ข้ามกาลบันดาลรัก 163.1-164.1

ตอนที่ 163-1 ร้องเท็จ

 

วันรุ่งขึ้นเหวินเปียวและเหวินหู่สองพี่น้องไปส่งเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉเสร็จก็บังคับรถม้ามุ่งหน้าไปหมู่บ้านซุน นำเงินค่าแรงไปส่งให้บ้านจางมู่ หลิวเฉิงและจูอู่ตามลำดับ


 


 


นับตั้งแต่ที่เมิ่งเชี่ยนโยวรับปากครอบครัวเหล่านี้ ไม่เพียงจะให้พวกเขาได้กลับบ้านเดือนละหนึ่งครั้ง และจะนำเงินค่าแรงมาให้ตรงตามเวลา ครอบครัวเหล่านี้ต่างซาบซึ้งใจ ความคับข้องใจต่างๆ ไม่เหลืออีก เห็นทั้งสองคนนำเงินค่าแรงมาให้จริงๆ ก็ตื้นตันใจ แม้แต่ภรรยาของจูอู่ยังโค้งคำนับให้คนทั้งสองด้วยความซาบซึ้งใจ


 


 


เหวินเปียวเหวินหู่ต่างทอดถอนใจ เจ้านายตนเองช่างรู้จักใช้วิธีซื้อใจคน


 


 


สุดท้ายทั้งสองคนสอบถามทางไปบ้านหลี่ตุน


 


 


สิ่งที่เรียกว่าบ้านนี้ก็คือกระต๊อบมุงจากขนาดสองห้องซอมซ่อหลังหนึ่ง มีกำแพงบ้านที่ทำขึ้นจากรั้วไม่ไผ่ เหวินเปียวและเหวินหู่เติบโตในเมืองหลวง แม้จะเคยขึ้นเหลือล่องใต้ไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แต่ก็ไม่เคยเห็นบ้านใครแร้นแค้นเช่นนี้


 


 


เหวินหู่ยืนเปล่งเสียงตะโกนอยู่นอกรั้ว “ในบ้านมีคนหรือไม่?”


 


 


หญิงมีอายุคนหนึ่งเดินตัวสั่นออกมาจากในบ้าน เห็นทั้งสองคนยืนจูงรถม้าหน้าประตูบ้านตัวเองก็ให้ประหลาดใจ ถามขึ้น “พวกเจ้ามาหาใคร?”


 


 


เหวินหู่ถามอย่างมีมารยาท “ที่นี่คือบ้านหลี่ตุนใช่หรือไม่?”


 


 


หญิงชราชักสีหน้าเข้ม “พวกเจ้ามาผิดบ้านแล้ว”


 


 


เหวินหู่ฉงน “พวกเราสอบถามมาตลอดทาง สมควรเป็นบ้านนี้ไม่ผิดแน่”


 


 


หญิงชราพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ข้าบอกว่าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ พวกเจ้าไปได้แล้ว” พูดจบ หันหลังกลับเข้าบ้าน


 


 


หลี่ตุนที่พอกินอาหารเช้าเสร็จก็ออกไปหาเพื่อนเกเร ในใจคิดถึงแต่เรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวจะให้คนเอาเงินค่าแรงมาให้ เที่ยวเล่นไม่เท่าไหร่ก็กลับมา เจอเหวินเปียวและเหวินหู่ยืนหน้าประตูบ้านของตัวเองพอดี ลนลานเข้าไปโค้งเอวก้มหัวทักทาย “พวกท่านทั้งสองมาแล้ว”


 


 


ทั้งสองเห็นหลี่ตุนกลับมาแล้ว ก็รู้ทันทีว่านี่คือบ้านหลี่ตุน เกิดความกังขาเหตุใดหญิงชราถึงไม่ยอมรับ


 


 


เหวินหู่พูดขึ้น “แม่นางให้พวกเรานำเงินค่าแรงมาให้ รีบเรียนคนในบ้านเจ้าออกมา”


 


 


หลี่ตุนร้องตะโกนเข้าไปในบ้าน “ท่านแม่ ออกมาหน่อย นายหญิงให้คนนำเงินค่าแรงมาให้”


 


 


ในบ้านไม่มีความเคลื่อนไหว


 


 


หลี่ตุนตะโกนร้องอีกครั้ง


 


 


เสียงโรยราของหญิงชราถึงดังลอยออกมาจากในบ้าน “ข้าตัดความสัมพันธ์แม่ลูกกับเจ้าไปนานแล้ว นายหญิงพวกเจ้านำเงินค่าแรงมาให้ก็ไม่เกี่ยวกับข้า”


 


 


ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ทั้งสองหันไปมองหลี่ตุนเป็นตาเดียว


 


 


หลี่ตุนร้อนรนกระทืบเท้า “ท่านแม่ นายหญิงเอาเงินค่าแรงหนึ่งพันกว่าอีแปะมาให้เทียวนะ”


 


 


ในบ้านเงียบสงัด หญิงชรายังคงไม่ออกมา


 


 


หลี่ตุนพูดกับคนทั้งสอง “พอดีข้ากับแม่มีความคิดเห็นไม่ลงรอยกัน พวกท่านให้เงินค่าแรงข้าแทนได้หรือไม่?”


 


 


เหวินหู่ส่ายหน้า “แม่นางให้นำเงินค่าแรงมอบให้ถึงมือคนในครอบครัว หากแม่เจ้าไม่ยอมออกมารับ พวกเราก็จะนำกลับไป”


 


 


หลี่ตุนโบกมือเป็นพัลวัน “อย่าๆๆ ข้าจะเข้าไปเรียกแม่ออกมาเดี๋ยวนี้” พูดจบ ก้าวเท้าฉับๆ เดินเข้าไปในบ้าน


 


 


ในบ้านมีเสียงวิงวอนของหลี่ตุนดังแว่วมา


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่สบตากัน แปลกใจเหตุใดแม่ของหลี่ตุนถึงมีท่าทีเช่นนี้


 


 


ครู่ใหญ่ หลี่ตุนถึงประคองหญิงชราเดินออกมา ยืนในลานบ้านโดยไม่ปริปาก


 


 


หลี่ตุนผงกศีรษะโค้งคำนับเดินมาตรงหน้าคนทั้งสอง พูดประจบเอาใจ “แม่ข้าออกมาแล้ว พวกท่านมอบเงินค่าแรงให้ข้าได้แล้วใช่ไหม”


 


 


เหวินหู่ไม่สนใจเขา เดินไปตรงหน้าแม่หลี่ตุน ชูถุงเงินในมือพูดว่า “นี่เป็นเงินค่าแรงเดือนนี้ของหลี่ตุน ทั้งหมดหนึ่งพันสามร้อยสิบอีแปะ ท่านนับก่อน”


 


 


แม่หลี่ตุนไม่ขยับ


 


 


เหวินหู่พูดต่อ “หากท่านไม่ยินดีรับเงินนี้ พวกเราจะนำกลับไปคืนให้แม่นาง”


 


 


หลี่ตุนเดินขึ้นหน้า รีบร้อนพูด “ท่านแม่ เมื่อครู่พวกเราตกลงกันในบ้านแล้วไม่ใช่หรือ? ท่านรีบรับเงินมาเถอะ”


 


 


แม่หลี่ตุนมองพวกเขาแวบหนึ่ง ยื่นมือออกไปรับเงินมาอย่างเชื่องช้า แล้วยื่นเงินนั่นใส่มือหลี่ตุน


 


 


หลี่ตุนดีใจ กำถุงเงินไว้แน่นไม่ยอมปล่อย


 


 


เหวินหู่พูดว่า “แม่นางของพวกเราพูดไว้ เงินค่าแรงนี้จักต้องให้คนในบ้านดูแล หากพวกเจ้ากล้าใช้เงินโดยตามอำเภอใจ กลับไปแม่นางของพวกเราจะลงโทษ”


 


 


หลี่ตุนตกใจวางถุงเงินคืนกลับใส่มือแม่ตัวเอง “ท่านแม่ ท่านถือเถอะ”


 


 


แม่หลี่ตุนถึงมองประเมินเหวินหู่อย่างลุ่มลึก


 


 


เหวินหู่พูดอย่างมีนัยแฝง “ทุกเดือนพวกเราจะนำเงินค่าแรงมาส่งให้ หากมีเรื่องอันใดขอให้ท่านบอกพวกเราทันที”


 


 


แม่หลี่ตุนกำถุงเงินในมือแน่น


 


 


หลี่ตุนพูดประจบประแจง “พวกท่านวางใจ ไม่มีคำอนุญาตจากแม่ข้า ข้าไม่มีทางแตะต้องเงินตามอำเภอใจ”


 


 


เหวินหู่พยักหน้า “ทางที่ดีขอให้เป็นเช่นนั้น วิธีจัดการของแม่นางเจ้าก็รู้ดี หากให้นางรู้ว่าเจ้ากระทำเรื่องไม่ถูกต้อง เจ้าจงคิดถึงผลลัพธ์เองเถอะ”


 


 


พอคิดถึงวิธีจัดการคนของเมิ่งเชี่ยนโยว หลี่ตุนอดตัวสั่นเทิ้มไม่ได้ พูดรับประกันอีกครั้ง “ข้ารู้แล้ว ข้าจะไม่แตะต้องเงินนี้เด็ดขาด”


 


 


เหวินหู่มองเขาแวบหนึ่ง บอกลาแม่หลี่ตุนอย่างมีมารยาท แล้วหันหลังเดินออกไปจากบ้านหลี่ตุน บังคับรถม้าจากไปพร้อมเหวินเปียว


 


 


เห็นพวกเขาไปไกลแล้ว หลี่ตุนถึงถอนใจโล่งอก ยืดตัวตรง ยิ้มหน้าบานพูดว่า “ท่านแม่ ท่านว่าเงินพวกนี้?”


 


 


แม่หลี่ตุนวางถุงเงินในมือใส่มือเขาอีกครั้ง แล้วหันหลังกลับเข้าบ้านทันที


 


 


หลี่ตุนดีใจชั่งน้ำหนักถุงเงินในมือเดินพ้นประตูออกมา คิดจะไปสำเริงสำราญกับเพื่อนเกเรพวกนั้น ระหว่างทางผ่านบ้านจูอู่ เห็นครอบครัวจูอู่กำลังพูดคุยหยอกล้อกันในลานบ้าน หยุดชะงักฝีเท้า


 


 


จูอู่ก็เห็นเขาแล้ว เห็นเขาถือถุงเงินในมือ ขมวดคิ้วถาม “หลี่ตุน จะไปหาเพื่อนเกเรพวกนั้นอีกแล้วเรอะ”


 


 


หลี่ตุนพยักหน้า ยิ้มหน้าบานพูดว่า “ใช่สิ เดือนนี้นายหญิงให้เงินค่าแรงตั้งเยอะ พวกเราจะได้ดื่มกินอย่างอิ่มหนำสำราญสักมื้อ”


 


 


จูอู่ไม่เห็นด้วย “แม่เจ้าไม่เคยได้กินอิ่มสักวัน ทำไมเจ้าไม่เก็บเงินนี้ไว้ให้แม่เจ้าซื้อเสบียงอาหาร กลับจะเอาไปกินเหล้า?”


 


 


หลี่ตุนสีหน้าหมองมัว พลันยิ้มพูดว่า “แม่ข้าตัดความสัมพันธ์กับข้าไปแล้ว ต่อให้ข้าให้เงินนาง นางก็ไม่เอาดอก”


 


 


จูอู่พูดหว่านล้อม “นั่นเพราะในอดีตเจ้าทำเรื่องผิดไว้มาก ด้วยความโมโหแม่เจ้าถึงตัดสัมพันธ์กับเจ้า ตอนนี้เจ้าเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว ทั้งแต่ละเดือนยังมีเงินค่าแรงให้ เจ้าไปขอร้องนาง แม่เจ้าจะต้องยอมอภัยให้เจ้า”


 


 


หลี่ตุนลังเล


 


 


จูอู่พูดหว่านล้อมต่อ “อีกอย่าง แม่นางจะให้คนนำเงินค่าแรงมาส่งให้ทุกเดือน หากให้วันไหนนางรู้ว่าเจ้าไม่ได้มอบเงินให้แม่เจ้า แต่กลับเอาไปกินดื่มกับเพื่อนเกเรจนหมด คาดว่านางจะต้องถลกหนังเจ้าออกหมดตัว”


 


 


คิดถึงภาพเหตุการณ์นั้น หลี่ตุนก็สั่นเป็นเจ้าเข้า ลนลานพูด “ข้าจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้” พูดจบ ถือถุงเงินหมุนตัวเดินงุดๆ กลับไป


 


 


เหวินเปียวเหวินหู่นำเงินค่าแรงมาส่งให้เสร็จ เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เมิ่งเชี่ยนโยวฟังอย่างละเอียด ตอนที่ได้ฟังเรื่องของบ้านหลี่ตุน เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย พูดว่า “ข้ารู้แล้ว ลำบากพวกเจ้าสองคนแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ”


 


 


ทั้งสอนขานรับอย่างสุภาพ นำรถม้าไปเก็บแล้วกลับเข้าที่พักของตัวเอง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขบคิด เดินมาสถานที่ปลูกเรือน


 


 


ช่างฝีมือที่โหย่วเหรินหามาล้วนทำงานดี คล่องแคล่วว่องไว ช่วงเวลาแค่ยี่สิบกว่าวัน บ้านก็สร้างเสร็จไปกว่าครึ่งแล้ว


 


 


โหย่วเหรินที่กำลังเดินสำรวจตรวจตราคนงานโดยรอบ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา ส่งเสียงร้องทักทาย “แม่นางเมิ่ง ท่านคิดว่าพวกเราก่อสร้างเป็นอย่างไรบ้าง?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชื่นชม “ดีกว่าที่ข้าคิดไว้มาก ลำบากท่านแล้วจริงๆ”


 


 


โหย่วเหรินโบกมือ “เป็นหนึ่งในหน้าที่ข้า แม่นางอย่าได้เกรงใจ อีกอย่าง ข้าก็มีเป้าหมายของข้า ข้ายังคิดว่ารอให้ปลูกคฤหาสน์หลังใหญ่นี้เสร็จจะได้สร้างชื่อให้ตัวเองด้วย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสนับสนุน “แน่นอนอยู่แล้ว”


 


 


โหย่วเหรินหัวเราะร่วน “เช่นนั้นก็ถือเป็นคำอวยพรจากแม่นาง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ส่งยิ้มให้แล้วถาม “ท่านเห็นลุงใหญ่ข้าหรือไม่?”


 


 


โหย่วเหรินตอบ “เมื่อครู่เห็นเขาอยู่ทางนั้น ข้าจะไปช่วยเรียกมาให้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้องแล้ว ข้าไปหาเอง ท่านทำงานเถอะ”


 


 


จากทิศทางที่โหย่วเหรินชี้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็เจอเมิ่งต้าจินกำลังทำงานขะมักเขม่น “ลุงใหญ่ ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่าน”


 


 


เมิ่งต้าจินหยุดงานในมือ ถามขึ้น “เรื่องอะไร?”


 


 


“ข้าอยากซื้อที่ดินร้างปลูกมันฝรั่ง ท่านคิดดูว่าจะว่างไปทำรังวัดที่ได้เมื่อใด”


 


 


เมิ่งต้าจินเคยได้ยินจากปากเมิ่งเอ้ออิ๋นว่ามันฝรั่งขายได้ราคาถึงจินละหนึ่งตำลึง ได้ยินเช่นนี้ก็พูดทันควัน “เราไปกันตอนนี้เลย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองท้องฟ้า พูดห้ามเขา “ใกล้จะเที่ยงแล้ว รอให้กินข้าวเสร็จพวกเราค่อยไปเถอะ”


 


 


เมิ่งต้าจินพยักหน้า “ก็ดี กินข้าวเที่ยงเสร็จข้าจะไปรอที่ที่ดินร้าง พวกเจ้ารีบตามมาก็พอ”


 


 


ได้รับเวลาแน่นอนแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวกลับบ้านให้เมิ่งชื่อเตรียมทำอาหารเที่ยงเร็วขึ้น บอกว่าตอนบ่ายตัวเองจะต้องไปทำรังวัดที่ดินร้าง


 


 


เมิ่งชื่อเห็นอากาศเริ่มอบอุ่นขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไม่เอ่ยถึงเรื่องการปลูกมันฝรั่ง ก็ให้ร้อนใจมาพักใหญ่แล้ว ในที่สุดวันนี้ก็ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวบอกจะไปทำรังวัดที่ดินร้าง ดีใจลุกไปทำอาหารทันที


 


 


กลุ่มหญิงสาวเย็บกระเป๋านักเรียนได้ยินคำพูดเมิ่งเชี่ยนโยวก็หันหน้ามองกันเลิ่กลั่ก หญิงกล้าคนหนึ่งถามขึ้น “นายหญิง ท่านซื้อที่ดินร้างแล้วต้องหาคนมาเก็บกวาดหรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


หญิงสาวอีกคนถามอย่างมีความหวัง “เช่นนั้นคนในครอบครัวพวกเราทำได้หรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ได้”


 


 


หญิงสาวปิติ พูดว่า “เช่นนั้นข้าขอลงชื่อก่อน ถึงตอนนั้นจะให้สามีรีบไปเข้างาน”


 


 


ผู้หญิงคนอื่นก็ทยอยกันบอกว่าคนในครอบครัวตัวเองก็ต้องการลงชื่อ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ไม่ต้องลงชื่อ พอซื้อที่ดินร้างเสร็จ ข้าจะมาบอกพวกท่าน พวกท่านให้คนในครอบครัวไปที่นั้นเลยก็พอ”


 


 


หญิงสาวทั้งหมดกล่าวขอบคุณ


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและลูกๆ สามคนกลับมากินข้าวเที่ยง เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเรื่องที่ตอนบ่ายจะไปซื้อที่ดินร้างกับพวกเขา ทั้งให้เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีไปกับตนเองด้วยหลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ


 


 


เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีพยักหน้า เมิ่งเอ้ออิ๋นรู้สึกละอายใจ “โยวเอ๋อร์ ตอนนี้พ่อคิดแต่จะปลูกเรือนของท่านปู่ท่านย่าให้เสร็จโดยไว เรื่องที่ดินจึงยังไม่ขอข้องเกี่ยว หลังจากปลูกเรือนเสร็จ พ่อค่อยมาช่วยเจ้าปลูกมันฝรั่งอย่างเต็มกำลัง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เรื่องที่ดินก็ไม่ได้มีงานอะไรมาก ท่านพ่อไม่ต้องสนใจแล้ว ท่านคอยดูแลการปลูกเรือนให้ท่านปู่ท่านย่าให้ดีก็พอ”


 


 


พอกินอาหารเที่ยงเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ให้เมิ่งฉีไปเรียกเหวินเปียวและเหวินหู่ ตัวเองกับเมิ่งเสียนมายังที่ดินร้างหัวหมู่บ้านฝั่งตะวันตก


 


 


เมิ่งต้าจินยืนรออยู่บนที่ดินร้างแล้ว เห็นพวกเขาเข้ามา หยิบอุปกรณ์ทำรังวัดออกมา ถามขึ้น “โยวเอ๋อร์ เจ้าคิดจะซื้อเท่าใด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองดู พูดว่า “ซื้อทั้งหมดนี้ก็แล้วกัน”


 


 


เมิ่งต้าจินสะดุ้งตกใจ “ทั้งหมดนี้มีหนึ่งร้อยกว่ามู่ได้ เจ้าคิดจะซื้อทั้งหมด?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


เมิ่งเสียนก็ถามบ้าง “พวกเราซื้อเยอะเกินไปหรือไม่ ที่บ้านไม่ได้มีมันฝรั่งมากขนาดนั้น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบพวกเขา “หนึ่งปีปลูกมันฝรั่งได้สองฤดู ฤดูใบไม้ผลินี้เมล็ดพันธุ์เรามีไม่มาก รอให้ถึงฤดูใบไม้ร่วง พื้นที่รกร้างนี้เกรงว่าจะยังไม่พอใช้”


 


 


เมิ่งต้าจินและเมิ่งเสียนไม่เคยได้ยินว่ามีพืชพันธุ์ใดหนึ่งปีสามารถปลูกได้สองฤดู ต่างก็ประหลาดใจ


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่ตามเมิ่งฉีเข้ามา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวให้เมิ่งต้าจินมอบเครื่องมือทำรังวัดให้พวกเขา เขาแค่รับผิดชอบลงบันทึกก็พอ


 


 


เมิ่งต้าจินหยิบสมุดบันทึก บอกเหวินเปียวเหวินหู่ต้องทำอย่างไรถึงจะวัดได้แม่นยำ


 


 


เหวินเปียวเหวินหู่เรียนรู้ได้เร็ว ทำตามวิธีที่เมิ่งต้าจินสอนทำรังวัดได้อย่างรวดเร็ว


 


 


เมิ่งต้าจินอยู่อีกด้านคอยจดบันทึกอย่างว่องไว 

 

 


ตอนที่ 163-2 ร้องเท็จ

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและพี่ๆ เดินไปบนที่ดินรกร้างค่อนข้างไกลถึงเดินมาถึงสุดปลายที่ดิน เมิ่งเสียนประหลาดใจ พูดว่า “ปกติจะเดินผ่านไปผ่านมาประจำ ก็ไม่เคยรู้สึกว่าที่ดินร้างกว้างยาวแค่ไหน ทำไมวันนี้ต้องใช้เวลานานถึงเดินผ่านมาได้หมด”


 


 


เมิ่งฉีก็พยักหน้าสมทบ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “นั่นเพราะสภาพจิตใจต่างกัน เมื่อก่อนเพื่อให้ทำงานได้มากขึ้น ทุกครั้งจะรีบเดินผ่านไป ไหนเลยจะมีอารมณ์มองดูที่ดินร้างนี้ วันนี้ไม่เหมือนกัน พวกเรามาเพื่อซื้อที่ดินร้างนี้ อารมณ์เบาสบายขึ้น ย่อมต้องรู้สึกว่าที่ดินร้างนี้กว้างใหญ่ขึ้น”


 


 


คนทั้งสองถึงเข้าใจแจ่มแจ้ง


 


 


แม้เหวินเปียวและเหวินหู่จะทำงานไว แต่ที่ดินร้างผืนนี้ก็กว้างพอให้วัดตลอดทั้งบ่ายถึงจะวัดเสร็จ


 


 


เมิ่งต้าจินปิดสมุดบันทึก พูดว่า “พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปขึ้นทะเบียนกับทางการ พอทำโฉนดเสร็จ ก็หาคนมาทำความสะอาดได้ทันที”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “พรุ่งนี้ให้พี่ใหญ่ไปกับท่านด้วย ที่ดินร้างผืนนี้ให้เขียนเป็นชื่อของพี่ใหญ่”


 


 


เมิ่งเสียนสะดุ้งตกใจ ลนลานโบกมือ “น้องสาว ได้อย่างไรกัน เจ้าเป็นคนซื้อที่ดินร้าง ควรเขียนเป็นชื่อเจ้าถึงจะถูก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “พี่ใหญ่ผิดแล้ว ที่ดินร้างนี้ครอบครัวเราเป็นคนซื้อ ย่อมต้องเขียนเป็นชื่อท่าน ข้าไม่เอาดอก”


 


 


ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ แม้เมิ่งต้าจินจะยอมศิโรราบให้เมิ่งเชี่ยนโยวหมดหัวใจแล้ว แต่ในใจลึกๆ ก็ยังคิดว่าเด็กผู้หญิงอย่างไรสักวันก็ต้องเป็นของคนอื่น ที่ดินร้างกว้างใหญ่เช่นนี้ย่อมไม่ยินดีให้เขียนเป็นชื่อนาง เห็นเมิ่งเสียนยังไม่ยอมรับ จึงเอ่ยปากพูดหว่านล้อม “เมิ่งเชี่ยนโยวพูดถูกต้อง เจ้าเป็นบุตรชายคนโตของครอบครัว ที่ดินผืนนี้สมควรเขียนเป็นชื่อเจ้า สำหรับโยวเอ๋อร์ สักวันก็ต้องแต่งงานออกไป ถึงตอนนั้นต้องมาเปลี่ยนชื่อไปมามีแต่ความยุ่งยาก”


 


 


สิ้นเสียง เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะมองเขาแวบหนึ่ง


 


 


“แต่ว่า” เมิ่งเสียนยังคิดจะปฏิเสธ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดตัดบทเขา “เรื่องนี้ว่าตามนี้เถอะ พี่ใหญ่ไม่ต้องพูดอีก กลับบ้านไปเตรียมเงินดีกว่า พรุ่งนี้เช้าจะได้ไปทางการรับโฉนดกลับมาพร้อมลุงใหญ่ ข้าจะได้หาคนมาแผ้วถางที่ดิน”


 


 


เมิ่งเสียนจนใจ กลืนคำพูดลงไป


 


 


กลับถึงบ้าน เมิ่งเสียนรีบบอกเรื่องนี้กับสองสามีภรรยาเมิ่ง


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อต่างไม่มีความเห็นต่าง ที่ดินเป็นของครอบครัวตัวเอง ลูกทั้งสามคนจะเขียนชื่อใครก็ได้


 


 


เมิ่งเสียนไม่ยินยอม ยืนหยัดจะให้เขียนเป็นชื่อเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งชื่อบอกเขา “โยวเอ๋อร์บอกให้เขียนเป็นชื่อเจ้า ก็เขียนเถอะ หากเจ้ารู้สึกทำใจไม่ได้ เอาไว้พอนางแต่งงานค่อยมอบให้นางก็ได้แล้ว”


 


 


เมิ่งเสียนเข้าใจทันที จริงด้วย ตอนน้องสาวแต่งงานข้าค่อยให้นางก็ได้ อย่างไรนางก็ไม่แต่งไปไหนไกล อย่างมากก็ออกไปปลูกเรือนข้างนอกอีกหลังเท่านั้น พอคิดตกแล้ว เมิ่งเสียนก็ไม่ปฏิเสธอีก รับคำอย่างดีอกดีใจ


 


 


วันรุ่งนี้เมิ่งเสียนและเมิ่งต้าจินนั่งรถม้าที่ส่งเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉเข้าไปเรียนในเมือง พอส่งพวกเขาเข้าโรงเรียนแล้ว เหวินเปียวก็บังคับรถม้ามาศาลาว่าการตำบล


 


 


เมิ่งต้าจินเป็นผู้ใหญ่บ้าน มีสิทธิ์ซื้อขายที่ดินร้างได้ บวกกับที่ดินร้างผืนใหญ่เช่นนี้ ผู้ว่าการตำบลได้ประโยชน์ไปไม่น้อย ย่อมไม่กลั่นแกล้ง บอกให้กุนซือทำโฉนดให้เมิ่งเสียนอย่างหน้าชื่นตาบาน


 


 


เมิ่งต้าจินไม่คิดว่าจะราบรื่นเช่นนี้ กล่าวขอบคุณผู้ว่าการตำบลยกใหญ่


 


 


ผู้ว่าการตำบลโบกมือ พูดว่า “หากที่ดินรกร้างในหมู่บ้านพวกเจ้าไม่พอ หมู่บ้านละแวกใกล้เคียงก็ยังมีอีกไม่น้อย ถ้าต้องการข้าจะไปช่วยพูดกับผู้ใหญ่บ้านพวกนั้นให้เจ้าเอง”


 


 


เมิ่งต้าจินกล่าวขอบคุณอีกครั้ง “ขอบคุณท่านผู้ว่าการ ตอนนี้ยังไม่ต้องการ ภายหน้าหากพวกเขาต้องการซื้อ ข้าจะต้องมาขอให้ท่านช่วย”


 


 


ผู้ว่าการตำบลพยักหน้า ส่งสัญญาณให้กุนชือคืนเงินที่เก็บส่วนต่างออกไปแล้วให้เมิ่งต้าจิน


 


 


เมิ่งต้าจินรีบร้อนพูด “ท่านกับท่านกุนซือวุ่นวายครึ่งค่อนวัน เงินเล็กน้อยนี้เก็บไว้เลี้ยงข้าวพวกท่านก็แล้วกัน”


 


 


ผู้ว่าการตำบลเห็นเขาทำงานเป็น พูดอย่างพึงพอใจ “ต่อไปมีเรื่องอะไรให้มาหาข้าโดยตรง ข้าจะจัดการให้เอง”


 


 


เมิ่งต้าจินรีบกล่าวขอบคุณอีกครั้ง


 


 


ออกมาจากศาลาว่าการตำบล เมิ่งเสียนถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่


 


 


เมิ่งต้าจินหัวเราะเขา “ตอนโยวเอ๋อร์มาสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอาการใดๆ แต่ดูเจ้าเถิด ตกใจจนถึงตอนนี้ขายังสั่นไม่หยุด”


 


 


เมิ่งเสียนหน้าแดง


 


 


ทั้งสองกลับมาถึงบ้าน เมิ่งชื่อนำโฉนดที่ดินมาพลิกดูซ้ำไปมาหลายครั้ง ก็ทำใจวางลงไม่ได้ พูดอย่างตื่นเต้น “แม่เคยฝันอยากให้บ้านเรามีที่ดินมากมายเช่นนี้ ไม่คิดว่าในที่สุดก็เป็นความจริงแล้ว”


 


 


คนทั้งบ้านหัวเราะครื้นเครง


 


 


ครั้งนี้เมิ่งเชี่ยนโยวให้เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีรับผิดชอบการรับสมัครคน ตนเองและเมิ่งชื่อไปบ้านเก่าขนย้ายมันฝรั่งทั้งหมดออกมา วางทิ้งไว้ในจุดที่มีอุณหภูมิเหมาะสม


 


 


เมิ่งชื่อไม่เข้าใจ ถามนางเหตุใดต้องทำเช่นนี้?


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบาย “เมล็ดพันธุ์ของมันฝรั่งก็คือหน่ออ่อนที่งอกออกมาจากมันฝรั่ง พวกเราเอามันฝรั่งวางไว้ตรงนี้ เพื่อให้พวกมันงอกหน่ออ่อนออกมาเยอะๆ เราจะได้เอาไปปลูกได้มากขึ้น”


 


 


เมิ่งชื่อไม่เคยได้ยินว่าหน่ออ่อนที่งอกออกมาเป็นเมล็ดพันธุ์ได้ รู้สึกอัศจรรย์ใจ ทุกวันจะทำตัวเหมือนเด็ก พอว่างไม่มีอะไรทำก็จะเดินมาดูว่ามันฝรั่งจะงอกหน่ออ่อนแบบไหนออกมา


 


 


เพราะมีประสบการณ์มาหลายครั้ง ครั้งนี้เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีรับสมัครคนงานได้ชำนาญมากขึ้น ใช้เวลาไม่นานก็ได้คนมาสมัครทำงานไม่น้อย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทำเหมือนงานแผ้วถางภูเขาร้าง แบ่งการทำความสะอาดที่ดินร้างเป็นสองแบบ เป็นแบบรายวัน และแบบรายแปลง แบบรายวันจะได้วันละสามสิบอีแปะ แบบรายแปลงจะคิดเงินให้ตามขนาดแปลงที่ดิน แต่สามารถทำความสะอาดได้ทั้งครอบครัว


 


 


พอได้ยินว่าสามารถทำความสะอาดได้ทั้งครอบครัว คนในหมู่บ้านต่างเลือกแบบรายแปลงอย่างไม่ลังเล


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกความต้องการในการทำความสะอาดของตัวเองกับทุกคน คนในหมู่บ้านจะต้องทำให้ตรงตามความต้องการของตัวเอง ใครที่ทำไม่ตรงตามหลักเกณฑ์จะไม่จ่ายเงินค่าแรง


 


 


คนในหมู่บ้านล้วนทำงานตลอดทั้งปี ย่อมไม่สนใจขอเรียกร้องเล็กๆ น้อยๆ นี้ ต่างพยักหน้ายอมรับ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับอู๋ต้าและพวกให้ถือเครื่องมือทำรังวัดให้ดี แล้วแบ่งที่ดินเป็นแปลงขนาดๆ ต่างๆ ตามที่ตัวเองต้องการ ให้เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีคอยควบคุมดูแล ทั้งบอกพวกเขาว่าจะต้องตรวจตราอย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้น จะปลูกมันฝรั่งไม่ขึ้น


 


 


ทั้งสองพยักหน้าแข็งขัน ให้คนในหมู่บ้านพกพาอุปกรณ์ทำความสะอาดมา แล้วนำทุกคนมายังที่ดินรกร้าง


 


 


อู๋ต้าและพวกแบ่งเสร็จบางส่วนแล้ว เมิ่งเสียนให้คนที่มาลงสมัครก่อนมีสิทธิ์เลือกก่อน ครอบครัวที่มีสมาชิกมากย่อมเลือกที่แปลงใหญ่ สมาชิกน้อยก็เลือกที่แปลงเล็ก


 


 


คนที่ได้เลือกก่อนเริ่มลงมือทำงานแล้ว ทำเอาคนที่ต้องรอเริ่มกระสับกระส่าย กระทั่งถึงตาครอบครัวตัวเองได้เลือก ทั้งครอบครัวก็ทุ่มเทกำลังลงมือทำความสะอาด


 


 


อู๋ต้าและพวกวัดที่ดินเสร็จ ประมวลดูแล้ว ทั้งห้าคนก็เลือกทำความสะอาดที่แปลงใหญ่ จางมู่และพวกก็เลือกที่ดินแปลงหนึ่งเลียนแบบพวกเขา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตระเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย กลับเข้าห้องค้นคว้ายารักษารอยแผลเป็นต่อ ด้านนอกมีคนร้องเสียงสั่น “แม่นางเมิ่งอยู่หรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมาดู พ่อแม่หลีโก่วเซิ่งกำลังยืนกระสับกระส่ายอยู่ในลานบ้าน แย้มยิ้มถามพวกเขา “พวกท่านมีธุระอันใด?”


 


 


แม่หลีโก่วเซิ่งถามเสียงสั่น “พวกเราก็อยากแผ้วถางที่รกร้าง ได้หรือไม่?”


 


 


หลีโก่วเซิ่งเป็นบุตรชายโทน หลังจากถูกตัดสินให้ไปใช้แรงงาน ในบ้านจึงเหลือเพียงบิดามารดาและสะใภ้รวมถึงเด็กเล็กสองคน ครอบครัวไม่มีรายรับอะไร ต้องใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้น วันนี้เห็นคนในหมู่บ้านเกือบทั้งหมดไปทำความสะอาดที่ดินร้าง ก็มีใจปรารถนา แต่หลีโก่วเซิ่งกระทำเรื่องต่ำช้ากับเมิ่งเชี่ยนโยวไว้มาก ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เห็นแก่ความเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันส่งเขาไปทำงานใช้แรงงาน พ่อแม่หลีโก่วเซิ่งกลัวนางจะไม่รับปาก จึงไม่เคยกล้าเข้ามา กระทั่งเห็นคนในหมู่บ้านต่างไปกันหมด ทั้งสองจึงนั่งไม่ติดแล้ว กัดฟันแบกหน้าเข้ามาถามไถ่


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ย่อมได้อยู่แล้ว ขอเพียงทำความตามความต้องการของข้า ใครจะทำก็ได้”


 


 


พ่อแม่หลีโก่วเซิ่งนึกว่าทั้งสองจะต้องรบเร้าวิงวอน ไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะตอบตกลงอย่างง่ายดายเช่นนี้ มองนางอย่างไม่เชื่อ ถามอย่างระแวดระวัง “เจ้ารับปากพวกเราแล้ว? เจ้าไม่โกรธแค้นที่โก่วเซิ่งเคยกระทำกับเจ้า?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “แม้พวกท่านจะเป็นพ่อแม่หลีโก่วเซิ่ง แต่ความผิดที่เขาก่อไม่เกี่ยวกับพวกท่าน ในสายตาข้า สถานะของพวกท่านไม่แตกต่างกับคนในหมู่บ้าน”


 


 


พ่อแม่หลีโก่วเซิ่งหันหน้ามองกันแวบหนึ่ง กล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบคุณแม่นางเมิ่งๆ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “กลับบ้านไปเอาอุปกรณ์ แล้วรีบไปเถอะ”


 


 


ทั้งสองกล่าวขอบคุณอีกครั้ง กลับบ้านไปเรียกสะใภ้หลีโก่วเซิ่งและเด็กๆ ทั้งสอง ไปแผ้วถางด้วยกัน


 


 


เมิ่งเสียนก็ไม่ได้สนใจอะไร ให้พวกเขาเลือกที่แปลงหนึ่ง แล้วลงมือทำความสะอาด


 


 


เพราะทำงานรายแปลง เหนื่อยมากแต่ก็ได้มาก คนงานต่างทำงานถวายหัว แข็งขันขะมักเขม้น ผ่านไปหนึ่งวัน ที่ดินร้างทำความสะอาดไปได้ค่อนหนึ่งแล้ว


 


 


วันรุ่งขึ้น คนงานที่พักผ่อนมาหนึ่งคืนเติมพลังมาเต็มเปี่ยม ไม่ถึงยามเที่ยง มีบางครอบครัวทำความสะอาดแปลงของตัวเองเสร็จเรียบร้อย พอเมิ่งเสียนตรวจสอบว่าผ่านเกณฑ์ ก็ไปเลือกแปลงอื่นต่อ คนที่เหลือเห็นพวกเขาเริ่มแผ้วถางแปลงที่สองแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความเร็วในมือ


 


 


คนงานบนที่ดินร้างกำลังทำงานแข็งขัน ไกลออกไปมีเจ้าหน้าที่หลายนายวิ่งเข้ามา ร้องตวาดใส่คนงานบนที่ดินร้าง “หยุด หยุดเดี๋ยวนี้!”


 


 


คนในหมู่บ้านไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ต่างวางงานในมือลง มองเจ้าหน้าที่อย่างหวาดกลัว


 


 


เมิ่งเสียนก็ตกใจกลัว แข็งใจเดินขึ้นหน้า ถามเจ้าหน้าที่อย่างระวัง “ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใด พวกท่านถึงให้พวกเราหยุดงาน?”


 


 


หัวหน้าเจ้าหน้าที่กล่าวว่า “มีคนมาร้องเรียนพวกเจ้ากับทางการ บอกว่าตอนที่พวกเจ้าซื้อที่ดินร้างรายงานตัวเลขที่ดินเป็นเท็จ ท่านผู้ว่าการตำบลส่งพวกเราและท่านกุนซือมาตรวจสอบ”


 


 


เมิ่งเสียนตอบกลับ “ไม่มีทาง ที่ดินร้างนี้ข้าตรวจดูตอนทำรังวัดด้วยตัวเอง ไม่ขาดไม่เกินแม้แต่นิดเดียว”


 


 


เจ้าหน้าที่มองเขาแวบหนึ่ง ถามขึ้น “เจ้าเป็นผู้ซื้อที่ดินร้างนี้?”


 


 


เมิ่งเสียนพยักหน้า


 


 


เจ้าหน้าที่พูด “การรายงานตัวเลขที่ดินเป็นเท็จหรือไม่ ประเดี๋ยวกุนซือเข้ามาทำรังวัดก็จะได้รู้ เจ้าให้พวกเขาหยุดงาน ยังไม่ต้องทำความสะอาด อีกอย่าง ไปเรียกผู้ใหญ่บ้านของพวกเจ้ามา”


 


 


เมิ่งเสียนไม่กล้ารอช้า บอกเมิ่งฉีไปตามเมิ่งต้าจินมา ส่วนตนเองหันไปพูดกับคนทั้งหมด “ทุกคนหยุดพักก่อนเถอะ รอให้เรื่องกระจ่างค่อยทำความสะอาดต่อ”


 


 


คนทั้งหมดได้ยินวางอุปกรณ์ในมือ นั่งรอบนพื้นที่ส่วนที่พวกตนทำความสะอาดแล้วเงียบๆ


 


 


เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ กุนซือและเจ้าหน้าที่อีกคนถึงเร่งรีบเข้ามา


 


 


กุนซือเดินมาหน้าที่ดิน เห็นทุกคนหยุดงานแล้ว พยักหน้าพอใจ ถามว่า “ผู้ใหญ่บ้านเข้ามาหรือยัง”


 


 


หัวหน้าเจ้าหน้าที่โค้งคำนับอ่อนน้อมตอบว่า “ให้คนไปตามมาแล้วขอรับ น่าจะใกล้มาถึงแล้ว”


 


 


เมิ่งต้าจินกำลังตรวจตราคนงานก่อสร้าง ได้ฟังคำจากปากเมิ่งฉีก็ตกใจ ไม่เข้าใจว่าใครกันที่อาจหาญ กล้าฟ้องเท็จตนเองต่อทางการ แต่ยังดีที่ตนเองมิได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จึงไม่กลัวเกรงอะไร ให้เมิ่งฉีไปเรียกเมิ่งเชี่ยนโยว ตนเองรีบไปยังที่ดินร้าง เห็นกุนซือและเจ้าหน้าที่กำลังยืนใบหน้าไม่สบอารมณ์ รีบร้อนเข้าไปถามไถ่ “ไม่ทราบว่าท่านกุนซือและเจ้าหน้าที่ทุกท่านมาที่นี่ ด้วยเหตุอันใด?”


 


 


กุนซือแค่นเสียงหึ “ผู้ใหญ่บ้านเมิ่ง เสียแรงที่ท่านผู้ว่าการชื่นชมยกยอท่าน บอกว่าท่านรู้จักทำงาน ไม่คิดว่าท่านจะต่อหน้าอย่างลับหลังอีกอย่าง แอบซุกซ่อนตัวเลขที่ดินร้างไว้ไม่น้อย”


 


 


เมิ่งต้าจินกุลีกุจอตอบอย่างอ่อนน้อม “ท่านกุนซือเอาที่ไหนมาพูด ข้าแอบซุกซ่อนตัวเลขที่ดินร้างเมื่อใดกัน?”


 


 


กุนซือแค่นเสียงหึอีกครั้ง พูดว่า “อย่าคิดว่าข้ากับท่านผู้ว่าการไม่รู้ ที่ดินนี้ซื้อให้หลานชายเจ้า เจ้าจะไม่ฉ้อฉลได้อย่างไร?”


 


 


เมิ่งต้าจินโต้แย้ง “ที่ดินร้างนี้ซื้อให้หลานชายข้าก็จริง แต่ข้าหาได้ฉ้อฉลไม่ สักเฟินเดียวข้าก็ไม่ได้วัดเกินให้เขา”


 


 


กุนซือไม่เชื่อ “ฉ้อฉลหรือไม่เจ้าไม่มีสิทธิ์พูด รอพวกเราวัดเสร็จคอยพูด” พูดจบ โบกมือให้เจ้าหน้าที่ “พวกเจ้าทั้งหมดทำรังวัดเดี๋ยวนี้”


 


 


เจ้าหน้าที่ขานรับคำ เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวดังลอยมา “ช้าก่อน!”


 


 


บรรดาเจ้าหน้าที่ไม่ขยับ


 


 


กุนซือเห็นนางเข้ามา ใบหน้าสะท้อนสีหน้ากังขา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาตรงหน้ากุนซือ แย้มยิ้มถามขึ้น “จะทำรังวัดใหม่ก็ได้ แต่ข้าอยากรู้ว่า ใครที่ร้องเท็จพวกเรา?”


 


 


กุนซือสะท้อนแววตา พูดว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ หากพวกเจ้าไม่ได้รายงานตัวเลขที่ดินเป็นเท็จพวกเราวัดใหม่พวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “จะพูดเช่นนี้ก็ไม่ได้ ลุงใหญ่ข้าเพิ่งจะดำรงตำแหน่งไม่นาน อยู่ในช่วงสร้างบารมีความน่าเชื่อถือต่อลูกบ้าน ตอนนี้มีคนร้องเท็จว่าเขาฉ้อฉล จะต้องแฝงเจตนาร้าย พวกเราจะปล่อยเขาไปง่ายๆ เช่นนี้ไม่ได้”


 


 


ตอนซื้อภูเขาร้างที่หมู่บ้านหลี่ กุนซือเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวใจใหญ่ไม่หยุมหยิม ทั้งรู้จักมักคุ้นกับผู้ว่าการตำบล ยอมเห็นแก่หน้านาง แอบวัดที่ดินบนภูเขาร้างเกินให้นางไปไม่น้อย คิดว่าภายหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวพบเห็นเขาอย่างไรก็ต้องกริ่งเกรงใจบ้าง ไม่คิดว่าวันนี้ต่อหน้าคนจำนวนมากกลับไม่ไว้หน้าเขาเลยสักนิด จิตใจขุ่นมัว พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวดุดัน “ผู้ใหญ่บ้านเมิ่งยังไม่มีข้อโต้แย้ง พวกเราจะทำรังวัดใหม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย รีบถอยออกไป ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขุ่นเคือง ยังคงพูดด้วยรอยยิ้มหวาน “ท่านกุนซือเข้าใจผิดแล้ว ที่ดินร้างนี้เป็นครอบครัวข้าที่ซื้อ ผู้ใหญ่บ้านเมิ่งก็เป็นลุงใหญ่ข้า ทั้งสองเรื่องนี้ล้วนเกี่ยวพันถึงข้า ข้าไม่อยากยุ่งก็คงไม่ได้”


 


 


กุนซือตกตะลึง “เจ้าเป็นคนซื้อ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


กุนซือถามอีก “เช่นนั้นเหตุใดถึงไม่เขียนเป็นชื่อเจ้า?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “พี่ใหญ่เป็นบุตรคนโตของครอบครัว ที่ดินนี้สมควรลงนามเป็นชื่อเขา”


 


 


กุนซือมองเมิ่งเสียนแวบหนึ่ง ถึงพูดอย่างลำบากใจ “แม่นางเมิ่ง ข้าไม่ใช่จะไม่บอกเจ้าว่าใครที่ฟ้องร้องพวกเจ้า แต่ท่านผู้ว่าการมีคำสั่ง ห้ามบอกผู้ที่มาร้องเท็จกับพวกเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “เพราะเหตุใด?”


 


 


กุนซือมองคนโดยรอบ ก้มศีรษะพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวเสียงเบา “ไม่ขอปิดบัง คนที่ฟ้องร้องพวกเจ้าให้เงินผู้ว่าการหนึ่งร้อยตำลึง หลังจากตรวจสอบได้แล้วว่าพวกเจ้ารายงานตัวเลขที่ดินร้างเป็นเท็จ ให้ไล่เมิ่งต้าจินออกจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน เขาจะได้ดำรงตำแหน่งอีกครั้ง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้ว “อีกครั้ง?”


 


 


กุนซือพยักหน้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจแจ่มแจ้ง


 


 


กุนซือเก็บคืนสีหน้า หันไปพูดกับเจ้าหน้าที่ “ยังไม่รีบไป?”


 


 


เจ้าหน้าที่ถืออุปกรณ์ทำรังวัดที่เตรียมมาตรงเข้าวัดที่ดิน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ห้ามปราม

 

 

 


ตอนที่ 163-3 ร้องเท็จ

 

กุนซือขยับลูกคอ แสร้งโก่งคอพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “ผู้ใหญ่บ้านเมิ่ง พอทำรังวัดเสร็จ พบว่าเจ้าไม่ได้ฉ้อฉล ข้าจะกลับไปรายงานผู้ว่าการ ให้เขาปูนบำเหน็จให้เจ้า หากพบว่าเจ้ากระทำการโดยมิชอบ ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านนี้เจ้าไม่ต้องเป็นแล้ว รอเปลี่ยนคนเถอะ” 


 


 


สิ้นเสียงเขา คนในหมู่บ้านที่นั่งรอในที่ดินต่างส่งเสียงกระซิบกระซาบ 


 


 


เมิ่งต้าจินไม่ปริปากส่งเสียง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับตะเบ็งเสียงตอบ “ไม่ต้องให้ท่านกุนซือพูด หากลุงใหญ่ข้าฉ้อฉล ข้าจะเป็นคนแรกที่ลากเขาลงจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน หากเขาไม่ได้กระทำการฉ้อฉล แต่มีคนฟ้องร้องเท็จ ข้าก็จะไม่ปล่อยคนผู้นั้นไป” 


 


 


ชาวบ้านได้ยินน้ำเสียงเด็ดขาดของนาง รู้ว่าเมิ่งต้าจินจะต้องไม่ได้กระทำการฉ้อฉล รู้ว่าประเดี๋ยวพอเจ้าหน้าที่ทำรังวัดเสร็จ ตัวเองจะได้ทำงานต่อ จิตใจที่หวาดหวั่นจึงสงบลง นั่งรอคอยบนที่ดินเงียบๆ 


 


 


บรรดาเจ้าหน้าที่ทำงานไว ใช้เวลาไม่นานก็ทำรังวัดเสร็จ เดินมาข้างกุนซือ พูดอย่างอ่อนน้อม “ท่านกุนซือ ได้หนึ่งร้อยสิบเจ็บมู่พอดีขอรับ” 


 


 


ได้ฟังคำจากเจ้าหน้าที่ เหล่าคนที่มาทำงานต่างก็วางใจลงได้อย่างสิ้นเชิง 


 


 


กุนซือไม่คิดว่าเมิ่งต้าจินจะไม่กระทำการฉ้อฉลเลยแม้แต่น้อยจริงๆ นิ่งอึ้งครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ดี พวกเรารีบกลับไปรายงานท่านผู้ว่าการ” 


 


 


เจ้าหน้าที่ขานรับคำ 


 


 


กุนซือหันไปพูดกับเมิ่งต้าจินอย่างรู้สึกผิด “ผู้ใหญ่บ้านเมิ่งอย่าได้ถือสา เป็นหน้าที่ที่ท่านผู้ว่าการสั่งการลงมา พวกเราต้องดำเนินการ ท่านวางใจ ข้ากลับไปจะรายงานท่านผู้ว่าการตามข้อเท็จจริง ให้เขายกย่องชมเชยเจ้า” 


 


 


เมิ่งต้าจินตอบตามมารยาท “เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านกุนซือแล้ว” 


 


 


กุนซือเห็นเข้ามีท่าทีเย็นชา รู้แก่ใจว่าตำหนิโทษตัวเอง จึงไม่พูดอะไรอีก สั่งการเจ้าหน้าที่ “ไปเถอะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ท่านกุนซือกับเจ้าหน้าที่ทุกท่านเดินกลับไปดูจะลำบากเกินไป เอาอย่างนี้เถอะ บ้านพวกเรามีรถม้า ข้ากับลุงใหญ่จะไปส่งพวกท่าน” 


 


 


ตอนมา ต้องเดินเท้าถึงสองชั่วยามเต็มๆ กุนซือถูกดูดพลังชีวิตไปเกือบครึ่ง ตอนขากลับยังหงุดหงิดใจ ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ก็ปิติ และไม่ได้คิดอะไรมาก พูดเออออทันควัน “เช่นนั้นก็ขอบใจแม่นางเมิ่งแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้อง ต่อไปหากครอบครัวข้ามีเรื่องอันใด ยังต้องรบกวนท่านกุนซือช่วยอำนวยความสะดวกด้วย” 


 


 


กุนซือรีบรับคำ “แน่นอนๆ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยืดอกร้องตะโกน “อู๋ต้า!” 


 


 


อู๋ต้ารีบวิ่งเข้ามา “นายหญิง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการเขา “เจ้าวิ่งไปบอกเหวินเปียวและเหวินหู่ ให้พวกเขาเก็บกวาดรถม้าสองคันคอยพวกเราที่ทางเข้าหมู่บ้าน” 


 


 


อู๋ต้ารับคำ วิ่งแจ้นออกไป 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “ท่านกุนซือ พวกเราไปรอที่ทางเข้าหมู่บ้านเถอะ” 


 


 


กุนซือและบรรดาเจ้าหน้าที่เดินหน้าตาชื่นบานไปยังทางเข้าหมู่บ้าน เมิ่งต้าจินเดินเงียบขรึมตามหลังไป เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงเบา “ลุงใหญ่ หากข้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็นหลี่กุ้ยที่ร้องเท็จพวกเรา คิดจะฉวยโอกาสนี้ ขับท่านออกจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน เขาจะได้ขึ้นตำแหน่งอีกครั้ง ดังนั้นข้าถึงให้ท่านไปส่งกุนซือพร้อมข้า จะได้จัดการเขาต่อหน้าท่านผู้การให้เข็ดหลาบ” 


 


 


เมิ่งต้าจินตกตะลึง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “ตอนนี้ท่านเป็นผู้ใหญ่บ้าน สิ่งแรกต้องสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับกุนซือและบรรดาเจ้าหน้าที่ก่อน คำโบราณว่าไว้ ยมบาลพานพบง่าย ผีน้อยรับมือยาก[1] ท่านไม่ควรแสดงท่าทีเย็นชาเช่นนี้ต่อพวกเขา” 


 


 


เมิ่งต้าจินชะงักงัน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า 


 


 


เมิ่งต้าจินตระหนักรู้แล้ว เก็บคืนสีหน้า เดินขึ้นหน้า หาเรื่องพูดคุยกับกุนซืออย่างสนิทสนมทันที 


 


 


แม้กุนซือจะประหลาดใจกับความเปลี่ยนแปลงของเขา แต่อย่างไรตัวเองก็เป็นฝ่ายผิดก่อน จึงตอบกลับเขาอย่างมีมิตรไมตรี 


 


 


คนทั้งหมดเดินมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน เหวินเปียวและเหวินหู่แยกย้ายบังคับรถม้ารออยู่แล้ว 


 


 


เมิ่งต้าจินและกุนซือรวมถึงเจ้าหน้าที่ทั้งหมดขึ้นนั่งบนรถม้าของเหวินหู่ เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นนั่งบนรถม้าของเหวินเปียวลำพัง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งกำชับ รถม้าทั้งสองคันมุ่งหน้าไปยังศาลาว่าการ 


 


 


หลิวกุ้ยกำลังนั่งรอบนเก้าอี้เตี้ยที่ผู้ว่าการตำบลมอบให้อย่างสบายอกสบายใจ 


 


 


รถม้ามาถึงศาลาว่าการ กุนซือและคนทั้งหมดลงจากรถ หันไปกล่าวขอบคุณเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ท่านกุนซือไม่ต้องเกรงใจ ข้าไม่เพียงพาพวกท่านมาส่ง ข้ายังอยากดูด้วยว่าใครกันที่ร้องเท็จพวกเรา” 


 


 


กุนซือตะลึงงัน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “คิดว่าในตอนนี้คนผู้นั้นจะกำลังรอฟังข่าวดีอยู่ในศาลาว่าการ พวกเราจะได้พบเขาพอดี” พูดจบ ก้าวอาดๆ เข้าไปในศาลาว่าการ 


 


 


กุนซือและคนที่เหลือห้ามไม่ทัน มองนางเข้าไปตาปริบๆ เสียใจก็ไม่ทันการแล้ว 


 


 


เมิ่งต้าจินก็ตามติดเข้าไป 


 


 


หลิวกุ้ยกำลังนั่งฝันหวาน เห็นพวกเขาเดินเข้ามา ตกใจถลึงตัวลุกพรวด 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มพูดทักทายเขา “ท่านตาหลิว ไม่เจอกันนาน สบายดีนะ” 


 


 


หลิวกุ้ยเห็นรอยยิ้มนาง เหงื่อซึมไปทั้งร่างฉับพลัน 


 


 


ผู้ว่าการตำบลก็ไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะมา พลันยืดตัวนั่งตรง 


 


 


เมิ่งต้าจินและเมิ่งเชี่ยนโยวแสดงความเคารพผู้ว่าการตำบลอย่างนบนอบ 


 


 


ผู้ว่าการตำบลขยับลูกคอ ถามขึ้น “พวกเจ้าสองคนมาได้อย่างไร มีธุระอันใดหรือ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองหลิวกุ้ยเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม แล้วตอบ “พวกเราอยากมาถามท่านผู้ว่าการ คนที่ฟ้องร้องเท็จ สมควรตัดสินโทษอย่างไร?” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลงงงวยกับคำพูดไร้ต้นสายปลายเหตุนี้ของนาง 


 


 


กุนซือรีบเดินเข้ามาบอกผลการทำรังวัดให้แก่เขา 


 


 


ผู้ว่าการตำบลถึงเข้าใจ ลอบถลึงตาใส่กุนซือแวบหนึ่ง 


 


 


กุนซือร้อนตัวถอยหลังหลบ 


 


 


ผู้ว่าการตำบลรับเงินหลิวกุ้ยมาหนึ่งร้อยตำลึง ย่อมต้องช่วยเขาหลุดพ้นความผิด ใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “หลิวกุ้ยเพียงหวังดีกับผู้ใหญ่บ้านเมิ่ง กลัวเขาเพิ่งจะเป็นผู้ใหญ่บ้านก็กระทำการมิชอบ ภายหน้าจะยิ่งละโมบ กระทำความผิดใหญ่กว่านี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ท่านผู้ว่าการกล่าวมาก็ถูก ข้าขอขอบคุณในความหวังดีนี้ของเขาแทนลุงใหญ่ ทว่าข้ามีเรื่องอยากถาม เมื่อเป็นความหวังดีต่อลุงใหญ่ เหตุใดถึงไม่มาพูดต่อหน้าลุงใหญ่ แต่กลับทิ้งผลประโยชน์ใกล้ตัวเดินทางมาร้องเท็จลุงใหญ่ต่อหน้าท่าน?” 


 


 


หลิวกุ้ยยังไม่รู้ผลการทำรังวัด ในใจเชื่อมั่นว่าเมิ่งต้าจินจะต้องรายงานตัวเลขที่ดินร้างเป็นเท็จ โต้กลับอย่างมีเหตุมีผล “ข้าร้องเท็จเขาอย่างไร? รายงานตัวเลขที่ดินร้างของเขาไม่มีทางตรงกับที่ทางการไปทำรังวัด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้ม ถาม “ท่านตาหลิวรู้ได้อย่างไรว่ารายงานตัวเลขไม่ตรงกัน?” 


 


 


กุนซือคอยส่งสายตาให้หลิวกุ้ยตลอด 


 


 


หลิวกุ้ยไม่ได้มอง พูดอย่างลำพอง “จักต้องไม่ตรงกัน ที่ดินร้างกว้างใหญ่เช่นนั้น ต่อให้ตอนที่ข้าดำรงตำแหน่ง ก็จะเห็นแก่หน้าคนหมู่บ้านเดียวกัน วัดเกินให้บ้าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่เขาเป็นลุงใหญ่เจ้า ไม่วัดเกินให้พวกเจ้าถึงจะแปลก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวร้อง “อ่อ” แล้วพูด “ที่แท้ท่านก็คิดมโนไปเอง ไม่ทราบว่าท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ หากลุงใหญ่ข้าไม่ได้คิดเกินให้พวกเรา ท่านจะมีจุดจบอย่างไร?” 


 


 


หลิวกุ้ยยืนกราน “ไม่มีทาง เขาไม่มีทางที่สักนิดก็ไม่คิดเกินให้พวกเจ้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านกุนซือ รบกวนท่านบอกผลการทำรังวัดให้เขาฟังหน่อยเถอะ” 


 


 


กุนซือมองหลิวกุ้ยแวบหนึ่ง หยิบสมุดบันทึกออกมาพูดอย่างจนใจ “จากการทำรังวัดอย่างแม่นยำของข้าและเจ้าหน้าที่ ที่ดินร้างที่สกุลเมิ่งซื้อมีพื้นที่ทั้งหมดหนึ่งร้อยสิบเจ็บมู่ ตรงกับตัวเลขที่รายงานทุกประการ” 


 


 


หลิวกุ้ยได้ฟัง ตะเบ็งเสียงถามอย่างไม่เชื่อ “จะเป็นไปได้อย่างไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเยาะ ถามเขาอย่างไม่รีบไม่ร้อน “เหตุใดถึงจะเป็นไปไม่ได้? ครอบครัวพวกเราไม่ได้ขาดเหลือเงินทอง ไยต้องให้ลุงใหญ่ข้ากระทำเรื่องมิชอบ ภายหน้าให้ลูกบ้านรู้เข้า ได้มาแหกอกพวกเราทั้งครอบครัว” 


 


 


“เอามาให้ข้าดู!” หลิวกุ้ยแย่งสมุดบันทึกมาจากมือกุนซือ คิดคำนวณอย่างละเอียด พบว่าตัวเลขถูกต้อง นั่งพับไปกับพื้น ปากพูดซ้ำไปซ้ำมา “จะเป็นไปได้อย่างไร? จะเป็นไปได้อย่างไร?” 


 


 


กุนซือมองเขาอย่างเห็นใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามผู้ว่าการตำบลอีกครั้ง “ตอนนี้เรื่องกระจ่างแล้ว เป็นหลิวกุ้ยที่ร้องเท็จพวกเรา ไม่ทราบว่าท่านผู้ว่าการจะลงโทษเขาอย่างไร?” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลคิดถึงเงินที่เข้าปากมาแล้วกลับต้องคายออกไป ก็ให้ปวดใจ มองผู้ว่าการตำบลอย่างเคืองแค้นแวบหนึ่ง ตวาดเสียงดังลั่น “หลิวกุ้ยบังอาจนัก เจ้าไม่ตรวจสอบให้แน่ชัด ก็มาร้องเท็จผู้อื่น เจ้าสำนึกผิดหรือไม่?” 


 


 


 


 


 


[1] เป็นสำนวนเปรียบเทียบถึง ปกติเจ้านายใหญ่ปัญหาน้อยพูดคุยได้ง่าย มีแต่เจ้าหน้าที่ระดับล่างที่มักมีปัญหา 

 

 

 


ตอนที่ 164-1 คุยเรื่องแต่งงาน

 

หลิวกุ้ยลนลานลุกขึ้นคุกเข่ากลางศาล โต้แย้งเสียงลั่น “ท่านผู้ว่าการ ต่อให้ข้าจะฟ้องร้องเท็จ แต่ก็เพราะถูกพวกเขาบีบคั้น” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลฟังออกว่ามีเงื่อนงำ พูดขึ้นทันควัน “หลิวกุ้ย พวกเขาบีบคั้นเจ้าอย่างไร เจ้ารีบพูดมา ต่อให้เมิ่งต้าจินเป็นผู้ใหญ่บ้าน ข้าก็จะไม่เข้าข้างเขา จักตัดสินความอย่างยุติธรรม” 


 


 


หลิวกุ้ยเป็นผู้ใหญ่บ้านมาหลายปี ไยจะฟังนัยแฝงของผู้ว่าการตำบลไม่ออก ตั้งลำตัวตรง พูดอย่างไม่เกรงกลัว “ในตอนนั้นพวกเขานำสัญญาทาสของบุตรชายข้ามาบีบคั้นให้ข้ายอมถอยจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ข้ามีบุตรชายเพียงคนเดียว ทนเห็นเขาทนทุกข์ทรมานไม่ไหว ภายใต้ความอับจนหนทางจำต้องยอมรับปากพวกเขา แต่ข้าก็ยื่นเงื่อนไขพวกเขาข้อหนึ่ง ก็คือให้พวกเขามอบสูตรเนื้อรมควันให้ข้า ให้ชีวิตในภายหน้าของข้ามีหลักประกัน พวกเขารับปากเต็มปากเต็มคำ ข้าเองก็ยินดีปรีดา เข้ามาทำเรื่องโอนมอบตำแหน่งให้พวกเขาทันที ไม่คิดว่าหลังจากเมิ่งต้าจินได้เป็นผู้ใหญ่บ้านแล้ว พวกเขาจะกลับคำพูดที่ให้ นำสูตรเนื้อรมควันไปบอกกับคนทั้งหมู่บ้าน ให้ข้าดีใจเก้อเพียงลำพัง” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลกังขามาตลอดว่าเหตุใดคนโลภอย่างหลิวกุ้ยถึงยอมถอนตัวจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านง่ายๆ ในที่สุดตอนนี้ก็เข้าใจแล้ว ที่แท้เพราะพวกเขามีข้อตกลงร่วมกัน ชักสีหน้าเคร่งครึม พูดอย่างไม่พอใจ “หลิวกุ้ย พวกเจ้ากล้าหาญเกินไปแล้ว กล้านำตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านมาเป็นข้อแลกเปลี่ยน” 


 


 


ด้วยความร้อนใจทำให้หลิวกุ้ยพูดเรื่องทั้งหมด ไม่ทันคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา ได้ยินผู้ว่าการตำบลถาม ก็ให้ตกใจเหงื่อซึมไปทั้งร่าง รีบร้อนพูด “ท่านผู้ว่าการไว้ชีวิตด้วย เพราะบุตรชายผู้น้อยถูกบีบให้ต้องขายตัวให้นาง ทุกวันพวกเขาจะให้เขาทำงานที่สกปรกที่สุด กินอาหารที่แย่ที่สุด บางครั้งยังต้องถูกทุบตี ผู้น้อยเจ็บปวดใจ ภายใต้ความอับจนหนทางถึงรับปากขอเรียกร้องของพวกเขา” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลแค่นเสียงหึ หันไปถามเมิ่งต้าจิน “ผู้ใหญ่บ้านเมิ่ง เจ้าสำนึกผิดหรือไม่?” 


 


 


เมิ่งต้าจินไม่ได้คุกเข่า ตอบอย่างไม่ประจบแต่ก็ไม่อวดโอ้ “หลิวกุ้ยยินยอมถอนตัวจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านเอง ไยผู้น้อยต้องสำนึกผิด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างชื่นชมแวบหนึ่ง 


 


 


หลิวกุ้ยรีบโต้แย้ง “เจ้าพูดปด! หากไม่เพราะเจ้าใช้ต้าเป่ามาข่มขู่ข้า มีหรือที่ข้าจะยอมถอนตัวจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน?” 


 


 


เมิ่งต้าจินโต้ตอบกลับ “เจ้าต่างหากที่ใช้ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน เอาเรื่องที่ดินปลูกเรือนมาข่มเหงให้พวกเรามอบสูตรเนื้อรมควันให้ก่อน พวกเราถึงต้องคิดแผนการนี้ออกมา” 


 


 


หลิวกุ้ยก็ไม่อ่อนข้อให้ “ข้าข่มเหงเจ้าตอนไหน เพราะข้าอยากเอาที่ดินผืนนั้นมาพัฒนาเป็นที่นาให้พวกชาวบ้าน เป็นพวกเจ้าที่ละโมบ จะปลูกเรือนที่ตรงนั้นให้ได้ ข้าต้องแบกรับความเสี่ยงมหาศาลแทนพวกเจ้า ต้องการแค่สูตรของพวกเจ้าจะเป็นอะไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเยาะ พูดเย้ยหยัน “นำพฤติกรรมหน้าไม่อาย มาพูดในศาลศักดิ์สิทธิ์นี้ เจ้าเป็นคนแรกที่ข้าเคยพบเคยเจอ” 


 


 


หลิวกุ้ยถูกถอนหงอก พูดอย่างเกรี้ยวกราด “นังตัวแสบ อย่าเหิมเกริมให้มากนัก วันนี้พวกเรามาพูดต่อหน้าท่านผู้ว่าการให้รู้ดำรู้แดงไปเลย ข้าก็อยากรู้ว่าตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านนี้เมิ่งต้าจินยังจะเป็นต่อไปได้หรือไม่?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สะทกสะท้าน ตอบกลับอย่างเรื่อยเฉื่อย “เช่นนั้นก็พูดเถอะ” 


 


 


หลังจากนั้น ก็หันไปทำความเคารพผู้ว่าการตำบล บอกเรื่องที่บ้านตนเองต้องการซื้อที่ดินปลูกเรือน หลิวกุ้ยใช้เหตุนี้มาข่มเหง เพื่อตัดตอนความยุ่งยากในภายหลัง จึงยอมนำสัญญาทาสของหลิวต้าเป่า สูตรเนื้อรมควัน รวมถึงให้เงินเขาห้าร้อยตำลึงแลกกับเมิ่งต้าจินได้เป็นผู้ใหญ่บ้านออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ 


 


 


พอได้ยินว่ายังมีเงินอีกห้าร้อยตำลึง ผู้ว่าการตำบลก็หลุบหรี่นัยน์ตา 


 


 


หลิวกุ้ยไม่คิดว่านางจะเอาเรื่องเงินห้าร้อยตำลึงที่มอบให้ตนเองแฉออกมาด้วย เริ่มรู้สึกร้อนตัว 


 


 


สุดท้ายเมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “แม้ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านของลุงใหญ่ข้าจะได้มาจากการวางแผน แต่ตั้งแต่ที่เขาดำรงตำแหน่ง ก็มีแต่คิดแทนลูกบ้าน ทุ่มเททำงานเพื่อลูกบ้าน ไม่เคยกระทำการมิชอบ ลูกบ้านต่างยกย่องชื่นชมเขา ข้าขอถามว่า หากคนที่คิดทำทุกอย่างเพื่อลูกบ้านยังเป็นผู้ใหญ่บ้านไม่ได้ เช่นนั้นใครยังจะเป็นได้?” 


 


 


สีหน้าผู้ว่าการตำบลเริ่มสั่นไหว 


 


 


หลิวกุ้ยเห็นเช่นนั้น พูดขึ้นทันควัน “ไม่ว่าเขาจะทำดีแค่ไหน ก็เทียบไม่ได้กับที่เขาใช้แผนการชั่วร้ายเพื่อให้ได้มา คนเช่นนี้ไม่สมควรเป็นผู้ใหญ่บ้าน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเปิดโปงเขา “วันนี้ท่านร้องเท็จพวกเราก่อน จากนั้นก็จะดึงลุงใหญ่ข้าลงจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านให้ได้ เกรงจะเป็นเพราะใช้เงินห้าร้อยตำลึงนั้นหมดแล้ว คิดว่าต่อไปจะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่เหนือผู้อื่น ถึงดิ้นรนเฮือกสุดท้าย คิดจะกลับมาเป็นผู้ใหญ่บ้านอีกครั้ง” 


 


 


หลิวกุ้ยถูกเปิดเผยโฉมหน้า พูดอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใดแล้ว “เป็นพวกเจ้าที่กลับคำ พูดจาเชื่อถือไม่ได้ก่อน ข้าคิดจะกลับมาเป็นผู้ใหญ่บ้านอีกครั้งก็แล้วอย่างไร?” 


 


 


ฟังมาถึงตอนนี้ ผู้ว่าการตำบลได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว โมโหตบบัลลังก์ด้วยแท่งไม้ปลุกสติ “หุบปากเดี๋ยวนี้!” 


 


 


เห็นผู้ว่าการตำบลบันดาลโทสะ หลิวกุ้ยตกใจกลัวตัวสั่น เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งต้าจินกลับยืนสงบนิ่งอยู่ที่เดิม 


 


 


ผู้ว่าการตำบลตวาดเสียงลั่น “พวกเจ้าโต้เถียงกันไปมา ยังเห็นผู้ว่าการตำบลคนนี้อยู่ในสายตาหรือไม่?” 


 


 


หลิวกุ้ยตกใจจนไม่กล้าปริปาก 


 


 


ผู้ว่าการตำบลมองพวกเขาอย่างแข็งกร้าวแวบหนึ่ง พูดว่า “ข้าเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว เป็นหลิวกุ้ยที่ข่มเหงก่อน พวกเจ้าบีบคั้นในภายหลัง สองฝ่ายต่างมีความผิด พวกเจ้าจะรับโทษโบยหรือโทษปรับ?” 


 


 


หลิวกุ้ยถามตัวสั่น “โทษโบยคืออย่างไร? โทษปรับคืออย่างไร?” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลตอบ “โทษโบยคือถูกโบยคนละสิบไม้ โทษปรับคือปรับเงินสองร้อยตำลึง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวให้เงินมาห้าร้อยตำลึง หลิวต้าเป่าแอบขโมยไปหนึ่งร้อยตำลึง เอาไปเล่นแพ้ในบ่อนพนัน ต่อมาถูกคนของบ่อนพนันจับมัดไพล่หลังส่งกลับมา บีบหลิวกุ้ยต้องคืนเงินให้พวกเขาอีกสองร้อยตำลึง วันนี้เพื่อให้ผู้ว่าการตำบลลงโทษเมิ่งต้าจินสถานหนัก ยอมตัดใจมอบเงินให้เขาหนึ่งร้อยตำลึง บวกกับการใช้จ่ายของครอบครัวช่วงที่ผ่านมา ทั้งหมดเหลือเพียงแปดสิบตำลึง ไหนเลยจะมีสองร้อยตำลึงมาจ่าย ได้ฟังก็ขาพับขาอ่อน ล้มไปกองกับพื้นอีกครั้ง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้เมิ่งต้าจิน เมิ่งต้าจินตอบรับทันควัน “พวกเราขอรับโทษปรับ” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลคิดจะปรับคนละสองร้อยตำลึง ตนเองจะได้รับสี่ร้อยตำลึง แต่พอเห็นสภาพหลิวกุ้ย นึกว่าเขาไม่ยินยอมจ่ายเงินสองร้อยตำลึง คับข้องขุ่นมัว ถามเสียงกร้าว “หลิวกุ้ย เจ้าล่ะ?” 


 


 


หลิวกุ้ยตกใจเหงื่อออกทั่วตัว ตอบเสียงสั่นเครือ “ข้า ข้อขอรับโทษโบย” 


 


 


เห็นเขาพูดเช่นนี้จริงๆ ผู้ว่าการตำบลยิ่งขุ่นเคือง ตวาดเสียงดังลั่น “ได้ นี่เป็นสิ่งที่เจ้าเลือกเอง จะโทษว่าข้าไม่เห็นแก่หน้าเจ้าไม่ได้ เจ้าหน้าที่ ลากตัวหลิวกุ้ยออกไปโบยสิบไม้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงยับยั้ง “ช้าก่อนท่านผู้ว่าการ!” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลนึกว่านางจะขอร้องแทนหลิวกุ้ย มองนางอย่างคับข้องใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “รอใต้เท้าตัดสินเรื่องที่เขาร้องเท็จพวกเราก่อน ค่อยโบยก็ยังไม่สาย” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลถึงนึกได้ว่าหลิวกุ้ยยังมีโทษฟ้องร้องเท็จ ตนเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย สีหน้าเริ่มไม่เป็นธรรมชาติ ถามขึ้น “เจ้าจะให้ข้าตัดสินอย่างไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ใต้เท้าคือบิดาของราษฎร สมควรรู้ว่าเรื่องเช่นนี้จะตัดสินอย่างไร ไฉนเลยต้องให้เด็กน้อยอย่างข้าเป็นคนตัดสินใจ” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลลอบเบ้ปาก ตอนนี้มาบอกว่าตัวเองเป็นเด็กน้อย เมื่อครู่ที่รุกฆาตตาต่อตาฟันต่อฟันไยถึงไม่พูดเล่า? ทว่าใบหน้าไม่แสดงออก พูดกับหลิวกุ้ยตามหลักหน้าที่ “ตามกฎบัญญติประเทศอู่ ผู้ที่ร้องเท็จผู้อื่น ให้ตัดสินโบยยี่สิบไม้” 


 


 


พอได้ยินว่ายังต้องถูกโบยเพิ่มอีกยี่สิบไม้ หลิวกุ้ยก็ตกใจเกือบเป็นล้มสลบไป 


 


 


แล้วผู้ว่าการตำบลก็เปลี่ยนมาพูดอีกว่า “ทว่าเห็นแก่ที่เจ้าเป็นผู้ใหญ่บ้านอย่างแข็งขันซื่อสัตย์มาหลายสิบปี จะลดโทษให้เจ้าสิบไม้” 


 


 


หลิวกุ้ยรู้ทันทีว่าเงินหนึ่งร้อยตำลึงของตนเองบังเกิดผลแล้ว ถอนใจโล่งอก แต่พอคิดว่ายังต้องถูกโบยอีกยี่สิบไม้ หัวใจก็พลุ่งพล่านขึ้นอีก 


 


 


ผู้ว่าการตำบลพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวกลับยิ้มตาหยีถามขึ้น “เมื่อเป็นการร้องเท็จ ขอถามท่านใต้เท้า ลุงใหญ่ข้ายังสมควรดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านนี้ต่อไปหรือไม่?” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลแสร้งขบคิดตรึกตรอง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดแฝงนัยขึ้นพลัน “ท่านใต้เท้าวางใจ ขอเพียงลุงใหญ่ข้ายังเป็นผู้ใหญ่บ้าน พวกเราจะทำตามความต้องการของผู้ว่าการตำบลเท่านั้น” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลได้ฟังดังนั้น มองนางอย่างชื่นชมแวบหนึ่ง กล่าวด้วยวาจาสุขุมพร้อมด้วยหลักคุณธรรม “เมิ่งต้าจินใช้แผนการเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ตามหลักแล้ว สมควรต้องขับไล่เขาออกจากการเป็นผู้ใหญ่บ้าน ให้ลูกบ้านเลือกคนที่ดีกว่าออกมา แต่เห็นแก่ช่วงเวลาที่ผ่านมาที่เขาเป็นผู้ใหญ่บ้าน มีแต่คอยคิดแทนลูกบ้าน ข้าตัดสินใจให้เขาดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านนี้ไปก่อน ดูว่าผลงานในภายหน้าของเขาเป็นอย่างไร” 


 


 


เมิ่งต้าจินรีบกล่าวคำขอบคุณ “ขอบคุณผู้ว่าการตำบล” 


 


 


หลิวกุ้ยได้ฟังยิ่งทวีความสิ้นหวัง 


 


 


ผู้ว่าการตำบลเปล่งเสียงประกาศ “หลิวกุ้ยเริ่มจากพูดข่มเหง แล้วมากล่าวร้องเท็จ ความผิดสองกระทงลงโทษพร้อมกัน ให้โบยยี่สิบไม้ ลากตัวออกไปรับโทษ” 


 


 


เจ้าหน้าที่ขานรับคำ เข้ามากดหลิวกุ้ยไว้กลางศาล ยกไม้พายขึ้นฟาดไปที่ตัวเขา 


 


 


เริ่มแรกหลิวกุ้ยยังเปล่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด สิบไม้ให้หลัง เสียงก็เบาบางลง หลังจากตีเสร็จยี่สิบไม้ หลิวกุ้ยก็สลบไม่ได้สติไป 


 


 


ผู้ว่าการตำบลไม่แม้แต่จะเหลียวแลเขา โบกมือให้เจ้าหน้าที่ลากตัวเขาออกไป 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบตั๋วแลกเงินสามร้อยตำลึงออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย นำไปวางไปบนบัลลังก์ พูดกับผู้ว่าการตำบล “นี่เป็นตั๋วแลกเงินค่าปรับสองร้อยตำลึง ขอใต้เท้าดูให้ละเอียดก่อนว่าตัวเลขถูกต้องหรือไม่?” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลมองนางอย่างชื่นชมอีกครั้ง แสร้งทำเป็นตรวจสอบตั๋วแลกเงิน ใช้ชายเสื้อบดบัง ลอบนำตั๋วแลกเงินอีกใบใส่ชายเสื้อตัวเอง ถึงนั่งยืดตัวตรง พูดอย่างเป็นหลักเป็นการ “ข้าตรวจดูแล้ว เป็นเงินสองร้อยตำลึงครบถ้วน กุนซือ ท่านนำไปลงบันทึก” 


 


 


กุนซือรับคำสั่งอย่างนอบน้อม ถือตั๋วแลกเงินเดินออกไป 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “เมื่อไม่มีเรื่องอะไรแล้ว พวกเราก็ขอตัวกลับ ภายหน้าหากมีเรื่องอะไร ใต้เท้าส่งคนไปตามพวกเราได้ทุกเมื่อ พวกเราจะมาในทันที” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลพยักหน้าพึงพอใจ โบกมือหยอยๆ “ไปเถอะ” 


 


 


เมิ่งต้าจินแสดงความเคารพผู้ว่าการตำบล หันหลังเดินออกไป 


 


 


ผู้ว่าการตำบลกลับร้องเรียกเขา “ช้าก่อน” 


 


 


เมิ่งต้าจินหยุดชะงัก มองกลับมาอย่างสงสัย 


 


 


ผู้ว่าการตำบลชี้หลิวกุ้ยที่สลบไสลไม่ได้สติพูดกับเขา “พวกเจ้าทางเดียวกันพาเขากลับไปด้วยเถอะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธ “หากพวกเราพาเขากลับไป จะต้องถูกคนในครอบครัวพวกเขาชิงชังเคียดแค้นยิ่งขึ้น เรื่องมาถึงตอนนี้ พวกเราไม่อยากสร้างเรื่องให้บานปลายไปกว่านี้ ท่านใต้เท้าให้คนไปส่งข่าวคนในครอบครัวพวกเขาเถอะ” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลรู้สึกว่าที่นางพูดก็มีเหตุผล พยักหน้า “ก็ได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสดงความเคารพผู้ว่าการตำบล แย้มยิ้มพูดกับกุนซือ “ท่านกุนซือ ข้ายังมีเรื่องอยากขอคำชี้แนะจากท่าน รบกวนท่านออกไปกับพวกเราหน่อยเถอะ เราเดินไปพลางพูดไปพลาง” 


 


 


กุนซือแคลงใจ แต่ก็วางตั๋วแลกเงินและสมุดจดบันทึกในมือลง เดินตามพวกเขาสองคนออกไป 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)