หมอดูยอดอัจฉริยะ 163-174
ตอนที่ 163 การประมูลเพื่อการกุศล (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“อะแฮ่ม…”
เห็นสายตาโกรธเคืองของภรรยา เถ้าแก่เหลยก็กระแอมออกมาสองสามครั้ง พูดด้วยสีหน้าอึดอัดวางตัวไม่ถูกว่า “ความรัก มอบความรักให้เด็กๆ บนภูเขาไงล่ะ”
“ครั้งนี้ละเว้นให้คุณ” หากไม่ใช่เพราะช่วงนี้สามีทำตัวดี เกรงว่าท่าทีชื่นชมนักแสดงหญิงคนนั้นของเถ้าแก่เหลย คงทำให้หญิงสาวอย่างหลงเสวี่ยเหลียนคนนี้ก็เกิดหึงหวงขึ้นมาอีก
“ห้าพันหยวนครับ คุณเหลยเริ่มประมูลที่ห้าพัน มีใครต้องการประมูลเพิ่มหรือไม่ เงินทุกหยวน จะส่งมอบให้กับเด็กยากไร้บนภูเขา”
“แปดพันหยวน”
“ฉันให้หนึ่งหมื่น”
“หนึ่งหมื่นห้าพันหยวน”
พิธีกรที่อยู่ตรงกลางเวทีใช้พละกำลังที่มีปลุกเร้าบรรยากาศ เป็นไปตามคาด ขณะที่เขากำลังพูดก็มีเสียงแทรกเข้ามา แล้วราคาของต่างหูมรกตคู่นั้นก็ค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัว
“หนึ่งหมื่นห้าพันหยวน ท่านประธานซุ่นแห่งอุตสาหกรรมการค้าXXเสนอราคาที่หนึ่งหมื่นห้าพันหยวน มีใครต้องการประมูลอีกไหมครับ เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นต่างหูมรกตคู่นี้เป็นของท่านแล้ว ขอบคุณท่านที่ให้การสนับสนุนโครงการแห่งความหวังครับ!”
พอการประมูลผ่านไป สุดท้ายต่างหูราคาหนึ่งหมื่นห้าพันหยวนก็ตกอยู่ในมือของนักธุรกิจท่านหนึ่ง ส่วนเขาจะทำไปเพื่อเอาชนะรอยยิ้มจากสาวงามหรือเพื่อเชิดชูเมตตาธรรมจริงๆ นั้น มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้
หลังจากการประมูลครั้งที่หนึ่งจบลง ภรรยาของเหลยอู้ก็ชูกำไลหยกขาวเจียระไนที่ข้อมือของเธอขึ้นมา กล่าวว่า “คุณอยากแสดงความเมตตากรุณาไม่ใช่หรือ? เอากำไลนี้ไปประมูลสิ”
“ก็ได้ พวกเรายังประมูลกันไม่พอสินะ?” เห็นแรงหึงหวงของภรรยาที่ลุกโชนแล้ว เถ้าแก่เหลยก็ฝืนยิ้มพลางส่งมอบกำไลข้อมือนั้นไปยังเวที
“คุณนายหลง ขอบริจาคกำไลหยกขาวเจียระไนหนึ่งวงครับ ราคาต่ำสุดอยู่ที่หนึ่งหยวน สหายทุกคนเชิญเริ่มประมูลได้”
“สามพันหยวน”
“ห้าพัน”
“หนึ่งหมื่น”
คนภายในงานล้วนรู้จักเหลยอู้ และรู้ว่าเขาเป็นพวกชอบเก็บสะสมของโบราณ อีกทั้งกำไลหยกขาวเจียระไนที่อยู่ภายใต้แสงไฟนั้น เผยให้เห็นรังสีสะท้อนชุ่มฉ่ำรอบทิศทาง จนผู้คนสัมผัสได้ว่าไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป ราคาของมันจึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หลงเสวี่ยเหลียนผลักสามี พูดว่า “คนอื่นขายของ เธอเสนอราคาประมูล ทีฉันขายบ้างเธอกลับไม่สนใจหรือ?”
“ตกลง ผมจะประมูล!”
แม้เป็นของที่ตัวเองเสนอขึ้นไป แต่ก็ไม่มีกฎว่าห้ามประมูลกลับมาเสียหน่อย? เถ้าแก่เหลยถูกภรรยาบีบจนไม่มีทางเลือก ยกมือขึ้นตะโกนว่า “สามหมื่น!”
“เหล่าเหลย ผมเสนอราคาให้คุณเอง สี่หมื่นหยวน!” เว่ยหงจวินนั่งอยู่ที่เก้าอี้หัวเราะขึ้นมา ตะโกนเสนอราคาประมูลสี่หมื่น
การประมูลการกุศลประเภทนี้ ที่ผู้คนสนใจก็คือของที่ตนเองเอาออกมาจะมีคนเสนอราคาหรือไม่ จะขายออกได้ในราคาสูงหรือเปล่า จึงเต็มไปด้วยความครึกครื้นต่างจากการประมูลตามกฎเกณฑ์ทั่วไป และการกระทำของเว่ยหงจวินก็ได้รับสายตาซาบซึ้งใจจากเหลยอู้
หลังจากคาดไม่ถึงว่าเยี่ยหงจวินจะตะโกนราคานั้นออกไป คุณนายหลงก็ผลักเหลยอู้ซ้ำๆ พูดว่า “ที่รัก ฉัน…ฉัน ชอบกำไลวงนั้นมากนะ…”
“นี่… นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“ตกลง ห้าหมื่นแปดพันหยวน!”
เหลยอู้ได้ยินแล้วงงเป็นไก่ตาแตก หรือว่าต้องการให้เขาประมูลกลับมาจริงๆ เห็นสายตาเฝ้าปรารถนาของภรรยาแล้ว เหลยอู้ก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ประมูลก็ประมูล อย่างไรเสียก็ทำไปเพื่อการกุศล จึงไม่กลัวคนหัวเราะเยาะเอา
หลังจากเสนอราคาออกไป กำไลวงนี้ก็ถูกเหลยอู้ประมูลกลับมาได้ในราคาห้าหมื่นแปดพันหยวน จึงนับว่าซื้อร้อยยิ้มภรรยาด้วยเงินจำนวนมหาศาล
ขณะการประมูลเพื่อการกุศลดำเนินไป คนที่นั่งอยู่แทบทุกโต๊ะ ล้วนต้องชูสินค้าบางอย่างออกมา ถึงแม้ท้ายที่สุดการประมูลมีราคาต่ำและสูง แต่ก็ไม่มีของที่ถูกปล่อยผ่านแม้แต่ชิ้นเดียว ก็ใครบ้างล่ะจะไม่มีคนคอยหวังประจบประแจงอยู่ข้างกาย?
เพียงแต่การประมูลการกุศลลักษณะนี้ สินค้าที่ทุกคนนำออกมาไม่มีมูลค่าสูงเป็นพิเศษอย่างแท้จริง การประมูลราคาสินค้าสูงที่สุดบนเวที ก็คือเตาเผากระเบื้องเคลือบจากยุคกลางราชวงศ์ชิงชิ้นหนึ่ง ตกมาอยู่ในมือของเว่ยหงจวินที่นั่งอยู่ข้างกายเยี่ยเทียนในราคาสามแสนแปดหมื่นหยวน
“เยี่ยเทียน เตาเผากระเบื้องเคลือบนี่เป็นยังไง? ตระกูลเธอศึกษาประวัติศาสตร์ ช่วยลุงเว่ยดูหน่อยได้ไหม?” ยังคงอยู่ในการประมูล แต่ว่าทุกคนไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเหมือนเมื่อตอนเริ่มงานแล้ว เว่ยหงจวินเองก็ก้มหน้ากระซิบกับเยี่ยเทียนเบาๆ
“อย่าเลยครับลุงเว่ย ตระกูลผมไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์แม้แต่น้อย คุณพ่อสะสมของวัตถุโบราณแต่ก็มาเริ่มเอาเมื่อตอนสาย ของชิ้นนี้ผมดูไม่ออกหรอกครับ…”
หลังจากได้ยินคำพูดของเว่ยหงจวิน เยี่ยเทียนก็โบกไม้โบกมือ หากว่าเป็นงานจิตรกรรมร่วมสมัยชั้นปรมาจารย์ เขายังสามารถวิเคราะห์ความสุนทรีย์ได้บ้าง แต่เกี่ยวกับเครื่องปั้นดินเผา เยี่ยเทียนไม่รู้อะไรเลยจริงๆ
“เหล่าเว่ย เขาเพิ่งอายุเท่าไหร่เอง จะไปเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร? พวกวัยรุ่นมาที่นี่เพื่อเปิดหูเปิดตาก็พอแล้ว หากพูดออกไปมั่วซั่วจะขายหน้าคนเอา…”
ฉีอี้ที่นั่งอยู่ข้างกับเว่ยหงจวิน ส่งเสียงหึอย่างไม่พอใจออกมาจากปาก เพราะว่าเหลยอู้อยู่ที่โต๊ะนี้ เขาจึงหาโอกาสระบายอารมณ์ออกมาไม่ได้ ตอนนี้กลับใช้คำพูดของเยี่ยเทียนกระแนะกระแหนขึ้นมา
“หืม? หัวหน้าฉี คุณพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?”
ได้ยินคำพูดของฉีอี้แล้ว เว่ยหงจวินก็ชะงัก เขาฟังออกว่าคำพูดนั้นจงใจกระตุ้นให้เยี่ยเทียนโมโห แต่เขากลับไม่เข้าใจว่าเยี่ยเทียนไปทำให้เจ้าอ้วนฉีที่มักทำเป็นปากปราศรัยน้ำใจเชือดคออยู่เสมอไม่พอใจได้อย่างไร?
ที่เว่ยหงจวินไม่รู้ก็คือ หากไม่ใช่คำพูดของเขาเหล่านั้นที่แสดงว่าสนิทสนมกับเยี่ยเทียน ฉีอี้ก็คงไม่กล้ามายุแหย่เยี่ยเทียน ต้นเหตุที่แท้จริงก็คือเขานั่นเอง
“แฮะๆ ประธานเว่ย ไม่มีอะไรหรอกครับ วันนี้เป็นงานประมูลการกุศล แต่ดูเหมือนบนโต๊ะนี้มีเพียงเสี่ยวเยี่ยที่ไม่ได้นำของออกมาเลยสินะ?”
หัวหน้าฉีโบกใบพัดในมือเล่น ซึ่งก็คือของที่ท่านรองผู้อำนวยการของพวกเขานำออกมาประมูล ถูกเขาประมูลได้ในราคาหกพันหยวน ได้แสดงว่ามีหน้ามีตา แถมยังได้ประจบสอพลอประมูลสิ่งของของท่านรองประธาน
แม้ใบหน้าที่อ้วนพีของฉีอี้จะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ทุกคำที่พูดออกมา กลับพุ่งเป้าไปที่เยี่ยเทียนทุกประโยค เหลยอู้รู้สึกฟังไม่เข้าท่า จึงส่งสายตาเหลือบมองไปที่เจ้าอ้วนฉีอี้
ว่ากันตามเหตุผลฉีอี้เองก็อายุก็ประมาณสี่สิบกว่าปีแล้ว ไม่ควรหาเรื่องทะเลาะกับเด็กหนุ่มอย่างเยี่ยเทียนต่อหน้าผู้คนเยอะแยะ จะแพ้หรือชนะก็เห็นว่าขาดวุฒิภาวะได้อย่างชัดเจน
แต่ว่าหัวหน้าฉีก็ไม่สามารถอดกลั้นเก็บความโกรธนี้ไว้ รอพรุ่งนี้ค่อยไปกลั่นแกล้งชิงหย่าไม่ไหว เขาจึงต้องการทำให้เยี่ยเทียนขายขี้หน้าเสียตอนนี้
” ของประมูลของ…น้องเยี่ย ผมเอาออกมาแล้ว” เหลยอู้ชายตามองฉีอี้ เกือบหลุดเรียกว่าอาจารย์เยี่ย
”หึๆ การประมูลการกุศลหรอ ไม่มีของก็ไม่เป็นไร หยิบเอาไม้จิ้มฟันบนโต๊ะขึ้นไปประมูลก็ได้ เชื่อว่าต้องมีคนเสนอราคาแน่ ใช่ไหม เสี่ยวเยี่ย?“
หากเปลี่ยนเป็นเกาเฉียนจิ้นอยู่ที่นี่ ฉีอี้คงเก็บอาการมากกว่านี้ แต่กับเหลยอู้ หัวหน้าฉีกลับไม่ค่อยไว้หน้าเท่าไหร่ ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ทั้งสองคนนั้นไม่เคยมีความสัมพันธ์ต่อกัน
“ไอ้อ้วนไม่รู้จักตาย!”
เยี่ยเทียนบ่นพึมพำ เสียงไม่ค่อยดังเท่าไหร่ แต่มากพอให้คนบนโต๊ะได้ยิน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของฉี่อี้ พลันเกร็งแข็งขึ้นมาทันที เขาไม่คิดว่าเยี่ยเทียนจะพูดจาก้าวร้าวออกมาตรงๆ
ตามความเข้าใจของหัวหน้าฉี วันนี้ต่อให้เขาพยายามกระแนะกระแหนเยี่ยเทียนแค่ไหน เยี่ยเทียนก็คงไม่กล้าโมโห ยิ่งโดยเฉพาะในสถานการณ์แบบนี้ การใส่อารมณ์หรือด่าทอผู้อื่นคือการแสดงปฏิกิริยาอันไม่ได้รับการอบรม
แต่ว่าหัวหน้าฉีไม่รู้ ว่าตั้งแต่เป็นเด็กเป็นเล็กเยี่ยเทียนก็ไม่ได้เป็นเด็กดีขนาดนั้น อีกอย่าง “ปรมาจารย์เยี่ย” ก็ไม่ชอบวลีที่ว่า “การแก้แค้นของบุรุษ แม้สิบปีก็ยังไม่สาย” เขาเชื่อว่าหากคุณต่อยเขาหนึ่งหมัด ก็จะจัดกลับไปทันที
“แก…แก พ่อแม่ไม่สั่งสอน!” ฉีอี้ถูกคำพูดของเยี่ยเทียนดูหมิ่นจนหน้าแดงก่ำ ทนไม่ไหวสวนกลับไปหนึ่งคำ แต่กลับลดเสียงต่ำมาก จนคนบนโต๊ะที่นั่งข้างๆ ยังไม่มีใครได้ยิน
หลังจากได้ยินคำพูดของฉีอี้ เยี่ยเทียนกระพริบตา ตลอดมามีแต่ผู้เชี่ยวชาญฮวงจุ้ยที่ยั่วโมโหคนอื่น วันนี้กลับถูกคนหาเรื่องถึงที่ เยี่ยเทียนจึงอดขุ่นเคืองขึ้นมาจริงๆ ไม่ได้
“มองอะไร เสี่ยวอวี๋ พรุ่งนี้ตอนเช้ามาหาฉัน จะคุยเรื่องช่วงเวลาในการฝึกงาน แล้วก็… ครั้งหน้าอย่าพาคนแบบนี้มาร่วมงานอีก”
ฉีอี้ยั่วยุเยี่ยเทียน ก็เพื่ออยากให้เขาโมโหจนขาดสติ แต่ว่าหลังจากได้สบตากับเยี่ยเทียน ทันใดก็เกิดความหนาวเหน็บในใจจนไม่สามารถอธิบายได้ คำพูดต่อจากนั้นก็ไม่สามารถเอ่ยออกมา
เห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดของเยี่ยเทียน เว่ยหงจวินสัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นภายในใจ จึงรีบพูดออกไปว่า “เยี่ยเทียน อย่า อย่าโมโห ลุงเว่ยจะเอาของให้เธอนำไปประมูลเอง”
เว่ยหงจวินก็ตระหนักได้แล้วว่า ที่เจ้าอ้วนฉีกับเยี่ยเทียนเข้ากันไม่ได้ ดูเหมือนคำพูดของตัวเองเมื่อครู่จะมีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่อย่างนั้นคนอย่างเจ้าอ้วนฉีที่มีนิสัยรอบคอบ คงไม่พูดคำพูดเหล่านี้ออกมาทั้งที่ไม่รู้จักเรื่องราวของเยี่ยเทียนโดยละเอียด?
”ลุงเว่ย เพียงแค่หมาบ้าตัวหนึ่งเห่าหอน ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอกครับ…“
เยี่ยเทียนหัวเราะขึ้นมาทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นเครียด โบกมือไปมาพูดว่า ”ชิงหย่า เอาของชิ้นนี้ไปประมูลให้คนที่ชอบดูถูกคนอื่นมันเห็นสิ“
ขณะที่พูด เยี่ยเทียนเอาชิ้นหยกออกมาจากเอว ตัวหยกทั้งชิ้นเป็นสีขาว แกะสลักรูปหัวมังกร ส่วนหัวมังกรกลับเป็นสีเหลือง เห็นได้ชัดว่าช่างฝีมืออาศัยใช้คุณสมบัติของหยกหินสองสีที่ต่างกันมาแกะสลัก
“เสแสร้งตลบแตลง!”
ฉีอี้ส่งเสียงเยือกเย็นแสดงความไม่พอใจออกมา ทว่าภายในใจนั้นเดือดดาลอย่างรุนแรง เพราะเห็นได้ชัดว่าหมาบ้ากับไอ้อ้วนที่เมื่อกี้เยี่ยเทียนเอ่ยถึง ทั้งหมดล้วนกล่าวถึงเขา เพียงแค่เยี่ยเทียนไม่ได้พูดถึงชื่อแซ่ หัวหน้าฉีจึงทำได้แค่กัดฟันกรอดๆ
“เยี่ยเทียน ของ…ของชิ้นนี้เธอก็จะประมูลหรือ?” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนกำลังแกะหยก แววตาของเว่ยหงจวินก็เป็นประกายแวววาบขึ้นมา
“ลุงเว่ย ทำบุญทำกุศลมากหน่อยก็ไม่เลวนักหรอก” เยี่ยเทียนเหลือบมองฉีอี้ พูดว่า “ทำเรื่องเลวมาเยอะแล้ว ระวังกรรมจะตามสนอง…”
คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้หัวหน้าฉีหน้าเขียว แต่กลับไม่มีคำพูดโต้แย้ง เขาเองก็ดูออกว่า หากมีปากเสียงกับเยี่ยเทียนตอนนี้ คนที่เสียเปรียบก็จะเป็นตัวเองอย่างแน่นอน
อีกทั้งพอเห็นท่าทางที่เว่ยหงจวินและเหลยอู้มีต่อเยี่ยเทียน หัวหน้าฉีก็เข้าใจ ว่าวันนี้คงไม่สามารถทำให้เยี่ยเทียนขายหน้าได้ เพราะต่อให้หยกชิ้นนี้ของเยี่ยเทียนจะไร้มูลค่า ทั้งสองคนนั้นก็จะพร้อมจะยื่นมือเข้ามาช่วยเสนอราคา
อวี๋ชิงหย่าส่งหยกชิ้นนั้นขึ้นไป ให้พอดีว่ามีของก่อนหน้าถูกประมูลออกไป พิธีกรจึงตะโกนขึ้นมา “สินค้าที่กำลังจะประมูลต่อไปนี้ คือของคุณเยี่ย เยี่ยเทียนนำออกมา พวกเราต้องขอขอบคุณคุณเยี่ยเทียนที่ให้การสนับสนุนการประมูลเพื่อการกุศลของเรานะครับ เริ่มการประมูลหยกชิ้นนี้กันเลย เริ่มต้นที่ราคาหนึ่งหยวนเช่นเดิม!”
“คนนี้คือใครกัน ทำไมมีแต่ผมขาว?”
”ดูจากหน้าตาแล้วยังดูวัยรุ่นอยู่เลย อาจเป็นผมหงอกในวัยหนุ่มหรือเปล่า?“
เมื่อได้ยินพิธีกรประกาศชื่อของตัวเองออกมา เยี่ยเทียนยืนขึ้นแล้วค่อยๆ หันไปรอบด้าน อายุของเขากับผมขาวที่หงอกเต็มหัว ทำให้คนโดยรอบส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์
………………
ตอนที่ 164 การประมูลเพื่อการกุศล (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
หยกชิ้นนี้ที่เยี่ยเทียนนำออกมาไม่ใช่หยกขาวไขมันแพะเหอเถียน แต่เป็นหยกจากชิงไห่ แม้มีสีขาวมันวาว แต่ก็ขาดสัมผัสนุ่มลื่นอย่างหยกขาวไขมันแพะ
เมื่อวางไว้ใต้แสงไฟ หยกล้ำค่าชิ้นนี้ ความแวววาวของมันห่างชั้นจากหยกหินหลายชิ้นที่นำออกประมูลก่อนหน้าไปไกล บวกกับเยี่ยเทียนผู้นำหยกชิ้นนี้ขึ้นมายังอ่อนวัย เวลานี้จึงยังไม่มีใครเริ่มประมูล
“ก็แค่จี้หยกชิ้นหนึ่งไม่ใช่หรือ? ไม่เหมือนหยกเหอเถียนสักหน่อย!”
“ราคาต่างจากต่างหูหยกของคุณผู้หญิงมากเลย…”
“เด็กหนุ่มคนนั้นคงไม่ได้เอาของตามแผงลอยมาประมูลหรอกนะ?”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์บนโต๊ะดังขึ้น ดังไปถึงเยี่ยเทียน ใบหน้าของหัวหน้าก็ไม่อาจกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ได้ จากสายตาของเขา เยี่ยเทียนก็แค่เอาของจากแผงลอยขึ้นมาอวดเพื่อตบหน้าเจ้าอ้วนฉีเท่านั้น
“แม่เอ้ย นี่หากถูกใครซื้อไปนะ เจ้าหนุ่มนั้นคงจะได้กำไรมหาศาลเลยทีเดียว”
พอเห็นสถานการณ์แบบนี้ เยี่ยเทียนก็กลั้นยิ้มเจื่อนไว้ไม่อยู่ หยกไขมันแพะได้รับการเชิดชูในหมู่หยกนุ่มก็จริง แต่หยกที่ถูกนำมาทำเป็นจี้หยกชิ้นนี้ ก็เป็นหยกชั้นสูงจากชิงไห่เช่นเดียวกัน
เพียงแค่หลังจากแกะสลักแล้วไม่เคยผ่านการขัดเงา ดังนั้นจึงดูเหมือนว่ามีบางส่วนไม่ค่อยสละสลวย แต่ว่าด้วยมูลค่าของมัน ก็ไม่ได้แตกต่างกับหยกขาวไขมันแพะเลย
อีกทั้งหยกชิ้นนี้เยี่ยเทียนเคยวางเก็บไว้ภายในถ้ำวิญญาณเขาเหมาซานเป็นเวลานานกว่าครึ่งปี จึงนับว่าเป็นเครื่องรางชั้นเลิศชิ้นหนึ่ง สรรพคุณของมันยังแกร่งกล้ายิ่งกว่าหินหยกน้ำเต้าที่เขาขายออกไปเมื่อปีก่อนหลายเท่าตัว
ดังนั้นเวลานี้เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเปิดราคา เยี่ยเทียนจึงรู้สึกเหมือนจะร้องไห้หรือหัวเราะก็ไม่ออก ผู้คนล้วนหลงไหลเสาะหาสมบัติล้ำค่า แต่กลับไม่รู้เมื่อสมบัติล้ำค่านั้นมาอยู่ตรงหน้า
แต่ว่าเยี่ยเทียนก็ไม่ได้ใส่ใจ เว่ยหงจวินที่นั่งข้างๆ นั้นใบหน้าแดงก่ำแล้ว เตรียมตัวจะยกมือเสนอราคา คนอื่นไม่รู้ถึงราคาสิ่งของที่อยู่ในมือเยี่ยเทียน แต่ตัวเขารู้อยู่แก่ใจ
“ฉันเสนอหนึ่งหมื่นหยวน”
นึกไม่ถึงว่าเถ้าแก่เว่ยยังไม่ทันส่งเสียง อวี๋ชิงหย่าก็ตะโกนเสนอราคาออกไปแล้ว อีกทั้งจากหนึ่งหยวนร้องตะโกนออกมาว่าหนึ่งหมื่น เมื่อเทียบราคาประมูลจึงสูงขึ้นเป็นหมื่นเท่า
“เด็กสาวคนนั้นคือใครกันน่ะ?”
”นั่งอยู่กับพ่อหนุ่มคนนั้น เดาว่าน่าจะเป็นแฟนกันล่ะมั้ง?“
“จุ๊ จุ๊ น่าเสียดายเด็กสาวคนนั้นเหลือเกิน!”
วันนี้ของที่นำมาประมูลไม่ได้มีราคาแพงมาก จะว่าไปแล้ว ล้วนมีมูลค่าประมาณพันสองพันขึ้นไป เมื่ออวี๋ชิงหย่าตะโกนออกไปอย่างนี้ จึงดึงดูดความสนใจของคนส่วนใหญ่ภายในงานขึ้นมาทันใด
“เธอนี่ตามีแววจริงๆ นะ…”
เมื่อได้ยินอวี๋ชิงหย่าตะโกนบอกราคา เยี่ยเทียนก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา เสียเงินหมื่นหยวนเพื่อซื้อหยกชิ้นนี้กลับมา ยังนับว่าคุ้มค่า เท่ากับว่าหนึ่งหมื่นหยวนนั้นตนเองก็ได้ทำบุญไปในตัว
“คุณผู้หญิงท่านนี้ประมูลที่หนึ่งหมื่น เธอมอบความรักเป็นจำนวนหนึ่งหมื่นหยวนเพื่อเด็กยากไร้บนภูเขาแล้ว ยังมีคุณสุภาพบุรุษสุภาพสตรีท่านไหนต้องการประมูลอีกไหมครับ?” พิธีกรไม่ยอมพลาดโอกาสสร้างบรรยากาศให้ครึกครื้นขึ้นมา หากเขาไปทำงานเป็นผู้นำการประมูล ไม่แน่ว่าอาจประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาจริงๆ
“ผมเสนอห้าหมื่นหยวน”
สิ่งที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือ พอเสียงของพิธีกรเงียบลง บนโต๊ะตัวนี้ของเยี่ยเทียนก็มีคนเสนอราคาแล้ว ครั้งนี้คือเว่ยหงจวินนั่นเอง เมื่อครู่โดนอวี๋ชิงหย่าชิงตัดหน้า เถ้าแก่เว่ยเหลาจึงไม่สบอารมณ์นัก
“ห้าหมื่นหยวน ท่านประธานเว่ยแห่งบริษัทอสังหาริมทรัพย์XXเสนอราคาประมูลที่ห้าหมื่นหยวน ขอขอบคุณท่านประธานเว่ยที่มีเมตตากรุณา ให้การสนับสนุนมูลนิธิแห่งความหวังครับ”
พิธีกรที่อยู่บนเวทีค้นคว้าเรื่องการสะสมของโบราณมาพอสมควรเช่นกัน จากการประเมินในใจเขา ราคาของจี้หยกชิ้นนี้สูงสุดน่าจะอยู่ที่เจ็ดถึงแปดพันหยวน ปัจจุบันมีคนประมูลถึงห้าหมื่น เขารู้สึกว่าแตะราคาสูงที่สุดแล้ว ถ้าหากไม่มีคนอื่นเสนอราคาอีก พิธีกรก็เตรียมตัวจะปิดการซื้อขาย
“หนึ่งแสนหยวน!” มือเล็กๆ ของอวี๋ชิงหย่ายกขึ้นมา แต่ว่าครั้งนี้กลับตะโกนเสนอราคาภายใต้การยุแยงจากเยี่ยเทียน
“ไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่ไหม? จ่ายเพิ่มแสนหยวนเพื่อซื้อของตัวเองกลับมางั้นหรือ?“
“นั่นน่ะสิ จี้หยกชิ้นนั้นเป็นเด็กสาวนั่นส่งขึ้นไปเองนี่นา…“
“วัยรุ่นพวกนี้ เสียชีพไม่ยอมเสียหน้าจริงๆ การประมูลเพื่อการกุศล จำเป็นต้องจริงจังขนาดนี้หรือ?”
พออวี๋ชิงหย่าตะโกนเสนอราคานี้ออกมา ก็ทำให้ภายในงานฮือฮาขึ้นทันใด
ในงานประมูลการกุศลวันนี้ คนรอบข้างคอยที่ช่วยโก่งราคานับว่ามีไม่น้อย แต่อย่างมากสุดก็เกินกว่าราคาสิ่งของเพียงไม่กี่พันหรือหมื่นสองหมื่น ที่อวี๋ชิงหย่าเสนอราคาสูงกว่าหลายเท่าอย่างนี้ เพิ่งจะปรากฎเป็นครั้งแรก
”ดูสิว่าเดี๋ยวเธอจะมีเงินซื้อกลับไปไหม…” หัวหน้าฉีมองดูภาพที่เกิดขึ้นข้างตัวด้วยสายตาเย็นชา แค่นหัวเราะภายในใจไม่หยุด เขาเฝ้ารอดูเยี่ยเทียนอับอายขายขี้หน้า
เห็นเยี่ยเทียนกำลังซุบซิบข้างหูอวี๋ชิงหย่าอย่างนั้น สีหน้าของเว่ยหงจวินก็ชักไม่ค่อยดีแล้ว “เยี่ยเทียน ไม่เห็นจำเป็นต้องเสนอราคาโหดขนาดนั้นเลย? เปิดช่องให้ลุงเว่ยบ้างไม่ได้หรือ?”
พอได้ยินคำพูดของเว่ยหงจวิน เยี่ยเทียนก็แสร้งยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม กล่าวว่า “ลุงเว่ย ของชิ้นนี้เทียบกับชิ้นนั้นที่ผู้เฒ่าถังซื้อไปยังเหนือกว่า ห้าหมื่นหยวนลุงก็คิดว่าคว้าไปได้แล้วหรือครับ? สู้ผมซื้อกลับมาเองดีกว่า…”
แม้จะพบจุดศูนย์รวมพลังวิญญาณบนเขาเหมาซาน แต่เยี่ยเทียนก็ทำสิ่งของชิ้นเล็กๆ ออกมาเพียงเจ็ดแปดชิ้นเท่านั้น ว่าไปแล้วไม่รู้ว่าภายหลังจะได้พบจุดรวมวิญญาณอีกหรือเปล่า ด้วยเหตุนั้นเยี่ยเทียนจึงยอมให้คนอื่นซื้อเอาไปในราคาถูกแบบนี้ไม่ลง
“ตกลง กระทั่งเงินของลุงเว่ยเธอก็ยังขูดรีดได้นะเจ้าหนู!” แม้เว่ยหงจวินจะโวยอย่างความขมขื่น แต่ก็ยกมือขวาขึ้นสูงโดยไม่รอช้า ตะโกนว่า ”ผมเสนอแสนห้าหมื่นหยวน!“
“เหล่าเว่ย หรือว่าจี้หยกนั่นเป็นของดีอะไรสักอย่าง?””
ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนและท่าทางของเว่ยหงจวินแล้ว เหลยอู้ก็นั่งไม่ติดที่ เขารู้สถานะของเยี่ยเทียน อีกทั้งเคยเห็นเยี่ยเทียนเขียนยันต์ จึงสัมผัสได้จากสัญชาติญาณว่าของชิ้นนี้ต้องไม่ธรรมดา
เห็นเหลยอู้ดูเหมือนมีทีท่าสนใจเช่นกัน เว่ยหงจวินจึงรีบพูดขึ้นว่า “เหล่าเหลยอย่าเอะอะไป ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณสักหน่อย ผมแค่ให้หน้าเสี่ยวเยี่ย…”
“ผมไม่สนหรอก ถึงอย่างไรก็ไม่แพง ผมจะประมูลเอากลับไปเล่นที่บ้าน”
ยิ่งเว่ยหงจวินเคร่งเครียด เถ้าแก่เหลยก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ จึงเอ่ยปากตะโกนออกไปทันทีว่า “สองแสน ผมเสนอให้สองแสน!”
“ท่านประธานเหลยเสนอราคาสองแสน ดูท่าจี้หยกชิ้นนี้จะเป็นสมบัติล้ำค่าจริงๆ ขอบคุณท่านประธานเหลยที่ให้การสนับสนุนมูลนิธิแห่งความหวังนะครับ…”
ราคาที่เหลยอู้เสนอ ไม่เพียงทำให้ผู้คนในงานสับสน กระทั่งพิธีกรเองก็ยากจะเข้าใจเช่นกัน อดพินิจพิเคราะห์หยกชิ้นที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ ของเล่นชิ้นนี้ดูอย่างไรก็ไม่น่าถึงสองแสนหยวน
“ผมเสนอให้สี่แสน!”
เหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงยังมาอยู่ตอนท้าย เมื่อเสียงของพิธีกรเงียบลง ก็มีเสียงตะโกนเสนอราคาขึ้นอีก แถมยังเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัวของราคาที่เถ้าแก่เหลยเสนอ ราคาที่ตะโกนออกมานั้น กระทั่งพิธีกรยังตกตะลึงตาค้าง
“ใครน่ะ? ใครเสนอราคานี้?”
“ไม่ใช่ท่านประธานเว่ยหรือ? แล้วใครกันที่เสนอราคา?”
เนื่องจากสองสามคนที่ตะโกนเสนอราคาเมื่อครู่ ล้วนอยู่โต๊ะเดียวกันกับเยี่ยเทียน เพราะอย่างนั้นทุกคนจึงหันไปมองทางโต๊ะเยี่ยเทียนด้วยความเคยชิน แต่กลับพบว่าใบหน้าของเว่ยหงจวินและเหลยอู้ก็งุนงงเช่นกัน
“ท่านประธานหลิวหรือ?”
“คือเหล่าหลิว เจ้าลูกผลาญสมบัติตระกูลคนนี้ เพิ่งทำการค้าได้รุ่งหน่อยก็อวดศักดาอีกแล้ว…”
หลังจากหากันอยู่นาน ทุกคนถึงพบว่า แท้จริงแล้วคือหลิวต้าจื้อที่นั่งโต๊ะห่างจากเยี่ยเทียนค่อนข้างไกลตะโกนออกมา
เมืองซื่อจิ่วดูไปก็ไม่เล็ก ความจริงแล้วมีไม่กี่วงการเท่านั้น ก่อนหน้านี้หลิวต้าจื้อมีปัญหาเกี่ยวกับเงินทุนของบริษัท ผู้คนมากมายต่างรู้ดี ดังนั้นจึงอดวิพากษ์วิจารณ์กันไม่ได้
“ฉิบหาย ทำไมมาเจอคนรู้จักได้ล่ะ?”
เห็นหลิวต้าจื้อชูมือให้ตัวเองโบกไปมาอย่างกวนๆ เยี่ยเทียนก็ยิ้มเจื่อน เขาดูออกว่า ท่านประธานหลิวตะโกนเสนอราคาสี่แสน เพียงเพื่ออยากให้เขาได้หน้า
เยี่ยเทียนเดาได้ไม่ผิด คนที่มาวันนี้มีหลายร้อยคน บวกกับเยี่ยเทียนนั่งอยู่ในมุม จึงไม่ได้ดึงดูดสายตาสักเท่าไหร่ ขณะที่เริ่มประมูลหยกชิ้นนี้ หลิวต้าจื้อกำลังพูดคุยอยู่กับคนอื่น จึงไม่ทันได้สังเกต
แต่ว่าตอนที่เหลยอู้กับเว่ยหงจวินเสนอราคา หลิวต้าจื้อมองเห็นเยี่ยเทียน จึงลุกขึ้นยืนตะโกนราคาสี่แสนหยวนออกมาทันที นับว่าเป็นการให้เกียรติแก่ “ท่านปรมาจารย์เยี่ย”
“ห้าแสน!”
โดยไม่รอให้พิธีกรเอ่ยปาก เว่ยหงจวินเสนอราคาใหม่ออกไป มูลค่าของชิ้นนี้เขากระจ่างแก่ใจยิ่งกว่าเหลยอู้และหลิวต้าจื้อ อย่าว่าแต่ห้าแสนเลย ถึงราคาหนึ่งล้านเถ้าแก่เว่ยก็ต้องเอามันมาให้ได้
“ท่านประธานเว่ย ดูท่านหมายมั่นมากใช่ไหม?”
เหลยอู้มองความคิดของเว่ยหงจวินไม่ค่อยออก หากอยากแค่ประจบประแจงเยี่ยเทียน เสนอราคาออกไปสองสามแสนก็ถือว่าพอประมาณแล้ว แต่ท่าทางของเว่ยหงจวิน ราวกับมีไพ่เหน็บที่เอว พร้อมจะประจันหน้าไม่ว่ากับใครก็ตาม
“ได้ ผมเสนอราคาเพิ่มอีก หกแสน!”
เมื่อนึกถึงยันต์ไม้ท้อแผ่นนั้น เหลยอู้กัดฟันแล้วเสนอราคาออกไป เขารู้ว่าเยี่ยเทียนกับเว่ยหงจวินนั้นสนิทสนมกัน บางทีสิ่งนี้อาจเป็นของล้ำค่าอะไรสักอย่างก็เป็นได้
หลังจากที่เหลยอู้เสนอราคาออกมา คนในงานก็ตื่นเต้นฮือฮา ผู้คนบนโต๊ะที่ห่างออกไปค่อนข้างไกล พากันยืนขึ้นมาดูว่าใครกันที่เป็นคนเสนอราคานี้
แม้หกแสนในสายตาผู้คนมากมายไม่นับว่าเยอะอะไร แต่ประเด็นคือตอนนี้ของประมูลกับคนที่ส่งของขึ้นไปประมูล ต่างดูไม่มีมูลค่าถึงขนาดนั้น
ไม่ต้องพูดถึงจี้หยก ซึ่งดูราวมีราคาเพียงหนึ่งหมื่นแปดพันหยวน
ส่วนตัวเยี่ยเทียน ทั่วทั้งงานนอกจากสามถึงห้าคนที่รู้เรื่อง ก็ไม่มีใครรู้ที่มาของเด็กหนุ่มคนนี้ ต่อให้มีเว่ยหงจวินและเหลยอู้รวมทั้งหลิวต้าจื้อทั้งสามคนคอยยกย่องเชิดชู ก็ไม่ถึงขั้นเสนอราคาประมูลสูงถึงหกแสน
อีกทั้งท่าทางของเว่ยหงจวินกับเหลยอู้ ก็ดูไม่เหมือนกับคนชอบประจบประแจง คงมีเป้าหมายที่จี้หยก นั่นทำให้สายตาของคนบางส่วน หันกลับไปพิจารณาที่หยกชิ้นนั้นบนเวทีอีกครั้ง
“แปดแสน!”
หลังจากยกมือขึ้นแล้วบวกราคาเพิ่มอีกสองแสน เว่ยหงจวินหันไปมองเหลยอู้ด้วยสีหน้าโอดครวญ พูดว่า “เถ้าแก่เหลย ท่านแทบไม่เข้าใจอะไรในของชิ้นนี้เลย จะแย่งชิงกับผมไปทำไมครับ? ให้ของชิ้นนี้แก่ผม แล้วถือเสียว่าพี่ชายอย่างผมติดค้างน้ำใจคุณครั้งนี้เป็นไง?”
ขณะพูดเว่ยหงจวินก็ยืนขึ้น ประสานมือคำนับไปทางหลิวต้าจื้อที่อยู่ห่างไกล ความหมายชัดเจน ว่าขอบคุณพี่ชายทั้งหลายที่ช่วยเหลือเยี่ยเทียน แต่ไม่ต้องปั่นราคาแล้ว
ความจริงแล้วท่าทางนี้ของเว่ยหงจวิน ก็มีส่วนหนึ่งเป็นการแสดงละครอยู่ภายใน ราคานี้ที่เขาเสนอออกไป ไม่ถือว่ากดดันอะไร
ต้องเข้าใจว่า ของชิ้นก่อนหน้าที่เยี่ยเทียนขายออกไปนั้นมีมูลค่าถึงหนึ่งล้าน ของเล่นชิ้นนี้เทียบกับหยกน้ำเต้ายังเหนือชั้นกว่า เว่ยหงจวินเสนอราคาแปดแสนจึงไม่ขาดทุนอย่างแน่นอน
แต่ว่าเถ้าแก่ทั้งหลายที่อยู่ภายในงานส่วนใหญ่ไม่รู้ หยกชิ้นหนึ่งที่ไม่โดดเด่นสะดุดตา กลับถุูกประมูลในราคาสูงเสียดฟ้า อีกทั้งยังเป็นของราคาสูงที่สุดในงานประมูลการกุศลวันนี้ ทำให้ทุกคนต่างนั่งไม่ติดกันเลยทีเดียว
……………………
ตอนที่ 165 ยันต์ห้าผีพรากชีวิต
โดย
Ink Stone_Fantasy
“หรือว่าเป็นหลานชายของบ้านไหน? แต่ไม่ยักเคยเห็นมาก่อน…”
“ท่านประธานโจว คุณไม่ได้สนิทสนมกับเว่ยหงจวินหรอกหรือ? เดี๋ยวไปถามดูสิว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่“
เวลานั้นที่เว่ยหงจวินตะโกนเสนอราคาออกไปแปดแสน ทุกคนล้วนพุ่งความสนใจไปที่เยี่ยเทียน ต้องเข้าใจด้วยว่า งานประมูลการกุศลประเภทนี้ ก็มีกฎเกณฑ์ที่รู้กันอยู่บ้าง
ว่ากันโดยทั่วไป เมื่อคนที่มีสถานะสูงสุดในงานนำของออกมา มักจะเป็นการประมูลราคาสูงที่สุดในงานแล้ว คนอื่นก็จะให้เกียรติในส่วนนี้
อย่างเช่นเครื่องกระเบื้องเคลือบราชวงศ์ชิงชิ้นนั้นที่เว่ยหงจวินประมูลตกมาถึงมือชิ้นแรกในราคาสามแสนแปดหมื่น ก็คือของที่ประธานบริษัทหนึ่งในบริษัทชั้นนำห้าร้อยอันดับของโลกภายในงานผู้หนึ่งนำออกมา ตอนนี้พอจี้หยกของเยี่ยเทียนถูกนำเสนอ กลับแย่งเป้าสายตาไปจากคนคนนั้น
“แปดแสน! ท่านประธานเว่ยเสนอราคาแปดแสน ขอขอบคุณท่านประธานเว่ยที่ให้การสนับสนุนงานประมูลเพื่อการกุศลและมูลนิธิแห่งความหวัง สุดท้ายนี้ขอถามอีกครั้งว่า ยังมีสหายต้องการเสนอราคาอีกไหมครับ?”
พิธีกรเองก็รู้สึกว่าสถานการณ์ดูเหมือนควบคุมไม่ค่อยได้แล้ว หลังจากประกาศราคาออกไปเป็นครั้งสุดท้าย ก็พูดทันทีว่า “แปดแสน! ตกลงการซื้อขาย ขอขอบพระคุณคุณเยี่ยที่บริจาคหยกชิ้นนี้ และขอบพระคุณท่านประธานเว่ยที่ออกเงินช่วยเหลือด้วยน้ำใจ”
หลังจากได้ยินเสียงของพิธีกร เว่ยหงจวินก็รู้สึกโล่งใจ เขากลัวขึ้นมาจริงๆ ว่าคนในงานจะมีความรู้เกี่ยวกับของชิ้นนี้ ที่ตัวเองบอกราคาสามแสนห้า สถานการณ์ในวันนี้ก็นับว่าได้รับความสนใจอย่างใหญ่หลวงแล้ว
“ลุงเว่ย ลุงน่ะกดราคา…“ เห็นหน้าตาของเว่ยหงจวินเต็มไปด้วยความสุขอย่างนั้น เยี่ยเทียนก็เบ้ปาก
หลังผ่านการซื้อขายกับถังเหวินหย่วนครั้งนั้น เยี่ยเทียนเองก็มีวิสัยทัศน์ที่สูงขึ้น ถ้าเกิดว่าของชิ้นนี้ให้เขานำออกไปขาย ไม่ได้ราคาสองล้าน เยี่ยเทียนจะไม่มีทางปล่อยมืออย่างแน่นอน
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เว่ยหงจวินก็หัวเราะแหะๆ กล่าวว่า “เจ้าหนู ขาดเงินอีกเท่าไหร่ลุงเว่ยจะชดเชยให้ ก็ถามตั้งแต่แรกแล้วว่ามีของชิ้นนี้ไหม กระทั่งลุงเว่ยเธอยังพูดปด…”
“ลุงเว่ย ของชิ้นนี้เพิ่งแกะสลักใหม่ เดี๋ยวลุงดูแล้วจะรู้ แกะสลักดีกว่าน้ำเต้าชิ้นนั้นเยอะเลย…“
พอได้ยินเว่ยหงจวินพูดขึ้นมา เยี่ยเทียนจึงต้องอธิบายอย่างจริงจังสักหน่อย ตัวเขามายังปักกิ่ง นับว่าได้ความช่วยเหลือจากลุงเว่ยไม่น้อยเลยจริงๆ
เมื่อสองปีก่อนหน้านี้เยี่ยเทียนขายหยกน้ำเต้าให้ถังเหวินหย่วน แท้ที่จริงเว่ยหงจวินเคยถามเยี่ยเทียนแล้วว่ายังมีของอย่างนี้อยู่อีกหรือไม่ เวลานั้นในมือเยี่ยเทียนก็เหลืออยู่แค่สองสามชิ้น ด้วยเหตุนั้นจึงไม่ได้ให้เว่ยหงจวิน
ครั้งนี้กลับมาปักกิ่งได้ไม่นาน อีกทั้งเยี่ยเทียนก็ไม่ได้มีความคิดจะซื้อขายเครื่องราง ดังนั้นจึงไม่ได้นำออกมา หากเมื่อครู่ไม่ถูกเจ้าอ้วนฉีคอยถากถาง เยี่ยเทียนก็จะไม่นำออกไปประมูล
“ตกลง ลุงจะดูอย่างละเอียด ฝีมือของเธอพัฒนาขึ้นอีกแล้วหรือ“
ขณะที่ของชิ้นต่อไปกำลังจะทำการประมูล หญิงสาวที่ดูอ่อนน้อมผู้หนึ่งถือถาดวางจี้หยกมายังข้างหน้าโต๊ะเยี่ยเทียน พอเว่ยหงจวินจ่ายเช็ควางลงบนถาด ก็นำหยกชิ้นนั้นถือไว้กับมือ
“ประธานเว่ย ขอผมดูหน่อย…”
เว่ยหงจวินยังไม่ทันได้พิจารณาสิ่งของนี้ ก็โดนเหลยอู้แย่งไป พลิกดูไปมาสักพัก ปากก็บ่นพึมพำว่า “ประธานเว่ย ของชิ้นนี้ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษนี่นา? ทำไมมันถึงมีมูลค่าตั้งแปดแสน?”
“ไม่คุ้มราคาแปดแสนแล้วเมื่อกี้คุณตื่นเต้นอะไร?” พอคำพูดของเหลยอู้เงียบเสียงลง ก็ถูกภรรยาที่อยู่ข้างๆ ประชดประชัน
“หึๆ นี่เป็นของที่น้องเยี่ยนำออกมาไม่ใช่หรือ? อย่างไรเสียเหล่าเหลยอย่างผมก็ต้องช่วยผลักดัน“
เหลยอู้หัวเราะขึ้นมา ถือจี้หยกไว้และขบคิดสาเหตุไม่ออก จึงส่งมันกลับให้เว่ยหงจวิน พูดว่า “ท่านประธานเว่ย คุณยังติดค้างคำอธิบายผมอยู่นะ…”
พอเหลยอู้พูดออกไป คนบนโต๊ะไม่กี่คนก็หูผึ่งขึ้นมา โดยเฉพาะฉีอี้ เมื่อครู่เขาเองก็ดูออกว่า ท่าทางที่เว่ยหงจวินตะโกนเสนอราคา ไม่ได้เป็นเพียงการสนับสนุนเยี่ยเทียน ดูเหมือนว่าหยกชิ้นนี้จะมีที่มาจริงๆ
การกระทำเมื่อครู่ไม่สามารถกดหัวเยี่ยเทียนได้ แม้ฉีอี้รู้สึกไม่สบลุงรมณ์ แต่ก็ไม่กล้าก่อเรื่องอะไรอีก เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเว่ยหงจวินกับเหลยอู้ที่มีต่อเยี่ยเทียนนั้นนับว่าไม่เลวเลย หากก่อเรื่องย่อมส่งผลไม่ดีต่อตนเองเช่นกัน
แน่นอน ครั้งนี้หัวหน้าฉีตัดสินใจแล้วว่า พรุ่งนี้ต้องทำให้อวี๋ชิงหย่าลำบากใจให้ได้ หากไม่สามารถทำให้เธอร้องไห้อ้อนวอนตน ผลการฝึกงานครั้งนี้ก็อย่าหวังจะได้รับ
“นี่หรือ?”
เว่ยหงจวินมองเยี่ยเทียนอย่างลำบากใจเล็กน้อย หลังจากเห็นเยี่ยเทียนส่ายหน้าไปมานิดหนึ่ง จึงพูดว่า “เหล่าเหลย เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกัน…”
เถ้าแก่เหลยก็เป็นคนสายตาแหลมคมเช่นกัน หลังจากได้เห็นอากัปกริยาของเว่ยหงจวินกับเยี่ยเทียน ก็หัวเราะขึ้นมา “ได้ งั้นรองานนี้เลิก พวกเราค่อยไปหาที่นั่งคุยกัน น้องเยี่ย เธอเองก็ต้องมาด้วยล่ะ…”
“ตกลงครับ คืนนี้เราไปนั่งคุยกัน”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วพยักหน้า ลุกขึ้นพูดว่า “ผมจะไปห้องน้ำสักหน่อย” ตอนเยี่ยเทียนลุกขึ้น ก็เอาผ้ากันเปื้อนบนโต๊ะติดมือไปด้วย
ห้องน้ำของโรงแรมห้าดาวนั้นเรียกได้ว่าหรูหรา ข้างหูได้ยินเสียงดนตรีคลอ แตกต่างจากห้องน้ำธรรมดาที่มีกลิ่นเหม็นหึ่งพวกนั้นอย่างสิ้นเชิง
“ให้ตาย นี่ชักจะยุ่งยากขึ้นมาแล้วสิ…”
หลังจากเข้าไปในห้องน้ำ เยี่ยเทียนพลันรู้สึกอึดอัดขึ้นมา ห้องน้ำส่วนใหญ่เป็นสถานที่กักเก็บสิ่งสกปรก ทั้งบรรยากาศชั่วร้ายก็เข้มข้นเป็นที่สุด แต่ในห้องน้ำแห่งนี้ที่ถูกทำความสะอาดทุกซอกทุกมุม เยี่ยเทียนกลับไม่สัมผัสถึงการมีอยู่ของไอชั่วร้ายสักเท่าไหร่
เยี่ยเทียนมาห้องน้ำ เพื่อที่จะหลบเลี่ยงสายตาคนอื่น แม้ว่าในห้องน้ำจะไม่มีคน แต่สภาพแวดล้อมทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก
หลังจากเดินวนรอบห้องน้ำซึ่งมีพื้นที่ประมาณสี่ห้าสิบตารางเมตรหนึ่งรอบ เยี่ยเทียนคิ้วขมวดครุ่นคิดอยู่สักครู่ หันร่างล็อคประตูห้องน้ำจากด้านใน จากนั้นปลดกลอนห้องที่เหลือออกจนหหมด
เสร็จธุระแล้ว เยี่ยเทียนก็ใช้ผ้ากันเปื้อนวางพาดบนอ่างล้างมือ ก้าวเท้าด้วยท่วงท่าพิสดาร เดินไปมาอยู่ภายในห้องน้ำ
ด้วยท่าเดินแปรปรวนของเยี่ยเทียน พลังงานชั่วร้ายภายในห้องน้ำจึงรวมตัวมาทางเขา ในช่วงเวลานั้น ในห้องน้ำราวกับมีลมร้ายพัดผ่าน หากเวลานั้นมีคนอยู่ข้างใน เกรงว่าคงจะขนลุกกราวขึ้นมาทั่วร่าง
ผ่านไปประมาณห้าหกนาที เยี่ยเทียนก็หยุดฝีเท้าทันควัน ยืนอยู่หน้าอ่างล้างมือ สองมือวาดลงบนพื้นที่ว่างเปล่า ตะคอกเสียงดังออกมาจากปากหนึ่งครั้ง “ชู่ว!”
ตามด้วยเสียงตวาด นิ้วโป้งบนสองมือที่อยู่ตรงหน้าอกของเขาประกบเข้ากัน เผยรอยฝ่ามืออันแปลกประหลาด กดลงไปด้านล่างอย่างแรง จากนั้นตามด้วยสัญญาณมือจากเขา ไอร้ายที่อยู่รอบตัวก็หายวับไปกับตา
“แม่เอ๊ย ใช่ว่าคนทั่วไปจะสามารถลงยันต์ด้วยมือเปล่าได้จริงๆ!”
รอยประทับมือนี้ราวกับใช้พลังงานเยี่ยเทียนจนหมดทั้งร่าง มองเห็นใบหน้าตัวเองในกระจกซีดเผือด ทั้งหน้าผากมีเหงื่อไหลออกมาเป็นเม็ด เยี่ยเทียนก็อดยิ้มแห้งออกมาไม่ได้ เปิดก็อกน้ำแล้วล้างหน้า
การวาดยันต์ด้วยมือเปล่า ก็เป็นวิชาที่เยี่ยเทียนได้รับสืบทอดมา ยันต์ที่เขียนขึ้นทั่วไปเก็บได้เพียงสามวัน ทว่ากำลังภายในของเยี่ยเทียนยังต่ำอยู่ แม้เมื่อครู่จะวาดยันต์ได้สำเร็จ แต่ก็สามารถคงอยู่ได้สามถึงห้าชั่วโมงเท่านั้น
แต่ว่ายันต์ไร้สีไร้รูปพวกนี้ กลับสามารถควบคุมแสดงผลโดยคนที่สร้างขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ ส่งผลกระทบหนักกว่าไอร้ายเข้าสู่ร่างกายร้อยเท่า เยี่ยเทียนมีพลังงานไม่พอ จึงยืมผ้ากันเปื้อนผืนนั้นมาเป็นตัวนำ
ยันต์ที่เยี่ยเทียนสร้างขึ้นมานี้ เรียกว่ายันต์ห้าผีพรากชีวิต หากถูกยันต์นี้เข้า ห้าผีจะพันธนาการร่าง ไอชั่วร้ายเข้าสู่อวัยวะภายใน อย่างเบาอาจทำให้เจ็บป่วยและเกิดเคราะห์ร้าย อย่างหนักอาจทำให้ป่วยถึงตาย
“ใครอยู่ข้างใน? ทำไมประตูห้องน้ำเปิดไม่ออก?”
ได้ยินเสียงคนเรียกจากข้างนอก เยี่ยเทียนรีบก็เก็บผ้ากันเปื้อนที่เขาลงยันต์นั้นทันที แล้วเปิดประตูห้องน้ำ
“ดูท่าวันหลังเราคงต้องไปเสาะหาขุนเขาชื่อดังแม่น้ำสายใหญ่ หาถ้ำวิญญาณเปี่ยมกระแสพลังมงคลมาหล่อเลี้ยงร่างกายแล้ว…” หลังจากเดินออกมาจากห้องน้ำ เยี่ยเทียนรู้สึกว่าเท้าของเขาเบาหวิว เขารู้ว่านั่นเป็นเพราะเมื่อครู่เขาได้เสียพลังงานไปมาก
เช่นเดียวกับผลข้างเคียงที่เยี่ยเทียนได้รับจากการฝืนลิขิตพลิกชะตาให้กับนักพรตเฒ่า หากใช้สมุนไพรรักษาคงต้องใช้เวลาเป็นสิบปี ทางที่ดีที่สุดคือไปหาถ้ำที่มีกระแสพลังมงคล แล้วฝึกลมปราณอยู่ในนั้น
แต่ว่าถ้ำแบบนั้นมีให้เห็นน้อยมาก บนโลกมนุษย์ล้วนถูกทำลายไปเกือบหมดแล้ว หลายปีมานี้เยี่ยเทียนหาได้แค่สองที่ และถ้ำนั้นก็เล็กเกินไป พลังงานที่มีก็สามารถปลุกเสกเครื่องรางได้แค่ไม่กี่อย่าง
“เฮ้ เยี่ยเทียน ทำไม่ไปนานขนาดนี้ล่ะ นี่ก็ใกล้จะจบแล้ว…” ตอนเยี่ยเทียนเดินกลับมาถึงโต๊ะตนเอง หงเว่ยจวินก็ลุกขึ้นมาทัก
“ไม่มีอะไรครับ ลุงเว่ย ไม่รู้ว่าทำไมปวดท้องขนาดนี้” เยี่ยเทียนพูดพลาง เท้าเขาพลันสะดุดถูกบางอย่าง ตัวเขาจึงพุ่งไปข้างหน้าราวกับเสียสมดุล มือข้างหนึ่งผลักไปโดนหลังของฉีอี้
โดยไม่มีใครเห็น ขณะมือขวาที่มีผ้ากันเปื้อนของเยี่ยเทียนแตะถูกหลังของฉีอี้ เขากดยันต์ห้าผีพรากชีวิตที่ใส่ลงในผ้ากันเปื้อนอย่างแรงแวบหนึ่ง เข้าไปยังตัวฉีอี้ในชั่วพริบตา
หลังจากยันต์เข้าไปในตัว ฉีอี้ก็ไม่รู้สึกถึงอะไร หันกลับมามองเยี่ยเทียน พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “โตขนาดนี้แล้ว ยังเดินไม่เป็นหรือไง”
“ขอโทษครับ ท้องเสียขาเลยอ่อนแรง…” เยี่ยเทียนดึงมือขวาของเขากลับ ใบหน้าเผยรอยยิ้มเยาะ ยังไม่รู้หรอกว่าใครกันแน่ที่เดินไม่เป็น
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ฉีอี้ก็เหลือบมองจานที่อยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนด้วยสายตาดูถูก สีหน้าเผยนัยหาเรื่อง “ไม่มีความรู้ แต่มากินถึงที่นี่…”
เหลยอู้เห็นฉีอี้ที่เริ่มพุ่งเป้าไปที่เยี่ยเทียนอีกครั้ง ก็อดแค่นหัวเราะอย่างเย็นชาออกมาไม่ได้ กล่าวว่า “หัวหน้าฉี แก่ขนาดนี้ยังไม่ลงรอยกับเยี่ยเทียนอีกหรือ? มีเรื่องอะไรเล่าให้เหล่าเหลยอย่างผมฟังก็ได้?”
“ไม่มีอะไร ผมกับเขาหรือจะเข้ากันไม่ได้?”
ฉีอี้แม้ไม่กลัวเหลยอู้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมีเรื่องกับเขา จึงลุกขึ้นทันทีพลางหัวเราะเฮฮาเดินไปทางอื่น งานประมูลการกุศลครั้งนี้สิ้นสุดลงแล้ว คนในงานก็ลุกขึ้นพูดคุยเตรียมตัวแยกย้ายกัน
“อะไรของมัน!”
เหลยอู้สบถไปทางร่างฉีอี้ มองไปทางเยี่ยเทียนแล้วพูดว่า “เยี่ยเทียน เดี๋ยวเหล่าหลิวก็มาด้วย พวกเราไปนั่งเล่นที่สโมสรอิงหลันกันเถอะ”
“ถ้าเป็นสโมสรอิงหลันก็ช่างเถอะครับ ที่นั่นไกลไป หาร้านกาแฟสักแห่งนั่งก็พอ”
เยี่ยเทียนส่ายหัว เขารู้สึกไม่ค่อยดีกับสถานที่แบบนั้นสักเท่าไหร่ ไม่เป็นตัวของตัวเองเหมือนจิบน้ำชาคุยกันใต้ต้นไม้ภายในบ้านเรือนสี่ประสาน
“ไป ออกไปแล้วค่อยว่ากัน”
เห็นฉีอี้เดินไปทางประตูแล้ว เยี่ยเทียนก็รีบดึงอวี๋ชิงหย่าไว้ ยันต์ห้าผีพรากชีวิตนี้ออกฤทธิ์แค่สามชั่วโมง แรงกายที่เขาทุ่มเทลงไปนั้นจะต้องไม่เสียเปล่า
…………………………-
ตอนที่ 166 ละครตลก
โดย
Ink Stone_Fantasy
งานเลี้ยงเพื่อการกุศลที่องค์กรซีซีทีวีจัดตั้งครั้งนี้ การดำเนินงานถือว่าค่อนข้างเป็นที่พึงพอใจ เงินบริจาคแปดล้านกว่าหยวนทั้งหมดมอบให้มูลนิธิแห่งความหวัง ท่านประธานทั้งหลายที่อยู่บนเวทีก็ล้วนเบิกบาน ด้วยการนำของรองผู้อำนวยการจาง ทุกคนจึงไปยืนส่งแขกคนสำคัญจำนวนหนึ่งอยู่หน้าประตู
ในฐานะที่เป็นหัวหน้าของสำนักงาน แน่นอนว่าฉีอี้ต้องติดตามผู้นำอย่างใกล้ชิด ครั้งนี้อาจเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ทำผลงานต่อหน้าผู้นำ เพราะวุ่นวายกับการต้อนรับแขกจากทางด้านหน้าและหลังจนเหงื่อท่วม จึงไม่ได้สนใจเรื่องของเยี่ยเทียนอีก
คราวนี้ท่านรองประธานจางกำลังยืนส่งภรรยาท่านประธานศูนย์วิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์แห่งชาติ โดยหัวหน้าฉีก็คอยฉีกยิ้มอยู่ข้างๆ จะทำงานดีสักเเค่ไหน ก็ไม่สู้เสนอหน้าให้ผู้นำเห็นบ่อยๆ นี่คือประสบการณ์ที่หัวหน้าฉีสรุปได้จากการทำงานมายี่สิบกว่าปี
งานเลี้ยงในคืนนี้ทั้งแขกและพนักงานที่มาจากซีซีทีวีทั้งหมดมีจำนวนหลายร้อยคน เรียงตามลำดับที่นั่งทั้งใกล้และไกลเมื่อเดินจากประตู เยี่ยเทียนถูกเว่ยหงจวินและพวกพ้องประกบให้อยู่ตรงกลาง เคลื่อนที่อย่างช้าๆ ไปตามกระแสคนตรงประตูทางออก
ขณะเดินเข้าใกล้ประตูใหญ่ ดวงตาเยี่ยเทียนก็ฉายแวววาบ เนื่องจากเขาเห็นเจ้าอ้วนฉียืนอยู่ข้างกายหัวหน้าซึ่งอายุราวห้าสิบกว่าปี ยิ้มให้กับแขกอยู่ข้างนอก ทั้งยังคอยมอบกล่องของขวัญทีละชิ้นให้ถึงมือแขกตลอดเวลา
สีหน้าของเยี่ยเทียนไม่เปลี่ยนแปลง แต่กลับเบียดร่างไปทางด้านข้าง ขณะเดียวกันมือขวาก็ไขว้นิ้ว พอมาถึงด้านหน้าของเจ้าอ้วนฉี นิ้วชี้ก็ดีดออก จากนั้นพลังงานวิญญาณกลุ่มหนึ่งก็แทรกเข้าไปภายในร่างกายของฉีอี้ ขณะเดียวกัน ฉีอี้มองเห็นเยี่ยเทียนที่เดินมาข้างหน้า รอยยิ้มน้อยบนใบหน้าอูมค้างแข็งทันที แค่นเสียงหยิ่งยโสแสดงความไม่พอใจออกมา ทำทีเสมือนว่ามองไม่เห็น แต่พอหันไปทางผู้จัดการ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง
“ชู่ว!”
หลังจากเดินผ่านฉีอี้ไกลประมาณสี่ห้าเมตร เยี่ยเทียนก็คำรามเสียงต่ำออกมา แต่ว่าภายในห้องโถงใหญ่ของงานเลี้ยงซึ่งมีเสียงดังอึกทึก ต่อให้ตัวติดกัน ก็ยังฟังเสียงที่ออกมาจากปากของเยี่ยเทียนไม่ชัด
ทว่าหลังจากที่เยี่ยเทียนคำรามออกไป ใบหน้าของหัวหน้าฉีที่เดิมทีเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม พลันรู้สึกเหน็บหนาวไปทั่วทั้งร่าง ราวกับแผ่นดินน้ำแข็งแห่งขั้วโลกเหนือได้มาเยือนยังฤดูร้อนอันแห้งแล้งช่วงเดือนแปดในชั่วพริบตา
“ทำไมถึงหนาวขนาดนี้? ให้ตายสิ นี่มันอะไรกัน?”
เพิ่งจะรู้สึกถึงความหนาวเหน็บบนร่าง พอหัวหน้าฉีกวาดตามองไป เบื้องหน้าของเขาก็ปรากฏหมีขั้วโลกเขี้ยวยาวน่ากลัวตัวหนึ่ง แลบลิ้นสีแดงกลบไปด้วยเลือด มุ่งหน้าเข้ามาหมายจะกัดเขา
หลายปีมานี้หัวหน้าฉีเพียรสร้างภาพลักษณ์ที่ดีมาตลอด ทันทีที่เห็นสัตว์ดุร้ายน่ากลัวซึ่งควรจะเห็นได้แค่ในทีวีปรากฏอยู่ตรงหน้า จึงทำให้เขาหวาดกลัวราวตับและถุงน้ำดีจะแตกออกเป็นสองส่วน กรีดร้องโหยหวนออกมาจากปาก “แม่จ๋า!”
ดวงตามองเห็นปากที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังจะกัดเข้าที่ตัวของเขา ความหวาดกลัวที่เหลืออยู่ของหัวหน้าฉี และความโกรธที่ผุดขึ้นมาในใจ ทำให้หน้ามืดตามัว ยกมือขวาขึ้นตบเข้าที่หน้าหมีขั้วโลกเหนือ ปากก็ด่าไปด้วยว่า “ฉันจะสู้กับแก”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความกล้าหาญของตัวเองจึงเอาชนะความชั่วร้ายได้หรือไม่ ฉีอี้พบว่าหลังจากตนตบเข้าไป หมีขั้วโลกตัวนั้นก็หนีกระเจิดกระเจิง จึงกระตุ้นให้เขารู้สึกฮึกเหิมยิ่งขึ้น สาวเท้าวิ่งไล่ตามทันที
แต่ว่าเวลานั้นเอง ฉีอี้ค้นพบว่าหมีขั้วโลกเหนืออีกหลายตัววิ่งเข้ามาล้อมรอบเขา ตัวหนึ่งมีฝ่ามือขนาดเท่าใบพัดตบลงบนตัวเขาอย่างจัง
“ทุกอย่างล้วนเป็นแค่เสือกระดาษ!”
เสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตายนั้น หัวหน้าฉีพลันนึกถึงคำพูดหนึ่งของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ รู้สึกใจกล้ามาขึ้นทันใด พุ่งเข้าไปหาหมีขั้วโลกเหนือตัวนั้นแล้วจู่โจมต่อสู้
แต่ว่าสองหมัดยากจะสู้สี่มือ ไม่นานฉีอี้จึงถูกกลุ่มหมีกรูกันพุ่งเข้าใส่กดทับอยู่บนตัว มีเพียงปากที่ส่งเสียง “แฮ่กๆ “ ออกมาอย่างไร้เรี่ยวเเรง
แขกเหรื่อทั้งหมดที่มาร่วมงานในวันนี้ ไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้เห็นการแสดงพิเศษขณะที่ทุกคนเตรียมตัวแยกย้ายกันกลับบ้าน
เมื่อหนึ่งนาทีก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่าหัวหน้าฉีที่เนื้อตัวขาวอวบอ้วนกำลังยืนส่งเเขกเหรื่ออยู่หน้าประตูคนนั้นเป็นบ้าอะไรขึ้นมา อยู่ดีๆ จึงไปยืนตรงหน้าภรรยาท่านประธานพลางกรีดร้องด้วยสีหน้าหวาดกลัวว่า “แม่”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันนี้ ผู้ชมยังไม่ทันแสดงความตกอกตกใจ หัวหน้าฉีกลับยกของขวัญขึ้นมา ตบเข้าไปที่หน้า “แม่” ของเขา ภรรยาของท่านประธานซึ่งยังไม่ทันตั้งตัวใดๆ จึงมีเลือดไหลจากจมูกเลอะเต็มหน้า
เหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนตกใจกันหมด ผู้คนมากมายต่างตกตะลึง แต่ว่าเสียงกรีดร้องของภรรยาท่านประธาน ทำให้รองประธานจางที่ยืนอยู่ข้างหัวหน้าฉี ได้สติขึ้นมา พุ่งเข้ารวบตัวฉีอี้ไว้
แม้ว่าท่านรองประธานจางจะมีปฏิกิริยารับมือต่อเหตุการณ์นี้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่อาจต้านทานวัยห้าสิบกว่าในปีนี้ของเขาได้ ถึงเขาจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดี แต่พอเปรียบเทียบกับฉีอี้ที่แข็งแรงสมวัยสี่สิบต้นๆ ก็ยังแตกต่างกันอยู่มาก ไม่เพียงเเต่หยุดอ้วนฉีไม่ได้ ยังถูกเขาทับไว้ข้างใต้ลำตัวอีกต่างหาก
โชคดีที่คนรอบข้างล้วนไหวตัวทัน ช่วยกันยื่นมือหยุดหัวหน้าฉีอี้ไว้ รองผู้อำนวยการจางจึงลุกขึ้นยืนได้อย่างยากลำบาก แต่เพราะศรีษะโดนเข้าไปหลายหมัด สมองจึงมึนงงเล็กน้อย
“สถุล!”
“คนนี้เขาเป็นอะไร? ยังไม่ทันใส่กางเกงก็ลุกขึ้นยืนแล้ว?”
“คนในสถานีโทรทัศน์ทำไมถึงเป็นบ้ากันไปหมด? ถือว่าวันนี้ไม่ได้มาเสียเที่ยว ฮ่าๆ!”
รองประธานจางเพิ่งจะยืดตัวตรง ก็ได้ยินเสียงกลุ่มหญิงสาวกรีดร้องอย่างหวาดกลัวทั่วทั้งสี่ทิศ หลังจากได้ยินเสียงซุบซิบข้างหู ก้มหัวลงมอง ภาพข้างหน้าสายตาก็มืดมนทันใด อยากขุดโพรงให้ตัวเองมุดเข้าไปเหลือเกิน
ที่แท้เมื่อครู่ตอนต่อสู้กัน กางเกงของรองประธานจางถูกฉีอี้ดึงลงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ กระทั่งกางเกงบ็อกเซอร์ยังกองที่ช่วงเข่า พอลุกขึ้นยืนคราวนี้ เจ้าหนอนน้อยอัปลักษณ์ของเขาจึงปรากฎออกมาต่อหน้าสาธารณะชนในทันที
“แม่เอ้ย ไอ้…ไอ้เวรนี่มันเป็นอะไรของมัน?”
รองประธานจางดึงกางเกงขึ้นมาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า ใบหน้าเหี่ยวชราน้ันเหมือนกุ้งตัวใหญ่ถูกต้ม แดงลามไปถึงต้นคอ มองไปที่ฉีอี้แล้วร้องว่า “บ้า มันบ้าไปแล้ว ฉันจะทุบมัน ไม่สิ ไสหัวมันออกไป!”
รองประธานจางยังพอมีสติปัญญา สุดท้ายก็สามารถห้ามความโกรธในใจไว้ได้ แต่ว่าขณะที่ทุกคนช่วยกันยกเจ้าอ้วนฉีออกไปข้างนอก ยังฉวยโอกาสเข้าไปกระทืบซ้ำอยู่หลายที
“พี่จ้าวครับ ขออภัยด้วย ต้องขออภัยจริงๆ เจ้า… เจ้าหมอนี่มันบ้าไปแล้ว…”
เพราะไม่มีเวลาไปสะสางปัญหากับหัวหน้าฉี รองประธานจางจึงปรี่ไปด้านหน้าภรรยาของท่านประธานแล้วขอโทษขอโพยอย่างนอบน้อม สำหรับผู้อื่นนี่คืออุบัติภัยอันไม่คาดฝัน แค่ให้เกียรติมาร่วมงานเลี้ยง แต่กลับถูกคนตบจนจมูกหัก
จมูกของภรรยาท่านประธานห้ามเลือดไว้ได้แล้ว แต่สีหน้าดูไม่จืดอย่างยิ่ง กล่าวตำหนิด้วยความโมโห “เสี่ยวจาง สถานีของพวกเธอนี่จ้างคนบ้ามาทำงานด้วยหรือ? นี่… นี่มันคดีอาญาเลยนะ!”
ความจริงนอกเหนือความโกรธแค้นของภรรยาท่านประธาน ภายในใจของเธอยังออกจะปิติยินดี โชคดีที่เจ้าบ้านั้นตบเธอแค่หนเดียว ถ้าหากเหตุอุบาทว์ของรองประธานจางเกิดขึ้นกับตัวเธอ นั่นคงจะทำให้ขายขี้หน้าเป็นอย่างมาก
หลังจากรองประธานจางได้ยินคำพูดของภรรยาท่านประธาน ก็หวังจะให้ฉีอี้ถูกลงโทษอย่างสาสม แต่ปากกลับไม่ได้พูดตามที่คิด “พี่จ้าวครับ ผมจะตรวจสอบเรื่องให้กระจ่าง แล้วรายงานกับท่านประธาน เสี่ยวหลี่ ส่งพี่จ้าวไปโรงพยาบาลไปหาหมอก่อนสิ”
พอก้มหัวส่งภรรยาท่านประธานด้วยความเคารพแล้ว รองประธานจางก็ไม่ทันได้ดูแลแขกท่านอื่น เดินไปยังประตูข้างที่เจ้าอ้วนฉีเพิ่งถูกยกออกไปจากตรงนั้นด้วยความโกรธแค้น
ฉีอี้พบว่าตัวเองกำลังฝัน ฝันว่าเขาถูกสัตว์ป่าดุร้ายมากมายรุมโจมตี หลังจากวิ่งหนีหมีขั้วโลกเหนือตัวหนึ่งมาได้ ดันถูกพวกสัตว์ดุร้ายทับอยู่บนตัว พอฝันถึงตรงนี้ก็ค่อยๆ ได้สติกลับคืนมา
“หืม? นี่พวกนายกำลังทำอะไร?”
พอหัวหน้าฉีได้สติกลับมาก็พบว่า เขาถูกเพื่อนร่วมงานสองสามคนกดเขาลงบนพื้น ใบหน้าอ้วนนั่นแนบประกบกับพื้นหินอ่อนอันเยียบเย็น ทำให้เขาไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้ชัดเจน
“ปล่อยฉัน ปล่อยฉันนะ!”
หัวหน้าฉีที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นดิ้นรนขัดขืนลุกมา แต่กลับไม่นึกว่าพอยกใบหน้า ฝ่าเท้าใหญ่ก็ร่วงลงมาจากฟ้า เหยียบลงเข้าที่หน้าของเขาอย่างแรง
“โอ้ย!” เสียงร้องโหยหวนเปล่งออกมาจากปาก ไม่ทันได้ใส่ใจอาการเจ็บแปลบที่จมูก ฉีอี้ก็ยกหัวขึ้นมาอย่างลำบาก เห็นใบหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธของรองประธานจาง
“รองประธานจาง นี่มัน… เกิดอะไรขึ้นหรือครับ?”
ในใจหัวหน้าฉีรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม พวกพ้องทำงานรับใช้กันมานานขนาดนี้ ถึงไม่มีคุณงามความดีแต่ก็มีความทุกข์ยากลำบากไม่ใช่หรือ? ไม่ต้องพูดถึงเรื่องส่งคนมาจับตัวเขากดไว้ จู่ๆ ก็กระทืบใส่โดยไม่ถามต้นสายปลายเหตุกันเลยหรือไง?
“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ? แกไปคุยกับตำรวจเถอะ?!“
รองประธานจางเผยสีหน้าโหดเหี้ยม ปีนี้เขาแค่อายุห้าสิบสองปี ยังมีความหวังพัฒนาไปอีกก้าว แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั้น ทำให้ความหวังของเขาทั้งหมดแหลกสลายกลายเป็นฟองสบู่
“ฉีอี้เจตนาประทุษร้าย โทรศัพท์แจ้งตำรวจซะ!”
เวลานี้รองประธานจาง อยากจะฆ่าเจ้าหมูอ้วนที่อยู่บนพื้นนี่เสียเหลือเกิน แต่ว่าเมื่อเทียบกันแล้วการจัดการกับปัญหายังสำคัญยิ่งกว่าสั่งสอนฉีอี้ หลังจากสั่งการแล้ว รองประธานจางก็หมุนตัวเดินออกไป เขาต้องคิดหาวิธีชดเชยต่อสิ่งที่ฉีอี้ทำร้ายร่างกายภรรยาของท่านประธาน!
…………………………-
“มีใครบอกฉันได้บ้าง เมื่อ… เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น”
หลังจากที่รองประธานจางออกไปนั้นเอง คนที่มามุงดูถึงเพิ่งรู้สึกตัว เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้าใดๆ ถึงแม้ว่าจบลงอย่างรวดเร็ว แต่ผู้คนที่อยู่หน้าประตูกลับต่างเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจน
“สงสัยหัวหน้าฉีไม่พอใจท่านประธาน จึงหาโอกาสที่จะแก้แค้นท่านประธานล่ะมั้ง…”
“ฉันว่าไม่ใช่ น่าจะเป็นลมบ้าหมูกำเริบ แต่มันก็แปลก ถ้าลมบ้าหมูปากจะมีฟองน้ำลายออกมาไม่ใช่หรือ?”
“อะแฮ่ม ฉันว่าเขาถูกใจภรรยาของประธาน หลังจากโดนปฏิเสธก็เกิดอาการคุ้มคลั่ง เลยเกิดเป็นโศกนาฏกรรมในครั้งนี้!”
ความอยากรู้อยากเห็นของคนเราไม่มีที่สิ้นสุด ก่อนจะรู้ความจริง คำซุบซิบนินทาหลากรูปแบบก็กระจายไปทั่วภายในงาน ต่างคนต่างมีความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปาก
ที่กลุ่มเล็กๆ ข้างตัวเยี่ยเทียน หลงเสวี่ยเหลียนเจอเกาเฉียนจิ้นที่เพิ่งแทรกเข้ามา จึงพูดว่า “เกาเฉียนจิ้น ตระกูลคุณดูแลวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์แห่งชาติไม่ใช่หรือ? เดี๋ยวกลับไปสืบดูสิว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน?”
“ผมจะไปรู้ได้อย่างไรว่ามันเกิดอะไรขึ้น? แม่เอ๊ยขายหน้าจริงๆ! ไปเถอะๆ อย่าเอาแต่มุงดูเรื่องวุ่นวายอยู่ตรงนี้เลย…” เกาเฉียนจิ้นตอบกลับไปอย่างอารมณ์เสีย ในฐานะที่เป็นลูกหลานหัวหน้ากระทรวง ครั้งนี้เขารู้สึกว่าเสื่อมเสียชื่อเสียงเช่นกัน…
………………
ตอนที่ 167 ปิ้งย่าง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังออกจากโรงแรม เยี่ยเทียนมองหน้าดูท้องฟ้ายามค่ำคืน หัวเราะและพูดว่า “วันนี้อากาศดี พระจันทร์แจ่มชัดท้องฟ้าปลอดโปร่งดวงดาวสว่างไสว พวกเธอ ไปนั่งจิบชาชมจันทร์ที่อารามเมฆขาวกันมั้ย?”
ภาพที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ก็ทำให้เยี่ยเทียนไม่ทันตั้งตัวเหมือนกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ยันต์ห้าผีพรากชีวิต ตอนแรกนึกว่ายันต์นี้จะทำให้ร่างกายของฉีอี้ได้รับแผลบ้างแต่เขากลับเป็นบ้าขึ้นมาซะอย่างนั้น ผลสัมฤทธิ์เกินคาดกว่าที่เยี่ยเทียนคิดเอาไว้
บางทีการทำให้จิตวิญญาณรู้สึกเจ็บปวดมันสาหัสยิ่งกว่าเนื้อหนังที่ถูกทรมาน เยี่ยเทียนเชื่อว่าพอผ่านพ้นเรื่องนี้ไป เส้นทางของเจ้าอ้วนฉีที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีนคงใกล้จะสิ้นสุดลง
คิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ เยี่ยเทียนรู้สึกโล่งใจมาก ความอัดอั้นมาทั้งคืนได้ถูกปลดปล่อยออกไปแล้ว พอออกจากโรงแรมก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มใหญ่
“เฮ้ น้องเยี่ย อารมณ์อะไรขนาดนั้น? ไอ้หนุ่มนี่มันยินดียินร้ายไปกับความโชคร้ายของคนอื่นแน่ๆ!”
เกาเฉียนจิ้นที่เดินออกมาจากข้างหลังเยี่ยเทียน มองเยี่ยเทียนอย่างไร้อารมณ์และพูดว่า “ไม่ต้องไปดื่มชา ไปดื่มเหล้ากับฉันดีกว่าไอ้น้อง ให้ตายสิ เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นนี่ซวยจริงๆ “
เมื่อกี้พ่อโทรมาถามความเป็นไปของเรื่องราว พอคุยจบก็ปามือถือทิ้ง เกาเฉียนจิ้นอารมณ์จึงยังค้างอยู่
“ดื่มเหล้าหรือครับ?”
เยี่ยเทียนได้ยินก็อึ้งไปชั่วขณะ พอคิดอีกทีเรื่องคืนนี้ควรจะฉลองซะหน่อย จึงยิ้มและตอบตกลงไปทันที “ได้ งั้นไปดื่มเหล้ากัน แต่ขอบอกไว้ก่อนนะครับ ผมไม่ดื่มเบียร์ ไวน์แดงและเหล้าฝรั่ง ถ้าจะดื่มต้องเป็นเหล้าขาวเท่านั้น……”
สมัยที่เยี่ยเทียนยังไม่รู้เรื่องอะไร ก็ถูกเยี่ยตงผิงใช้ตะเกียบจุ่มเหล้าให้กินแล้ว แม้จะไม่ถึงกับติดเหล้า แต่วันที่เกิดเรื่องดีๆ ก็จะมีดื่มบ้าง
“ได้สิ นี่เพราะฉันเห็นแกดีกับฉันนะ ไป เหล้าดีพอดื่มแน่นอน……”
คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้เกาเฉียนจิ้นเผยใบหน้ายิ้มออกมา เขาใช้ชีวิตที่ต่างประเทศนานขนาดนี้ สิ่งเดียวที่ไม่คุ้นชินก็คือเหล้าของฝรั่ง ผ่านไประยะหนึ่งเป็นต้องให้คนหาซื้อเหมาไถมาให้ พอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ก็อดรู้สึกว่าพบเพื่อนที่รู้ใจขึ้นมาไม่ได้
“ลุงเว่ย ท่านประธานเหลย แล้วก็ท่านประธานหลิว ไป ไปด้วยกันสิ พี่เกาผมพาเพื่อนไปเพิ่มคงไม่ว่าอะไรนะ?”
หลังจากได้ยินสิ่งที่เกาเฉียนจิ้นพูด เยี่ยเทียนหันกลับไปมองพบว่าวงนี้มีคนอยู่ไม่น้อย ยังไม่นับที่เว่ยหงจวินกับเหลยอู้ตามมาด้วย แม้แต่หลิวต้าจื้อเองยังพาสาวสวยที่ยืนอยู่ข้างหลังมาด้วย
“พูดอะไรแบบนั้น คนเยอะสิคึกคักดี เดี๋ยวฉันให้คนเตรียมอาหารปิ้งย่างไว้……” เกาเฉียนจิ้นคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ ชื่นชอบการจัดpatiเป็นที่สุด จึงหยิบมือถือขึ้นมาและเริ่มสั่งการทันที
เหลยอู้รู้จักกับเกาเฉียนจิ้นอยู่แล้ว ส่วนเว่ยหงจวินกับหลิวต้าจื้อเป็นนักธุรกิจ อยากทำความรู้จักกับคุณชายผู้มีภูมิหลังยิ่งใหญ่ท่านนี้ ทุกคนพยักหน้าตอบตกลงกันหมด
หลงเสวี่ยเหลียน “แฟนสาว” ของเกาเฉียนจิ้นก็ขึ้นรถของเหลยอู้ และพูดคุยเจี๊ยวจ๊าวเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้กับน้าตัวเอง
เยี่ยเทียนกับอวี๋ชิงหย่ากลับขึ้นรถของเว่ยหงจวินแทน รถหลายคันเรียงกันเป็นขบวนตามหลังรถของเกาเฉียนจิ้นออกไปจากโรงแรม
“เยี่ยเทียน หยกอันนี้ใช้ยังไงหรือ?” เว่ยหงจวินมือนึงขับรถไปอีกมือนึงก็หยิบหยกที่ประมูลมาได้ออกมา
“ลุงเว่ย ลุงตั้งใจขับรถก่อนดีกว่า หยกอันนี้ใช้สำหรับป้องกันภัย ลุงจับปลาสองมือแบบนี้ ระวังมันให้ผลกลับกันนะ……”
มองเห็นการกระทำของเว่ยหงจวินเยี่ยเทียนยื่นมือไปหยิบหยกและพูดว่า “ของสิ่งนี้ยังไม่เคยผ่านการสัมผัสลูบคลำ ลุงเว่ยเก็บไว้กับตัว เวลาไม่มีอะไรทำก็เอาขึ้นมาเล่นที่มือก็พอ อืม เวลาขับรถห้ามเอาขึ้นมาเล่นนะ……”
เมื่อกี้เห็นอ้วนฉีเจอเรื่องซวย เยี่ยเทียนอารมณ์ดีขึ้นเยอะมาก เริ่มพูดเล่นหัวเราะไปกับเว่ยหงจวิน เยี่ยเทียนเพิ่งจะมีความสุขเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปิดกิจการเทียนเยี่ยไปสองเดือนในตอนนั้น
จากคำพูดของเยี่ยเทียน เว่ยหงจวินฟังออกว่าเขาดีใจแค่ไหน จึงได้ลองถามออกไปว่า “ไอ้หนุ่มทำไมเธอถึงอารมณ์ดีขนาดนี้? เป็นเพราะว่าเห็นอ้วนฉีเจอเรื่องซวยเหรอ?”
ความสัมพันธ์ของเว่ยหงจวินกับอ้วนฉีนั้นผิวเผินมาก บวกกับตอนที่ประมูลของ อ้วนฉีเอาแต่โจมตีเยี่ยเทียน ดังนั้นการกระทำของฉีอี้เมื่อกี้แม้แต่เว่ยหงจวินยังรู้สึกสะใจ
หลังจากได้ยินเว่ยหงจวินพูดแบบนั้นอวี๋ชิงหย่าผู้ซึ่งเกาะแขนของเยี่ยเทียนไว้แน่นตั้งแต่ออกจากตรงนั้น ก็พูดขึ้นมาอย่างกระทันหันว่า “คุณลุงเว่ย หัวหน้าฉีไม่ใช่คนดีอะไรค่ะ ตอนฉันฝึกงานที่สถานี ก็ชอบมาสร้างความลำบากให้กับฉัน……”
ตอนเยี่ยเทียนอายุแปดขวบ เพราะว่าไปตีกับลูกชายของคนฆ่าหมูที่อยู่ในเมือง ถูกคนฆ่าหมูคนนั้นไล่ตามมาถึงห้อง ดึงหูและสั่งสอนไปครั้งนึง แต่ว่าในคืนนั้นเองบานเกล็ดหน้าต่างกว่ายี่สิบบานของบ้านคนฆ่าหมูก็ถูกทุบจนแตกไปหมด
เพราะฉะนั้นคนรอบข้างก็เลยไม่รู้สาเหตุที่หัวหน้าฉีบ้าคลั่ง แต่อวี๋ชิงหย่าที่เติบโตมาด้วยกันกับเยี่ยเทียนนั้นพอจะเดาออกบ้าง แฟนของเธอคงไม่ใช่เด็กที่โดนตีโดนด่าแล้วไม่โต้กลับแน่นอน
“คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องวันนี้ลุงเว่ยก็คงไม่รู้เลยว่าเขาเป็นคนไม่ดี สมแล้วที่โดนทำให้ขายหน้าต่อหน้าคน……” เว่ยหงจวินก็พอจะฟังออกว่าอวี๋ชิงหย่าหมายถึงอะไร คิดดูเถอะหัวหน้าอายุสี่สิบกว่ารังแกเด็กฝึกงาน ก็คงหนีไม่พ้นคิดถึงแต่เรื่องพรรค์นั้นใช่ไหม?
ทุกคนพูดคุยกันอยู่ในรถ ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงรถก็เลี้ยวเข้าบริเวณของคฤหาสถ์แห่งหนึ่งที่อยู่แถบชานเมือง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เพิ่งขยายเมื่อช่วงปีใหม่ของปีก่อน และเป็นพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยคนมีฐานะของเมืองปักกิ่ง
พอลงจากรถก็เรียกเยี่ยเทียนกับคนอื่นๆเข้าไปข้างใน เกาเฉียนจิ้นพูดว่า “พวกเธอนั่งกันก่อนนะ ฉันจะไปหยิบเหล้า”
“เฮ้ ที่นี่ไม่มีอะไรเลย จะดื่มเหล้ายังไง?” เห็นสวนโล่งๆ ขนาดนี้ เยี่ยเทียนรู้สึกสงสัย
พอเยี่ยเทียนพูดจบปุ๊ปก็มีเสียงเบรกรถดังขึ้นจากหน้าประตู ตามมาด้วยคนประมาณสี่ห้าคนเดินเข้ามาในสวน ต่างคนต่างทำงานของตัวเองโดยไม่สนใจเยี่ยเทียนและคนอื่นๆ
ผ่านไปเจ็ดแปดนาที สวนของคฤหาสถ์นี้ก็ถูกจัดเรียงด้วยโต๊ะบุฟเฟ่ต์สองโต๊ะที่ถูกผ้าคลุมไว้ และบนโต๊ะก็ถูกจัดวางไปด้วยอาหารต่างๆนานา ไม่ต่างจากโรงแรมห้าดาว
นอกจากนี้ยังมีเตาปิ้งย่างอีกสามเตา มีโต๊ะตัวหนึ่งที่วางอยู่ข้างๆ เตาปิ้งย่างก็ถูกวางเต็มไปด้วยอาหารที่ถูกเสียบไม้ไว้เสร็จแล้วอย่างน่องไก่ปีกไก่ คนพวกนี้ทำงานเสร็จปุ๊ปต่างก็เดินออกไปทันที
“นี่……มีเงินมันดีอย่างนี้นี่เอง!” ภาพที่เห็นทั้งหมดนี้เหมือนถูกเสกขึ้นอย่างกับมายากล เยี่ยเทียนอึ้งไปเลยทีเดียว
เขาคิดว่าตัวเขาเองมีเงินล้านกว่า ชีวิตเล็กๆ ของเขาก็อิ่มเอมแล้ว แต่เมื่อเทียบกับเกาเฉียนจิ้นแล้วสภาพชีวิตของเขาช่างแตกต่างออกไป ราวกับความกว้างของถนนหนึ่งเส้น
“ลูกพี่อย่างฉันน่ะจน จนเหลือแค่เงินแล้ว”
เกาเฉียนจิ้นมาถึงข้างๆ เยี่ยเทียนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ สองมือยังอุ้มเหล้าไว้อีกหนึ่งลังและพูดว่า “เหล้าเหมาไถปี80 มีพอสำหรับค่ำคืนนี้ ทุกคนไม่ต้องเกรงใจนะ จัดให้เต็มที่มีทุกอย่างพร้อมแน่นอน……”
เมื่อได้ยินเกาเฉียนจิ้นพูดจบแล้ว เหลยอู้หัวเราะพลางพูดว่า “เฉียนจิ้น เธอปิ้งของอร่อยๆ ให้เสวี่ยเหลียนกินก่อนสิ สำหรับพวกเราเธอไม่ต้องสนใจหรอก……”
“น้าเขย ใครจะอยากให้เขามาปิ้ง ฉันทำเองได้……”หลงเสวี่ยเหลียนหน้าแดง หยิบปีกไก่สองไม้ไปวางบนเตาปิ้ง
ถ้าจะให้พูด ถึงแม้ว่าพื้นหลังฐานะทางบ้านก็ไม่ได้แย่ไปกว่าบ้านของเกาเฉียนจิ้น แต่ว่าในประเทศก็ยังไม่นิยมงานสังสรรค์ทำปิ้งย่างบุฟเฟต์แบบนี้ สิ่งที่เกาเฉียนจิ้นทำในวันนี้ทำให้หลงเสวี่ยเหลียนมองเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ชิงหย่า ฉันช่วยเธอปิ้ง……”
ตอนกลางคืนเยี่ยเทียนใช้วิชาไปจึงทำให้พลังชี่ดั้งเดิมได้รับผลกระทบบ้าง ท้องก็หิวตั้งนานแล้ว ตอนนี้จึงไม่รู้สึกเกรงใจอะไรอีก มือหนึ่งยื่นไปหยิบน่องไก่เสียบไม้สิบกว่าอัน แล้วยึดตะแกรงปิ้งย่างไปคนเดียว
เกาเฉียนจิ้นไม่มีลักษณะท่าทางอย่างคนในตระกูล แต่หลิวต้าจื้อกับเว่ยหงจวินสองคนนี้ตั้งใจทำความรู้จักกัน บรรยากาศในสวนเป็นไปอย่างราบรื่นเข้ากันได้ดีทีเดียว มีเสียงหัวเราะออกมาเป็นพักๆ
ผ่านไปสิบกว่านาที กลิ่นหอมของเนื้อย่างก็ค่อยๆ ลอยออกไป เกาเฉียนจิ้นได้ปูผ้าใช้แล้วทิ้งไว้ที่พื้นหญ้าหนึ่งผืน ทุกคนก็นั่งลงที่พื้น อาหารที่ปิ้งเสร็จก็ถูกจัดวางไว้บนผ้าเรียบร้อย
พอทำอย่างนี้แล้วก็ได้แสดงออกมาให้เห็นว่าฝีมือปิ้งย่างของแต่ละคนเป็นอย่างไร อาหารที่เยี่ยเทียนกับเกาเฉียนจิ้นปิ้งออกมามีสีออกเหลืองทอง กลิ่นหอมแตะจมูก แต่ปิ้งย่างของคนอื่นกลับเป็นสีดำไหม้
“โอเค จะกินแล้วนะ เฮ้ ลุงเว่ย ลุงกินที่ตัวเองปิ้งสิ อย่ามาแย่งของผม…….”
“คนมีความสามารถก็ต้องใช้แรงงานเยอะหน่อยไหม? แกปิ้งออกมาดีขนาดนี้ ลุงเว่ยจะช่วยแกกินสักสองสามอัน……”
น่องไก่สิบกว่าไม้ที่เยี่ยเทียนปิ้งแค่นำไปวางปุ๊ป มือกว่าสามสี่มือก็ยื่นออกมาหยิบไปพร้อมกัน เยี่ยเทียนต้องใช้มือบังแล้วบังอีก จนทุกคนหัวเราะขึ้นมา
“ตอนฉันอายุแปดขวบฉันก็เริ่มย่างกระต่ายป่าแล้ว จะไม่ให้ฝีมือดีได้ไง?” เยี่ยเทียนหัวเราะแฮะๆ หยิบน่องไก่มาอันนึงยื่นไปให้ชิงหย่าที่นั่งอยู่ข้างๆ
หลงเสวี่ยเหลียนที่นั่งตรงข้ามเยี่ยเทียนกลับมองน่องไก่ที่ตัวเองปิ้งจนไหม้ไปหมด สีหน้ารู้สึกสับสน ใจนึงก็อยากจะยื่นมือไปหยิบที่เกาเฉียนจิ้นปิ้งไว้ แต่ก็รู้สึกเกรงใจไม่กล้าหยิบ
อันที่จริงเกาเฉียนจิ้นรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับชีวิตการแต่งงานที่ถูกจัดโดยคนในครอบครัว พฤติกรรมของเขาก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้จงใจพุ่งเป้าไปที่หลงเสวี่ยเหลียน ตอนนี้คนหนุ่มสาวนั่งสังสรรค์อยู่ด้วยกัน เขาจึงไม่ใจร้ายถึงขั้นให้ผู้หญิงกินของไหม้หรอก พูดออกไปว่า “เสวี่ยเหลียน เอ้า เราสองคนก็ถือว่าโตมาด้วยกัน มาถึงที่นี่ไม่ต้องเกรงใจเลยนะ……”
สิ่งที่ทำให้หลงเสวี่ยเหลียนคาดไม่ถึง ก็คือเกาเฉียนจิ้นหยิบปีกไก่ที่ปิ้งออกมาสีเหลืองทองยื่นให้กับตัวเอง จึงรีบยื่นมือไปรับไว้ พูดด้วยเสียงอันเบาว่า “ขอบคุณ!”
“ฮ่าๆ พรหมลิขิตพันลี้ถูกเชื่อมต่อด้วยปีกไก่ พี่เกา ผมทำโทษตัวเองเลยนะ!” ภาพที่เกิดขึ้นตรงข้ามทำให้เยี่ยเทียนอดใจไม่ได้ถึงกับหัวเราะ หยิบเหล้าเหมาไถขึ้นมาทั้งขวด พอถึงปากปุ๊ปก็ยกดื่มทันที
ตั้งแต่อาจารย์จากไป สภาพจิตใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกอึดอัดมาตลอด เขาไม่ใช่คนที่จะกำจัดความเครียดด้วยเหล้า นานๆ ทีถึงมีโอกาสแบบนี้ เหล้าที่ยกขึ้นดื่มหมดไปเกือบครึ่งขวด
“ดี ดีมาก มา มาดื่มพร้อมกัน!”
เห็นสภาพของเยี่ยเทียนแล้วเกาเฉียนจิ้นก็ไม่ใช้แก้วเหมือนกัน แถมเลียนแบบเยี่ยเทียน หยิบขวดเหล้าขึ้นมากระดกเลย ส่วนเว่ยหงจวินและคนอื่นๆ ต่างก็หัวเราะไปตามกัน ดื่มเหมาไถแบบนี้มันสิ้นเปลืองชัดๆ
“อาจารย์เยี่ย ผมพูดมาตลอดว่าจะเลี้ยงข้าวคุณแต่ก็หาโอกาสไม่ได้สักที ขอยืมเหล้าของน้องเกาในครั้งนี้ดื่มให้คุณหนึ่งแก้วแล้วกัน……”
หลังจากที่เยี่ยเทียนกินน่องไก่เข้าไปเสร็จ หลิวต้าจื้อก็หยิบขวดเหล้าและยืนขึ้น เห็นเกาเฉียนจิ้นกับเยี่ยเทียนสนิทกันขนาดนี้ เขานึกว่าฝ่ายตรงข้ามจะรู้เสียอีกว่าเยี่ยเทียนคือใคร
…………………………-
ตอนที่168 บังเอิญ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ท่านประธานหลิว พูดอะไรแบบนั้นเล่า?”
เยี่ยเทียนรู้ดีว่าภูมิหลังของเกาเฉียนจิ้นนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน ไม่ได้ตั้งใจอยากให้เขารู้ว่าตัวเองเป็นใคร แต่ก็คิดไม่ถึงว่าหลิวต้าจื้อจะพูดคำว่า “ปรมาจารย์” ออกมา อยากจะห้ามแต่ก็ห้ามไม่ทันแล้ว
“เยี่ย……ท่านประธานเยี่ย ทำ……ทำไมหรือ?” เห็นสีหน้าของเยี่ยเทียน หลิวต้าจื้อก็รู้ตัวเลยว่าพูดผิด
“ปรมาจารย์เยี่ย? ประธานเยี่ย? น้องเยี่ย สรุปคุณทำเกี่ยวกับอะไรกันแน่เนี่ย?”
ความสามารถในการดื่มเหล้าของเกาเฉียนจิ้นไม่เลว เหล้าครึ่งลิตรยังไม่ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยน หูก็ยังไม่สูญเสียการใช้งาน คำพูดของหลิวต้าจื้อจึงได้ยินเข้าหูทั้งหมด
“ผมหรือครับ? เรียนไปได้ครึ่งทางก็พักการเรียนตอนนี้ไม่มีงานทำ คุณอย่าไปฟังคุณหลิวเยินยอผม ว่าแต่พี่เกาอยู่ต่างประเทศพี่ทำอะไรบ้างหรือ?” เยี่ยเทียนหัวเราะและเปลี่ยนประเด็นไปที่ตัวของเกาเฉียนจิ้นแทน
“พี่ทำเกี่ยวกับการเงิน……” เกาเฉียนจิ้นฉลาดพอตัว หลังจากพูดประโยคนั้นออกไปก็รู้ทัน “เฮ้ ไอ้น้อง นี่น้องไม่จริงใจนี่ เปลี่ยนเรื่องทำไม?”
ว่ากันตามตรง เกาเฉียนจิ้นรู้สึกสนใจในตัวของเยี่ยเทียนจริงๆ
เพราะเกาเฉียนจิ้นสังเกตเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นเว่ยหงจวิน หรือเหลยอู้ผู้มีภูมิหลังในเขตปักกิ่งถิ่นชาววังอยู่บ้าง ต่างก็ปฎิบัติต่อเยี่ยเทียนแปลกๆ ความรู้สึกแบบนั้นมันเหมือนเคารพและมีความหวาดกลัวเล็กน้อย
“เฮ้อ พูดไปคุณก็ไม่เชื่ออีก ผมไม่มีงานทำจริงๆ ก่อนหน้านี้เปิดบริษัทได้ไม่นานก็ต้องปิดตัวลง ตอนนี้จึงไม่มีงานจริงจังทำเลย……”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าไปมาไม่ยอมพูดมาก ถึงแม้คนอย่างเกาเฉียนจิ้นจะไม่เลวนัก แต่วิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์แห่งชาติยังคงจับตามองด้านความเชื่องมงายจากยุคระบอบศักดินาอย่างเข้มงวด และยังเป็นประเด็นอ่อนไหว เขายังไม่อยากถูกคนจดจำได้
“ไม่จริงใจ ไอ้หนุ่มนี่มันไม่จริงใจจริงๆ ได้ ไม่พูดก็ไม่พูด ปรมารจารย์เยี่ยใช่มั้ย? กลับไปเดี๋ยวฉันไปสืบเองก็ได้……”
เกาเฉียนจิ้นไม่ใช่คนช่างตื๊อไม่เลิกรา เห็นเยี่ยเทียนไม่ยอมพูดเลยเปลี่ยนประเด็นมองไปทางเว่ยหงจวิน พูดว่า “ท่านประธานเว่ย วันนี้ท่านก็เสียหายไปไม่น้อยเลยนะ หยกชิ้นนั้นมูลค่าไม่ถึงแปดแสนหรอกมั้ง?”
จู่ๆ ถูกเกาเฉียนจิ้นพูดถึงตัวเองอย่างไม่ทันตั้งตัว เว่ยหงจวินจึงหลุดปากตอบว่า “ใครว่าไม่ถึง? เพิ่มอีกเท่าหนึ่งก็ถึง……”
“เหล่าเว่ย คุณก็ไม่จริงใจนี่ เตือนห้ามไม่ให้ผมกับเหล่าหลิวยื่นมือเข้าไปเอี่ยว แล้วทำไมถึงกดราคาของล่ะ ทำแบบนี้ไม่ได้นะ คุณต้องเล่าเรื่องหยกชิ้นนี้ ไม่อย่างนั้นวันนี้ผมไม่ปล่อยคุณไปแน่……”
หลังจากได้ยินคำพูดของเว่ยหงจวิน เหลยอู้ก็ไม่คล้อยตามแล้ว เขาดูออกตั้งแต่แรกแล้วว่าหยกชิ้นนี้มีบางอย่างซ่อนไว้ จึงอาศัยความแรงของเหล้าที่ดื่มไป หยิบหยกที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของเว่ยหงจวินออกมา
“เฮ้ย อย่าล้มเชียว!”
เว่ยหงจวินลุกลี้ลุกลน ไม่สนใจอะไรแล้ว เอ่ยปากพูดออกมาว่า “นี่เป็นของของเยี่ยเทียน พวกคุณไปถามเขาเองสิ……”
“นี่มันเรื่องอะไรกันหรือครับ?” เห็นพวกเขามองมาที่ตัวเอง เยี่ยเทียนก็หัวเราะแห้งๆ ออกมา สุดท้ายก็หนีไม่พ้นอยู่ดี
“อะแฮ่ม! ทุกคนมองผมกันทำไม?”
เยี่ยเทียนกระแอมไอสองเสียง พูดขึ้นอย่างเหนื่อยหน่ายว่า “ความจริงก็ไม่มีอะไรหรอก หยกชิ้นนี้ผ่านพิธีกรรมจากผู้มีบุญมาก่อน พกไว้กับตัว สามารถใช้ป้องกันภัยอันตรายได้ เพราะฉะนั้นราคาสูงจึงเป็นเรื่องปกติ……”
“เป็นของขลังหรือ?!”
เยี่ยเทียนยังพูดไม่ทันจบคำ ดวงตาของเกาเฉียนจิ้นก็ลุกวาว ลุกขึ้นไปแย่งหยกจากมือของเหลยอู้มาทันที พลิกไปก็พลิกมาและพูดว่า “ถ้านี่เป็นของขลังจริง แปดแสนถือว่าไม่แพง……”
พอได้ยินคำพูดของเกาเฉียนจิ้น เยี่ยเทียนก็ถามอย่างสงสัยว่า “พี่เการู้จักของขลังด้วยหรือ?”
เยี่ยเทียนรู้ว่าเกาเฉียนจิ้นไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่สิบขวบ และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นสิบกว่าปี เขาจะรู้จักคำว่าของขลังได้อย่างไร? ต้องเข้าใจก่อนว่าถึงแม้จะอยู่ในประเทศ แต่ก็มีคนไม่มากรู้จักชื่อของของเล่นชิ้นนี้ โดยทั่วไปจะรู้แค่ว่าเป็นสิ่งของใช้ป้องกันตัวเท่านั้น
“รู้สิ ฉันยังเคยเห็นเลย แต่ว่าของแบบนี้ฉันแยกไม่ออกหรอก เอาเป็นว่านี่คือของขลังจริงหรือเปล่า ฉันเองก็บอกไม่ได้”
เกาเฉียนจิ้นถือหยกเล่นในมือสักพัก พูดต่อว่า “มันเป็นเรื่องเมื่อปีที่แล้ว เวลานั้นมีผู้อาวุโสจากฮ่องกงท่านหนึ่งไปยังอเมริกา ในคณะเดินทางยังมีหลานสาวของเขาตามไปด้วยอีกคน ฉันเป็นคนต้อนรับพวกเขาเอง
ตอนอยู่บนทางด่วน รถที่เด็กสาวตระกูลถังนั่ง จู่ๆ เกิดขัดข้องพลิกคว่ำทั้งคัน พวกคุณรู้มั้ยหลังจากนั้นเป็นยังไงต่อ?” พอพูดถึงตรงนี้ เกาเฉียนจิ้นก็หยุดพูดแสร้งทำเป็นเรื่องลึกลับ
“เป็นยังไงต่อหรือ? ผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไงบ้าง?” สาวๆ อย่างอวี๋ชิงหย่ากับหลงเสวี่ยเหลียนต่างเบิ่งตาโต
“บนรถมีสามคน คนขับรถกับคนติดตามคุณผู้หญิงตระกูลถังตายคาที่ แต่ถังเสี่ยวเหม่ยกลับไม่เป็นอะไร……”
พอนึกถึงเรื่องในอดีต ดวงตาของเกาเฉียนจิ้นก็แสดงความหวาดกลัวออกมา หยิบขวดเหล้าขึ้นมาดื่มเข้าไปอึกใหญ่ จากนั้นจึงเล่าต่อ “แต่ว่าน้ำเต้าหยกที่ถังเสี่ยวเหม่ยใส่ติดตัวตลอดกลับแหลกสลาย พวกเธอรู้หรือเปล่า น้ำเต้าหยกชิ้นนั้น…….ก็คือของขลังนั่นเอง”
ตอนนั้นหลังจากช่วยคนออกมาจากในรถแล้ว เกาเฉียนจิ้นเห็นผู้อาวุโสคนนั้นเก็บหินหยกที่แตกกลับไปราวกับเป็นของล้ำค่า ถามไปถามมา ถึงได้รู้ว่าหินหยกชิ้นนั้นช่วยชีวิตของเด็กสาวคนนั้นไว้
เพราะเรื่องนี้ทำให้เกาเฉียนจิ้นรู้จักคำว่า “ของขลัง” ถึงแม้ว่าในใจของเขาจะไม่เชื่อเรื่องผลสัมฤทธิ์ของของขลัง แต่ในใจของเขายังคงจำชื่อนี้ได้อย่างขึ้นใจ
“ของดีเนี่ย ป้องกันภัยอันตรายได้จริงๆ ผมว่านะเหล่าเว่ย ของชิ้นนี้คุณให้ผมเถอะ ผมจ่ายหนึ่งล้านเป็นไง?”
“เหล่าหลิว ของชิ้นนี้มีมูลค่าไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านนะ ท่านประธานเว่ย ผมให้สองล้านว่ายังไง?”
หลังจากเกาเฉียนจิ้นพูดเรื่องนั้นจบ เหลยอู้กับหลิวต้าจื้อก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันใด
มีรถยนต์คันหนึ่งเกิดอุบัติเหตุ สามคนที่นั่งคันเดียวกันตายไปสอง อีกคนหนึ่งกลับไม่เป็นอะไรเลย นี่ไม่ใช่เพราะของขลังสัมฤทธิ์หรอกหรือ? ของที่สามารถช่วยชีวิตได้ เงินเยอะแค่ไหนก็คุ้มค่า
“ไม่ขาย สิบล้านผมก็ไม่ขาย คุณสองคนเลิกคิดไปเลย……”
เว่ยหงจวินเงื้อมมือไปแย่งหยกที่มือของเกาเฉียนจิ้นกลับมา ไม่ได้เก็บเข้ากระเป๋าเสื้อผ้าแต่กลับกำไว้ในมือ ทำสีหน้าแปลกๆ มองไปที่เกาเฉียนจิ้น พูดว่า “ท่านประธานเกา ผู้อาวุโสที่คุณพูดถึงเมื่อกี้ ชื่อถังเหวินหย่วนใช่มั้ย?”
ทีแรกเด็กสาวที่เกาเฉียนจิ้นพูดถึงเมื่อครู่แซ่ถัง ต่อมาหยกที่แตกก็เป็นน้ำเต้าหยก ทำให้เว่ยหงจวินนึกถึงชิ้นที่เยี่ยเทียนขายไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา
“ท่านผู้เฒ่าถังนั่นแหละ ทำไมหรือ? ท่านประธานเว่ยก็รู้จักด้วยหรือ?”
เกาเฉียนจิ้นผงกหัว ถังเหวินหย่วนกับผู้อาวุโสบ้านเขามีความสัมพันธ์กันอยู่บ้าง และที่เกาเฉียนจิ้นสามารถทำงานอยู่แวดวงการเงินในอเมริกาได้อย่างมั่นคง ช่วงแรกเป็นเพราะได้ความกรุณาของท่านผู้เฒ่าถัง
“เคยเจอ เคยเจอครั้งหนึ่ง……”
หลังได้ยินคำพูดของเกาเฉียนจิ้น สีหน้าของเว่ยหงจวินก็ยิ่งแปลกประหลาดกว่าเดิม มือขวาที่กำหยกไว้ยิ่งออกแรงกำแน่นขึ้นอีก เหลือบมองไปทางเยี่ยเทียน
“ทำไมล่ะ? เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับน้องเยี่ยหรือ?”
ถึงแม้ทุกคนจะดื่มเหล้าเข้าไปแล้ว แต่พวกผู้ชายที่อยู่ตรงนี้ มีใครบ้างไม่ใช่คนหูตาไวมองทุกอย่างทะลุทะลวงไปหมด สายตาที่เผลอมองของเว่ยหงจวิน ทำให้ทุกคนหันไปมองที่ตัวเยี่ยเทียนพร้อมๆ กัน
“เฮ้อ น้ำเต้าหยกชิ้นนั้นของท่านผู้เฒ่าถัง ผมเป็นขายเองครับ……”
โลกช่างบังเอิญอะไรขนาดนี้ เยี่ยเทียนเองก็ไม่อยากปิดบังอีกต่อไป แต่เมื่อของขลังที่ขายออก ได้ช่วยชีวิตของเด็กสาวคนหนึ่งไว้ เขาก็รู้สึกดีใจเหมือนกัน
“อะไรนะ?!”
ทันทีที่เยี่ยเทียนพูดออกไป นอกจากหงเว่ยจวินแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็นั่งไม่ลง รวมถึงหลงเสวี่ยเหลียนกับน้าสาวของเธอต่างลุกกันขึ้นมา
ตอนแรกเจ้าของเรื่องคือเกาเฉียนจิ้น และทุกคนก็ฟังเป็นเรื่องราวเรื่องหนึ่ง แต่ว่าพระเอกของเรื่องกลับกลายเป็นคนคนหนึ่งในวงเสียอย่างนั้น ทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก
โดยเฉพาะเหลยอู้กับหลิวต้าจื้อ สายตามองไปที่มือขวาของเว่ยหงจวินตลอดเวลา อยากจะเดินเข้าไปแย่งมา ผลสัมฤทธิ์ของสิ่งที่เยี่ยเทียนปล่อยมือไป ต้องไม่แย่ไปกว่ากันอย่างแน่นอน
“น้องเยี่ย นี่……สรุปแล้วน้องทำเกี่ยวกับอะไรกันแน่?”
ในที่สุดเกาเฉียนจิ้นก็ไม่อาจต้านความสงสัยของตัวเองได้อีกต่อไป เขาคิดไม่ถึงว่าหยกแตกที่ถูกท่านผู้เฒ่าถังเก็บรักษาราวสมบัติล้ำค่า แท้จริงแล้วกลับได้มาจากเยี่ยเทียน
“ของขลังนั่นท่านอาจารย์มอบให้กับผม เหลืออยู่แค่ไม่กี่ชิ้น พวกคุณก็อย่าไปใส่ใจนักเลย……”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าไปมา ก่อนอื่นต้องตัดความอยากได้ของพวกเขาออกไปก่อน จากนั้นพูดต่อว่า “พี่เกา ไม่ใช่เพราะน้องมีใจจะปิดบัง แต่น้องเป็นคนที่สืบทอดนรลักษณ์ศาสตร์เสื้อป่าน คนยุคสมัยใหม่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับสิ่งนี้ น้องจึงกลัวว่าพี่จะ……”
แม้เยี่ยเทียนจะพูดยังไม่จบ แต่ความหมายก็ชัดเจนอยู่แล้ว คุณชายเกาพอจะฟังออก อีกฝ่ายกลัวคนอื่นมองว่าตัวเองกำลังเผยแพร่ความเชื่อจากระบอบศักดินา เพราะฉะนั้นจึงปิดเงียบไม่ยอมพูด
“เฮ้ย น้องเยี่ย พูดอะไรอย่างนั้นล่ะ?”
หลังเกาเฉียนจิ้นฟังคำพูดของเยี่ยเทียน ก็พูดต่ออย่างไม่เห็นด้วยนัก “ตอนฉันอยู่ไชน่าทาวน์ที่อเมริกา ฉันรู้จักคนแวดวงเดียวกับเธอไม่น้อยเลยนะ บางคนก็เป็นสายลัทธิเต๋าจริงๆ……”
วัฒนธรรมโบราณของประเทศจีนสูญหายไปครั้งใหญ่ ในช่วงแรกของปลายราชวงศ์ชิงจนถึงยุคสาธารณรัฐจีน ผู้คนมากมายล้วนเข้าใจผิดในอัตลักษณ์ของชาติ อีกทั้งหลังจากก่อตั้งสาธารณรัฐจีน ยังมีภัยพิบัติอันยิ่งใหญ่ที่สุดอีกครั้ง ทำให้ผู้มีความเชี่ยวชาญในวิชาแทบจะสาบสูญไปจนสิ้น
แต่ว่าในเขตชุมชนชาวจีนโพ้นทะเล และมาเก๊า ฮ่องกง ไต้หวัน อีกทั้งในแถบตะวันออกเฉียงใต้ ศาสตร์ทำนายฮวงจุ้ยของจีนกลับได้รับการถ่ายทอดสืบต่อกัน เกาเฉียนจิ้นยังนับว่ารู้จักคนดังอยู่ไม่น้อย
“หรือครับ? ถ้าผมพอมีเวลาจะไปทำความรู้จักสักหน่อย……”
หลังจากได้ยินคำของเกาเฉียนจิ้น คิ้วของเยี่ยเทียนกระตุกขึ้น เขาและอาจารย์อยู่ในยุทธภพมานานหลายปี เคยไปเยี่ยมเยียนเพื่อนเก่าของหลี่ซั่นหยวนมาบ้าง แต่ว่าคนสูงวัยเหล่านั้นเสียชีวิตกันไปเกือบหมดแล้ว อีกทั้งคนรุ่นหลังกลับไม่ได้สืบทอดวิชาของพวกเขาเลยสักคน
พอได้ยินเกาเฉียนจิ้นพูดว่าในต่างประเทศมีการสืบทอดต่อๆ กันมา ทำให้เยี่ยเทียนมีความคิดจะไปดูสักครั้ง ต้องเข้าใจด้วยว่านับตั้งแต่อาจารย์จากโลกนี้ไปแล้วก็ไม่มีใครพูดคุยถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิชาอีกเลย
“เรื่องนี้ง่ายออก?”
เกาเฉียนจิ้นได้ยินแล้วก็หัวเราะ พูดขึ้นว่า “อีกไม่กี่วัน น่าจะประมาณอาทิตย์หน้า ไชน่าทาวน์ที่ซานฟรานซิสโกมีผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งกำลังจะมา ก่อนฉันกลับไม่นานครูคนนั้นบอกฉันว่าฉันมีภัยติดตัว ครั้งนี้จึงมาช่วยฉันขจัดภัยนี้ออก……”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?” เยี่ยเทียนอึ้งไปชั่วขณะ เขาร่ำเรียนวิชามาหลายปีและยังได้สืบทอดวิชาของอาจารย์ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่ามีคนเดินทางระยะไกลถึงขั้นข้ามน้ำข้ามทะเลมาช่วยคนอื่นขจัดภัย
…………………………
169 ยำเกรง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“คนนั้นชื่อหลัวจื้อ เป็นคนมีชื่อเสียงพอสมควรในแวดวงชาวจีนที่อาศัยอยู่ต่างประเทศ ท่านผู้เฒ่าถังเป็นคนแนะนำให้ฉันรู้จักกับเขา……”
ตอนที่เกาเฉียนจิ้นพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าแสดงออกไม่เป็นธรรมชาติสักเท่าไหร่ เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นเพทางบ้านหรือประสบการณ์การเรียนต่อประต่างเทศของเขา ทำให้มีความสงสัยในใจว่าความเชื่อเรื่องวิชาดูดวงชะตาเป็นความเชื่องมงายจากยุคระบอบศักดินา
เยี่ยเทียนคิดแล้วคิดอีก ส่ายหน้าไปมาพูดว่า “หลัวจื้อ? ไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลย พี่เกา ถ้าเขามาพี่ช่วยพาฉันรู้จักกับผมหน่อยนะครับ……”
แม้ว่าเยี่ยเทียนอายุเพียงเท่านี้ แต่เขาก็ติดตามอาจารย์ล่องเหนือลงใต้ สถานที่ที่เคยไปมามีไม่น้อยทีเดียว บวกกับนักพรตเต๋าผ่านช่วงเวลาสมัยปลายราชวงศ์ชิงจนถึงยุคสาธารณรัฐจีนมาหลายยุคสมัย ผู้มีชื่อเสียงเก่งกาจด้านวิชาในยุทธภพนั้น อาจารย์ก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี
ถึงแม้คนพวกนั้นในช่วงก่อตั้งสาธารณรัฐจะหนีไปอยู่ต่างประเทศกันหมด แต่เยี่ยเทียนยังพอได้ยินชื่ออยู่บ้าง แต่ชื่อที่เกาเฉียนจิ้นเอ่ยถึงนั้นเยี่ยเทียนกลับไม่คุ้นเลย
หลังจากได้ยินบทสนทนาของเยี่ยเทียนกับเกาเฉียนจิ้น เหลยอู้พูดแทรกขึ้นมาว่า “เฉียนจิ้น อยากดูลายมือ ทำไมต้องไปหาคนนอกล่ะ? หาเยี่ยเทียนก็ได้ ฉันรับรองว่าคนที่ชื่อหลัวจื้อนั่น สู้เขาไม่ได้แน่นอน……”
เหลยอู้มีชีวิตอยู่มาสี่สิบกว่าปี สิ่งที่พบสิ่งที่ได้ยินนั้นมีมากมาย เมื่อก่อนก็มีอาจารย์ดูลายมือเก่งๆ เคยช่วยชี้แนะเขา แต่อย่างไรก็ไม่น่าพิสดารใจเท่าการคลายจุดเถาฮวาที่เยี่ยเทียนเคยช่วยเขาครั้งนั้น
ถ้าจะพูดถึงวิชาทำนายดวงเมื่อก่อนเถ้าแก่เหลยก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หลังจากผ่านพ้นเรื่องนี้ เขาจึงเริ่มยำเกรงฟ้าดิน เวลาทำอะไรจะไม่โอ้อวดเหมือนแต่ก่อน
คำพูดพวกนี้ของเหลยอู้ทำให้ท่านประธานหลิวที่อยู่อีกฝั่งเห็นด้วยและพูดว่า “ใช่ คุณชายเกา ถ้าจะพูดถึงการดูลายมือป้องกันภัยละก็ ผมมั่นใจแค่ปรมาจารย์เยี่ยคนเดียวเท่านั้น……”
“ไงน้องเยี่ย ช่วยฉันดูหน่อยได้ไหม?”
หลังจากเห็นเหลยอู้กับหลิวต้าจื้อต่างก็แนะนำเยี่ยเทียน และยังมีอีกหลายคนที่มีท่าทีเคารพ เกาเฉียนจิ้นก็พอมองออกแล้วว่าหนุ่มสีผมแปลกประหลาดคนนี้มีบางอย่างที่ไม่เหมือนคนอื่นจริงๆ
ต้องเข้าใจด้วยว่า เหลยอู้และคนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในปักกิ่งถิ่นชาววังนั้นเป็นคนที่มีหน้ามีตา ตอนปกติไม่ต้องพูดถึงเรื่องความหยิ่งยะโส แต่พวกเขาก็ไม่ใช่บุคคลที่คนทั่วไปจะเข้าหาได้เช่นกัน เวลานี้พวกเขากลับรู้สึกเคารพในตัวของคนหนุ่มอย่างเยี่ยเทียน นั่นย่อมไม่ใช่สิ่งที่ถูกหลอกด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียวแน่
“พี่เกา ทุกวงการล้วนมีกฎอยู่ภายใน พี่รอให้คุณหลัวดูก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีเถอะ”
เยี่ยเทียนส่ายหัวปฏิเสธคำขอให้ดูลายมือของเกาเฉียนจิ้น หันหน้าไปที่เหลยอู้และคนอื่นๆ พูดว่า “พวกคุณทั้งสองอย่ายกยอผมอีกเลย คำพูดพวกนี้อย่าพูดไปเรื่อย ไม่อย่างนั้นแพร่กระจายออกไปจะมีปัญหาได้……”
วิชาในยุทธภพกับชุดงามม้าแกร่งในยุทธภพล้วนเหมือนกัน พวกเขาไม่โอ้อวดความสามารถทั้งด้านตำราและการต่อสู้ เพราะไม่มีใครยอมรับว่าสิ่งที่ตัวเองสืบทอดมานั้นด้อยกว่าของคนอื่น
หากสมมุติหลัวจื้อคนนั้นเป็นคนมีความสามารถจริง คำพูดของเหลยอู้กับหลิวต้าจื้อเมื่อครู่คงทำให้เขาโกรธไปแล้ว ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามใจแคบสักนิด ไม่แน่อาจฝังภัยร้ายไว้กับตัวพวกเขา
อีกทั้งช่วงก่อนยุคปลดแอก คนที่เก่งกาจในวิชานั้นจะได้รับความเคารพจากคนสายเดียวกัน นิสัยเช่นนั้นคงจะไม่รักสันตินัก หากฝ่ายตรงข้ามฝังใจกับเถ้าแก่เหลยและหลิวต้าจื้อ คงจะใช้วิชาบางอย่าง ทำให้สองคนนั้นแม้ไม่ตายแต่ก็ถลอกปอกเปิก
“ปรมาจารย์เยี่ย ยังไงผมก็เชื่อคุณคนเดียว พระที่มาจากที่อื่นก็คงอ่านคัมภีร์ไม่ได้หรอก!” หลังจากได้ยินสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด หลิวต้าจื้อก็พูดทีเล่นทีจริงออกมา ไม่ว่าจะคำไหนก็เต็มไปด้วยความชื่นชมเคารพ
“ท่านประธานหลิว คุณก็พูดเกินไป……”
เยี่ยเทียนยิ้มและโบกไม้โบกมือ ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่เคยเจอคนเก่งกาจอย่างแท้จริงในประเทศ แต่เขาก็ไม่เคยทำตัวโอ้อวดและไม่คิดว่าตัวเองเป็นที่หนึ่ง
เช่นเดียวกับยุคสาธารณรัฐมีหยวนซู่ซานกับเว่ยเชียนหลี่ที่ถูกกล่าวขานว่าเป็น “ใต้หยวนเหนือเว่ย” กระทั่งหลี่ซั่นหยวนกับเยี่ยเทียนเวลากล่าวถึงพวกเขาก็ต้องให้ความเคารพเช่นเดียวกัน พวกเขาได้รับคำล่ำลือว่ามีวิชาที่โดดเก่นกว่าใคร
แม้ว่าเขาทั้งสองจะเสียชีวิตลงแล้ว แต่คนรุ่นหลังก็มีลูกหลานกำเนิดขึ้นมากมาย แล้วทำไมจะไม่มีผู้เชี่ยวชาญปรากฎตัวสักคนสองคนล่ะ เยี่ยเทียนเพียงคิดว่าตัวเขายังไม่เคยพบเท่านั้น
“ได้ เราไม่คุยประเด็นนี้กัน จริงสิ วันนี้อ้วนฉีเป็นอะไรหรือ? เหมือนผีเข้าเลย เมื่อก่อนไม่เคยได้ยินว่าเขามีนิสัยแบบนี้นี่?”
เว่ยหงจวินตั้งแต่รู้จักกับเยี่ยเทียน ก็พอจะทำความเข้าใจกับสายอาชีพนี้อย่างละเอียดมาบ้างแล้ว รู้ว่าเยี่ยเทียนเข้มงวดห้ามเรื่องอะไรบ้าง เมื่อเห็นเยี่ยเทียนไม่อยากพูดอะไรมาก จึงหัวเราะเปลี่ยนประเด็นไปพูดอย่างอื่นแทน
“อาการผิดปกติทางสมองกำเริบหรือเปล่า?” หลิวต้าจื้อพูดอย่างสงสัย ตอนเขาไปถึงเหตุการณ์ก็จบลงแล้ว เห็นเพียงฉีอี้ถูกกดลงไปที่พื้น
อีกหลายคนที่นั่งอยู่กับพื้นเมื่อได้ยินเว่ยหงจวินพูดถึงเรื่องนี้ ต่างก็หลุดหัวเราะออกมา โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงสีหน้าทำอะไรไม่ถูกของรองประธานสถานีตอนถูกดึงกางเกงออก พวกผู้หญิงหน้าแดงกันไปหมด
พอคุยถึงเรื่องนี้ เว่ยหงจวินก็ตื่นตัวขึ้นมา ส่ายหัวและพูดว่า ” ไม่เหมือนโรคความผิดปกติทางสมอง แต่เหมือนคนถูกผีเข้ามากกว่า เหล่าหลิว คุณคงไม่ได้ยิน ตอนนั้นปากของอ้วนฉียังร้องเป็นภาษาด้วย คนมีอาการผิดปกติทางสมองจะพูดรู้เรื่องได้ยังไง……”
“นั่นสิ หัวหน้าฉีทั้งตะโกนหาแม่ ทั้งตะโกนคำขวัญ เหมือนผีเข้ามากกว่า……”
หลงเสวี่ยเหลียนเห็นด้วยกับสิ่งที่เว่ยหงจวินพูด ตอนนั้นเธออยู่ตรงนั้นไม่ไกลมาก แม้แต่คำขวัญที่หัวหน้าฉีพูดออกมาว่า “กองกำลังต่อต้านทั้งหลายล้วนเป็นเสือกระดาษ” ก็ได้ยินอย่างชัดเจน
หลังจากได้ยินคำพูดของหลงเสวี่ยเหลียน เหลยอู้ส่ายหัวไปมาและพูดว่า “ผีเข้า? เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง เรื่องแบบนี้โดยปกติจะเกิดขึ้นที่บ้านนอก จุดรวมคนสถานที่แบบนั้นคึกคักจะตาย จะถูกของอาถรรพ์เข้าตัวได้ยังไง?”
ตอนที่เหลยอู้อายุสิบกว่าขวบได้รับผลกระทบจากครอบครัว จำเป็นต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านนอกกว่าห้าหกปี ช่วงเวลานั้นเขาก็เคยเจอเรื่องผีมาไม่น้อย ล้วนแต่เกิดเรื่องขึ้นในแถบคนอาศัยอยู่บางเบาทั้งนั้น
“บางทีผีที่เข้าสิงอาจเป็นผีของอาจารย์ผู้มีวิชาแก่กล้าหรือเปล่า……” หลงเสวี่ยเหลียนพูดออกมาอย่างไม่พอใจ
“แค่ก……แค่กๆ……”
หลงเสวี่ยเหลียนพูดยังไม่ทันจบคำ เยี่ยเทียนที่กำลังเงยหน้าดื่มเหล้า ก็พ่นเหล้าที่อยู่ในปากออกมาเสียงดัง “พรวด” เขารีบใช้มือปิดปากและเริ่มสำลัก “พูดอะไรกันน่ะ? ลูกพี่กลายเป็นผีแก่ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เยี่ยเทียน เป็นอะไรหรือเปล่า?” อวี๋ชิงหย่าเป็นห่วงและช่วยตบหลังให้กับเยี่ยเทียน “ใครเขาดื่มเหล้าแบบเธอกัน?”
“แค่กๆ ไม่เป็นไรๆ ฉันตกใจกับคำพูดของพี่เสี่ยเหลียนหน่ะ……” เยี่ยเทียนยิ้มไปเอากระดาษเช็ดปากไป ในใจก็ปลอบใจตัวเองและพูดว่า “ผีแก่ก็ผีแก่ ขอแค่ให้ฉีอ้วนมันซวย ก็ตามนั้นแหละ”
“ไม่น่าจะใช่ผีแก่หรอก เยี่ย…ปรมาจารย์เยี่ย……” ในเมื่อตอนนี้เกาเฉียนจิ้นรู้สถานะของเยี่ยเทียนแล้ว เหลยอู้จึงเรียก “ปรมาจารย์” ออกมา
“อย่าเลยท่านประธานเหลย เรียกผมว่าเยี่ยเทียนเถอะ ที่นี่ไม่มีปรมาจารย์หรอก”
เยี่ยเทียนพูดขัดคำของเหลยอู้ ตอนนี้ทุกคนสังสรรค์ด้วยกันอย่างเพื่อน เรียกปรมาจารย์กันคนละคำสองคำ เขาก็รู้สึกไม่ค่อยชินเหมือนกัน
“โอเค ผมเรียกคุณประธานเยี่ยแล้วกัน ไม่กี่เดือนก่อนคุณเคยพูดว่า คนที่ถูกทำของใส่หรือเจอเรื่องร้าย ล้วนแต่เกิดจากกระแสพลังพิฆาตเข้าสิง!”
หลังจากถูกเยี่ยเทียนคลายจุดเถาฮวาแล้ว เหลยอู้นับว่าได้เพิ่มความรู้ด้านนี้ขึ้นบ้างเล็กน้อย เวลาพูดถึงเรื่องอย่างนี้ก็จะพูดเป็นตุเป็นตะต่างจากเหตุการณ์จริงไปมาก
“ถ้าให้ผมพูด อ้วนฉีน่าจะไปทำอะไรใครบางคนเอาไว้ เลยถูกคนนั้นสั่งสอน……”
เหลยอู้ยิ่งพูดยิ่งสนุก แต่หลังจากเขาพูดประโยคก่อนหน้านี้ออกมา ก็อึ้งไปและมองเยี่ยเทียนอยู่อย่างนั้น
ดูเหมือนว่าฉีอ้วนจะไปทำอะไรไว้กับใครบางคนจริงๆ ตอนที่เริ่มเข้าสู่ช่วงประมูลเพื่อการบริจาค ฉีอ้วนทำตัวถากถางดูถูกเยี่ยเทียน นอกจากหลิวต้าจื้อกับเกาเฉียนจิ้นแล้ว คนอื่นๆ ก็ได้ยินหมด
และที่สำคัญเยี่ยเทียนผู้ถูกฉีอ้วนดูหมิ่น ในสายตาของเหลยอู้ เยี่ยเทียนเป็นเหมือนจอมเวทย์ผู้ลึกลับ เพราะท่านประธานเหลยเคยเห็นเยี่ยเทียนวาดยันต์สำแดงวิชา พอนำมารวมกันในใจของเถ้าแก่เหลยจึงเข้าใจเรื่องราวขึ้นมาบ้าง
ไม่เพียงแต่เหลยอู้เท่านั้น แม้แต่หลิวต้าจื้อกับเว่ยหงจวินก็เข้าใจไปตามกัน เวลามองไปที่เยี่ยเทียนก็เริ่มรู้สึกทะแม่งๆ ขึ้นมา การกระทำนั่นถ้าเป็นเยี่ยเทียนทำจริงๆ คนที่อยู่ตรงหน้านี้ก็น่ากลัวมาก
“น้องเยี่ย อย่า……อย่าบอกนะ……ว่าเรื่องนี้น้องเป็นคนทำ?” พอเห็นพวกนั้นจ้องมองยังเยี่ยเทียน เกาเฉียนจิ้นเผลอทำตาโต มองแล้วมองอีกไปทางเยี่ยเทียน
“พี่เกา เกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ? ฉันมีปัญญาทำแบบนั้นที่ไหน? พี่อย่าเยินยอฉันเลย……”
เยี่ยเทียนยิ้มแห้งพลางสะบัดมือ แต่ในใจกลับนับถือเหลยอู้มาก พี่คนนี้ช่างเก่งจริง ขนาดทำไปโดยไม่บอกล่วงหน้าก็ยังเดาออกจนได้
แต่ถึงแม้เยี่ยเทียนจะปฎิเสธไปแล้ว คนอื่นจะเชื่อหรือไม่เชื่อ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ในเวลาต่อมา ทุกคนต่างหลีกเลี่ยงประเด็นนี้ แค่เห็นคนที่สามารถทำให้คนเป็นบ้าได้นั่งอยู่ข้างตัว เป็นใครใครก็ใจไม่ดีทั้งนั้น
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่อาจารย์ดูฮวงจุ้ยในทุกยุคทุกสมัยขาดแคลนสหาย แม้ว่าคนอื่นจะอยากขอเป็นเพื่อนกับพวกเขา แต่ในใจของพวกนั้นยังคงมีความยำเกรงอยู่ห่างๆ บางทีก็คล้องจองกับคำพูดที่ว่าอาภัพอับจนไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง
เพราะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกลางงาน ในใจของทุกคนจึงรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย ปิ้งย่างกันจนถึงเวลาประมาณห้าทุ่มก็เริ่มแยกย้าย ตอนส่งเยี่ยเทียนออกจากประตู เกาเฉียนจิ้นได้ขอเบอร์ติดต่อทางบ้านของเยี่ยเทียนเอาไว้ นัดว่าจะพบกันในอาทิตย์หน้า
รู้สึกว่าเรื่องราวเมื่อสองเดือนก่อนก็ควรจะเงียบลงบ้างแล้ว เยี่ยเทียนไม่ไปที่อารามเมฆขาวอีกเลย แต่กลับตรงไปที่เรือนสี่ประสาน ส่วนอวี๋ชิงหย่าก็อยู่บ้านของเยี่ยเทียนต่อ
แน่นอนว่า ทั้งสองคนอยู่กันคนละห้อง คนหัวโบราณอย่างเยี่ยตงเหมยไม่มีทางยอมให้คนหนุ่มสาวอยู่ร่วมห้องกันก่อนแต่งงานเด็ดขาด
………………………………
เมื่อกลับมาอยู่ที่เรือนสี่ประสาน เยี่ยเทียนก็เริ่มคุ้นชินกับชีวิตที่เคยเป็น ช่วงตีห้ากว่าในตอนเช้าวันต่อมา เขาได้ฝึกซ้อมวิชาลมปราณไปหนึ่งรอบ จากนั้นก็ออกไปข้างนอกเดินตามทางเลียบพระราชวัง
ตอนเช้าแปดโมงกว่า เยี่ยเทียนดื่มน้ำเต้าหู้และกินเสี่ยวหลงเปาไปบ้างเล็กน้อยที่ร้านข้างทาง กำลังจะเตรียมตัวกลับบ้าน ผ่านร้านขายมือถือโดยเฉพาะร้านหนึ่ง เยี่ยเทียนคิดอยู่สักครู่ก็ตรงเข้าไปที่ร้าน
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะไม่ชอบพกโทรศัพท์ไว้กับตัวเพราะรู้สึกเหมือนมีคนตามตลอดเวลา ราวกับถูกจับตามองอย่างไรอย่างนั้น แต่เพราะต้องใกล้ชิดกับสังคมมากขึ้นทุกวัน ไม่มีมือถือใช้จึงเป็นเรื่องที่ไม่สะดวกจริงๆ
170 โทรศัพท์มือถือและที่พัก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตอนนั้นในปี 97 ที่ทำการไปรษณีย์ยังไม่ได้แยกการสื่อสารโทรคมนาคมออกอย่างชัดเจน ระบบส่งข้อความโทรศัพท์มือถือยักษ์ใหญ่ ในยุคหลังก็ไม่ได้แยกออกจากโทรคมนาคมเช่นกัน ดังนั้นร้านขายโทรศัพท์มือถือร้านนี้ความจริงก็คือที่ทำการไปรษณีย์สาขาหนึ่ง
ถึงแม้ปักกิ่งจะเป็นเมืองใหญ่ไม่เป็นสองรองจากใครในประเทศ แต่ว่าในยุคนี้ โทรศัพท์มือถือยังคงนับว่าเป็นของใช้ฟุ่มเฟือย ด้านหน้าตู้กระจกที่วางโทรศัพท์อยู่ภายในร้าน ไม่มีคนเข้ามาสอบถามโดยสิ้นเชิง ทว่าแผงขายเครื่องส่งข้อความอย่างเพจเจอร์กลับขายดีมาก
“ใหญ่เกินไป พกติดตัวจะไม่เกะกะแย่หรือ?”
ขณะที่มองยังโทรศัพท์จำนวนไม่กี่เครื่องในตู้ เยี่ยเทียนก็เผลอขมวดคิ้วขึ้นมา แม้ว่าโทรศัพท์มือถือพวกนี้จะเล็กกว่าของที่พ่อใช้ค่อนข้างมาก แต่เยี่ยเทียนยังไม่รู้สึกพอใจเท่าไหร่
แม้เสียงพูดของเยี่ยเทียนจะแผ่วเบา แต่ก็ยังเข้าหูพวกป้าๆ ที่กำลังแทะเม็ดก๋วยจี๊อยู่ข้างหลังตู้ พวกเธอใช้สายตาเหยียดหยามเหลือบมองเยี่ยเทียน ถ่มเปลือกเม็ดก๋วยจี๊ในปากทิ้ง พูดขึ้น “นี่ พูดอย่างนั้นได้ยังไง? โทรศัพท์เครื่องนี้ถือว่าเล็กแล้ว ทนทานกว่ารุ่นปีก่อนๆ ตั้งเยอะ ซื้อไม่ไหวก็อย่ามาเตร็ดเตร่แถวนี้……”
คนที่เคยไปปักกิ่งเมื่อหลายปีก่อนต่างรู้กัน ว่าชนชั้นแรงงานให้ความสำคัญกับตัวเองเป็นหลัก ในสมองของพวกเขาไม่ได้มีความคิดเหมือนอย่างทางใต้ว่าลูกค้าคือเทพเจ้า ต่อให้ซื้อเยอะก็ไม่มีลดราคา คุณจะซื้อหรือไม่ ท่าทีนั้นไม่ต่างกันเท่าไหร่
ในอดีตยังมีเรื่องขำขัน ว่าพนักงานขายในห้างสรรพสินค้า หากวันไหนไม่ทะเลาะกับชาวบ้านสักแปดถึงสิบครั้ง ผู้จัดการก็ชมเชยแล้ว จะเห็นได้ว่าอุตสาหกรรมการบริการในเมืองซื่อจิ่วมีท่าทีที่แย่มาก
เยี่ยเทียนอาศัยอยู่ในปักกิ่งมาสองสามวันแล้ว รู้นิสัยใจคอคนทำงานประจำพวกนี้ดี จึงไม่นึกโกรธ เขายิ้มกล่าว “พี่สาว มีเล็กกว่านี้สักหน่อยไหมครับ?”
ปกติเยี่ยเทียนชอบใส่ชุดฝึกวิชาสีขาวที่สุด ชุดอย่างนั้นมีกระเป๋าเพียงตำแหน่งเดียว เมื่อใส่กระเป๋าสตางค์เข้าไปแล้ว ก็ยากจะใส่มือถือเข้าไปได้อีก
โบราณเขาว่าคนเงื้อมือไม่ตบคนยิ้ม แม้จะหยุดแทะเม็ดก๋วยจี๊ของตัวเองแล้ว เจ๊อ้วนคนนั้นก็ยังชี้มือชี้ไม้มาทางตู้โชว์อย่างขอไปที บอกว่า “มีรุ่นใหม่อยู่เครื่องหนึ่ง อีริคสัน768 แต่ไม่มีสินค้า เธอรออีกสองวันค่อยมาแล้วกัน……”
ในยุคนั้นคนที่มาดูโทรศัพท์มือถือ เก้าในสิบคนที่มาถามจะไม่ซื้อ เจ๊อ้วนเห็นเยี่ยเทียนไม่น่าอายุเกินยี่สิบอย่างนั้น จึงไม่เห็นเขาสำคัญแม้แต่น้อย
“พี่สาว ผมอยากซื้อจริงๆ พี่ดูหน่อยว่ายังมีเก็บในสต็อกอยู่ไหม?”
เยี่ยเทียนรู้เล่ห์กลกักตุนสินค้าพวกนี้ ที่ว่าไม่มีสินค้า ความจริงคือถูกคนภายในเอาออกไปแล้ว ขอเพียงยินดีจ่าย อยากได้เท่าไหร่ก็มีคนขายให้
“เธอจะซื้อจริงเรอะ?” เจ๊อ้วนโยนเม็ดก๋วยจี๊ในมือลงบนกระดาษหนังสือพิมพ์ จ้องพิจารณาเยี่ยเทียนอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ซื้อแน่นอน ผมหรือจะกล้าทำให้พี่เสียเวลา?”
เยี่ยเทียนแค่นหัวเราะออกมาหนึ่งเสียง ปฎิรูปเศรษฐกิจจีนมาเกือบยี่สิบปีแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะซื้อของยังต้องมาขอร้องคน ทำให้เขารู้สึกเหมือนย้อนกลับไปราวยุคที่ยังใช้ตั๋วแลกอาหารในปี 80
ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เจ๊อ้วนก็ไม่ได้ทำให้เยี่ยเทียนลำบากใจอีก ชี้ไปยังชายผอมแห้งที่นั่งยองๆ อยู่ตรงบันไดหน้าประตู พูดขึ้น “ได้ เธอไปซื้อกับเขา แล้วเดี๋ยวมาเลือกเบอร์……”
“ขอบคุณครับ……”
เยี่ยเทียนพบว่า ขณะที่ตนเองพูดคุยกับพนักงานขาย ชายผอมแห้งคนนั้นมองมาทางนี้อย่างลุกลี้ลุกลน ในใจพลันกระจ่างขึ้นมาทันที ในร้านค้าไม่มีของ ทว่าคนในมี ก็สามารถหาคำตอบได้แล้ว
แต่ว่าเส้นทางธุรกิจแต่ละประเภทล้วนมีหนทางทำกินของตัวเอง เยี่ยเทียนไม่อยากใส่ใจ เดินไปหาคนนั้นที่อยู่หน้าประตูแล้วถามขึ้น “พี่ชาย รุ่นนั้นที่เล็กที่สุด เอ่อ อีริคสัน768น่ะ พี่มีของไหม?”
“เฮ้ คุณมาหาถูกคนแล้ว มีสี่สี อยากได้สีไหนล่ะ?”
ใบหน้าของชายคนนั้นเผยความยินดี โทรศัพท์มือถือพวกนี้ขายในราคาเจ็ดพันกว่า เขาบวกราคาขึ้นอีกนิดหน่อย ถึงแม้จะต้องแบ่งส่วนให้กับที่ทำการไปรษณีย์ ก็ยังได้หลายร้อย
“สีน้ำเงินครับ ราคาเท่าไหร่? ดูสินค้าได้ที่ไหน?” เดิมทีใจเยี่ยเทียนอยากได้สีดำ แต่ว่าเขาเพิ่งเห็นจากตู้โชว์ว่าในสี่สีล้วนไม่มีสีดำ จึงเปลี่ยนใจเลือกสีรองลงมาเป็นสีน้ำเงิน
“สีน้ำเงินราคาเจ็ดพันแปดร้อยหยวน……” ชายผู้นั้นมองกระเป๋ากางเกงชุดฝึกวิชาของเยี่ยเทียนอย่างสงสัย กระเป๋าเงินที่อยู่ข้างในคงใส่เงินเยอะขนาดนั้นไม่ได้หรอกกระมัง?
เยี่ยเทียนมองไปรอบทิศ พบว่าด้านข้างมีตู้เอทีเอ็มอยู่ จึงพยักหน้า เอ่ยขึ้นทันที “ตกลง พี่ไปเอาเถอะ ผมจะไปถอนเงินเดี๋ยวนี้!”
“คุณรอสักครู่ ห้านาที แค่ห้านาทีก็เอามาได้แล้ว!” พอเห็นว่าเยี่ยเทียนต้องการซื้อจริงๆ คนผู้นั้นก็ดีอกดีใจ วันนี้นับว่าเป็นวันที่ดาวนำโชคส่องแสง ตกลงการค้าได้สำเร็จตั้งแต่เช้าตรู่
เห็นคนผู้นั้นจากไป เลี้ยวยังตรอกเล็กด้านหลังร้านค้า เยี่ยเทียนก็ถอนเงินออกมาหนึ่งหมื่นหยวนจากตู้เอทีเอ็ม นับออกมายี่สิบสองใบแล้วถือเอาไว้ในมือ
“พี่ชาย ดูสิ ยังไม่แกะกล่องเลย รับประกันว่านำเข้ามาทั้งหีบห่อ ใบรับประกันกับใบเสร็จอยู่ข้างในหมด……” คนผู้นั้นกลับมาค่อนข้างเร็ว เยี่ยเทียนถอนเงินออกมาเสร็จ เขาก็ถือถุงเดินมาหาแล้ว
“โอเค คุณนับเงินนี่นะ ผมจะไปทำบัตร……”
เยี่ยเทียนรู้ว่านี่คือรูปแบบการทำงานของที่ทำการไปรษณีย์ สินค้าไม่ปลอมแน่นอน จึงรับถุงมาแล้วส่งเงินในมือให้
คราวนี้เมื่อเยี่ยเทียนกลับไปยังตู้โชว์อีกครั้ง ใบหน้าเจ๊อ้วนคนนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ตั้งอกตั้งใจเลือกเบอร์โทรศัพท์ที่มีเลข1390แถมท้ายด้วย888 แน่นอนว่าเบอร์นี้ราคาย่อมไม่ถูก จึงรับเงินจากเยี่ยเทียนไปเต็มๆ อีกแปดร้อยหยวน
ท่ามกลางสายตาริษยาของพวกคนที่ซื้อเพจเจอร์ เยี่ยเทียนคว้าโทรศัพท์มือถือเดินออกมา แต่เขาพบว่าแทบทุกคนที่เดินอยู่บนถนนต่างก็ใช้สายตาอิจฉาริษยาจ้องตรงมายังเขา ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจที่จะใช้โทรศัพท์ตรงนั้น
จนกระทั่งเดินออกห่างจากบ้านคนมายังสวนสาธารณะเล็ก ๆ ไม่ไกลแห่งหนึ่ง เยี่ยเทียนจึงกดเบอร์โทรของพ่อ แล้วบอกหมายเลขนี้กับพ่อ
“ชิงหย่า นี่เบอร์โทรศัพท์ผม เธอบันทึกเอาไว้นะ!” โทรศัพท์ครั้งที่สอง แน่นอนว่าเยี่ยเทียนต้องโทรหาชิงหย่า
“เยี่ยเทียน น่าจะให้เธอซื้อโทรศัพท์ตั้งนานแล้ว เยี่ยมไปเลย วันนี้มีเรื่องจะเล่าให้เธอฟังพอดี……”
เสียงที่ดังมาจากโทรศัพท์ออกจะตื่นเต้น แต่ว่าจากนั้นก็ห่อเหี่ยวลงเล็กน้อย เอ่ยว่า “ช่างเถอะ ตอนนี้ฉันกำลังทำงาน เย็นนี้เธอมารับฉันหน่อยนะ ค่อยเบาใจหน่อย!”
“เอ๋ เอ๋?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น ฝั่งชิงหย่าก็วางสายเสียแล้ว แต่ว่าแปดหรือเก้าในสิบก็คงเป็นเรื่องของหัวหน้าฉีคนนั้น เยี่ยเทียนไม่ได้คิดอะไรมาก ก้าวเดินต่อแล้วเลี้ยวกลับเรือนสี่ประสาน
“ป้าครับ เงินนี่ให้ป้านะ ไปซื้อปลาให้คุณอากินหน่อย ซื้อปลาน้ำจืดล่ะ อย่าซื้อปลาทะเล……”
พอกลับถึงบ้าน เยี่ยเทียนก็เอาเงินกว่าพันหยวนส่งให้กับเยี่ยตงหลัน ตอนนี้ภายในบ้านมีคนป่วยอยู่สองคน ลำพังค่าข้าวในแต่ละวันจึงไม่น้อยเลย
“ป้ามีเงินอยู่ แกเป็นเด็กยังไม่ทำงาน เอาเงินมาให้ป้าทำไม?” คุณป้าจ้องมองเยี่ยเทียนอย่างไม่สบอารมณ์นัก กล่าวต่อ “แกเอาเงินนี่เก็บไว้เป็นเงินสำรองตัวเองเถอะ ผู้ชายน่ะออกจากบ้านต้องมีเงินติดตัว”
คุณป้าในอดีตก็มาจากครอบครัวชนชั้นสูง ในความคิดจึงไม่มีความเคยชินเรื่องการมัธยัสถ์หมั่นเพียรเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งธุรกิจของเยี่ยตงผิงก็ทำเงินได้ เวลากินดื่มปกติจึงเลือกของดีเป็นพิเศษเสมอ
“ป้าครับ ผมมีเงิน นี่เป็นเงินที่เหลือจากซื้อมือถือ……”
เยี่ยเทียนรู้จักนิสัยป้าใหญ่ดี ว่าไม่เคยเห็นเงินทองเป็นเรื่องใหญ่มาแต่ไหนแต่ไร หากเปลี่ยนเป็นพ่อเขาเห็นโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่นี้ ไม่แน่ว่าอาจจะสวดส่งเขาเป็นชุด
เยี่ยเทียนย้ายม้านั่งเล็กมานั่งข้างป้าสะใภ้เพื่อช่วยเธอลอกเปลือกถั่วลันเตา แล้วถามขึ้น “จริงสิ ป้าสะใภ้ ที่พักที่ป้าหาให้ผม หาที่เหมาะสมได้หรือยัง?”
แม้ว่าเยี่ยเทียนเองจะมีความสุขที่ได้อยู่ร่วมกับครอบครัวอย่างอบอุ่นแต่หากตัวเองยังไม่สามารถจัดการปัญหา พื้นฐาน ความต้องการในชีวิตได้ ก็ควรรักษาระยะห่างจากครอบครัวไว้ดีกว่า หากเขาเกิดมาภายใต้ดาวอับโชคล่ะ?
“เจ้าเด็กคนนี้ อยู่ด้วยกันกับครอบครัวออกจะดีไม่ใช่หรือ? รอไว้ถึงเวลาแต่งงานค่อยย้ายออกก็ยังไม่สาย…….”
คุณนายใหญ่ไม่ค่อยพอใจกับเรื่องหาห้องพักให้เยี่ยเทียนนักแต่เธอรู้ว่าหลานตนเองคนนี้มีความคิดเป็นของตัวเองตั้งแต่เด็ก ช่วงนี้เธอก็ช่วยเยี่ยเทียนเสาะหาอยู่
“ถ้าพูดถึงเรือนสี่ประสาน นับว่าโดยรอบเขตพระราชวังดีที่สุด เรือนตะวันออกบ้านเหล่าหวังก็เหมาะสมดี ลูกชายเขาไปเป็นเศรษฐีที่ประเทศอเมริกาเมื่อปี 85 กำลังเตรียมรับไปอยู่ทั้งครอบครัว……”
คุณนายใหญ่มองเยี่ยเทียน แล้วว่าต่อ “แต่ว่าเรือนสี่ประสานขนาดใหญ่นั่น แกอยู่คนเดียวจะกว้างไปหรือเปล่า? อีกอย่างข้างในมีคนเช่าอยู่ไม่น้อย ล้วนเป็นครอบครัวเก่าอยู่กันมายี่สิบสามสิบปีแล้ว ไล่ออกไปคงไม่ดีหรอก!”
ก่อนจะมีการควบคุมประชากร จำนวนพลเมืองไม่ว่าเมืองไหนๆ ในประเทศล้วนมีปริมาณสองเท่า ปักกิ่งเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น คนพวกนี้จำนวนมากไม่มีที่อยู่ รัฐบาลเองจะไม่สนใจก็ไม่ได้ ดังนั้นบ้านส่วนตัวมากมายในอดีต จึงแออัดไปด้วยครอบครัวจำนวนไม่น้อย
ถึงแม้ว่าสิทธิ์ครอบครองทรัพย์สินตัวบ้านจะเป็นของเอกชน แต่ว่าคนพวกนั้นอยู่กันมายี่สิบสามสิบปี แถมยังทำเหมือนบ้านหลังนั้นเป็นของตัวเอง ดังนั้นพอเข้าสู่ยุค90 จึงกลายเป็นคดีความมากมาย
เจ้าของบ้านแม้สามารถยืนยันได้ว่าเป็นของตนเอง แต่เหล่าผู้เช่าก็รู้จักเจรจา ตอนนั้นรัฐบาลเป็นคนจัดหาที่พักให้ตัวเอง ตอนนี้จะให้ย้ายไปก็ย่อมได้ แต่ต้องหาบ้านใหม่ให้อีกสิ?
หากใครรั้งอยู่ไม่ยอมไป เจ้าของบ้านก็จนปัญญา ด้วยเหตุนี้ปัญหาจึงยืดเยื้อต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ดูเหมือนว่าเรือนสี่ประสานทุกหลังล้วนมีปัญหาอย่างครอบครัวเหล่านี้
จะไล่คนที่อยู่มานานพวกนั้นออกไป ก็เหมือนกับการตะกายขึ้นท้องฟ้า ใครจะยอมปล่อยห้องที่จ่ายเพียงไม่กี่สิบหยวนแล้วไปเช่าห้องข้างนอกล่ะ? อีกอย่างไม่กี่สิบหยวนนี่คือหน่วยงานเป็นคนให้ จึงไม่แตกต่างอะไรกับบ้านส่วนตัวเลย
หลายปีก่อนคุณนายใหญ่ทำงานอยู่ที่ทำการชุมชน จัดการปัญหาพวกนี้มาไม่น้อย เข้าใจเรื่องภายในประตูบ้านพวกนี้ดี
หลังอธิบายเรื่องยุ่งยากภายในให้เยี่ยเทียนฟังแล้ว ป้าสะใภ้ก็เอ่ยปากต่อ “เยี่ยเทียน เหล่าหวังเองก็ให้ราคาไม่ต่ำ ต้องการถึงแปดแสนเชียว ป้าว่า……แกซื้อบ้านชานเมืองไว้ใช้สำหรับตอนแต่งงานดีกว่า เวลาปกติก็อยู่ที่นี่ บ้านเราหลังนี้ให้อยู่ถึงเจ็ดแปดคนก็ยังไม่นับว่ามากนะ”
“แปดแสนผมก็ยังซื้อไหว ป้าสะใภ้ ตอนบ่ายป้าพาผมไปดูที ถ้าเหมาะสมเราก็ค่อยซื้อ แต่ว่าพวกเรื่องขั้นตอน ป้าต้องช่วยผมจัดการนะ……”
สำหรับราคานี้เยี่ยเทียนยังพอรับได้ อีกอย่างเขาซื้อบ้านใหญ่หลังนี้ เพราะมีเจตนาจะใช้ภายในใจ
171 ดินแดนขุมทรัพย์หยินหยาง
โดย
Ink Stone_Fantasy
พระราชวังต้องห้ามเป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้กว่ายี่สิบสี่พระองค์อยู่อาศัยในราชวงศ์หมิงและชิง ตัวฮวงจุ้ยไม่ต้องพูดถึง เดิมคือเส้นทางพลังมังกรสายหนึ่งทะลุผ่านตลอดทิศใต้จรดทิศเหนือแม้ว่าฮวงจุ้ยของสิ่งก่อสร้างขนาดเล็กบางส่วน จะมีจุดผิดพลาดบ้าง แต่ยังคงการเป็นดินแดนขุมทรัพย์ฮวงจุ้ยอันหาได้ยาก
ที่เยี่ยเทียนเลือกซื้อเรือนสี่ประสานใกล้บริเวณพระราชวังต้องห้ามเป็นเพราะเขามีเหตุผลของตัวเองอยู่ในใจ เพื่อที่เขาจะได้ก่อตั้งค่ายกล เชื่อมต่อพลังชีวิตอันมหาศาลจากภายในพระราชวังต้องห้ามมาหล่อเลี้ยงร่างกายตน
“เยี่ยเทียน แกจะซื้อจริงหรือ?ที่นั่นราคาถึงแปดแสนเชียวนะ ถ้าเป็นเขตชานเมืองสามารถซื้อบ้านเดี่ยวได้เลยทีเดียว……”
ป้าใหญ่ไม่ค่อยเข้าใจการตัดสินใจของเยี่ยเทียนสักเท่าไหร่ เหล่าหวังก็กระตือรือร้นอยากขายบ้านชุดสี่ห้องทิ้งให้ได้โดยเร็ว เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไล่คนที่มาอยู่ฟรีพวกนั้นไปไม่ได้ พอเห็นทุกวันก็รู้สึกรำคาญ
“ป้าสะใภ้ ซื้อมาก็ไม่จนกรอบหรอกเดี๋ยวจะได้ปฏิรูปการเข้าอยู่ในบ้านพักแล้วไม่ใช่หรือ? ประเมินว่าราคาบ้านในปักกิ่งยังสามารถขึ้นได้อีก ตอนนี้ซื้อแปดแสน อีกหน่อยไม่แน่อาจขายได้ถึงแปดล้านเชียวนะ……”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วยิ้มออกมา ถึงแม้ว่าจะลาออกจากมหาวิทยาลัยหวาชิงแล้ว แต่เยี่ยเทียนก็นับว่าเรียนรู้สถาปัตยกรรมมาจากพื้นเพครอบครัว เมื่อมองจากสายตาผู้เชี่ยวชาญ ตลาดราคาวัสดุเพิ่มสูงขึ้นมาตลอด ราคาบ้านที่เพิ่มสูงขึ้นจึงจะต้องขยายตัวจนกลายเป็นกระแสตามมา
รัฐบาลตั้งใจที่จะสนับสนุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ให้มาผลักดันผลิตภัณฑ์มวลรวม แต่เยี่ยเทียนประเมินรัฐบาลต่ำไป เพียงสิบปีให้หลัง บ้านหลังนี้ของเขาไม่เพียงขึ้นราคาแค่สิบเท่า ทว่าราคากลับพุ่งสูงขึ้นไปหลายร้อยเท่าอย่างไม่หยุดยั้ง
“เจ้าเด็กคนนี้ คิดอะไรดีๆอยู่สินะ? ช่างเถอะ ในเมื่อแกอยากดูตอนบ่ายป้าก็จะพาไป แต่ว่าป้าบอกไว้ก่อนนะ บ้านหลังนั้นซื้อมาก็ใช้ได้เพียงครึ่งเดียว พวกที่อยู่กันมานานนั่นไม่ยอมย้ายออกหรอก……”
คนตระกูลเยี่ยนั้นดื้อรั้นกว่าใคร เห็นเยี่ยเทียนตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะซื้อ ป้าสะใภ้ไม่ทักท้วงอะไรอีก จะว่าไปหากซื้อบ้านหลังนั้นไว้ ระยะห่างที่อยู่ก็ใกล้กับที่นี่ จะเดินทางไปมาหาสู่กันนับว่าสะดวกมาก
เมื่อได้ยินคำพูดป้าสะใภ้ เยี่ยเทียนหัวเราะก่อนตอบว่า “ป้าสะใภ้ ผมจะใช้เหตุผลคุยกับพวกเขาเอง พวกเขาคงจะยอมย้ายออก……”
ในฐานะหัวหน้าที่ทำการชุมชน เยี่ยตงหลันคอยประสานความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของบ้านกับผู้อาศัยมาไม่น้อย แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นขัดแย้งกันทั้งสองฝ่าย นับแต่นั้นเธอจึงไม่ยุ่งกับปัญหาพวกนี้อีก
เห็นเยี่ยเทียนมีทีท่าแบบนั้น ป้าใหญ่เผลอยกบวบในมือขึ้นมา เคาะลงบนหัวหลานชาย พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ใช้เหตุผลคุย?หลายปีมานี้ป้าใหญ่ก็ไม่ได้ใช้อย่างอื่นนอกจากเหตุผลคุยกับพวกเขา ยังไม่ยอมย้ายออกกัน เจ้าเด็กคนนี้คิดว่าปัญหามันง่ายดายอย่างนั้นหรือ?”
เยี่ยเทียนลูบหัวตรงที่โดนเคาะพลางตอบว่า “ป้าใหญ่ วางใจเถอะ ต้องมีวิธีแน่……”
“วิธีอะไร? เราคงไม่ทำเรื่องผิดกฏหมายใช่ไหม?เยี่ยเทียน แกคงไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามใช่ไหม?” พอได้ยินหลานชายพูด ป้าใหญ่ก็ตกใจสะดุ้ง เธอรู้ว่าเยี่ยเทียนเป็นมวยวูซู หากยั้งมือไม่อยู่ลงมือกับคนอื่น ต้องเกิดเรื่องวุ่นวายแน่
ที่สำคัญ พวกคนที่ปักหลักไม่ยอมย้ายออกพวกนั้น ล้วนเป็นชาวปักกิ่งมาแต่เดิม ยอมหักไม่ยอมงอ ไม่ต่างไปจากมีดกัดเฟืองสะพานลอย หากแตะต้องพวกเขาเพียงปลายนิ้วอาจก่อให้เกิดเรื่องวุ่นวายกับครอบครัวของคุณไม่จบไม่สิ้น
“ที่ไหนกันเล่า? ป้าสะใภ้ ป้าวางใจเถอะ ผมเป็นคนอย่างนั้นหรือไง?”
เยี่ยเทียนถูกป้าใหญ่พูดใส่หัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก คนอื่นไม่มีวิธีจัดการกับผู้อยู่อาศัยพวกนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเยี่ยเทียนไม่มี เขาไม่เชื่อว่าถ้าบ้านหลังนั้นกลายเป็นบ้านผีสิง จะยังมีคนกล้าอยู่อาศัยต่ออีกหรือเปล่า?
“งั้นก็ได้ บ่ายนี้ป้าจะพาแกไปดู……” เห็นเยี่ยเทียนเหมือนมีแผนการอยู่ในใจ ป้าใหญ่จึงยอมตอบตกลง
ป้าใหญ่เองก็มีนิสัยใจร้อน หลังจากกินข้าวกลางวันกันเสร็จก็พาเยี่ยเทียนมายังเขตบ้านหลังนั้น ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของพระราชวัง
เรือนสี่ประสานที่คนอาศัยอยู่รวมกันประเภทนี้ ประตูทางเข้าเป็นแค่ของตกแต่งทรุดโทรม เมื่อไม่จำเป็นต้องเคาะ เยี่ยตงหลันจึงพาเยี่ยเทียนเดินผ่านทะลุประตูตรงเข้าไป
“เฮ้ ผู้อำนวยการ ไม่ได้เจอกันนานเลย……”
“ป้าเยี่ย แวะมาเยี่ยมเหรอ? กินข้าวกลางวันหรือยัง?”
“พี่เยี่ย ช่วงนี้ยุ่งอะไรอยู่เหรอ? ไม่เห็นพี่ไปเต้นแอโรบิกตอนเย็นเลย……”
ต้องบอกว่าอัธยาศัยของป้าใหญ่ไม่เลวเลย พอเข้าบ้านมา เสียงทักทายก็ดังขึ้นตลอดไม่ขาดสาย หากมองแค่ความกระตือรือร้นเอาใจใส่ของคนพวกนี้ ใครคงนึกไม่ถึงว่าจะเป็นพวกผู้อยู่อาศัยที่เฝ้าปักหลักไม่ยอมไป
ความจริงคนพวกนี้เหมือนกับคนทั่วไปที่เกิดในยุคสมัยที่มีแตกต่างจากอดีต นอกจากความผูกพันในที่อยู่อาศัยแล้ว อีกประการหนึ่งคือหน่วยงานรัฐเป็นผู้จัดสรรให้พวกเขาเข้ามาอาศัยที่นี่ หากจะต้องย้ายออก ทางการกลับไม่ได้สนใจอีก จึงกลายเป็นปัญหาที่สืบเนื่องกันมาเป็นเวลานาน
อีกทั้งคนบางจำพวก ยังมีนิสัยชอบตักตวงผลประโยชน์
คนพวกนี้ไม่ใช่ไม่มีเงินหรือไม่มีบ้านอยู่ แต่เพราะเห็นคนอื่นไม่ย้าย พวกเขาจึงไม่ยอมย้ายตาม ที่อยู่ในบ้านหลังนี้คือคนประเภทนี้ สองสามีภรรยาต่างมีรถขับ แต่ยังปักหลักอยู่กับที่ไม่ยอมไปไหน
เยี่ยตงหลันทักทายคนรอบข้างไปพลาง พาเยี่ยเทียนเดินทะลุทางเดินใต้หลังคา ผ่านสวนดอกไม้อันอุดมไปด้วยพืชพรรณหลากหลาย เดินผ่านประตูกลางอีกหนึ่งครั้งก็มาถึงเรือนด้านใน
“พี่หวัง อยู่บ้านหรือเปล่า?” พอเข้ามาในบ้านแล้ว ป้าสะใภ้ก็ตะโกนร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง
“ผู้อำนวยการเยี่ย คุณมาแล้วหรือ? ผมกำลังพูดอยู่เลยว่าสองวันนี้จะไปหาคุณ……” ชายชราเดินออกมาจากเรือนกลางซึ่งหันหน้าตรงเข้าหาประตูกลาง
ชายชราร่างไม่สูง เส้นผมขาวโพลนตลอดทั้งศรีษะ แต่ว่าหลังตรงอย่างยิ่ง สองตามองคนโดยไม่หลบหลีก เรือนร่างและกระดูกแข็งแรง สามารถมองออกได้ว่าในอดีตเคยเป็นเจ้าคนนายคน
“พี่เหล่าหวัง นี่คือหลานชายฉันเอง เขานี่แหละที่อยากซื้อบ้านหลังนี้ พวกเราไปคุยกันในห้องเถอะ……”
ป้าใหญ่เบาเสียงต่ำลงมาก เธอรู้ว่าคนพวกนั้นที่อยู่อาศัยเรือนข้างหน้าคอยเงี่ยหูคอยฟังบทสนทนาจากข้างใน หากรู้ว่าเหล่าหวังจะขายบ้าน ไม่แน่อาจก่อเรื่องวุ่นวายอะไรก็ได้?
“ได้ ๆ มาคุยข้างใน……”
เหล่าหวังเองรู้ว่าไม่ควรไปยั่วยุคนพวกนั้น พอต้อนรับสองคนเข้ามาในห้องเสร็จก็กล่าวขึ้น “ผู้อำนวยการเยี่ย คุณเองก็เป็นผู้อำนวยการเก่าของเขตนี้ ผมคงปิดบังคุณไม่ได้ เรื่องนี้คุณรู้อยู่แล้ว คนที่อยู่เรือนด้านหน้าและเรือนกลาง ผมไม่มีปัญญาให้พวกเขาย้ายออกจริง ๆ……”
หากเปลี่ยนคนที่มาซื้อ เหล่าหวังอาจจะไม่พูดถึงเรื่องผู้อยู่อาศัยเดิมพวกนั้น แต่ว่าผู้อำนวยการที่ทำการชุมชนมาหาถึงที่ เขารู้ว่าตัวเองปิดบังไม่ได้ จึงเปิดเผยเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา
เมื่อกลางวันเยี่ยเทียนพูดยืนกรานแล้ว ป้าสะใภ้จึงไม่ถือสาเรื่องพวกนั้นอีก เอ่ยปากว่า “พี่เหล่าหวัง เรื่องนี้ฉันรู้ ซื้อมาแล้วก็เหมือนกับซื้อเพียงบ้านด้านหลัง งั้นพี่คิดว่าราคานั้น จะไม่สูงไปหน่อยหรือ?”
เรือนด้านหลังนี้แม้จะมีสวนดอกไม้เล็กน่ารักและมีถึงแปดห้อง บรรยากาศสงบร่มเย็น แต่พื้นที่เล็กกว่าเรือนกลางมาก ที่ป้าสะใภ้พูดจึงนับว่าสมเหตุสมผล
“โธ่น้องสาว ที่พี่จะขายนี่รวมกับเรือนด้านหน้าสองเรือนนะ แปดแสนไม่ถือว่าแพงหรอก หากภายหลังสามารถไล่คนพวกนั้นออกไปได้ ที่อย่างนี้แปดแสนหาซื้อไม่ได้แล้ว……”
ได้ยินคำพูดของเยี่ยตงหลันแล้ว ชายชราก็เรียกร้องหาความเป็นธรรม แต่ป้าใหญ่ไม่หวั่นไหว ก็อดกระซิบกระซาบไม่ได้ “เอาอย่างนี้น้อง ผมจะลดให้แสนหนึ่ง เป็นเจ็ดแสน ถ้าหากตกลง พวกเราก็ไปทำเอกสารกัน ถ้าไม่ตกลง ผมก็จะปล่อยมันไว้อย่างนี้แหละ!”
ความจริงเหล่าหวังก็รู้สึกเสียดายเรือนสี่ประสานหลังนี้ แต่ว่าตอนลูกชายเขากลับมาปีที่แล้ว ด้วยเรื่องกรรมสิทธิ์ในตัวบ้าน เกิดไปวิวาทกับคนอยู่อาศัยพวกนั้นจนได้บากแผลเย็บที่ศีรษะไปเสียหลายเข็ม แล้วกลับอเมริกาไปด้วยความโมโห
นับตั้งแต่นั้นมา เหล่าหวังก็ไม่สามารถคบหาคนเหล่านั้นได้อีก จึงได้ยอมฟังคำพูดลูกชายเตรียมขายบ้านไปอเมริกา
“เสี่ยวเทียน หลานว่ายังไง?”
ได้ยินคำพูดของเหล่าหวังแล้ว เยี่ยตงหลันก็มองไปยังหลานชาย เรื่องนี้เธอไม่ใช่คนตัดสินใจ และเธอก็รู้ว่าเรื่องที่เยี่ยเทียนตัดสินใจแล้วแม้แต่น้องชายตนเองก็ไม่มีสิทธิ์
“เจ็ดแสน?” เยี่ยเทียนพึมพำเสียงต่ำอยู่สักพัก เอ่ยปากตอบ “ตกลง เจ็ดแสนก็เจ็ดแสน ผมซื้อครับ!”
ตั้งแต่เข้ามาในเรือนด้านหน้า เยี่ยเทียนก็คอยแอบสังเกตมาตลอด เพียงมองคร่าวๆก็รู้สึกถูกใจยิ่ง บ้านหลังนี้ถือว่าเยี่ยมยอด หากอยู่ในมือเขา จะจัดการอย่างไรล้วนทำได้ตามใจปรารถนา
สถานที่ตั้งของเรือนบ้านชุดสี่ห้องหลังนี้อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระราชวังต้องห้าม ตำแหน่งเกิ้นหรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือในคัมภีร์ฮวงจุ้ยเรียกว่า “ประตูผี” ซึ่งเป็นตำแหน่งอัปมงคงที่สุดตำแหน่งหนึ่ง
แต่ว่าในศาสตร์ฉีเหมิน ตำแหน่งนี้กลับเรียกว่า “ประตูเกิด” หรือเรียกอีกอย่างว่า “ประตูกลับ” หรือ “ประตูแพง” อาจารย์ฮวงจุ้ยโดยทั่วไปจะเรียกว่าเป็น “ประตูชี่”
พลังชีวิต พลังความกล้า พลังการเกิด พลังปรารถนา พลังบ้าคลั่ง เหล่านี้ล้วนเป็นการแสดงออก ถึงรูปลักษณ์ของพลังชี่ และทิศเกิ้นตะวันออกเฉียงเหนือนั้นเป็นทิศสับเปลี่ยนพลังหยินหยางพอดี เป็นสัญลักษณ์ของความลึกลับพิสดาร ยุ่งเหยิงไม่หยุดนิ่งและไม่อาจคาดเดา จึงเป็นอีกสาเหตุที่ได้ชื่อว่า “ประตูผี”
สถานที่อย่างนี้ เยี่ยเทียนเพียงใช้กลยุทธ์เล็กน้อยบางอย่าง ไม่ต้องสูญเสียพลังชี่ดั้งเดิม ก็สามารถเปลี่ยนมันให้กลายเป็นบ้านผีสิงอันชวนให้ขนลุกขนพอง ย่นระยะเวลาให้เยี่ยเทียนได้มาก
ในทางกลับกัน หลังจากที่ไล่พวก “ปักหลัก” พวกนั้นออกไปได้เยี่ยเทียนก็จะใช้ศาสตร์ค่ายกลลับที่ได้รับสืบทอดมาในความทรงจำ ขณะเดียวกันก็ยังสามารถใช้ประโยชน์จากลักษณะเฉพาะในการสับเปลี่ยนหยินหยาง ปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นดินแดนขุมทรัพย์ฮวงจุ้ย เวทมนตร์แห่งการประยุกต์ใช้นั้น อยู่ที่ความใส่ใจล้วน ๆ
พอคิดถึงข้อดีในอนาคตเมื่ออยู่ที่นี่แล้ว เยี่ยเทียนก็อยากซื้อบ้านเสียทันที พูดขึ้นขณะล้วงเอาบัตรเครดิตออกมา “ป้าใหญ่ ในบัตรใบนี้ยังมีอยู่อีกเก้าแสนกว่า ป้าดูว่าลุงเหล่าหวังมีเวลาว่างเมื่อไหร่ พวกเราค่อยไปจัดการเซ็นต์เอกสารกันอีกที……”
ก่อนปี 2000 บ้านชุดสี่ห้องยังไม่อนุญาตให้เอกชนซื้อขายกัน แต่ว่าสำหรับเยี่ยตงหลันแล้วไม่เป็นปัญหาอะไร เธอทำงานราชการในระดับล่างมานานนม ย่อมมีเส้นสายกันบ้าง
“ตอนนี้ผมก็ว่าง แต่ว่าเสี่ยวเยี่ย บ้านนี้เธอซื้อไปแล้ว อย่ามาเสียใจทีหลัง หาว่าลุงเหล่าหวังหลอกเธอเชียวล่ะ?”
เหล่าหวังอยากโยนเผือกร้อนในมือนี้ทิ้งเต็มแก่ แต่เพราะเห็นแก่หน้าผู้อำนวยการเยี่ย ถึงได้ออกปากเตือนเยี่ยเทียนสักครั้ง
“ลุงเหล่าหวัง ลุงวางใจได้ เราต่างเป็นเหมือนจิวยี่โบยอุยกาย ฝ่ายหนึ่งยอมโบยฝ่ายหนึ่งยอมทน!”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็ยิ้มออก เวลานี้ในใจเขาเบิกบานยินดี ไว้ปรับเปลี่ยนบ้านหลังนี้เสร็จเมื่อไหร่ ฮวงจุ้ยของมันจะเลิศเลอยิ่งกว่าอารามเต๋าแห่งเขาเหมาซาน
172 ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
ครอบครัวของตาแก่หวังได้เดินทางไปอเมริกาก่อนแล้ว ในประเทศเขาก็ไม่มีอะไรน่าห่วง หลังจากล็อคประตูเรียบร้อย เขาก็พร้อมไปทำโอนบ้านพร้อมกับเยี่ยเทียน
หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง เพียงแค่ดูจากการพูดคุยของเยี่ยตงหลันกับเหล่าหวังเมื่อครู่นั้น ผู้ที่อาศัยอยู่ในเรื่อนสี่ประสานทุกคนพอจะตระหนักได้ถึงบางสิ่ง
เมื่อเยี่ยเทียนและเยี่ยตงหลันเดินผ่านลานหน้าบ้านออกไป คนเหล่านั้นก็ไม่ได้กระตือรือร้นเหมือนที่เคย ต่างก็หรี่ตามองเยี่ยเทียนและเหล่าหวังโถวด้วยสายตาประสงค์ร้าย
“เจ้าแก่นั่นจะขายบ้านแล้วหรือ”
“ใช่ เมื่อกี้ฉันได้ยินมาว่าจะขายแล้ว ต้องใช่แน่ๆ”
“เราก็ยังไม่ได้ตกลงนะ เขากล้าขายบ้านได้ยังไง”
“เอาเถอะ ถึงแม้ว่าเราอาศัยอยู่ที่นี่ แต่บัตรรับรองอะไรก็ไม่มี พวกเราจะทำอะไรได้ล่ะ”
เมื่อตาแก่หวังเพิ่งเดินออกไปจากเรือนสี่ประสานแห่งนี้พร้อมด้วยเยี่ยเทียนและเยี่ยตงหลัน คนอื่นๆเกิดความตื่นตระหนกเกี่ยวกับอนาคตที่อยู่ของตน ต่างหน้าเสียไปตามๆกัน
“คุณจาง คุณสองคนมีความรู้เยอะ บอกหน่อยสิเรื่องนี้ต้องทำยังไงดีครับ”
คุณจางมีอายุประมาณสามสิบแปดหรือสามสิบเก้าปี เคยเข้าคุกหลายปี เพราะคดีทะเลาะวิวาท เมื่อพ้นคุกยังไม่มีงานทำ จึงเริ่มทำการค้าขายเล็กๆกับภรรยาของเขา โดยไม่คาดคิดว่าตนจะร่ำรวยขึ้น
แต่สามีภรรยาคู่นี้มีนิสัยชอบเอาเปรียบและไม่รู้จักพอ ทั้งสองพอมีรถขับและซื้อบ้านสองหลังเอาไว้ที่อื่น แต่ก็ให้เช่าออกไปทั้งหมด ส่วนพวกเขาตนเองยังพักอยู่ที่บ้านชุดสี่ห้องนี้ไม่ยอมย้ายออก เป็นผู้ที่ขึ้นชื่อเรื่องความใจคดที่สุดผู้หนึ่งในบ้านชุดสี่ห้องแห่งนี้
“ตาอู๋ คุณรีบร้อนอะไรหนักหนาครับ”
ได้ยินคำพูดของบุคคลในบ้านชุดสี่ห้องนี้ จางเม่าเบะปาก แล้วตอบว่า “ไม่ว่าบ้านนี้จะขายหรือไม่ พวกเราก็เป็นคนที่รัฐบาลสั่งให้มาอาศัยอยู่ที่นี่นะรัฐบาลไม่ให้เราบ้านใหม่ เราก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น แม้ว่าคนนั้นจะมีความสัมพันธ์กับผู้อำนวยการเยี่ย ก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้”
พ่อของจางเม่าเมื่อก่อนเป็นผู้นำของพรรคต่อต้านในเขตนี้ ทั้งๆที่ช่วงปลายทศวรรษที่เจ็ดสิบเขาตายไปแล้ว แต่ยังแย่งชิงพื้นที่หนึ่งในสามของเขตเรือนมอบไว้ให้ลูกชาย ซึ่งมีขนาดเท่ากับสามห้องนอนใหญ่รวมกัน
บ้านชุดสี่ห้องหลังนี้มีสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่ดี เข้าออกก็สะดวก พักอยู่ที่นี่ก็อบอุ่นในฤดูหนาวและเย็นสบายในฤดูร้อน จางเมาไม่ยอมย้ายออกอย่างแน่นอน เขายังคิดว่าจะหาเส้นสายในวงราชการช่วยทำหนังสือรับรองอสังหาริมทรัพย์กับตน
“ใช่ ๆ ไม่ว่าบ้านชุดสี่ห้องนี้เป็นของใคร เราจะไม่ยอมย้ายบ้านเด็ดขาด”
“เสี่ยวจางพูดมีเหตุผล นี่ต้องให้รัฐบาลจัดการนะ จะให้เราไปนอนอยู่ข้างถนนไม่ได้หรอก”
คำพูดของจางเม่าเหมือนทำให้ทุกคนเกิดความคิดขึ้น หลายปีผ่านมานี้ พวกเขาทำเช่นนี้มาโดยตลอด ที่ให้จางเมาก็ออกหน้าเพียงแค่อยากหาผู้เล่นกองหน้าให้เท่านั้นเอง
“เสี่ยวเยี่ย คุณต้องคิดดีๆนะ คนกลุ่มนั้นเป็นคนเซ้าซี้ไม่ยอมความง่ายๆ…”
หลังจากเดินออกจากบ้านชุดสี่ห้อง ก็ได้ยินมีเสียงร้องเอะอะโวยวายดังขึ้นไล่หลังมา ตาแก่หวังเดาได้ทันทีว่าพวกนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ จึงเตือนเยี่ยเทียนอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
ถึงแม้ว่าตาแก่หวังกับเยี่ยเทียนก็ไม่มีสัมพันธ์อะไร แต่ว่าผู้อำนวยเยี่ยเป็นเพื่อนของเขาหลายสิบปีแล้ว หากเกิดเรื่องใหญ่โตที่ควบคุมไม่อยู่ ภายหน้าเมื่อตนกลับจากอเมริกาอีกครั้ง ก็คงไม่มีหน้าไปพบเยี่ยตงหลันอีกแล้ว
เยี่ยเทียนหัวเราะ โบกมือกล่าวว่า “ลุงเหล่าหวัง ลุงไม่ต้องเป็นห่วง สำหรับเรื่องนี้ผมคิดเรียบร้อยนานมาแล้ว เมื่อถึงเวลาผมไปตักเตือนโน้มน้าวพวกเขาอย่างดี พวกเขาน่าจะย้ายออกไปแน่”
“ย้ายออก?”
ดูท่าทางของเยี่ยเทียนเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ตาแก่หวังส่ายหัวอย่างอดไม่ได้ หวังให้พวกเขาย้ายออกไปเอง คงต้องรอจนกว่าดอกไม้เหล็กจะผลิบานกระมัง
เห็นสายตาของตาแก่หวังแล้ว หญิงชราก็ยิ้มแห้งกล่าวว่า “ไปเถอะ พี่หวัง เสี่ยวเทียนมีความคิดเห็นของตนเองเสมอ เรื่องของเขาแม้แต่พ่อของเขาก็ไม่สามารถตัดสินใจได้….”
“เอาเถอะ ผมพูดทุกอย่างที่ควรพูดแล้ว จะเชื่อหรือไม่ก็เป็นเรื่องของคุณ”
ได้ยินผู้อำนวยเยี่ยพูดอย่างนี้ ตาแก่หวังไม่ปริปากพูดอะไรอีก ดังนั้นถึงแม้คนบ้านเยี่ยไม่พอใจวันหลัง จะมากล่าวโทษตัวเองไม่ได้หรอก
ธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ในยุคทศวรรษ1990 ยังไม่ยุ่งยากซับซ้อนเหมือนเมื่อก่อน หลังจากการลงนามในสัญญาที่สำนักงานเขตท้องที่ที่อยู่อาศัยแล้ว เยี่ยเทียนได้เงินจ่ายสองแสนหยวนให้เหล่าหวังโถงเป็นเงินมัดจำ แล้วรอสำนักงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบโครงสร้างบ้านและเขียนแบบ แล้วถึงจะทำการรับโอนได้
เยี่ยตงหลันและตาแก่หวังเคยมีปฏิสัมพันธ์กันมาก่อน ในวันรุ่งขึ้นจะมีคนไปวัดที่ดินของบ้านชุดสี่ห้องหลังนั้นเรียบร้อยแล้ว เรื่องการซื้อขายบ้านก็ถือว่าเสร็จสิ้น ทั้งสองฝ่ายจึงกลับบ้านไปโดยไม่ได้คุยอะไรกันอีก
“เยี่ยเทียน เยี่ยเทียน ป้าใหญ่ อยู่ที่ไหนกันคะ”
เพิ่งกลับที่บ้านของตนเอง อวี๋ชิงหย่าตรงรี่เข้ามาเหมือนผีเสื้อตัวหนึ่ง จับมือของเยี่ยเทียนไว้แน่น แต่ว่าเมื่อเห็นเยี่ยตงหลันที่อยู่ข้างๆ เธอก็เขินอายหน้าแดงอย่างไม่รู้ตัว
“เสี่ยวหย่า เย็นนี้อยากกินอะไรจ้ะป้าใหญ่ไปทำให้นะ…”
เธอมองดูสาวน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้า เยี่ยตงหลันรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง หน้าตาสะสวยเอวเล็กสะโพกใหญ่ วันหลังจะได้สามารถคลอดลูกเยอะแยะให้บ้านเยี่ยแน่นอน
ถึงแม้ว่าป้าใหญ่ชอบวางแผนครอบครัวให้ผู้อื่นประจำเป็นงานอดิเรก แต่ถ้าเป็นครอบครัวตนเอง การมีลูกหลานเต็มบ้านเป็นเรื่องดีเป็นธรรมดา
“ป้าใหญ่ อะไรก็ได้ค่ะ ฉันมีธุระต้องคุยกับเยี่ยเทียนนะคะ…” ดูสายตาของคุณป้าท่านนี้ อวี๋ชิงหย่ารู้สึกหวาดเกรงโดยไม่มีเหตุผล แล้วก็รีบลากเยี่ยเทียนไปที่ลานหลังเรือน
เห็นอวี๋ชิงหย่ามีท่าทางดีอกดีใจ ที่จริงเยี่ยเทียนพอเดาออกบ้างแล้วแต่ก็ถามอย่างจงใจว่า ทำไมตื่นเต้นอย่างนี้ถูกรางวัลใหญ่หรือยังไง
“นายลองทายดูสิ ดีใจกว่าถูกรางวัลใหญ่เสียอีก” อวี๋ชิงหย่ากล่าวทั้งรอยยิ้ม
เยี่ยเทียนทำท่าหน้างุนงงไม่รู้เรื่อง แล้วกล่าวว่า “งั้นก็คือถูกรางวัลที่ยิ่งใหญ่กว่างั้นเหรอ?”
“นายบื้อ รู้แต่ถูกรางวัล ครั้งที่แล้วนายซื้อล็อตเตอรีมาตั้งเยอะไม่เห็นถูกสักใบเลยนี่…”
อวี๋ชิงหย่ารู้สึกหงุดหงิดกับคำตอบกวนประสาทของแฟนหนุ่ม หยิกเข้าที่เอวของเยี่ยเทียนอย่างแรง แล้วก็กล่าวว่า “เจ้าอ้วนฉีซวยแล้ว ไม่เพียงแค่สูญเสียตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงาน ยังถูกไล่ออกจากราชการด้วย”
สำหรับอวี๋ชิงหย่า ชายที่เซ้าซี้ตนเองนานกว่าสองเดือน ในที่สุดเขาก็ทำชั่วได้ชั่ว เป็นเรื่องที่น่าสะใจอย่างมาก ซึ่งเมื่อเลิกงานแล้วเธอก็รีบกลับบ้านเพื่อบอกข่าวดีให้เยี่ยเทียนรับรู้
“หืม? เกิดอะไรขึ้น เธอเล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ…”
วันนี้งานยุ่งทั้งวัน ซึ่งเยี่ยเทียนเกือบลืมเรื่องของเจ้าอ้วนฉีไปแล้ว พอได้ยินอวี๋ชิงหย่าพูดถึงเรื่องนี้ ก็เกิดความสนใจ เขาใช้ห้าผีนำโชคครั้งแรก จึงยังไม่รู้ประสิทธิภาพของมัน
“ฉันบอกให้นะ วันนี้เจ้าอ้วนฉีมาที่ช่องตั้งแต่เช้า แต่ถูกผู้อำนวยการช่องเรียกออกไป ฉันฟังจากพี่เสี่ยเหลียน…”
ถึงแม้ว่าอวี๋ชิงหย่าเป็นคนใจดี แต่เป็นโชคร้ายของคนที่หาเรื่องเธอบ่อยๆอย่างเจ้าอ้วนฉีที่หาเรื่องใส่ตัวเอง เธอเล่าให้เยี่ยเทียนฟังอย่างมีชีวิตชีวา
ที่แท้ ฉีอี้ถูกตำรวจจับขังคุกทั้งคืน เขาได้ทราบเรื่องเมื่อวันก่อน แต่คิดว่าตนเป็นคนที่ทำงานหนักและมีผลงานในช่อง จึงวางแผนว่า เมื่อกลับไปที่ช่องแล้ว เขาจะพูดปกแก้ต่างเพื่อเอาตัวรอดโดยเขียนใบสารภาพความผิดของตน
เพียงแต่ผู้อำนวยการฉีไม่คาดคิดว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สั่นคลอนแผนกบริหารของสถานีโทรทัศน์แล้ว มีผู้บริหารท่านหนึ่งในคณะกรรมการการบริหารวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์พูดว่า สำหรับแกะดำแบบบี้ ต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง
เพราะฉะนั้น ยังไม่ทันรอให้ใบสารภาพความผิดของผู้อำนวยฉีส่งขึ้นไป ตัวเขาก็ถูกผู้บริหารของช่องเรียกไป หลังจากการตวาดสั่งสอนรุนแรงอย่างพายุกระหน่ำ จากนั้นหนังสือเลิกจ้างก็ถูกโยนไว้ตรงหน้าฉีอี้
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ไกลเกินความคาดหมายของผู้อำนวยการฉี ประกอบกับเมื่อวานนี้เขาไม่ได้นอนทั้งคืน จึงเป็นลมหมดสติในสำนักงานของผู้อำนวยการของช่อง ทำให้คนทั้งออฟฟิศวุ่นวายไปหมดด
เมื่อมีการเคลื่อนไหวใหญ่โตอย่างนี้ ไม่ถึงสองชั่วโมง พนักงานในช่องรู้กันหมดแล้ว แถมท่าทางเด็ดขาดของผู้บริหารที่ฉีอี้ถูกไล่ออก แล้วค่อยแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานคนใหม่ภายหลัง
ผู้อำนวยการสำนักงานคนใหม่เป็นผู้หญิง เริ่มผูกมิตรกับพนักงานอื่นทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง และทำรายงานของอวี๋ชิงหย่าและนักศึกษาฝึกงานคนอื่นๆออกมา นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญหนึ่งที่ทำให้อวี๋ชิงหย่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
“เยี่ยเทียน ขอบใจเธอมาก…”
หลังจากเล่าเรื่องราวจบ อวี๋ชิงหย่าก็จับมือของเยี่ยเทียนอย่างแรง แนบร่างครึ่งหนึ่งเคียงเคล้ากันไป ถึงแม้ว่าเยี่ยเทียนไม่ได้พูดอะไรกับเธอ แต่คนฉลาดอย่างอวี๋ชิงหย่า รู้ได้ทันทีว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของเยี่ยเทียน
“ขอบคุณอะไรฉันเล่า โบราณว่าไว้ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ผมของกรรมจะสนองก็ต่อเมื่อถึงเวลานั่นเอง”
เยี่ยเทียนนึกถึงสีหน้าของหน้าอ้วนๆของผู้อำนวยการฉีอี้ แล้วอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ ถึงกล้ามีความคิดที่ไม่ซื่อต่อแฟนสาวของหมอดูฮวงจุ้ยคนนี้ ถือว่ามารนหาที่ตายเอาเอง
อีกอย่างด้วยฤทธิ์ของห้าผีนำโชคของเยี่ยเทียน หลังจากถูกไล่ออกจากราชการ เจ้าอ้วนฉีจะต้องป่วยหนักอย่างน้อยหนึ่งครั้ง โชคลาภในสามหรือห้าปีนี้จะแย่มาก ๆ
แต่ว่าต่อให้เจ้าอ้วนฉีโชคร้ายไปอีกสิบเท่า เยียเทียนจะไม่มีทางสงสารเขาแม้แต่นิดเดียว สวรรค์กว้างใหญ่ แต่มิรอผู้ใด เยี่ยเทียนไม่ได้ไปถึงบ้านเจ้าอ้วนฉีเพื่อวางฮวงจุ้ยพิฆาตให้กระทบลูกหลานของเขาก็นับว่าเป็นความเมตตาของเยี่ยเทียนแล้ว
…………-
ในกลางคืน หลังจากรอเยี่ยตงผิงกับหลิวเหวยอันและคนอื่นๆกลับ เยี่ยตงหลันพูดเรื่องเยี่ยเทียนซื้อบ้านออกมาบนโต๊ะทานข้าว แม้ว่าเยี่ยตงผิงรู้สึกไม่พอดีต่อความติดสินใจของลูก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
เยี่ยตงผิงรู้อยู่แล้ว ลูกของเขาคนนี้ไม่เหมือนกับเด็กวัยเดียวกัน ตั้งแต่เด็กๆไม่ว่าจะทำอะไร ก็ไม่เคยเสียเปรียบอะไร คนอื่นเอาพวกเหล่าไล่ไม่ได้ แต่ก็ไม่แสดงว่าเยี่ยเทียนก็ไม่ได้
เหล่าหวังโถว เจ้าของเก่าของบ้านชุดสี่ห้องนี้ อาจจะเสียใจจริงๆต่อบ้านหลังนี้้ที่เขาอยู่อาศัยหลายสิบปี เมื่อวันที่สาม ก็จัดการส่งสัมภาระบางส่วนของตนไปยังอเมริกา เขาเองก็ย้ายออกไป แล้วมอบุกุญแจให้เยี่ยเทียน
โดยมีเยี่ยตงหลันเป็นเพื่อน เยี่ยเทียนมาที่บ้านชุดสี่ห้องอีกครั้ง เวลาที่เขาเลือกคือหนึ่งทุ่ม คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็ประมาณอยู่ที่บ้านทั้งหมด
“เพื่อนบ้านทั้งหลาย ผมชื่อเยี่ยเทียน ลุงเหล่าหวังก็ขายบ้านนี้ให้ผมแล้ว ตั้งแต่นี้ไป ผมก็เป็นเจ้าของบ้านชุดสี่หลังนี้อย่างเป็นทางการ…”
การพูดเปิดฉากของเยี่ยเทียนทำให้หญิงชราเป็นห่วงเล็กน้อย ทำไมเด็กคนนี้พูดตรงไปตรงมาอย่างนั้นอะ
“เสี่ยวจี คำพูดของคุณ คืออยากให้พวกเราย้ายออกไปหรือไง”
จริงอย่างที่คาดคิด คำพูดของเยี่ยเทียนเหล่านี้ทำให้พวกเขาไม่พอใจ จางโมที่ชอบเดินแถวหน้าก่อเรื่องทุกๆครั้ง ก็เอ่ยปากสอบสวนขึ้นมา
173 ย้ายบ้าน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ก่อนที่เยี่ยเทียนมาถึง คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ได้มีการประชุมกันเล็กน้อย รวมความคิดเห็นของทุกคนให้เป็นหนึ่งเดียว โดยให้จางเม่าเป็นหัวโจกในการต่อต้าน ส่วนคนอื่นๆเป็นทัพหลังคอยเสริม เพื่อทำให้เจ้าของบ้านคนใหม่หวาดหวั่น
สำหรับการต่อต้านในลักษณะนี้ เกิดขึ้นในเรือนสี่ประสานแห่งนี้นับครั้งไม่ถ้วน ทุกคนต่างมีประสบการณ์โชกโชน เมื่อนายจางเพิ่งกล่าวสุนทรพจน์เสร็จ ชายชราอายุประมาณห้าสิบปีท่านหนึ่งพูดต่อว่า “เสี่ยวโห่จี ที่นี่คือรัฐบาลให้เราเข้ามาอาศัย ถ้ามีเรื่องอะไรก็ไปคุยกับรัฐบาลเถอะ พวกเราจะไม่ย้ายออก”
“ใช่แล้ว คุณปู่ของฉันเสียชีวิตลงในบ้านหลังนี้ คุณจะให้พวกเราย้ายไปอยู่ที่ไหนล่ะ”
“เสี่ยวโห่จี เวลาคุณซื้อบ้านต้องสอบสวนอย่างชัดเจนนะ คุณถูกตาแก่หวังเขาหลอกเข้าแล้ว”
“ไม่ว่ายังไงที่นี่ก็เป็นบ้านของพวกเรา อยากให้เราย้ายออก ก็ต้องบ้านใหม่ให้พวกเราด้วย”
คำพูดของชายชราคนนี้ทำให้ผู้พักอาศัยพากันโวยวายทักท้วง ทุกคนต่างจ้องมองเยี่ยเทียนด้วยสายตาความเกลียดชัง โดยเฉพราะนายจางที่ทั้งต่อว่าเสียงดังทั้งกำลังม้วนแขนเสื้อขึ้นท่าทางคุกคาม ดูเหมือนทั้งสองฝ่ายจะวางมวยใส่กัน
ผู้พักอาศัยในเรือนสี่ประสาน มีทั้งคนแก่อายุหกสิบถึงเจ็ดสิบปี มีทารกที่ถูกห่อตัวด้วยผ้าห่ม พวกเขาไม่กลัวเยี่ยเทียนจะเอาเรื่อง ถ้าหากว่าเยี่ยเทียนกล้าตอบโต้ จะเป็นการเข้าทางของพวกเขาทันที
เยี่ยเทียนควบคุมสถานการณ์ไม่ค่อยได้แล้ว ป้าใหญ่ก้าวออกมาแล้วก่นด่าเสียงดัง “ทำอะไรน่ะ พวกคุณจะทำอะไรนี่เป็นบ้านของคนอื่น การที่ให้พวกคุณได้พักอาศัยก็ดีพออยู่แล้ว คุณจาง คุณกล้าลงมือทำร้ายพวกเราหรือ?”
“ป้าเยี่ย ผมกล้าทำที่ไหนล่ะ ผมเพียงแต่พูดเหตุผลไม่ใช่หรือ”
ทำงานที่เส้นทางนี้ตลอดหลายสิบปี ป้าใหญ่ยังเป็นผู้ที่ได้รับการนับหน้าถือตา พอถูกเธอตะโกนต่อว่า นายจางก็งอหดหัวกลับไป ตอนที่เขาถูกจับเข้าคุกป้าใหญ่คนนี้ช่วยดูแลภรรยาและลูกเขาเป็นอย่างดี
“พี่เยี่ยก็ไม่ควรทำอย่างนี้นะ เมื่อก่อนพวกเราไม่ได้เป็นฝ่ายมาขออาศัยที่บ้านหลังนี้แต่หน่วยงานรัฐต่างหากที่จัดสรรให้ ตอนนี้พอเปลี่ยนเจ้าของแล้วอยากให้เราย้ายออก ครอบครัวเราจะย้ายไปไหนได้ล่ะ”
เห็นนายจางหลบไปอยู่ด้านหลังแล้ว ตาแก่อู๋จึงยืนขึ้นพูดว่า “เมื่อก่อนฝ่ายการทางทำถนนได้มาประสานเรื่องบ้านเรือน พวกเขาก็ทำแบบนี้ตลอด”
“อะแฮ่ม…”
เห็นกลุ่มคนเงียบไป เยี่ยเทียนไอหนึ่งครั้ง ใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วก็พูดว่า คุณลุงคุณป้าทุกท่าน และพี่ๆทั้งหลาย ให้ผมพูดจบก่อนไม่ได้หรือ พวกเราทะเลาะกันอย่างนี้ไม่มีประโยชน์”
“คุณจะพูดอะไรก็ได้นี่ เพราะอยากให้พวกเราย้ายบ้านไม่ใช่หรือ” นายจางที่หลบอยู่ที่ข้างหลังของกลุ่มคนตะโกนขึ้น
“ผมอยากให้ทุกคนย้ายบ้านก็จริง เพราะผมจ่ายเงินซื้อบ้านหลังนี้มา” เมื่อเยียเทียนพูดอย่างนี้ ผู้พักอาศัยในเรือนสี่ประสานยิ่งโวยวายเสียงดัง
“ทุกคนใจเย็นๆ ฟังผมพูดให้จบก่อนครับ”
เยี่ยเทียนยื่นมือแล้วโบกมือกล่าวว่าต่อ “ผมรู้ว่าทุกคนอาศัยอยู่ที่นี่ตั้งหลายปี จึงรู้สึกผูกพัน เพราะฉะนั้นผมตัดสินใจว่า คนที่ไม่มีที่ไป ก็ยังอาศัยอยู่ที่นี้ต่อไปได้ชั่วคราว”
“อะไรนะ?”
“เสี่ยวโหจี คุณพูดจริงใช่ไหม”
“ไม่ไล่พวกเราไปหรือ?”
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนี้ ผู้พักอาศัยงุนงงไปหมด พวกเขาคิดแผนการตอบโต้ต่างๆมากมาย แต่ไม่คาดว่า การมาเยี่ยเทียนในครั้งนี้ ไม่ใช่มาเร่งไล่พวกเขาให้ย้ายออก
“อยู่ที่นี่ชั่วคราว งั้นชั่วคราวคือนานแค่ไหนลูกของผมยังจะเตรียมแต่งงานที่นี่ด้วย”
เสียงแปร่งๆของนายจางดังขึ้น เพราะในบ้านชุดแห่งนี้มีสามครอบครัวซื้อบ้านที่ข้างนอก นายจางก็เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งพอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน หมายความว่าคนเหล่านี้ที่มีบ้านอยู่ก็ต้องย้ายออกไป แต่เขาจะไม่ยอมอย่างแน่นอน
“ผมอยากเปิดประตูที่ลานหลังเรือน แล้วสร้างเป็นโรงแรมเรือนสี่ประสาน ในเมื่อไม่มีคนอยากย้ายไป งั้นก็อยู่ก่อนเถอะ ส่วนเรื่องงานแต่งงานของลูกชายคุณ จะต้องรออีกสิบกว่าปีไม่ใช่หรือ”
ได้ยินคำพูดของนายจาง เยี่ยเทียนหัวเราะขึ้น แต่ว่าคำพูดเหล่านั้นกลับเปิดเผยข้อมูลให้คนเหล่านี้
ความหมายชั้นแรกของคำพูดเยี่ยเทียนคือจะใช้พื้นที่ของเรือนด้านหลังดัดแปลงสร้างเป็นโรงแรม ในเมืองปักกิ่งมีคนธุรกิจแบบนี้อยู่ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากต่างถิ่นโดยเฉพราะ เป็นธุรกิจที่กำลังเฟื่องฟู
ในเรือนด้านหลังมีจำนวนแปดห้อง ถ้าเปลี่ยนมาสร้างเป็นหกห้องนอน ราคาวันละสองร้อยหยวนต่อห้อง ในเดือนๆหนึ่งจะได้รายได้ถึงหลายหมื่นหยวนเลยทีเดียว
ความหมายที่สองของคำพูดเยี่ยเทียน คืออยากให้ผู้อยู่อาศัยทุกคนโล่งใจ เพราะเยี่ยเทียนไม่ได้จะมาไล่พวกเขาไป เมื่อสักครู่นายจางท้าท้ายถึงขนาดนั้นแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่ได้ถือโทษโกรธอะไร ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็นความจริง
“น้องเยี่ย คุณเป็นคนดี จริงใจ ถ้าวันหลังมีเรื่องอะไรต้องการความช่วยเหลือง ก็มาหาพี่จางคนนี้ได้เลย”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน นายจางตะโกนออกมา แต่ว่าครั้งนี้เขาพูดออกเป็นคำที่ดี แค่ไม่ไล่เขาไป ให้อยู่อาศัยที่นี่ต่อไป จะพูดดีด้วยหน่อยก็สมควร
“เสี่ยวเยี่ยเป็นคนดี คุณไม่ต้องห่วง หากวันหลังโรงแรมเปิดขึ้นมา พวกเราจะช่วยดูแลให้นะ…”
“นั่นน่ะสิ คราวหน้าถ้าญาติผมมาปักกิ่ง ให้พักอยู่ที่นี่แหละ สะดวกดี…”
บรรยากาศความตึงเครียดในลานเมื่อสักครู่นี้ผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนทุกคนกลัวว่าเยี่ยเทียนจะเสียใจในภายหลัง จึงพูดดีเข้าหา อลุ้มอล่วยโอนอ่อนให้เจ้าของบ้านคนใหม่
นักธุรกิจ สิ่งที่สำคัญคือความสามัคคีและความมั่งคั่ง คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้ทุกคนเข้าใจว่า เยี่ยเทียนกลัวว่าพวกผู้อยู่อาศัยจะกลั่นแกล้ง ทำให้ธุรกิจดำเนินไม่ดี พอเยี่ยเทียนพูดจบพวกผู้อยู่อาศัยถึงได้วางใจกลับไป
“ทุกคนแยกย้ายกันไปเถอะ ผมจะหาใครสักคนมาเก็บกวาดเรือนด้านหลังเสียหน่อย กองขยะของใช้แล้วเยอะแยะเหลือเกิน…”
เมื่อได้ข้อสรุปผู้อาศัยทุกคนก็แยกย้ายกลับห้องพักของตัวเองไป เหลือเพียงนายจางและคนอีกไม่กี่คนที่ยังยืนอยู่ที่ลานบ้าน เพื่อรอเยี่ยเทียนหาช่างก่อสร้างมา พวกเขาอยากดูว่าเจ้าหนุ่มคนนี้จะเปลี่ยนเรือนด้านหลังให้เป็นโรงแรมจริงหรือ
“เยี่ยเทียน หลานจะเปิดโรงแรมจริงหรือ?”
หลังจากเดินออกจากประตูใหญ่เรือนสี่ประสานแล้ว ป้าใหญ่ถามอย่างไม่แน่ใจ หลานชายคนนี้ของตนมีความคิดลึกซึ้งเกินไป จะคิดทำการอะไรก็ไม่ปรึกษาผู้ใหญ่ เธอดูไม่ออกว่าเยี่ยเทียนกำลังคิดอะไรอยู่
“ป้าใหญ่ เรื่องนี้เอาไว้เราค่อยพูดกันวันหลัง ข้าวของบางส่วนที่ไม่มีประโชชน์ของลุงเหล่าหวัง ผมจะไปหามารับซื้อไป…”
เยี่ยเทียนฟังแล้วยิ้ม เปิดโรงแรม?พูดเล่นอะไร?สถานที่แห่งนี้ฮวงจุ้ยดีมาก ทำไมไม่ใช้อยู่เอง มีหรือจะส่งต่อให้คนอื่นๆ?
ตอนนี้เกือบจะสองทุมแล้ว ป้าใหญ่เป็นคนกว้างขวางในย่านนี้ จึงพอจะหาบริษัทย้ายบ้านที่อยู่ละแวกใกล้เคียงมาช่วยขนของออกไปทิ้ง ชายหนุ่มห้าหกคนขับรถตามเยี่ยเทียนเข้าไปเรือนสี่ประสาน
“เสี่ยวเยี่ย พวกเรามาช่วยนะ…”
“ใช่แล้ว วันหลังก็เป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว มีเรื่องอะไรให้ช่วยบอกได้เลย …”
เยี่ยเทียนและพวกเพิ่งเดินเข้าไปถึงลานบ้าน นายจางและคนอื่นๆที่รออยู่เดินออกมา พวกเขาก็ไม่ค่อยวางใจเพราะ กลัวเยี่ยเทียนจะออกอุบายชั่วอะไร
“ได้ เข้าไปด้วยกันทุกคนเลย พวกหม้อจานกระทะช้อนและของที่ไม่ใช้แล้ว ทุกคนเอาไปกลับบ้านใช้ได้เลย…”
เยี่ยเทียนโบกมืออย่างใจกว้าง ได้ยินว่ามีอีกหลายคนที่อยู่ในละแวกนั้นอยากเข้ามาเหมือนกัน ถึงแม้ว่าของใช้พวกนี้ไม่มีค่า แต่นิสัยชอบของฟรีใครๆก็เป็น ของที่ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อหยิบได้ยิ่งเยอะยิ่งดี
ในฐานะเจ้าของ ตาแก่หวังได้ครอบครองเรือนด้านหลังไว้ทั้งหมด กินพื้นที่กว้างขวางกว่าเรือนหน้าและเรือนกลาง เขาอยู่ที่นี่หลายสิบปี ได้สะสมข้าวของไว้ไม่น้อย ของใช้เก่าเก็บกองเกลื่อนกินพื้นที่ไปครึ่งหนึ่งของลานบ้าน
“พี่ชาย ของพวกนี้ก็ยกขึ้นไปที่รถเถอะ แล้วก็เตียงโต๊ะและเก้าอี้ที่อยู่ในห้องก็ไม่เอาแล้วนะ ใครอยากได้ก็เอากลับไปได้เลย…”
เยี่ยเทียนเคยดูสิ่งของที่อยู่ในบ้านเหล่าหวังโถว แค่ชุดโต๊ะแปดเซียนและเก้านี้ไม้แดงหวงฮวาหลีสองตัวเท่านั้นดูดี แต่เครื่องเรือนดังกล่าวถูกเจ้าของเก่าขนออกไปเรียบร้อยแล้ว ข้าวของที่เหลืออยู่เป็นของไร้ค่าไม่มีราคาทั้งหมด
“นี่ เสี่ยวเยี่ย ของพวกนี้ถ้าคุณไม่เอา พวกเราขอนะ…”
ได้ยินเยี่ยเทียนว่าจะขนของที่อยู่ในบ้านและลานบ้านเอาไปทิ้ง พวกผู้อาศัยที่เดินตามหลังเข้ามาพากันตาลุกวาวทันที ไม่ใช่ทุกครอบครัวรวยเหมือนนายจาง โต๊ะเก้าอี้เหล่านี้ถึงเก่าไปหน่อย แต่ถ้าได้เอากลับไปใช้ได้อีกเป็นสิบปีก็ไม่มีปัญหา
“ได้ครับ พวกคุณตกลงกันเอาเอง ขอแค่อย่าพังบ้านผมก็พอ ของที่เหลือพวกคุณอยากได้ก็เอาไปเถอะ…”
คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้ทุกคนนี้ตื่นเต้น พวกเขารู้อยู่แล้ว ในห้องทั้งแปดที่นี่ เมื่อก่อนตาแก่หวังใช้สี่ห้องเป็นห้องเช่า อีกสองห้องเก็บไว้เพื่อลูกหลานกลับมาอยู่
หมายความว่าเครื่องเรือนในทุกๆห้องพวกเขาสามารถนำกลับไปได้โดยที่เยี่ยเทียนอนุญาตแล้ว พวกเข้าเห็นเข้าทีพสกันวิ่งเข้าไปแก่งแย่งข้าวของ บางคนรีบวิ่งกลับบ้านไปชวนภรรยามาช่วยขนข้าวของด้วย
เพียงไม่กี่นาที ทั้งเรือนหน้าและเรือนกลาง มีฝูงชนหลั่งไหลเข้ามาแออัดยัดเยียดแย่งข้าวของกัน แม้ว่าตาแก่แซ่หวังที่อายุห้าสิบเกือบหกสิบปียังไม่ยอมแพ้ เดินตัวเปล่าเข้ามาหวังกอบโกยข้าวของจากที่นี่กลับไป
เสียงเด็กๆกรี๊ดกร๊าดกันชุลมุน เรือนสี่ประสานที่เงียบเชียบมานาน ตอนนี้กลับคึกคักมีชีวิตชีวาราวกับเทศกาลตรุษจีน
“ฮ่าๆ ทุกคนเวลาขนของกันระวังหน่อย อย่าล้มอย่าชน…”
เยี่ยเทียนเปิดไฟใหญ่กลางลานบ้านในเรือนหลังให้ส่องสว่างเพื่อความเอื้ออาทรของเขาก็ทำให้หลายคนไม่ค่อยระมัดระวัง
ตอนนี้ในสายตาของผู้ที่อยู่อาศัยที่นี้มองเยี่ยเทียนเป็นคนฟุ่มเฟือย เฟอร์นิเจอร์และของใช้เหล่านี้ก็ไม่ได้เสียหาย หากเปิดโรงแรมยังสามารถนำมาดัดแปลงใช้ได้ แต่เขากลับส่งมอบข้าวของให้คนอื่น ถ้าไม่ใช่ฟุ่มเฟือยแล้วจะเรียกอะไร
“เฮ้ย ของนั้นผมเอา ทำไมคุณถึงยกมันออกไปเล่า?” ผู้ที่อยู่อาศัยที่เรือนด้านหน้าคนหนึ่งตะโกนใส่พนักงานบริษัทย้ายบ้าน
พนักงานขนย้ายชี้ไปยังเยี่ยเทียนตอบว่า “เจ้านายเยี่ยสั่งให้เราขนออกไป คุณไปเลือกของชิ้นอื่นเถอะ…”
เมื่อเยี่ยเทียนเข้ามา เขาพูดสั่งกับพนักงานบริษัทย้ายบ้านว่า “ข้าวของพวกนี้ พวกนายเอาไปได้เลย” พวกพนักงานของบริษัทขนย้ายต่างดีใจเป็นอย่างยิ่ง สิ่งของพวกนี้แม้จะไม่มีมูลค่าแต่พวกเขาก็ยังอยากได้ไป
ทีแรกคิดว่าของพวกนี้เป็นของตนแล้ว แต่ไม่คิดว่าเยี่ยเทียนก็ยังให้พวกเขาไปปรึกษากับพวกผู้อาศัยอีกที ความดีใจของเหล่าพนักงานสูญสิ้นลงทันใด กลายเป็นทั้งผู้อยู่อาศัยและพวกพนักงานคนย้ายต่างพยายามแย่งของดีๆและขนกลับไปยังที่ของตน
แน่นอนว่าพวกผู้อาศัยในเรือนสี่ประสานไม่ยินยอมแต่โดย ถ้าเป็นข้าวของแค่สักสองสามชิ้นก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อถูกแย่งมากเกินไป จึงเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกัน
174 ผีหลอก (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ก่อนเยี่ยเทียนจะย้ายบ้านได้บอกเอาไว้ ให้พนักงานขนย้ายกับผู้พักอาศัยตกลงกันเอาเอง ดังนั้นคนพวกนี้ต่างไม่ได้เกรงใจเยี่ยเทียนเลย จัดการแบ่งข้าวของกันเองตามสะดวก ทำให้ลานบ้านคึกคักราวกับตลาดสด
“รีบขนเถอะ เดี๋ยวพวกนายจะเสียใจภายหลัง…”
เยี่ยเทียนมองดูความวุ่นวายตรงหน้า แอบยิ้มเย็นออกมา ความเห็นแก่ได้เป็นธรรมชาติของกิเลสมนุษย์ ตั้งแต่สมัยโบราณมาไม่เคยได้ยินว่ามีใครสามารถเอาเปรียบหมอดูฮวงจุ้ยอย่างเยี่ยเทียนได้
พวกผู้พักอาศัยไม่ใช่คนชั่วร้ายอะไร พวกเขาส่วนใหญ่เป็นปุถุชนคนธรรมดา แต่เยี่ยเทียนไม่ได้เป็นคนดีมีเมตตาสักเท่าไหร่ เขาสามารถจ่ายเงินซื้อบ้านวิลล่าด้วยเงินสดก้อนใหญ่ แน่นอนว่าไม่ต้องการเลี้ยงคนพวกนี้ไว้เปล่าๆหรอก
เยี่ยเทียนเดินรอบเรือนหลังรอบหนึ่ง ในใจคิดถึงเรื่องบางอย่างกราดตามองทั้งสี่ด้านอย่างละเอียด จางม่อกับภรรยาไม่ได้เข้ามาแย่งข้าวของเหมือนกับคนอื่น เยี่ยเทียนเดินไปข้างจางม่อยิ้มให้แล้วพูดว่า “กระถางต้นไม้พวกนี้เกะกะจริง พี่จาง ขอแรงหน่อยได้ไหม ขนกระถางพวกนี้ไปไว้ที่สวนดอกไม้ตรงนั้นที….”
“ได้สิ เจ้าเหล่าหวังน่ะวันๆว่างจะตาย เขาเลยชอบปลูกต้นไม้พวกนี้ เจ้าอู๋เหล่าเอ้อ อย่าเอาแต่จะหยิบของ มาช่วยพี่เยี่ยขนย้ายของหน่อยเร็ว…”
จางม่อไม่ได้ปฏิเสธ พอได้ยินคำขอของเยี่ยเทียนก็พงกหัวรับคำ ยังเรียกตาอู๋เหล่าเอ้อมาช่วยอีกแรง
เหล่าหวังเป็นคนชอบปลูกต้นไม้ นอกจากต้นไม้ดอกไม้ที่ปลูกอยู่เต็มลาน หน้าประตูห้องทุกห้องของเขายังมีกระถางดอกไม้เล็กใหญ่อีกหลายใบ รวมกันคงไม่ต่ำกว่าร้อยกระถาง
ทั้งจางม่อและอู๋เหล่าเอ้อหยิบของในบ้านเยี่ยเทียนไปเยอะแล้ว พอมาช่วยทำงานจึงใช้แรงงานเป็นการแลกเปลี่ยน กระถางต้นไม้ทุกใบถูกย้ายไปวางเรียงกันในสวนดอกไม้ แต่พวกเขากลับไม่ได้สังเกตว่ากระถางที่พวกเขาย้ายไปแล้วถูกเยี่ยเทียนเปลี่ยนตำแหน่งโดยไม่รู้ตัว
ทำงานกันจนถึงสี่ทุ่มกว่า ข้าวของที่เคยอยู่ในเรือนด้านหลังถูกย้ายออกไปหมด แม้แต่ราวเหล็กที่ใช้แขวนเสื้อผ้ายังถูกคนตัดไปเลย บรรยากาศวุ่นวายของคนจำนวนมากเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่าในตอนนี้
กระถางต้นไม้ทั้งหมดถูกพวกเยี่ยเทียนขนไปที่ลานบ้านทั้งหมด ด้วยปริมาณที่มากมายเยี่ยเทียนจึงนำมาจัดเรียงกันตรงขอบกำแพงเป็นแนวยาว
พนักงานขนย้ายพากันล้างมือแล้วเดินมาหาเยี่ยเทียน “เถ้าแก่เยี่ย งานเสร็จแล้ว พวกผมขอตัวก่อน…”
“เงินหนึ่งร้อยนี่ พวกคุณเอาไปซื้อบุหรี่มาแบ่งกันสูบนะ….” เยี่ยเทียนล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อหยิบแบงค์ร้อยมายื่นให้
หัวหน้าคนงานเห็นเยี่ยเทียนควักเงินออกมาก็รีบปฏิเสธ “ไม่…ไม่ได้ครับ เถ้าแก่เยี่ย ของพวกนี้พวกผมก็ได้กลับไปเยอะแล้ว เงินนั้นไม่ต้องก็ได้!”
เห็นแบบนี้พวกผู้อาศัยต่างมองกันเป็นตาเดียวด้วยความอิจฉา พวกเขามองเยี่ยเทียนด้วยสายตาสบประมาทอีกครั้ง “ให้ของเขาไปตั้งมากแล้วยังจะให้เงินอีก? นี่เรียกว่าคนจนที่ไหน? เป็นคนรวยแท้ๆต่างหาก!”
“รบกวนพวกคุณจนดึกดื่นขนาดนี้ ยังไงเงินนี่พวกคุณต้องรับไว้…”
เยี่ยเทียนยัดเงินหนึ่งร้อยหยวนลงในมือของชายคนนั้น พูดต่อว่า “อีกไม่กี่วันผมจะปรับปรุงซ่อมแซมที่นี่ ซุ้มประตูอันนี้เกะกะ พวกคุณช่วยหน่อย ช่วยผมดันมันล้มไปที ต่อไปผมจะได้ไม่ต้องลำบากตอนเปิดประตูด้านหลัง
เรือนสี่ประสานมีประตูหลังอยู่บานหนึ่งแต่ถูกเหล่าหวังปิดตายไปเสียสนิท เบื้องหลังซุ้มประตูมีทางเดินอยู่ก็ถูกปิดตายไปเช่นกัน หากเยี่ยเทียนจะสร้างที่นี่เป็นโรงแรม แน่นอนว่าต้องเปิดประตูบานนี้ออกไปใหม่
พนักงานขนย้ายเดินเข้าไปใกล้ซุ้มประตูกะเกณฑ์ดูครู่หนึ่งตอบกลับว่า “ประตูกับผนังมันเชื่อมเข้าด้วยกัน จะให้ดันล้มคงจะกินแรงมาก ใช้เชือกผูกไว้แล้วใช้แรงคนดึงเอาน่าจะง่ายกว่า…”
เชือกมีเตรียมมาพร้อม พนักงานขนย้ายคนนั้นไปหาเอาค้อนเหล็กมาทุบเข้าที่ฐานประตูอยู่หลายที แยกซุ้มประตูออกจากอิฐบนผนัง แต่เดิมซุ้มประตูที่ดูแข็งแรงมั่นคงก็เริ่มโยกคลอนห้อยตกลงมา
ช่วยกันออกแรงดึงเพียงไม่กี่ที “โครม!” เสียงซุ้มประตูล้มลงมาพ่วงมาด้วยผนังอิฐกำแพงด้านข้าง เศษฝุ่นกระจายไปทั่ว ทำเอาคนที่อยู่รอบข้างอย่างจางม่อหน้าตามอมแมม
“เหอะๆ เรียบร้อยแล้ว พี่จาง วันนี้ต้องขอบคุณมาก เอาไว้โรงแรมเปิดแล้วผมจะเชิญทุกคนมาร่วมดื่มด้วยกัน…”
เยี่ยเทียนเห็นกำแพงและซุ้มประตูที่บังทางลมอยู่ล้มลงในที่สุดแล้วก็ยิ้มอย่างพอใจ เรือนสี่ประสานหลังนี้เป็นสถานที่ที่พลังอินหยางหลอมรวม แค่ปรับแต่งเล็กน้อยก็เกิดผลสัมฤทธิ์แล้ว
“ถ้างั้นขอบคุณน้องเยี่ยมาก นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกเราขอตัวกลับก่อน เนื้อตัวมอมแมมไปหมดแล้ว….”
ตอนที่ดันผนังล้ม ทุกคนต่างออกแรงจนขี้ฝุ่นดินทรายเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปหมด ไหนจะตอนขนของอีก ไม่มีใครอยากจะอยู่ต่อนานกว่านี้ ต่างพากันกลับบ้านกันหมด
“โอ๊ย ทำไมอยู่ๆก็หนาวขึ้นมา?”
จางม่อเดินตามหลังเยี่ยเทียนออกมาแล้ว อยู่ๆก็ตัวสั่นด้วยความหนาว รู้สึกเหมือนมีลมเย็นยะเยือกพัดผ่านผิวต้นคอ จึงหันขวับกลับไปดู แต่ก็ไม่พบอะไร
ช่วงนี้เป็นช่วงเดือนเก้า ฤดูใบไม้ร่วงที่พยัคฆ์กำลังพิโรธ อากาศในตอนกลางคืนอุณหภูมิประมาณ24-25องศา อยู่ๆมีลมเย็นพัดผ่าน ทำให้จางม่อรีบเร่งฝีเท้าเดินนำหน้าเยี่ยเทียนไป
“เสี่ยวเยี่ย ค่อยๆเดินนะ วันไหนค่อยมากินข้าวบ้านฉัน!”
“น้องเยี่ย ถ้ามีอะไรให้ช่วยบอกได้เลยนะ….”
“นั่นสิ เสี่ยวเยี่ย ไม่ต้องเกรงใจ เราเป็นเพื่อนบ้านกัน ถ้ามีอะไรช่วยได้ลุงก็จะช่วยเต็มที่…”
คนมักมากเอาแต่ได้ทั้งหมดยืนอยู่หน้าประตูเรือนสี่ประสานส่งเยี่ยเทียนกลับบ้าน ส่วนในใจพวกเขาตัดสินว่าเยี่ยเทียนเป็นคนอย่างไรนั้นก็ไม่รู้แล้ว เอาเป็นว่าคงจะไม่ค่อยดีนัก
“ขอบคุณคุณลุงคุณป้าครับ วันหลังผมค่อยมารบกวนใหม่…”
เยี่ยเทียนเอ่ยอย่างเกรงใจ แล้วหมุนตัวกลับเดินห่างออกมาจากเรือนสี่ประสานที่เป็นของเขาอย่างชอบธรรมในทางกฎหมาย
“หวังว่าพวกคุณคงจะไม่ใจเสาะเท่าไหร่นะ…”เยี่ยเทียนหันหลังกลับ รอยยิ้มเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นยิ้มเย็นแฝงความนัย
ตอนแรกเยี่ยเทียนยังลังเลว่าจะล้มซุ้มประตูนั้นดีหรือไม่ แต่คนโลภเหล่านั้นทำให้เยี่ยเทียนตัดสินใจได้ว่าจะเปลี่ยนฮวงจุ้ยทำเลทองที่มีพลังอินหยางสมบูรณ์แห่งนี้ให้กลายเป็นค่ายกลพิฆาตเก้าอิน
คำโบราณว่าไว้ พลังหยางโดดเดี่ยวไม่อาจก่อกำเนิด พลังอินอย่างเดียวไม่พอจะเติบใหญ่ จะต้องมีทั้งพลังของอินและหยางร่วมกัน สรรรพสิ่งจึงจะก่อกำเนิดและเติบโต เรือนสี่ประสานของตาแก่หวังหลังนี้ เคยได้รับการชี้แนะจากนักปราชญ์ผู้มีความรู้ถึงได้ทำการปิดตายซุ้มประตูนั้นเสีย เพื่อเป็นการปิดกั้นตำแหน่ง “ประตูผี” ของทิศตะวันออกเฉียงเหนือหรือทิศเกิ้น
ตอนนี้เยี่ยเทียนทำการล้มซุ้มประตูลง ก็เพื่อเปิด “ประตูผี” ออกอีกครั้ง
“ประตูผี” ความจริงแล้วเป็นประตูที่ช่วยปิดกั้นพลังอินพิฆาตจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ พอ “ประตูผี” ล้มลง พลังอินหยางในเรือนสี่ประสานจะเสียสมดุลทันที เมื่อครู่ที่จางม่อรู้สึกขนลุกที่ท้ายทอยเกิดจากถูกพลังพิฆาตพุ่งเข้าใส่นั่นเอง
การจัดวางกระถางต้นไม้นับร้อยนั้นก็มีที่มาที่ไปเช่นกัน ดูภายนอกเหมือนวางเปะปะอย่างไม่ตั้งใจ แต่ความจริงแล้วเป็นค่ายกลชั้นสูงชนิดหนึ่ง สามารถดูดซับพลังหยางทั้งหมดในเรือนด้านหน้าทั้งสองเรือนให้หมดไป เพื่อให้พลังอินพิฆาตจาก “ประตูผี” เข้าไปสะสมแทน
ตำแหน่งของบ้านเป็นตำแหน่งที่รับพลังอินหยางจากพระราชวังต้องห้าม พลังอินพิฆาตจำนวนมหาศาลถ่ายเทเข้ามาในบ้านภายในระยะเวลาสั้นๆ เยี่ยเทียนไม่ต้องคิดเลยว่าต่อไปจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
“พ่อเอ็ง แกว่าคนแซ่เยี่ยนั่นดูจะฉลาดน้อยไปหน่อยไหม? ยกข้าวของให้คนอื่นหมด แล้วยังแถมเงินให้เขาอีก?”
รอบเรือนที่เคยอึกทึกตอนนี้ความเงียบสงบเข้าปกคลุม แต่เมื่อเรื่องนี้จบลงแล้วไม่มีใครนอนหลับเลย แต่ละครอบครัวกำลังคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้อยู่
จางม่อพอกลับมาจากเรือนด้านหลังแล้ว ก็รู้สึกไม่ปกติ พอได้ยินสิ่งที่ภรรยาพูดด้วยก็ตอบกลับอย่างหงุดหงิดว่า “เธอไปยุ่งอะไรกับเขาล่ะ ฉันว่าเจ้าเด็กนั่นมันเหมือนพวกทายาทรุ่นสองที่ไม่เคยลำบากมาก่อน เอาไว้ให้หัวขาดก่อนแล้วถึงจะรู้สึก…”
“อืม ฉันก็ว่าอย่างนั้น แต่เปิดโรงแรมนี่ทำเงินได้มากเชียว พวกเราทำไมคิดไม่ถึงล่ะจางม่อกับภรรยาทำธุรกิจมาสิบกว่าปีกลับคิดไม่ถึงจุดนี้
“คิดแล้วไม่น่าจะมีเงินขนาดนั้น บ้านหลังนี้จะซื้อได้ต้องราคาอย่างน้อยเจ็ดแปดแสน ไหนจะต้องตกแต่งซ่อมแซมอีก ไม่มีเงินสักล้านห้าล้านหกคงเอาไม่อยู่หรอก พวกเรามีเงินมากขนาดนั้นที่ไหน? เธอเอาแต่พูดนั่นพูดนี่อยู่ได้!”
จางม่อรู้สึกถึงความกระวนกระวายใจที่บอกไม่ถูก หลังจากอบรมภรรยาแล้วเอ่ยต่อว่า “อย่ามัวแต่คิดถึงเรื่องคนอื่นเลยนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องไปเก็บค่าเช่าบ้านอีก…”
“เห้ย ผี ผีหลอก!”
ตอนที่ไฟในห้องจางม่อดับลง ในบ้านจู่ๆก็มีเสียงร้องสยดสยองดังขึ้น คล้ายกับเสียงฉีกขาดของบางสิ่ง ความน่ากลัวของเสียงนั้นทำให้ผู้ที่ได้ยินเกิดความประหวั่นพรั่นพรึง
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?!” จางม่อกระชากเปิดไฟที่หัวเตียง แม้แต่เสื้อยังไม่ได้ใส่ให้ดี คว้าไม้กระบองอันหนึ่งเดินดุ่มออกไป
“พี่เหยียน เป็นอะไรเหรอ? ผีอยู่ไหน?”
ไฟในห้องแต่ละห้องถูกเปิดสว่างอีกครั้ง ทุกคนในเรือนสี่ประสานคว้าเสื้อผ้ามาคลุมตัวพากันเดินออกมาดู จางม่อเดินมาถึงก่อนเข้ากับคนๆหนึ่งซึ่งใบหน้าซีดเผือดยืนอยู่กลางเรือน
พี่เหยียนพอเห็นไฟจากรอบๆบ้านถูกเปิดขึ้นแล้วพอจะใจชื้นขึ้นหน่อย เธอชี้นิ้วไปที่เรือนด้านหลัง พูดด้วยเสียงอันสั่นเทาว่า “ผี มีผี ผีผู้หญิงใส่ชุดโบราณกลุ่มหนึ่ง!”
“ว่าอะไรนะ? ที่นี่จะมีผีได้ยังไง?”
จางม่อพูดกับพี่เหยียนอย่างไม่อยากเชื่อ ทุกทีผู้หญิงคนนี้ออกจะดุดัน ไม่คิดว่าจะเป็นคนใจเสาะขนาดนี้ อาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งหลายสิบปีแล้ว เคยมีเรื่องผีที่ไหนกัน?
“พี่เหยียน พี่ช่วยเรียกผีพวกนั้นออกมาให้ผมดูหน่อย? นั่น….นั่นมันอะไร?”
จางม่อกำลังพูดพลางเดินไปข้างหน้า พอถึงประตูเรือนหลัง เงยหน้าขึ้นมอง สิ่งที่เขาเห็นทำให้ร่างของเขาตัวแข็งค้าง ขนหัวลุกไปทั้งหัว
ด้วยแสงสว่างจากเรือนกลางทำให้จางม่อมองเห็นอย่างชัดเจนว่ามีผีสาวสามตนสวมชุดชาววังโบราณ เดินผ่านหน้าประตูเรือนหลังไป
ผีสาวนางสุดท้ายที่เดินผ่านได้หันมามองสบตากับจางม่อ ใบหน้าขาวซีดไม่มีสีกับริมฝีปากแดงฉานดุจโลหิต จางม่อผงะถอยหลังไปหลายก้าวแล้วทรุดก้นลงนั่งกับพื้น
“แม่….แม่จ๋า มีผี….มีผีจริงๆด้วย?”
คนอื่นที่รายล้อมอยู่เห็นท่าทางจางม่อพูดติดๆขัดๆ ได้กลิ่นเหม็นโชยออกมาจากตัวเขา เขาตกใจจนทั้งอุจจารระและปัสสาวะราดออกมาหมด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น