ลำนำบุปผาพิษ 1630-1635
บทที่ 1630 ดูตัว
บนโลกนี้มีบุรุษดีๆ อยู่มากมาย เขาต้องหาคนที่เพียบพร้อมเลิศเลอให้บุตรสาวสักคน…
ตามความคิดของกู้เซี่ยเทียน หลงซือเย่จะต้องมาเยี่ยมเยือนภายในไม่กี่วันนี้เป็นแน่
กลับนึกไม่ถึงว่าเขารออยู่จนล่วงเข้าวันที่ห้าของปีใหม่ ก็ไม่เห็นเงาร่างของหลงซือเย่เลย
กู้เซี่ยเทียนผิดหวังอยู่บ้าง ดูท่าเขาจะเข้าใจผิดไปเสียแล้ว เจ้าสำนักหลงกับบุตรสาวไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน มิเช่นนั้นบุตรสาวอยู่ที่นั่นทั้งคืน ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริงๆ หลงซือเย่จะต้องมามอบคำอธิบายให้แน่นอน
เขาจึงปล่อยข่าวออกไป สุดท้ายย่อมมีแม่สื่อมากมายยื้อแย่งกันมาทาบทาม ชายหนุ่มนับไม่ถ้วนต่างส่งแม่สื่อมาเจรจาหมั้นหมาย
กู้เซี่ยเทียนเลือกเฟ้นจากบรรดาคนเหล่านี้อยู่ครึ่งค่อนวัน เลือกที่ต้องตายิ่งนักออกมาได้หลายคน เชื้อเชิญพวกเขาให้มาเที่ยวเล่นที่จวน
ด้วยเหตุนี้จู่ๆ กู้ซีจิ่วจึงพบว่า ช่วงปีใหม่หลายวันมานี้จู่ๆ ในจวนของเธอก็มีชายหนุ่มเปี่ยมความสามารถเพิ่มขึ้นมามากมาย พวกเขาล้วนใช้ฉากหน้าว่ามาสวัสดีปีใหม่ใต้เท้ากู้เซี่ยเทียน แต่กู้เซี่ยเทียนมักจะหาสารพัดข้ออ้างเพื่อให้กู้ซีจิ่วรับรองคนเหล่านี้แทนเขาอยู่เสมอ…
ช่วงนี้กู้ซีจิ่วก็อยากหาอะไรให้ตัวเองทำเหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่ได้คัดค้าน เพียงแต่ช่วยรับรองเป็นครั้งคราวเท่านั้น
เพียงแต่หลังจากที่รับรองไปสองคน ในที่สุดสัญชาตญาณของเธอก็รับรู้ถึงความผิดปกติได้!
ตอนที่เธอไม่มีเวลามาดูแลรับรอง คนหนุ่มมากความสามารถเหล่านี้ล้วนมาเพียงครู่เดียวก็จากไป
แต่ถ้าเป็นเธอที่ดูแลรับรอง คนหนุ่มเหล่านี้จะไม่คิดจากไปเลย หาข้ออ้างสารพัดเพื่อสนทนากับเธอ ขอให้เธอพาไปชมสวน…
แต่ละคนล้วนมองเธอด้วยสายตาหยาดเยิ้มแวววาว สายตาเปี่ยมด้วยความเสน่หาจนทำให้ขนกู้ซีจิ่วลุกชันไปทั้งร่าง
หลังจากกู้ซีจิ่วไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่สองสามวัน ในที่สุดก็ทราบถึงเจตนาของกู้เซี่ยเทียนแล้ว ยิ้มไม่ได้หัวเราะไม่ออกเลยทีเดียว
เธอจึงไปหากู้เซี่ยเทียนเพื่อคุยกันสักครั้ง แสดงออกอย่างชัดเจนยิ่งว่าตนรังเกียจเรื่องเหล่านี้ยิ่งนัก ถ้าเขาใช้แผนอันใดพาคนหนุ่มเหล่านี้มาอีก เธอจะให้คนไล่ตะเพิดคนเหล่านี้ออกไปเสีย!
การข่มขู่นี้ของเธอได้ผลยิ่งนักจริงๆ กู้เซี่ยเทียนรามือแล้ว ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ได้อยู่อย่างสงบหลายวัน
กู้เซี่ยเทียนย่อมไม่ยอมถอดใจ เขาก็รู้สึกว่า ‘คนหนุ่มเปี่ยมความสามารถ’ เหล่านั้นไม่คู่ควรกับบุตรสาวของตนเช่นกัน
เขาไครู่ครวญไปใคร่ครวญมา จู่ๆ ก็นึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาได้…เซียวเหยาโหวหลงโม่เหยียน!
หลงโม่เหยียนเป็นหนึ่งในสี่ยอดคุณชายแห่งเมืองหลวง ชื่อเสียงในปีนั้นไม่ด้วยไปกว่าหรงเจียหลัวกับหรงเช่อเลย!
คนผู้นี้จัดการเรื่องราวได้หมดจด รูปโฉมหล่อเหลา จวบจนยามนี้ก็ยังมิได้แต่งภรรยา ได้ยินมาว่าหลายปีก่อนเขาปักใจต่อสตรีนางหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่เคยพบหน้าสตรีนางนั้นเพียงหนเดียว ต่อมาสตรีนางนั้นไม่ปรากฏเบาะแสขึ้นอีกเลย หลงโม่เหยียนตามหาอยู่เนิ่นนานหลายปีก็หาไม่พบ…
ด้วยเหตุนี้กู้เซี่ยเทียนจึงส่งเทียบเชิญหลงโม่เหยียนมาเป็นแขกที่จวน เพียงบอกว่ามีเรื่องต้องการจะหารือ
หลงโม่เหยียนมาเยือนอย่างปีติยินดี กู้เซี่ยเทียนจัดเลี้ยงรับรองที่ศาลาชมดอกเหมยภายในสวนดอกไม้ เพิ่งดื่มไปได้ไม่กี่จอก กู้ซีจิ่วก็มาแล้ว
ช่วงนี้ดอกเหมยบานสะพรั่ง ทุกๆ วันในเวลานี้กู้ซีจิ่วจะมาเดินเล่นที่ดงดอกเหมยรอบหนึ่ง ชื่นชมดอกเหมย คิดไม่ถึงว่าจะเจอกู้เซี่ยเทียนเลี้ยงรับรองแขกอยู่ และที่คิดไม่ถึงยิ่งกว่าคือจะได้พบ ‘คนรู้จักเก่า’ อย่างหลงโม่เหยียน
ความทรงจำของกู้ซีจิ่วดีจนน่าตะลึง เธอยังคงจดจำเขาได้ ปีนั้นที่ทุ่งน้ำแข็งลี้ลับ เธอที่ใช้ฐานะจ้งเซิงเคยพบหน้าเซียวเหยาโหวผู้นี้คราหนึ่ง นับว่าเข้ากันได้ดีพอประมาณ
ไม่ได้พบกันนานหลายปี หลงโม่เหยียนยังคงดูอ่อนเยาว์ยิ่งนัก ดูเหมือนคนอายุราวยี่สิบปี หล่อเหลาอย่างยิ่ง มีสง่าราศีของคุณชายตระกูสูงศักดิ์ บางทีอาจมีสาเหตุมาจากการยกระดับทางพลังวิญญาณ บนร่างของหลงโม่เหยียนกลิ่นอายสูงส่งที่ยากจะกล่าวได้อยู่ ถึงขั้นที่แฝงไอเซียนที่บรรยายไม่ได้เอาไว้ด้วย
ศาลาชมดอกเหมยตั้งอยู่กลางดงต้นเหมย นอกศาลามีดอกเหมยขับเน้นเสริมส่ง มีท่วงทำนองศิลป์ยิ่งนัก ส่วนหลงโม่เหยียนนั่งอยู่ในศาลา ท่าทางสุขุมเยือกเย็น ราวกับหลุดมาจากภาพวาด
————————————————————————————-
บทที่ 1631 เล่นละคร
ยามนี้ฐานะของกู้ซีจิ่วสูงส่ง ต่อให้เป็นคุณชายจากตระกูลสูงส่ง พอเธอก็มาต้องทำความเคารพเธอเช่นกัน หลงโม่เหยียนจึงลุกขึ้นมา ประสานมือทำความเคารพเธอ
กู้ซีจิ่วไม่มีความอดทนต่อพิธีรีตองเหล่านี้ โบกมือเชิญเขานั่งลง
กู้ซีจิ่วมีความรู้สึกดีๆ ต่อหลงซื่อจื่อผู้นี้ค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงอยู่สนทนาด้วยไม่กี่ประโยค นี่ตรงกับเจตนาของกู้เซี่ยเทียนพอดี หลังจากเขาแนะนำทั้งสองฝ่ายสองสามประโยคแล้ว ก็หาข้ออ้างหลบฉากไป ทิ้งให้ทั้งสองคนสนทนากันอยู่ในศาลาชมดอกเหมย
เมื่อถึงยามนี้กู้ซีจิ่วย่อมทราบแล้วว่ากู้เซี่ยเทียนจัดการนัดดูตัวให้อีกแล้ว ค่อนข้างจนปัญญายิ่งนัก ไม่คิดจะอยู่สนทนาพาทีอีก ขณะที่กำลังจะหาเหตุมาแยกตัวไป จู่ๆ หลงโม่เหยียนก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านทูตสวรรค์ ขออภัยที่ข้าต้องเอ่ยถามสักประโยค ท่านกำลังถูกบีบให้ดูตัวอยู่ใช่หรือไม่?”
กู้ซีจิ่วคาดไม่ถึงว่าเขาจะพูดอย่างชัดเจนไม่อ้อมค้อม จึงเงยหน้ามองเขา “มิผิด”
“คัดค้านเรื่องนี้ยิ่งนักใช่หรือไม่?”
“แน่นอน”
“ข้าก็เช่นกัน บิดากดดันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ข้ามีคนในดวงใจแล้ว ถ้าหานางไม่พบจะไม่แต่งภรรยาเด็ดขาด แต่ถูกบิดามารดากดดันช่างน่าเบื่อเหลือเกิน…” หลงโม่เหยียนพูดจาฉะฉาน
กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง “ดังนั้น?”
“ตัวข้ามีข้อเสนอแนะประการหนึ่ง ท่านทูตสวรรค์ลองดูเถิดว่าใช้ได้หรือไม่”
“ว่ามา”
“พวกเราต่างคัดค้านการบังคับดูตัวยิ่งนัก มิสู้ยามนี้แสร้งเป็นคู่รักกำมะลอเสีย สามวันห้าวันก็มาพบหน้ากันสักครั้ง อยู่ร่วมกันในฐานะสหาย จะได้ยับยั้งความคิดของพวกเขา ท่านและข้าล้วนหมดจดกันทั้งสองฝ่าย”
ความคิดนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ อย่างไรเสียในยุคปัจจุบันก็มีคนหนุ่มสาวมากมายที่ถูกพ่อแม่เร่งรัดให้แต่งงานโดยเร็ว จึงต้องหาใครสักคนมาสวมรอยเพื่อรับมือ
ไม่นึกเลยว่าคนยุคโบราณอย่างหลงโม่เหยียนจะทราบถึงกลอุบายของผู้คนในสมัยปัจจุบันด้วย กู้ซีจิ่วกำลังเบื่อหน่ายกับการโดนกู้เซี่ยเทียนวางอุบายใส่อยู่พอดี ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง จึงพยักหน้าตกลง
ทั้งสองคนเห็นพ้องต้องกัน การสนทนาจึงเป็นกันเองขึ้นมา กู้ซีจิ่วจึงโพล่งถามไป “ในเมื่อท่านมีคนในใจแล้ว เหตุใดจึงไม่แต่งเป็นภรรยาเล่า?”
หลงโม่เหยียนถอนหายใจ “ข้าหานางไม่พบ…”
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว หลงโม่เหยียนกล่าวต่อว่า “ขอกล่าวกับท่านทูตสวรรค์อย่างมิปิดบัง ข้ากับนางเพียงมีวาสนาได้พบหน้ากันครั้งหนึ่ง ต่อมาจะตามหาอย่างไรก็หานางไม่พบแล้ว…”
รักแรกพบงั้นหรือ?
กู้ซีจิ่วสนอกสนใจขึ้นมา “นางมีนามว่าอะไร? บางทีข้าอาจช่วยเหลือท่านได้” ตอนนี้หอเงาราตรีแทบจะเป็นสำนักที่ขึ้นตรงต่อเธอแล้ว ข่าวสารฉับไวเป็นที่สุด ขอเพียงหลงโม่เหยียนเอ่ยนามคนออกมา ด้วยความสามารถของหอเงาราตรี น่าจะตามหาตัวได้
หลงโม่เหยียนก็ไม่ปิดบัง “นางนามว่าจ้งเซิง ข้ากับนางบังเอิญพบกันที่ทุ่งน้ำแข็งลี้ลับ…”
กู้ซีจิ่วตกตะลึง
นึกไม่ถึงว่าการปลอมตัวเมื่อปีนั้นของเธอจะเกี่ยวชะตารักที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้มาได้!
ซ้ำยังเป็นชะตารักตั้งแต่แรกพบอีกด้วย!
จ้งเซิง จ้งเซิง ที่แท้ก็ไร้สาระทั้งเพ
กู้ซีจิ่วถอนหายใจ “นี่ท่านรักตั้งแต่แรกพบหรือ? อันที่จริงในเมื่อท่านตามหามาหลายปีแล้วยังไม่พบนาง อาจเป็นเพราะนางไม่ได้มีตัวตนจริงๆ อันใดเลย นามก็เป็นนามแฝง เหตุใดท่านต้องยึดติดด้วยเล่า?”
หลงโม่เหยียนหัวเราะขื่นๆ คราหนึ่ง “ข้าจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน? แต่ข้าก็ลืมนางไม่ลง…ไม่ว่าอย่างไรก็อยากหานางให้พบก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ถ้าหากนางตายไปแล้วล่ะ?”
“อย่าแช่งนาง! ข้าเชื่อว่านางยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้”
กู้ซีจิ่วเงียบไป
เอาเถอะ เธอใช้ความเป็นไปได้อื่นก็ได้ “นางอาจจะออกเรือนไปแล้วก็ได้นะ?”
“หากว่านางได้รับความสุขที่นางปรารถนาแล้วจริงๆ ข้าจะอวยพรให้นาง…แต่ข้าจะต้องตามหานางให้พบก่อน ถ้านางอยู่สุขดีจริงๆ ถึงจะสามารถปล่อยวางความยึดมั่นนี้ไปได้”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกแล้ว…
————————————————————————————-
บทที่ 1632 พบเจอ
เธอไม่ได้วางแผนว่าจะยอมรับตัวตนนั้น มิเช่นนั้นจะเป็นการหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวอีกครั้ง
เธอใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ตัดสินว่าวันหน้าจะต้องแปลงโฉมเป็นจ้งเซิงที่ออกเรือนไปแล้ว ให้ซื่อจื่อผู้นี้ตัดใจไปเสีย หากปล่อยให้ฐานะไร้ตัวตนนั้นถ่วงรั้งคนผู้นี้ไปชั่วชีวิตคงไม่ดี
เนื่องจากต้องเล่นละครตบตา กู้ซีจิ่วกับหลงโม่เหยียนจึงพบหน้ากันอีกสองครั้ง กินข้าวด้วยกันสองหน
ทั้งสองคนอยู่ร่วมกันในฐานะสหาย หลงโม่เหยียนเป็นเพื่อนเล่นที่เอาใจใส่ยิ่งนักคนหนึ่ง เวลาที่เที่ยวเล่นด้วยกัน เขาจะดูแลกู้ซีจิ่วดีมาก ไม่ได้มองเธอเป็นทูตสวรรค์ผู้สูงส่งเหนือปวงชน
วันนี้ขึ้นสิบสี่ค่ำพอดี กู้ซีจิ่วพาเจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋น้อยโดยสารรถม้าหยกขาวที่มีเพรียกวายุลากไปชมดอกเหมยผ่อนคลายที่นอกเมือง
นึกไม่ถึงว่าระหว่างทางจะบังเอิญพบหลงโม่เหยียนเข้า หลงโม่เหยียนก็จะไปชมดอกเหมยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้คนทั้งสองจึงเดินทางไปด้วยกัน
หลงโม่เหยียนขี่อาชาขาว ซึ่งเข้ากับรถม้าหยกขาวของกู้ซีจิ่วยิ่งนัก คนทั้งสองผู้หนึ่งอยู่ด้านในรถ ผู้หนึ่งอยู่ด้านนอกรถ บางครั้งหลงโม่เหยียนก็แหวกม่านรถสนทนากับเธอสองสามประโยค พูดคุยหยอกเอินกันเช่นนี้ก็ไม่นับว่าเงียบเหงาแล้ว
เจ้าหอยยักษ์หมอบอยู่มุมหนึ่งในห้องโดยสาร อ้าฝาฟังอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็กล่าวกับกู้ซีจิ่วอย่างมั่นใจยิ่งนัก “เจ้านาย คนผู้นี้ไม่เลวเลย ภายภาคหน้าจะได้สำเร็จเป็นเซียน”
กู้ซีจิ่วไม่นึกเลยว่าเจ้าหอยยักษ์จะมีฝีมือด้านการดูโหงวเฮ้งด้วย “เจ้ารู้ได้ยังไง?”
“บนร่างเขามีไอเซียนอยู่รางๆ พิสูจน์ได้ว่ามีรากฐานประเสริฐ อ้างอิงจากผู้คนมากมายที่ข้าเคยกลืนกิน นอกจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแล้ว ก็เป็นรากฐานของคนผู้นี้แหละที่ยอดเยี่ยมที่สุด”
กู้ซีจิ่วประหลาดใจนัก เท่าที่เธอทราบ พลังวิญญาณของหลงโม่เหยียนในยามนี้ยังไม่ถึงขั้นแปดเลย บนโลกใบนี้ไม่ทราบว่ามีผู้คนมากน้อยเพียงใดที่เหนือล้ำกว่าเขา ทำไมเขาถึงสามารถเทียบชั้นกับตี้ฝูอีได้เล่า?
เธอเลิกม่านรถออกมามองดูหลงโม่เหยียนอย่างสงบอีกครั้ง เธอรู้สึกอยู่เสมอว่าหลงโม่เหยียนในยามนี้เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว คล้ายจะเปล่งแสงดั่งพุทธองค์ออกมา และบางทีก็คล้ายกับดวงวิญญาณที่เดิมทีโง่งมแต่จู่ๆ ก็ปลุกสำนึกรู้แจ้งขึ้นมาได้ บนร่างแฝงไอเซียนที่ยากจะบรรยายได้เอาไว้
ป่าเหมยแห่งนั้นเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เติบโตอยู่ในแอ่งกระทะกลางหุบเขา เป็นที่ราบภูเขาพื้นใหญ่
เดิมทีช่วงผลิดอกของมันคือต้นเดือนสิบสอง ยามนั้นผลิบานไปแล้วรอบหนึ่ง แต่คาดไม่ถึงว่าในวันที่สิบห้านี้ ดอกเหมยในป่าเหมยผืนนี้จะบานสะพรั่งอีกครั้ง มองจากที่ไกลๆ ดูราวกับเมฆาแดงชาด
ยากนักที่ดอกเหมยจะผลิบานเป็นรอบที่สอง การผลิบานเป็นครั้งที่สองหนนี้จึงเป็นการเบ่งบานที่คึกคักยิ่งนัก ขุนนางบางคนกล่าวว่าเป็นเพราะบุญญาธิการขององค์จักรพรรดิ จึงทำให้สวรรค์ประทานนิมิตหมายอันดีเช่นนี้มาให้
เมื่อเรื่องยิ่งใหญ่นี้แพร่ออกไป เหล่าประชาชนย่อมพากันบอกต่อญาติสนิทมิตรสหายให้มา ดังนั้นระหว่างเดินทางพวกกู้ซีจิ่วทั้งสองจึงได้พบปะผู้คนไม่น้อยเลย
เหล่าราษฎรย่อมจดจำรถม้าของกู้ซีจิ่วได้ ระหว่างทางจึงมีผู้หวังดีเข้ามาทักทายไถ่ถามเป็นครั้งคราว…
เจ้าหอยยักษ์เลิกม่านรถมองออกไปด้านนอกแวบหนึ่ง “เจ้านาย มีคนตามพวกเรามาเยอะแยะเลย”
กู้ซีจิ่วก็มองเห็นเช่นกัน หลังจากประชาชนเหล่านั้นเข้ามาทักทายเธอแล้ว ก็พากันตามหลังรถม้าอยู่ห่างๆ คงอยากจะซึมซับไอมงคลจากรถม้าของทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดิน
เหล่าประชาชนล้วนชมชอบเรื่องเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว กู้ซีจิ่วจึงไม่เก็บมาใส่ใจเช่นกัน เธอมองไปด้านหน้า มองเห็นสีแดงสดผืนหนึ่งอยู่ไกลๆ จะถึงป่าเหมยแล้ว!
“เอ๋! ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย! เรือของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายนี่!” ด้านนอกมีเสียงคนตะโกนขึ้นมาเบาๆ
กู้ซีจิ่วที่อยู่ในรถแข็งทื่อไปเล็กน้อย แล้วกลับสู่สภาพปกติทันที ม่านรถของเธอเลิกเปิด เธอจึงถือโอกาสมองออกไปด้านนอก มองเห็นเรือสีฟ้าลำหนึ่งแล่นอยู่บนเส้นทางที่ขนานกัน เป็นพาหนะของตี้ฝูอี
เรือลำนี้ของเขาเหินไปเหินมาอยู่บนฟ้าเสมอมา ยากนักที่จะได้เห็นมันเคลื่อนอยู่บนพื้น ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงมองมากขึ้นอีกหลายครา
บอกว่าเคลื่อนอยู่บนถนน ทว่าความจริงแล้วค่อนข้างคล้ายเรือโฮเวอร์คราฟต์[1] ท้องเรือยังคงยกห่างจากพื้นครึ่งฉื่อ
————————————————————————————-
บทที่ 1633 ท่านขวางทางของพวกเราอยู่
ความเร็วของเรือรวดเร็วยิ่งนัก พริบตาเดียวก็เคลื่อนมาถึงบนทางสายหลักที่รถม้าของกู้ซีจิ่ววิ่งอยู่แล้ว
ช่างประจวบเหมาะบังเอิญ ขวางทางสัญจรของรถม้ากู้ซีจิ่วเข้าพอดี
เรื่องราวล่วงเลยมาเกือบครึ่งปี ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ได้เห็นตี้ฝูอีอย่างแท้จริงแล้ว
ตี้ฝูอีนั่งอยู่ในเรือ สวมอาภรณ์ม่วงพราวระยับ สวมหน้ากากบดบังใบหน้า เรือนผมสีเงินเหมือนอยู่ใต้แสงหิมะดูสะดุดตาเป็นพิเศษ
อำนาจของเขาแข็งแกร่งนัก นั่งอยู่ตรงนั้นราวกับทวยเทพที่ทอดมองแดนมนุษย์
เหล่าราษฎรพากันทำความเคารพ หลังจากหลงโม่เหยียนตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ก็ลงจากม้าก้าวเข้าไปทำความเคารพเช่นกัน
ยามนี้ฐานะของกู้ซีจิ่วเสมอศักดิ์กับเขาแล้ว ไม่จำเป็นต้องลงจากรถไปทำความเคารพ ดังนั้นเธอจึงนั่งเงียบๆ อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว สายตาหยุดอยู่ที่เรือนผมสีเงินของเขาแวบหนึ่ง แล้วละสายตาไปเลย
หนนี้บนเรือของตี้ฝูอีมีเพียงมู่เฟิงกับเด็กหนุ่มชุดดำอีกคนเท่านั้น
หลังจากตี้ฝูอีให้คนเหล่านั้นลุกขึ้นมาแล้ว ในที่สุดสายตาก็ร่อนลงบนดวงหน้าของกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง นัยน์ตาหยีโค้งนิดๆ คล้ายจะยิ้มแวบหนึ่ง “ทูตสวรรค์กู้ บังเอิญนัก! นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกันที่นี่”
ทูตสวรรค์กู้…
มุมปากของกู้ซีจิ่วยกโค้งนิดๆ ถ้อยคำที่เขาเรียกขานเธอในแต่ละครั้งยิ่งห่างเหินขึ้นเรื่อยๆ
“ใช่แล้ว บังเอิญนัก” กู้ซีจิ่วยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มงามล่มเมือง พลางเอ่ยเสริมอีกประโยค “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายหลบทางให้หน่อยได้หรือไม่? ท่านขวางทางของพวกเราอยู่”
พวกเรา…
สายตาของตี้ฝูอีกวาดผ่านร่างของโม่เจ้าแวบหนึ่ง “พวกเจ้าสองคนจะที่ใดกันหรือ?”
กู้ซีจิ่วตอบไปว่า “พวกเราจะไปที่ใดก็คล้ายว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายนะ”
ตี้ฝูอีถูกตอกหน้าจนเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างเฉยเมย “ไม่เกี่ยวจริงๆ นั่นแหละ ข้าก็ถามไปเรื่องเท่านั้นเอง”
เมื่อพูดจบ เรือของเขาเบี่ยงไปด้านข้าง เปิดทางให้รถม้าของกู้ซีจิ่วผ่านไป
กู้ซีจิ่วก็ไม่โอ้เอ้เช่นกัน รถม้าเคลื่อนผ่านข้างเรือของเขาไป หลงโม่เหยียนย่อมติดตามไปด้วย เดินทางกับกู้ซีจิ่วต่อไป
เสียงสนทนาของหลงโม่เหยียนกับกู้ซีจิ่วแว่วมาจากที่ไกลๆ
“ซีจิ่ว ข้างหน้าก็เป็นป่าเหมยแล้ว ชมดอกเหมยกลางหิมะก็เป็นความสำราญประการหนึ่งเช่นกัน”
“นี่ก็ถูก ประเดี๋ยวลงจากรถแล้วไปเที่ยวชมกันให้สนุกเถอะ”
รถม้าสีขาวพิสุทธิ์จากไปไกลแล้ว นาวาของตี้ฝูอีกลับยังหยุดนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนอยู่นาน
มู่เฟิงมองเจ้านายของบ้านตนอย่างเห็นใจยิ่งนัก แม่นางกู้อาจจะก้าวข้ามไปได้แล้วจริงๆ กลับเป็นเจ้านายของบ้านตนที่นับวันยิ่งเข้าใจยากขึ้นเรื่อยๆ
เด็กหนุ่มชุดดำที่อยู่บนเรือของเขาหนาวจนทนไม่ไหวแล้ว หนาวสะท้านอยู่ตรงนั้นไม่หยุด
เขาอยากเร่งให้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายรีบเข้าสู่เมืองหลวง แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยออกมา
ตี้ฝูอีนั่งนิ่งอยู่บนเรือ ดั่งรูปสลักน้ำแข็งก็มิปาน พลังอำนาจอันกล้าแข็งนั้นทำให้เขาไม่กล้าพูดจาเหลวไหลเลยสักประโยค
มู่เฟิงมองเด็กหนุ่มชุดดำคนนั้นแวบหนึ่ง ลอบส่ายหน้า และตบไหล่เขาทีหนึ่ง “หนาวไหม?”
เด็กหนุ่มชุดดำคนนั้นสั่นระริกยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “หนาว!”
“ตัวเจ้าดีชั่วอย่างไรก็มีพลังวิญญาณขั้นหกแล้ว ซ้ำยังอ้างตัวเป็นสานุศิษย์สวรรค์ จะต้องมีฝีมือให้มากหน่อยสิ ทำไมแม้แต่ความหนาวแค่นี้ก็ยังทนไม่ได้?”
เด็กหนุ่มคนนั้นเงียบไปแล้ว
ยามปกติเขาทนหนาวได้จริงๆ สวมชุดบางๆ ชั้นเดียวตอนหิมะตกหนักก็ไม่กลัวหนาวเลย
แต่ไม่รู้ว่าทำไม นับตั้งแต่ก้าวขึ้นเรือของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เขาก็หนาวยะเยือกอยู่ตลอด หนาวเข้าไปถึงกระดูก เขาพยายามจะอดทนต่อช่วงเวลาที่เคี่ยวกรำอย่างสุดชีวิต เพียงรอให้ถึงเมืองหลวงเร็วๆ หน่อย เข้าจุดพักม้าให้เร็วหน่อย เขาก็จะได้ความอบอุ่นแล้ว
เขารู้สึกว่าตนน่าเวทนายิ่งนัก เป็นอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์อย่างมิต้องสงสัยเลย ถูกสหายรายล้อมสรรเสริญเยินยอว่าเป็นอัจฉริยะมาโดยตลอด ช่วงเที่ยงก่อนวันถึงวันสิ้นปีเขาคุยโวโอ้อวด คุยโม้กับเหล่าสหาย บอกว่าตนอาจจะเป็นสานุศิษย์สวรรค์ก็ได้…
จากนั้นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็มาเยือนถึงหน้าประตูในคืนสิ้นปี! และฝันร้ายของเขาก็เริ่มขึ้นนับตั้งแต่วันนั้น จวบจนยามนี้ก็ยังไม่สิ้นสุดลง…
——————————————————————————-
[1] เรือโฮเวอร์คราฟต์คือเรือสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกชนิดหนึ่ง เป็นเรือไฮบริดที่สามารถเดินทางบนผิวน้ำ ผิวโคลน และพื้นผิวชนิดอื่นๆ ได้ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษ ส่วนใหญ่ใช้สำหรับการขนส่งลำเลียงเพื่อบรรเทาภัยพิบัติและใช้งานทางด้านการทหาร
บทที่ 1634 หาข้ออ้างมาแยกพวกเขาจากกันใช่ไหม?
‘มู่เฟิง เจ้าใช้ฐานะเทวทูตของเทพศักดิ์สิทธิ์ไปแจ้งให้กู้ซีจิ่วทราบ วันพรุ่งให้นางตระเตรียมเรื่องทดสอบสานุศิษย์สวรรค์’ จู่ๆ ตี้ฝูอีก็ส่งกระแสเสียงหามู่เฟิง
มู่เฟิงตะลึงไปแวบหนึ่ง ‘เรื่องนี้มิใช่ว่านายท่านเป็นผู้รับผิดชอบมาโดยตลอดหรือขอรับ? นางคงจะไม่สามารถ…’
‘นำเคล็ดนี้ไปมอบให้นาง ให้นางปฏิบัติตาม เมื่อถึงเวลาพวกเจ้าสี่คนก็คอยช่วยอารักขานางด้วยก็พอ ชี้แนะนางให้มากหน่อย’ ตี้ฝูอีส่งกระดาษแผ่นหนึ่งลอยพลิ้วมา
มู่เฟิงทำได้เพียงรับไว้ ตามองเจ้านายของบ้านตน อดไม่ได้จึงส่งกระแสเสียงไปหาอีก ‘นายท่าน นี่ท่านคิดจะถ่ายทอดทุกอย่างที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายต้องทำไปให้นางหรือขอรับ?’
เขารู้สึกอยู่เสมอว่านายท่านไม่ต้องการตำแหน่งทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายนี้แล้ว ดังนั้นจึงผลักทุกสิ่งที่ควรทำไปให้กู้ซีจิ่ว
หรืออาจเป็นเพราะนายท่านเห็นกู้ซีจิ่วกับหลงโม่เหยียนอยู่ด้วยกันแล้วรู้สึกขัดตา จึงหาข้ออ้างมาแยกพวกเขาจากกันใช่ไหม?
‘เปิ่นจุนเบื่อแล้ว’ ตี้ฝูอีกอธิบายด้วยสี่คำ ‘รีบไป!’
‘ขอรับ!’ มู่เฟิงไม่กล้าถามซอกแซกแล้ว หันกายกระโดดลงจากเรือไล่ตามคนไป
บนเรือลำใหญ่เหลือเพียงเด็กหนุ่มชุดดำผู้นั้นกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย
จู่ๆ เด็กหนุ่นคนนั้นก็รู้สึกกดดันปานถูกภูผากดทับ!
“ลงไป!” ตี้ฝูอีเอ่ยออกมาในทันใด
“หา?” เด็กหนุ่มชุดดำเงยหน้าขึ้นอย่างงงงวย
“ลงไป ไปที่จุดพักม้าของเมืองหลวงด้วยตัวเองซะ อย่าได้คิดหลบหนี มิเช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าเสียใจที่เกิดมา!” น้ำเสียงของตี้ฝูอีเยียบเย็นดั่งลมภูเขาพัดโชย
“ขอรับ เข้าใจแล้ว!” เด็กหนุ่มชุดดำก็กระโดดลงจากเรือเช่นกัน
เรือลำใหญ่แล่นจากไปปานสายลมหอบหนึ่ง พริบตาเดียวก็มองไม่เห็นร่องรอยแล้ว
เด็กหนุ่มชุดย่อมไม่กล้าหลบหนี เขาก็ยังรักชีวิตอยู่นะ! ครึ่งเดือนมานี้เขาทราบวิธีการของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้อย่างแจ่มแจ้งแล้ว ช่างวิปริตโดยแท้!
เดิมทีเด็กหนุ่มชุดดำเป็นเด็กหนุ่มที่โผงผางยิ่งนักคนหนึ่ง เมื่อเดือดดาลขึ้นจะใครหน้าไหนก็ไม่กลัวเกรง จักรพรรดิสวรรค์ก็ลากลงมา แต่พออยู่ต่อหน้าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ เขาก็เป็นแค่ลูกไก่จริงๆ…
ถึงแม้จะถูกไล่ลงมาจากเรือ แต่เด็กหนุ่มชุดดำก็ยังคงถอนหายใจอย่างโล่งอก
ที่นี่ไม่ไกลจากเมืองหลวงแล้ว เขาวิ่งไปก็ไม่เปลืองแรงเท่าไหร่
สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเขากลัวการอยู่ร่วมกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้มากเพียงใด!
เขาขยับแขนขาที่แทบจะแข็งกะด้างแล้วเล็กน้อย รู้สึกเพียงว่านภาเป็นสีคราม ปุยหิมะก็อ่อนโยนแล้ว
อดไม่ได้ที่จะเหม่อมองไปยังทิศทางที่กู้ซีจิ่วหายลับไปแวบหนึ่ง เครื่องหมายตกใจนับไม่ถ้วนวาบผ่านในหัวใจเขา
ที่แท้สตรีนางนั้นก็คือทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินที่ร่ำลือกัน นึกไม่ถึงว่าจะอ่อนเยาว์ปานนี้ งดงามถึงเพียงนี้!
เด็กหนุ่มคนนี้อายุแค่สิบห้าปีเท่านั้น ยามที่กู้ซีจิ่วมีชื่อเสียง เขายังเป็นเด็กน้อยนั่งเล่นดินเล่นโคลนบนพื้นอยู่เลย เคยได้ยินเรื่องราวการปราบปรามกบฏของนางมานานแล้ว เลื่อมใสนางอย่างยิ่ง ในใจของเขา กู้ซีจิ่วก็คือตำนานที่มีตัวตน ไม่นึกเลยว่าพอมาถึงอาณาจักรเฟยซิงก็ได้เจอตัวเป็นๆ เลย…
ก่อนหน้านี้หากมิใช่เพราะท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอยู่ข้างกาย ตอนที่เด็กหนุ่ชุดดำคนนี้เห็นกู้ซีจิ่วก็แทบจะไชโยโห่ร้องดวงตาสาดแสงเจิดจ้าไปแล้ว!
เขาน่าจะยังได้พบนางอีกกระมัง? หากว่าได้สนทนากับนางเช่นนั้นก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว…
เด็กหนุ่มชุดดำคิดเพ้อไปไกล
การสนทนาของตี้ฝูอีกับมู่เฟิงเป็นการส่งกระแสเสียงทั้งสิ้น เด็กหนุ่มชุดดำคนนี้ไม่มีทางได้ยินเด็ดขาด ดังนั้นจึงไม่ทราบว่าผู้รับหน้าที่ทดสอบตนในวันพรุ่งนี้คือกู้ซีจิ่ว
….
ในป่าเหมยแดงฉานดั่งเพลิง กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วมองมู่เฟิงที่ร่อนลงบนยอดกิ่งดอกเหมย…ซึ่งยามนี้เป็นทูตส่างซั่น ไม่เข้าใจว่าใช้ฐานะนี้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ด้วยจุดประสงค์ใด
มู่เฟิ่งก็ปวดร้าวยิ่งนักเช่นกัน
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ให้เขามาถ่ายทอดโองการของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ เขาย่อมต้องสวมชุดเครื่องแบบของทูตส่างซั่น…สวมเสื้อคลุมสีเขียวหลวมโคร่งตัวหนึ่ง ชายชุดปักลายเมฆาด้วยด้ายทองชนิดพิเศษ สวมหน้ากากภูตผีไว้บนหน้า
————————————————————————————-
บทที่ 1635 เขาหึงหวง?
เขาสวมชุดเครื่องแบบนี้ไปข่มขู่ผู้อื่นยังพอไหว ทว่ากู้ซีจิ่วรู้ฐานะของเขา ดังนั้นยามมู่เฟิงยืนอยู่บนยอดกิ่งเหมยแสร้งทำเป็นหยิ่งผยอง ทว่าในใจกลับมีคำว่าอักอ่วนตัวยักษ์
“รับโองการเทพศักดิ์สิทธิ์ มีคำสั่งให้ทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินกู้ซีจิ่วรับผิดชอบการทดสอบสานุศิษย์สวรรค์ในวันพรุ่งนี้ ไม่อาจมีข้อผิดพลาดได้” มู่เฟิงถ่ายทอดโองการเทพศักดิ์สิทธิ์จบอย่างรวดเร็ว ปลายนิ้วมือพลันตวัด ม้วนตำราบางๆ โบยบินไปอยู่บนมือของกู้ซีจิ่ว “หากทูตสวรรค์กู้ไม่เข้าใจตรงไหน ก็ศึกษาได้จากม้วนตำราม้วนนี้ เนื่องด้วยเวลาที่กระชั้น หวังว่าทูตสวรรค์กู้จะกลับไปเตรียมตัวโดยเร็ว”
ตี้ฝูอีกำลังเล่นละครอะไรอีก?!
กู้ซีจิ่วไม่เข้าใจอย่างยิ่ง จึงถามในทันใด “ขอบังอาจถามทูตส่างซั่น การทดสอบสานุศิษย์สวรรค์นี้มิใช่กิจของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายหรอกหรือ? เหตุใดจึงให้ซีจิ่วข้ามหน้าข้ามตาเขาได้?”
“เรื่องนี้เทพศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้จัดการ ทูตสวรรค์กู้ทำไปตามนั้นก็พอ” ภายใต้การจับจ้องด้วยดวงตาที่สดใสของกู้ซีจิ่ว มู่เฟิงแทบจะรักษาอาการสงบเยือกเย็นไว้ไม่อยู่ เมื่อกล่าวถ้อยคำนี้จบเขาก็หันกายโบยบินไป
กู้ซีจิ่วไร้ซึ่งวาจา เธอหลุบตาลงมองม้วนตำราในมือ ด้านบนเป็นตัวอักษรบรรจงถี่ยิบ สวยงามและแข็งกร้าวยิ่งนัก เป็นลายมือของเขาเอง
ตี้ฝูอีมีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง เขียนตัวอักษรได้หลากหลายรูปแบบ เมื่อเปลี่ยนรูปแบบการเขียนก็จะไม่มีผู้ใดมองออกเลยว่าเป็นคนเดียวกันเขียน
ทว่ากู้ซีจิ่วอยู่ร่วมกันกับเขามาแปดปี ย่อมคุ้นเคยลายมือแต่ละแบบของเขาเป็นอย่างดี ไม่มีทางจำผิด เขาเป็นคนเขียนม้วนตำรานี้ขึ้นมาแน่นอน
เพียงแต่ปกติตี้ฝูอีชอบเขียนตัวอักษรหวัดแกมบรรจงหรือตัวอักษรหวัด ประหนึ่งมังกรคะนองโบยบิน แทบจะทะลุทะลวงกระดาษออกไป
ทว่าตัวอักษรบรรจงเช่นวันนี้นับว่าเห็นได้ยากยิ่งนัก
เขาคิดจะทำอะไรกันแน่? ทั้งที่เป็นหน้าที่ของตัวเขาเองชัดๆ เหตุใดต้องผลักภาระมาให้เธอ? จับชายฉกรรจ์มาเป็นทหารเปล่า[1]หรืออย่างไร?
กู้ซีจิ่วเดือดดาลในใจ!
ขั้นตอนการทดสอบสานุศิษย์สวรรค์สลับซับซ้อน ต่อให้เธอเริ่มเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้ เวลาก็ยังกระชั้นนัก หากต้องการทำได้ดี ก็ไม่อาจชื่นชมป่าเหมยอย่างสบายใจได้อีกต่อไปแล้ว
หรือว่าเขาจะขัดหูขัดตาที่เห็นเธอกับหลงโม่เหยียนเที่ยวชมทัศนียภาพด้วยกัน จึงจงใจผลักภาระนี้มาให้เธอ?
เขาหึงหวง?
เมื่อความคิดสุดท้ายนี้ผุดขึ้นมา หัวใจกู้ซีจิ่วพลันสั่นไหวและปฏิเสธทันที
เขามองเธอเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว จะมาหึงหวงอะไรอีก?
หรือบางทีอาจเป็นเพราะเธอเคยเป็นคนของเขา ต่อให้เขาไม่ต้องการเธอแล้ว แต่ก็ไม่อยากเห็นเธออยู่ด้วยกันกับชายอื่น พวกปิตาธิปไตยกำลังก่อเรื่องร้ายกระมัง?!
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเหตุผลข้อสุดท้ายน่าจะเป็นไปได้ที่สุด ความโกรธในใจค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ตี้ฝูอีเห็นเธอเป็นอะไรกันแน่?!
เหตุใดเธอจึงต้องฟังเขา?!
หลงโม่เหยียนยืนอยู่ข้างกายนางตลอดเวลา เห็นสีหน้านางไม่สู้ดี จึงไม่พูดไม่จายืนอยู่ตรงนั้น ถามขึ้นหนึ่งประโยค “ซีจิ่ว ในเมื่อเจ้ายังมีธุระที่ต้องทำ เช่นนั้นพวกเรากลับกันเถิด?”
กู้ซีจิ่วทอดถอนใจเบาๆ เก็บม้วนตำราม้วนนั้นเข้าแขนเสื้อ กล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ไม่เป็นไร” เธอสาวเท้าก้าวไปด้านหน้า “การเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่เช่นนี้ ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องราววุ่นวายเหล่านั้นหรอก พวกเราไปเที่ยวชมกันต่อเถอะ”
ดอกเหมยในป่าเหมยผลิบานสะพรั่ง ผู้คนสัญจรไปมา กลีบดอกเหมยร่วงหล่นลงบนผืนหิมะดั่งสายฝนโปรยปราย เป็นสีแดงสลับขาว ช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก
ดอกเหมยภายในป่าเหมยผืนนี้ดูจะแดงฉานเป็นพิเศษ สีสันสวยสดดุจโลหิต แดงชาดดั่งเปลวเพลิง โดดเด่นเตะตา
กู้ซีจิ่วเดินเล่นในป่าเหมย ดอมดมกลิ่นหอมสดชื่นของดอกเหมย ทำให้ความเดือดดาลในใจสงบลงได้บ้าง
หลงโม่เหยียนเข้าอกเข้าใจผู้อื่นอย่างยิ่ง ปิดปากเงียบไม่พูดถึงเรื่องเมื่อสักครู่ พยายามหาเรื่องอื่นมาพูดคุยกับกู้ซีจิ่ว เขาเป็นคนอารมณ์ขัน ชาญฉลาดมีไหวพริบ รอบรู้คงแก่เรียนนัก มีข้อมูลมากมาย ทว่าไม่น่าเบื่อ
————————————————————————————-
[1] จับชายฉกรรจ์มาเป็นทหารเปล่า มาจากที่จีนสมัยก่อนจะมีการเรียกบังคับจับกุมชายวัยหนุ่มและวัยกลางคนมาเป็นทหาร ประโยคนี้ในที่นี้หมายถึงการใช้งานผู้น้อยที่มีความสามารถโดยไม่จ่ายค่าตอบแทน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น