นโลกจารึก


การเข้าถึงขั้นโลกจารึกก็หมายความว่าเขาได้สำเร็จขั้นสูงสุดของวรยุทธขั้นนี้


การฝ่าด่านวรยุทธของวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่นั้นยากกว่ากันมากหากเปรียบเทียบกับวรยุทธระดับเซียน สมัยก่อน เวลา 2 ชั่วโมงก็เพียงพอให้เรายกระดับวรยุทธได้แล้ว แต่ตอนนี้ต้องใช้เวลานานกว่านั้น…


จางเซวียนไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่ตัวเองต้องใช้เวลาถึง 4 ชั่วโมงเพื่อยกระดับวรยุทธ 1 ขั้น


ดูเหมือนว่ายิ่งปีนสูงขึ้นไปก็ยิ่งยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ…


จางเซวียนตัวสั่นเมื่อจินตนาการถึงวันที่เขาจะต้องใช้เวลาหนึ่งวันเต็มในการยกระดับวรยุทธเพียงขั้นเดียว…น่าสะพรึงเหลือเกิน!


วรยุทธไม่ใช่เรื่องง่าย…ขนาดผู้ปราดเปรื่องอย่างเราก็ยังต้องใช้เวลาถึง 4 ชั่วโมงในการยกระดับวรยุทธขั้นเดียว แล้วนักรบคนอื่นๆล่ะจะต้องใช้เวลานานขนาดไหน? จางเซวียนส่ายหน้าและถอนหายใจ ช่างมันเถอะ! ต่อให้เหนื่อยยากอย่างไรเราก็จะต้องผ่านไปให้ได้ อย่างน้อยที่สุด เราจะต้อง สำเร็จวรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติ–โลกจารึก ก่อนพระอาทิตย์ตก…


ขณะที่กำลังรำพึงว่านับวันการยกระดับวรยุทธก็ยิ่งหนักหนาสาหัสขึ้นเรื่อยๆ จางเซวียนก็ยังคงดำเนินการต่อไป


ไม่ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพการต่อสู้ เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเดินหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง


ใครใช้ให้เขาเลือกเส้นทางนี้ล่ะ? ในเมื่อเลือกแล้ว ถึงจะเหนื่อยยากแค่ไหน ก็ต้องกัดฟันและอดทนให้ได้!

 

 

 


ตอนที่ 1638

 

เจียงเฟยเฟย

สิบนาทีต่อมา จางเซวียนหยุดการยกระดับวรยุทธด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความจนปัญญา


เรารู้ว่ามันไม่ง่าย…เขาคิดขณะนวดหว่างคิ้วอย่างลำบากใจ


จางเซวียนเคยคิดว่าตัวเขาคงฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 2-ร่างอันทรงเกียรติได้อย่างง่ายดายด้วยทรัพยากรที่ได้จากตระกูลหลัว แต่ใครจะไปคิดว่าพลังจิตวิญญาณที่ได้จากทรัพยากรเหล่านี้มีความบริสุทธิ์ไม่พอสำหรับเขาในการฝ่าด่านวรยุทธ!


ทรัพยากรเหล่านี้น่าจะเพียงพอสำหรับใครก็ตามที่จะยกระดับวรยุทธขึ้นไปได้จนถึงระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 4-ชั่วกัลปาวสาน แต่เพราะจางเซวียนไม่ได้ฝึกฝนเทคนิควรยุทธแบบธรรมดา แต่เป็นศาสตร์แห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้า อีกอย่าง จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาก็ได้รับการบ่มเพาะจากสายฟ้าด้วย ทำให้มันปฏิเสธทุกอย่างที่ไม่บริสุทธิ์พอ


ลงท้าย แม้พลังจิตวิญญาณที่ได้จากทรัพยากรเหล่านี้จะไม่ได้มีสิ่งปนเปื้อนมากนัก แต่ก็ยังไม่บริสุทธิ์พอสำหรับเขา


และเมื่อปราศจากแหล่งพลังงาน ก็ไม่มีทางที่จะฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ


กว่าเขาจะประมวลศิลปะแห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้าได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะถูกบังคับให้ต้องหยุดการยกระดับวรยุทธเพียงเพราะแหล่งกำเนิดพลังจิตวิญญาณที่เขามีนั้นบริสุทธิ์ไม่พอ


เมื่อเจอเข้ากับสถานการณ์แบบนี้ จางเซวียนก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา


เอาเถอะ…ตอนนั้นเราลังเลที่จะนำทรัพยากรของตระกูลหลัวออกมาเยอะๆ เพราะหลัวกั้นเจินตามติดเราอยู่ แต่คงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนักถ้าจะขโมยทรัพยากรจากตระกูลเจียง…ในเมื่อพวกเขาทรยศมวลมนุษย์ ยิ่งเรานำทรัพย์สมบัติออกมาได้มากเท่าไหร่ คนพวกนี้ก็จะทำร้ายมวลมนุษย์ได้น้อยลงเท่านั้น! จางเซวียนคิดขณะผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์


ถึงเขาจะมีสิทธิ์ใช้ทรัพยากรของตระกูลหลัว แต่ก็ไม่อาจนำข้าวของทั้งหมดออกจากขุมสมบัติได้ แต่สำหรับตระกูลเจียง เขาไม่ต้องคิดมาก เพราะในเมื่อคนพวกนี้ทรยศมวลมนุษย์ ทรัพย์สมบัติที่พวกเขามีก็มีแต่จะทำให้ศัตรูแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ซึ่งในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องรีรออะไรอีก


เมื่อคิดได้ จางเซวียนรีบดึงจิตวิญญาณต้นกำเนิดกลับเข้ากายเนื้อก่อนจะออกจากรังนางพญามด


ข้างนอกยังคงเงียบเชียบตอนที่เขากลับสู่คลังหนังสือตระกูลเจียง เห็นชัดว่าไม่มีใครรู้ว่ามีผู้บุกรุกคนหนึ่งที่ผ่านค่ายกลป้องกันตัวและเข้าถึงหนังสือของพวกเขา


เราจำได้ว่าเห็นขุมสมบัติของตระกูลเจียงระหว่างทางที่มาที่นี่ มันน่าจะอยู่ทิศทางนี้แหละ เดินตรงไปดูดีกว่า!


ด้วยทักษะการควบคุมมิติ จางเซวียนออกจากคลังหนังสือตระกูลเจียงได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ทำให้ใครรู้ตัว หลังจากประเมินทิศทางแล้วเขาก็รีบเดินไป ไม่ช้าก็มาถึงที่หมาย


ฉนวนที่ปิดกั้นขุมสมบัตินั้นแข็งแกร่งและมีมาตรการป้องกันเหนียวแน่นกว่ามากเมื่อเทียบกับคลังหนังสือ มีฉนวนปิดกั้นอยู่ชั้นแล้วชั้นเล่าในรูปแบบที่ซับซ้อน ทำให้การถอดรหัสเป็นไปได้ยาก


จางเซวียนกำลังจะใช้หอสมุดเทียบฟ้าตรวจสอบฉนวนเพื่อหาข้อบกพร่องและเล็ดลอดเข้าไปในขุมสมบัติ ก็พอดีกับที่ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา


เขารีบพุ่งเข้าไปยังมุมที่อยู่ใกล้ที่สุด และด้วยการโบกมือ จางเซวียนก็สร้างปราการมิติขึ้นล้อมรอบตัวเองไว้อย่างรวดเร็ว ทันทีที่เขาเสร็จภารกิจ ก็เห็นคนสองคนเดินเข้ามา


จางเซวียนต้องประหลาดใจที่ทั้งคู่มีใบหน้าที่เขาคุ้นเคย


คนซ้ายคือชายวัยกลางคนที่เขาเพิ่งเห็นเมื่อ 2-3 ชั่วโมงก่อน, หัวหน้าตระกูลเจียงฟังโหย่ว ส่วนคนขวาคือสาวน้อยร่างสูงที่มีกิริยาท่าทางซึ่งบ่งบอกถึงความกล้าหาญ เธอคือนักปราชญ์รุ่นเยาว์ของสมาคมนักออกแบบสวรรค์สร้าง, เจียงเฟยเฟย!


ดูเหมือนเจียงฟังโหย่วจะทำอะไรบางอย่างให้เจียงเฟยเฟยไม่สบายใจ สีหน้าของเธอดูไม่มีความสุข เธอประท้วง “ท่านพ่อ…”


“ที่ผ่านมา พ่ออนุญาตให้เจ้าใช้เวลาเรียนรู้เรื่องไร้สาระอย่างศาสตร์ของนักออกแบบสวรรค์สร้าง แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ทวีปแห่งปรมาจารย์กำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และคงจะวุ่นวายมาก ในฐานะทายาทที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ที่สุดในตระกูลเจียงของเรา เจ้าจะต้องแบกรับความรับผิดชอบนี้!” เจียงฟังโหย่วเทศนาอย่างเคร่งเครียด


“ท่านพ่อ…ท่านพ่อพูดเหมือนไม่รู้ระดับวรยุทธของฉันอย่างนั้นแหละ ยังอีกไกลโขกว่าฉันจะสำเร็จวรยุทธเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 8 เพราะฉะนั้น ถึงฉันจะอยากแบกรับภาระของตระกูลเจียง แต่ฉันจะทำอะไรได้?” เจียงเฟยเฟยบ่นกระปอดกระแปด


“ความแข็งแกร่งของตระกูลเจียงของเราไม่ได้มาจากวรยุทธของพลังปราณ แต่เป็นวรยุทธของจิตวิญญาณ ด้วยสายเลือดบริสุทธิ์ของเจ้า จิตวิญญาณของเจ้าย่อมแข็งแกร่งกว่าคนรุ่นเดียวกันมาก ถ้าเจ้าสามารถทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณที่ผู้ก่อตั้งของเราคิดค้นขึ้นได้ เจ้าก็จะได้รับมรดกตกทอดของผู้ก่อตั้ง และประสิทธิภาพการต่อสู้ก็จะสูงขึ้นด้วย” เจียงฟังโหย่วอธิบาย


นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายของความคาดหวังขณะพูดต่อ “พ่อไม่ได้พูดเล่นกับเจ้า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของตระกูลเจียงของเรา หากมีอะไรผิดพลาดล่ะก็ ตระกูลเจียงจะต้องสูญสิ้นแน่ แล้วถึงเวลานั้น เจ้าจะมาตีโพยตีพายไม่ได้นะ!”


“เอาเถอะ เอาเถอะ ฉันเข้าใจแล้ว…” เห็นความเคร่งเครียดของท่านพ่อ เจียงเฟยเฟยได้แต่พยักหน้าอย่างจนปัญญา “ฉันจะพยายามจนสุดความสามารถก็แล้วกัน ตกลงไหม? แต่ท่านพ่อก็ควรจะรู้ไว้ด้วยว่าการทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณนั้นยากเย็นนัก บรรพบุรุษมากมายของเราก็ยังทำไม่สำเร็จ ฉันไม่คิดว่าฉันจะมีโอกาสมากนักหรอก!”


“…เจ้าพยายามจนสุดความสามารถก็แล้วกัน เราเพิ่งได้ข่าวว่าจางเซวียนจากตระกูลจางสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของเวลาแล้ว และหลัวเทียนหยาจากตระกูลหลัวก็สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติ ในบรรดาสามตระกูลชั้นนำ มีแต่ตระกูลเจียงของเราเท่านั้นที่ยังล้าหลังอยู่!” เจียงฟังโหย่วถอนหายใจเฮือก


“จางเซวียนคนนั้นที่ท่านพ่อพูดถึงน่ะเป็นคนปราดเปรื่องอย่างไม่น่าเชื่อ อายุเพียงเท่านี้ก็เป็นหัวหน้าตระกูลจางและหัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์แล้ว ไม่น่าแปลกใจหรอกที่เขาจะทำความเข้าใจแก่นสารของเวลาได้ ว่าแต่…หลัวเทียนหยาที่พ่อพูดถึงน่ะเป็นใคร?” เจียงเฟยเฟยถามด้วยความสงสัย


ถึงอย่างไร ตระกูลหลัวก็ไม่ได้ประกาศเรื่องการสถาปนาหัวหน้าตระกูลคนใหม่ออกมาอย่างเป็นทางการ จึงมีแต่สมาชิกชั้นนำของตระกูลเจียงเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้


อีกอย่าง เจียงเฟยเฟยก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ของเธออยู่ที่ปูชนียสถานนักปราชญ์แทนที่จะอยู่ในตระกูลเจียง และเธอก็ไม่ได้มีกลุ่มก๊วนของตัวเอง จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่รู้เรื่องนี้


“ตามข่าวที่เราได้มา หลัวเทียนหยามาจากครอบครัวสาขาของตระกูลหลัว ดูเหมือนเขาจะเก็บเนื้อเก็บตัวเงียบอยู่ในตระกูลมาตลอด แต่ความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติที่เขามีอยู่ทำให้เขาโดดเด่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน และหลังจากการตรวจสอบสายเลือด ก็ปรากฏว่าสายเลือดของเขาบริสุทธิ์ถึงระดับ ‘9’ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเอาชนะทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อร่งจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ได้ด้วย” เจียงฟังโหย่วอธิบาย


แม้เจียงฟังโหย่วจะพูดเอง แต่ก็ยังมีสีหน้าของความไม่อยากเชื่อ ดูเหมือนเขาจะยังสงสัยในการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหลัวเทียนหยา ซึ่งมาจากไหนก็ไม่รู้


แต่ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง ก็ต้องบอกว่าตระกูลหลัวโชคดีมาก


ไม่นานมานี้ ตระกูลจางเพิ่งพบทายาทน้อยที่หายตัวไป และได้รู้ว่าอีกฝ่ายมีอิทธิพลและพละกำลังอย่างน่าทึ่งในทวีปแห่งปรมาจารย์ ทำให้ชื่อเสียงของตระกูลจางโด่งดังขึ้นมาใหม่ ไม่นานหลังจากนั้น ใครคนหนึ่งในตระกูลหลัวก็สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติ…


ในเมื่อตระกูลเจียงของพวกเขาล้าหลังกว่าใคร ก็เป็นธรรมดาที่เจียงฟังโหย่วจะต้องร้อนรน


“หลัวเทียนหยามาจากครอบครัวสาขาของตระกูลหลัวหรือ? ท่านพ่อ, ทำไมไม่ลองดูครอบครัวสาขาของพวกเราบ้างล่ะ? เราอาจมีอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องซึ่งสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณก็ได้ ถ้าหาเจอล่ะก็ ท่านพ่อก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการค้นหาผู้สืบทอดอีก!”


ได้ยินคำพูดของลูกสาว เจียงฟังโหย่วตำหนิเธออย่างรุนแรง “ใช้อะไรคิดถึงคิดเรื่องเหลวไหลได้แบบนี้! ขนาดตัวเจ้าซึ่งเป็นสมาชิกหลักของตระกูลเจียง ยังทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณไม่ได้เลย แล้วจะคาดหวังให้สมาชิกจากครอบครัวสาขาทำได้อย่างนั้นหรือ? ฝันไปหรือเปล่า? มันคือปาฏิหาริย์ที่หลัวเทียนหยาปรากฏตัวขึ้นในตระกูลหลัว เจ้าคิดว่าผู้เชี่ยวชาญระดับนั้นน่ะปรากฏตัวกันง่ายๆหรือไง?”


“ทำไมพ่อถึงปฏิเสธอัจฉริยะจากครอบครัวสาขาล่ะ? ถ้าตระกูลอื่นมีทายาทผู้ปราดเปรื่องที่มาจากครอบครัวสาขาได้ พวกเราก็น่าจะมีได้เหมือนกัน…” เจียงเฟยเฟยพึมพำ


ถึงเธอจะปราดเปรื่องเรื่องวรยุทธของจิตวิญญาณ แต่ก็ไม่ได้ชื่นชอบการฝึกฝนวรยุทธ ความสนใจของเธออยู่ที่การออกแบบ และเธอก็เชี่ยวชาญในสาขานั้น ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้เป็นนักปราชญ์รุ่นเยาว์ของสมาคมนักออกแบบสวรรค์สร้าง


แต่โชคร้ายที่ดูเหมือนตระกูลเจียงจะไม่อนุญาตให้เธอทำสิ่งที่ตัวเองสนใจอีกต่อไป


“ถ้ามีคนแบบนั้นอยู่จริงล่ะก็ พ่อจะเชิญเขามาเดี๋ยวนี้เลย และมอบตำแหน่งหัวหน้าตระกูลให้เขาด้วย!” ได้ยินคำพูดของลูกสาว เจียงฟังโหย่วคำรามอย่างเหลืออด “เลิกหลงละเมอเพ้อพกแล้วไปฝึกฝนได้แล้ว! ภารกิจของเจ้าตอนนี้คือนั่งลงตรงหน้าอักษรหยกของตระกูลเจียงและพยายามทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณให้ได้โดยเร็วที่สุด อย่ามัววอกแวกคิดเรื่องอื่น ถ้าเจ้าทำไม่สำเร็จล่ะก็ เพื่อเป็นการรับประกันว่าตระกูลของเราจะสามารถรับมือกับความวุ่นวายครั้งใหญ่ที่ใกล้เข้ามา เราก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะหมั้นหมายเจ้ากับกลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่งกว่าเพื่อให้พวกเขาช่วยปกป้องตระกูลเจียงของเรา!”


เมื่อได้ยินว่าจะถูกบังคับให้แต่งงานหากไม่สามารถทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณได้ เจียงเฟยเฟยนัยน์ตาเบิกโพลงอย่างพรั่นพรึงขณะรีบส่ายหน้า “ท่านพ่อ ฉันไม่อยากแต่งงาน!”


“เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า อันตรายที่เราต้องเผชิญน่ะใหญ่หลวงกว่าที่เราเคยเจอมานักต่อนัก พ่อเกรงว่า…ด้วยความแข็งแกร่งของตระกูลเจียงของเราในเวลานี้ ลำพังเฉพาะพวกเราคงเอาตัวรอดไม่ได้หรอก!” เจียงฟังโหย่วถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะมองลูกสาวอย่างอับจนหนทาง


“แต่เจ้าก็ไม่ต้องกังวลนะ ถึงพ่อจะหมั้นหมายลูกให้กับใคร คนๆนั้นก็ต้องเป็นจางเซวียนจากตระกูลจางหรือไม่ก็หลัวเทียนหยาจากตระกูลหลัว…เพราะถึงอย่างไร พ่อก็จะไม่ปล่อยให้ลูกต้องเสียใจแน่!”

 

 

 


ตอนที่ 1639

 

ขุมสมบัติตระกูลเจียง

“ฉันไม่อยากแต่งงานกับจางเซวียนคนนั้น เขาก็ดีแต่โอ้อวดพละกำลังของตัวเองและทำลายความมั่นใจของใครต่อใครไปทั่ว อีกอย่าง เขากล้าปฏิเสธแม้แต่องค์หญิงน้อยของตระกูลหลัว ปฏิเสธต่อหน้าสาธารณชนเลยด้วย เขาไม่เคยสนใจความรู้สึกของคนอื่นเลย!” เจียงเฟยเฟยคำรามอย่างหงุดหงิด


“….” จางเซวียนหน้าดำคร่ำเครียด


เราโอ้อวด? ทำลายความมั่นใจของใครต่อใคร?


ให้ตายเถอะ! ผมน่ะถ่อมเนื้อถ่อมตัวแบบสุดๆแล้วนะ ไม่เห็นหรือไง? ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ผมจะผงาดเสียจนจะไม่มีใครในหมู่พวกคุณที่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกเลย!


อีกอย่าง คุณมีสิทธิ์อะไรมาต่อว่าผม? พูดอย่างกับผมอยากแต่งงานกับคุณอย่างนั้นแหละ!


ก็แล้วแต่!


“ถ้าเป็นอย่างนั้น พ่อก็คิดว่าควรจะเป็นหลัวเทียนหยา มันอาจจะยากสักหน่อยสำหรับเจ้า เพราะพ่อได้ยินมาว่าเขาดูเหมือนคนมีอายุแล้วทั้งที่อายุก็ยังไม่มาก หน้าตาของเขาก็เหมือนกับเพิ่งเดินชนประตูมา อีกอย่าง ดูเหมือนเขาจะมีภรรยาแล้วด้วย!” เจียงฟังโหย่วพูด


“…” จางเซวียนโมโหจนแทบปรี๊ด


คุณว่าผมขี้เหร่?


ขี้เหร่บ้านคุณสิ! คุณนั่นแหละขี้เหร่ ขี้เหร่กันทั้งตระกูลเลย!


หลัวเทียนหยาของผมน่ะอาจจะไม่หล่อเหลานัก แต่อย่างน้อยเขาก็ดูดี!


“ฉันจะไม่แต่งงานกับใครทั้งนั้น!” เมื่อได้ยินว่าหลัวเทียนหยามีภรรยาแล้ว เจียงเฟยเฟยรู้สึกว่าฟางเส้นสุดท้ายของเธอขาดผึง ใกล้จะปรี๊ดออกมาได้ทุกขณะ


“ก็ถ้าเจ้าไม่อยากแต่งงานกับใครเลย ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณให้ได้ พ่อไม่อยากบังคับเจ้าหรอกนะ แต่เพื่อตระกูลเจียง พ่อไม่มีทางเลือก…” เมื่อเห็นว่าการข่มขู่ของเขาได้ผล เจียงฟังโหย่วถอนหายใจเฮือก


“…ฉันเข้าใจแล้ว!”


เจียงเฟยเฟยรู้ว่าท่านพ่อจงใจทำให้เธอหวาดกลัว แต่สิ่งที่ท่านพ่อพูดก็มีข้อเท็จจริงอยู่ ถ้าไม่มีใครสามารถทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณได้ วิธีที่ดีที่สุดที่เธอควรทำก็คือเข้าพิธีแต่งงาน


“เพื่อจะได้ไม่ต้องแต่งงานกับจางเซวียนคนนั้น ฉันจะยอมทุ่มเททุกอย่าง…” เจียงเฟยเฟยขบกรามแน่น


“…” จางเซวียนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้


ผมดูไม่น่าพิสมัยขนาดนั้นเลยหรือ? เพียงเพื่อจะได้ไม่ต้องแต่งงานกับผม คุณพร้อมจะฝึกฝนวรยุทธอย่างหนักที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้…ชื่อเสียงของผมมันย่ำแย่ขนาดนั้นเลย?


“เอาล่ะ ไปได้แล้ว!” เจียงฟังโหย่วเร่งเจียงเฟยเฟยให้เข้าไปในขุมสมบัติ


ด้วยสีหน้าท่าทางราวกับทหารที่กำลังมุ่งหน้าไปสู่ความตาย เจียงเฟยเฟยเดินไปยังขุมสมบัติและใช้ตราสัญลักษณ์อันหนึ่งเพื่อปลดฉนวน


นั่นมันค่ายกลเกรด 9 สูงสุด, ค่ายกลมังกรซุกซ่อนสวรรค์! จางเซวียนคิด


มังกรนั้นขึ้นชื่อเรื่องความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ หากคู่ต่อสู้มีขนาดใหญ่ มันก็สามารถทำลายล้าง หากมีขนาดเล็กก็ซุ่มโจมตี หากเป็นสวรรค์ มันก็พุ่งผงาดขึ้นสู่กลางอากาศได้ ส่วนการซุกซ่อน มันสามารถปกปิดตัวเองได้ท่ามกลางรอยแยกแห่งมิติ


ด้วยเหตุนี้ มังกรจึงเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือด้วยได้ยากมาก การตั้งชื่อค่ายกลแบบนี้ก็จัดว่ามีเหตุผลอยู่


ตระกูลเจียงใช้ค่ายกลระดับนี้คุ้มกันขุมสมบัติของตัวเอง ดูเหมือนพวกเขาจะมีข้าวของดีๆมากมายอยู่ข้างใน


“ในการทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณ เจ้าจะพึ่งพาได้ก็แต่ตัวเองเท่านั้น บางที หากสวรรค์เมตตา เจ้าก็อาจพัฒนาตัวเองได้จนถึงระดับที่น้อยคนในตระกูลเจียงเคยสัมผัส…แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น พ่อก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหมั้นหมายเจ้ากับจางเซวียน” เจียงฟังโหย่วมองร่างของลูกสาวที่หายเข้าไปในขุมสมบัติก่อนจะส่ายหน้าและเดินออกมา


“บ้าจริง!” นึกไม่ถึงว่าจะตกเป็นที่ครหา จางเซวียนถึงกับอึ้ง


ช่างเถอะ! ขอเข้าไปดูหน่อยแล้วกันว่าข้างในมีทรัพย์สมบัติอะไรบ้าง…พวกนั้นควรจะได้รู้ว่าผลตอบแทนของการเลือกทรยศมวลมนุษย์คืออะไร! จางเซวียนโยนความหงุดหงิดทิ้งไป จากนั้นก็เดินเข้าหาขุมสมบัติอย่างระมัดระวัง


ถ้าเขาไม่รู้ว่าค่ายกลนี้คืออะไร ก็คงต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากหอสมุดเทียบฟ้า แต่เขามองเห็นกลไกของค่ายกลนี้แล้วตั้งแต่ตอนที่เจียงเฟยเฟยเข้าไป ดังนั้น เพียงแค่ใช้ดวงตาหยั่งรู้และความเข้าใจอันลึกซึ้งที่มีในเรื่องค่ายกล จางเซวียนก็สามารถผ่านค่ายกลมังกรซุกซ่อนสวรรค์ไปได้อย่างง่ายดายและเข้าสู่ขุมสมบัติ


เขาเดินวนรอบๆขุมสมบัติและแตะตรงนู้นนิดตรงนี้หน่อย จากนั้นก็เดินตรงไปยังพื้นที่ที่เจียงเฟยเฟยเข้าไป


ทันทีที่จางเซวียนเข้าสู่ขุมสมบัติ เขาก็สกัดกั้นมิติรอบตัวเองไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นรับรู้ถึงการปรากฏตัวของเขา


เจียงเฟยเฟยเพิ่งเข้าไปได้ไม่นาน และเขาก็ไม่มีความคิดที่จะ ‘แตะต้อง’ เธอในนั้น


เพราะหากถูกจับได้ว่าลักลอบเข้าไปในขุมสมบัติของกลุ่มอํานาจอื่น ชื่อเสียงของตัวเขาและตระกูลจางก็จะเสื่อมเสีย โดยเฉพาะเมื่อความมั่งคั่งของตระกูลเจียงนั้นก็ไม่เป็นที่เปิดเผย อีกอย่าง เขาไม่อยากทำให้ตระกูลเจียงรู้ตัวและแตกตื่น


ที่นี่ไม่เหมือนกับขุมสมบัติของตระกูลหลัวซึ่งมีของล้ำค่าวางระเกะระกะกระจัดกระจายอยู่ทั่ว จางเซวียนพบว่าตัวเขายืนอยู่ท่ามกลางห้องโถงขนาดใหญ่ ที่ใจกลางห้องคือกำแพงหยกซึ่งมีความยาวหลายสิบเมตร


เขาบอกไม่ได้แน่ชัดว่ากำแพงนี้ทำจากหยกชนิดไหน แต่มันดูเรียบลื่นและเป็นประกาย เขารู้สึกได้อย่างเลือนรางถึงพลังจิตวิญญาณที่อยู่ภายในกำแพงนั้น


เจียงเฟยเฟยซึ่งเข้ามาก่อนหน้าเขา 2-3 นาทีกำลังยืนอยู่ห่างจากกำแพงหยกราวสิบเมตร และจ้องเขม็งที่กำแพงนั้นอย่างตั้งใจ ร่างของเธอสั่นสะท้านไม่หยุด เหงื่อผุดออกมาจากหน้าผาก


มีตัวอักษรขนาดใหญ่จารึกไว้บนกำแพงหยก และให้ความรู้สึกที่ไม่อาจพรรณนาได้ เพียงแค่ชำเลืองมองกำแพงนั้น จางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดมหาศาลที่กำลังฉุดรั้งจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขา ในเวลาเดียวกัน กำแพงหยกก็แผ่แรงกดดันหนักหน่วงออกมา ราวกับจะทำลายจิตวิญญาณต้นกำเนิดของผู้มองดูให้เสื่อมสลายไป


มันคือตัวอักษรของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ…จางเซวียนหรี่ตา


แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่นักรบทั่วไปจะรู้จักตัวอักษรขนาดใหญ่ที่จารึกไว้บนกำแพงหยก แต่เพราะจางเซวียนได้รับการถ่ายทอดมรดกของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ เขาจึงรู้ว่าตัวอักษรที่ถูกจารึกไว้ บนกำแพงนั้นเป็นตัวอักษรเฉพาะของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ


มันเขียนไว้ว่า ‘จิตวิญญาณ’


ในฐานะมรดกตกทอดชิ้นเอกของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ตัวอักษรนี้มีอิทธิพลมหาศาลเหนือจิตวิญญาณของนักรบทุกคน


ตัวอักษรที่เราเห็นดูเหมือนจะเป็นวิธีการทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณ น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้ก่อตั้งตระกูลเจียงทิ้งไว้ จางเซวียนพยักหน้าเมื่อนึกได้


ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเจียงฟังโหย่วถึงพาลูกสาวของเขามาที่นี่เพื่อให้ทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณ แรงกดดันจากตัวอักษรจะช่วยบ่มเพาะจิตวิญญาณของผู้นั้น และแนวคิดสำคัญของมันก็คือการทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณ ในอีกแง่หนึ่ง ก็เป็นวัตถุประสงค์เดียวกันกับคำว่า ‘ดาบ’ ที่อยู่บนกำแพงของตระกูลจาง


เราจะปล่อยให้เธอทำอะไรตามที่เธอต้องการอยู่ตรงนี้แหละ ระหว่างนี้ ขอขึ้นไปดูชั้นบนสักหน่อย


จางเซวียนประมวลหนังสือเกี่ยวกับแก่นสารของจิตวิญญาณขึ้นเป็นหนังสือเทียบฟ้าแล้ว แต่เขายุ่งเกินกว่าที่จะพยายามยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณ และไม่มีเวลาด้วย ถึงแรงกดดันของกำแพงหยกนั้นจะยากเกินรับไหวสำหรับนักรบส่วนใหญ่ แต่ของแบบนี้ไม่มีอำนาจควบคุมเขาได้อีกต่อไป


อีกอย่าง วัตถุประสงค์ที่เขามาที่นี่ก็ไม่ใช่เพื่อฝึกฝนวรยุทธ แต่มาเพื่อหาทรัพยากรที่เหมาะสมสำหรับการยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณ เขาไม่มีเวลามากพอที่จะมารีรออยู่ที่นี่


โครงสร้างของชั้น 2 นั้นนั้นแตกต่างจากชั้นแรกมาก มีชั้นวางของมากมายถูกจัดเรียงเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ ทรัพย์สมบัติล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วนวางอยู่บนนั้น


ดูเหมือนตระกูลเจียงจะมั่งคั่งไม่แพ้ตระกูลหลัว! จางเซวียนหัวเราะหึๆขณะมองทรัพย์สมบัติที่อยู่ตรงหน้าด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย


ในเมื่อต้องเผชิญความยุ่งยากมากมายกว่าจะมาถึง เขาก็จะไม่ยั้งมือกับตระกูลเจียง


จางเซวียนใช้การรับรู้จิตวิญญาณของเขากวาดทั่วทุกชั้นวางของที่อยู่ในชั้น 2 โดยไม่ได้ใส่ใจว่าทรัพย์สมบัติเหล่านั้นจะมีค่าหรือไม่


เก็บ!


ฟึ่บ!


ข้าวของทุกชิ้นในชั้นนี้ถูกเก็บเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติของเขา


จางเซวียนยิ้มด้วยความลิงโลด จากนั้นก็ขึ้นไปชั้น 3


ถ้าเป็นกลุ่มอำนาจอื่น ไม่ว่าทรัพย์สมบัติตรงหน้าจะล่อตาล่อใจสักแค่ไหน เขาก็จะต้องยั้งมือไว้บ้าง เพราะถึงอย่างไรตัวเขาก็เป็นปรมาจารย์ มีเกียรติยศและศักดิ์ศรีที่ต้องรักษาไว้


แต่นั่นแหละ…เรื่องนี้จะแตกต่างออกไปหากเป็นหนังสือ ความรู้จะมีประโยชน์อะไรหากถูกเก็บไว้ในหอสมุด ไม่ได้ถูกนำมาใช้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับโลก อีกอย่าง เขาก็แค่ประมวลและทำสำเนาเก็บไว้ในหอสมุดเทียบฟ้า ใช่ว่าจะหยิบหนังสือทุกเล่มไปเสียเมื่อไหร่ ดังนั้นจึงไม่อาจเรียกว่าเป็นการลักขโมย มันควรจะเป็นอย่างนั้น…


แต่ทุกอย่างจะกลายเป็นหนังคนละม้วนหากเขาหยิบฉวยเอาทรัพย์สมบัติที่จับต้องได้ไป!


การกระทำแบบนี้ไม่เป็นที่ยอมรับของเหล่าปรมาจารย์ทั่วโลก


แต่ก็นั่นแหละ มันย่อมไม่เหมือนกันหากเจ้าของทรัพย์สมบัติที่เขาหยิบฉวยมานั้นคือผู้ทรยศต่อมวลมนุษย์ นั่นถือเป็นการตัดกำลังของศัตรู เรียกได้ว่าเป็นการกระทำของวีรบุรุษเลยทีเดียว


ทรัพย์สมบัติที่อยู่ในชั้น 3 มีมูลค่ามากกว่าชั้น 2 อย่างเห็นได้ชัด จางเซวียนรีบกวาดทุกอย่างใส่แหวนเก็บสมบัติก่อนจะมุ่งหน้าขึ้นไป


เขาทำแบบเดิมกับทรัพย์สมบัติที่ชั้น 4, ชั้น 5, ชั้น 6…


ไม่ช้าเขาก็มาถึงชั้นบนสุด ชั้น 9


หากเปรียบเทียบกับชั้นที่อยู่ล่างๆ ชั้น 9 ดูจะโล่งอย่างน่าประหลาด ไม่มีอะไรเลยนอกจากแท่นหินที่มีความกว้างราวครึ่งสือ และมีฉนวนลอยอยู่เหนือแท่นนั้น


จางเซวียนไม่รู้ว่าฉนวนนั้นคืออะไร แต่มันปล่อยแรงกดดันมหาศาลเข้าใส่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขา เขาพยายามจะเข้าถึงฉนวน แต่แรงกดดันอันน่าทึ่งนั้นทำให้ต้องหยุดชะงัก


“ฉนวนนี่คืออะไร?” จางเซวียนย่นหน้าผากด้วยความงุนงง


หลังจากยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณขึ้นเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1-การพักฟื้นภายในแล้ว การโจมตีจิตวิญญาณในรูปแบบทั่วๆไปก็ไม่อาจทำอันตรายเขาได้อีก แต่ฉนวนที่อยู่ตรงหน้าสามารถทำให้รู้สึกแน่นหน้าอกได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันต้องเป็นของล้ำค่าที่ไม่ธรรมดา!


จางเซวียนเดินวนรอบแท่นหินขณะที่สะดุดตาเข้ากับอะไรอย่างหนึ่ง


เอ๊ะ? ดูเหมือนจะมีตัวอักษรจารึกไว้ด้วย…


 

 

 


ตอนที่ 1640

 

สำเร็จแก่นสารของจิตวิญญาณ

มีตัวอักษรจำนวนหนึ่งถูกจารึกไว้ด้านข้างแผ่นหิน ตัวอักษรเหล่านั้นเป็นตัวอักษรของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ให้ความรู้สึกที่ชวนขนลุกเมื่อมองจากระยะไกล


คว้าแก่นสารและยึดฉนวนของจิตวิญญาณ!


จางเซวียนสามารถถอดรหัสความหมายของตัวอักษรที่อยู่บนแท่นหินนั้นได้


เพราะหนังสือเกี่ยวกับผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่เขาได้รับจากมั่วคุนเสิน จางเซวียนจึงมีความเชี่ยวชาญภาษาของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณในระดับที่น่าพอใจ


ฉนวนที่ลอยอยู่ด้านบนน่าจะเป็นฉนวนของจิตวิญญาณ เราระบุไม่ได้ว่ามันอยู่ในระดับขั้นไหน แต่ดูเหมือนจะเป็นของล้ำค่าที่ทรงพลังมาก จางเซวียนคิด


เขาไม่อาจบอกได้แน่ชัดว่าฉนวนของจิตวิญญาณนั้นอยู่ในระดับขั้นไหน แต่ลำพังข้อเท็จจริงที่ว่ามันทำให้เขาหยุดชะงักและไม่อาจเข้าถึงมันได้ ก็แสดงว่าอย่างน้อยจะต้องมีระดับขั้นเดียวกันกับหินหมึกของนักปราชญ์โบราณจื้อหยู่


เราต้องนำมันมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นปรมาจารย์มากมายจะต้องเอาชีวิตมาทิ้งเพราะของล้ำค่าชิ้นนี้


เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างเจียงฟังโหย่วกับชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้น ก็แทบไม่ต้องสงสัยแล้วว่าตระกูลเจียงจะอยู่ข้างไหนหากเกิดสงคราม ยิ่งตระกูลเจียงมีของล้ำค่าที่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะสร้างความพินาศวอดวายได้มากขึ้นเท่านั้น


ตอนนี้จางเซวียนยังไม่เก่งกาจพอที่จะรับมือกับตระกูลเจียง สิ่งที่เขาทำได้ก็คือพยายามบั่นทอนพละกำลังของพวกนั้นให้มากที่สุด


ต้องลองดู!


จางเซวียนสูดหายใจลึกและพยายามเดินเข้าหาฉนวน แต่หลังจากเดินไปได้เพียง 2 ก้าว ก็เหงื่อท่วมตัว รู้สึกราวกับมีเข็มนับไม่ถ้วนกำลังทิ่มแทงจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้รุดหน้าไปได้อย่างยากลำบาก


แบบนี้ไม่เข้าท่าแล้ว จิตวิญญาณของเราคงรับไม่ไหวแน่หากเราบังคับให้มันเดินหน้าต่อไป…


จางเซวียนรีบถอยจากฉนวนนั้นออกมา 2-3 ก้าวเพื่อบรรเทาแรงกดดันที่บีบคั้นจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขา


ดูเหมือนการคว้าเอาฉนวนของจิตวิญญาณนี้จะเป็นเรื่องเกินกำลัง


ถ้าเป็นอย่างนั้น บางทีเราควรจะพยายามทำตามที่แท่นหินบอก…มันบอกไว้ว่าเราควรจะนำฉนวนออกไปโดยการทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณ ต้องลองดูสักหน่อยแล้ว…


จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในเมื่อไม่มีความคิดที่ดีกว่า เขาจึงตัดสินใจจะทำตามคำสั่งที่จารึกไว้บนแท่นหิน


ถึงอย่างไร ไม่ช้าไม่นานเขาก็ต้องฝึกฝนวรยุทธที่เกี่ยวกับแก่นสารของจิตวิญญาณอยู่ดี เพราะดูเหมือนมันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการต่อสู้ให้เขาได้อีกมาก แผนการเบื้องต้นของเขาก็คือนำทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลเจียงออกไปก่อนและหาสถานที่ที่ปลอดภัยเพื่อฝึกฝนแก่นสารของจิตวิญญาณ แต่ดูเหมือนตอนนี้จะต้องเปลี่ยนแผน


จางเซวียนยืนนิ่งอยู่กับที่ เขาดำดิ่งเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าและทำความเข้าใจหนังสือเทียบฟ้า เกี่ยวกับแก่นสารของจิตวิญญาณที่ถูกประมวลขึ้น


เขาแตะหนังสือ จากนั้นก็รู้สึกได้ถึงกระแสของความรู้ที่ไหลเข้าสู่สมอง ความเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณของจางเซวียนค่อยๆล้ำลึกขึ้นทีละน้อย


เหตุผลที่เขาสามารถทำความเข้าใจแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติได้อย่างรวดเร็วก็เพราะเขาฝึกฝนศาสตร์แห่งการปลดปล่อยมิติเทียบฟ้าสำเร็จถึงขั้น 3 แล้ว ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็คือฝึกฝนเทคนิคขั้น 4 ดังนั้นจึงไม่ต้องใช้เวลานาน


ส่วนการทำความเข้าใจแก่นสารของเวลานั้น จางเซวียนต้องใช้เวลานานกว่ากันมาก แต่ก็ยังไม่ถึง 1 ชั่วโมง


ส่วนการทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณ เขามีความเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณอย่างล้ำลึกอยู่แล้ว และจิตวิญญาณของเขาก็แข็งแกร่งเป็นพิเศษด้วย


เวลาผ่านไปเพียงสิบอึดใจ จางเซวียนก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง


วิ้ง!


กลุ่มพลังงานหมุนวนปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา ซึ่งหากมีใครจ้องก็จะเกิดอาการเวียนหัวขึ้นมาทันที


หลังจากฝึกฝนวรยุทธเพียงสิบอึดใจ จางเซวียนก็สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณของตระกูลเจียง หากเขาต้องต่อสู้กับใคร พลังงานจากจิตวิญญาณของเขาก็จะกลายเป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพในการใช้โจมตี


…..


ในเวลาเดียวกัน…


“การยอมจำนนของเหล่าบรรพบุรุษ…มีคนสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณแล้ว!”


เจียงฟังโหย่วยืนอยู่ใจกลางหอบรรพบุรุษ ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความตื่นเต้นขณะเฝ้ามองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นโดยรอบ “เรื่องนี้เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมมาก! ไม่นึกเลยว่าเจ้าเด็กคนนั้นจะสามารถทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณได้รวดเร็วขนาดนี้!”


เพิ่งเมื่อครู่นี้เองที่เขาส่งลูกสาวเข้าไปเพื่อพยายามทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณ แล้วปรากฏการณ์นี้ก็เกิดขึ้น ทุกอย่างบ่งบอกชัดเจนว่าผู้ที่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณจะต้องเป็นลูกสาวของเขา!


“สวรรค์เฝ้ามองตระกูลเจียงของเราอยู่จริงๆ ด้วยสิ่งนี้ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของตระกูลเจียงจะเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก ขอแค่เธอได้รับมรดกตกทอดของผู้ก่อตั้ง ต่อให้มีเหตุการณ์ใหญ่โตเกิดขึ้น ตระกูลเจียงของเราก็แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเองได้!” เจียงฟังโหย่วรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก


หลังจากได้ข่าวจากชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้น เขาก็ไม่อาจระงับใจให้สงบได้เลย แต่เมื่อรู้ว่าสามารถไว้ใจใครบางคนให้ปกป้องตระกูลเจียงได้แล้ว จิตใจที่รุ่มร้อนของเขาก็สงบลง


ผู้ที่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณนั้นจะมีฉนวนของจิตวิญญาณ ต่อให้ไม่อาจปลุกนักปราชญ์โบราณของตระกูลขึ้นมาได้ แต่ก็จะสามารถรับมือกับวิกฤตการณ์ส่วนใหญ่ได้ด้วยตัวเอง


“พวกคุณเตรียมพิธีสถาปนาหัวหน้าตระกูลได้แล้ว ผมจะไปหาเฟยเฟย!” เจียงฟังโหย่วพยายามเก็บอาการ เขารีบสั่งการเหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ด้านหลังก่อนจะมุ่งหน้าออกไป


“ขอรับ ท่านหัวหน้า!”


เหล่าผู้อาวุโสรีบออกจากหอบรรพบุรุษด้วยสีหน้าที่แสดงความภาคภูมิใจ


ตระกูลจางมีจางเซวียน ตระกูลหลัวมีหลัวเทียนหยา พวกเขายังวิตกกังวลอยู่ว่าตระกูลเจียงคงจะย่ำแย่หากต้องล้าหลังสองตระกูลชั้นนำนั้น แต่ใครจะไปคิดว่าในที่สุดเฟยเฟยก็ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ!


สมกับที่เป็นตระกูลเจียง ความปราดเปรื่องของตระกูลเจียงนั้นไม่ได้เป็นรองใครเลย


…..


เจียงฟังโหย่วใช้เวลาราวสิบอึดใจก็มาถึงขุมสมบัติ ขณะที่เข้าสู่ห้องโถงชั้น 1 ก็เห็นสาวน้อยกำลังยืนอยู่ห่างจากกำแพงหยกราว 10 เมตร ร่างของเธอชุ่มเหงื่อ ไม่สามารถเข้าใกล้กำแพงหยกได้มากกว่านั้น


เจียงฟังโหย่วชะงักกับสิ่งที่เห็น เขารี่เข้าหาเฟยเฟยและตั้งคำถาม “เฟยเฟย มีอะไร?”


ผู้ที่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณจะไม่หวั่นไหวไปกับแรงกดดันของกำแพงหยก แต่ทำไมลูกสาวของเขาถึงดูเหมือนยังไม่สามารถต้านทานแรงกดดันได้?


“ท่านพ่อ วางใจเถอะ ฉันจะพยายามเต็มที่เพื่อฝ่าด่านวรยุทธให้ได้โดยเร็วที่สุด…” เห็นท่านพ่อยังคงกังวลแม้เธอจะให้คำมั่นสัญญาแล้ว ถึงกับมาตรวจดูหลังจากที่ออกไปได้เพียงแค่ไม่กี่นาที เจียงเฟยเฟยอดรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยไม่ได้


“เจ้ายังไม่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณหรือ?” ราวกับถูกสายฟ้าฟาด เจียงฟังโหย่วตัวแข็งทื่อด้วยความไม่อยากเชื่อ เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น


“ฉันเข้ามาที่นี่ยังไม่ถึง 10 นาทีเลย จะสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร?” เจียงเฟยเฟยถึงกับพูดไม่ออก


ท่านพ่อของเธอเสียสติไปแล้วหรือเปล่า?


ถ้าการทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณมันง่ายขนาดนั้น เธอคงทำสำเร็จไปนานแล้ว ทุกอย่างคงไม่ยืดเยื้อจนถึงตอนนี้


“แต่…”


เจียงฟังโหย่วถึงกับเซ หัวสมองของเขาตามไม่ทันกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาแทบลมจับ


เขาคิดว่าคนที่ฝ่าด่านวรยุทธและทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณได้สำเร็จคือลูกสาวของเขา แต่ถ้าไม่ใช่ลูกสาวของเขา…แล้วจะเป็นใคร?


เห็นสีหน้าของท่านพ่อ เจียงเฟยเฟยรู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอรีบถอยออกมาจากกำแพงหยกก่อนจะตั้งคำถาม “มีอะไรหรือท่านพ่อ? เกิดอะไรขึ้น?”


“หลังจากที่เราแยกกัน พ่อก็เข้าไปที่หอบรรพบุรุษ และเพียง 1 นาทีหลังจากนั้น ปรากฏการณ์ ‘การยอมจำนนของเหล่าบรรพบุรุษ’ ก็เกิดขึ้น พ่อจึงคิดว่าเจ้าฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ!” เจียงฟังโหย่วอธิบาย


“ไม่ใช่ฉันหรอก…” เมื่อเข้าใจเหตุผลที่ท่านพ่อมีพฤติกรรมแปลกๆ เจียงเฟยเฟยก็ชะงักไป “เป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นสมาชิกสักคนของครอบครัวสาขาที่ทำความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณได้สำเร็จ เหมือนกับหลัวเทียนหยา?”


“ครอบครัวสาขา…ครอบครัวสาขาของตระกูลเราจะเก่งกาจขนาดนั้นได้อย่างไร?” เจียงฟังโหย่วยังคงไม่เห็นด้วย


เขาขมวดคิ้วเป็นร่องลึกและพยายามครุ่นคิด แต่ก็คิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างจนปัญญาและหันไปถามลูกสาวว่า “เจ้ารู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติบ้างหรือเปล่าตอนที่กำลังฝึกฝนวรยุทธที่นี่?”


เจียงเฟยเฟยนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “ไม่นะ ฉันไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติเลย”


เธอกำลังทุ่มเทความพยายามที่จะซึมซับความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณ จึงไม่รับรู้ถึงความผิดปกติใดๆทั้งนั้น


“การที่จะเกิดปรากฏการณ์การยอมจำนนของเหล่าบรรพบุรุษได้ ผู้นั้นจะต้องสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณและเป็นสมาชิกในตระกูลของเรา ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางที่จะทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ แต่ว่า…เป็นไปได้หรือที่ใครสักคนจะฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จโดยปราศจากตัวอักษรหยก?” เจียงฟังโหย่วครุ่นคิด


แม้จะมีตัวอักษรหยกคอยช่วยเหลือ แต่ก็ยังไม่มีสมาชิกหลักคนไหนของตระกูลเจียงที่สามารถทำความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แล้วใครกันที่เก่งกาจถึงขนาดทำได้โดยไม่ต้องอาศัยตัวอักษรหยก?


ตอนนั้นเอง ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในสมองของเจียงฟังโหย่ว เขาตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึงขณะอุทาน “หรือว่าจะเป็น…แย่แล้ว! เฟยเฟย ตามพ่อมา!”


เขารีบพุ่งขึ้นบันไดไปหลังจากพูดจบ


ถึงจะยังไม่แน่ใจว่าท่านพ่อพรวดพราดไปแบบนั้นเพราะอะไร แต่เจียงเฟยเฟยก็รีบตามไปติดๆ


ในชั่วพริบตา ทั้งคู่ก็มาอยู่ที่ชั้น 2 เพียงแค่มองแวบเดียว เจียงฟังโหย่วก็หน้าซีดเผือด


ทั้งห้องที่เคยเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติล้ำค่ากลับว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของหนูสักตัว


“มีหัวขโมยคนหนึ่งลักลอบเข้ามาในขุมสมบัติของเรา เท่าที่เห็น ดูเหมือนเหตุการณ์นี้เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน…เราต้องเปิดใช้งานฉนวนของตระกูลแล้ว!” เจียงฟังโหย่วอุทานอย่างร้อนรน

 

 

 


ตอนที่ 1641

 

คุณเป็นใคร?

ฟึ่บ!


ทันทีที่พูดจบ ตราหยกอันหนึ่งก็ลอยออกจากฝ่ามือของเจียงฟังโหย่ว มันลอยออกไปนอกหน้าต่างของขุมสมบัติ ครู่ต่อมา บริเวณโดยรอบก็พลันมีชีวิต รังสีเจิดจ้าเปล่งประกายครอบคลุมทั่วทั้งพื้นที่


ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้ของเจียงฟังโหย่ว เขาบอกได้ว่าทรัพย์สมบัติเหล่านี้เพิ่งถูกนำออกไปได้ไม่นาน จากการคำนวณอันรวดเร็ว เขาสรุปได้ว่าเจ้าหัวขโมยนั่นคงยังไม่ได้ออกจากขุมสมบัติ


หากเขาปิดกั้นพื้นที่ทั้งหมดไว้ด้วยค่ายกลและตรวจตราทั่วทั้งขุมสมบัติอย่างถี่ถ้วน ก็แน่ใจว่าจะต้องลากคอเจ้าหัวขโมยนั่นออกมาได้!


หลังจากปิดกั้นทั่วทั้งบริเวณไว้แล้ว ทั้งคู่ก็เดินขึ้นไปชั้น 3, เมื่อเห็นว่าชั้น 3 ก็ว่างเปล่า เจียงฟังโหย่วขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด เขาแน่นหน้าอกเสียจนรู้สึกเหมือนจะระเบิดได้ทุกขณะ


สิ่งนี้คือความมั่งคั่งที่ตระกูลเจียงสั่งสมมาด้วยความยากลำบากตลอดหลายปีที่ผ่านมา! หมอนั่นบังอาจขโมยทรัพย์สมบัติของพวกเขาไปหมด…


รอให้ฉันจับตัวแกได้ก่อนเถอะ ฉันสาบานเลยว่าฉันจะฉีกแกเป็นชิ้นๆ!


…..


จางเซวียนระบายลมหายใจยาว จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน


เรียบร้อย!


เขาห่อหุ้มร่างของตัวเองไว้ด้วยพลังจิตวิญญาณ จากนั้นก็เดินไปที่แท่นหินซึ่งอยู่ใจกลางห้อง


เป็นอย่างที่คาดไว้ แรงกดดันจากแท่นหินนั้นลดต่ำลงจนถึงระดับที่เขารับมือได้


จางเซวียนเดินหน้าไป 2-3 ก้าว และคว้าฉนวนที่ลอยอยู่เหนือแท่นหิน


ฟึ่บ!


จางเซวียนต้องประหลาดใจเมื่อพบว่ามือของเขาทะลุผ่านฉนวนไป คว้าได้แต่อากาศว่างเปล่า


“อะไรกัน? หมายความว่า…ฉนวนนี่เป็นของปลอมหรือ?” จางเซวียนถึงกับผงะ


ด้วยแรงกดดันหนักหน่วงที่ฉนวนแผ่ออกมา เขาคิดว่ามันจะต้องเป็นของล้ำค่าที่อย่างน้อยก็อยู่ในระดับขั้นเดียวกับหินหมึกของนักปราชญ์โบราณจื้อหยู่ แต่เขากลับไม่สามารถแตะต้องมันได้


หรือว่ามันคือภาพลวงตา?


ถ้าเขารู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ จะไม่มีวันเสียเวลาไปกับการฝึกฝนวรยุทธและทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณเลย…


เขาเสียเวลาอยู่ที่นี่ตั้งสิบอึดใจแล้ว!


ขณะที่จางเซวียนกำลังจะออกจากห้องด้วยความผิดหวัง ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามา เดี๋ยวก่อน ของล้ำค่าชิ้นนี้มีชื่อว่าฉนวนของจิตวิญญาณไม่ใช่หรือ? หรือว่าจะจับมันได้…ก็ต้องใช้จิตวิญญาณเท่านั้น?


จางเซวียนแน่ใจว่ารู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากฉนวนที่พุ่งเข้าใส่จิตวิญญาณของเขา มันไม่มีทางเป็นของปลอมไปได้…ในเมื่อแรงกดดันเป็นของจริง ก็ดูไม่สมเหตุสมผลหากจะคิดว่าของล้ำค่านั้นเป็นภาพลวงตา แต่เขาก็ยังไม่สามารถจับมันได้ด้วยมือเปล่า


ในเมื่อเป็นแบบนั้น จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าฉนวนนั้นเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้เหมือนกับจิตวิญญาณ? ถ้าจะจับมันได้ ก็ต้องใช้จิตวิญญาณต้นกำเนิดเพียงอย่างเดียว


จางเซวียนทรุดตัวลงนั่งกับพื้นและถอดจิตวิญญาณต้นกำเนิดออกจากหว่างคิ้ว ด้วยการโบกมือ เขารู้สึกได้ถึงคลื่นความเย็นที่สั่นสะท้านไปทั่วจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาขณะที่คว้าบางสิ่งที่จับต้องได้เอาไว้


จางเซวียนรู้ทันทีว่าข้อสันนิษฐานของเขาถูกต้อง นัยน์ตาของเขาเบิกโพลงด้วยความตื่นเต้น เขารีบคว้าฉนวนนั้นและพยายามดึงมันออกมา


ฟึ่บ!


จางเซวียนเกือบล้มลงไปกองกับพื้นขณะที่พยายามทำแบบนั้น


หนักจริงๆ! เขาหรี่ตาด้วยความประหลาดใจ


ถึงฉนวนจะดูไม่ใหญ่โตนัก แต่กลับหนักอึ้งราวกับภูเขา ด้วยวรยุทธของจิตวิญญาณขั้นการพักฟื้นภายใน เขายังไม่อาจนำมันออกมาได้หากไม่ได้เตรียมพร้อม


ขอดูหน่อยเถอะว่าจะหนักขนาดไหน! จางเซวียนคิดขณะสูดหายใจลึก


เขารวบรวมพละกำลังและพยายามยกฉนวนอีกครั้ง


ฉนวนค่อยๆลอยตัวสูงขึ้นเมื่อมีกระแสพลังจิตวิญญาณนับไม่ถ้วนล้อมรอบมันอยู่ จากนั้น ขุมสมบัติที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาก็สั่นสะท้านไม่หยุด ราวกับฉนวนนั้นทำหน้าที่ปกป้องทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่อยู่ภายในอาคารหลังนี้เอาไว้ และการนำฉนวนออกไปก็หมายถึงอาคารจะต้องพังทลาย


…..


“แย่แล้ว! มีคนอยู่ชั้นบนสุด!”


ที่ชั้นล่าง เจียงฟังโหย่วรู้สึกได้ว่าขุมสมบัติทั้งหมดกำลังสั่นสะท้าน สีหน้าของเขาเคร่งเครียด รู้ดีว่าไม่มีเวลาจะเสียแล้ว จึงพรวดพราดขึ้นบันไดไป


…..


“เก็บ!”


รู้ดีว่าการสั่นสะท้านของขุมสมบัติจะต้องทำให้ผู้คนแห่กันมา การอยู่ตรงนี้ย่อมไม่ปลอดภัยอีกต่อไป จางเซวียนจึงรีบเก็บฉนวนของจิตวิญญาณไว้ในแหวนเก็บสมบัติ


แม้ขุมสมบัติจะสั่นสะท้านอย่างรุนแรงขณะที่เขานำฉนวนออกมา แต่ก็ไม่ได้พังทลายอย่างที่คิดไว้


จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกและดึงจิตวิญญาณต้นกำเนิดกลับเข้าร่าง ขณะที่กำลังจะกลับออกไป ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังอยู่ด้านล่าง ใครคนหนึ่งกำลังรีบขึ้นมา


“เร็วจัง?” จางเซวียนหรี่ตาด้วยความระแวง


เขาสะบัดมือ จากนั้นก็บิดเบือนมิติรอบตัว ทำให้ร่างของเขาหายวับไป


ฟึ่บ!


พริบตาต่อมา เจียงฟังโหย่วกับเจียงเฟยเฟยก็พรวดพราดเข้ามาในห้อง


เมื่อเห็นแท่นหินว่างเปล่า เจียงฟังโหย่วแทบเสียสติ เขารีบใช้การรับรู้จิตวิญญาณตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ ทำให้ทั่วทั้งบริเวณหนักอึ้งเหมือนปรอท


“ท่านพ่อ…”


เป็นครั้งแรกที่เจียงเฟยเฟยได้เห็นท่านพ่อของเธอมีสีหน้าพรั่นพรึงขนาดนี้ เธอตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว


“ตรวจสอบให้ทั่ว ไอ้หัวขโมยนั่นคงยังไปได้ไม่ไกลหรอก!” เจียงฟังโหย่วสั่งการด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ


“ได้!” เจียงเฟยเฟยพยักหน้าและรีบลงบันไดไป


ทันทีที่สาวน้อยจากไป เจียงฟังโหย่วเดินไปที่แท่นหินและลูบผิวหน้าของมันอย่างแผ่วเบา ดูเหมือนไม่อยากเชื่อว่าใครคนหนึ่งขโมยฉนวนของจิตวิญญาณไปแล้วจริงๆ เขาคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว “ไอ้สารเลวตัวไหนที่ทำแบบนี้ได้…”


หลังจากพูดจบ เขาก็หันขวับและจิ้มนิ้วพรวดเข้าไปที่มุมหนึ่งของห้องซึ่งว่างเปล่า


จิ้งจอกเจ้าเล่ห์!


เห็นนิ้วพุ่งสวนมายังทิศทางที่เขาอยู่ จางเซวียนไม่สามารถซ่อนตัวได้อีกต่อไป เขารีบกระโจนหลบ


การที่เจียงฟังโหย่วจะมีพละกำลังทัดเทียมกับเซียนดาบชิงและคนอื่นๆก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่านั้น เขามีพลังจิตวิญญาณที่เหนือกว่าใครๆด้วย อันที่จริง เจียงฟังโหย่วรับรู้ได้ถึงการปรากฏตัวของจางเซวียนตั้งแต่ตอนที่ใช้การรับรู้จิตวิญญาณตรวจสอบเมื่อครู่นี้แล้ว แต่เลือกที่จะทำเป็นไม่รู้อะไรเพื่อทำให้อีกฝ่ายไม่ทันระวังตัว


ฟิ้วววว!


การโจมตีของเขามีพลังแผดเผาของนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ นิ้วของเจียงฟังโหย่วทำลายปราการมิติของจางเซวียน เมื่อรู้ตัวว่าคงหลบไม่ทันแน่ จางเซวียนขนลุกด้วยความประหลาดใจ


เรียกพลัง!


รู้ดีว่าไม่มีทางเอาชีวิตรอดได้หากต้องเผชิญหน้าตัวต่อตัวกับเจียงฟังโหย่ว จางเซวียนจึงรีบเรียกพลังจากหยดเลือดของตระกูลจางภายในร่างของเขาทันที


ในชั่วพริบตานั้น เวลาก็ดูจะช้าลง


นิ้วที่เขามองตามแทบไม่ทันอยู่เมื่อครู่ดูเหมือนจะแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ และความเกรี้ยวกราดของอีกฝ่ายก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาอย่างชัดเจน


เมื่อรู้สึกได้ถึงพละกำลังมหาศาลที่อยู่รอบตัว เส้นผมของจางเซวียนถึงกับตั้งชัน เขาแข็งแกร่งจริงๆ! ขนาดเราใช้การเร่งเวลาแล้ว ก็ยังยื้อเวลาได้ไม่นาน…


ครั้งล่าสุดที่เขาเห็นเจียงฟังโหย่ว ใบหน้าของอีกฝ่ายมีแต่รอยยิ้ม ใครจะไปคิดว่าเขาจะมีพละกำลังที่น่าสะพรึงขนาดนี้!


โดยเฉพาะสำหรับแรงกดดันของจิตวิญญาณที่มีพละกำลังมหาศาลที่เขากำลังแผ่ออกมา ขนาดเรียกพลังจากหยดเลือดของตระกูลจางมาแล้ว แต่จางเซวียนก็รู้ดีว่าเขาคงใช้พลังของมันได้ไม่นานนัก ในเวลาเดียวกัน ปราการของมิติที่เขามีอยู่ก็ไม่มีประโยชน์มากนักเช่นกัน


เพราะเมื่อจิตวิญญาณทรงพลังมาก ก็สามารถกดข่มทั้งเวลาและมิติได้!


ลงท้าย ปัญหาก็คือระดับวรยุทธที่อ่อนด้อยของเขา หากทั้งคู่มีวรยุทธระดับเดียวกัน จางเซวียนก็คงสามารถยื้อเวลาได้สบายโดยที่เจียงฟังโหย่วไม่ทันรู้ตัว


รู้ดีว่าตอนนี้เขาสู้กับเจียงฟังโหย่วไม่ได้ จางเซวียนจึงพุ่งพรวดออกจากห้องโดยไม่ลังเล


แต่ยังไม่ทันจะไปได้ไกล ศิลปะการใช้นิ้วมือของเจียงฟังโหย่วก็ทำลายการเร่งเวลาของจางเซวียน ก่อนที่ปราการมิติที่เขาสร้างไว้จะแตกกระจาย


คลื่นความสั่นสะเทือนจากการแตกกระจายนั้นระเบิดออกไปทั่วทั้งบริเวณและกระแทกเข้ากับแผ่นหลังของจางเซวียน เลือดเอ่อขึ้นมาในลำคอของเขา จางเซวียนเกือบกระอักเลือดออกมา


“คุณมาจากตระกูลจางหรือตระกูลหลัว?” เจียงฟังโหย่วถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ


ก่อนหน้านี้ ไอ้สารเลวนั่นซ่อนตัวอยู่ในปราการมิติ แต่เมื่อรู้แล้วว่าที่ซ่อนของตัวเองถูกเปิดเผย ก็รีบใช้พลังของเวลาเพื่อหลบหนี


ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมองไม่เห็นหน้าตาของอีกฝ่าย


ไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครในโลกนี้ที่สำเร็จความเข้าใจทั้งแก่นสารของมิติและแก่นสารของเวลา!


หมอนี่เป็นใครกัน?


ฟึ่บ!


จางเซวียนไม่สนใจคำถามของเจียงฟังโหย่ว เขารีบพุ่งเข้าหาหน้าต่าง


จะมีอะไรที่เขาควรทำเมื่อกอบโกยทรัพย์สมบัติของอีกฝ่ายไปหมดแล้วนอกจากหลบหนี? จะนั่งรอให้อีกฝ่ายมาเสิร์ฟชาให้หรือไง?


เห็นไอ้หัวขโมยกำลังจะหลบหนีจากขุมสมบัติ เจียงฟังโหย่วคำรามก้อง “แกคิดจะไปไหน?”


ฟิ้ววววว!


พลังจิตวิญญาณของเขาส่งคลื่นความสั่นสะเทือนออกมาและครอบคลุมทั่วทั้งขุมสมบัติไว้อย่างรวดเร็ว เกิดเป็นปราการขนาดใหญ่


แต่ทันทีที่เจียงฟังโหย่วสร้างปราการเสร็จ เสียงล้ำลึกที่บ่งบอกถึงความเป็นปฏิปักษ์ก็ดังก้อง


“ทำลายมันซะ!”


จากนั้น ปราการที่เจียงฟังโหย่วสร้างขึ้นจากพลังจิตวิญญาณก็แตกเป็นเสี่ยงๆ


“นี่มัน…แก่นสารของจิตวิญญาณ? คะ-คุณ…คุณเป็นใคร?” เจียงฟังโหย่วถึงกับผงะ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)