กระบี่จงมา 163.1-163.2
บทที่ 163.1 ในที่สุดก็ได้เป็นอาจารย์และศิษย์
โดย
ProjectZyphon
ชุยฉานที่สวมชุดสีขาวล่องลอยเดินผ่านตรอกซอกซอย ในที่สุดก็เจอเรือนอันเป็นที่ตั้งของหอสูงแห่งนั้น เป็นบ้านหลังใหญ่ที่มีประตูสูงอย่างแท้จริง สิงโตหินสองตัวนั่งเฝ้าพิทักษ์อยู่เบื้องหน้า ธรณีประตูแห่งนี้สูงมาก ประตูหน้าปิดสนิท แต่ที่น่าแปลกก็คือป้ายที่แขวนอยู่หน้าสถานที่แห่งนี้กลับเป็นคำว่า “จือหลัน” (ดอกไอริสและกล้วยไม้ เปรียบเปรยถึงคุณธรรมอันสูงส่งและมิตรภาพ) ไม่ใช่จวนจาง จวนเฉียนอะไรทั้งสิ้น
หอเรือนที่ชุยฉานมองเห็นภาพปรากฎการณ์ประหลาดก่อนหน้านี้น่าจะเป็นหอเก็บตำราส่วนตัวของตระกูลนี้ ระดับความสูงแทบจะไม่แพ้ให้กับหอขุยซิงศาลเจ้าบุ๋นในเมือง ย่อมต้องไม่ใช่ตระกูลคนร่ำรวยทั่วไปแน่นอน
ยิ่งขยับเข้ามาใกล้จวน “จือหลัน” แห่งนี้ ชุยฉานก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงอากาศก่อนลมฝนจะมาเยือนได้อย่างชัดเจน ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนวันที่เมฆอึมครึมก่อนฝนตก ทำให้คนอึดอัดอุดอู้
ระหว่างฟ้าดิน นอกจากปราณแห่งความซื่อตรงยิ่งใหญ่ที่ลัทธิขงจื๊อเลื่อมใสแล้ว ยังมีปราณไร้รูปลักษณ์อีกมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมีการแบ่งแยกระหว่างแจ่มชัดและขุ่นมัว ฝ่ายแรกนั้นงดงาม มีประโยชน์ต่อการฝึกตน ส่วนฝ่ายหลังสกปรกเป็นมลภาวะ ทำร้ายจิตวิญญาณ สถานที่ต่างๆ อย่างเช่นสุสานไร้ญาติ จิงกวานยุคโบราณ (การทำสงครามสมัยโบราณ ผู้ชนะมักจะเก็บรวบรวมกระดูกของศัตรูมารวมกันเป็นกองสูง เพื่อโอ้อวดบารมีของตน) ซากปรักสมรภูมิรบ ฯลฯ ต่างก็มีความลี้ลับเป็นของตัวเอง แล้วก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีแต่ปราณขุ่นมัวทั้งหมด
ถ้ำสวรรค์และพื้นที่มงคลในโลกมนุษย์ที่ช่วยในการฝึกตนก็คล้ายห้องจือหลันแห่งหนึ่ง (เปรียบเปรยถึงสภาพแวดล้อมที่ดีเยี่ยม) ที่ช่วยให้จิตใจของคนสงบสุข
ชุยชานเอามือสองข้างไพล่หลัง เดินขึ้นบันไดไปอย่างเนิบช้า คนเฝ้าประตูวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากประตูข้าง เห็นว่าเด็กหนุ่มชุดขาวมีราศีไม่ธรรมดา จึงไม่กล้าเพิกเฉย เอ่ยสอบถามตัวตนของเขาอย่างนอบน้อม
ชุยฉานบอกว่าเขาคือเซียนอิสระที่อาศัยการสังหารมารปราบปีศาจสั่งสมคุณความดี ตอนอยู่นอกเมืองเห็นความผิดปกติของเรือนแห่งนี้ อาจจะมีหายนะแสงโลหิตจึงตั้งใจมาให้ความช่วยเหลือ
คนเฝ้าประตูเห็นเป็นเพียงเรื่องล้อเล่น หากจะถามว่าบนโลกนี้มีภูตผีปีศาจหรือไม่ คนเฝ้าประตูรู้ว่ามี เพราะในจวนของตัวเองก็เลี้ยงภูตที่ไม่ส่งผลกระทบต่อความสง่างามเอาไว้เป็นจำนวนมาก แต่หากจะบอกว่าภูตผีเหล่านั้นกล้าก่อความวุ่นวายในจวน โดยเฉพาะกล้ามากำเริบเสิบสานอยู่ใน “จวนจือหลัน” ของพวกเขาแห่งนี้ นั่นก็ถือเป็นเรื่องตลกเทียมฟ้าเลยจริงๆ ใครบ้างไม่รู้ว่าบิดาและบุตรทั้งสี่ในจวนแห่งนี้ล้วนได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลในกลุ่มของเทพเซียน โดยเฉพาะบุตรชายคนเล็กเฉาซีซานที่ได้ยินมาว่าเมื่อปีก่อนเพิ่งจะกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าประมุขตระกูลเซียนแห่งหนึ่งบนภูเขา เชี่ยวชาญเวทกระบี่บินและวิชาสายฟ้า
ชุยฉานที่ถูกมองว่าเป็นนักต้มตุ๋นไม่โกรธเคือง ยังคงอธิบายต่อไปอย่างใจเย็นว่า “ฮวงจุ้ยของจวนพวกเจ้าจัดวางได้ไม่เลว อีกทั้งขนาดของหอหนังสือยังยอดเยี่ยมที่สุด เป็นใจกลางของค่ายกล บวกกับหนังสือภายในนั้นที่คาดว่าน่าจะเป็นฉบับสมบูรณ์แบบและมีเพียงเล่มเดียวซึ่งผ่านการประทับตราหนังสือที่ควรค่าแก่การเก็บรักษาจากปราชญ์เมธีและวิญญูชนจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อเวลานานวันเข้าจึงง่ายต่อการรวบรวมปราณวิญญาณ ภูตผีปีศาจทั่วไปไม่กล้าพาตัวมาตายที่นี่ กลับเป็นสรรพสิ่งเล็กๆ น้อยที่นิสัยขี้ขลาดอ่อนแอมาแต่กำเนิด ชื่นชอบพักพิงอยู่กับมนุษย์ที่จะเติบโตได้ราบรื่นอย่างมาก”
สีหน้าของคนเฝ้าประตูเริ่มไม่สบอารมณ์ ไล่ให้ชุยฉานรีบไปพ้นๆ เขาไม่มีเวลามาฟังเด็กหนุ่มพูดพล่ามเหลวไหล
ชุยฉานยื่นมือไปดึงฝ่ามือของคนเฝ้าประตูที่ผลักดันเขาเบาๆ คลี่ยิ้มน้อยๆ “แต่หอหนังสือของจวนแห่งนี้มีบางอย่างที่แปลกประหลาดอยู่จริงๆ ด้านในมีงูเหลือมใหญ่ตัวหนึ่งขดตัวอยู่ อาจจะอยู่มาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ ที่มาของมันไม่แน่ชัด แล้วก็อาจเป็นไปได้ว่ามีคนเชิญเทพเชิญเข้าไปในภายหลัง หากข้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นงูเหลือมไฟตัวหนึ่ง เวลาช่วงนี้คือการนับถอยหลังสำหรับการลอกคราบครั้งที่สองของมันพอดี การลอกคราบครั้งหน้าก็น่าจะลงน้ำได้สำเร็จ และหากทำสำเร็จก็จะกลายเป็นเจียว”
ชุยฉานยื่นนิ้วชี้ไปยังนอกเมือง “แต่ว่าน้ำในแม่น้ำมีงูน้ำอยู่ตัวหนึ่ง ขอบเขตสูงกว่างูเหลือมไฟ ซึ่งกำลังรออยู่ใต้น้ำเพื่อฉวยโอกาสลงมือ ย่อมไม่มีทางปล่อยให้เจ้าตัวที่อยู่ในตระกูลพวกเจ้าซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตของมันลอกคราบได้สำเร็จง่ายๆ แน่ ดังนั้นหากจวนของไม่เตรียมการรับมือไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ช่วงเวลาที่งูเหลือมไฟลอกคราบซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มันอ่อนแอมากที่สุด งูน้ำต้องออกมาจากแม่น้ำ มุ่งตรงมาที่นี่ พยายามจะสังหารมันเพื่อช่วงชิงโอสถไฟกึ่งหนึ่งที่อยู่ในร่างของงูเหลือมไฟไปแน่นอน เพื่อที่จะได้ถ่ายโอนตบะไปให้ตัวเอง น้ำไฟผสาน มหามรรคาใกล้เคียง!”
สายตาของคนเฝ้าประตูฉายแววซับซ้อน แล้วก็พลันเดือดดาล พยายามใช้มือผลักเด็กหนุ่มชุดขาวออกไป “ไปๆๆ อายุน้อยๆ ก็หัดพูดจาเหลวไหลแล้ว!”
ชุยฉานถอนหายใจ พูดพึมพำกับตัวเอง”อาจารย์ ท่านเห็นไหม พูดคุยกันด้วยเหตุผลไม่รู้เรื่อง ช่างยุ่งยากยิ่งนัก ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามวิธีของข้าเถอะ”
เขาโบกมือหนึ่งครั้ง ร่างทั้งร่างของคนเฝ้าประตูก็ถูกลมเย็นขุมหนึ่งพัดให้ปลิวไปไกลหลายจั้งแล้วหมดสติทันที
ทันใดนั้นชายฉกรรจ์ร่างหนาใหญ่หลายคนก็กรูกันออกมาจากประตูข้าง ชุยฉานก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า จุดจบของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสองขั้นต้นเหล่านั้นเทียบกับคนเฝ้าประตูไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มหล่อเหลาผู้มีไฝแดงกลางหว่างคิ้วยังไม่ทันจะโบกสะบัดชายแขนเสื้อ ร่างของพวกเขาก็กระเด็นออกไปเอง แต่ละคนนอนระเกะระกะรองครวญครางอยู่บนพื้น
ตลอดทางที่ชุยฉานเดินไปก็มีผู้คุ้มกันของจวนเฮโลกันเข้าหา แต่ลับไม่มีใครทำให้เขาหยุดเท้าได้แม้แต่เสี้ยวนาที
เมื่อเขาเดินมาถึงลานด้านนอกหอเรือนแห่งนั้น ชุยฉานที่อ้าปากหาวหวอดถึงได้เริ่มเกิดความสนใจในที่สุด เขามองไปยังคนสามคนที่ยืนเคียงไหล่กัน ท่าทางเหมือนพ่อลูก นอกจากพวกเขาแล้วก็ไม่มีคนอื่นอีก คาดว่าคงเพราะไม่ต้องการเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของหอเก็บหนังสือ หรือไม่ก็ไม่ต้องการให้คนบริสุทธิ์ถูกลูกหลงได้รับบาดเจ็บจึงไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาใกล้ที่แห่งนี้
แต่ไม่นานสายตาของชุยฉานก็มองข้ามคนทั้งสามไป หอหนังสือกินอาณาบริเวณกว้างขวางอย่างยิ่ง สูงถึงหกชั้น ท้องฟ้าเหนือหลังคามีเมฆทะมึนมารวมตัวกันหนาแน่น เสียงฟ้าร้องดังครืนครั่น ทึบอื้ออึง สายฟ้าส่องประกายตัดสลับกันวูบวาบ หอเรือนสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางฟ้าดินแห่งนี้มีงูเหลือมยักษ์ยาวสิบกว่าจั้งอยู่ตัวหนึ่ง ร่างของมันขดจากชั้นล่างของเรือนแล้วยื่นออกมาข้างนอก รัดพันตัวหอเรือนสูงขึ้นไป ศีรษะที่ใหญ่ดุจถังน้ำของกำลังหันไปแลบลิ้นสองแฉกใส่ท้องฟ้าที่มืดครึ้มคลอด้วยเสียงฟ้าร้อง ท่าทางของมันเต็มไปด้วยความเคาพยำเกรงที่มีมาตั้งแต่เกิด แต่ก็ซุกซ่อนไว้ด้วยปณิธานแห่งการต่อสู้ที่ห้าวเหิม ภูตผีที่อยู่ในโลกมนุษย์มักจะกริ่งเกรงต่อเสียงฟ้าร้องมาตั้งแต่กำเนิด น้อยนักที่จะไม่กลัว นี่คือตราประทับที่ฝังลึกลงในกระดูก สืบทอดกันมาทุกยุคทุกสมัย ต่อเนื่องนับพันนับหมื่นปี
เล่าลือกันว่าในยุคบรรพกาลอันห่างไกล จักรพรรดิสวรรค์บางท่านที่ควบคุมสายฟ้าเคยนำพาเทพกรมสายฟ้าและพิรุณเทพกลุ่มหนึ่งออกลาดตระเวนไปทั่วใต้หล้าขนาดใหญ่ ไม่รู้ว่ามีภูตผีปีศาจกี่มากน้อยที่ต้องจบชีวิตไป
ชุยฉานเดินหน้าต่ออีกครั้ง
ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อเกราะสีทองแดงโบราณตัวหนึ่งยื่นมือมาขวางบุตรชายสองคนที่อยากจะสั่งสอนแขกไม่ได้รับเชิญผู้นั้นเต็มแก่ สายตาบอกกับพวกเขาเป็นนัยว่าอย่าเพิ่งวู่วาม ไม่ควรกระทำการบุ่มบาม เขากุมมมือคารวะกล่าวว่า “ข้าน้อยเฉาหู่ซาน ไม่ทราบว่าแขกผู้มีเกียรติมาเยือนถึงบ้าน มีอะไรจะชี้แนะงั้นหรือ?”
ชุยฉานยังไม่หยุดเดิน ตอบด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านว่า “นิสัยดีๆ ของข้าใช้หมดตั้งแต่ตอนอยู่หน้าประตูแล้ว ตอนนี้ข้าจะขึ้นไปบนหอเรือน หากพวกเจ้ายืนกรานว่าจะขัดขวางให้ได้ ก็อย่าโทษหากข้าจะยกคำพูดไม่น่าฟังขึ้นมาเอ่ยก่อน ฆ่าล้างโคตรพวกเจ้า…ข้าในตอนนี้ไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้ แต่สังหารพวกเจ้าสามคนพ่อลูก ทำลายศพลบร่องรอย อย่างมากก็แค่กลับไปอธิบายให้อาจารย์ของข้าฟัง บอกว่าพวกเจ้าตายในสงครามระหว่างงู ข้าย่อมไม่มีความกดดันทางใจใดๆ ไม่แน่ว่าเมื่อถึงเวลานั้นข้าอาจจะหยั่งหลั่งน้ำตาของความเห็นใจให้แก่พวกเจ้าต่อหน้าอาจารย์ เฮ้อ ก็ใครใช้ให้ข้ามีอาจารย์ที่คร่ำครึขนาดนั้นเล่า”
มือของชายวัยกลางคนกำด้ามดาบเล่มยาวที่ห้อยอยู่ตรงเอว เสื้อเกราะบนร่างมีประกายแสงหนาหนักสีเหลืองดินชั้นหนึ่งไหลวนเวียน ตวาดเสียงเฉียบ “คิดจริงๆ หรือว่าสกุลเฉาแห่ง ‘จือหม่า’ ของข้าคือไข่อ่อนที่จะปล่อยให้คนสังหารได้ตามใจชอบ?”
ชุยเฉาทำเสียงเพ้ยหนึ่งที “ยังกล้าเรียกตัวเองว่า ‘จือหลัน’ อีกหรือ? เห็นๆ กันอยู่ว่าในบ้านมีหนังสือดีๆ เก็บสะสมไว้มากมายขนาดนี้ แต่กลับไม่ยอมให้ลูกหลานได้ศึกษาคำสอนของอริยะให้ดี แต่ละคนดีแต่จะถือทวนจับกระบอง ที่น่ารังเกียจยิ่งกว่านั้นก็คือยังกล้าสมคบคิดกับปีศาจ ปล่อยให้มันยึดครองหอหนังสือเป็นที่พักพิง ดูดดึง “กลิ่นหอมแห่งตำรา” ไปโดยไม่เสียดาย นี่ก็ยังพอทำเนา แต่นี่กลับยังจงใจใช้เวทอำพรางตาบดบังภาพเหตุการณ์การเยื้องกรายลงมาของเมฆทะมึน และการปีนไต่หอสูงของงูเหลือมไฟ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าสงครามน้ำและไฟที่เกิดขึ้นกะทันหันครั้งนี้ อย่างน้อยที่สุดย่อมต้องทำร้ายคนในเมืองพันกว่าคน?”
ชุยฉานกล่าวมาถึงตรงนี้ก็บ่นงึมงำกับตัวเองอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “อาจารย์ ต้องโทษท่านนั่นแหละ ข้าเริ่มติดนิสัยพูดจาดีๆ ซะแล้วนะเนี่ย”
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ในมือถือทวนเงินเล่มหนึ่งยิ้มเหี้ยม “ท่านพ่อ อย่ามัวเปลืองน้ำลายพูดกับคนผู้นี้อยู่เลย ให้ข้าเป็นคนฆ่าเขาเถอะ กล้ามาทำลายกิจการใหญ่ร้อยปีในการยึดครองเขตการปกครองหนึ่งของสกุลเฉาเรา ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย!”
ชุยฉานหัวเราะเสียงดัง ยื่นนิ้วชี้ไปยังชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ “นิสัยเกรี้ยวกราดแบบนี้ของเจ้า ข้าชอบนัก…”
กล่าวยังไม่ทันจบ กลางหว่างคิ้วของเด็กหนุ่มก็มีหยดเลือดหยดหนึ่งที่สังเกตเห็นได้ยากปรากฎขึ้นมา เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังใช้วิชาอภินิหารปลุกเสกใส่เข้าไปในทวนสีเงินก็รู้สึกเพียงว่าหว่างคิ้วปวดแปลบเล็กน้อย กำลังจะยื่นมือออกไปเช็ดก็ตัวอ่อนยวบลงไปกองกับพื้น ไม่เหลือลมหายใจรวยริน ไม่มีเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด แต่ขาดใจตายไปทั้งอย่างนั้น
ประกายแสงบนเสื้อเกราะของชายวัยกลางคนยิ่งเจิดจ้า ร่างทั้งร่างราวกับถูกปกคลุมอยู่ในเมฆหมอกสีเหลือง
บุตรชายอีกคนหนึ่งของเขาที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของตำราท่องคำสาปแย่ง นิ้วมือทำมุทรา เท้าเหยียบไปเบื้องหน้า ดูยุ่งวุ่นวายอย่างมาก และไม่นานข้างกายเขาก็มีอักขระส่องประกายแสงสว่างไสวปรากฎขึ้นมา เป็นสีขาวหิมะเจิดจ้า หัวและหางเชื่อมโยงถึงกัน กลายเป็นพระจันทร์เต็มดวงดวงหนึ่งที่ปกป้องเขาไว้ภายใน ไม่เพียงเท่านี้ กลางอากาศยังมีงูเหลือมไฟขนาดเล็กที่ทั่วร่างล้อมวนไปด้วยเปลวเพลิงตัวหนึ่งปรากฎขึ้นมา มันบินวนรอบกายเด็กหนุ่มอย่างว่องไว อีกทั้งบนศีรษะที่สวมกวานสูงลักษณะโบราณเรียบง่ายของมันยังปลดปล่อยประกายแสงหลากสี จากนั้นมันก็พ่นของเหลวเหมือนน้ำพุออกมาปกคลุมไปทั่วกายเด็กหนุ่ม
ทั้งนอกทั้งใน ทั้งบนและล่างล้วนมีการป้องกันหลายชั้น ทุกวิธีการถูกนำมาใช้จนหมด
วิธีการรักษาชีวิตของตัวเองทำเอาชุยฉานขำก๊าก “เจ้านี่กลัวตายมากเลยนะเนี่ย กลัวตายสิดี”
ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้น
กลางหว่างคิ้วของเด็กหนุ่มที่กลัวตายก็มี “ชาด” จุดหนึ่งแต้มเหมือนกัน และเขาเองก็ตายไปในเสี้ยววินาที
ชุยฉานยิ้มตาหยี “กลายเป็นผี วันหน้าก็ไม่ต้องกลัวตายอีกแล้ว ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก”
ชายวัยกลางคนห้อตะบึงเผ่นหนีไปทันควัน
ชุยฉานไม่คิดจะไล่ตามไปฆ่า ตอนนี้เขาขี้เกียจอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่การสังหารศัตรูให้สิ้นซากก็ยังทำให้เขารู้สึกยุ่งยาก
ชุยฉานไม่ได้รีบร้อนเดินเข้าไปในหอหนังสือ แต่ยืนนิ่งๆ อยู่นอกประตู ไหเหล้าที่ห้อยอยู่ตรงเอวหนักอึ้งเพราะเติมเหล้าไว้จนเต็ม
บทที่ 163.2 ในที่สุดก็ได้เป็นอาจารย์และศิษย์
โดย
ProjectZyphon
ระหว่างที่เดินทางมา ชุยฉานซื้อเหล้าซ่านจิ่วเพิ่มอีกสองจิน เพราะหลังออกจากเมืองหลวงต้าสุย เขาก็ดื่มเหล้ากานั้นหมดแล้ว ตอนนั้นในรถม้ายังมีสุราดีอยู่อีกหลายไห แต่เขาก็ไม่สามารถกระดกก้นมุดหัวเข้าไปในไหเหล้าขนาดใหญ่เหล่านั้นได้ ชุยฉานจึงเก็บกาเหล้าใบเดิมไว้ ไม่ได้ทิ้งไป พอใช้นานวันเข้าก็เกิดความผูกพัน หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ซื้อเหล้าซ่านจิ่วที่แบ่งขายมาตลอด ช่วยไม่ได้ ตอนนี้ชุยฉานต้องยืมเงินจากเฉินผิงอัน เพราะเขาไม่มีเศษเงินเม็ดติดตัวอะไรทั้งนั้น เสียแรงที่มีภูเขาเงินภูเขาทองทั้งลูก แต่ดันเข้าไปข้างในนั้นไม่ได้ ก่อนหน้าที่จะกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้า ชุยฉานก็ได้แต่เบิกตามองมันอย่างเดียวเท่านั้น
ชุยฉานปลดกาเหลาลงมาแล้วแหงนหน้าดื่มอึกใหญ่ เดินไปข้างหน้า ก้าวข้ามธรณีประตู
งูเหลือมไฟที่สัมผัสได้ถึงภัยคุกคามได้หดตัวเข้าไปในหอหนังสือแล้ว พลังอำนาจของเมฆทะมึนและสายฟ้ากลางอากาศก็อ่อนกำลังลงจากเดิมหลายส่วน
ชุยฉานเดินไปทางบันไดของชั้นหนึ่ง ถอนหายใจกล่าวว่า “เด็กหนุ่มไม่รู้รสชาติของความทุกข์ ชอบเดินขึ้นบันได ขึ้นบันได แล้วก็ขึ้นบันได แล้วก็ขึ้นบันไดไปอีก”
เมื่อเขาเดินไปถึงชั้นห้าก็ไม่ขึ้นไปข้างบนต่ออีก แต่นั่งลงบนบันไดด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมขึ้นไปให้ถึงยอดสูงสุด
ศีรษะมหึมาสีแดงสดค่อยๆ โผล่ขึ้นมาระหว่างชั้นสี่กับชั้นห้า ดวงตาทั้งคู่ที่ดำสนิทดุจหมึกของมันจ้องมองเด็กหนุ่มชุดขาวที่มีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่แต่กลับจิตใจเหี้ยมโหดด้วยความระมัดระวัง
ชุยฉานหันไปมองงูไฟตัวนั้นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย “หากปีนั้นในบ้านของพวกเรามีสิ่งมีชีวิตเช่นเจ้าคอยพูดคุยคลายความกลัดกลุ้มเป็นเพื่อนข้า ข้าก็อาจจะไม่มีสภาพอย่างในวันนี้ก็เป็นได้”
งูเหลือมไฟเอาคางวางทาบลงบนพื้นเบาๆ ทำท่านอบน้อมเงี่ยหูพร้อมรับฟัง เข้าใจลักษณะนิสัยของมนุษย์อย่างยิ่ง อีกทั้งเมื่อเทียบกับพ่อลูกสกุลเฉาที่จะ “ยึดครองเขตการปกครองแห่งหนึ่ง” แล้ว เห็นได้ชัดว่าสัตว์เดรัจฉานตัวนี้มีสายตากว้างไกลยิ่งกว่า
ชุยฉานถามยิ้มๆ “ตัดขาดเส้นทางแห่งความเป็นอมตะของเจ้า ทำให้เจ้าพลาดโอกาสฟ้าลิขิตดินอำนวยคนสามัคคีในวันนี้ เจ้าไม่โกรธรึ?”
งูเหลือมไฟส่ายศีรษะน้อยๆ หอเรือนทั้งห้าชั้นถึงกับส่ายไหวตามไปด้วยจนฝุ่นคลุ้งตลบไปสี่ทิศ
ชุยฉานพยักหน้ารับ “เจ้ามีสติปัญญา งูน้ำในแม่น้ำมีโอกาสสำเร็จมากกว่าเจ้าเยอะ หากเจ้าดึงดันจะลอกคราบ ถึงเวลานั้นตบะที่เจ้าสั่งสมมาอย่างยากลำบากหลายร้อยปีก็จะมีจุดจบเป็นชุดแต่งงานที่เจ้าตัดให้คนอื่น (สำนวนตัดชุดแต่งงานให้คนอื่นเปรียบเปรยว่าตัวเองเหนื่อยยาก แต่สุดท้ายกลับเป็นคนอื่นที่ได้ผลประโยชน์) เท่านั้น”
บนบันไดตำแหน่งที่สูงกว่าชุยฉานนั่งอยู่มีเด็กชายชุดเขียวอายุประมาณหกเจ็ดขวบคนหนึ่งที่ดวงตาดำตั้งตรงนั่งยองอยู่บนราวจับบันได เขามองมาที่แผ่นหลังของชุยฉานแล้วจุ๊ปากพูด “ว้าว เจ้าเด็กต่างถิ่นคนนี้ไม่เพียงแต่ลงมืออำมหิตโหดเหี้ยม ยังสายตาไม่เลว ยังรู้ด้วยว่าตัวข้าร้ายกาจอย่างยิ่ง”
งูเหลือมไฟตกตะลึงอย่างมาก กว่าจะสะกลดกลั้นความวู่วามที่จะกลับลงไปยังชั้นล่างได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ร่างทั้งร่างของมันสั่นระริกเบาๆ ไม่หยุด
ไม่เพียงแต่ไม่มีการปกป้องจากพ่อลูกสกุลเฉา ตอนนี้ยังจำต้องฝืนใจระงับขั้นตอนการลอกคราบ เป็นช่วงเวลาที่มันอ่อนแอมากที่สุด แต่ไอ้หมอนั่นกลับยังแฝงตัวเข้ามาในสกุลเฉา แล้วตนจะยังเป็นคู่ต่อกรของเขาได้อย่างไร?
ชุยฉานส่ายหน้ายิ้ม “เกเร”
เด็กชายชุดเขียวทำหน้าเหลอหลา ยื่นปลายนิ้วที่มีเล็บแหลมคมเหมือนสว่านชี้ตัวเอง “เด็กน้อยอย่างเจ้าพูดถึงข้า?”
นาทีถัดมาเด็กชายชุดเขียวก็ยกสองมือกุมหน้าผาก เลือดสดทะลักออกมาจากร่องนิ้วของเขาอย่างต่อเนื่อง ร่างของเขาพลัดจากราวบันไดตกลงมายังชั้นห้า กลิ้งตัวทุรนทุรายอยู่กับพื้น ทำเอาหอหนังสือทั้งหอเริ่มสั่นโยกตามไปด้วย
ชุยฉานควักของสิ่งหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “พอที เลิกเสแสร้งได้แล้ว หากยังเกเรอยู่อย่างนี้ ข้าจะให้เจ้าไปพบพญายมราชจริงๆ แน่”
ร่างของเด็กชายชุดเขียวผู้นั้นพลันหยุดชะงัก พอลุกขึ้นแล้วก็ปัดชายแขนเสื้อ เอ่ยถาม “เจ้าต้องการอะไรกันแน่? ข้าสนิทสนมกับเทพวารีนอกเมืองผู้นั้นมากเลยนะ เรียกเป็นพี่เป็นน้องกับเขามาตั้งสองร้อยกว่าปี แข็งแกร่งกว่าเจ้าเด็กน้อยที่แม้แต่หน้าเทพอภิบาลเมืองก็ยังไม่กล้าพบผู้นี้หลายเท่านัก ตบะของเจ้าไม่เลวเลย มีคุณสมบัติให้ไปเป็นแขกของจวนข้าได้ หากวันนี้เจ้าย่อมช่วยข้า ให้ข้าได้กินมัน วันหน้าในรัศมีร้อยลี้นอกเขตการปกครองแห่งนี้ เจ้าอยากจะฆ่าใครก็ฆ่าได้ตามสบาย…”
เด็กชายชุดเขียวเหมือนถูกคนบีบคอกะทันหัน พูดไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ จ้องเขม็งไปยังวัตถุที่อยู่ในมือของเด็กหนุ่มชุดขาว ตกใจจนขวัญกระเจิง ขาทั้งสองข้างเริ่มสั่นพั่บๆ ส่วนงูเหลือมไฟตัวนั้นก็ยิ่งกลายร่างเป็นเด็กหญิงที่สวมชุดกระโปรงสีขาวซึ่งยืดขดตัวอยู่ตรงทางขึ้นบันได ร่างสั่นระริก
ในมือของชุยฉานคือแท่นฝนหมึกโบราณ ด้านบนมีเจียวเฒ่าร่างผอมแห้งยาวไม่เกินขุ่นขดตัวอยู่ หากตั้งใจฟังยังสามารถได้ยินเสียงกรนเบาๆ ดังแว่วมาด้วย
สำหรับเด็กชายชุดเขียวและงูเหลือมไฟแห่งหอหนังสือแล้ว เสียงคนที่กรนธรรมดาไม่รู้สึกว่าแปลกประหลาดอะไร เมื่อดังอยู่ในหูของพวกมันแล้วกลับน่ากลัวยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องซะอีก
ชุยฉานก้มหน้าลง สองนิ้วคีบ “เข็มปักลายดอกไม้” เล่มหนึ่งที่ทอแสงทองวิบวับ แล้วเอาไปสีเข้ากับขอบของแท่นฝนหมึกโบราณจนเกิดประกายไฟ คล้ายกำลังใช้แท่นฝนหมึกโบราณขัดเกลาคมแหลมคม
ชุยฉานยื่นแท่นฝนหมึกออกมา “เข้ามาในนี้แต่โดยดีเถอะ”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่จำแลงร่างมาจากงูเหลือมไฟยืนหันหลังติดผนัง หลังจากลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบากก็ไม่กล้าขยับตัวอีก
เด็กชายชุดเขียวถาม “มีประโยชน์หรือไม่?”
ชุยฉานพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “มีสิ ยกตัวอย่างเช่นได้มีชีวิตอยู่ต่อไป”
เด็กชายชุดเขียวกล่าวคำว่าดีเสียงหนัก จากนั้นก็…พุ่งชนหน้าต่างชั้นห้า เผ่นหนีออกไป
แต่หลังจากนั้นกลับมีแสงสีทองยาวสองสามฉื่อเส้นหนึ่งตามติดไปด้านหลัง ทะลุหน้าต่างออกไปนอกเมืองทางฝั่งตะวันออกเช่นกัน
ครู่หนึ่งต่อมา ในแม่น้ำใหญ่ทางทิศตะวันออกนอกเมืองก็มีคลื่นยักษ์ถาโถม บางครั้งยังมีน้ำเลือดสาดกระเซ็นไปสี่ทิศ
เฉินผิงอันที่กำลังดื่มชาอยู่หน้าประตูเมืองรีบจ่ายเงินแล้ววิ่งเข้าไปในเมืองทันที
ผลกลับพบว่าจวน “จือหลัน” ไม่มีแม้แต่คนเฝ้าประตู เฉินผิงอันจึงเข้าไปข้างในได้อย่างราบรื่นตลอดทาง สุดท้ายมาถึงหอเรือนสูงตระหง่าน เห็นชุยฉานจูงมือเด็กหญิงสวมชุดกระโปรงสีชมพูเดินออกมาพอดี คงเป็นเพราะต้องการความสบาย ชุยฉานจึงยกหีบหนังสือให้เด็กหญิงตัวน้อยร่างเล็กบางสะพาย ส่วนตัวเองเดินตัวเปล่า มีเพียงกาเหล้าที่ห้อยอยู่ตรงเอวเท่านั้น
ชุยฉานตบศีรษะตัวเองแล้วบอกให้เด็กหญิงที่แบกหีบหนังสือไปหยิบตำราโบราณที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นที่สุดมา จากนั้นจึงนั่งลงบนธรณีประตู ดื่มเหล้า เงยหน้ากล่าวยิ้มๆ “อาจารย์ พูดมาเถอะ ข้ากำลังฟังอยู่”
เฉินผิงอันถาม “รู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงให้เจ้าเดินทางกลับไปยังอำเภอหลงเฉวียนด้วยกัน?”
ชุยฉานกระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ ก่อนจะใช้หลังมือเช็ดริมฝีปาก “รู้สิ กลัวว่าข้าจะความจำสั้น หรือไม่ก็มีเจตนาไม่ดี ก่อเรื่องก่อราวขึ้นมาในสำนักศึกษาซานหยาของต้าสุย ท่านเป็นห่วงพวกหลี่เป่าผิงสามคน ดังนั้นยอมให้ตัวเองหลับไม่เป็นสนิท แต่ไม่ยอมให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันกับเด็กเหล่านั้นเด็ดขาด”
เฉินผิงอันมองชุยฉาน
ชุยฉานกล่าวอย่างจนใจ “เฮ้ๆๆ เดาคำตอบแบบนี้ออกมาได้เป็นเรื่องยากนักหรือไง? อาจารย์อย่าใช้สายตาแบบนี้มองข้าได้หรือไม่ ต่อให้มีความตกตะลึงอยู่เพียงแค่เสี้ยวเดียวก็ยังเป็นการหมิ่นเกียรติข้าชุยฉานอยู่ดี”
เฉินผิงอันลังเลไปชั่วขณะ สุดท้ายก็เอ่ยว่า “หากเจ้ายินดีปกป้องพวกเขาด้วยความจริงใจ นับจากวันนี้ไป ข้าก็รับปากว่าจะให้เจ้าเป็นลูกศิษย์ของข้า”
ชุยฉานชูกาเหล้าขึ้นสูง “คำไหนคำนั้น!”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “ช่างมันเถอะ”
“เป็นเพราะข้ารับปากเร็วเกินไป?”
ชุยฉานแค่นเสียงเย็น “อย่าเพิ่งรีบร้อนเปลี่ยนใจ นับแต่นาทีที่ข้าแอบออกมาจากรถม้าพร้อมกับเจ้า ข้าก็เดาได้แล้วว่าจะมีก้าวนี้ สำหรับข้าแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องเกินคาดที่นำมาซึ่งความปิติยินดี แต่เป็นผลลัพธ์ที่ได้จากการใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นเจ้าอย่าได้รู้สึกว่าข้าปฏิบัติต่อเจ้าเฉินผิงอันอย่างขอไปที พูดไปแล้วเจ้าอาจจะไม่เชื่อ การที่ข้าอยู่ต่อให้เมืองหลวงต้าสุย เดิมทีก็เป็นการเดินหมากก้าวหนึ่งที่ข้าคาดการณ์ไว้ให้ตัวเองล่วงหน้าอยู่แล้ว เจ้าคิดว่าตลอดทางมานี้ ข้าเล่นหมากล้อมกับตัวเองมันสนุกมากนักหรือ? พูดไปแล้วข้าก็กลัวว่าจะทำให้เจ้าตกใจตาย นั่นคือการเล่นหมากล้อมระหว่างต้าหลีกับต้าสุย! หมากล้อมกระดานนี้เกี่ยวพันกับแนวโน้มของโชคชะตาสองราชวงศ์ใหญ่ในอนาคต!”
ชุยฉานถอนหายใจ “แต่จะว่าไปแล้ว เดิมทีวิธีพาตัวไปตกอยู่ในอันตราย บีบให้วีรบุรุษปรากฏกายในบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ก็ไม่ใช่นแนวทางของข้าอยู่แล้ว ทว่าช่วยไม่ได้ จะว่าไปแล้วข้าเป็นคนเจาะก้นตะกร้าให้ทะลุเอง ถึงเวลาจะให้คนอื่นมาเก็บกวาดเรื่องเละเทะที่ตัวเองทำไว้ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าข้าจะวางใจ”
ชุยฉานยิ้มขื่น “อาจารย์หากข้าตายอยู่ในเมืองหลวงต้าสุยจริงๆ …”
เฉินผิงอันตอบจริงจัง “ข้าจะพยายามช่วยสร้างสุสานอีกวาน (แปลตรงตัวคือสุสานหมวกและเสื้อผ้า คือสุสานที่ฝังเฉพาะเสื้อผ้าหรือสิ่งของของผู้ตายเนื่องจากหาศพของผู้ตายไม่เจอ หรือไม่ศพก็ถูกฝังอยู่ที่อื่น) ให้เจ้าเอง”
ชุยฉานตะลึงงัน ก่อนจะพึมพำเสียงเบา “ขนาดสุสานกวานอีแม่งก็ยังรู้…ตลอดทางมานี้เรียนหนังสือกับหลินโส่วอี หลี่เป่าผิงไม่เสียเปล่าเลยจริงๆ! ฮ่าๆ ไม่เสียแรงที่เป็นอาจารย์ของข้า เรียนรู้ไวจริงๆ!”
เฉินผิงอันถาม “ใช่แล้ว บนป้ายหน้าหลุมศพจะให้เขียนว่าชุยฉานหรือว่าชุยตงซาน?”
ใบหน้าของชุยฉานเต็มไปด้วยความหวาดผวา “ถุยๆๆ!”
จากนั้นชุยฉานก็เอ่ยยิ้มๆ “รู้ว่าอาจารย์ต้องเดินก้าวนี้ ดังนั้นลูกศิษย์อย่างข้าจึงเตรียมของขวัญจากลาไว้เรียบร้อยแล้ว เด็กหญิงคนเมื่อครู่นี้มีชาติกำเนิดเป็นงูเหลือมไฟ สูบดึงเอากลิ่นหอมของตำรามาตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ นิสัยอ่อนโยนอย่างมาก วันหน้าให้เป็นเด็กรับใช้ของอาจารย์ก็ย่อมเหมาะสมอย่างมาก ส่วนเจ้าคนที่เหลือนั่นก็มีชาติกำเนิดพอๆ กัน แต่นิสัยดุร้ายเกรี้ยวกราดไปสักหน่อย ตลอดทางที่เดินทางกลับเมืองหลงเฉวียนนี้จำเป็นต้องมีคนที่ต่อสู้ได้อยู่ข้างกายสักคน จะได้ช่วยอาจารย์บุกเบิกภูเขาตักน้ำตักท่า สำหรับพวกมันแล้วถ้ำสวรรค์หลีจูนับว่ามีแรงดึงดูดสูงมาก วันหน้าเมื่อพวกมันเข้าไปในถิ่นของอาจารย์ก็จำเป็นต้องเชื่อฟังท่าน แต่อาจารย์จำเป็นต้องรอสักครู่ อีกไม่นานงูน้ำตัวนั้นก็จะวิ่งกลับมาโขกหัวยอมรับผิดที่นี่ด้วยตัวเอง”
อารมณ์ของเฉินผิงอันซับซ้อนเล็กน้อย
“เจ้าเป็นคนเลว แถมยังฉลาดกว่าข้ามาก ดังนั้นจึงรู้ดีกว่าข้าว่าควรจะรับมือกับคนเลวอย่างไร ข้าหวังว่าเมื่อเจ้ากลับไปถึงสำนักศึกษาแล้วจะสามารถปกป้องพวกเป่าผิงได้จริงๆ”
สายตาของเฉินผิงอันจริงใจ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วจึงกุมมือคารวะด้วยท่าทางของคนในยุทธภพ “หากเจ้าทำได้ ข้าก็ขอขอบคุณเจ้าไว้ ณ ที่นี้ก่อน”
“อาจารย์ยอมตัดสินใจเช่นนี้ก็แสดงว่ายอมรับในตัวศิษย์จริงๆ แล้ว ต่อให้จะเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยก็ตามที อาจารย์ต้องการให้ศิษย์ทำอะไรล้วนเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ไยยังต้องเอ่ยขอบคุณ?”
ตอนแรกชุยฉานยังยิ้มตาหยี แต่พอเห็นความจริงจังบนใบหน้าของเฉินผิงอันแล้วเขาก็หุบยิ้ม สะบัดชายแขนเสื้อ กุมมือคารวะอย่างเคร่งขรึม ชายแขนเสื้อที่ย้อยลงเหมือนนกกระเรียนที่หุบปีก องอาจสง่างาม เขาเอ่ยเสียงหนักว่า “ศิษย์ขอลาอาจารย์ไปก่อน! อาจารย์ ตลอดการเดินทางนี้รักษาตัวด้วย!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น