พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1627-1630

 บทที่ 1627 ถูกจู่โจมกะทันหัน

 

ก่อนหน้านี้ได้ยินชื่อเสียงโด่งดังมานานมาก เคยได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อกำเริบเสิบสานใช้อำนาจบาตรใหญ่ วันนี้ทั้งสองนับว่าได้รับบทเรียนแล้ว


ที่บอกว่าหัวโล้น ก็ไม่ได้ด่าไป่ลิ่วแค่คนเดียว ทั้งยังดึงเมี่ยวฉุนเข้าไปด่าด้วย นางเป็นผู้หญิงหัวโล้น!


สำหรับสิ่งนี้ เหมียวอี้ไม่รู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม ถ้าจะมีปัญหาจริงๆ จะให้พูดจาไพเราะแทนพูดจาหยาบคายเชียวเหรอ? เกรงว่าจะต้องลงมืออย่างเลี่ยงไม่ได้แล้ว


ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ถ้าไป่ลิ่วให้คำอธิบายที่น่าพอใจจริงๆ นั่นก็ย่อมเป็นความเข้าใจผิด การขอโทษและลดศักดิ์ศรีก็จะทำให้กู้สถานการณ์คืนมาได้เช่นกัน


สรุปก็คือตอนนี้เหมียวอี้ต่อไม่ไหวแล้วที่จะถ่วงเวลากับไป่ลิ่วต่อไปอย่างคลุมเครือ จะต้องกดดันให้อีกฝ่ายเผยไพ่ออกมาให้ได้ อยากจะฟังว่าจะมีอะไรดีๆ แก้ตัวมั้ย?


นี่ก็คือจุดที่เหมียวอี้กับหยางชิ่งแตกต่างกันมากที่สุด หยางชิ่งจะพยายามไม่ทำซี้ซั้วก่อนที่จะเข้าใจเรื่องราวชัดเจน รอให้เข้าใจชัดเจนก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่เหมียวอี้มักจะก่อเรื่องก่อนแล้วค่อยคิดหาทางชดเชยให้ทีหลัง นิสัยแบบนี้ถ้าจะพูดให้หยาบหน่อยก็คือไม่ดูตาม้าตาเรือ แต่ถ้าจะพูดให้ฟังดูดีหน่อยก็คือเด็ดขาดกล้าหาญ เป็นสิ่งที่หยางชิ่งไม่มีเช่นกัน


แน่นอน มีอยู่จุดหนึ่งที่ไม่ว่าใครก็ยากจะหลบเลี่ยงได้ ถ้าไป่ลิ่วมีพลังในระดับที่เหมียวอี้เอื้อมไม่ถึง เช่นนั้นก็จะทำให้เหมียวอี้อดทนไว้ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นการรนหาที่ตายให้ตัวเอง


ไป่ลิ่วสีหน้าแย่มาก จะดีจะร้ายเขาก็เป็นนักพรตบงกชรุ้งขั้นสี่ ส่วนหนิวโหย่วเต๋อเป็นแค่นักพรตบงกชรุ้งขั้นหนึ่ง แค่พูดไม่ถูกใจนิดเดียวก็จะเด็ดหัวเขาแล้ว ทั้งยังด่าว่าเขาหัวโล้นอีก ต่อให้เป็นตุ๊กตาดินเผาก็ยังมีธาตุไฟอยู่สามส่วน คนออกบวชไม่ใช่คนตายเสียหน่อย ในใจมีไฟโกรธพรั่งพรูออกมาเช่นกัน แต่สุดท้ายก็ยังอดทนไว้


เขาไม่ได้กลัวเหมียวอี้ แต่กลัวอำนาจเบื้องหลังเหมียวอี้ ถึงแม้อ๋องสวรรค์โค่วจะไม่ใช่คนของแดนสุขาวดี ไม่ใช่ว่าเขาจะโดนรังแกได้ง่ายๆ เช่นกัน แต่ก็ยังต้องข่มความโกรธเอาไว้ “แม่ทัพภาคหนิว ท่านอย่าโกรธเกินไปนัก”


“กรร”  เหมียวอี้พลันเผยทวนเกล็ดย้อนในมือ แล้วชี้ทวนไปที่ไป่ลิ่วพร้อมตะโกนว่า “ระหว่างทางเป็นกับทางตาย เลือกเอาเอง!”


“แม่ทัพภาคหนิว!” เมี่ยวฉุนร้อนใจแล้ว นางต้องการจะห้าม


เหยียนซิวถลันตัวมาขวางตรงหน้าเมี่ยวฉุน ล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “พระอาจารย์ใหญ่ ไม่ใช่เรื่องของท่าน”


ไป่ลิ่วโมโหแล้ว สีหน้าฉายแววเดือดดาล แต่ถ้าจะลงไม้ลงมือกันจริงๆ เขาก็ยังกลัวนิดหน่อย เพราะชื่อเสียงของคนก็เหมือนเงาของต้นไม้ ชื่อเสียงทหารกล้าที่ได้มาจากการสังหารของเหมียวอี้นั้นยังมีผลกระทบ นักพรตบงกชรุ้งที่ตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้มีไม่น้อยเลย กอปรกับท่าทางข่มขู่ที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจของเหมียวอี้ จะไม่ให้ไป่ลิ่วชั่งน้ำหนักก่อนลงมือก็คงไม่ได้


และเหมียวอี้ในตอนนี้ก็ไม่ฟังคำพูดจอมปลอมพวกนั้นเช่นกัน ถ้าเขาพูดจาเหลวไหลเหมือนที่เอาไว้หลอกเหยียนซิวก่อนหน้านี้อีก เหมียวอี้ก็จะลงมือแล้ว ไป่ลิ่วคิดไปคิดมา การจะช่วยสหายสักคนนั้นไม่จำเป็นต้องดึงตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ถึงได้พูดความจริงออกมา “เรื่องราวไม่ได้ซับซ้อนเหมือนที่แม่ทัพภาคหนิวคิด เพียงแต่มีคนอยากยืมมืออาตมาให้ช่วยนัดแม่ทัพภาคหนิวเพื่อคุยธุระบางอย่าง ไม่ได้มีเจตนาร้ายเลย”


แบบนี้เท่ากับยอมรับแล้วว่าโกหกเรื่องที่จะพามาชมทิวทัศน์อันน่าอัศจรรย์ เมี่ยวฉุนเบิกตากว้างพลางกล่าวอย่างร้อนใจทันที “ไป่ลิ่ว เจ้ากล้าหลอกลวงเหรอ!”


เหยียนซิวยิ่งใบหน้าดำมืดลงเรื่อยๆ สายตาดำมืดจ้องไปที่ไป่ลิ่ว สิบนิ้วที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อมายาวนานยื่นออกมาอย่างช้าๆ ขยับนิ้วทั้งสิบเล็กน้อย บนนิ้วทั้งสิบมีเล็บแหลมคมสีเขียวดำขลับเป็นมันวาว


“คุยธุระเหรอ?” เหมียวอี้พลันหรี่ตา ที่แดนสุขาวดีจะมีใครมาคุยธุระกับตัวเองได้? จึงถามว่า “เป็นใครกัน?”


ขณะที่กำลังจะเอ่ยตอบ ทันใดนั้นไป่ลิ่วก็เงยหน้ามองบนท้องฟ้า แล้วตอบเสียงเรียบว่า “คนน่าจะมาถึงแล้ว ท่านถามเองเถอะ”


ทุกคนเงยหน้ามองขึ้นไป เห็นเพียงบนท้องฟ้ามีนักบวชห้าคนเหาะลงมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็เหยียบลงบนเกาะ พวกเขาคือพวกอวิ่นจ้าวนั่นเอง เพียงแต่ตอนนี้ปลอมตัวแล้ว พวกเหมียวอี้กำลังจ้องประเมินทั้งห้าคน ย่อมมองออกว่าพวกเขาปลอมตัวมา


ส่วนพวกอวิ่นจ้าวก็จ้องประเมินพวกเหมียวอี้เช่นกัน ไม่นานสายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวเหมียวอี้ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยเห็นภาพวาดของเหมียวอี้มาแล้ว


เมื่อเห็นพวกเขาปลอมตัว ไป่ลิ่วก็อึ้งไปเช่นกัน พวกอวิ่นกวงก้าวขึ้นมาประนมมือข้างหน้า “รบกวนแล้ว”


พอได้ยินเสียงนั้น ไป่ลิ่วถึงได้แน่ใจถึงตัวตนของอวิ่นกวง แล้วส่ายหน้าถอนหายใจ “แม่ทัพภาคหนิวท่านนี้เจ้าอารมณ์มาก ยังนึกว่าอาตมามีเจตนาไม่ดีอะไรด้วย ถ้ามีอะไรพวกท่านก็คุยกันเองก็แล้วกัน” เขาหันกลับมาบอกเหมียวอี้อีกว่า “คนมาถึงแล้ว อาตมาไม่รบกวนแล้ว”


พอเขาพูดจบแล้วหันตัวไป ใครจะคิดว่าอวิ่นจ้าวที่อยู่ข้างกันจะสะบัดแขนเสื้อหนึ่งที ลูกกลมโลหะสีแดงที่สลักภาพมังกรไว้ห้าตัวลอยออกมาทันที มีแสงสว่างพองตัวออกมาอย่างฉับพลัน ลอยไปที่ไป่ลิ่ว ไป่ลิ่วที่สังเกตได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์พลันหันตัวกลับมา เห็นเพียงลูกกลมโลหะที่ขยายใหญ่แบ่งตัวจากหนึ่งกลายเป็นห้า กลายเป็นมังกรบินโลหะที่สมจริงราวกับมีชีวิตห้าตัวบินล้อมเข้ามาโจมตี


ไป่ลิ่วตกใจมาก “อวิ่นกวง พวกเจ้าจะทำอะไร?” ขณะที่ทยานหลบขึ้นฟ้าอย่างร้อนรน ก็เรียกดาบมาไว้ในมือ แล้วฟันต่อต้านอย่างบ้าคลั่ง


เขาไม่รู้เลยว่าอวิ่นกวงและพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องต้องการให้เขารั้งเหมียวอี้เอาไว้ทำไม ตอนที่อวิ่นกวงติดต่อเขามา ก็ไม่มีทางบอกความจริงกับเขาแน่นอน บอกเพียงว่ามีธุระจะคุยกับเหมียวอี้ บอกว่าเขาต้องช่วย และจุดอ่อนของเขาก็ถูกบีบอยู่ในมืออวิ่นกวง เขาย่อมรับปากง่ายอยู่แล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าเมื่อได้มาเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้แล้วจะตกอยู่ในอันตรายถึงขั้นโดนฆ่าปิดปาก


แบบนี้หมายความว่าอะไร? พวกเหมียวอี้ก็ตกใจเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าพอห้าคนนั้นมาถึงก็จะลงมือไป่ลิ่วทันที ลูกกลมมังกรทั้งห้าที่ส่องแสงสว่างวับวาบนั้นคือของวิเศษขั้นหก


แกร๊ง! มีเสียงดังสะเทือน ไป่ลิ่วใช้ดาบฟันมังกรบินที่โผเข้ามาตรงหน้า แต่กลับมีเรื่องที่ทำให้เขาฉุกละหุกรับมือไม่ถูกยิ่งกว่านั้น เพราะบนตัวมังกรบินโลหะทั้งห้าพลันระเบิดแสงห้าสีออกมา ได้แก่น้ำเงิน แดง เขียว ฟ้า ส้ม


คนมีประสบการณ์แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้ว เห็นได้ชัดว่ามังกรบินโลหะห้าตัวนี้เป็นของวิเศษที่ทำจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ได้แก่สุขสันต์ โกรธ เศร้า หวาดกลัว ปรารถนา จะเห็นได้ว่าตอนที่หลอมสร้างของวิเศษชิ้นนี้ขึ้นมานั้นทุ่มทุนเยอะมาก


พอไป่ลิ่วใช้ดาบฟันมังกรบินโลหะกระเด็นออกไปตัวหนึ่ง มังกรบินโลหะอีกสี่ตัวที่ล้อมเข้ามาก็เปล่งแสงสี่สี สั่นหัวส่ายหางโจมตีเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง


“อวิ่นกวง!” ไป่ลิ่วคำรามอย่างโศกเศร้าคับแค้น เมื่อเห็นลำแสงสี่สายล้อมกวาดเข้ามาพร้อมกัน เขาก็รู้แล้วว่าตัวเองหนีไม่พ้น เรียกได้ว่าคำรามออกมาอย่างสิ้นหวัง


เมื่อโดนลำแสงกวาดมาโดนตัว ร่างของเขาก็สั่นอยู่กลางอากาศ เสียงคำรามเศร้าโศกหยุดชะงัก การตอบสนองช้าลงทั้งตัวแล้ว สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปต่างๆ นาๆ แต่มังกรบินโลหะสี่ตัวกลับไม่ลังเล ใช้กรงเล็บแหลมฉีกขยุ้มอย่างเกี้ยวกราด ชั่วพริบตาเดียวก็ฉีกร่างไป่ลิ่วจนร่างแหลกกระจายเป็นน้ำฝนเลือดกลางอากาศ


พวกเหมียวอี้เห็นแล้วสูดหายใจอย่างตกตะลึง นึกไม่ถึงว่ายามอยู่ในวงล้อมโจมตีจากของวิเศษของไป่ลิ่ว ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่มีแม้แต่กำลังจะโต้ตอบ


สิ่งที่ทำให้ทั้งสามตกตะลึงยิ่งกว่านั้นก็คือ หลังจากมังกรบินโลหะทั้งห้าฉีกร่างไป่ลิ่วแล้ว พอแยกย้ายกันทะยานไปบนท้องฟ้าแล้วจู่ๆ บินกลับมาอีก ล้อมโจมตีมาทางฝั่งนี้


พวกเหมียวอี้ตระหนักได้อย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายไม่ได้ต้องการจะเก็บของวิเศษ มังกรบินห้าตัวนั้นล้อมโจมตีมาที่พวกเขาแล้ว ต้องการจะลงมือกับพวกเขาต่อ


ในขณะเดียวกันเหมียวอี้ก็ตระหนักได้แล้ว ว่าการที่อีกฝ่ายฆ่าไป่ลิ่วก็ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใด เป็นเพราะต้องการจะฆ่าปิดปากเท่านั้นเอง เท่ากับเขาตระหนักได้แล้วว่าอีกฝ่ายพุ่งเป้ามาที่เขา


อีกฝ่ายไม่เปลืองคำพูดเลยสักประโยค ลงมือโดยตรงเลย ทำให้พวกเหมียวอี้ค่อนข้างลนลาน


เหยียนซิวมือแค่มือเปล่า ขยุ้มมือสองข้างกลางอากาศ รีบกันเหมียวอี้ไปไว้ข้างหลัง


เมี่ยวฉุนก็ถือดาบพระขึ้นมาไว้ในมือเช่นกัน แล้วตะโกนอย่างโมโห “บังอาจนัก…”


ยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ ภาพตรงหน้าเมี่ยวฉุนก็พร่ามัว ชั่วพริบตาเดียวก็พบว่าตัวเองได้เขามาอยู่ในลูกกลมโลหะสีแดงลูกหนึ่งแล้ว


ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน เหมียวอี้ตอบสนองได้ไม่มากเท่าไรนัก ปล่อย ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ ออกมาครอบทั้งสามไว้เสียเลย แล้วปิดผนึกป้องกันเอาไว้แน่น


บึ้ม! แทบจะในเวลาเดียวกัน มีเสียงระเบิดดังขึ้นหนึ่งครั้ง สามคนที่อยู่ใน ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ หกคะเมนชนกันอยู่ในนั้น


แกรก! เหมียวอี้ถือทวนเกล็ดย้อนไว้ในแนวขวาง ค้ำเอาไว้ใน ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ กลายเป็นเสาค้ำในแนวขวาง ทั้งสามจับด้ามทวนเอาไว้เพื่อตรึงร่างตัวเองให้มั่นคง จะได้ไม่ชนกระแทกอยู่ในลูกกลมนี้อีก


บึ้มๆๆ…


ทั้งสามรู้สึกได้ว่า ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ กำลังถูกมังกรบินโลหะห้าตัวรุกโจมตีอย่างดุดัน


นี่ไม่ใช่สิ่งที่อันตรายที่สุด ตอนที่มังกรบินโลหะห้าตัวรุกโจมตีลูกกลมตีไม่พัง ลำแสงห้าสีก็แทรกซึมเข้ามาในรอยรั่วของลูกกลมตีไม่พังแล้ว ในบรรดาสามคนที่กำลังยืนโคลงเคลง เหยียนซิวกับเมี่ยวฉุนติดกับดักทันที ทั้งสองจับด้ามทวนไม่อยู่แล้ว พลาดตกอยู่ในลูกกลมและโดนชนจนมึนศีรษะ


เหมียวอี้พลิกตัวกลางอากาศ ใช้สองขาไขว้ไว้บนด้ามทวน ส่วนตัวก็กำลังโคลงเคลงไปมา เอามือคว้าเมี่ยวฉุนที่กำลังเลอะเลือนไม่ได้สติยัดเข้ากระเป๋าสัตว์โดยตรง ก่อนจะคว้าเหยียนซิวที่โดนชนกระแทกเข้ามา จากนั้นใช้เปลวเพลิงล่องหนปกป้องเหยียนซิวเอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาถูกเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาทำร้ายในระดับที่ลึกกว่านี้ ขณะเดียวกันก็ใช้วิชาอัคนีดารากรอกเข้าไปในร่างกายของเหยียนซิว


เหมียวอี้ที่สะบัดไปสะบัดมาห้อยอยู่บนด้ามทวนหิ้วร่างเหยียนซิวพร้อมรีบช่วยกำจัดเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในร่างกายให้เขา


ด้านนอก บนทะเลมรกตมีคลื่นยักษ์สูงเสียดฟ้า เกาะไม่กี่แห่งถูกคลื่นโจมตีที่รุนแรงของมังกรบินโลหะทำลายไปแล้ว


ร่างของมังกรบินโลหะหดเล็กลงแล้วไม่น้อย แต่หัวกับหางกลับเชื่อมต่อกันล้อมลูกกลมตีไม่พังเอาไว้ เลื้อยอยู่รอบลูกกลมตีไม่พังด้วยความรวดเร็ว ใช้ฟันและกรงเล็บโจมตีอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด ราวกับตาข่ายที่ไขว้ตัดสลับกันไปมาอย่าหนาแน่น ล้อมลูกกลมตีไม่พังเอาไว้โจมตีกลางอากาศอย่างแน่นหนา ราวกับว่าถ้าโจมตีไม่แตกก็จะไม่หยุด


เห็นเพียงลำแสงห้าสีห้าสายบนพื้นผิวลูกกลมตีไม่พังขวักไขว่อย่างไม่ขาดสาย ดูงดงามมาก แต่ความงดงามนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้คนตายได้


ลูกกลมตีไม่พังเป็นเพียงของวิเศษขั้นห้า จะไปต้านทานการโจมตีจากของวิเศษขั้นหกไหวได้อย่างไร ผ่านไปครู่เดียว ก็โจมตีจนลูกกลมตีไม่พังอับแสงหมดแล้ว ตอนนี้อาศัยแค่ความทนทานของตัวมันเองที่ทำจากผลึกแดงดันทุรังประคับประคองไว้


อวิ่นจ้าวและพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องกระจายกันไปห้าทิศทางบนท้องฟ้า เฝ้าจ้องลูกกลมตีไม่พังที่กำลังโดนล้อมโจมตีอยู่กลางอากาศ พวกเขานึกไม่ถึงว่าภายใต้สถานการณ์ขับขันอย่างนี้ เหมียวอี้จะสามารถหาของเล่นมาปกป้องร่างกายได้ทันท่วงที เดิมทีเป็นปัญหาที่แค่ลงมือครั้งเดียวก็แก้ไขได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเชื่องช้าแบบนี้


อวิ่นจ้าวร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมของวิเศษโจมตีไม่หยุด


อวิ่นกวงถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ศิษย์พี่จ้าว คนข้างในคงจะโดนเจ็ดอารมณ์หกปรารถนากัดกร่อนแล้ว ของวิเศษชิ้นนี้สิ้นเปลืองพลังงานมากเกินไป ไม่สู้ปล่อยตัวเขาออกมาจัดการโดยตรงเลยดีกว่า”


อวิ่นจ้าวยังไม่ทันตอบ อวิ่นหมิงก็ถ่ายทอดเสียงตะคอกแล้วว่า “ไม่ได้! ชื่อเสียงไม่ใช่เรื่องโกหก ทหารกล้าอย่างหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ถูกขนานนามจอมปลอมแน่ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ยอมเสียพลังงานในของวิเศษดีกว่า ต้องทำให้ลูกกลมนี้พังให้ได้ อาศัยอานุภาพจากของวิเศษกำจัดเขาทิ้ง อย่าให้โชคดีรอดชีวิตไป ในเมื่อทำไปแล้ว ก็จะทำพลาดไม่ได้เด็ดขาด!”


พอได้ยินแบบนี้ อวิ่นกวงก็หุบปากแล้ว บนใบหน้าอวิ่นจ้าวฉายแววเด็ดเดี่ยว พอได้ยินคำพูดศิษย์น้อง ก็ควบคุมของวิเศษโจมตีไม่หยุด


ในลูกกลมตีไม่พัง เหมียวอี้หยุดใช้วิชา เหยียนซิวก็ได้สติกลับมาแล้วเช่นกัน เขามองดูบนร่างกายตัวเอง รู้สึกได้ว่ามีของบางอย่างปกป้องอยู่หนึ่งชั้น ช่วยกั้นไม่ให้ตัวเองโดนกัดกร่อนจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา เหยียนซิวทำสายตาซาบซึ้ง แต่กลับไม่ได้เปลืองคำพูดขอบคุณอะไรมากมาย ระหว่างทั้งสองไม่ต้องพูดถึงสิ่งนี้แล้ว


ทั้งสองเพียงสบตากันแวบหนึ่ง ท่ามกลางเสียงระเบิดที่ดังจนหูแทบแตก ทั้งสองที่ร่างกายโยกเยกอย่างรุนแรงหันมองไปรอบๆ พร้อมกันอีกครั้ง รีบสังเกตอย่างละเอียด

 

 

 


บทที่ 1628 ละอองเลือดสีแดงสดจนแสบตา

 

เพื่อให้มองเห็นสถานการณ์ข้างนอกให้ชัดเจน ตาทิพย์ตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้พลันเปิดออก ลำแสงที่สวยวิจิตรตระการตาสายหนึ่งพลันยิงออกมา


เงาแสงลอยวนเวียน เหยียนซิวหันกลับมามองอย่างประหลาดใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเหมียวอี้มีพลังอภินิหารขนาดนี้


ภายใต้การสอดส่องของตาทิพย์ ภาพเหตุการณ์ข้างนอกชัดเจนแจ่มแจ้ง ของวิเศษห้ามังกรเป็นชิ้นเดียวกัน ถักทอกันแน่นหนาเหมือนตาข่ายแล้ว ทั้งสองไม่มีทางออกไปได้เลย พอออกไปก็จะเผชิญกับการล้อมโจมตีจากของวิเศษห้ามังกร มังกรทั้งห้าไม่ใช่สัตว์ที่มีชีวิต ต่อให้ทวนของเหมียวอี้จะเร็วกว่านี้แต่ก็ปาดพวกมันไม่ตาย จะต้องโดนพัวพันจนกระดิกไปไหนไม่ได้แน่ๆ


เมื่อขาดลูกกลมตีไม่พังที่คอยปกป้องร่างกาย พอตาข่ายกลมจากมังกรห้าตัวที่หดได้ยืดได้โจมตีเข้ามา ก็จะทำให้คนโดนฉีกร่างแหลกทันที


ทว่าพลังงานของลูกกลมตีไม่พังก็ถูกโจมตีพังไปแล้ว ไม่มีทางเริ่มเปิดใช้งานตามปกติได้อีก ถ้าไม่ใช่เพราะมีทวนเกล็ดย้อนค้ำไว้ ก็คงจะหดกลับร่างเดิมไปแล้ว


เงาแสงแวววาวถูกเก็บกลับมา เหมียวอี้ที่เก็บตาทิพย์แล้วหันกลับมามองเหยียนซิวแวบหนึ่ง “มังกรห้าตัวเล็บแหลมฟันคม ขูดจนลูกกลมตีไม่พังเป็นรอยหลายรอยแล้ว ลูกกลมตีไม่พังไม่ได้หนาสักเท่าไร ทั้งยังขาดพลังงานสนับสนุน ประคับประคองได้ไม่นานแล้ว ที่ข้ามีลูกกลมตีไม่พังอยู่อีกจำนวนหนึ่ง น่าจะทำให้ของวิเศษของอีกฝ่ายเสียพลังงานต่อไปได้ แต่ตอนนี้พวกเราก็ไม่รู้เลยว่าสถานการณ์เป็นยังไง ถ่วงเวลาต่อไปแบบนี้จะทำให้เกิดความยุ่งยากแบบไหนบ้างก็ไม่รู้ พวกเราต้องรีบออกไปจากที่นี่แล้วหาที่ซ่อนตัวให้เร็วที่สุด อาจจะต้องสู้ตายสักตั้ง”


เหยียนซิวที่ร่างกายโคลงเคลงอย่างรุนแรงตามลูกกลมบอกว่า “ข้าน้อยจะสังหารฝ่าออกไป!”


สิ่งที่เหมียวอี้บอกไปก็มีความหมายประมาณนี้ เขารู้ว่าถ้าอยู่ในสถานการณ์ปกติ เหยียนซิวก็จะไม่กลัวเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาโจมตี เพราะเหยียนซิวสามารถใช้ปราชญ์ผีก่อม่านหมอกที่หนาแน่นมาต้านทานไว้ได้ เมื่อครู่นี้ที่ติดกับดักก็เพราะว่าเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉิน ใช้วิชาป้องกันตัวเองไม่ทันก็เท่านั้นเอง ทว่าพอเหยียนซิวกลายเป็นหมอกมุดออกจากซอกร่องของลูกกลมตีไม่พัง ก็ไม่มีทางร่ายวิชาป้องกันตัวเองได้เลย จะต้องโดนเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาโจมตีอีกครั้งแน่นอน เกรงว่าถ้าออกไปแล้วคงจะเป็นการเอาชีวิตไปทิ้ง


แต่ตอนนี้ก็มีเพียงเหยียนซิวที่สามารถออกไปได้ เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำว่า “สุขสันต์ โกรธ เศร้า หวาดกลัว ปรารถนา แบบไหนที่ส่งผลกระทบต่อเจ้าน้อยที่สุด? อย่างน้อยก็สามารถประคับประคองให้เจ้าแย่งอำนาจในการควบคุมของวิเศษห้ามังกรนี้มา!”


เหยียนซิว “น่าจะเป็นความปรารถนา!”


“ดี!” เหมียวอี้พลันจ้องผนังโลหะที่สั่นไหวอย่างรุนแรง พลางกล่าวด้วยสายตาดุร้าย “ลูกกลมตีไม่พังกำลังจะพังแล้ว ข้าจะสร้างโอกาสให้เจ้าอยู่ในนี้ เจ้าต้องหาช่องโหว่หนีออกไป!”


เหยียนซิวมองตามไป เข้าใจสิ่งที่เหมียวอี้จะสื่อแล้ว เขาออกแรงพยักหน้า พอร่างกายลุกขึ้นมา ก็หลุดออกไปจากมือเหมียวอี้แล้ว ไปห้อยอยู่บนด้ามทวนข้างๆ เหมียวอี้


เหมียวอี้โบกมือจุดหินผลึกไขมันเพลิงก้อนหนึ่ง แล้วโยนเข้าไปในลูกกลมตีไม่พังที่กำลังกลิ้ง เปลวเพลิงที่ดุร้ายระเบิดออกมาทันที เผาลำแสงเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่แทรกซึมเข้ามาในลูกกลมตีไม่พังจนหมดสิ้น เมื่อวรยุทธ์อยู่ระดับเหยียนซิวแล้ว ก็ยังสามารถทนอยู่ในเปลวเพลิงร้อนแรงได้มากนิดหน่อย


เพลิงเดือดแทรกซึมออกมาจากรอยแยกรอบลูกกลมตีไม่พัง สามารถควบคุมลำแสงเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาบนตัวมังกรบินโลหะได้


ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็พลันคลายมือออกจากด้ามทวน พอถลันตัวออกมา ทั้งคู่ก็พุ่งออกอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนูยิงออกจากสาย พวกเขาใช้วรยุทธ์ทั้งหมดที่มียันเท้ากระโดดออกมาพร้อมกัน ขณะเดียวกันก็โจมตีไปยังจุดจุดหนึ่งด้วย


บึ้ม! เสียงระเบิดสะเทือนก้องฟ้าดิน


ท่ามกลางเสียงชนโจมตีที่น่าตกใจ มังกรบินห้าตัวที่เลื้อยโจมตีอยู่ข้างนอกอย่างรวดเร็วก็เคลื่อนไหวช้าลงเล็กน้อย


อาศัยโอกาสนี้เอง เหยียนซิวพลันสลายตัวหายไป กลายเป็นไอหมอกที่สีแดงดำสลับกันพุ่งไปยังทิศทางหนึ่ง


พอเหมียวอี้โบกมือกดไว้ เพลิงเดือดก็เบิกเส้นทางไฟช่วยให้เหยียนซิวเดินผ่านไปทันที เหยียนซิวที่แยกร่างทนเพลิงเดือดเผาไม่ไหว เขาจำเป็นต้องช่วยอีกแรง


ไอหมอกสีแดงดำราวกับกระแสน้ำที่ซึมเข้าไปในพื้น ชั่วพริบตาเดียวก็ไหลหายไปแล้ว


เหมียวอี้ที่ดีดตัวกลับมาใช้สองเท้าเกี่ยวด้ามทวนไว้ สองมือโบกไปโบกมาซ้ำๆ กำลังรวบรวมสมาธิควบคุมเพลิงเดือดให้รับมือกับมังกรบินสี่ตัวที่ครอบด้วยอารมณ์สุขสันต์ โกรธ เศร้า กลัว ควบคุมลำแสงเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาบนตัวพวกมันเอาไว้ จะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อเหยียนซิว ปล่อยมังกรบินโลหะที่มีลำแสงสีส้มออกไปตัวเดียวเท่านั้น


ที่โลกภายนอก เพลิงเดือดที่แทรกซึมออกมาจากลูกกลมตีไม่พังอย่างกะทันหันทำให้พวกอวิ่นจ้าวที่จับตาดูอยู่บนฟ้าอึ้งทันที จากนั้นก็ได้ยินเสียงระเบิดดังมาก ทำให้เกิดเสียงก้องทั่วฟ้าดิน


ท่ามกลางเพลิงเดือด มังกรบินโลหะสี่ตัวตกอยู่ในทะเลเพลิงหมดแล้ว มีเพียงมังกรบินโลหะสีส้มตัวเดียวที่เลื้อยออกมาจากทะเลเพลิงได้ ราวกับบนตัวพกยันต์กันไฟเอาไว้ พอมันเลื้อยไปตรงไหน เพลิงเดือดตรงนั้นก็จะหลีกทางให้มัน


ทั้งห้าตกใจทันที อวิ่นกวงอุทานถามว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน? อย่าบอกนะว่าโดนเจ็ดอารมณ์หกปรารถนากัดกร่อนนานขนาดนี้แล้วยังไม่ได้รับผลกระทบอะไร?”


“ศิษย์น้องทั้งสามตามข้าไปควบคุมด้วยกันเถอะ” อวิ่นหมิงกล่าวอย่างร้อนใจ


นอกจากอวิ่นจ้าวที่ต้องควบคุมของวิเศษอยู่ที่เดิม อีกสี่คนก็คว้าดาบพระออกมา ขณะกำลังจะพุ่งเข้าไป จู่ๆ ก็เห็นไอหมอกสีแดงสลับดำสายหนึ่งเจาะออกมาจากมังกรเลื้อยสีส้มอย่างรวดเร็ว มาลอยอยู่กลางอากาศแล้วก่อตัวเป็นปราณผีที่เยียบเย็น


พอเจอฉากนี้เข้าไป สี่คนที่กำลังตกใจก็หยุดชะงัก ปราณผีถูกเก็บไปแล้ว เหยียนซิวที่ผมยาวสยายปรากฎตัวขึ้น ผมสีขาวปล่อยสยาย ยืนนิ่งปล่อยให้ผมสยายกลางอากาศ ก้มหน้าอย่างเงียบงัน ก่อนจะเงยหน้าเผยใบหน้าชราอันเย็นเยียบพิศวงน่าสะพรึง เพียงแต่ดวงตาทั้งคู่ชุ่มฉ่ำราวกับน้ำ ดูไม่ค่อยปกติ


สิบนิ้วที่อยู่ใต้แขนเสื้อเผยออกมาแล้ว เล็บคมสีเขียวดำที่มันวาวทั้งสิบขยับเบาๆ ราวกับส่าหร่ายที่โยกไหวอยู่ในน้ำ ให้ความรู้สึกอ่อนโยน


“นักพรตผี!” พวกอวิ่นหมิงอุทานอย่างตกใจพร้อมกัน


พวกเขาไม่ค่อยกล้าเชื่อสายตาตัวเอง ก่อนหน้านี้เห็นเหยียนซิวเป็นนักพรตมนุษย์อยู่แท้ๆ แค่หน้าตาน่ากลัวไปหน่อยก็เท่านั้นเอง ทำไมจู่ๆ กลายเป็นนักพรตผีไปแล้วล่ะ?


แทบจะเป็นในเวลาเดียวกัน มีเสียงสะเทือนดังหนึ่งครั้ง ลูกกลมตีไม่พังที่โดนมังกรห้าตัวล้อมโจมตี ในที่สุดก็ระเบิดกลายเป็นฝุ่นผงแล้ว


อวิ่นจ้าวดีใจมาก ขอเพียงแค่สามารถกำจัดหนิวโหย่วเต๋อได้ มีของวิเศษอยู่ในมือแล้ว เหลือนักพรตผีอีกแค่คนเดียวก็ไม่น่ากลัวอะไรเลย


ใครจะไปคิดล่ะ ยังไม่ทันรอให้เขาดีใจจนแสดงออกทางสีหน้า ยังไม่ทันควบคุมให้มังกรห้าตัวหดเล็กลงเพื่อฉีกร่างเหมียวอี้ มังกรห้าตัวที่ล้อมโจมตีก็มีเสียงโครมครามดังขึ้นอีกพักหนึ่ง ฝุ่นควันตลบอบอวลทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน เหมือนจะมีอะไรบางอย่างกันมังกรห้าตัวไม่ให้โจมตีเหมียวอี้ได้


พวกเขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าบนตัวเหมียวอี้ไม่ได้มีลูกกลมตีไม่พังแค่อันสองอัน


เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน พอดึงสติกลับมาแล้ว อวิ่นหมิงโบกดาบพระ แล้วกล่าวอย่างร้อนรน “โปรดสัตว์ให้เขา!”


ไม่ทันรอให้เขาพูดจบ เหยียนซิวที่ดึงสติกลับมาแล้วเช่นกันก็หมุนตัวด้วยความเร็วสูงอยู่ที่เดิม ตรงหน้าพพวกนักบวชตาลาย เห็นเพียงเหยียนซิวหลายสิบคนปรากฏตัวออกมาตรงหน้าพวกเขา ทำให้พวกเขาตกใจจนใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ แต่ก็มองไม่ออกว่าเหยียนซิวคนไหนคือตัวจริง คนไหนคือตัวปลอม


ฟิ้วๆๆ! เหยียนซิวกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา รวมกันพุ่งไปยังอวิ่นจ้าวที่กำลังควบคุมของวิเศษ เล็งเป้าหมายแม่นยำมาก


เจตนาของอีกฝ่ายชัดเจนมาก อวิ่นหมิงรีบเปลี่ยนเป็นบอกว่า “ขวางเขาเอาไว้!”


พุ่งมาพร้อมกันเยอะขนาดนี้ ตรงนี้มีแค่สี่คน จะให้ขวางคนไหนดีล่ะ?


เสียงปั้งๆ ดังอย่างต่อเนื่อง ‘เหยียนซิว’ จำนวนนับไม่ถ้วนถูกระเบิดกลายเป็นปราณผี ไม่มีคนไหนเป็นตัวจริงเลย


ชั่วพริบตาเดียวร่างจริงก็ถลันตัวไปตรงหน้าอวิ่นจ้าวที่ควบคุมของวิเศษแล้ว พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องรีบตะโกนอย่างกังวล “ศิษย์พี่ระวัง!”


อวิ่นจ้าวตกใจมาก คว้าดาบพระออกมาฟันอย่างแรงหนึ่งที แต่เหยียนซิวกลับหยุดชะงัก พอโบกแขนเสื้อ เปลวเพลิงสีเขียวขลับก็คลุมไปที่อวิ่นจ้าว ห่อหุ้มอวิ่นจ้าวที่กำลังลนลานเอาไว้คาที่


“ไฟผี!” พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องอุทานอีกครั้ง


“อา!” อวิ่นจ้าวที่ถูกไฟผีพัวพันราวกับถูกกัดกร่อนกระดูกส่งเสียงกรีดร้อง กำลังพลิกตัวไปมาอยู่กลางอากาศ


เหยียนซิวพลันกลายเป็นไอหมอกสีแดงดำสลับกัน แล้วพุ่งออกไปราวกับธนูยิงออกจากสายอีกครั้ง


ปั้ง! ไฟผีกระเพื่อมจนตาพร่า พอสงบลงแล้ว พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องสี่คนที่พุ่งเข้ามากลับพบว่าเหยียนซิวหายไปแล้ว เห็นเพียงอวิ่นจ้าวที่เอามือกุมหน้าอกกรีดร้องอยู่ท่ามกลางเพลิงเดือดสีเขียวขลับ ทั้งสี่มองไปรอบๆ อย่างกังวล นี่มันสถานการณ์อะไรกัน นักพรตผีนั่นไปไหนแล้ว?


ตอนนี้สนใจอะไรมากขนาดนั้นไม่ไหวแล้ว พวกอวิ่นหมิงรีบเข้ามาล้อมอวิ่นจ้าวที่กรีดร้องอยู่กลางไฟผี แต่ละคนคว้าทรายกระดูกขาวออกมากำหนึ่ง แล้วโปรยใส่จากสี่ทิศ คลุมอวิ่นจ้าวเอาไว้


ประสิทธิภาพไม่เลวเลย เห็นได้ชัดว่ามีประสบการณ์ในการรับมือกับไฟผี พอปล่อยทรายกระดูกขาวออกมา ก็ดับไฟผีบนตัวอวิ่นจ้าวได้ทันที ถ้าจะพูดให้ถูกกว่านั้นก็คือดูดไฟผีทิ้งไปหมดแล้ว และทรายกระดูกขาวที่สัมผัสโดนตัวอวิ่นจ้าวก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวขลับทันที ก่อนจะร่วงหล่นสู่ทะเล


อวิ่นจ้าวที่โดนไฟเผาจนเปลี่ยนโฉมหน้าโผล่ออกมามาท่ามกลางควันสีเทา มองดูบรรดาศิษย์น้องอย่างไร้เรี่ยวแรง ร้อง “ฮือๆ” สองครั้ง แล้วก็ตกลงสู่มหาสมุทร


“ศิษย์พี่!” อวิ่นหัวและอวิ่นเติงถลันตัวออกไปทันที ฉุดแขนอวิ่นจ้าวที่กำลังตกลงข้างล่างเอาไว้คนละข้าง


อวิ่นหมิงและอวิ่นกวงกลับกำลังมองไปรอบๆ นักพรตผีที่หายไปกลางอากาศทำให้คนหวาดกลัว ไม่ให้ระวังคงไม่ได้


อวิ่นหมิงยังตั้งใจตะโกนอีกว่า “ระวังช่องว่างเก็บของบนตัวศิษย์พี่จ้าว”


อวิ่นหัวกับอวิ่นเติงร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจหาที่เก็บของบนตัวอวิ่นจ้าวทันที แต่ใครจะคิดว่าสองมือของอวิ่นจ้าวจะพลันพองตัวขยายใหญ่ขึ้น ฝ่ามือที่มีกรงเล็บแหลมคมสองข้างยื่นออกมา น้ำเลือดสดๆ สองสายระเบิดออกมาแล้ว กรงเล็บเสียบเข้าไปในหน้าอกของอวิ่นหัวและอวิ่นเติงอย่างดุร้าย ทะลุไปถึงหัวใจแล้วโผล่ออกจากแผ่นหลัง


ท่ามกลางน้ำเลือดที่ระเบิดออกมาจากแผ่นหลังของทั้งสองคน กรงเล็บแต่ละข้างชักกลับเข้ามา บนกรงเล็บแหลมสองข้างคว้าหัวใจที่ยังเต้นเอาไว้ แล้วบีบจนมีเสียงปั้งๆ ดังสองครั้ง ละอองเลือดสีแดงสดจนแสบตา


อวิ่นหัวและอวิ่นเติงที่เบิกตากว้างมองไปที่อวิ่นจ้าวอย่างรู้สึกเหลือเชื่อ


“ศิษย์น้อง!” เมื่ออวิ่นหมิงกับอวิ่นกวงที่คอยเฝ้าระวังอยู่รอบๆ เห็นแบบนี้ ก็ร้องอุทานอย่างเศร้าโศกทันที


และในตอนนี้เอง ร่างกายของอวิ่นจ้าวก็รู้สึกตึงๆ ทั้งร่างกายกำลังพองขยายอย่างรวดเร็ว


ปั้ง! ในที่สุดร่างของอวิ่นจ้าวก็ระเบิดออก ระเบิดกลายเป็นเศษเนื้อตกลงทะเล เหยียนซิวที่ก้มหน้าเล็กน้อยลอยเงียบๆ อยู่กลางอากาศ ราวกับโผล่ออกมาจากรังไหม มือซ้ายและมือขวายังคงหิ้วร่างที่มีเลือดไหล


ฉากแบบนี้ทำให้อวิ่นหมิงกับอวิ่นกวงมองจนตาแทบจะถลน ทั้งคู่สูดหายใจอย่างตระหนก รู้สึกขนพองสยองเกล้า


มังกรบินห้าตัวที่ล้อมโจมตีลูกกลมตีไม่พังหยุดชะงักแล้ว ระหว่างฟ้าดินสงบลงอย่างกะทันหัน อวิ่นหมิงกับอวิ่นกวงหันกลับมาพร้อมกันทันที เห็นเพียงมังกรบินห้าตัวหดเล็กลงสู่สภาพเดิม กลายเป็นลูกกลมโลหะแล้วตกลงสู่ผิวทะเล


เห็นได้ชัดเจนมาก พออวิ่นจ้าวตายไป ของวิเศษห้ามังกรก็สูญเสียการควบคุม


“ขวางเขาเอาไว้!” อวิ่นหมิงตะคอก ก่อนจะรีบหันตัวพุ่งเข้าไปหาของวิเศษห้ามังกร ต้องการจะควบคุมของวิเศษอีกครั้ง


เหยียนซิวสะบัดแขนสองข้าง สะบัดศพสองร่างที่อยู่บนแขนทิ้งไป แล้วรีบตามไปแย่งชิงของวิเศษชิ้นนั้น


อวิ่นกวงโผเข้ามา ฟันดาบขัดขวางเขาไว้อย่างบ้าคลั่ง วรยุทธ์สูงกว่าเหยียนซิวสองขั้น เหยียนซิวหลบความเร็วของเขาตอนเข้ามาขัดขวางไม่พ้น


ชั่วพริบตาเดียวเหยียนซิวก็แยกร่างจากหนึ่งกลายเป็นสิบ เหยียนซิวสิบคนพุ่งออกมาพร้อมกัน กดดันให้อวิ่นกวงลานลานจนทำอะไรไม่ถูก


“อา!” เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น กรงเล็บภูตนรกปรากฏตัวอีกครั้ง ฉีกร่างอวิ่นกวงรัวๆ จนแหลกเป็นชิ้นๆ


เป็นนักพรตบงกชรุ้งขั้นสามแท้ๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะต้านการโจมตีเพียงครั้งเดียวของนักพรตบงกชรุ้งขั้นหนึ่งไม่ไหว แค่นี้ก็เห็นถึงความแข็งแกร่งของเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางแล้ว


อวิ่นหมิงร่ายอิทธิฤทธิ์ดูดของวิเศษห้ามังกรที่ตกลงผิวทะเลมาไว้ในมือ พอหันกลับมามองก็ตกใจมาก เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้ว หนีหัวซุกหัวซุนทันที รอให้ควบคุมของวิเศษห้ามังกรได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน


อาศัยความเร็วของเหยียนซิว ก็ไม่มีทางไล่ตามเขาทันได้เลย


ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ มีเสียงระเบิดดังปั้ง เหยียนซิวหันกลับไปมอง เห็นเหมียวอี้ออกมาจากลูกกลมตีไม่พังแล้ว กำลังถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อยู่กลางอากาศ สายธนูในมือยังคงสั่นไหว ลำแสงสายหนึ่งไล่ตามอวิ่นหมิงที่อยู่ในไอหมอก

 

 

 


บทที่ 1629 สำนักของหนานโป

 

แทบจะเป็นช่วงเวลาเดียวกัน เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงบอกมาว่า “จับเป็น!”


เหยียนซิวงงทันที อาศัยวรยุทธ์ของเขา จะไล่ตามอีกฝ่ายให้ทันก็ยังเป็นไปได้ยากเลย ยังจะให้จับเป็นอีกเหรอ? อย่าบอกนะว่านายท่านนึกว่าอาศัยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นห้าคันเดียวแล้วจะล้มอีกฝ่ายได้?


ทว่าน้ำเสียงของเหมียวอี้ฟังดูมั่นใจมาก สีหน้าท่าทางดูภาคภูมิใจ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือลำพองใจ มองอวิ่นหมิงที่กำลังเร่งหลบหนีอย่างดูแคลน ให้ความรู้สึกเหมือนไม่เห็นอวิ่นหมิงอยู่ในสายตาเลย ใช้มือข้างเดียวถือคันธนู ไม่มีท่าทีว่าจะไล่ตามไปเลย


อวิ่นหมิงที่แย่งของวิเศษห้ามังกรหลบหนีรีบลบตราอิทธิฤทธิ์ของอวิ่นจ้าวในของวิเศษออกไป แล้วประทับตราของตัวเองลงไปแทน ยังไม่ทันได้เรียนรู้วิธีการควบคุม ก็ตกใจเสียงเคลื่อนไหวผิดปกติข้างหลังจนต้องหันกลับไปมองอีกครั้ง


ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์! แค่มองปราดเดียวเขาก็จำได้แล้ว ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นมาก่อน เพียงแต่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นไอหมอกลอยวนเวียนอยู่บนลูกธนูดาวตก


เขาย่อมรู้ดีว่าอานุภาพของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เป็นอย่างไร ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นห้ากระจอกๆ คันเดียวคิดจะทำอะไรนักพรตบงกชรุ้งอย่างเขาน่ะเหรอ ฟังดูเกินจริงไปหน่อยกระมัง แน่นอน ถ้าโดนลูกธนูยิงโดยไม่ได้ป้องกันอะไรก็จะตายอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์คือท่าไม้ตายที่ใหญ่ที่สุดของฝั่งตำหนักสวรรค์ อานุภาพการโจมตีน่าสะพรึงกลัว


ลำแสงยิงเข้ามาเร็วเกินไป ปฏิกิริยาแรกของอวิ่นหมิงก็คือป้องกัน เพราะจะให้หลบก็หลบไม่ทันแล้ว เพราะของเล่นชิ้นนี้สามารถไล่ตามได้ เขาหยิบโล่อันหนึ่งออกมา ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดที่มีต้านไว้ข้างหน้า ชั่วพริบตานั้นลำแสงก็ยิงโดนโล่พอดี


ปั้ง!


ภายใต้แรงพุ่งชน ลำแสงปรากฏรูปร่าง ลูกธนูดาวตกที่มีหมอกทึบสีแดงปรากฏตัว ชนอยู่บนโล่อย่างแรง มีเสียงสะเทือนดังอยู่กลางอากาศหนึ่งครั้ง หมอกสีชมพูที่อยู่บนธนูชนด้วยความเฉื่อย ไอหมอกคลุมทั้งโล่ทั้งคนที่อยู่ข้างหลังโล่เอาไว้มิด


ชั่วพริบตานั้น อวิ่นหมิงก็รู้สึกได้ถึงปราณสังหารที่ทำให้คนขนพองสยองเกล้า ไอหมอกสีแดงนี้แทบจะกลายเป็นปราณสังหารที่เป็นร่างจริงแล้ว ต้องได้รับปราณสังหารรุนแรงขนาดไหนกันถึงจะก่อตัวเป็นรูปร่างได้? บนลูกธนูดาวตกจะมีปราณสังหารที่รุนแรงขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?


สิ่งที่ทำให้อวิ่นหมิงอกสั่นขวัญแขวนก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าเกราะลมปราณของเขาจะไม่มีสามารถต้านทานได้ สิ่งนี้คล้ายคลึงกับเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา


ชั่วพริบตาที่หมอกสีชมพูอมแดงพุ่งเข้ามากลบ อวิ่นหมิงก็ดีดตัวออกมาจากไอหมอกสีแดงอีกครั้ง เขาโดนพลังโจมตีอันแข็งแกร่งของลูกธนูดาวตกจนสะเทือนปลิวออกมา กำลังพลิกไปพลิกมาอยู่กลางอากาศ แต่กลับไม่มีทางหยุดร่างให้หยุดนิ่งอย่างมั่นคงได้เลย


ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะหยุดยืนให้มั่นคง แต่หลังจากปราณสังหารอันน่าหวาดกลัวรุกเข้ามาในร่างกายแล้ว มันก็อาละวาดอยู่ในร่างกายเขาไม่หยุด ผิวภายนอกของเขาก็ยิ่งมีรอยแยกเป็นแผลนับไม่ถ้วน เลือดสดไหลออกมาราวกับถูกดาบคมจำนวนนับไม่ถ้วนกรีด เจ็บจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว พยายามกำจัดปราณสังหารที่รุกเข้ากัดกินอยู่ภายในร่างกาย


หลังจากมีเสียงดังปั้ง ลูกธนูดาวตกก็พลิกลับมา


เหยียนซิวรีบไล่ตามไปหาอวิ่นหมิงที่กำลังมีสีหน้าเจ็บปวดทุกข์ทรมาน เขาก็แอบตกใจเช่นกัน ไม่เข้าใจว่าเหมียวอี้ใส่อะไรไว้บนลูกธนูดาวตกตอนที่ยิงออกไป ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้อวิ่นหมิงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้


เมื่อเห็นเหยียนซิวสังหารเข้ามา อวิ่นหมิงก็ปกป้องตัวเองอย่างสุดชีวิต โบกดาบฟันอย่างบ้าคลั่ง แต่จนใจที่ทำตามใจคิดไม่ได้ เพราะร่างกายปั่นป่วนไปหมดแล้ว


เงากรงเล็บขวักไขว้แวบผ่านไป “อา!” อวิ่นหมิงกรีดร้องโหยหวน ข้อมือที่ถือของวิเศษห้ามังกรหักจนเลือดสาด ตกลงมาอยู่ในมือเหยียนซิวแล้ว แขนข้างถือถือดาบก็ยิ่งหลุดออกมาทั้งหัวไหล่ โดนเหยียนซิวขยุ้มลงมาด้วยกัน เหยียนซิวผมขาวปลิวสะบัดในขณะที่ถลันตัวไปข้างหลังอวิ่นหมิง แล้วยื่นมือเสียบเข้าไปในแผ่นหลังของอวิ่นหมิงโดยไม่หันกลับไปมองด้วยซ้ำ เย็นเยียบโหดเหี้ยมมาก กักกระดูกสันหลังที่มีเลือดไหลของอวิ่นหมิงเอาไว้แล้ว ทำให้อวิ่นหมิงขยับตัวไม่ได้ จากนั้นก็หิ้วร่างกลับมาตรงหน้าเหมียวอี้


เหมียวอี้เก็บธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้ว ตอนนี้กำลังใช้สายตาเย็นเยียบกวาดมองอวิ่นหมิงที่มีสีหน้าทุกข์ทรมานทั้งยังผิวหนังฉีกขาดไม่หยุด จากนั้นยื่นมือสองข้าง วางพาดไว้บนบ่าของเหยียนซิวกับอวิ่นหมิง รีบร่ายเคล็ดวิชาอัคนีดารากำจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกายทั้งสอง


ผ่านไปพักใหญ่ เหยียนซิวถึงได้ถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย ศีรษะที่แทบจะก้มอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดก็เงยขึ้นมาตามปกติแล้ว พลังปรารถนาสีส้มส่งผลกระทบต่อเขาค่อนข้างเยอะ ทำให้เขาควบคุมตัวเองค่อนข้างลำบาก ไม่อย่างนั้นเมื่อครู่นี้ตอนที่ได้โอกาสดีก็คงจะฆ่าอวิ่นจ้าวไปโดยตรงแล้ว คงไม่เข้าไปในร่างกายอวิ่นจ้าวเพื่อหาโอกาสล่ออีกสองคนให้เสียเวลาหรอก


เขารู้อย่างลึกซึ้งว่าความผิดพลาดเมื่อครู่นี้แทบจะสร้างปัญหาหายุ่งยากแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะกำจัดอวิ่นจ้าวทิ้งก่อนที่ลูกกลมตีไม่พังของเหมียวอี้จะหมดพลังงานและพังลง ก็เกรงว่าเหมียวอี้คงจะโดนปิดตายอยู่ในนั้นไปแล้ว คงจะหนีออกมาจากลูกกลมตีไม่พังไม่ทันเวลา และไม่มีทางใช้ลูกธนูดอกเดียวควบคุมอวิ่นหมิงได้ด้วย อาศัยความเร็วอย่างเขาไม่มีทางไล่ตามอวิ่นหมิงทัน ถ้าอวิ่นหมิงควบคุมของวิเศษห้ามังกรได้แล้วกลับมาอีกครั้ง ผลที่ตามมาก็จะเลวร้ายจนไม่อยากจิตนาการถึง


“ข้าน้อยแทบจะทำพลาดครั้งใหญ่แล้ว” เหยียนซิวก้มหน้าอย่างอับอาย


เหมียวอี้เองก็ไม่ไม่เลอะเลือน เขาเข้าใจดี จึงส่ายหน้าบอกว่า “โทษเจ้าไม่ได้หรอก ขนาดโดนผลกระทบเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาแล้วยังทำสำเร็จได้ แค่นี้ก็นับว่ายากแล้ว” เขามองไปยังอวิ่นหมิงที่อยู่ในมือเหยียนซิว แล้วถามอย่างเย็นเยียบว่า “ทำไมต้องสังหารข้า?”


ปราณสังหารรุนแรงในร่างกายถูกกำจัดไปแล้ว อวิ่นหมิงเงยหน้าที่เลอะเทอะไปด้วยเลือด ค่อยๆ แล้วเผยรอยยิ้มอันน่าเวทนาออกมา “ได้ยินข่าวลือว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นขุนพลผู้กล้าของตำหนักสวรรค์ ทำขนาดนี้แล้วยังโปรดสัตว์ให้เจ้าไม่ได้ เก่งสมชื่อจริงๆ ไม่ได้มีดีแค่ชื่อเสียง ครั้งนี้อาตมารู้ตัวแล้ว คงยากที่จะรอดชีวิตกลับไป ปล่อยอาตมาไปสบายเถอะ!”


เหมียวอี้ไม่ได้พูดอะไรมากกับเขา ตรงนี้ไม่ใช่ที่ที่จะมาเปลืองคำพูดกัน เขาไม่มีทางแน่ใจได้ว่าดาวฮุ่ยหลินเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้หรือเปล่า เขาเอียงหน้ามองเหยียนซิว “ไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่นาน เก็บของแล้วหนี”


เหยียนซิวเก็บอวิ่นหมิงทันที หลังจากนำของวิเศษห้ามังกรให้เหมียวอี้แล้ว ก็รีบเก็บกวาดที่เกิดเหตุ ของที่ควรจะเก็บไว้ก็ไม่ปล่อยผ่าน


เหมียวอี้ถือลูกกลมโลหะห้ามังกร ลบตราอิทธิฤทธิ์ที่อยู่ข้างในนั้นออก แล้วใส่ของตัวเองลงไปแทน หลังจากศึกษาวิธีการใช้อย่างละเอียดสักพัก ก็เข้าใจวิธีควบคุมของชิ้นนี้แล้ว


เห็นเพียงเขาใช้มือข้างเดียวรองถือลูกกลมห้ามังกรไว้ในฝ่ามือ ลูกกลมพลันระเบิดแสงสว่างออกมา มังกรห้าตัวมีชีวิตชีวาขึ้นมาราวกับเป็นงูน้อย ตัวพวกมันขยายใหญ่ขึ้นทีละนิด แล้วเลื้อยขึ้นฟ้าพร้อมกัน กลายเป็นมังกรห้าตัวที่บินร่อนอยู่รอบตัวเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นบนตัวมังกรก็มีลำแสงห้าสีให้เห็นอีกครั้ง


หลังจากชื่นชมได้สักประเดี่ยว เหมียวอี้ก็แบมือข้างหนึ่ง มังกรบินห้าตัวที่กำลังบินว่อนก็บินเข้ามาในฝ่ามือเขาอย่างรวดเร็วราวกับสายลม ขณะที่โผเข้ามา ตัวก็หดเล็กลงเร็วมาก กลายเป็นลูกกลมโลหะที่มีรูปสลักมังกรบินอีกครั้ง


“ของวิเศษขั้นหก!” เหมียวอี้ที่กำลังเล่นลูกกลมห้ามังกรพึมพำพลางยิ้มบางๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ของวิเศษขั้นหก วรยุทธ์ถึงระดับบงกชรุ้งแล้ว สามารถควบคุมมันได้สะดวกพอดี พอชื่นชมเล็กน้อยก็เก็บเข้ากระเป๋าสัตว์


ผ่านไปไม่นานเหยียนซิวก็กลับมา แล้วทั้งสองก็เหาะฝ่าท้องฟ้าไปอย่างรวดเร็ว เหาะไปยังดาวฮุ่ยหลิน


หลังจากปลอมแปลงใบหน้าแล้ว ทั้งสองก็เดินทางอย่างรวดเร็วอยู่ในดาราจักร ครั้งนี้ไม่ได้ปล่อยเมี่ยวฉุนออกมานำทาง และไม่ได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้ใครฟังด้วย


ดาวหลันเย่ บนเกาะแห่งหนึ่งที่อยู่ใต้อารามหลันเย่ คลื่นทะเลซัดกระทบฝั่ง พระอรหันต์ตัวลี่ที่ยืนอยู่บนโขดหินริมทะเลสีหน้าหม่นหมอง เขาเงยหน้าเล็กน้อย มองท้องฟ้าอย่างพูดไม่ออก


เป็นเวลาสองวันแล้ว สองวันที่ผ่านมายังไม่ได้รับข่าวจากลูกศิษย์ที่ส่งออกไปเลย ภายใต้สถานการณ์ปกติ ลูกศิษย์ที่ถูกส่งออกไปปฏิบัติภารกิจจะส่งข่าวกลับมาอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง เขาลองติดต่อไปแล้ว แต่ระฆังดาราของทั้งหมดติดต่อไม่ได้ ติดต่อศิษย์ทั้งห้าไม่ได้เลยสักคน นี่เป็นเค้าลางแห่งความตาย


แต่เขาก็ยังกอดความหวังเอาไว้นิดหน่อย หวังว่าจะมีความเป็นไปได้อย่างอื่น แต่ผ่านไปสองวันแล้ว เขาถามพระอรหันต์หวยอวี้อ้อมๆ ว่าเมี่ยวฉุนลูกศิษย์ของนางเป็นอย่างไรบ้าง ผลปรากฏว่าพระอรหันต์หวยอวี้ก็กำลังกลุ้มใจเรื่องนี้เหมือนกัน สามารถติดต่อกับเมี่ยวฉุนได้ แต่เมี่ยวฉุนไม่ตอบอะไรกลับมา ไม่รู้ว่าเดินทางไปถึงไหนแล้ว


พอพระอรหันต์ตัวลี่ได้ยินแบบนั้นก็ตกใจแล้ว ตอนที่ศิษย์ทั้งห้าล้อมหนิวโหย่วเต๋อเอาไว้ ก็ได้แจ้งข่าวมาบอกเขาแล้ว บอกว่าล้อมพวกหนิวโหย่วเต๋อไว้ได้แล้ว รายงานเขามาว่าต้องการจะฆ่าปิดปากเมี่ยวฉุน เขาก็อนุญาตไปแล้ว


ตอนนี้เมี่ยวฉุนยังมีชีวิตอยู่ แต่กลับติดต่อศิษย์ทั้งห้าไม่ได้ แสดงว่าทำพลาดแล้ว


เขาคิดไม่ตกนิดหน่อย ไข่มุกห้ามังกรคือของวิเศษอันเลื่องชื่อของเขา เขารู้แจ่มแจ้งว่ามันมีอานุภาพมากขนาดไหน ใช้รับมือกับหนิวโหย่วเต๋อคนเดียวก็ไม่น่าจะมีปัญหาสิ มิหนำซ้ำยังล้อมขังหนิวโหย่วเต๋อเอาไว้แล้ว ทำพลาดได้อย่างไรกัน?


โครม! คลื่นใหญ่ลูกหนึ่งซัดกระทบเข้ามา ละอองน้ำเย็นโผเข้ามาใส่หน้า ทำให้พระอรหันต์ตัวลี่ได้สติกลับมา ขณะมองดูระฆังดาราที่กำแน่นอยู่ในมือ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อนอย่างจนใจ


เพิ่งจพติดต่อกับตระกูลอิ๋งไป บอกว่าฝั่งตัวเองทำพลาดแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าตัวเองจะถูกเปิดโปง อยากจะขอความช่วยเหลือจากตระกูลอิ๋ง ช่วยหาที่ซ่อนตัวให้เขาสักแห่งที่ตำหนักสวรรค์


แต่ใครจะคิดว่าพอตระกูลอิ๋งได้ยินว่าเรื่องเป็นแบบนี้แล้ว ก็แปรพักตร์ผิดสัญญาทันที บอกว่าตัวเองไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดอะไร จากนั้นก็ตัดขาดการติดต่อกับเขาแล้ว


เห็นได้ชัดเจนมาก ว่าตระกูลอิ๋งไม่กลัวว่าเขาจะพูดซี้ซั้วเลย ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไรอีกฝ่ายก็จะเบี้ยวสัญญาเจ้า ไม่มีพยานหลักฐาน มีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าตระกูลอิ๋งเป็นคนบงการ? ถ้าหนิวโหย่วเต๋อตาย แล้วตัวลี่เปิดเผยเรื่องนี้ออกมา เรื่องนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่าจะฝั่งไหนก็ไม่มีทางปล่อยเขาไป ถ้าหากหนิวโหย่วเต๋อยังไม่ตาย ต่อให้ทุกคนเดาออกว่าตระกูลอิ๋งเป็นคนบงการ แต่ถ้าตระกูลอิ๋งปากแข็งไม่ยอมรับ ไม่ว่าใครก็ทำอะไรตระกูลอิ๋งไม่ได้ทั้งนั้น ตอนนี้เก็บตัวลี่ไว้ ถ้าถูกคนจับได้ขึ้นมา นั่นจะหากที่จะโดนบีบจุดอ่อนอย่างแท้จริง


แต่สำหรับตัวลี่นั้นไม่เหมือนกัน หลังจากตระกูลอิ๋งจับตาดูเป็นมา เขาก็ไม่มีทางเลือกเลย ถ้าทำไม่สำเร็จก็จะมีอันตรายใหญ่หลวง ต่อให้เคียดแค้นตระกูลอิ๋งแทบตายก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเจ้าไม่มีคุณสมบัติจะไปงัดข้อกับตัวละครใหญ่อย่างตระกูลอิ๋ง ต่อให้เจ้าสู้ตายก็ไม่ทำให้ขนของตระกูลอิ๋งร่วงสักเส้นด้วยซ้ำ และไม่มีสิทธิ์ไปงัดข้อกับตระกูลโค่วด้วยเช่นกัน ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปง แดนสุขาวดีก็ต้องให้คำอธิบายกับอ๋องสวรรค์โค่ว เขาเหลือแค่ทางตายทางเดียวเท่านั้น


“เฮ้อ!” ตัวลี่ที่ถอนหายใจเฮือกหนึ่งถอนหายใจแล้วเหาะขึ้นฟ้าไป ทะลุฝ่าชั้นบรรยากาศ จากไปโดยไม่ร่ำลา ดำลงไปในจุดลึกของทะเลดาว…


หลังจากนั้นหลายวัน บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีคลื่นเมฆประหลาดก็ปรากฏตรงหน้าเหมียวอี้กับเหยียนซิว สองคนที่ลอยเงียบๆ อยู่บนฟ้าหยุดดู


ดาวเคราะห์ดวงนี้มีขนาดไม่เล็ก ทั้งยังถือว่าค่อนข้างใหญ่ด้วย พอทอดสายตามองไปก็เห็นได้ชัดว่ามีอากาศกป้องอยู่ แต่ข้างในกลับเหมือนครึ้มฟ้าครึ้มฝน


เหยียนซิวที่ดูแผนที่ดาวหันกลับมาบอกเหมียวอี้ว่า “นายท่าน จะซ่อนตัวอยู่ในดาวพิษนี่เหรอ?”


เหมียวอี้จ้องดาวเคราะห์ที่อยู่ตรงหน้า “ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว ตอนที่แผนที่ดาวยังไม่แพร่หลาย ดาวพิษดวงนี้ก็มีอีกชื่อหนึ่ง ชื่อว่าดาวหนานอู๋ เป็นหนึ่งในแดนศักดิ์สิทธิ์ของสำนักพุทธที่วิชาพุทธเจริญรุ่งเรือง เป็นดั่งดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพลังจิตวิญญาณ ชัยภูมิถ้ำสวรรค์ ตอนหลังสำนักหนานอู๋รับลูกศิษย์คนหนึ่งชื่อว่าหนานโป ในขณะที่ฝึกตนก็พบว่าศิษย์คนนี้ผิดปกติ โจมตีศิษย์คนนี้จนบาดเจ็บสาหัสแล้วยังจับตัวไม่ได้ ปล่อยให้เขาหนีไปแล้ว สำนักหนานอู๋ถึงได้ไล่เขาออกจากสำนัก แล้วประนามศิษย์คนนั้นว่าเป็นพระปีศาจ และประกาศในคนในเส้นทางเดียวกันช่วยจับกุม”


“พระปีศาจ?หนานโป?” เหยียนซิวตะลึงงัน แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “อย่าบอกนะว่าพระปีศาจหนานโป ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในตำนาน?” เขาอยู่ที่พิภพใหญ่มาหลายปีแล้ว พอจะเคยได้ยินชื่อตัวละครนี้มาบ้าง


“ไม่ผิดหรอก เป็นเขานั่นแหละ ที่นี่เคยเป็นสำนักของเขา” เหมียวอี้พยักหน้า จ้องดาวเคราะห์ที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝนอยู่ตรงหน้าพร้อมเล่าว่า “ตอนที่พระปีศาจหนานโปมาเยือนดาวหนานอู๋อีกครั้ง หายนะก็ได้มาเยือนสำนักหนานอู๋แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าในปีนั้นสำนักหนานอู๋ทำอะไรพระปีศาจหนานโปไว้บ้าง พระปีศาจหนานโปไม่ใช่แค่ล้างเลือดทั้งสำนักหนานอู๋ ฆ่าจนไม่เหลือเกล็ดสักแผ่น ทั้งยังทำลายดาวหนานอู๋แห่งนี้ด้วย โจมตีทะลุเปลือกดาว ทำให้ไฟใต้ดินสูงเสียดฟ้า แล้วใส่พิษไว้ในไฟใต้ดิน ทำให้ดาวเคราะห์ที่งดงามกลายเป็นดาวพิษ ทำให้ความงดงามกลายเป็นความอัปลักษณ์ ทำให้สำนักหนานอู๋ไม่มีทางสร้างสำนักใหม่ที่ดาวหนานอู๋ได้อีก หลังจากนั้นหลายปีก็ประกาศให้ทั้งใต้หล้าจับกุมศิษย์สำนักหนานอู๋ที่บังเอิญไม่อยู่ในตอนนั้นแล้วรอดหายนะ จะเห็นได้ว่าพระปีศาจหนานโปแค้นสำนักหนานอู๋เข้ากระดูกดำจริงๆ”

 

 

 


บทที่ 1630 กลางร่องรอยความเจ็บปวดของห...

 

นึกไม่ถึงว่าดาวพิษดวงนี้จะเคยมี ‘ความรุ่งโรจน์’ มาก่อน พอมองดูดาวพิษที่มีเมฆครึ้มตรงหน้าอีกครั้ง เหยียนซิวก็รู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ วันนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว แต่ก็หันไปมองเหมียวอี้อีกครั้งด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเข้าใจ เพียงแต่เขาไม่ใช่คนที่ชอบพูดมาก ทำได้เพียงสงสัยอยู่ในใจ ปากไม่ได้ถามอะไรอีก


เมื่อก่อนเขาชอบพูดคุยและดื่มสุรา บนตัวพกน้ำตาสุราติดตัวไว้ตลอดเวลา ดึงเหมียวอี้ไปทำธุระด้วยกันเป็นครึ่งค่อนวัน อาศัยความแก่ตั้งตัวเป็นผู้อาวุโส แต่หลังจากหลัวเจิน ฮูหยินของเขารบตายไป เขาก็เลิกสุราแล้ว พูดน้อยลงเช่นกัน ถึงขนาดว่าผ่านไปหลายปีโดยไม่พูดสักประโยคเลยก็มี


ส่วนเหมียวอี้ที่กำลังมองประเมินดาวพิษ เขารู้ประวัติความเป็นมาของดาวพิษดวงนี้มาจากอวิ๋นจือชิว ส่วนสาเหตุว่าทำไมอวิ๋นจือชิวถึงรู้เรื่องนี้ สาเหตุก็ไม่ได้ซับซ้อนเลย เป็นเพราะดาวพิษดวงนี้ถูกทำสัญลักษณ์ไว้บนแผนที่ซ่อนสมบัติว่าเป็นจุดซ่อนสมบัติ ก่อนหน้านี้อวิ๋นจือชิวแอบทำความเข้าใจกับสิ่งนี้มาไม่น้อย


“ข้าได้ยินชื่อของที่นี่มานานแล้ว ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ไปดูสักหน่อยล่ะ เจ้าไปรอข้าอยู่ทางนั้นเถอะ” เหมียวอี้ชี้ไปยังดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล จากนั้นก็โยนเมี่ยวฉุนให้เหยียนซิว


เหยียนซิวย่อมเข้าใจว่าเมี่ยวฉุนมีประโยชน์อะไร อย่างน้อยก็เป็นพยานให้กับเหตุการณ์น่าหวาดเสียวก่อนหน้านี้ได้ การที่นายท่านส่งเมี่ยวฉุนให้เขา ก็เหมือนจะเตรียมเอาไว้ป้องกันเหตุไม่คาดคิด ยามมีเรื่องอะไรขึ้นมา อย่างน้อยพยานอย่างเมี่ยวฉุนก็สามารถทำให้เหยียนซิวลดความยุ่งยากได้บ้าง แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างกังวลว่า “ข้าน้อยจะไปเป็นเพื่อนนายท่าน”


เหมียวอี้จึงบอกว่า “บนดาวพิษมีหมอกพิษอยู่ทุกที่ ถ้าไม่ได้เตรียมตัวให้รอบคอบก็ไม่สะดวกจะเข้าไป ถ้าเจ้าเข้าไปจะมีอันตราย เจ้าวางใจได้ ข้าไม่เป็นอะไรหรอก”


“ข้าน้อยสามารถเข้าไปอยู่ในกระเป๋าสัตว์ได้ ถ้ามีเรื่องอะไรจะได้ช่วยเหลือสะดวก” เหยียนซิวกล่าว


เหมียวอี้เหล่ตาจ้องมา เหยียนซิวอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เงียบไป ก้มหน้าเล็กน้อยพลางเอ่ยรับ “ขอรับ!”


เหมียวอี้สะบัดแขนเสื้อไปข้างหลัง พุ่งไปทางดาวพิษอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้เข้าไปโดยตรง แต่เหาะวนตรวจตรารอบๆ ดาวพิษ เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง


เหยียนซิวที่มองตามถอนหายใจเบาๆ ถ้าตัวเองเดาไม่ผิด นายท่านน่าจะทำความเข้าใจดาวพิษดวงนี้มานานแล้ว เห็นได้ชัดว่าวางแผนไว้นานแล้วว่าจะมาที่นี่ ดูจากท่าทางที่เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง ก็ไม่เหมือนคนมาหาที่ซ่อนตัวหรือว่ามาดูเฉยๆ เลย เขาพบว่ายิ่งนับวันตัวเองจะยิ่งไม่เข้าใจเหมียวอี้แล้ว พบว่าบนตัวเหมียวอี้มีปริศนามากมายที่ตัวเองไม่เข้าใจ ยกตัวอย่างเช่นดวงตาที่สามที่มีแสงวิบวับดวงนั้น แล้วก็ตอนนี้อีก ทำไมต้องมาที่ดาวพิษแห่งนี้ด้วยล่ะ?


เหมียวอี้วนอ้อมดาวพิษไม่กี่รอบ แต่ก็ไม่พบลักษณะภูมิประเทศที่ตัวองกำลังตามหา เป็นเพราะในดาวพิษมีเมฆครึ้มเยอะเกินไป เป็นอุปสรรคต่อสายตา ทำให้เขาเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะเปิดใช้งานตาทิพย์เพื่อค้นหา แต่ดูจากสภาพแวดล้อมของดาวเคราะห์โดยรอบแล้ว ก็อาจจะถูกคนอื่นพบได้ง่ายมาก สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป พุ่งเข้าไปในชั้นบรรยากาศของดาวพิษแล้ว


ลมวัดดังวูบๆ กระแสเมฆสีเทาบ้างสีขาวบ้างกำลังไหลตามสายลมราวกับกระแสน้ำ


เหมียวอี้ที่เหาะลงมาจากฟ้าหยุดชะงัก หยุดยืนนิ่งอยู่บนฟ้าสูง รอบตัวมีเพลิงจิตปกป้องร่างกาย กำลังมองดูโดยรอบ


กระแสเมฆดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เหมียวอี้ที่ได้รับคำเตือนมาจากอวิ๋นจือชิวก็ยังไม่กล้าดูถูกมัน กลับคิดอยากจะทดสอบ จึงยื่นนิ้วมือหนึ่งนิ้วออกไปนอกเพลิงจิต ให้ปลายนิ้วสัมผัสกับเมฆหมอกที่พัดเข้ามา


ตอนแรกก็ยังไม่รู้สึกอะไร แต่พอผ่านไปครู่เดียวก็รู้สึกชาปลายนิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็รู้สึกคันนิดหน่อย แล้วเล็บก็เปลี่ยนสีดำและบวมอย่างรวดเร็วอย่างที่ตาเปล่าสังเกตได้ พอเหมียวอี้ตรวจสภาพภายในร่างกายอย่างละเอียด ก็พบว่าปลายนิ้วเริ่มมีเค้าส่อให้เห็นว่าเน่าเปื่อย และลุกลามขึ้นมาบนแขน มีพิษจริงๆ ด้วย เขาใช้เคล็ดวิชาอัคนีดาราชำระไปที่ปลายนิ้วอย่างรวดเร็ว กำจัดพิษออกไป


ในขณะนี้เอง จู่ๆ เหมียวอี้ก็ขมวดคิ้ว แล้วหยิบระฆังดาราออกมา เป็นระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกับเหยียนซิว : มีเรื่องอะไร?


เหยียนซิว : นายท่าน ข้าน้อยเห็นคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปในดาวพิษแล้ว มีประมาณยี่สิบกว่าคน แต่งตัวค่อนข้างแปลก


เหมียวอี้จมอยู่ในความคิด ใครกันที่ถ่อมาถึงดาวพิษได้? ตามข้อมูลที่อวิ๋นจือชิวให้มา ดาวพิษแห่งนี้ไม่เหมาะแก่การดำรงชีวิต คนทั่วไปไม่มีทางมาที่ดาวพิษ คนกลุ่มเดียวที่อาจจะมาปรากฏตัวที่ดาวพิษบ่อยๆ ก็คือคนที่มาเก็บเมิ่งถัวหลัว


เมิ่งถัวหลัวคือหญ้าพิษชนิดหนึ่ง เป็นพิษประหลาด แตกต่างจากพิษทั่วไป คนที่โดนพิษชนิดนี้ตาย สิ่งที่ตายจะไม่ใช่กายหยาบ แต่เป็นจิตวิญญาณ  จิตวิญญาณจะแตกซ่าน ตัดขาดภพภูมิหน้าของผู้ตาย และหญ้าพิษชนิดนี้ก็มีประโยชน์อีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ เมื่อศิษย์สำนักพุทธนำมาหลอมสร้างเป็นอาวุธแล้ว ก็สามารถใช้โปรดวิญญาณคนตายได้ กับวิญญาณบางพวกที่ปราณอาฆาตล้ำลึกจนไม่ยอมไปเวียนว่ายตายเกิดแต่อยากกลายมาเป็นนักพรตผี สิ่งนี้ก็สามารถทำใช้โปรดวิญญาณได้เช่นกัน ทำให้พวกมันละทิ้งบุญคุณความแค้นและเข้าสู่การเวียนว่ายตายเกิดเร็วๆ ได้


ในอดีตตอนที่ดาวพิษยังเป็นดาวหนานอู๋ ก็ยังไม่เคยเกิดหญ้าพิษชนิดนี้ แต่หลังจากกลายเป็นดาวพิษแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นสถานที่ที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของเมิ่งถัวหลัว มีคนบอกว่าเป็นการกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจของพระปีศาจหนานโป และมีคนบอกว่านี่คือสาเหตุที่พระปีศาจหนานโปสร้างสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายให้ดาวหนานอู๋ จุดประสงค์ก็เพื่อปลูกหญ้าพิษชนิดนี้ เรื่องไหนจริงเรื่องไหนเท็จ คาดว่าคงมีเพียงพระปีศาจหนานโปที่รู้ดีที่สุด


เหมียวอี้คิดว่าคนกลุ่มนั้นไม่น่าจะพุ่งเป้ามาที่เขา ถึงอย่างไรเรื่องที่เกิดขึ้นที่ดาวฮุ่ยหลินก็ยังเป็นความลับอยู่ ก่อนที่จะได้ที่ซ่อนสมบัติมาไว้ในมือ เขาก็ไม่อยากให้มีอะไรมารบกวน ฝั่งมือสังหารไม่น่าจะเปิดเผยให้ใครรู้สิ มีความเป็นไปได้สูงว่าผู้ที่มาจะมาเก็บเมิ่งถัวหลัว


เมื่อวินิจฉัยได้แบบนี้ ก็ตอบเหยียนซิวกลับไปว่าไม่เป็นอะไร แล้วก็ถามตำแหน่งคร่าวๆ ของผู้ที่มาอีก


หลังจากเก็บระฆังดาราแลว เหมียวอี้ก็หลับตาสองข้าง รอยนูนสีแดงตรงหว่างคิ้วเปิดออก ตาทิพย์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เสาแสงที่มีรัศมีแวววับลอยวนเวียนยิงออกมา หันหน้าไปทางตำแหน่งของผู้มาเยือนตามที่เหยียนซิวบอก ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ทอดสายตาไปไกล หลังจากวรยุทธ์ถึงระดับบงกชรุ้งแล้ว ความสามารถในการควบคุมตาทิพย์ก็ย่อมเหนือกว่าเมื่อก่อนอยู่แล้ว อิสระผ่อนคลายขึ้นเยอะเลย


ผ่านไปไม่นาน สายตาของตาทิพย์ก็เจอกับกลุ่มคนแต่งตัวประหลาดเหมือนที่เหยียนซิวบอกแล้ว มีประมาณยี่สิบคน กำลังสุมหัวประชุมอะไรบางอย่างกันอยู่บนยอดเขา


การแต่งตัวของพวกเขาแปลกประหลาดจริงๆ ตั้งแต่ศีรษะจดเท้าถูกปิดเอาไว้อย่างมิดชิด เหมือนจะสวมชุดดำตัวโคร่งทั้งตัว แขนเสื้อ ขากางเกงล้วนมัดไว้อย่างมิดชิด ขนาดตรงดวงตาทั้งคู่ยังเป็นกรอบผลึกใสเลย มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าแต่งตัวแบบนี้เพื่อป้องกันพิษ


จากการแต่งตัวของคนพวกนี้ทำให้มองไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย เหมียวอี้ใช้ประโยชน์ในการมองทะลุของตาทิพย์ แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมองทะลุเข้าไปไม่ได้ จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่าเครื่องแต่งกายของคนพวกนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันพิษดีมาก ไม่อย่างนั้นถ้ามีซอกแค่นิดเดียวก็สามารถมองทะลุได้แล้ว แต่ดูจากส่วนสูงและดวงตาที่ปรากฏตรงกรอบตาผลึกใส ก็ทำให้มองออกว่าทั้งหมดเป็นผู้หญิง


คนพวกนี้แบ่งกลุ่มกันอย่างรวดเร็ว แยกย้ายกันไปตามแนวภูเขาที่สูงต่ำไม่เสมอกันแล้วค้นหาอะไรบางอย่าง


ด้วยเหตุนี้เหมียวอี้จึงมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองตัดสิน คาดว่าคงเป็นคนที่มาเก็บเมิ่งถัวหลัว


พอเก็บสายตาของตาทิพย์กลับมา แล้วมองไปที่เบื้องล่างของตัวเอง ก็พบว่าพื้นดินรกร้างเปล่าเปลี่ยวยาวต่อเนื่องกัน แทบจะมองไม่เห็นพืชหรือสัตว์อะไรเลย แม่น้ำสายเล็กสายใหญ่ไหลคดเคี้ยวอยู่บนพื้นดินรกร้าง คุณภาพน้ำก็ดูใส ทว่ากระแสน้ำที่อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมอย่างนี้ ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าใช้บริโภคไม่ได้ น้ำมีหน้าที่กลั่น ไม่รู้ว่าดูดซับธาตุพิษอยู่ท่ามกลางอากาศที่เต็มไปด้วยพิษไว้มากเท่าไรแล้ว


แคว่ก! เหมียวอี้ฉีกผ้าผืนใหญ่ออกมาผืนหนึ่ง เอามาห่อหุ้มไว้บนร่างกายตัวเอง กลุ่มคนที่มาเก็บเมิ่งถัวหลัวพวกนั้นได้เตือนเขาอย่างอ้อมๆ แล้ว ว่าถ้าบนตัวไม่มีอะไรป้องกัน เมื่อถูกพบขึ้นมาก็จะสะดุดตามาก ถึงได้ฉีกผ้ามาห่อหุ้มไว้ทั้งร่างกาย บนศีรษะปิดไว้ครึ่งเดียว เผยให้เห็นเพียงส่วนของดวงตา


หลังจากนั้น เขาก็อาศัยกลุ่มเมฆบนท้องฟ้าพรางตัวตลอดทาง พยายามไม่เปิดเผยตัวเอง หลบอยู่ในชั้นเมฆและใช้ตาทิพย์ตรวจดูพื้นดิน ตามหาลักษณะภูมิประเทศที่ตัวเองจดจำและคุ้นเคยอยู่หัวสมอง


ครั้งนี้ระบุเป้าหมายได้เร็วมาก เป็นเพราะเป้าหมายค่อนข้างสะดุดตาจริงๆ


หลังจากนั้นสองชั่วยาม เหมียวอี้ก็หยุดอยู่กลางอากาศ ขณะมองดูบนพื้นดิน ระหว่างแนวภูเขาด้านล่างมีรอยประทับรอยฝ่ามือขนาดใหญ่ที่จมลึกอยู่บนพื้นรอยหนึ่ง เหมือนจะเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่มากข้างหนึ่งตีตบลงไป ทำให้แนวเทือกเขารอบๆ โค้งขึ้นมา ตรงจุดที่แนวเทือกเขายื่นขยายออกไปขาดท่อนเป็นระยะ


แค่มองเห็นแวบเดียว เหมียวอี้ก็ต้องสูดหายใจอย่างตกตะลึงแล้ว ขนาดอยู่บนฟ้าสูงยังมองเห็นรอยฝ่ามือที่ใหญ่มหึมาขนาดนี้เลย แล้วขอบเขตของรอยฝ่ามือจริงที่ครอบคลุมอยู่บนพื้นจะกว้างขนาดไหนกัน แค่คิดก็รู้แล้ว แค่จินตนาการก็รู้ถึงอานุภาพของฝ่ามือนี้แล้ว ผู้ที่ใช้ฝ่ามือนี้ก็ยิ่งจินตนาการออกเลย การที่สามารถประทับรอยฝ่ามือไว้ในขอบเขตที่กว้างใหญ่และชัดขนาดนี้ได้ อันดับแรกจะต้องลงมือในระดับที่สูงมากพอ อีกทั้งเมื่ออยู่ในระยะที่ห่างไกลขนาดนั้น ก็ยังสามารถปล่อยพลังลงมาได้แข็งแกร่งขนาดนี้ ช่างจินตนาการได้ยากจริงๆ


จากการตัดสินของเหมียวอี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าผู้ที่ลงมือจะสามารถทำลายดาวเคราะห์ดวงนี้ได้โดยใช้เพียงฝ่ามือเดียว เพียงแต่ไม่ได้ทำอย่างนั้นก็เท่านั้นเอง


เดาได้ไม่ยากว่าใครเป็นผู้ทิ้งรอยฝ่ามือนี้ไว้ คาดว่านอกจากพระปีศาจหนานโปคนนั้นก็คงจะไม่มีใครแล้ว


ถึงแม้จะผ่านไปหลายปี แต่ดูจากร่องรอยของฝ่ามือที่บดอัดลงไป ก็ยังมองออกว่ามีสิ่งปลูกสร้างจำนวนไม่น้อยที่ที่ถูกทำลายอยู่ภายใต้ฝ่ามือนั้น เหมือนแป้งก้อนหนึ่งที่โดนตบจนกลายเป็นขมเปี๊ยะ จากเค้าโครงพวกนี้ก็ทำให้ดูออกแล้ว


เมื่ออยู่บนฟ้าสูงแล้วตัดสินจากลักษณะภูมิประเทศโดยรอบ ตรงรอยฝ่ามือก็คือตำแหน่งที่แผนที่ซ่อนสมบัติระบุไว้ ส่วนจุดค้นห้าสมบัติโดยละเอียด บนแผนที่ก็บอกเอาไว้เพียงประโยคเดียว


กลางร่องรอยความเจ็บปวดของหนานอู๋!


เมื่อเชื่อมโยงความเจริญและเสื่อมโทรมในอดีตของดาวหนานอู๋ ประโยคนี้ก็ทำความเข้าใจได้ไม่ยาก แม้แต่อวิ๋นจือชิวที่ไม่เคยหาสมบัติก็ยังเดาความหมายชี้นำคร่าวๆ ของประโยคนี้ได้ มันคือซากของสำนักหนานอู๋ จุดซ่อนสมบัติก็คือสำนักหนานอู๋ในอดีต


เหมียวอี้ที่คลุมผ้าดำทั้งตัวเหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงในแอ่งกระทะที่เกิดจากรอยฝ่ามือตบ เหยียบลงตรงร่องรอยขนาดใหญ่สุดที่มีเค้าโครงสิ่งปลูกสร้างพัง ถือเป็นบริเวณใจกลางของรอยฝ่ามือเช่นกัน


เค้าโครงร่องรอยที่มองเห็นเมื่ออยู่บนฟ้า แต่พอเหยียบลงพื้นที่จริงแล้วกลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในป่ารกร้างผืนหนึ่ง มองไม่เห็นเศษซากอะไรทั้งนั้น เกิดข้อจำกัดทางด้านสายตาแล้ว


วูบ! เหมียวอี้พลันหมุนตัว พลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งโหมซัดสาดไปโดยรอบ ทำให้ฝุ่นควันที่ปกคลุมผืนดินขยายไปรอบๆ


ตรงใต้เท้าของเหมียวอี้นี่เอง ถึงแม้เสาหินต้นใหญ่จะแตกเป็นผุยผงไปแล้ว แต่เค้าโครงเสาหลังจากถูกกดลงใต้ดินก็ยังมีความสมบูรณ์ ทำให้แยกแยะได้ง่ายมากว่าก่อนที่จะพัง เสาต้นนี้ก็คือเสาหินขนาดใหญ่มากต้นหนึ่ง


ของที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินเหล่านี้ถูกเป่าให้เผยออกมาทีละนิด ทั้งใกล้และไกลไม่ได้มีแค่เสาหินขนาดใหญ่ต้นเดียวเลย มีหลายต้นมาก จะเห็นได้ว่าในปีนั้นอารามแห่งนี้ใหญ่โตขนาดไหน


ทั้งยังมีเครื่องโลหะที่ถูกบดแบนไม่น้อยเลยด้วย สภาพเปลี่ยนไปเพราะโดนสนิมกัดกิน ถึงขั้นมีเค้าโครงหลังคาที่โดนตบประทับไว้บนพื้นเลย


เหมียวอี้เดินเข้าไปสำรวจ สามารถจินตนาการได้ถึงชั่วพริบตาที่ความรุ่งโรจน์อันยาวนานกลายเป็นฝุ่นดิน จากความเศร้ารันทดที่ถูกผนึกไว้ใต้ฝุ่น ก็ทำให้รู้สึกได้รางๆ ถึงความหมายกำกวมของประโยค ‘กลางร่องรอยความเจ็บปวดของหนานอู๋’ มีทั้งความรู้สึกปลงอนิจจังให้กับความเศร้าเสียใจอันเป็นนิรันดร์ของสำนักหนานอู๋ และมีการชี้บอกอย่างชัดเจนเช่นกัน ว่าเบาะแสการหาสมบัติอยู่กลางร่องรอยนี้


ที่เรียกว่าปลงอนิจจัง เหมียวอี้ก็แค่ทอดถอนใจนิดหน่อยเท่านั้น เขาไม่ได้มีชุดความคิดหรือความผูกพันอะไรกับสำนักหนานอู๋ รู้สึกสนใจพิกัดในการหาสมบัติมากกว่า


“กลางร่องรอยความเจ็บปวดของหนานอู๋ กลางร่องรอยความเจ็บปวดของหนานอู๋…” เหมียวอี้มองไปรอบๆ พลางพึมพำ คำว่า ‘กลาง’ นี่หมายถึงตรงไหนกันแน่ ถ้าจะให้มองดูจนทั่ว เขาก็ทำความเข้าใจลำบากมาก จะไม่ให้หาใจกลางก็ไม่ได้ เพราะจากประสบการณ์ในการหาสมบัติก่อนหน้านี้ ถ้าไม่หาจุดนั้นให้เจอก่อน ก็จะมองไม่เห็นภาพสตรีทะยานฟ้าเลย สายตาจะต้องอยู่ในระดับที่พอดิบพอดี นี่ก็คือวิธีการอันเหนือชั้นของผู้ซ่อนสมบัติ ถ้าไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง ต่อให้ได้แผนที่ซ่อนสมบัติไปแต่ก็หาสมบัติไม่เจออยู่ดี

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)