พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1631-1634

 บทที่ 1631 จุดซ่อนสมบัติมีเงื่อนงำ

 

ทว่าเมื่อเหาะขึ้นเหาะลง หาไปหามา ก็พบว่าสถานที่แห่งนี้ถูกฝ่ามือนั่นตบไว้อย่างราบเรียบเกินไป กลายเป็นพื้นที่ราบแห่งหนึ่งแล้วจริงๆ ไม่มีวัตถุอ้างอิงใดๆ ที่นูนออกมาเลย ทำให้เหมียวอี้อดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเองกับอวิ๋นจือชิวเข้าใจประโยค ‘กลางร่องรอยความเจ็บปวดของหนานอู๋’ ผิดไปหรือเปล่าตรงไหน


แต่เขาก็คิดไม่ออกถึงคำอธิบายอื่นของประโยคนั้นแล้วจริงๆ และเมื่อดูจากประสบการณ์ในการหาสมบัติที่ผ่านมา ผู้ซ่อนสมบัติก็แค่จัดวางไว้อย่างละเอียดประณีตเท่านั้น เรื่องชี้แนะวัตถุอ้างอิงเป้าหมายกลับไม่ได้ใช้อุบายล้ำลึกอะไรนัก ไม่ได้ทำสิ่งที่คลุมเครือยากลำบากต่อการทำความเข้าใจ


หลังจากตัดสินบางอย่างได้แล้ว ก็จำเป็นต้องอิงตามความเข้าใจก่อนหน้านี้ต่อไป ค้นหาตรงนี้ต่อไป


แต่เมื่อทำซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ ก็ยังหาไม่เจอว่า ‘กลาง’ อยู่ตรงไหน ภายใต้ความจนปัญญา เหมียวอี้ก็เลยต้องใช้วิธีการโง่เง่าบางอย่าง นั่นก็คือร่ายอิทธิฤทธิ์กำจัดฝุ่นที่ทับถมมอยู่บนพื้นดิน อยากจะดูว่าใต้กองฝุ่นได้ฝังซ่อนเบาะแสอะไรไว้หรือเปล่า เรียกได้ว่าลำบากไปยกหนึ่ง


ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายก็ยังทำให้เขาผิดหวังอยู่บ้าง ยังคงหาร่องรอยวัตถุอ้างอิงใดๆ ไม่เจอ


อย่าบอกนะว่าที่จริงแล้วตรงนี้ไม่ใช่ที่อยู่เดิมของสำนักอู๋เหมิน? เหมียวอี้รู้สึกว่าตัวเองอาจจะเปลืองความคิดกับสิ่งที่ไม่สำคัญ เขาถึงได้ตัดสินใจจะค้นหาทั้งดาวหนานอู๋ให้ดีอีกสักรอบ


เมื่อถลันตัวเหาะไปอยู่กลางท้องฟ้า ขณะที่พุ่งตรงไปยังเมฆหมอก จิตใต้สำนึกของเหมียวอี้ก็สั่งให้เขาก้มหน้ามองสถานที่ข้างล่างที่ตัวเองค้นหาซ้ำไปซ้ำมาจนเหนื่อยอีกรอบ


ตอนยังไม่มองก็ยังไม่มีอะไร แต่พอได้มองแล้ว เขาก็เหาะไม่ไปแล้ว ร่างกายพลันชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ถลึงตามองด้านล่างอย่างรู้สึกเหลือเชื่อ ในซากวัตถุปรากฏเครื่องหมายที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน อยู่บนพื้นที่ว่างนอกตำหนักหลักนี้เอง เป็นเครื่องหมาย ‘สวัสดิกะ’ ขนาดใหญ่ที่ปรากฏชัดเจนในสายตา ราวกับเป็นดอกไม้ดอกหนึ่งที่เบ่งบานอยู่บนพื้นดิน มันถูกฝุ่นกลบเอาไว้ตลอด จนกระทั่งกำจัดฝุ่นออกไปแล้วถึงได้ปรากฏออกมา


ตัวอักษระ ‘สวัสดิกะ’ ตัวนี้ก็ใหญ่มากจริงๆ ก่อนหน้านี้เหมียวอี้กำจัดฝุ่นบนพื้นแล้วแต่ก็ยังมองไม่เห็น เมื่อเหาะมาอยู่บนฟ้าแล้วมองจากข้างบนลงมาถึงจะเห็น เครื่องหมาย ‘สวัสดิกะ’ นี้ถูกรักษาไว้อย่างสมบูรณ์มาก จะเห็นได้ว่าบนลานกว้างนอกตำหนักหลักเดิมยังคงอยู่  จนกระทั่งหลังจากทั้งลานกว้างถูกฝ่ามือตบให้จมลง ตัวอักษร ‘สวัสดิกะ’ รวมทั้งลานกว้างก็ล้วนถูกรักษาไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ถึงแม้ลักษณะทางกายภาพจะถูกทำลายไปแล้ว แต่ก็ถูกอัดแน่นไว้ตรงนั้นเช่นเดียวกัน


ถ้าจะบอกว่าก่อนหน้านี้ไม่รู้คำจำกัดความว่า ‘กลาง’ อยู่ตรงไหน เช่นนั้นหลังจากภาพ ‘สวัสดิกะ’ ปรากฏออกมาแล้ว สายตาของเหมียวอี้ก็ไปหยุดอยู่บนจุดตรงกลางของ ‘สวัสดิกะ’ ทันที จุดที่ตะขอหักสี่อันมาไขว้รวมกันอยู่ตรงกลางจริงๆ กลางจนไม่รู้จะกลางอย่างไรแล้ว ทำให้คนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีวิธีการอื่นอีก


“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้” เหมียวอี้หัวเราะหึหึ หลังจากเล็งจุดตรงกลางแม่นยำแล้ว เขาก็ถลันตัวลงไป ไปเหยียบลงตรงกลางเครื่องหมาย ‘สวัสดิกะ’ จากนั้นมองไปรอบๆ พบว่าใต้เท้าตัวเองน่าจะเป็นประตูใหญ่ของตำหนักหลักสำนักอู๋เหมิน เกรงว่าจะเป็นจุดที่ถูกรักษาไว้อย่างครบสมบูรณ์ที่สุดของทั้งสำนักอู๋เหมิน เพียงแต่ถูกตีให้จมลงก็เท่านั้นเอง ยืนอยู่ตรงนี้ก็ยังคบคิดถึงความหมายของคำว่ากลางร่องรอยความเจ็บปวดของหนานอู๋จริงๆ


เหมียวอี้หลับตาลงช้าๆ ในหัวปรากฏภาพของคนคนหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าในปีนั้นผู้ที่ซ่อนสมบัติเคยยืนเงียบอยู่ตรงจุดนี้หรือเปล่า…


เมื่อลืมตาขึ้น เห็นสีของท้องฟ้า พบว่าฟ้าก็ยังไม่มืด กว่าจะรอให้ฟ้าสางในวันพรุ่งนี้ก็ยังเหลือระยะเวลาอีกช่วงหนึ่ง เขาจึงไปนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม


เช้าตรู่วันต่อมา เมื่อรู้สึกว่าท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่างเล็กน้อยแล้ว เหมียวอี้หยุดฝึกวิชาแล้วยืนขึ้นมองสีของท้องฟ้าโดยรอบ เขาเริ่มขมวดคิ้ว กระแสเมฆหลายชั้นบนท้องฟ้าที่เหมือนวันฟ้าครึ้ม จะทำให้มองเห็นเงาแสงมหัศจรรย์ตอนที่ตะวันและจันทราส่องแสงพร้อมกันอย่างราบรื่นได้ด้วยเหรอ?


เขากระโจนตัวขึ้นมา ทยานขึ้นบนท้องฟ้าในแนวตรง เมื่อคำนวณได้ระยะความสูงหกพันจั้งแล้วหยุด ตัวเขาก็อยู่ท่ามกลางกระแสเมฆแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะแอบบ่นว่าโชคไม่ดี เมื่อวานสีของท้องฟ้าฝั่งนี้ยังดูดีอยู่เลย นึกไม่ถึงว่าแค่ผ่านไปคืนเดียวก็กลายเป็นครึ้มฟ้าครึ้มฝนเสียแล้ว ตอนนี้ต่อให้เขาใช้ตาทิพย์ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าภาพเงาสะท้อนไม่ปรากฏบนพื้นดิน ตาทิพย์ของเขาก็มองไม่ออกอยู่ดี


เมื่อเราไปได้สักระยะ รอจนโอกาสดียามตะวันและจันทราส่องแสงพร้อมกันผ่านไปแล้ว ก็ยังไม่เห็นเมฆหมอกสลายไปเลย


เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์หนึ่งวัน เหมียวอี้ทำได้เพียงกลับลงมานั่งสมาธิอยู่บนพื้นอีกครั้ง ก็รอโอกาสต่อไป พอถึงตอนบ่าย เมฆครึ้มบนท้องฟ้าสลายไปแล้ว ดวงอาทิตย์ที่สว่างสดใส เหมียวอี้ที่เงยหน้ามองท้องฟ้ากลอกตามองบน แล้วนั่งขัดสมาธิต่อไป


เช้าตรู่วันถัดมา เหมียวอี้เงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วปวดประสาทนิดหน่อย ถึงแม้บนฟ้าจะไม่มีเมฆครึ้มซ้อนกันหลายชั้นเหมือนเมื่อวาน แต่ก็ยังมีกระแสเมฆลอยล่อง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะส่งผลกระทบต่อปรากฏการณ์ภาพเงาสะท้อนหรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ต้องลองดู


เขาทะยานขึ้นบนฟ้าสูงตรงตำแหน่งหกพันจั้งอีกครั้ง แล้วมองดูกระแสเมฆไหลผ่านไป เฝ้าคอยอย่างเงียบๆ


รอจนกระทั่งเวลาที่ตะวันและจันทราส่องแสงพร้อมกัน เหมียวอี้ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าก็หันตัวมาอย่างช้าๆ แล้วมองสำรวจแผ่นดินอันกว้างใหญ่ที่กึ่งมืดกึ่งสว่าง


ตอนที่ลำแสงยามรุ่งอรุณค่อยๆ เคลื่อนสูงขึ้น ร่างของเหมียวอี้ก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ แล้วทอดสายตามองไปยังแผ่นดินใหญ่ที่ปลายนิ้วของ ‘รอยฝ่ามือ’ ชี้ไป ภาพคนที่คุ้นเคยคนหนึ่งปรากฏออกมาอย่างมีชีวิตชีวา ปรากฏอยู่บนพื้นดินที่สูงต่ำไม่เสมอกัน เป็นภาพสตรีทะยานฟ้าที่เขาคุ้นเคยที่สุด


กระแสเมฆล่องลอยไม่ขาดสาย ภาพของสตรีทะยานฟ้าปรากฏให้เห็นวับๆ แวมๆ อยู่ท่ามกลางลายเงาแสง เรากลับมีม่านบางบังไว้ชั้นหนึ่ง เพิ่มความลี้ลับได้หลายส่วน


สายตาของเหมียวอี้รีบทอดมองไปไกล มองไปยังตำแหน่งที่สตรีทะยานฟ้ายกฝ่ามือรอง เห็นรางๆ ว่าตรงนั้นมีเสาควันสีดำสลับเหลืองต้นหนึ่ง ลอยขึ้นมา


ในที่สุดก็หาเจอแล้ว! เหมียวอี้แอบหลับลืมในใจ ก่อนจะพุ่งเข้าไปอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย มุ่งหน้าไปยังเป้าหมายแล้ว


“ศิษย์พี่หง เหมือนจะมีคนมา”


ระหว่างแนวภูเขายาวติดกัน ขณะที่คนสามคนที่สวมใส่เครื่องแต่งกายประหลาดสีดำ สวมแว่นผลึกโปร่งแสงกำลังค้นหาไปทั่ว จู่ๆ หนึ่งในนั้นก็ต้องไปยังทิศทางที่เหมียวอี้หายไปพลางตะโกนบอก


อีกสองคนหันกลับไปมองพร้อมกัน  มองไปยังทิศทางที่คนนั้นมอง แต่กลับไม่เห็นอะไร


ผู้ที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่หงกระพริบตาอยู่หลังกรอบกระจก หันกลับมาถามอีกคนว่า “ศิษย์น้องลั่ว เจ้าเห็นหรือเปล่า?”


ศิษย์น้องลั่วส่ายหน้า แล้วมองไปยังคนที่ตะโกนก่อนหน้านี้ “ศิษย์น้องอวี่ ไหนล่ะ? จะตาลายหรือเปล่า?”


ศิษย์น้องอวี่โบกมือชี้ “เปล่านะ ข้าเห็นชัดเจนเลย เขาคลุมผ้าดำทั้งตัวเหมือนกัน  แฉลบผ่านไปทางนั้นแล้ว”


อีกสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ศิษย์พี่หงกล่าวอย่างลังเลว่า “คนของพวกเราน่าจะยังไปไม่ถึงข้างหน้า จะมีคนได้ยังไง หรือว่ามีคนอยากจะขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัว?”


ศิษย์น้องลั่วเดินมาข้างกายนาง “ศิษย์พี่หง หมอกพิษนี้กัดกร่อนรุนแรงมาก ถ้าไม่มีชุดป้องกันใยแมงมุมไหมดำก็อยู่ที่นี่ได้ไม่นานเลย และชุดใยแมงมุมไหมดำก็ถูกควบคุมดูแล มีจำนวนจำกัด ปีนี้ถึงคราวที่สำนักของพวกเรามาเก็บเมิ่งถัวหลัว ตามหลักการแล้วไม่น่าจะมีคนอื่นสิ  ทำไมถึงมีคนโผล่มาขโมยเก็บได้?”


ศิษย์พี่หงจึงบอกว่า “ติดต่อคนอื่นเดี๋ยวนี้ ถามว่ามีใครอยู่ข้างหน้าหรือเปล่า” อีกสองคนปฏิบัติตามทันที


หลังจากนั้นครู่เดียว ทั้งสามคนก็เก็บระฆังดาราในมือ ได้รับการยืนยันตำแหน่งของศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นแล้ว ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่ข้างหน้า ศิษย์พี่หงจึงกล่าวเสียงต่ำว่า “ถึงแม้ชุดใยแมงมุมไหมดำจะถูกควบคุม แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่คนอื่นจะใช้วิธีการอื่นได้มา แต่สิ่งนี้ไม่ได้สำคัญเลย กลัวก็แต่จะมีคนขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัวไปก่อกรรมทำชั่ว ไปกันเถอะ ไปดูว่าเป็นใครกันแน่”


จากนั้นทั้งสามคนก็ทะยานขึ้นท้องฟ้า ไล่ตามไปยังทิศทางที่เหมียวอี้หายไป ระวังทางตอนที่ผ่านซากสำนักหนานอู๋  ทั้งสามก็หยุดอยู่บนท้องฟ้า  แล้วจ้องไปข้างล่างอย่างระแวงสงสัย จากนั้นก็มองหน้ากันเลิกลั่ก พวกนางไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก สภาพข้างล่างเป็นอย่างไร ต่อให้พวกนางไม่รู้ชัดเจนแต่ก็เคยเห็นมาก่อน เห็นได้ชัดว่ามีคนมาแตะต้องข้างล่าง


ทั้งสามรีบเหาะลงไปตรวจดู พบว่าร่องรอยการเก็บกวาดยังสดใหม่มาก เห็นได้ชัดว่าเพิ่งถูกแตะต้องไปได้ไม่นาน เท่ากับเป็นการพิสูจน์คำพูดของศิษย์น้องอวี่อย่างไม่ต้องสงสัย มีคนอื่นมาที่นี่แล้วจริงๆ


“ไป!” ศิษย์พี่หงโบกมือเรียก ทั้งสามเหาะไปยังทิศทางที่เหมียวอี้หายไปอีกครั้ง


และในตอนนี้เหมียวอี้กลับยืนอยู่บนปากภูเขาไฟแห่งหนึ่ง ถ้าจะพูดให้ถูกกว่านั้นก็คือ เป็นทะเลสาบภูเขาไฟแห่งหนึ่ง ผิวทะเลสาบหินหนืดที่ร้อนระอุมีรัศมีอย่างน้อยหลายสิบลี้ ทะเลสาบภูเขาไฟประเภทนี้มีอยู่ไม่น้อยที่ดาวหนานอู๋ ว่ากันว่าเกิดขึ้นเพราะถูกพระปีศาจหนานโปโจมตีทะลุเปลือกโลก โฉมหน้าที่แท้จริงเป็นอย่างไร เหมียวอี้ก็ไม่ทราบ ค้นพบเพียงว่าหมอกควันที่ลอยขึ้นบนทะเลสาบหินหนืดค่อนข้างแปลกประหลาด ถ้าเป็นควันดำก็ว่าไปอย่าง แต่เป็นสีดำสลับเหลืองแบบนี้หมายความว่าอะไร?


เอาเป็นว่ามีอยู่จุดหนึ่งที่เหมียวอี้สามารถแน่ใจได้ นั่นก็คือสิ่งนี้มีพิษแน่นอน


มองสำรวจไปรอบด้านรอบหนึ่ง เพราะว่าไม่มีทางเลือก กอปรกับภาพสตรีทะยานฟ้าก็ชี้มาทางนี้เช่นกัน เหมียวอี้จึงกระโจนตัวขึ้นมา แล้วใช้ฝ่ามือเบิกทาง พุ่งตัวเข้าไปในหินหนืดที่ร้อนฉ่า


ตอนที่เขากระโดดลงในทะเลสาบหินหนืดได้ไม่นาน เงาคนสามคนก็กวาดมองมาเบื้องล่างตลอดทาง แล้วออกจากท้องฟ้าเข้าไป


ส่วนเหมียวอี้ที่ดำลงในทะเลสาบหินหนืดได้ไม่นานก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ยันหินหนืดรอบๆ ร่างกายออกไป ทำให้เกิดช่องว่างที่เพียงพอ รอยนูนสีแดงตรงหว่างคิ้วเปิดออก ดวงตางามสีสันแวบวับเผยออกมา ทั้งยังปล่อยเสาแสงที่มีสีรุ้งลอยวนเวียนด้วย เสาแสงกวาดมองสภาพภายในหินหนืด วัตถุเหลวไม่สามารถขัดขวางการมองทะลุของตาทิพย์ได้


ส่วนทะเลสาบหินหนืดแห่งนี้ก็มีพื้นที่กว้างใหญ่จริงๆ เขาไม่รู้ว่าจุดซ่อนสมบัติอยู่ลึกขนาดไหนกันแน่ ถ้าให้หาทีละจุดก็เปลืองแรงจริงๆ


ผ่านไปไม่นาน ตรงด้านข้างก้นทะเลสาบหินหนืดรูปกรวยที่ลึกลงไปหมื่นจั้ง ตาทิพย์ก็หยุดอยู่ที่โพรงถ้ำโพรงหนึ่งบนผนังหิน เหมียวอี้รีบดำลงไป มุ่งตรงสู่โพรงนั้น


พอมาถึงโพรง เขาก็รีบเข้าไปอย่างรวดเร็ว เข้าไปในช่องทางที่ถูกหินหนืดเทกรอก เขาครึ่งเฉียงไปด้านบน


เดินไปตามช่องทางหินหนืดได้พันจั้ง เขาถึงได้หนีพ้นหินหนืด จากนั้นเหยียบไปบนช่องว่างของทางเดินที่มีหมอกควันลอยวนเวียน หมอกควันยังคงมีที่มาจากหินหนืด แต่เหมียวอี้กลับรู้สึกได้ถึงคลื่นที่ฉุดดึงกระแสอากาศ แต่ดูจากช่องทางนี้ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นร่องรอยที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ อย่าบอกนะว่าผู้ซ่อนสมบัติขุดเส้นทางเชื่อมไปถึงพื้นดินโดยตรง?


เหมียวอี้รีบเดินไปข้างหน้า เส้นทางในตอนนี้ไม่ลาดเอียงขึ้นไปอีกแล้ว แต่เป็นทางตรงไปข้างหน้า เมื่อเดินไปได้สิบลี้กว่า ก็ออกจากโพรงถ้ำมาดู เหมียวอี้รู้สึกงุนงงเล็กน้อย ไม่น่าเชื่อว่าปลายทางจะเป็นแม่น้ำใต้ดินที่อยู่ลึกลงไป ไม่ใช่ห้องหินเหมือนอย่างที่เคยผ่านมา


ตั้งแต่ค้นหาสมบัติมาจนถึงทุกวันนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เหมียวอี้ได้เห็นว่าผู้ซ่อนสมบัติขุดทางใต้ดินระยะไกลขนาดมาก ถ้ายาวเฉยๆ ก็ว่าไปอย่าง แต่แม่น้ำใต้ดินตรงหน้าโผล่มาจากไหนอีกล่ะ เขาลองคาดคะเนดูนิดหน่อยก็ได้คำตอบแล้ว ว่าแม่น้ำใต้ดินสายนี้อยู่ในตำแหน่งที่ลึกลงไปใต้ดินอย่างน้อยเก้าพันจั้ง ต่อให้เป็นคนที่วรยุทธ์สูงกว่านี้ แต่ก็อาจไม่มีทางร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบเจอตำแหน่งที่ลึกขนาดนี้ได้ เป็นเพราะอุปสรรคหนาแน่นเกินไปหน่อย


พอเดินออกมาจากโพรงถ้ำ เขาก็มองซ้ายมองขวา พบว่าแม่น้ำที่ไหลจากปากถ้ำไหลจากด้านซ้ายไปด้านขวา ไม่รู้เหมือนกันว่าไปสิ้นสุดตรงไหน รอบด้านไม่มีเค้าส่อให้เห็นว่าจะมีห้องหินอยู่เลย ตอนที่ผ่านช่องทางนั้นมา อย่าบอกนะว่าตัวเองมองข้ามห้องหินที่ซ่อนตัวอยู่ไปแล้ว? ตามหลักการแล้วไม่น่าจะใช่สิ ระหว่างทางตัวเองมองดูอย่างละเอียดแล้ว แล้วอีกอย่าง ผู้ซ่อนสมบัติก็คงไม่ว่างขนาดนั้นหรอกมั้ง หลังจากขุดจุดซ่อนสมบัติออกมาแล้ว จะยังขุดเล่นต่อไปข้างหน้าอีกเหรอ?

 

 

 


บทที่ 1632 ร่ำรวยระดับสุดยอด

 

พอคิดไปคิดมา เหมียวอี้ก็คิดไม่ตกว่าครั้งนี้ผู้ซ่อนสมบัติเล่นบ้าอะไรกันแน่ เป็นเพราะแตกต่างจากครั้งก่อนมากเกินไปจริงๆ แต่การที่ผู้ซ่อนสมบัติทำอย่างนี้ ก็แสดงว่าจะต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างแน่นอน มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้ายังปั่นหัวผู้หาสมบัติเล่นอีกก็ไม่มีความหมายอะไร


พอนึกถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็หลุบตาลงเล็กน้อย ตาทิพย์ตรงหว่างคิ้วเปิดออกอีกครั้ง ลำแสงสีแวววับยิงออกมา แล้วมองตรงไปตามแม่น้ำใต้ดิน


ตอนที่ตาทิพย์มองสำรวจรอบแม่น้ำ ก็ขยายการมองเห็นไปตรงจุดไกลๆ อย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายเหมียวอี้เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไกลแค่ไหน ถึงอย่างไรก็ไกลมาก ยิ่งไกลกระแสน้ำก็ยิ่งช้า เริ่มปรากฏสาขาของแม่น้ำจำนวนมาก ทำเอาเหมียวอี้ไม่รู้ว่าจะตามไปหาที่แม่น้ำสายไหน มองจนตาลายแล้ว เขาแข็งใจเลือกไปตามหาที่แม่น้ำสายหนึ่ง ผลก็คือพบว่าตรงปลายสุดคือพื้นที่อุ้มน้ำใต้ดินที่มีน้ำซึม


เขาลองไปตามหาจากแม่น้ำอีกสายหลายเพิ่ม ตรงปลายสุดมีลักษณะไม่ต่างกันสักเท่าไร เป็นพื้นที่อุ้มน้ำที่มีน้ำซึมลงมาสะสมกัน รวมตัวกันจนกลายเป็นแม่น้ำใต้ดินสายหนึ่ง


ส่วนแม่น้ำสาขาที่ไหลอยู่ด้านบนก็มีเยอะเกินไปจริงๆ ถ้าอยากจะตรวจดูให้ชัดเจนทีละสาย เหมียวอี้ก็คาดว่าตัวเองจะต้องเหนื่อยเหลือทน ต่อให้วรยุทธ์ถึงระดับบงกชรุ้งแล้ว แต่ก็ทนไม่ไหวหากต้องใช้งานตาทิพย์ไม่หยุด


สุดท้าย ก็จำเป็นต้องเลือกที่จะล้มเลิกการตรวจดูกระแสน้ำตอนบน เขาเก็บตาทิพย์กลับมา แล้วหันหน้าไปทางกระแสน้ำตอนล่าง ตรวจดูสายน้ำตอนล่าง ถ้าไม่เจอเบาะแสอะไรพี่กระแสน้ำตอนล่าง เขาก็ทำได้เพียงล้มเลิกการหาสมบัติครั้งนี้ชั่วคราว ไม่อย่างนั้นถ้าจะให้ตรวจหาที่กระแสน้ำตอนบนอย่างเดียว ก็จะต้องสิ้นเปลืองเวลามากแน่นอน ทางป่าฮุ่ยหลินเกิดเรื่องอย่างนั้นแล้ว เขาไม่อาจหลบอยู่ที่นี่นานเกินไปได้ แค่ฝั่งพระโพธิสัตว์หลันเย่พบว่าติดต่อเมี่ยวฉุนไม่ได้ก็แย่แล้ว ต่อให้จะเพื่อให้คำอธิบายกับอ๋องสวรรค์โค่ว แต่ก็อาจจะเกิดความเคลื่อนไหวได้ ไม่มีเวลาให้เขามาสิ้นเปลืองช้าๆ อยู่ที่นี่ ทำได้เพียงเฝ้ารอครั้งหน้า หาโอกาสตอนที่มีเวลาว่างเพียงพอ แล้วค่อยมาตรวจดูให้ละเอียดอีกครั้ง


พอตาทิพย์ไล่ตรวจสอบตามกระแสน้ำตอนล่างไปได้ประมาณหลายร้อยลี้ จู่ๆ ตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ก็กระตุก เสาแสงตรงหว่างคิ้วที่เคลื่อนไหวก็หยุดตามทันที


ด้านบนแม่น้ำที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้มีโพรงถ้ำแห่งหนึ่ง ตาทิพย์สอดส่องเข้าไป ไม่นานก็พบห้องลับห้องหนึ่ง ภาพสตรีทะยานฟ้าที่อยู่ในห้องลับปรากฏอยู่บนผนังหิน


“หาเจอแล้ว! แปลกจัง ทำไมถึงซ่อนอยู่ข้างนอกตั้งหลายร้อยลี้ เล่นบ้าอะไร…” เหมียวอี้พึมพำ แล้วปิดตาทิพย์ตรงหว่างคิ้ว ก่อนจะกระโดดลงในไปกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ไปด้วยความรู้สึกสงสัยที่แน่นอยู่เต็มอก เดินทางไปตามแม่น้ำอย่างรวดเร็ว


จะไม่ให้รู้สึกเหนือความคาดหมายก็คงไม่ได้ สถานการณ์ในการหาสมบัติครั้งนี้ยิ่งมีเงื่อนงำมากขึ้นเรื่อยๆ


เดินทางลำพังอยู่ท่ามกลางความมืดพร้อมเสียงน้ำไหล หลังจากถึงจุดที่ห่างออกไปหลายร้อยลี้แล้ว เหมียวอี้ก็ถลันตัวขึ้นมา แล้วทะลุเข้าไปในโพรงถ้ำหินด้านบน มุ่งตรงขึ้นไปหลายร้อยจั้ง ผ่านขึ้นตลอดทางตามปกติ แล้วเดินไปอีกประมาณร้อยจั้ง ห้องลับก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว ภาพสตรีทะยานฟ้าที่คุ้นเคยปรากฏอยู่ตรงหน้าพอดี


เหมียวอี้เดินไปตรงหน้าภาพนั้นแล้วขมวดคิ้ว แล้วก็หันกลับไปมองทางที่เดินมาอีกครั้ง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความฉงนใจ


ครั้งนี้ภาพสตรีทะยานฟ้าไม่ค่อยเหมือนปกติ ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นภาพสลักนูน แต่ครั้งนี้กลับเป็นภาพสลักเฉยๆ ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ปกติ นั่นก็คือก่อนหน้านี้จะมีนักพรตปีศาจถูกมัดอยู่ตรงจุดซ่อนสมบัติตลอด แต่ครั้งนี้กลับไม่มี


พอหันกลับไปอีกครั้ง สายตาของเหมียวอี้ไปหยุดอยู่บนกล่องที่สตรีทะยานฟ้าถือรองอย่างอ่อนช้อย ในครั้งนี้กล่องก็เป็นภาพสลักเช่นเดียวกัน


แกร๊ก! เหมียวอี้พลันสะบัดแขนยื่นออกไปข้างหนึ่ง พอขยุ้มมือกลางอากาศ กล่องที่สลักขึ้นมาก็แตกพัง เขาคว้าหินก้อนหนึ่งไว้ แต่กลับไม่เห็นกล่องของจริงที่ซ่อนไว้ด้านหลังอย่างที่จินตนาการไว้


พอก้อนหินที่ขยุ้มไว้ตกลงพื้น สายตาของเหมียวอี้ก็จ้องไปบนผนังหินที่โดนขยุ้มแตกอย่างงุนงง จุดที่โดนขยุ้มแตกไม่ใช่ผนังกลวง ด้านหลังยังมีโพรงอีกโพรง มีแสงสว่างที่อ่อนจางแทรกซึมออกมา


เหมียวอี้รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูในโพรง ข้างหลังไม่ใช่แค่โพรงเล็กๆ เท่านั้น แต่เป็นห้องว่างขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง ผนังหินที่สลักภาพสตรีทะยานฟ้าเป็นเพียงกำแพงที่อุดไว้เท่านั้นเอง ไม่ได้หนาสักเท่าไรนัก


เขาตั้งฝ่ามือข้างหนึ่ง ผลักพลังอิทธิฤทธิ์สายหนึ่งออกมา โครมคราม ผนังหินที่อุดไว้พังทลาย ลำแสงที่อ่อนโยนโผเข้าใส่ใบหน้าแล้ว


โบกแขนเสื้อร่ายอิทธิฤทธิ์ปัดฝุ่นที่ตลบอบอวล แล้วเดินช้าๆ ไปตรงปากถ้ำ สภาพภายในห้องใต้ดินขนาดใหญ่ปรากฏสู่สายตาโดยตรง สภาพภายในทำให้เหมียวอี้ทำสีหน้างุนงง เขากวาดสายตามองสิ่งต่างๆ ในห้องว่างใต้ดิน แล้วเดินช้าๆ ลงบันไดตรงปากโพรงพลางหันซ้ายหันขวา


เป็นห้องใต้ดินที่หรูหรามากห้องหนึ่ง เป็นห้องใต้ดินที่สร้างจากโลหะและผลึกแดงทั้งหมด


ตรงมุมซ้ายขวาตรงหน้ามีพระพุทธรูปสององค์ องค์หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนฐานดอกบัวด้วยสีหน้ามีเมตตากรุณา อีกองค์หนึ่งยืนเท้าเปล่าแต่กลับหันหลังให้ พระพุทธรูปสององค์นี้สูงเกือบร้อยจั้ง จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่าห้องใต้ดินใหญ่ขนาดไหน และพระพุทธรูปที่ใหญ่โตขนาดนี้ก็ล้วนสร้างจากผลึกแดงทั้งหมด แค่คิดก็รู้แล้วว่าทั้งห้องนี้ใช้โลหะและผลึกแดงไปมากเท่าไหร่


เหมียวอี้ที่เดินลงบันไดมารู้สึกว่าตำแหน่งของพระพุทธรูปสององค์ตรงมุมค่อนข้างแปลก จึงต้องหันกลับมามองอีกรอบ


เป็นอย่างที่คาดไว้ ข้างหลังยังมีพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่ง เป็นพระพุทธรูปนอนตะแคงข้าง ใช้แขนข้างนึงค้ำยันศีรษะไว้ เหมือนกำลังหลับตานอนหลับลึก แต่ก็เหมือนหลับตางีบเฉยๆ ใบหน้าอมยิ้มเบาๆ ไม่รู้ว่ากำลังยิ้มอะไร เหมือนเป็นรอยยิ้มยามหลับฝันดี ทำให้คนรู้สึกถึงความลึกลับ


และทางเข้าห้องใต้ดินแห่งนี้ก็อยู่ตรงกลางธรรมจักรฐานบัวใต้เตียงพระพุทธรูปที่นอนตะแคง


สายตาของเหมียวอี้ย้ายจากปากถ้ำไปบนบันไดที่ตัวเองเดินลงมา บันไดก็สร้างจากสร้างจากผลึกแดงเช่นเดียวกัน ไม่เหมือนมาสร้างต่อเติมเอาทีหลัง และธรรมจักรที่เชื่อมต่อตรงทางเข้าก็เป็นรูปแบบเดียวกันอย่างแบ่งแยกไม่ได้ ลูกประคำข้อมือตรงวงกบรูปประตูพระจันทร์ก็ไม่มีความเสียหายใดๆ ไม่เหมือนทางเข้าที่ถูกโจมตีให้ทะลุเลย เห็นได้ชัดเจนมากว่าทั้งห้องใต้ดินนี้ถูกสร้างให้เชื่อมต่อกันตั้งแต่แรกแล้ว


สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้ที่เพิ่งเริ่มเดินมองไปรอบๆ เกิดความประหลาดใจสงสัย ก่อนหน้านี้ยังสงสัยนิดหน่อยว่าตัวเองตัดสินผิดพลาดไปหรือเปล่า เขามีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่าผู้ซ่อนสมบัติคือใคร แต่ภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏตรงหน้านี้ทำให้เขาต้องสงสัยว่าตัวเองตัดสินพลาดหรือเปล่า


ห้องผลึกแดงที่สร้างขึ้นมาใหญ่ขนาดนี้เกรงว่าคงจะใช้เวลาไม่ใช่น้อยๆ กำลังทรัพย์ที่ทุ่มลงไปก็ยิ่งแสดงให้เห็นอยู่ตรงหน้าแล้ว ประมาณการได้ยาก


ถ้าจะบอกว่าเวลาและกำลังทรัพย์ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผู้ซ่อนสมบัติ แต่ลักษณะของสำนักพุทธที่มีอยู่เต็มภายในห้องรูปวงแหวนขนาดใหญ่ห้องนี้ หมายความว่าอย่างไรกัน?


นอกจากพระพุทธรูปขนาดใหญ่สามองค์แล้ว บนผนังรอบพระพุทธรูปก็สลักภาพตัวละครและเหตุการณ์มากมายเอาไว้ด้วย มีทั้งนักบวช ปุถุชน หญิงชาย เด็กกับและชรา สภาพวิถีชีวิตผู้คนอยู่ในนั้นหมดแล้ว แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป ราวกับเป็นเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในชีวิตคน ส่วนนักบวชที่แทรกซึมอยู่ระหว่างตัวละครและฉากต่างๆ ก็คือหัวใจสำคัญเสมอ


ที่ประหลาดก็คือ บุคคลและภาพเหตุการณ์ต่างๆ เหมือนจะไม่ได้ถูกสลักขึ้นมาด้วยมือของคนคนเดียว ดูจากลักษณะการแกะสลัก ก็เห็นได้ชัดว่าออกมาจากมือของหลายตัวละคร แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ถึงแม้จะไม่ใช่ทุกภาพที่สลักได้มีชีวิตชีวาสมจริง แต่ภาพสลักทุกภาพก็เหมือนจะมีเวทมนต์บางอย่างที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ยาก แต่ละเส้นแต่ละลายเหมือนจะสามารถดึงดูดหัวใจคนได้ทั้งหมด


ภาพสลักภาพหนึ่งที่ดูเรียบง่ายธรรมดา แผ่นทางซ้ายเป็นภาพผู้ชายคนหนึ่งและผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วยังมีผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังอุ้มเด็กน้อยคุกเข่าอยู่บนพื้น ส่วนแผ่นตรงกลางเป็นภาพผู้หญิงที่อุ้มเด็กน้อยคนนั้นมาคุกเข่าหน้าวัด ในประตูวัดที่แง้มครึ่งเดียวมีพระชรายืนอยู่หนึ่งองค์ ส่วนภาพทางขวาก็คือภาพวัดที่กลายเป็นทะเลเพลิง


ตอนแรกที่กวาดสายตามองภาพนั้น เหมียวอี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร เขาจึงจ้องมองพลางครุ่นคิดต่อไป ในหัวสมองราวกับปรากฏฉากที่มีชีวิตชีวาขึ้นมาฉากหนึ่ง นั่นก็คือ : ฮูหยินน้อยในครอบครัวยากจนอุ้มลูกชายออกจากบ้านไป เดินไปไม่ถึงพันลี้ก็พบกับสามีของตัวเอง แต่กลับพบว่าสามีของตัวเองแต่งงานกับลูกสาวเศรษฐีอีกคนไปแล้ว เพื่อที่จะปกป้องเกียรติยศความร่ำรวยของตัวเอง สามีของนางจึงยืนกรานปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับฮูหยินน้อยและเด็กน้อยคนนี้ เด็กน้อยที่ร้องหิวนมทั้งหิวทั้งป่วย ภายใต้ความจนใจ ฮูหยินน้อยจึงไม่เกาะแกะวิงวอนสามีอีก เพราะสามีนางใจแข็งไม่ยอมรับ ตอนหลังก็กดดันจนฮูหยินน้อยต้องหอบลูกไปขอพึ่งพาที่วัดแห่งหนึ่ง โชคดีที่วัดรับสองแม่ลูกไว้ แต่ใครจะคิดว่าสามีของนางดันกลัวว่าเรื่องนี้จะมาทำลายอนาคตของตัวเอง ไม่น่าเชื่อว่าจะลอบวางเพลิง ฝังสองแม่ลูกและพระทั้งวัดให้จมอยู่ในทะเลเพลิงแล้ว


“เหมียวอี้ที่เรียกสติกลับมาตกใจจนเหงื่อท่วมตัว เนื่องจากภาพสามีทรยศที่อยู่ในหัวของเขาเมื่อครู่นี้ก็เหมียวอี้ คือตัวเขาเอง


ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้? เหมียวอี้ตกใจไม่หาย ภาพภาพหนึ่งที่ธรรมดาจนทำให้คนเห็นแล้วไม่เข้าใจ แต่ทำไมเมื่อมองให้ลึกๆ ซ้ำสองครั้ง ถึงทำให้คนนึกเชื่อมโยงไปมากมายขนาดนั้นได้ ทำไมถึงนึกเชื่อมโยงเป็นเรื่องราวออกมาได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ล่ะ?


เขารีบมองไปยังภาพอื่นๆ มองลงไปให้ลึกซึ้ง ทำให้เกิดเรื่องราวอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ แล้วตัวเองกลายเป็นหนึ่งในตัวละครของเรื่องนั้นอีกแล้ว


พอเรียกสติกลับมาอีกครั้ง เหมียวอี้ก็ไม่กล้ามองต่อไปแล้ว ภาพมากมายขนาดนี้ ถ้าจะให้แปลเรื่องราวที่อยู่ในนั้นต่อไป ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องดูต่อไปถึงเมื่อไหร่ ส่วนสาเหตุรองก็คือ เขาก็กลัวว่าถ้าดูต่อไปแล้วตัวเองจะเป็นบ้า


สายตาย้ายไปตรงปากถ้ำที่ตัวเองเดินเข้ามา แล้วความคิดก็เชื่อมโยงไปถึงเมื่อก่อน เขาคิดว่าทำไมผู้ซ่อนสมบัติถึงสร้างห้องแบบนี้ออกมาได้? ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าภาพของทั้งห้องนี้ไม่ใช่ฝีมือของคนคนเดียว ประการต่อมาก็คือมีความเป็นไปได้สูงว่าคนที่สร้างห้องนี้จะเกี่ยวข้องกับสำนักพุทธ และเบาะแสที่ได้จากจุดหาสมบัติครั้งก่อนก็ได้ชี้แนะเอาไว้ชัดเจนแล้ว ว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ตรงนี้น่าจะเป็นเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคฟ้า ถ้าผู้ซ่อนสมบัติเป็นคนของสำนักพุทธ ทำไมถึงใช้ความพยายามมากขนาดนี้ในการสร้างห้องใต้ดินที่หรูหราฟุ่มเฟือยเพื่อใช้ซ่อนเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานล่ะ?


ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็รู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ มีความเป็นไปได้สูงว่าห้องนี้จะมีอยู่ก่อนแล้ว และผู้ซ่อนสมบัติก็แค่บังเอิญมาเจอที่นี่ก็เท่านั้นเอง เลยถือโอกาสใช้เป็นที่ซ่อนสมบัติ


เขาหันตัวไปรอบๆ เพื่อมองประเมินห้องที่หรูหรา ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าจะเป็นแบบนี้ ทุกครั้งที่หาสมบัติ ผู้ซ่อนสมบัติจะทิ้งทรัพยากรฝึกตนไว้ให้เขาเสมอ แต่ครั้งนี้ไม่เห็นของอย่างอื่นเลย มีแต่โลหะและผลึกแดงจำนวนนับไม่ถ้วนพวกนี้แล้ว


เมื่อนึกถึงตรงนี้ จู่ๆ เหมียวอี้ก็รู้สึกว่าทุกอย่างล้วนสมเหตุสมผล ในใจเริ่มรู้สึกเร่าร้อนฮึกเหิม พบว่าครั้งนี้จะได้ร่ำรวยสุดขีดแล้วจริงๆ จะปล่อยให้เสียเที่ยวไม่ได้ นี่คือทรัพยากรก้อนใหญ่ขนาดไหนกัน!


ตอนนี้ปัญหาที่ยุ่งยากใจที่สุดก็คือ จะนำของพวกนี้ออกไปข้างนอกได้อย่างไร โลหะและผลึกแดงที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกันแบบนี้ เวลาจะตัดแบ่งขึ้นมาก็ยุ่งยากแล้ว เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ไม่มีทางนำออกไปได้


ในเมื่อตอนนี้ยังนำออกไปไม่ได้ ก็ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว นำเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคฟ้ามาไว้ในมือก่อนแล้วค่อยว่ากัน


ว่าแต่ของซ่อนอยู่ที่ไหนกันแน่? ทำไมไม่เห็นภาพสลักสตรีทะยานฟ้าคนนั้นล่ะ?


สายตาเขามองไปกลางโถงใหญ่ ตรงกลางมีฐานดอกบัวสูงเก้าชั้น มีเก้าชั้นเก้าวง สูงประมาณสิบกว่าจั้ง


เหมียวอี้ถลันตัวขึ้นมา ยังไม่ทันขึ้นไปถึงส่วนบนของฐานดอกบัว เขาก็หยุดชะงักอยู่กลางอากาศแล้ว พอมองดูในกลีบดอกบัวที่ซ้อนกันหลายชั้น ก็พบข้างในมีของบางอย่าง

 

 

 


บทที่ 1633 หกเคล็ดวิชาพิเศษครบถ้วน

 

เป็นงูขาวตัวหนึ่ง งูขาวตัวใหญ่ที่มีเกล็ดขาวดุจหิมะทั้งตัว นอนคดเคี้ยววนอยู่ในกลีบดอกบัว ถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีขา กอปรกับเป็นหัวงู เหมียวอี้ก็แทบจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นมังกรขาวตัวหนึ่งแล้ว


บนหัวงูมีเขาหนึ่งข้างที่ใสแวววาว บนยอดเขามีประกายลำแสงสีรุ้งให้เห็นรางๆ สวยงามมาก


ถึงแม้งูขาวจะตัวใหญ่ แต่เนื่องจากนอนขดอยู่ในกลีบดอกบัวหลายชั้น กอปรกับตำแหน่งที่ลำตัวยาวขดขึ้นไปอยู่ด้านหลัง ถ้าไม่ใช่เพราะเหาะขึ้นมา ถ้าเดินเข้ามาจากปากถ้ำก็ไม่สังเกตเห็นเลยจริงๆ


เป็นเหมือนอย่างเคย เป็นฉากที่เห็นเหมือนกับตอนหาสมบัติครั้งก่อน ถึงแม้งูขาวจะสวยงาม แต่บนตัวกลับมีเข็มเหล็กเสียบอยู่ เกล็ดที่ถูกแทงทะลุมีรอยเลือด ในดอกบัวหลายชั้นมีโซ่มัดร่างงูขาวเอาไว้


เหมียวอี้ที่ลอยอยู่กลางอากาศวนรอบฐานดอกบัวขนาดใหญ่ไปรอบหนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่างูขาวถูกควบคุมไว้ และไม่สามารถโจมตีโต้ตอบได้เหมือนที่เสิ้นหมีที่ปราสาทดำเนินเซียน เขาถึงได้เหาะไปเหยียบลงบนยอดของฐานดอกบัวอย่างวางใจ


ส่วนยอดไม่ใหญ่ เป็นแท่นสำหรับนั่งขัดสมาธิ ตรงกลางเป็นเครื่องหมาย ‘สวัสดิกะ’ เหมียวอี้เห็นแล้วหนังตากระตุก เขาไม่ได้แปลกตากับเครื่องหมายนี้แล้ว ที่เขาหาสถานที่ตรงนี้เจอก็เพราะอิงตามพิกัดของเครื่องหมายขนาดใหญ่ที่อยู่ในซากสำนักหนานอู๋


เหมียวอี้รีบมองไปยังพระพุทธรูปทีอยู่โดยรอบ รู้สึกประหลาดใจสงสัยนิดหน่อย อย่าบอกนะว่าที่นี่เกี่ยวข้องกับสำนักหนานอู๋?


หลังจากครุ่นคิดได้สักพัก ก็วางความฉงนใจไว้ชั่วคราว สายตาของเหมียวอี้ไปหยุดอยู่ตรงกลางเครื่องหมาย ‘สวัสดิกะ’ แหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งตั้งอยู่ในร่องหลุม


ตรงนี้วางแหวนเก็บสมบัติไว้วงหนึ่ง หมายความว่าอะไร? เขาไม่ได้กังวลว่าจะมีกลไกอะไร เขาค่อยๆ เข้าไปใกล้แล้วนั่งยองๆ ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูให้ละเอียด พบว่าแหวนเก็บสมบัติกับแท่นนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวโยงกัน แต่วางแยกไว้เดี่ยวๆ ตอนนี้เขาถึงได้ยื่นนิ้วออกไปเกี่ยวแหวนเก็บสมบัติที่อยู่ในร่องหลุมขึ้นมาไว้ในมือ การเคลื่อนไหวช้ามาก สัมผัสทั้งหกเฝ้าระวังทุกอย่างรอบตัว


หลังจากได้ของมาไว้ในมือ และแน่ใจแล้วว่ารอบกายไม่มีความผิดปกติอะไร เหมียวอี้ถึงได้ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูของข้างในแหวนเก็บสมบัติ


ข้างในมีกล่องผลึกแดงอยู่ใบหนึ่ง เหมือนกล่องโลหะที่เห็นตอนหาสมบัติก่อนหน้านี้ไม่มีผิด เหมียวอี้ชะงักทันที อย่าบอกนะว่านี่คือสมบัติที่ถูกซ่อนไว้?


เขามองไปรอบๆ อีกครั้ง สงสัยว่าของไม่ได้ซ่อนอยู่ในมือของภาพสลักสตรีทะยานฟ้าหรอกหรือ? อย่าบอกนะว่าครั้งนี้เป็นข้อยกเว้น?


เพื่อที่จะคลายความสงสัยในใจ เขาจึงรีบนำกล่องโลหะในแหวนเก็บสมบัติออกมา


พอเปิดออกมาดู ก็พบว่าข้างในวางแผ่นหยกเอาไว้เจ็ดแผ่น มีลูกกลมโลหะสีแดงสองอัน


พอหยิบแผ่นหยกขึ้นมาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็คือตัวอักษรที่เขียนว่า : เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน ฟ้า!


พอดูเนื้อหาที่อยู่ข้างล่างอีก ก็พบว่าเป็นเคล็ดวิชาฝึกตนจริงๆ ด้วย เหมียวอี้ตื่นเต้นดีใจทันที ได้เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคฟ้ามาไว้ในมือแล้ว ในที่สุดอวิ๋นจือชิวก็สามารถฝึกเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานแบบครบสมบูรณ์ได้แล้ว มีเคล็ดวิชาพิเศษนี้คอยช่วย ถ้าอวิ๋นจือชิวฝึกสำเร็จขึ้นมา ก็จะต้องมีความสามารถในการปกป้องตัวเองเพิ่มขึ้นมหาศาลแน่นอน


แล้วแผ่นหยกอีกหกแผ่นคืออะไรล่ะ? เขาพยายามสงบสติอารมณ์ดีใจ แล้ววางเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานไว้บนฝากล่องที่พลิกออก จากนั้นหยิบแผ่นหยกอีกแผ่นขึ้นมาตรวจดู สิง่ที่ปรากฏสู่สายตาก็คือ : มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง ฟ้า!


เหมียวอี้เริ่มทำสีหน้าอัศจรรย์ใจทันที จุดซ่อนสมบัติครั้งก่อนชี้แนะไว้ชัดเจนว่าจุดซ่อนสมบัติจุดถัดไปคือเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคฟ้า ทำไมแม้แต่มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคฟ้าก็โผล่ออกมาด้วยล่ะ? แล้วแผ่นหยกคืออะไร…


วางของในมือไว้บนฝากล่องอีกครั้ง แล้วหยิบแผ่นหยกแผ่นถัดไปมาตรวจดูต่อ สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็คือ : เคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ฟ้า!


จากนั้นวางไว้บนฝากล่อง แล้วหยิบแผ่นถัดไปมาตรวจดูอย่างอดใจรอไม่ไหว เคล็ดวิชาวิญญาณหยินชื่อมหยางภาคฟ้า!


หยิบแผ่นถัดไปอีก ได้หฤทัยสูตรสุขาวดีภาคฟ้า และแผ่นต่อไปก็คือมหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจภาคฟ้า!


“ไม่น่าเชื่อว่าภาคฟ้าหกเคล็ดวิชาพิเศษจะอยู่ที่นี่หมด…” เหมียวอี้ทำสีหน้างุนงง หรือพูดได้อีกอย่างว่า การมาครั้งนี้ทำให้เก็บรวบรวมหกเคล็ดวิชาพิเศษได้ครบทั้งหมดในรวดเดียว ผู้ซ่อนสมบัติที่ดูเหมือนชอบหลอกล่อให้อยากรู้เปลี่ยนเป็นใจกว้างขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?


แต่พอลองคิดดูให้ละเอียด เครื่องนี้ก็ใช่ว่าจะไร้เบาะแสให้ตรวจสอบ ครั้งก่อนตอนหาสมบัติที่แดนอเวจี สถานการณ์ก็เหนือความคาดหมายนิดหน่อย เพราะเคล็ดวิชาวิญญาณหยินชื่อมหยาง มหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจ หฤทัยสูตรสุขาวดีภาคดินปรากฏออกมารวมกัน ได้เคล็ดวิชาภาคดินของสามวิชาในรวดเดียว ครั้งนี้ก็ยิ่งก้าวหน้ากว่าเดิม ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เคล็ดวิชาภาคฟ้าของหกวิชาในรวดเดียว


ในเมื่อได้หกเคล็ดวิชาพิเศษครบหมดแล้ว เช่นนั้นแผ่นหยกแผ่นที่เจ็ดคืออะไรล่ะ?


เหมียวอี้จะข่มใจไหวได้อย่างไร คว้ามาตรวจสอบดูในมือทันที สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็คือตัวอักษรที่ล่องลอยราวกับน้ำไหลเมฆเคลื่อน


“ในเมื่อเข้ามาที่ห้องนี้ได้ ก็จะมอบมหาหกเคล็ดวิชาให้ครบทั้งหมด


เมื่อมาแล้ว ก็จงอยู่อย่างสงบใจ ไม่ต้องคิดอะไรมาก


สมบัติในห้องอยู่ระหว่างการได้และการเสีย ไม่อาจนำออกไปง่ายๆ ศิษย์สำนักพุทธที่สามารถไขเปิดธรรมทวารคือเจ้าของห้องนี้ หากเจ้าของเต็มใจให้ก็นำไปได้ ไม่เช่นนั้นก็วางลงเสีย ทุกอย่างเป็นไปตามวาสนา ไม่อาจฝืนเพื่อให้ได้มา”


ในแผ่นหยกมีตัวอักษรเขียนไว้อย่างนั้น สุดท้ายก็ไม่ได้ลงชื่อไว้ และไม่ลงตราอิทธิฤทธิ์ใดๆ ไว้ด้วย เป็นคำพูดที่ไร้ชื่อไร้แซ่ แต่กลับทำให้เหมียวอี้รู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ในที่สุดก็ได้เห็นข้อความจากผู้ซ่อนสมบัติเสียที


คนอื่นอาจจะไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร แต่สำหรับเหมียวอี้ กลับหมายถึงการยอมรับอย่างหนึ่ง หมายถึงผู้ซ่อนสมบัติยอมรับเขาแล้ว


หลังจากปรับสติอารมณ์ให้คงที่ เหมียวอี้ก็กลุ้มใจกับคำพูดพวกนี้นิดหน่อย เขาไม่สามารถทำความเข้าใจทั้งหมดได้ อย่างอื่นก็อ่านง่ายหน่อย แต่ที่บอกว่ ‘ศิษย์สำนักพุทธที่สามารถไขเปิดธรรมทวารคือเจ้าของห้องนี้’ หมายความว่าอะไรล่ะ? ศิษย์สำนักพุทธอะไร? แล้วธรรมทวารอยู่ที่ไหน?


คิดไม่ออกก็ไม่คิดแล้ว สายตาไปหยุดอยู่บนลูกกลมโลหะสีแดงสองลูก เขาหยิบหนึ่งลูกขึ้นมาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู พลังอิทธิฤทธิ์พลันถูกดูดเข้าไป ข้างในปรากฏแผนที่ดาวสองฉบับ ทำเครื่องหมายประตูดวงดาวไว้สองแห่ง แต่กลับไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเป็นการไปมาของจุดไหน


ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นลูกกลมโลหะสีแดงแบบนี้ ครั้งก่อนตอนที่หาสมบัติที่แดนอเวจีก็เคยได้แบบนี้มาเหมือนกัน ครั้งนั้นเป็นแผนที่ดาวที่มีประตูดวงดาวสี่แห่ง จากประสบการณ์ ก็ได้พิสูจน์แล้วว่านั่นคือเส้นทางลับที่ใช้เดินทางไปมาที่แดนอเวจี เป็นทางเข้าสองทางและทางออกสองทาง ทางเข้าลับหนึ่งในนั้นถูกพวกอวิ๋นอ้าวเทียนเปิดโปงตอนที่ปล้นแล้วถูกตำหนักสวรรค์ไล่สังหาร ในบรรดาประตูดวงดาวทั้งสามแห่ง ประตูแห่งสุดท้ายยังไม่ถูกสำรวจเส้นทาง ครั้งก่อนตอนนี้เขาออกจากแดนอเวจี เขาก็ใช้เส้นทางนั้น เท่ากับว่าเส้นทางประตูดวงดาวที่มีหนึ่งทางเข้าสองทางออกได้ถูกสำรวจครบหมดแล้ว


เมื่อมีประสบการณ์จากครั้งก่อนแล้ว การมีประตูดวงดาวโผล่มาสองแห่งอย่างกะทันหัน ก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกฮึกเหิมในใจ เมื่อนำสถานการณ์มาเชื่อมโยงกัน เขาก็สงสัยนิดหน่อย ว่าประตูดวงดาวสองแห่งนี้จะเป็นทางลับที่ใช้เข้าออกแดนสุขาวดีหรือไม่?


เมื่อก่อนก็แค่ไม่คิดเท่านั้น แต่พอได้คิดขึ้นมา ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้


เพียงแต่เขาไม่ค่อยเข้าใจ ว่าเส้นทางลับในดาราจักรที่แม้แต่ตำหนักสวรรค์กับแดนสุขาวดียังไม่รู้ ทำไมผู้ซ่อนสมบัติถึงรู้ได้ล่ะ ทางเลี่ยงรู้เยอะขนาดนี้ด้วย?


เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคนคนหนึ่ง เทพพยากรณ์! ท่านที่ทำตัวลึกลับเหมือนมังกรที่มีหัวแต่ไร้หาง ก็เหมือนจะรู้เส้นทางลับในดาราจักรไม่น้อยเหมือนกัน ดูจากที่พระท่านนั้นสามารถไปมาระหว่างพิภพเล็กกับพิภพใหญ่ได้อย่างอิสระก็รู้แล้ว


เอาของวางไว้ข้างๆ ก่อน กลับไปค่อยส่งต่อเรื่องนี้ให้อวิ๋นจือชิวตรวจสอบเปรียบเทียบ เขาคว้าลูกกลมโลหะสีแดงอีกลูกขึ้นมา แล้วกรอกพลังอิทธิฤทธิ์เข้าไปตรวจดู


ข้างในมีแผนที่ดาวเพียงหนึ่งฉบับ ไม่มีประตูดวงดาว แต่ด้านบนของดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่อยู่ในแผนที่ดาวกลับทำสัญลักษณ์วัดแห่งหนึ่งเอาไว้ ในวัดมีภาพเงาคนที่เลือนรางอยู่คนหนึ่งด้วย


เหมียวอี้เอามือลูบคางพรางเครื่องคิดเลข แล้วสิ่งนี้คืออะไรอีกล่ะ?


เขาเริ่มเลอะเลือนแล้ว ในเมื่อตามหาหกเคล็ดวิชาพิเศษครบแล้ว ทำไมถึงมีของที่ให้แก้ไขปริศนาโผล่มาอีก นี่มันสถานการณ์อะไรกัน!


“เฮ้อ!” เหมียวอี้ที่คิดไม่ออกอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เขารู้สึกเหมือนถูกผู้ซ่อนสมบัติจูงจมูกให้เดินมาตลอด แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้บังคับเจ้าแม้แต่น้อย แต่ไหนแต่ไรมาก็ปูทางไว้ให้หมดแล้ว เขาอยากจะเดินก็เดิน ถ้าไม่อยากจะเดินก็ไม่บังคับเช่นกัน ให้อิสระเขาเต็มที่ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความเต็มใจของเขาเอง ให้เขาเหมียวอี้ไปเลือกด้วยตัวเอง ไม่มีการบังคับใดๆ ทั้งนั้น


พอได้ของมาไว้ในมือ ได้หกเคล็ดวิชาพิเศษครบในรวดเดียว ความรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่เพิ่งจะพรั่งพรูขึ้นมาก็ถูกปริศนาก้อนนี้กลบไว้แล้ว


เหมียวอี้เริ่มเก็บของ อารมณ์ในตอนนี้ทำให้เขามองไปรอบๆ อีกครั้ง เขายืนอยู่ในตำแหน่งที่สามารถมองเห็นภาพฝาผนังจำนวนนับไม่ถ้วนบนผนังรูปวงแหวนได้อย่างชัดเจน จึงอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ฐานดอกบัวใต้เท้าพร้อมครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ฐานดอกบัวนี้เหมือนจะสร้างไว้เพื่อให้สะดวกต่อการชมรูปภาพบนฝาผนังรอบๆ  หมายความว่าอย่างไรกัน?


ไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่ต่อนานๆ คงไม่ดีถ้าเขาจะอยู่ที่ดาวหนานอู๋นานเกินไป ตอนที่ออกจากฐานดอกบัว เขาไปจ้องไปที่งูขาวตัวนั้นอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้แตะต้องมัน เขาถลันตัวไปเหยียบบนบันไดตรงปากทางแล้วหันกลับมามองอย่างอาลัยอาวรณ์ เขาแอบทอดถอนใจ น่าเสียดายทรัพย์สมบัติก้อนใหญ่ขนาดนี้จัง


พอหันตัวไปเตรียมจะออกประตู ข้างหลังก็มีเสียงดังโครมคราม เหมียวอี้หันขวับกลับไปมอง เห็นผนังที่ถูกอุดไว้ร่วงลงมา ชั่วพริบตาเดียวก็ปิดตาย ทางเข้าห้องเอาไว้แล้ว


เหมียวอี้ตกใจทันที เดินไปลูบไล้ตรงหน้าผนังที่อุดอยู่ มันถูกสร้างจากผลึกแดงบริสุทธิ์สูง แน่นหนาทนทานมาก เขาพยายามใช้พลังอิทธิฤทธิ์แล้ว แต่ก็ยากที่จะทำให้ขยับได้ เกรงว่าต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพก็ยังขยับมันไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น


บนผนังเต็มไปด้วยคัมภีร์ต่างๆ เพียงแต่ดูแล้วการจัดเรียงค่อนข้างไร้ระเบียบ


ชั่วพริบตานี้ เหมียวอี้ก็เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน เข้าใจแล้วว่า ‘ศิษย์สำนักพุทธที่สามารถไขเปิดธรรมทวารคือเจ้าของห้องนี้’ หมายถึงอะไร ที่แท้สิ่งที่เรียกว่าธรรมทวารก็หมายถึงประตูบานนี้ และศิษย์สำนักพุทธที่สามารถเปิดประตูบานนี้ได้ ก็ย่อมไม่อาจฝืนเปิด ไม่อย่างนั้นถ้าไม่ใช้ศิษย์สำนักพุทธ เหมียวอี้ก็สามารถนำตั๊กแตนมาเปิดได้เหมือนกัน


ดูท่าแล้วเจตนาของผู้ซ่อนสมบัติก็ชัดเจนมาก ถ้าเหมียวอี้อยากจะได้สมบัติหินใหญ่ก้อนนี้ไป ก็ต้องพาเจ้าของมาที่ห้องนี้ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของห้องนี้ก่อน


แต่สมบัติชิ้นใหญ่โตขนาดนี้ เพียงพอที่จะเลี้ยงทัพใหญ่ได้หนึ่งกองทัพเลย ต่อให้จะเจอเจ้าของห้องนี้แล้ว แต่ผู้ซ่อนสมบัติมีสิทธิ์อะไรมาด่วนสรุปว่าเจ้าของห้องจะเต็มใจมอบสมบัติชิ้นใหญ่ขนาดนี้ให้? ทั้งยังกดดันให้อีกฝ่ายมอบให้ไม่ได้อีก ผู้ซ่อนสมบัติบอกเองว่าไม่อาจฝืนเพื่อให้ได้มา ไม่ว่าใครก็คงไม่มอบสมบัติชิ้นนี้ให้คนอื่นโดยไม่มีเหตุผลทั้งนั้น


เหมียวอี้ส่ายหน้าพลางยิ้มเจื่อน แล้วหันตัวเดินออกไป เป็นเพราะการวางแผนของผู้ซ่อนสมบัติท่านนี้ทำให้คนรู้สึกลึกลับยากจะคาดเดาจริงๆ สติปัญญาของอีกฝ่ายไม่ใช่สิ่งที่ตนจะเอื้อมถึงได้ อีกฝ่ายทำแบบนี้ก็แสดงว่ามีเหตุผลแน่นอน


เขาเดินผ่านทางในแนวราบ แล้วก็ตกลงมาในแนวตรง ตกลงบนกระแสน้ำใต้ดินอีกครั้ง “จ๋อม” แต่กลับมีปลาตกใจกระโดดขึ้นมา แล้วก็กระโดดลงน้ำหายไป


ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่จะมีปลาด้วย? เหมียวอี้ตกใจ แต่ไม่นานก็เข้าใจได้ ใต้ดินที่ลึกขนาดนี้ มีน้ำซึมผ่านหลายขั้น พิษที่อยู่ในนั้นถูกกรองจนน้ำสะอาดแล้ว ต่อให้มีอากาศพิษ แต่ก็ยากที่จะแทรกซึมมาถึงที่นี่ได้ ต่อให้ซึมเข้ามาแต่ก็เบาบางจนไม่เป็นอันตรายแล้ว


เขาลองเก็บเกราะป้องกันออกไป สูดหายใจอากาศใต้ดินเฮือกหนึ่ง วักน้ำขึ้นมาชิม พบว่าหวานอร่อย


เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ เขาไม่เป็นอะไรสักนิดเลย


เขาไม่ได้อยู่ต่ออีก รีบกลับไปตามทางเดิม หลังจากโผล่ออกมาจากทะเลสาบภูเขาไฟ ตัดสินทิศทางคร่าวๆ ที่แม่น้ำใต้ดินยื่นออกไป แล้วรีบเหาะไปทางนั้น


เหาะออกไปประมาณหลายร้อยลี้ แล้วหยุดอยู่บนฟ้าเหนือจุดซ่อนสมบัติใต้ดินที่คาดคะเนไว้ เหมียวอี้ที่มองมาด้านล่างรู้สึกพูดไม่ออกนิดหน่อย ข้างล่างก็คือซากสำนักหนานอู๋ที่ถูกรอยฝ่ามือขนาดใหญ่ทำลาย

 

 

 


บทที่ 1634 คนเก็บสมุนไพรที่ดาวพิษ

 

ก่อนหน้านี้เขาสงสัยนิดหน่อยว่าจุดซ่อนสมบัติและสำนักหนานอู๋มีความเกี่ยวข้องกัน อย่างไรเสียห้องใต้ดินก็มีลักษณะความเป็นพุทธชัดเจนเกินไป กอปรกับเครื่องหมาย ‘สวัสดิกะ’ ใครจะคิดว่าจะเกี่ยวโยงกันชัดเจนขนาดนี้ วนอ้อมไปตั้งไกลหนึ่งรอบ ไม่น่าเชื่อว่าจุดซ่อนสมบัติจะโดนฝังลึกอยู่ใต้ซากของสำนักหนานอู๋นี่เอง


ตอนนี้เหมียวอี้แทบจะแน่ใจแล้วห้องใต้ดินนั้นคือมรดกของสำนักหนานอู๋


จากสิ่งนี้ เขาก็สามารถแน่ใจได้เช่นกันว่าผู้ซ่อนสมบัติกับสำนักหนานอู๋ต้องมีอะไรสักอย่างที่เกี่ยวข้องกัน ไม่อย่างนั้นทำไมไม่ให้นำสมบัติก้อนใหญ่ที่หยิบฉวยง่ายขนาดนี้ไปล่ะ สำนักหนานอู๋ถูกทำลายไปหลายปีขนาดนี้แล้ว จะมีเจ้าของเสียที่ไหนกัน แต่กลับต้องรอให้เจ้าของอนุญาตถึงจะนำของไปได้ จะเห็นได้ว่าผู้ซ่อนสมบัติเคารพสำนักหนานอู๋ขนาดไหน เพียงแต่ความสัมพันธ์ที่อยู่ในนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจยากจริงๆ เกรงว่าคงจะมีเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด


ตอนนี้พ่อมาขบคิดถึงประโยค ‘กลางร่องรอยความเจ็บปวดของหนานอู๋’ อีกครั้ง ก็มีอีกความหมายหนึ่งที่ลึกซึ้งจริงๆ หวนคิดถึงความหมายอันลึกซึ้งด้วยจิตใตที่หดหู่


“ใครกันน่ะ?”


เสียงตะโกนที่แหลมเล็กดังขึ้น เงาคนสามคนแฉลบผ่านมา เป็นหง ลั่วและอวี่นั่นเอง


ก่อนหน้านี้ทั้งสามไล่ตามเหมียวอี้ไปตลอดทาง แต่กลับหาเงาของเหมียวอี้ไม่เจอ ใครจะคิดว่าพอหาจนทั่วแล้วกลับมาที่นี่อีกถึงได้บังเอิญเจอแล้ว


เหมียวอี้ดึงสติกลับมา พอเห็นการแต่งกายของทั้งสามคน ก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่มาเก็บเมิ่งถัวหลัว  เขายังไม่รู้ที่มาที่ไปของคนพวกนี้ชัดเจน กูไม่อยากเกิดความขัดแย้งอะไรกัน บวกกับได้สมบัติมาไว้ในมือแล้ว จึงไม่พูดพร่ำทำเพลง ถลันตัวพุ่งขึ้นฟ้าไปเลย มุ่งตรงไปยังท้องฟ้าอันกว้างใหญ่


“อยู่นี่นะ!”


ทั้งสามตะโกนซ้ำๆ นอกจากจะไล่ตามไม่หยุดแล้ว ยังรีบหยิบระฆังดารามาติดต่อกับคนอื่นๆ ในสำนักอีก


ผ่านไปไม่นาน ตามจุดต่างๆ ของดาวพิษก็มีคนโผล่มาอีกยี่สิบกว่าคน รีบเร่งตามมา ทยอยกันห่อขึ้นไปบนท้องฟ้า


เหมียวอี้กำลังเดินทางอยู่ในดาราจักรหันกลับมามองเป็นระยะ รู้สึกโมโหนิดหน่อย ตัวเองไม่ได้ไปหาเรื่องคนพวกนี้ อยู่ดีๆ จะมาไล่ตามตนทำไม?


มีอยู่จุดหนึ่งที่สามารถแน่ใจได้ นั่นก็คือคนพวกนี้เหมือนจะมีวรยุทธ์พอๆ กับเขา ความเร็วตอนไล่ตามก็ไม่ได้แย่กว่า เขารู้สึกวู่วามอยากจะลงมือ


แต่คิดไปคิดมาก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น เขาเหาะไปยังจุดที่เหยียนซิวซ่อนตัวอยู่ ขณะเดียวกันก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหยียนซิว


พอบุกเข้ามาในแนวเทือกเขาของดาวเคราะห์ที่เหยียนซิวซ่อนตัว เหมียวอี้ก็รีบถลันตัวเข้าไปซ่อนในนั้น


หง ลั่วและอวี่ไล่ตามไม่หยุด ขณะกำลังจะค้นหาตรงจุดที่เหมียวอี้หายไป จู่ๆ เงาคนคนหนึ่งก็ถลันลงมาจากข้างบน มาขวางทั้งสามเอาไว้กลางอากาศ แล้วตะคอกว่า “พวกเจ้าเป็นใครกัน?” คนถามก็คือเหยียนซิวนั่นเอง


ทั้งสามหยุดอย่างกะทันหัน แล้วมองประเมินเหยียนซิวศีรษะจดเท้า และหน้าตาของเหยียนซิวก็ไม่ได้น่าเอ็นดูอยู่แล้ว เพียงแต่พอเห็นว่าเหยียนซิวแต่งตัวเหมือนปุถุชน ศิษย์พี่หงจึงกล่าวเสียงต่ำว่า “พวกเจ้าสองคนรีบไปตรวจสอบ”


ตอนที่ศิษย์น้องลั่วกำลังจะถลันตัวเข้าไป ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะเป็นฝ่ายปรากฏตัวออกมาก่อนแล้ว ตะคอกถามว่า “ผู้ที่มาเป็นใคร?”


แน่นอน ผ้าดำที่ใช้คลุมร่างกายถูกถอดทิ้งแล้ว เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาแล้ว


ดวงตาของเหยียนซิวฉายแววเคารพนับถือ ถอยกลับมาอยู่ข้างกายเหมียวอี้ แล้วบอกว่า “นายท่าน สงสัยจะหลบไม่พ้นแล้ว คนพวกนี้คงจะไม่ยอมเลิกราถ้าไม่ได้ฆ่าพวกเรา”


หง ลั่วและอวี่มองไปยังทิศทางที่เหมียวอี้จากมา พอได้ยินคำเรียกว่า ‘นายท่าน’ พวกนางก็ระแวงสงสัยและทำท่าอยากจะตะโกนถาม แต่ใครจะคิดละว่าเหมียวอี้จะกล่าวอย่างโมโหแล้ว “ได้! นึกว่าหนีไม่พ้นแล้ว ก็สู้ตายให้เหมือนปลาเจาะแหก็แล้วกัน หนิวโหย่วเต๋อ แม่ทัพภาคตลาดผีอยู่นี่แล้ว ใครจะกล้าสู้ตายกับข้าสักตั้งไหม!” พูดจบก็โบกมือช้อนทวนเกล็ดย้อนขึ้นมาชี้ทั้งสามอย่างเกรี้ยวกราด


แม่ทัพภาคตลาดผีหนิวโหย่วเต๋อ? คนคนนี้คือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ? หง ลั่วและอวี่อึ้งนิดหน่อย คิดตามไม่ค่อยทันว่านี้มันเรื่องอะไรกันแน่


ศิษย์พี่หงถามอย่างค่อนข้างตะลึงว่า “เจ้าคือหนิวโหย่วเต๋อ แม่ทัพภาคตลาดผีฝั่งตำหนักสวรรค์เหรอ?”


เหมียวอี้ชี้ทวนพลางแสยะยิ้ม “รู้แล้วยังจะแกล้งถามทำไม ไล่สังหารจากดาวฮุ่ยหลินมาจนถึงที่นี่ อยากจะเอาชีวิตหนิวไม่ใช่เหรอ? เข้ามาได้เลย!”


ไล่สังหารจากดาวฮุ่ยหลินมาที่นี่อะไรกัน? ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามมองหน้ากันเลิกลั่ก


ในขณะนี้เอง ข้างหลังก็มีศิษย์ร่วมสำนักทยอยกันมาถึง มาช่วยทั้งสามล้อมเหมียวอี้กับเหยียนซิวเอาไว้ตรงกลาง ในมือของแต่ละคนถือตรีศูล


“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นใคร คนที่เพิ่งมาจากดาวพิษเมื่อครู่นี้คือเจ้ารึเปล่า?” ศิษย์พี่หงถามเสียงต่ำ


เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ดาวพิษอะไรกัน อย่ากระบิดกระบวนนักเลย! แต่ละคนซ่อนหัวหดหางไม่กล้าเจอหน้าใครเหรอ? พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?”


ศิษย์พี่หงดึงผ้าคลุมศีรษะสีดำออก ผมงามแผ่สยาย เผยใบหน้าที่สวยเลิศล้ำ “ชางหง ศิษย์ของพุทธะหน้าหยก ได้รับคำสั่งจากท่านพุทธให้มาเก็บสมุนไพรที่ดาวพิษ อาตมาจะถามอีกครั้ง คนที่ออกมาจากดาวพิษเมื่อครู่นี้คือเจ้าใช่มั้ย?”


กลุ่มศิษย์พี่ศิษย์น้องพากันถอดผ้าโพกศีรษะ ถอดผ้าสีดำทิ้ง เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา แต่ละคนเรียกได้ว่าสวยหยาดเยิ้ม โดยเฉพาะลักษณะการแต่งตัว ช่างร้อนแรงยั่วยวนจริงๆ เปิดเผยเรือนร่างพอสวมควร หน้าอกขาวดุจหิมะและต้นขาขาวผ่องแทบจะโผล่ออกมาเกินครึ่ง ถ้ามองนานๆ ก็ทำให้เลือดลมสูบฉีดได้ ขนาดเหมียวอี้เห็นแล้วยังเหม่อ คนกลุ่มนี้แต่งตัววาบหวิวยิ่งกว่าจางเทียนเซี่ยวเสียอีก


เหมียวอี้กับเหยียนซิวอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันอย่างเลิกลั่ก สงสัยนิดหน่อยว่าผู้หญิงพวกนี้เป็นคนสำนักพุทธจริงเหรอ?


“พุทธะหน้าหยก? มิน่าล่ะถึงได้ใจกล้าขนาดนี้!” เหมียวอี้แสยะยิ้ม แล้วหยิบระฆังดาราออกมา ติดต่อไปหาโค่วเจิงโดยตรง ขอความช่วยเหลือ!


จวนตระกูลโค่ว โค่วเจิงที่กำลังฝึกตนอยู่ในห้องสมาธิได้รับข่าวขอความช่วยเหลือจากเหมียวอี้ เรียกได้ว่าตกใจมาก รีบวิ่งออกมาจากห้องสมาธิทันที บุกตรงไปยังเขตหวงห้ามด้านในของจวนตระกูลโค่ว


โค่วหลิงซวีก็กำลังฝึกตนอยู่เช่นกัน พอถังเฮ่อเหนียนที่ขวางโค่วเจิงไว้ข้างนอกได้ยินเรื่องนี้ ก็ตกตะลึงมากเช่นกัน จึงเข้ามารายงานโดยไม่ลังเล


ผ่านไปไม่นาน โค่วหลิงซวีก็เดินออกมาจากตำหนักใหญ่ ขณะที่เดินลงบันได้ ก็ตะโกนถามโค่วเจิงที่ยืนรออยู่ตรงบันไดว่า “มีเรื่องอะไร?”


โค่วเจิงกุมหมัดคารวะ “ตามที่หนิวโหย่วเต๋อ เขาเที่ยวเล่นที่แดนสุขาวดีไปจนถึงดาวฮุ่ยหลิน ถูกศิษย์คนหนึ่งในดาวฮุ่ยหลินที่ชื่อว่าไป่ลิ่วหลอกล่อให้ไปยังสถานที่ลับตาคน ล่อให้ติดกับดักล้อมสังหาร อันตรายถึงชีวิต หลังจากสู้ตายจนรอดออกมาแล้ว ก็หนีออกจากดาวฮุ่ยหลินทันที ใครจะคิดว่าพอหนีมาถึงบริเวณดาวพิษ ก็ถูกศิษย์ของพุทธะหน้าหยกล้อมไว้อย่างไม่รู้จักแยกแยะถูกผิดอีก ฝ่ายตรงข้ามมีคนเยอะจึงได้เปรียบกว่า สถานการณ์อันตราย จึงขอความช่วยเหลือจากทางบ้านอย่างเร่งด่วน!”


โค่วหลิงซวีหันกลับไปมองถังเฮ่อเหนียนอีกครั้ง “เจ้าคิดว่ายังไง?”


ถังเฮ่อเหนียนขมวดคิ้วกล่าวอย่างลังเล “จากดาวฮุ่ยหลินไปดาวพิษเหมือนจะห่างไกลกันอยู่นะ ตอนที่เขาหนีออกจากดาวฮุ่ยหลิน ทำไมถึงไม่บอกตระกูลสักคำ ดึงดันจะรอถึงตอนนี้ให้ได้?” แล้วก็ถามโค่วเจิงอีก “หนิวโหย่วเต๋อได้เปิดเผยตัวเองหรือเปล่า?”


“เขาบอกว่าเขาเปิดเผยแล้ว แต่ฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมหยุด” โค่วเจิงตอบ


“หึหึ! อวี้หลัวช่าคิดจะทำอะไร? คิดว่าตาแก่คนนี้นั่งหัวโด่อยู่เฉยๆ รึไง?” โค่วหลิงซวีเดือดจนหัวเราะประชด หยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวี้หลัวช่าเพื่อยืนยันทันที อวี้หลัวช่าก็คือพุทธะหน้าหยกนั่นเอง เขายืนยันด้วยตัวเองว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจริงหรือไม่


ส่วนอวี้หลัวช่าที่อยู่ฝั่งแดนสุขาวดี พอได้ข่าวจากโค่วหลิงซวีก็ตกใจเหมือนกัน คนของตัวเองจะทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไรกัน แต่พอได้ยินว่าอยู่บริเวณดาวพิษก็เริ่มไม่ค่อยแน่ใจแล้วเหมือนกัน ถึงตาฝ่ายนางไปเก็บรวบรวมเมิ่งถัวหลัวที่ดาวพิษพอดี นางจึงบอกให้โค่วหลิงซวีใจเย็น นางจะยืนยันกับฝ่ายตัวเองสักหน่อย


ดังนั้นชางหงที่กำลังล้อมเหมียวอี้จึงได้รับข่าวจากท่านอาจารย์เร็วมาก ถามว่านางกำลังเผชิญหน้ากับหนิวโหย่วเต๋อใช่หรือไม่?


ตอบสนองเร็วขนาดนี้เลยเหรอ? ชางหงกัดริมฝีปากพลางจ้องเหมียวอี้ เมื่อครู่เพิ่งเห็นเหมียวอี้วางระฆังดาราไปได้ไม่นาน ฝั่งก็สะเทือนไปถึงท่านอาจารย์แล้ว ดูท่าแล้วน่าจะเป็นหนิวโหย่วเต๋อของฝั่งตำหนักสวรรค์จริงๆ คนที่มีเส้นสายหนุนหลังก็ดีอย่างนี้


นางรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรมนิดหน่อย หลังจากยืนยันไปแล้วว่าล้อมหนิวโหย่วเต๋อเอาไว้จริงๆ อาจารย์ก็ตำหนินางไปยกหนึ่ง ทั้งยังบอกนางว่าอย่าทำซี้ซั้วด้วย


“ศิษย์พี่หง…” ชางลั่วกับชางอวี่มาขนาบชางหงไว้ตรงกลางอย่างค่อนข้างลำบากใจ เพราะอาจารย์สั่งให้พวกนางควบคุมชางหงเอาไว้ ถ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องสังหารลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่ว นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว ถ้ายังตรวจสอบเรื่องนี้ไม่ชัดเจนและยังยืนยันไม่ได้ว่าชางหงมีเอี่ยว ชางหงก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะมีอิสระ


ชางหงกัดฟันก้มหน้าเงียบๆ ปล่อยให้ศิษย์น้องทั้งสองควบคุมตัวเอง ปล่อยให้ตัวเองโดนมัดแล้ว


นางรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมจนอยากร้องไห้ นางมีใจที่เที่ยงธรรมแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นไปล่วงเกินคนมีเส้นสายหนุนหลัง จนตัวเองต้องได้รับความอัปยศต่อหน้าฝูงชน


แน่นอน ฝั่งนี้รายงานไปแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋ออาจจะบุกเข้ามาขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัวที่ดาวพิษ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เหมือนกัน คนที่ล้อมเหมียวอี้เอาไว้ไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยเหมียวอี้ไปถ้ายังไม่ได้ตรวจสอบให้ชัดเจน


พอพุทธะหน้าหยกได้รับคำตอบจากคนของตัวเอง ก็รีบให้คำตอบกับโค่วหลิงซวี


โค่วหลิงซวีตอบนางเพียงคำเดียวว่า เจ้าจัดการเองตามเห็นสมควรแล้วกัน!


ตรงตีนบันได พอเห็นโค่วหลิงซวีเก็บระฆังดาราแล้ว ถังเฮ่อเหนียนก็เอ่ยถามว่า “นายท่าน สถานการณ์เป็นยังไงบ้างขอรับ?”


“เฮอะ!” โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม “อวี้หลัวช่าบอกว่าคงจะเป็นเข้าใจผิด คนของนางสงสัยว่าหนิวโหย่วเต๋อไปที่ดาวพิษเพื่อขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัว เป็นเรื่องบังเอิญ ช่างหาข้ออ้างได้ดีนี่ เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้น ที่ดาวฮุ่ยหลินมีคนวางกับดัก หนิวโหย่วเต๋อแทบจะหนีเอาชีวิตไม่รอดด้วยซ้ำ ยังจะบังเอิญไปเจอกับคนของนางได้อีกเหรอ? มีเรื่องบังเอิญขนาดนั้นเสียที่ไหนกัน ไม่รู้ว่าทางตำหนักสวรรค์มีใครสมคบคิดกับทางนั้นเพื่อลงมือ!”


ถังเฮ่อเหนียนกับโค่วเจิงสบตากันแวบหนึ่ง คำพูดนี้ไม่ต่างอะไรกับยืนยันว่าหนิวโหย่วเต๋ออยู่ในอันตรายแล้วจริงๆ


“ดูท่าแล้วน้องเขยก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน ทางนั้นวางกับดักได้ ก็แสดงว่าจะต้องเล่นงานให้ถึงตายให้ได้ แต่ใครจะคิดว่าน้องเขยก็ยังหนีรอด ท่านพ่อ ตอนนี้ทำยังไงดี พวกเราไม่มีทางตามไปทางนั้นได้ทันเวลาแน่ จะเกิดเรื่องอะไรกับหนิวโหย่วเต๋อหรือเปล่า?” โค่วเจิงถาม


“นึกไม่ถึงว่าแดนสุขาวดีจะเข้ามาพัวพันกับฝั่งนี้ นี่กำลังอยากจะช่วยใครควบคุมข้ารึเปล่า? ถ้าอวี้หลัวช่าเก่งนักก็ลองลงมือดูสิ ข้าจะทำให้นางฟื้นฟูพลังปราณไม่ได้หนึ่งแสนปีเลย!” โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม แล้วเหล่ตามองถังเฮ่อเหนียน พร้อมกล่าวเสียงต่ำ “ถ่ายทอดคำสั่งทหารของข้าลงไป ส่งทหารทัพเหนือไปควบคุมวัดทั้งหมดของอวี้หลัวช่าที่อยู่ในอาณาเขตของเราเอาไว้ จับพระทั้งหมดเอาไว้ ใครกล้าขัดขืน ฆ่า!”


“นายท่าน จะอ้างเหตุผลอะไรในการเคลื่อนกำลังพล?” ถังเฮ่อเหนียนถาม


“หาคนที่เคยเกี่ยวข้องกับโจรกบฏมาสักสองสามคน บอกไปว่ามีคนชี้ตัวว่าพวกเขาสมคบคิดกับโจรกบฏ!” โค่วหลิงซวีกล่าวอย่างสบายๆ แต่กลับเป็นการตัดสินชะตาชีวิตของคนนับไม่ถ้วน นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าอำนาจ


ถังเฮ่อเหนียนพยักหน้า แล้วรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อดำเนินการทันที


โค่วหลิงซวีบอกอีกว่า “เจ้าใหญ่ พาลูกน้องไปแดนสุขาวดีด้วยตัวเองสักเที่ยว ถ้ายืนยันได้แล้วว่ามีใครรังแกคนของตระกูลโค่ว ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าอะไรทั้งนั้น”


“ขอรับ!” โค่วเจิงเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป


ตอนนี้พวกเหมียวอี้เหาะลงมาเหยียบบนพื้นแล้ว แต่คนรอบข้างที่มาล้อมไว้ก็ยังไม่ได้แยกย้ายไปไหน


ชางหงที่ถูดมัดไว้อย่างแน่นหนากลับไม่ยอมแพ้ ยังแอบกำชับศิษย์ร่วมสำนักให้ตรวจสอบค้นหาให้ทั่ว


ศิษย์ร่วมสำนักกลับมารายงาน บริเวณใหญ่เคียงไม่พบใครทั้งนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าหนีไปแล้วตอนที่พวกนางมาเสียเวลาอยู่ตรงนี้หรือเปล่า แม้แต่ชางลั่วกับชางอวี่ก็ยังสงสัยว่านี่คือเรื่องบังเอิญที่ทำให้เข้าใจผิดจริงๆ หรือเปล่า


ชางหงกลับจ้องเหมียวอี้พลางกัดฟันไม่เลิก ภายใต้ความอัดอั้น นางมั่นใจว่าคนคนนั้นคือเหมียวอี้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)