คัมภีร์วิถีเซียน 1632-1634
ตอนที่ 1632 ภูเขาถล่ม
แม้ว่าหานลี่จะไม่ได้มองอย่างละเอียด แต่ก็ยังคงพอเข้าใจเนื้อหาตัวอักษรลูกอ๊อดสีเงินในนั้น คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเคล็ดวิชาหลอมอาวุธลับที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
แค่อ่านเนื้อหาไปเล็กน้อย ก็ให้ความรู้สึกเหลวไหลต่อเขาเป็นอย่างมาก
เพราะว่าในนั้นไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบที่ใช้หรือวิธีการหลอมอาวุธ ก็แทบจะเป็นสิ่งที่หานลี่ไม่เคยคิดมาก่อน
ในตอนสุดท้ายของคัมภีร์ก็ยังเรียกตัวเองว่าเป็นเคล็ดวิชาลับหลอมสมบัติ แม้กระทั่งสามารถเทียบได้กับสมบัติของสวรรค์ทมิฬ นี่ถึงได้เรียกว่าเคล็ดวิชานี้ทำมาเพื่อเคล็ดวิชาหลอมสมบัติทมิฬ
ขั้นตอนการ ‘หลอมอาทิตย์’ ‘หลอมทะเล’ นั้น คาดไม่ถึงว่าในคัมภีร์จะเอ่ยเอาไว้อย่างง่ายๆ เท่านั้น วิธีการนี้น่าจะมีแต่ในบรรดาเทพเซียนของแดนเทพเซียนเท่านั้นที่จะมีพลังสำแดงออกมาได้ สำหรับเขาแล้ว ล้วนเป็นสิ่งที่เพ้อฝัน
แม้ว่าจะไม่ได้จับตาดูอย่างละเอียด แต่หานลี่ก็รู้สึกผิดหวังในใจไปก่อนแล้ว
หากไม่ใช่เพราะคัมภีร์นี้เขียนขึ้นมาจากตัวอักษรลูกอ๊อดสีเงิน เขาก็แทบจะคิดว่าคัมภีร์นี้เป็นคัมภีร์ที่วานรมารตัวนั้นตั้งใจสร้างขึ้น
หานลี่ขบคิดอย่างไม่พอใจเล็กๆ ฉับพลันนั้นลำแสงสีฟ้าในดวงตาทั้งพลันเปล่งแสงสว่างวาบมองไปยังเตียงโลหิตอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปชั่วครู่เขาพลันหน้าเปลี่ยนสี คาดไม่ถึงว่าจะพบอะไรเข้าจริงๆ
ฉับพลันนั้นร่างกายของหานลี่พลันพลิ้วไหว วูบไปเล็กน้อย ฉับพลันนั้นก็มาปรากฏตัวเหนือเตียงโลหิต
ฝ่ามือข้างหนึ่งพลันกางนิ้วทั้งห้าออก แล้วตบไปบนเหนือเตียงโลหิต
เสียง “ตึงๆๆ” ดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองบางๆ จำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว กลายเป็นตาข่ายสีทองปกคลุมเตียงโลหิตเอาไว้
ชั่วขณะนั้นอักขระสีเงินพลันหดเล็กลงราวกับพบดาวมฤตยู ชั่วพริบตานั้นพลันหายวับไปจากสายตา
เมื่อประจุไฟฟ้าสีทองโจมตีมา เตียงโลหิตพลันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลิ่นโลหิตคละคลุ้งโชยออกมาในเวลาเดียวกัน ทำให้เขาได้กลิ่นแล้วรู้สึกคลื่นไส้อาเจียน
หานลี่พลันเลิกคิ้ว แต่นิ้วทั้งห้าที่ประกบกันพลันมีประจุไฟฟ้าสีทองทะลักออกมา
ตาข่ายอัสนีด้านล่างพลันหุบลงทันที ประจุไฟฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ ไอโลหิตพลันถูกลำแสงอัสนีกวาดไปจนเกลี้ยง
จากนั้นกลางตาข่ายไฟฟ้าสีทองพลันมีแผ่นป้ายหยกสีขาวนวลขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏออกมา ด้านบนมีอักขระสีเงินหมุนวนอยู่รางๆ
“เป็นแผ่นนอกจริงๆ ดูแล้วของสิ่งนี้คงเป็นของจริง ทว่าคัมภีร์น่าจะมีต้นกำเนิดจากแดนของเผ่ามนุษย์และปีศาจ เหตุใดถึงตกมาอยู่ในแดนนอก และยังตกมาอยู่ในมือของวานรมารตนนี้”หานลี่ไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจ กลับขมวดคิ้วแล้วเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
จะว่าไปแล้วหานลี่ก็ได้คัมภีร์สีทองนี้มาสามหน้าแล้ว แต่น่าเสียดายที่สิ่งที่อยู่ในบันทึกนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีค่าสำหรับเขา หากเขาพัฒนาขึ้นไปอยู่ในระดับต้าเซิ่งได้ ไม่แน่ว่าก็อาจจะได้ใช้สิ่งนี้
ทว่าเคล็ดวิชาหลอมอาวุธสวรรค์ทมิฬก็สามารถให้เขาใช้เป็นกระจกเงาในการเรียนรู้ได้ หากเรียนรู้อะไรได้ ก็ยังคงเป็นประโยชน์เป็นอย่างมาก
เมื่อขบคิดเช่นนั้น หานลี่กลับรู้สึกว่านี้ไม่ใช่โอกาสดีในการศึกษาหน้ากระดาษหยกนี้อย่างละเอียด จึงสะบัดแขนเสื้อในทันใด
หมอกลำแสงสีเขียวม้วนวนลงไป!
หมอกลำแสงตรงหน้าหมายจะม้วนป้ายหยกเข้าไป สิ่งนี้กลับหมุนติ้วๆ ฉับพลันนั้นก็บินไปกลางอากาศอีกด้านราวกับของกายสิทธิ์
แต่หานลี่ที่เตรียมการป้องกันมาตั้งนานแล้ว ฝ่ามือข้างหนึ่งตะปบออกไปราวกับสายฟ้า
ชั่วขณะนั้นพลังไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งพลันแผ่ตัวลงมา ห่อหุ้มเอาไว้ในรัศมีวงกลมสิบจั้งเศษ
หลังจากเสียง “สวบ”ดังขึ้น แผ่นป้ายหยกก็ถูกดูดเข้ามาอยู่ในมือ
ทันใดนั้นหานลี่ก็ควักกล่องหยกออกมาจากกำไลเก็บของอีกครั้ง วางแผ่นป้ายหยกลงไปอย่างระมัดระวัง หลังจากแปะยันต์วิเศษสองสามแผ่นลงไป ถึงได้เปล่งแสงสว่างวาบแล้วเก็บลงไป
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น ห้องโถงใหญ่ก็ไม่มีสิ่งใดรั้งเขาไว้ได้อีก
ร่างกายของเขาพลิ้วไหว แล้วกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งไปด้านนอกห้องโถง จากนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง แล้วจมหายเข้าไปในทางเดินไอมาร
หานลี่ที่อยู่ในลำแสงหลีกหนี สองมือมีศิลาวิญญาณธาตุไม้ระดับสุดยอดปรากฏขึ้นข้างละก้อน เปล่งแสงสีเขียวมรกตระยิบระยับไม่หยุด!
และแทบจะในเวลาเดียวกันยาลูกกลอนที่กินลงไปก่อนหน้าก็เริ่มออกฤทธิ์ ไอวิญญาณบริสุทธิ์ปรากฏขึ้นในร่าง และถูกดูดเข้ามาในชีพจรทีละนิดๆ
เขาในยามนี้กำลังกดไปยังตำแหน่งที่แมลงกลืนทองบินหนีออกมา
ตรงนั้นเป็นตำแหน่งที่ที่หญิงสาวนามว่าเซียนเซียน เสี่ยงอันตรายบุกเข้าไปยังเทือกเขามารสีทองที่แท้จริง
แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีแผนการอะไร แต่คิดดูแล้วก็คงไม่ใช่สิ่งที่ง่ายดายแน่
ยามนี้หานลี่จัดการเรื่องของตัวเองเสร็จแล้ว ก็ไม่กังวลใดๆ อีก แน่นอนว่าจึงอยากเข้าไปดูสักหน่อย
การต่อสู้กับวานรมารเมื่อครู่แม้ว่าจะอันตรายมาก แต่ความจริงแล้วกลับเสียเวลาไม่นานนัก ใช้เวลาไปไม่ถึงหนึ่งมื้ออาหารเท่านั้น
แมลงกลืนทองที่ปล่อยออกมาไล่ล่าตัวนั้นพลันหยุดอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งไม่ขยับเขยื้อนอีก เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวเผ่าผลึกยังทำไม่สำเร็จ เข้าไปตอนนี้น่าจะทันเวลาพอดี
แม้ว่าเขาในยามนี้จะสูญเสียพลังปราณไปไม่น้อย ร่างเทวรูปก็หดเล็กลงไปครึ่งหนึ่ง แต่หญิงสาวเผ่าผลึกมีพลังยุทธ์ต่ำต้อย แน่นอนว่าจึงไม่ต้องหวาดกลัวใดๆ
มิเช่นนั้นหากเผชิญหน้ากับผู้ที่มีพลังยุทธ์ใกล้เคียงกับเขา หานลี่ก็กลัวว่าในสภาพที่ตนเองสูญเสียพลังยุทธ์ไปจำนวนมาก ก็อาจจะหนีไปอย่างแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลย ไม่ยอมให้มีเรื่องอะไรเพิ่มเข้ามาแน่
หานลี่บินไปด้วยความรวดเร็ว แต่บินไปได้เกือบครึ่งทาง ฉับพลันนั้นทั้งทางเดินใต้ดินก็สั่นคลอนอย่างหนัก จากนั้นความเปลี่ยนแปลงก็บังเกิดขึ้น!
ไอมารทั้งทางเดิมสูญเสียการควบคุมพลางหมุนวนอย่างหนัก ไอมารเปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมาในเวลาเดียวกัน เกิดเป็นพายุหมุน ใบมีดวายุสีดำสนิทจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏตัวขึ้นเต็มไปหมด แค่กะพริบวาบก็พุ่งไปรอบๆ ทั่วทั้งทางเดิน
ภายใต้ความตกตะลึงของหานลี่ แขนเสื้อแค่มีลำแสงม้วนวนออกมา ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีเทาชั้นหนึ่งก็ห่อหุ้มเรือนร่างของเขาเอาไว้ข้างใน
แม้ว่าใบมีดวายุเหล่านั้นจะดูดุร้าย แต่เมื่อสับลงมาที่ลำแสงเทวะดูดปราณกลับทยอยกันสลายหายไป
หานลี่พลันขมวดคิ้ว ความคิดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงร้องคำรามประหลาดๆ ราวกับเสียงม้าร้องคำรามพลันดังขึ้นที่ข้างหูราวกับอัสนีฟ้าฟาด
แค่ได้ฟังเสียงนี้ คาดไม่ถึงว่าเขาจะรู้สึกว่าลมปราณในร่างแข็งค้าง ชั่วครู่ก็ไม่อาจควบคุมมันได้เลยสักนิด
จากลำแสงสีเทาพลันสลายออก ร่างของหานลี่ร่อนลงจากกลางอากาศ ระหว่างทางพลันมีใบมีดวายุพุ่งเข้ามาจากรอบทิศทาง ชั่วครู่ก็สับลงมาบนร่างของหานลี่ราวกับพายุระเบิดฝนกระหน่ำ
หากเปลี่ยนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง แน่นอนว่าย่อมถูกสับออกเป็นหมื่นๆ ชิ้นแล้ว
แต่หานลี่มีกายเนื้อที่แข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่ามารอสูรระดับหลอมรวมแล้ว ได้ยินเพียงเสียง “ปังๆ” คาดไม่ถึงว่าเขาจะปลอดภัยอยู่ท่ามกลางลำแสงสีเขียว
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น หานลี่ก็ยังรู้สึกโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างยิ่ง จิตสัมผัสเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะนั้นคาถาขับเคลื่อนพลันกลายเป็นไอเย็นเยียบไหลโคจรไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย พลังวิญญาณในร่างสลายหายไปอย่างแปลกประหลาด
ลำแสงหลีกหนีปรากฏขึ้น กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งทะยานออกไปอีกครั้ง
และในยามนั้นเองทางเดินด้านล่างเขาพลันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นเสียงฟ้าผ่าพลันดังขึ้น พ่นประจุไฟฟ้าสีดำสนิทจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา
ไม่ว่าจะเป็นไอมารหรือว่ากำแพงหินตรงอื่น เมื่อสัมผัสกับประจุไฟฟ้านี้ ก็จะสลายกลายเป็นผุยผงในชั่วพริบตา
หานลี่พลันตกตะลึง ศิลาวิญญาณในมือสลายหายไปทันที จากนั้นมือหนึ่งพลันร่ายอาคม หลังจากเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ชุดอัสนีสีทองเงินชุดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนผิวกาย
แม้ว่าไฟฟ้าสีดำนี้จะพันรัดร่างของเขาไว้ แต่เมื่อประจุไฟฟ้าหลากสีสันตัดสลับกันไปมา หานลี่กลับปลอดภัยไร้กังวล
แต่จากนั้นอัสนีจำนวนนับไม่ถ้วนก็ระเบิดออกจากใต้ดินอย่างต่อเนื่อง ประจุไฟฟ้าสีดำระเบิดออกทั้งทางเดินที่มีไอมาร คาดไม่ถึงว่าจะพังทลายลงมาจนหมด
ศิลายักษ์ขนาดใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนโปรยปรายลงมาจากกลางอากาศ แม้ว่าหานลี่จะมีความสามารถไม่อ่อนแอ แต่ในขณะที่ไม่ทันตั้งตัวก็ถูกศิลาจำนวนมากฝังไว้ด้านล่าง…
ด้านนอกภูเขายอดเขาทั้งลูกพังทลายลงมาด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง ราวกับว่ามือยักษ์ไร้รูปร่างข้างหนึ่งกดลงไปบนภูเขาทั้งลูก จากนั้นก็ออกแรงกดลงไปอย่างไรอย่างนั้น
ท่ามกลางรอยแยกของกำแพงภูเขา ไอมารสีดำเป็นกลุ่มๆ ถูกบีบออกมาเช่นกัน และพยายามคลี่ขยายไปทั่วทุกสารทิศ
เสียงกรีดร้องดังออกมาจากยอดเขาที่พังทลายอีกครั้ง จากนั้นเสียงฟ้าผ่าก็ดังสนั่นขึ้น!
สายฟ้าสีดำสนิทสิบกว่าสายทยอยกันพุ่งออกมาจากรอยแยกของศิลาที่แตกละเอียด ชั่วครู่ก็กลายเป็นสายฟ้าสีดำขนาดร้อยจั้งเศษ เริงระบำอยู่กลางอากาศ
มองจากไกลๆ ดูเหมือนหนวดปลาหมึกสิบกว่าเส้นตวัดไปมาอยู่กลางอากาศไม่หยุด
จากนั้นเสียงพังทลายก็ดังขึ้น ศิลาแตกละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากภูเขายักษ์ที่พังทลาย ภูเขาทั้งลูกดูราวกับถูกปรับระดับอย่างไรอย่างนั้น ตรงจุดที่เดิมเป็นภูเขาเผยร่างอันใหญ่มหึมามากกว่าพันจั้งออกมา
คาดไม่ถึงว่าเรือนกายของสัตว์ประหลาดตัวนี้จะสร้างขึ้นจากลำแสงสีดำ แต่ผิวของมันกลับมีอัสนีสีดำน้อยใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่า ‘หนวดปลาหมึก’ สิบกว่าสายที่แต่เดิมพ่นออกมาจะเป็นแค่ส่วนที่หนาที่สุดส่วนหนึ่งเท่านั้น
ตรงใจกลางของลำแสงสีดำกลับมีใบหน้ายักษ์สีขาวขนาดสองสามหมู่ปรากฏขึ้น ดวงตากลมโตทั้งสองฉายแววเย็นเยียบดุดันออกมา
ฉับพลันนั้นเสียงมังกรคำรามก็ดังออกมาจากลำแสงสีดำ ผิวของสัตว์ประหลาดยักษ์มีลำแสงสีโลหิตสว่างวาบ มังกรวารีสีแดงโลหิตฉีกร่างสัตว์ประหลาดออกแล้วพุ่งออกมาจากด้านใน แค่กะพริบวาบครั้งหนึ่ง ก็อยู่ห่างออกไปร้อยจั้งเศษ จากนั้นก็หมุนวนรอบหนึ่ง เผยร่างบุรุษสวมชุดเกราะสีเงินแต่มีหนามแหลมเต็มไปหมดออกมา
นั่นก็คือบุรุษแซ่กุยผู้นั้น
แต่แค่เขาในยามนี้ใบหน้าไม่มีสีหน้าโหดเ**้ยมเย็นชาดังเดิมอีกแล้ว แต่สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดขาว ในเวลาเดียวกันดวงตาก็เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
และในยามนั้นสัตว์ประหลาดยักษ์ที่อยู่ด้านล่างก็ร้องคำรามออกมา จากนั้นร่างกายครึ่งท่อนที่สูงสองสามร้อยจั้งก็ระเบิดออก พายุหมุนสีเขียวกลุ่มหนึ่งม้วนวนออกมาจากด้านใน จากนั้นพายุหมุนก็รวมตัวกัน กลายเป็นเงาลวงตากิเลนสีเขียวขนาดร้อยจั้งเศษตัวหนึ่ง
ใบหน้ายักษ์ร้องคำรามด้วยความโกรธา หลังจากประจุไฟฟ้าสีดำที่หนาที่สุดเปล่งเสียงอัสนีฟ้าฟาดออกมาแล้ว ประจุไฟฟ้าสีดำก็สับลงมาราวกับใบมีดยักษ์ใบหนึ่ง
แต่เงาลวงตาของกิเลนยักษ์แค่เปล่งแสงสว่างวาบ ก็หายวับไปราวกับไร้รูปร่าง
ครู่ต่อมาอีกด้านหนึ่งห่างออกไปร้อยจั้งเศษ พายุสีเขียวพลันพัดผ่านมา เงาลวงตากิเลนเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่ผิวของมันพลันเปล่งแสงเจิดจ้า ร่างกายกลับหดเล็กลงสองสามเท่า จนมีขนาดสองสามจั้ง แต่ร่างกายกลับหนาแน่นขึ้น ราวกับเป็นของจริงอย่างไรอย่างนั้น
ยามนี้ถึงได้มองเห็นอย่างชัดเจน ตรงหว่างคิ้วของกิเลนสีเขียวมีผลึกศิลาเปล่งแสงเรืองรองปรากฏเพิ่มขึ้นมา และสิ่งที่เผยออกมาจากดวงตาทั้งสองก็เป็นสีหน้าตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวเช่นกัน
ตอนที่ 1633 ต้นกำเนิดของกิเลนเที่ยงแท้
“เจ้าเป็นใครกันแน่ คาดไม่ถึงว่าจะควบคุมรังวิญญาณที่สิงร่างได้” เสียงสตรีดังออกมาจากปากของกิเลนสีเขียว แม้ว่าคำพูดจะเต็มไปด้วยความโกรธขึ้ง แต่ฟังดูแล้วก็ยังคงไพเราะนัก
นั่นก็คือหญิงสาวนามว่าเซียนเซียน
หลังจากที่หญิงสาวผู้นี้เข้าไปในรังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ ไม่ทันได้หาสิ่งที่ต้องการพบ บุรุษแซ่กุยก็ปรากฏตัวขึ้น จากนั้นรังวิญญาณที่แต่เดิมควรจะหลับใหลอยู่ก็กลายร่าง คาดไม่ถึงว่าจะกลืนนางเข้าไปภายในคำเดียว
หากไม่ใช่เพราะนางเตรียมตัวมาอย่างพรั่งพร้อม กลืนยาลูกกลอนลับที่หลอมมาโดยเฉพาะลงไปทันที จากนั้นก็ให้กิเลนเที่ยงแท้สำแดงอิทธิฤทธิ์สิงร่าง กลายเป็นเงาลวงตากิเลนตรงหน้า เกรงว่าก็คงถูกรังวิญญาณกลืนลงไปจริงๆ
“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะมีความเป็นมาอย่างไร ข้าแค่อยากถามว่าเจ้ามีต้นกำเนิดของกิเลนเที่ยงแท้มาจากรังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้หรือ?” บุรุษแซ่กุยกลับเอ่ยถามอย่างน่าสะพรึงกลัว
“หึๆ ข้ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร! รังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้นี้พวกเจ้าคิดว่ายังมีผู้ใดรู้อีกหรือ?” เสียงหัวเราะอย่างเย็นชาดังออกมาจากปากของใบหน้าประหลาดยักษ์ ฟังดูแล้วดูคลุมเครือ แต่ก็เคร่งขรึมเป็นอย่างมาก ทำให้คนฟังขนลุกซู่
ส่วนร่างกายครึ่งหนึ่งที่ระเบิดออกของมัน ก็เปล่งแสงสีดำสว่างวาบแล้วฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาพเดิมในพริบตา ราวกับว่าอาการบาดเจ็บเมื่อครู่ไม่เป็นปัญหาเลยสักนิด
บุรุษแซ่กุยได้ยินคำนี้กลับหน้าเปลี่ยนสี
ส่วนกิเลนสีเขียวกลับเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
“อะไรนะ เจ้าก็เป็น….ไม่ผิด! นอกจากพวกเราแล้ว ไม่อาจมีคนอื่นที่รู้รังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้แน่” เงาลวงตากิเลนกวาดสายตาไปทางบุรุษแซ่กุยแวบหนึ่ง หลังจากสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งแล้วก็เอ่ยขึ้น
“หึ ข้าและเจ้าสิ่งไร้ค่าครึ่งหนึ่งของเจ้านั้นไม่เหมือนกัน สิงร่างเผ่าผลึกที่อ่อนแอคนหนึ่ง แล้วยังล้มเหลว ข้าสิงร่างมังกรวารีสีเงินตัวหนึ่งอย่างสมบูรณ์” บุรุษแซ่กุยตวัดตามองค้อน แล้วเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ
เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ของบุรุษแซ่กุย แววตาของเงาลวงตากินเลนก็ฉายแววโกรธเกรี้ยว แต่กลับเอ่ยอย่างราบเรียบ : “สิงร่างสำเร็จ ก็แค่โชคดีเท่านั้น ตอนนั้นพวกเราล้วนเป็นหนึ่งในแสนของเศษเสี้ยวจิตวิญญาณ จะแตกต่างอะไรกัน ข้ากลับรู้สึกว่าการดำรงอยู่คู่กันก็ไม่ได้แย่ไปกว่าการสิงร่างเท่าใดนัก ขอแค่หญิงสาวเผ่าผลึกผู้นี้ฝึกฝนผ่านเคราะห์สวรรค์จนบรรลุได้ ข้าก็สามารถฟื้นฟูร่างของกิเลนเที่ยงแท้และพลังปราณได้เช่นกัน”
“บรรลุ! ฝันกลางวันน่ะสิ แค่เผ่าผลึกจิ๊บจ๊อยคนหนึ่ง ยังกล้าคิดเรื่องนี้!” บุรุษแซ่กุยมุมปากกระตุก แล้วเอ่ยอย่างเยาะเย้ยออกมา
“จะเป็นไปไม่ได้ได้อย่างไร หากได้ต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้ในรังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ ต่อให้ได้ก้อนเดียว ก็มีหวังจะบรรลุขึ้นไปแดนเทพเซียนแล้ว” กิเลนสีเขียวกลับเผยความเคร่งขรึมเป็นอย่างมากออกมา
“พลังต้นกำเนิดของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ระดับนี้ ให้เผ่าผลึกคนหนึ่งกินเข้าไป มันช่างสิ้นเปลืองนัก หากให้ข้าที่มีร่างของมังกรวารีสีเงินกินเข้าไป ขอแค่มีสภาพการณ์แค่หมื่นกว่า ข้าก็สามารถหลุดจากร่างมังกรวารี กลายเป็นร่างของมังกรเที่ยงแท้ได้แล้ว” บุรุษแซ่กุยไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของเงาลวงตากิเลน แต่ยังคงเอ่ยอย่างดูแคลน
“ที่เจ้าพูด หรือว่าอยากให้ข้ามอบต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้ให้กับเจ้า แม้ว่าเดิมทีเจ้ากับข้าจะเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ตอนนี้มันผ่านมาหลายปี มันกลายเป็นตามลำพังตั้งนานแล้ว ราวกับเดินคนละเส้น และยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เขายอมถอยให้ จากนี้ผู้นี้ก็คงไม่มีทางเจียมเนื้อเจียมตัวแน่ ในรังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้เมื่อครู่ มันอยากกลืนเจ้าและข้าลงไป” แววตาของกิเลนสีเขียวพลันมัวหม่น หลังจากมองไปทางสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์แวบหนึ่งแล้ว ก็เอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างเย็นชา
“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะสิงร่างรังวิญญาณอย่างไร และมีแผนการใด ตอนนี้ส่งไอของจิตวิญญาณเที่ยงแท้มาให้ข้า ข้าจะไปทันที มิเช่นนั้นอย่ามาโทษว่าข้าไม่เกรงใจ” แม้ว่าบุรุษแซ่กุยจะฟังเจตนาท้าประลองของอีกฝ่ายออก แต่หางตาก็กระตุกเล็กน้อย ยังคงเอ่ยลงมาด้านล่างอย่างเย็นชา
“อยากได้ต้นกำเนิดของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ แน่นอนว่าได้ ขอแค่พวกเจ้าสองคนเข้าไปในท้องข้าและรวมร่างกับข้า ก็ได้มันแล้ว” ใบหน้ายักษ์กลับเปล่งเสียงหัวเราะคิกคิกออกมา
“อะไรนะ กลืนลงไปแล้ว! ไม่สิดูดซับต้นกำเนิดของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ได้ มีเพียงร่างจริงเท่านั้น ร่างของรังวิญญาณจะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร!” บุรุษแซ่กุยมีท่าทีไม่เชื่อถือ
“ใครบอกพวกเจ้า ข้าคือร่างของรังวิญญาณ พวกเจ้าสองคนคิดว่าตนเป็นผู้ที่มาที่นี่คนแรกหรือ?” ครั้งนี้ใบหน้ายักษ์พลันเงียบขรึม แล้วถึงได้ตอบกลับอย่างโหดเ**้ยม
“หมายความว่าอย่างไร?” ผิวของกิเลนสีเขียวเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ แล้วตกตะลึงระคนลังเล
“ก็เหมือนกับพวกเจ้า ข้ากลืนมันลงไปสามสี่อันแล้ว ตอนนี้ขอแค่กลืนพวกเจ้าสองคนลงไป ประกอบกับที่มีโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้จำนวนมาก อีกไม่นานข้าก็จะสามารถมีร่างของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ พวกเจ้าให้ข้ากิน กลายเป็นส่วนหนึ่งของข้า แน่นอนว่าก็รู้ทุกเรื่องแล้ว” สัตว์ประหลาดยักษ์ดูเหมือนว่าจะไม่อยากพูดมาก ผิวของมันเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ ท่ามกลางเสียงฟ้าร้อง ประจุไฟฟ้าสีดำสองสามเปล่งแสงสว่างวาบพลางพุ่งออกมา
มองไกลๆ ดูเหมือนทวนยักษ์สีดำสองด้าม หมายจะทะลวงผ่านเงาลวงตากิเลนและบุรุษแซ่กุย
เมื่อได้ยินคำพูดของใบหน้าประหลาด บุรุษแซ่กุยก็หน้าเปลี่ยนสีเป็นดูไม่ได้ เมื่อเห็นสัตว์ประหลาดจะโจมตีเข้าจริงๆ ความโกรธแค้นในใจมีเท่าไหร่แค่คิดก็รู้แล้ว และไม่เห็นว่าเขาพูดอะไร ร่างกายพลันพลิ้วไหว กลายเป็นสามร่างที่เหมือนกันอย่างไรอย่างนั้น
หนึ่งในนั้นชูมือข้างหนึ่งขึ้น กระบี่บินสีเงินเล่มหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วสับลงมา กลายเป็นกระบี่ลำแสงสีเงินความยาวสิบจั้งเศษ แค่กะพริบวาบก็สับลงมาทำลายอัสนีดำที่พุ่งเข้ามา
เงาลวงตากิเลนสีเขียวอีกด้านกลับอ้าปากกว้าง ฉับพลันนั้นหัวก็ขยายขนาดขึ้นสองสามเท่า จากนั้นก็กลืนลงไป คาดไม่ถึงว่าโจมตีไปหาประจุไฟฟ้าสีดำด้วยการสูบเข้ามา
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ แววตาของร่างแยกร่างหนึ่งของบุรุษแซ่กุยก็วาวโรจน์ ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยว่า : “เคล็ดวิชากลืนกิน! ดูแล้วอิทธิฤทธิ์ของเจ้าคงไม่อ่อนแอ มีคุณสมบัติพอที่จะร่วมมือกับข้า พวกเรามาร่วมมือกันทำลายเจ้าสิ่งนี้เถิด แล้วค่อยนำต้นกำเนิดของกิเลนเที่ยงแท้มาแบ่งปัน ต้นกำเนิดของจิตวิญญาณเที่ยงแท้นั้นเป็นของระดับไหน ต่อให้ถูกเขากลืนกินไปก็ไม่อาจหลอมได้อย่างหมดจด”
“ตกลง ว่ากันตามนี้” กิเลนสีเขียวครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วตัดสินใจรับคำ
เขาในยามนี้แม้ว่าจะเป็นร่างของเซียนเซียน และพลังจิตสัมผัสกิเลนเที่ยงแท้รวมร่างกัน แต่ความกระหายในต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้นั้นกลับมีเหมือนกัน แม้ว่าจะรู้สึกหวาดกลัวบุรุษแซ่กุยเป็นอย่างมาก แต่เจ้าตัวที่สิงรังวิญญาณด้านล่างก็เป็นศัตรูที่จำต้องกำจัดทิ้ง
จากนั้นผิวของกิเลนสีเขียวก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ ร่างกายเปล่งแสงเจิดจ้าจนมีขนาดร้อยจั้งเศษอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันพลังที่น่าตกตะลึงก็พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
บุรุษแซ่กุยเห็นเช่นนั้น ร่างทั้งสามก็พลิ้วไหว ตนหนึ่งมีลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นเหนือศีรษะ ไอกระบี่ยักษ์สิบจั้งเศษปรากฏขึ้นอีกครั้ง ตนหนึ่งสองมือถูกันไปมา ลูกไฟสีแดงสดปรากฏขึ้นรอบๆ กายหลายดวง
ตนสุดท้ายหมุนวนไปบนพื้น ชั่วขณะนั้นพลันสะบัดหัวสะบัดหาง เผยร่างเดิมของมังกรวารีสีเงินออกมา
เมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดด้านล่าง ทั้งสองต่างตั้งมั่นพร้อมรับกับศัตรู ไม่กล้าดูแคลนเลยสักกระผีก
ครั้งนี้ใบหน้าประหลาดด้านล่างกลับหัวเราะประหลาดๆ ออกมา :
“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะกล้าต่อต้าน เยี่ยมมาก หากไม่หนี ข้าก็จะได้ประหยัดแรง ทว่าก่อนที่จะจัดการพวกเจ้า ข้าก็ต้องเรียกแขกที่ไม่ได้รับเชิญอีกสองคนมาก่อน“
สิ้นเสียงประจุไฟฟ้าสีดำสิบกว่าสายที่หนาที่สุดก็เปล่งเสียงฟ้าร้องคำรามออกมา สับลงมากลางอากาศอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อนเลยสักนิด
ประจุไฟฟ้าสีดำยังไม่ทันร่อนลงมา พลังแรงกดมหาศาลก็กดลงมาราวพายุหมุน
ส่วนทางด้านเงาสีเงินที่อยู่กลางอากาศพลางเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างคนร่างกายอรชรอ้อนแอ้นปรากฏขึ้น จากนั้นพลันพลิ้วกาย กลายเป็นสายรุ้งสีเงินสายหนึ่งพุ่งออกไป
แต่ในยามนั้นเองเสียงฟ้าผ่าพลันดังสนั่นขึ้น สั่นสะเทือนบรรยากาศโดยรอบ ประจุไฟฟ้าหนาๆ สิบกว่าสายผนึกรวมตัวกัน กลายเป็นกระบี่ยักษ์สีดำความยาวร้อยจั้งเศษ แค่กะพริบวาบ ก็ทำให้สายรุ้งสีเงินที่สั่นสะเทือนเพราะเสียงฟ้าร้องลดระดับความเร็วแล้วถูกโจมตีจนสลายหายไป
แม้กระทั่งเงาร่างคนอรชรอ้อนแอ้นในสายรุ้งสีเงิน ก็ยังไม่ทันได้เปล่งเสียงร้องคร่ำครวญออกมา
แน่นอนว่าเงาร่างคนผู้นี้ย่อมเป็นผู้ที่อาศัยเคล็ดวิชาอำพรางกาย อสูรมารแปลงกายระดับสูงที่ไล่ตามหานลี่มาโดยตลอดอย่าง ‘จิ่วเยี่ย’
สตรีผู้นี้มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นกลาง แต่ภายใต้การโจมตีด้วยกระบี่ยักษ์สีดำ กลับไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นความน่ากลัวของกระบี่ยักษ์ค้ำฟ้า ร่างแยกของบุรุษแซ่กุยและกิเลนยักษ์ก็ตกตะลึงไปพร้อมกัน เผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา
และหลังจากที่ได้กระบี่มาอยู่ในมือ ไม่ทันได้เก็บกลับหรือโจมตีคู่ต่อสู้ก็พลิ้วไหว กลายเป็นสายรุ้งสีดำยักษ์สับลงมายังพื้นใกล้ๆ กัน
นี่จึงทำให้บุรุษแซ่กุยและกิเลนสีเขียวพลันตกตะลึง
มองเห็นสายรุ้งสีดำร่อนลงไปอย่างรุนแรง พอที่จะทำให้พื้นดินแยกออกเป็นสองส่วน บนพื้นดินกลับมีเสียงไพเราะดังขึ้น ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ฉับพลันนั้นพลันมีกระบี่สีเขียวเจ็ดสิบสองเล่มพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน
กระบี่บินเหล่านี้มีขนาดสองสามชุ่น แต่เมื่อรวมตัวกันกลางอากาศ ก็กลายเป็นกระบี่ยักษ์ยักษ์สีเขียวขนาดสองสามจั้ง หลังจากเปล่งเสียงฟ้าร้องออกมาพร้อมๆ กัน ก็มีประจุไฟฟ้าสีทองเจิดจ้าดีดออกมา จากนั้นก็โจมตีไปยังกระบี่ยักษ์สีดำอย่างไม่ยอมเผยความอ่อนแอออกมา
หลังจากเสียง “ตูมๆ” ดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังขึ้น ประจุสายฟ้าสีทองและดำสองสีก็ตัดสลับกันไปมา ทั้งสองต่างมีท่าทีไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน
แม้ว่ากระบี่ยักษ์สีดำจะมีขนาดที่น่าตกตะลึง แต่กระบี่ยักษ์สีเขียวที่อยู่ด้านล่างก็ดูเหมือนจะแหลมคมเป็นอย่างมาก ประจุไฟฟ้าสีทองที่พ่นออกมาก็มีอานุภาพที่น่าตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีท่าทีตกเป็นรองเลยสักนิด
ใบหน้ายักษ์สีขาวเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา แต่ทันใดนั้นก็แค่นเสียงอย่างเย็นชา ผิวมีลำแสงสีดำสว่างวาบ ประจุไฟฟ้าสีดำยี่สิบสามสิบสายขยายใหญ่ขึ้น และดูเหมือนจะดีดตัวพุ่งเข้ามาอย่างไรอย่างนั้น
แต่ในยามนั้นเอง เสียง ‘สวบ’ พลันดังขึ้น กระบี่บินสีเขียวพุ่งออกมาจากใต้ดิน ฉับพลันนั้นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งก็พุ่งออกมา
และแทบจะในเวลาเดียวกันกระบี่ยักษ์สีดำก็เปล่งแสงเจิดจ้า กระบี่ลำแสงสีดำอีกสายหนึ่งปรากฏขึ้นราวกับเงา จากนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วมาอยู่เหนือสายรุ้งสีเขียว และสับลงมาอย่างรุนแรง
เสียง “เกร๊ง” ดังสนั่นขึ้น
สายรุ้งสีเขียวหม่นแสง ที่เดิมมีม่านลำแสงประหลาดราวกับผลึกวารีปรากฏขึ้นชั้นหนึ่ง กระบี่ลำแสงสับลงมากลับแฉลบผ่านด้านข้างไป
ในม่านลำแสงผลึกวานร เงาร่างคนสายหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น สองมือไพล่หลังกัน
นั่นก็คือผู้ที่ก่อนหน้าถูกศิลาภูเขาทับเอาไว้ หานลี่
แต่หลังจากที่กวาดสายตาไปยังใบหน้าประหลาดยักษ์ บุรุษแซ่กุยรวมทั้งเงาลวงตากิเลนแล้ว ก็กวักมือข้างหนึ่งโดยไม่ปริปาก
ชั่วขณะนั้นดอกบัวสีทองขนาดเท่ากำปั้นดอกหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากใต้ดิน เปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งมาหาเขา
ตอนที่ 1634 อานุภาพของมารวิญญาณ
นั่นคือแมลงกลืนทองที่หานลี่ส่งออกไปสะกดรอยตัวนั้น
แมลงตัวนั้นแค่ร่างกายพลิ้วไหว ก็จมหายเข้าไปในแขนเสื้อของหานลี่อย่างไร้ร่องรอย
จิตสัมผัสเสี้ยวหนึ่งที่สิงอยู่กับร่างแมลงวิญญาณก็กลับมาในพริบตา
หานลี่มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสสลับไปมา!
ข่าวสารในจิตสัมผัสเสี้ยวนั้นถูกสูบเข้ามา สิ่งที่แมลงกลืนทองได้ยินก่อนหน้าเปลี่ยนเป็นราวกับเห็นด้วยตาตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนใบหน้ายักษ์เห็นหานลี่รับการโจมตีของตนอย่างสบายๆ เช่นนี้ ก็ไม่ได้ทำการโจมตีครั้งต่อไปในทันที สายตาเย็นเยียบฉายแวววาวโรจน์ขณะพิจารณาหานลี่ ดูเหมือนว่าจะมีแววหวาดกลัวสองสามส่วน
“กลิ่นอายวานรมารตัวนั้นหายไปแล้ว หรือว่าจะถูกเจ้าสังหารไป” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เสียงเคร่งขรึมก็ดังออกมาจากปากของใบหน้ายักษ์
“อ๋อ นายท่านตอบสนองได้รวดเร็วนัก ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่ วานรมารตัวนั้นก็คงไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว” หานลี่แววตาเปล่งประกาย พลางตอบกลับอย่างแช่มช้า
“หึ เอาเปรียบเจ้าแล้ว วานรมารตัวนั้นรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่นี่ เดิมทีก็เป็นเพราะข้าดึงดูดเขามา คิดว่ารอให้เขาฝึกฝนจนเป็นร่างวิญญาณเที่ยงแท้ ก็จะกินเขาดังสมุนไพรเพื่อชดเชย วานรมารตัวนี้ยังคิดว่าจะมีที่ที่มีไอมารบริสุทธิ์เช่นนี้ตามธรรมชาติอีก” ใบหน้าประหลาดเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
เมื่อได้ยินคำนี้หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ : “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าก็ว่าไอมารที่นี่บริสุทธิ์ถึงเพียงนี้ รวบรวมจากร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บของวานรมารได้ยากนัก ที่แท้นายท่านก็เป็นคนทำ ทว่าท่านคือสิ่งใดกันแน่ ข้าน้อยชักจะสนใจแล้วสิ หรือว่าเป็นวิญญาณฟ้าดินชนิดหนึ่ง?”
“วิญญาณฟ้าดินอะไรกัน? ทว่าอาศัยพลังของวิญญาณเที่ยงแท้ กำเนิดเป็นภาพลวงตาเท่านั้น เดิมทีก็ไม่ได้มีจิตวิญญาณ เป็นแค่สิ่งโง่เขลาที่ไม่รู้อะไรทั้งนั้น แต่กลับถูกพลังจากภายนอกควบคุมและสิงร่าง ถึงได้เปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์เพทุบายเช่นนี้ พี่หานต้องระวังให้มากหน่อย” กิเลนสีเขียวพลันเอ่ยปาก
“ตอนนี้เจ้ายังเป็นท่านเซียนเซียนสินะ?” หานลี่ฟังเสียงไพเราะของสตรีจากกิเลน ก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าราบเรียบ
“แน่นอนว่าเป็นชนรุ่นหลังเจ้าค่ะ ทว่าตอนนี้ข้าอยู่ในรูปลักษณ์พิเศษ รวมจิตวิญญาณสองชนิดเข้าด้วยกันชั่วคราว เพื่อควบคุมเทวรูปกิเลน แต่สิ่งสำคัญคือยังคงเป็นข้าที่เป็นจิตวิญญาณหลัก” หลังจากที่กิเลนสีเขียวถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะตอบกลับตามความเป็นจริง
“เช่นนั้น จุดประสงค์หลักที่ท่านเซียนเซียนให้ข้ามาที่นี่ ความจริงแล้วก็เพื่อสิ่งที่เรียกว่าต้นกำเนิดของกิเลนเที่ยงแท้สินะ เรื่องของการใช้แกนมารระดับศักดิ์สิทธิ์ซ่อมแซมเกราะมาร คงไม่ได้เป็นเรื่องหลอกลวงทั้งหมดสินะ” หานลี่จ้องกิเลนสีเขียวเขม็ง น้ำเสียงไร้ซึ่งความรู้สึก
“แน่นอนว่าไม่ใช่ การซ่อมแซมเกราะมารเหนือฟ้า ต้องใช้แกนมารระดับศักดิ์สิทธิ์ไม่ผิด ส่วนต้นกำเนิดของกิเลนเที่ยงแท้นั้น ข้ายอมรับว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากสหาย แต่ความจริงแล้วสหายหานก็ไม่ได้สูญเสียใดๆ ข้าแค่อาศัยโอกาสนี้ ส่วนวานรมารระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นในเมื่อถูกสหายสังหารแล้ว คิดดูแล้วเรื่องที่ได้รับบาดเจ็บหนักก็คงเป็นเรื่องจริง” น้ำเสียงของเซียนเซียน เปลี่ยนเป็นน่าสงสารอย่างชัดเจน
“สหายพูดไม่ผิด ข้าไม่ได้รับความเสียหายอะไร แต่ตอนนี้ดูแล้ว แผนของท่านเซียนคงไม่ค่อยราบรื่น เกิดปัญหาไม่น้อย” หานลี่กวาดสายตาไปบนร่างแยกทั้งสามของบุรุษแซ่กุย แล้วมองไปยังใบหน้ายักษ์ด้านล่าง ใบหน้าเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา
“ข้าคิดไม่ถึงว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้ แต่ขอแค่กำจัดรังวิญญาณด้านล่างได้ ก็ยังคงเอาต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้ได้ ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่กิเลนเที่ยงแท้ทิ้งเอาไว้ส่วนหนึ่งเมื่อยามถือกำเนิดจริงๆ สิ่งมีชีวิตใดได้มันไป ล้วนสามารถถอดรกเปลี่ยนกระดูกได้ ได้ประโยชน์ที่น่าเหลือเชื่อ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง หากพี่หานได้มันมาสักนิด การพัฒนาขึ้นระดับอินทรีย์ก็ไม่ใช่ปัญหา”
นับว่าสตรีผู้นี้ก็เด็ดขาดมาก! นางตัดสินใจประกาศเรื่องต้นกำเนิดของกิเลนเที่ยงแท้ออกมา”
สำหรับนางแล้วในเมื่อไม่สามารถริบเจ้าสิ่งนี้ไปลำพัง และยิ่งไปกว่านั้นตนก็เป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุด ณ ที่นั้น จึงไม่สู้ดึงหานลี่เข้ามาช่วยต่อกรกับคนอื่นๆ จะดีกว่า
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร อยากแบ่งต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้ให้คนผู้นี้หรือ? หากอยากแบ่ง ก็แบ่งจากส่วนของเจ้าให้คนผู้นี้ ครึ่งหนึ่งของข้าไม่แบ่งให้ใครทั้งนั้น” บุรุษแซ่กุยที่กลายเป็นมังกรวารี เอ่ยอย่างเย็นชา
“ล้วนไม่ใช่ปัญหา พี่หาน ข้าจะทำการแลกเปลี่ยนกับเจ้า เจ้าช่วยข้าสังหารรังวิญญาณด้านล่าง ข้าจะแบ่งต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้ให้เจ้าส่วนหนึ่ง สหายไม่มีมีจิตสัมผัสของกิเลนเที่ยงแท้หรือ มีแค่ส่วนนี้ก็พอแล้ว หากมากเกินไปจะทำให้ได้รับบาดเจ็บไม่มีประโยชน์ และยิ่งไปกว่านั้นการหลอมพลังต้นกำเนิดนี้ ยังต้องใช้วิธีพิเศษ ถึงยามนั้นน้องหญิงจะบอกท่านอย่างหมดเปลือก” น้ำเสียงของเซียนเซียน ดังสละสลวยออกมาจากเงาลวงตากิเลน
หานลี่ได้ฟังพลันหรี่ตาทั้งสองข้างลง
ทำให้เขาพัฒนาระดับอินทรีย์ได้? ความเย้ายวนใจนี้แน่นอนว่าย่อมยิ่งใหญ่มาก ทว่าเรื่องของ ‘ต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้’ เขาก็เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก จึงเชื่อเรื่องนี้เพียงครึ่งเดียว
ทว่าไม่รอให้หานลี่ได้ตัดสินใจ ใบหน้ายักษ์ด้านล่างกลับเปล่งเสียงหัวเราะประหลาดๆ ที่ไม่ไพเราะออกมา
“แบ่งต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้! พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าตนจะมีโอกาส นับเวลาดูแล้วก็ถึงเวลาอันสมควรแล้ว เจ้าสองคนไม่รู้สึกว่าร่างกายมีอะไรผิดปกติหรือ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของใบหน้ายักษ์ บุรุษแซ่กุยและเซียนเซียน พลันตกตะลึง แน่นอนว่าย่อมรีบกวาดจิตสัมผัสไปตามความรู้สึก อยากค้นหาความผิดปกติในร่างกายของตน
ผลคือแทบจะในเวลาเดียวกันบุรุษแซ่กุยและร่างแยกทั้งสองเปล่งเสียงร้องอันน่าเวทนาออกมา เส้นไหมสีดำราวกับเส้นผมพุ่งออกมาจากผิวหนังจำนวนนับไม่ถ้วน ทอตัวหนาแน่น ชั่วครู่ก็ฉีกร่างแยกทั้งสองออกเป็นชิ้นๆ
ชั่วขณะนั้นสัตว์ประหลาดยักษ์ที่ดูเหมือนหอยเม่นสีดำสองตัวปรากฏขึ้นกลางอากาศ
จิตวิญญาณของร่างแยกทั้งสองกลายเป็นเพลิงสีเขียวสองกลุ่มถูกเส้นไหมสีดำพุ่งทะลวงผ่าน ไม่ทันได้หลบหลีกเลยสักนิด จากนั้นท่ามกลางลำแสงสีดำที่สว่างวาบ เสี้ยวจิตวิญญาณสองกลุ่มก็ถูกดูดเข้าไปจนเกลี้ยง
บุรุษแซ่กุยที่เดิมทีแปลงเป็นมังกรวารีสีเงิน แม้ว่าจะไม่ได้ถูกระเบิดร่างจนตาย แต่บนเกล็ดสีเงินแวววาวก็มีเส้นไหมสีดำปรากฏเป็นสายๆ หลังจากเปล่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมา ก็ร่อนลงมาจากบนท้องฟ้า ล้มลงพื้นดังตึง
ส่วนเงาลวงตากิเลนสีเขียวก็ถูกเส้นไหมสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนทะลวงผ่านร่างเช่นกัน ร่างกายหดเล็กลงสองสามจั้ง หลังจากกะพริบวาบเป็นครั้งสุดท้าย ก็กลับคืนร่างของสตรีนามว่าเซียนเซียน ดังเดิม
แต่นางในยามนี้ผิวถูกลำแสงสีเขียวเจิดจ้าห่อหุ้มเอาไว้ ด้านในมีเส้นไหมสีดำจำนวนมากกะพริบยืดหดไปมา คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทีไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน
แม้ว่าสตรีเผ่าผลึกจะไม่ได้ถูกปักลงมากลางอากาศ แต่ร่างกายอรชรอ้อนแอ้นก็สั่นเทาไม่หยุดลงมา ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ไม่อาจกระดิกกระเดี้ยตัวได้เช่นกัน
หานลี่มองเห็นเหตุการณ์นั้นพลันตกตะลึง!
“เป็นไปไม่ได้ เจ้าลงมือกับร่างของพวกเราตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” เซียนเซียนฝืนระงับความเปลี่ยนแปลงในร่างกายไว้ แล้วร้องแหวด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว
“ตอนไหนหรือ แน่นอนว่าเป็นตอนที่พวกเจ้าอยู่ในร่างของข้า พวกเจ้าคิดว่าข้าสังหารผู้ที่มาเอาต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้ก่อนหน้าอย่างไร ขอแค่เข้ามาในร่างของข้า ในตัวของพวกเจ้าก็จะถูกอาคม มันไม่ใช่เรื่องง่ายดายหรือ แม้ว่าพวกเจ้าจะไม่ตาย ตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างกับหุ่นไม้เท่าใดนัก ยามนี้ขอแค่จัดการเจ้าผู้ที่ก่อความวุ่นวายได้ ข้าก็พึงพอใจแล้ว”
เมื่อเอ่ยจบใบหน้ายักษ์เผยสีหน้าโหดเ**้ยมออกมา ฉับพลันนั้นเสียงฟ้าผ่าก็ดังขึ้นที่ผิวหนัง ประจุไฟฟ้าสีดำเป็นสายๆ กลายเป็นกระบี่สีดำจำนวนนับไม่ถ้วน สับลงมาที่หานลี่อย่างดุดัน
ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ กระบี่สีดำนับร้อยเล่มก็แตกกระจายออก จากนั้นก็หมุนวนราวกับรถวายุ ประจุไฟฟ้าสีดำพุ่งออกมาจากบนนั้นเป็นสายๆ จากนั้นก็เชื่อมต่อกันท่ามกลางเสียงอึกทึก
ชั่วพริบตาตาข่ายยักษ์สีดำขนาดสองสามหมู่ก็ปรากฏขึ้นรอบกายของหานลี่ ปกคลุมหานลี่เอาไว้ทั้งสี่ทิศแปดด้านอย่างแน่นหนา
“เขตอาคมกระบี่”
หานลี่หางตากระตุกพลางเอ่ยกับตนเอง เผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา
เสียงร่ายคาถาประหลาดๆ ดังออกมาจากปากของใบหน้ายักษ์ ชั่วขณะนั้นเสียงฟ้าผ่าพลันดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีดำเปล่งแสงสว่างวาบอย่างบ้าคลั่ง ตาข่ายยักษ์ทั้งผืนเริ่มค่อยๆ เข้าใกล้ศูนย์กลางโดยมีกระบี่อัสนีสีดำสองสามร้อยเล่มกระตุ้น
ใบหน้าของหานลี่ฉายแววแปลกประหลาด มือหนึ่งตะปบไปกลางอากาศอีกด้าน
กระบี่ยักษ์สีเขียวที่อยู่อีกด้านพลันพลิ้วไหว ชั่วขณะนั้นพลันสลายหายไป ครู่ต่อมาตรงหน้าของหานลี่ก็มีระลอกคลื่นสั่นเทา กระบี่ยักษ์สีเขียวปรากฏขึ้น
มือหนึ่งชี้ไปที่กระบี่ยักษ์เบาๆ
ชั่วขณะนั้นเสียงไพเราะของมังกรพลันดังขึ้น กระบี่ยักษ์กลายเป็นกระบี่ลำแสงสีเขียวเจ็ดสิบสองเล่มวนโคจรล้อมรอบหานลี่
หานลี่พลันร่ายคาถาในใจ
กระบี่บินทั้งหมดสั่นเทาแล้วพลันแบ่งจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่
ชั่วพริบตากระบี่ลำแสงที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วทั้งสองสามร้อยเล่มพลันปรากฏออกมา ท่ามกลางลำแสงสีเขียวเจิดจ้า กลายเป็นดอกบัวยักษ์สีเขียวแล้วล้อมรอบหานลี่เอาไว้
กลีบดอกบัวหมุนติ้วๆ ชั่วขณะนั้นกระบี่ลำแสงสีเขียวก็พุ่งออกมาราวกับพายุฝนกระหน่ำ
เสียงอึกทึกดังขึ้น ตาข่ายไฟฟ้าสีดำฉีกขาดราวกับกระดาษขณะที่ลำแสงสีเขียวสับลงมา
แต่ใบหน้าของเขากลับไม่เผยรอยยิ้มออกมาเลยสักนิด! เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีดำที่ฉีกขาดรวมตัวกันราวกับมีจิตวิญญาณ ผนึกรวมตัวกันกลายเป็นตาข่ายสีดำที่เหมือนเดิมทุกระเบียบนิ้วอีกครั้งท่ามกลางลำแสงสีดำ ยังคงพุ่งเข้ามาหาหานลี่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี
และแทบจะในเวลาเดียวกัน ใบหน้าประหลาดพลันเปล่งเสียงหัวเราะออกมา ร่างกายอันใหญ่โตบิดเบี้ยว คาดไม่ถึงว่าจะมีแขนขาทั้งสี่หนาๆ งอกออก ร่างกายก็สูงใหญ่ขึ้นท่ามกลางลำแสงสีดำ คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นกิเลนสีดำมีลำแสงรอบกายตัวหนึ่ง
กิเลนตัวนี้สูงประมาณสองสามร้อยจั้ง มองไกลๆ ดูราวกับภูเขาสีดำลูกหนึ่ง ท่าทางใหญ่กว่าก่อนหน้าสองสามส่วน
ใบหน้าประหลาดยักษ์คลุมตรงส่วนหน้าผากของกิเลนเข้าพอดี ใบหน้าบิดเบี้ยวสะดุดตานัก ทำให้อสูรตัวนี้เผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมาสองสามส่วน
เมื่อแปลงร่างเสร็จ ขาหน้าของกิเลนสีดำก็ชูขึ้น เหยียบย่ำอากาศมาทางหานลี่
ชั่วขณะนั้นเหนือศีรษะของหานลี่ไปสิบจั้งเศษพลันมีระลอกคลื่นบิดเบี้ยวปรากฏขึ้น ลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบ เท้ายักษ์สีดำราวกับน้ำหมึก ปรากฏขึ้นราวกับเสาค้ำฟ้า
ไม่รอให้เหยียบลงมาจริงๆ พลังไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งพลันปรากฏขึ้น และห่อหุ้มลงมา
หานลี่ที่อยู่ท่ามกลางกระบี่ลำแสงสีเขียวรู้สึกเพียงว่ารอบด้านตึงเครียด ราวกับว่าห่วงเหล็กขนาดยักษ์ตกลงมาบนร่าง ต้องการรัดเขาให้อยู่ที่เดิม แล้วสงบนิ่งยืนรอความตาย
เท้าสีดำยักษ์ตกลงมา
และในยามนั้นตาข่ายยักษ์สีดำก็เปล่งแสงสว่างวาบขึ้นใกล้ๆ ประจุไฟฟ้าเปล่งเสียง “ครืน” ออกมา ราวกับเข้าประชิดแค่คืบ
ในช่วงวิกฤตนี้ใบหน้าของหานลี่ไม่ได้เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา แต่สูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง บนร่างพลันมีลำแสงสีทองเจิดจ้า เกล็ดสีดำปรากฏขึ้นบนผิว แขนสีทองเรืองรองคู่หนึ่งแยกออกทั้งซ้ายและขวา
เสียง “ตึง” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง! ผูกมัดรอบด้าน คาดไม่ถึงว่าจะถูกหานลี่ใช้พลังมหาศาลทำลายไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น