ลำนำบุปผาพิษ 1626-1629
บทที่ 1626 คืนสิ้นปี 5
ตี้ฝูอียกถ้วยขึ้นมา “วางใจเถอะ ในใจข้ามีเพียงจิ้งเคอ คนอื่นล้วนเป็นเมฆาเลื่อนลอยทั้งสิ้น”
“แต่นางเป็นจิตสำนึกของพี่หญิงกลับชาติมาเกิดนะ หากว่านางยังมีชีวิตอยู่ต่อ เช่นนั้นถ้าพี่หญิงหวนคืนมาจริงๆ มิใช่ว่าวิญญาณจะไม่สมบูรณ์หรอกหรือ?”
ตี้ฝูอีเอ่ยเรียบๆ “ในเมื่อจิตสำนึกสามารถเกิดใหม่เพียงลำพังได้ วิญญาณหลักก็ทำได้เช่นกัน วางใจเถอะ เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นอีก ข้าจะหาจิตสำนึกใหม่มาทดแทนให้จิ้งเคอ จะไม่ให้จิตสำนึกของจิ้งเคอขาดหายไปเด็ดขาด”
หลานจิ้งอี๋คลี่ยิ้มดั่งบุปผาผลิบาน “จิ้งอี๋ทราบว่าพี่เขยปักใจในตัวของพี่หญิง เช่นนั้นย่อมไม่มีทางทำพลาด…”
นางลุกขึ้นยืน กวาดตามองต้นสนครามที่อยู่ด้านนอกศาลารอบหนึ่ง “ที่นี่นามว่าศาลาสดับคลื่น ต้นสนเหล่านี้ดั่งท้องสมุทร พี่เขยมีใจต่อท้องสมุทรเสมอมาโดยแท้ สดับคลื่น สดับคลื่น สดับรับฟังคลื่นสมุทร ข้าได้ยินคนเอ่ยว่ายามที่พี่หญิงมีชีวิตอยู่ก็ชอบฟังเสียงคลื่นทะเลเช่นกัน…”
คนในศาลาสนทนาพาที ทั้งสามดื่มชาพูดคุยกันอยู่ตรงนั้น คนสามคนนั่งอยู่ที่นั่นราวกับภาพวาดน้ำหมึกผืนหนึ่ง
กู้ซีจิ่วซุ่มอยู่ในที่มืด ได้ยลยินทุกอย่าง ทั้งร่างหนาวเหน็บขึ้นมาเป็นพักๆ
เขาคะนึงถึงหลานจิ้งเคอจนผมหงอกขาว ในใจเขามีเพียงหลานจิ้งเคอ…
เขาก็เหมือนหยางกั้วในเรื่อง ‘จอมยุทธ์เจ้าอินทรี’ รอคอยเสี่ยวหลงหนี่ว์อย่างทุกข์ทรมานสิบหกปี สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรจากการรอ ผมหงอกขาวไปกึ่งหนึ่งในชั่วข้ามคืน ส่วนเขารอคอยหลานจิ้งเคออย่างทุกข์ตรมมาหลายพันปี สุดท้ายผู้ที่คืนชีพขึ้นมากลับเป็นตัวเธอกู้ซีจิ่ว ไม่ใช่หลานจิ้งเคอที่เขาคะนึงหาอยู่เป็นนิตย์ ด้วยเหตุนี้เส้นผมเขาจึงหงอกขาวเช่นกัน ซ้ำยังขาวโพลนไปทั้งหัวด้วย…
ปักใจรักมั่นจริงๆ! ความรักมั่นนี้สามารถทำให้ฟ้าดินตื้นตันได้โดยแท้!
ที่แท้เขาทุกสิ่งที่เขาดีต่อเธอ ล้วนเป็นเพราะเธอคือจิตสำนึกของหลานจิ้งเคอ เขามองเธอเป็นส่วนหนึ่งของหลานจิ้งเคอ
ยามนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเธอไม่ใช่หลานจิ้งเคอ ดังนั้นจึงมองเธอเป็นคนแปลกหน้า จากปราศจากฐานะหลานจิ้งเคอแล้ว เธอก็ไม่นับว่าเป็นอะไรในใจของเขาเลยจริง…
ในหัวใจเสมือนมีน้ำทะลักเข้ามา ทั้งชาทั้งบวม เธอรู้สึกเพียงว่าสองขาอ่อนแรง พลันส่ายโงนเงน จากนั้นก็เหมือนเธอพลัดหล่นลงมาจากอาคารสูงหมื่นจั้ง สะดุ้งตื่น!
ร่างเธอพลันสั่นสะท้าน ลืมตาขึ้นมา
หอสดับคลื่นอันใด ตี้ฝูอีอันใด สองพี่น้องสกุลหลานอันใดล้วนสหายหายไปดั่งเมฆหมอก รอบข้างคือพรมขาวพิสุทธิ์ มีเก้าอี้ไผ่สาน มีโต๊ะไม้โบราณ มีหลงซือเย่ มีเสียงพิณขานแว่ว…
เมื่อเงยหน้ามองด้านนอกอีกครั้ง ท้องฟ้ามืดสนิทไปนานแล้ว เป็นคืนสิ้นปีที่ไร้ซึ่งเดือนดาราเป็นท้องนภาที่มืดมิดหม่นหมอง
ส่วนเธอนอนอยู่บนตั่งนุ่มตัวหนึ่ง บนร่างมีผ้าห่มคลุมอยู่ จึงไม่รู้สึกหนาว
เมื่อมองดูนาฬิกาทรายตรงมุมห้อง ก็เป็นยามกะสี่! ใกล้จะถึงยามฟ้าสางแล้ว
คืนสิ้นปีผ่านพ้นไปแล้ว!
เสียงพิณแว่วกังวานที่เธอได้ยินหลงซือเย่เป็นผู้ดีดบรรเลง เสียงพิณเพราะพริ้ง ดั่งเพลงกล่อมเด็ก ทำให้จิตใจคนสงบผ่อนคลาย
มิน่าล่ะในฝันเธอถึงได้ยินเสียงพิณล่อลอยอยู่ตลอด ที่แท้ก็เป็นหลงซือเย่ที่ดีดบรรเลง
เธอจำได้ว่าตอนที่เธอเข้าสู่ห้วงนิทราตะวันเพิ่งลาฟ้าไปครึ่งดวง ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะหลับรวดเดียวมาจนถึงตอนนี้เลย!
เป็นความฝันที่ยาวนานเหลือเกิน!
โชคดีที่ไม่ว่าจะเป็นฝันร้ายอันใดก็ล้วนมีชวงเวลาที่จะตื่นขึ้นมา
และในที่สุดเธอก็ตื่นแล้ว!
หัวใจเจ็บปวดดั่งจมน้ำ ทว่าคนกลับมีสติแจ่มใสอย่างน่าประหลาด
“ตื่นแล้วเหรอ? เมาค้างหรือเปล่า? ดื่มน้ำสักถ้วยไหม?” ในที่สุดเสียงพิณของหลงซือเย่ก็หยุดลง น้ำถ้วยหนึ่งถูกยื่นมาให้เธอ
นิ้วมือสัมผัสถูกนิ้วของเธอนิดหน่อยโดยไม่ได้ตั้งใจ หลงซือเย่ขมวดคิ้ว “ทำไมมือเธอเย็นขนาดนี้?” คิดจะจับชีพจรให้เธอ
กู้ซีจิ่วหัวเราะเบาๆ หลบเลี่ยงเขา “ฉันเป็นพวกธาตุเย็น มือเท้าเลยเย็นได้ง่าย ไม่เป็นไรหรอกน่า”
ถึงอย่างไรเธอก็เพิ่งสร่างเมา ค่อนข้างเมาค้างอยู่บ้าง ดังนั้นเธอจึงดื่มน้ำถ้วยนั้น น้ำผสมน้ำผึ้งอุ่นๆ ที่หวานหอมเข้าสู่ลำคอ ทำให้อบอุ่นขึ้นไม่น้อย
————————————————————————————-
บทที่ 1627 คืนสิ้นปี 6
หลงซือเย่มองหน้าเธอ พบว่านอกจากสีหน้าที่ซีดขาวเล็กน้อยแล้ว อย่างอื่นกลับไม่ผิดปกติเลย จึงเบาใจลง ถามเธออย่างคล้ายจะหยอกล้อ “ฝันอะไรมาเหรอ? เมื่อกี้เธอละเมอพูดด้วย”
“ฉันละเมอว่าอะไรเหรอ?”
“ได้ยินไม่ชัด แต่ว่าพูดอยู่หลายประโยคเลย”
กู้ซีจิ่วนวดคลึงหว่างคิ้ว “ที่แท้ฉันก็มีนิสัยละเมอด้วย ช่างเถอะ ความฝันก็เป็นแค่ความฝัน จะฝันดีหรือฝันร้ายก็มีช่วงเวลาที่จะตื่นขึ้นมา”
เธอมองเขาอีกครั้ง “คุณดีดพิณให้ฉันตลอดเลยเหรอ?”
หลงซือเย่ยิ้มน้อยๆ “วันนี้มีไฟในการดีดมากไปหน่อย อีกทั้งวันนี้เป็นคืนสิ้นปี ฉันเลยถือวิสาสะดีดพิณข้ามปีเสียเลย ไม่ได้กวนเธอใช่ไหม?”
กู้ซีจิ่วบิดขี้เกียจแล้วลุกขึ้นนั่ง “แน่นอนว่าไม่ เสียงพิณของคุณสะกดจิตมาก…”
“ฟังดูไม่เหมือนคำชมเลยนะ แต่ว่าถ้าทำให้เธอหลับฝันดีได้ฉันก็ประสบความสำเร็จมากแล้ว”
ทั้งสองพูดคุยหยอกเอินกันอยู่พักหนึ่ง กู้ซีจิ่วเหลียวมองรอบข้างอีกครั้ง หลงซือเย่ละเอียดรอบคอบนัก เดิมทีศาลาหลังนี้เป็นศาลาธรรมดา ตอนนี้เพื่อให้เธอได้นอนหลับที่นี่อย่างสงบ เขาจึงนำพรมมาขึงไว้รอบศาลาโดยเฉพาะ มิน่าล่ะเธอถึงนอนในศาลานี้อย่างอบอุ่นนัก
นึกไม่ถึงว่าในคืนสิ้นปีเธอจะได้มาข้ามปีอยู่ที่นี่ เพียงแต่ก็นับว่ามีความหมายเช่นกัน
เธอไม่ง่วงแล้ว จึงลุกขึ้นมาแล้วให้หลงซือเย่ไปพักผ่อนเสีย
หลงซือเย่ไหนเลยจะยอมจากไป “ฉันไม่หลับไม่นอนหลายคืนจนเป็นเรื่องปกติแล้ว อีกอย่างเดิมทีคืนนี้ก็สมควรอยู่เฝ้าปี ถ้าเธอเบื่อ พวกเรามาเล่นเกมกันหน่อยไหม?”
เขาหยิบกระดานหมากรุกมาวาง ชี้ไปที่ฝั่งตรงข้าม “เชิญ!”
กู้ซีจิ่วยังคงชำนาญการเดินหมากยิ่งนัก เมื่อก่อนเธอก็เคยเดินหมากกับหลงซีอยู่บ่อยๆ ฝีมือการเดินหมากของทั้งสองคนนับว่าสูสีกัน ล้วนผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ
รัตติกาลช่างเนิ่นนาน คืนเฝ้าปีที่น่าเบื่อ ใช้การเดินหมากมาฆ่าเวลาก็ไม่เลวเลย ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงเดินหมากกับเขา
หลงซือเย่พบว่าการเดินหมากของเธอในคืนนี้ไม่เข้าเค้าเลย วางทางตะวันตกตัวหนึ่ง วางทางตะวันออกตัวหนึ่ง ค่อนข้างสับสนวุ่นวายยิ่งนัก กระดานหมากเปรียบดังสนามรบ บนกระดานหมากสามารถมองออกได้ว่าสภาพจิตใจของคนผู้หนึ่งอย่างละเอียดได้
หลงซือเย่มองออกว่าตอนนี้จิตใจของกู้ซีจิ่วค่อนข้างสับสน…
ทั้งสองคนเล่นติดต่อกันสองสามตา กู้ซีจิ่วพ่ายแพ้ยับเยิน ถูกหลงซือเย่ดีดหน้าไปหลายทีแล้ว
กู้ซีจิ่วนวดหน้าผากที่แดงเถือกเล็กน้อยแล้วเงยหน้ามองด้านนอก “ในที่สุดฟ้าก็สว่างแล้ว!”
หลงซือเย่มองเธอด้วยสายตาสุขุม “ใช่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคืนที่มืดมิดมากเพียงใดก็จะมีช่วงเวลาที่สว่างไสวเสมอ”
กู้ซีจิ่วหัวเราะคิกๆ “พูดจามีคติธรรมเชียว คุณเรียนรู้วิถีแห่งเซนตั้งแต่ตอนไหนกัน?”
ทั้งสองพูดคุยยิ้มหัวกันอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็เงยหน้าเอ่ยถามหลงซือเย่ “ร่างโคลนนิ่งที่ฉันขอให้คุณสร้างเป็นยังไงบ้าง?”
หลงซือเย่ตะลึงไปครู่หนึ่ง เอ่ยตอบ “ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว…” เขาเพ่งพิศกู้ซีจิ่วจากบนลงล่างคราหนึ่ง เขาย่อมมองออกนานแล้วว่าร่างกายของกู้ซีจิ่วในตอนนี้เป็นร่างเดิมของเธอ ตอนนี้ร่างนี้ดูแข็งแรงยิ่งนัก ไม่มีความผิดปกติอะไร
ห้าเดือนก่อนกู้ซีจิ่วมาหาหลงซือเย่ ขอให้เขาสร้างร่างโคลนนิ่งให้ตนร่างหนึ่ง
ยามนั้นหลงซือเย่ฉงนยิ่งนัก ถามว่าเธอจะใช้ทำอะไร เธอก็ไม่พูดให้ชัดเจน เพียงตอบอย่างคลุมเครือว่าวันหน้าอาจได้ใช้การ เตรียมไว้เนิ่นๆ ตั้งแต่ยามนี้เสียดีกว่า
หลงซือเย่ไม่เคยปฏิเสธเธออยู่แล้ว ใช้เวลาห้าเดือนสร้างขึ้นร่างหนึ่ง…
กู้ซีจิ่วลุกขึ้นยืน “พาฉันไปดูหน่อยสิ”
….
ตำหนักน้ำแข็งอันคุ้นตา โลงแก้วผลึกที่คุ้นเคย ในโลงที่คุ้นตามีร่างที่คุ้นเคยนอนอยู่
กู้ซีจิ่วยืนอยู่หน้าโลงแก้วผลึก มองดู ‘โฉมงาม’ ในโลง
บทที่ 1628 คืนสิ้นปี 7
ต้องกล่าวเลยว่า สังขารนี้ดีกว่าสังขารที่หลงซือเย่สร้างขึ้นก่อนหน้านี้มากนัก เทียบเคียงกับร่างนั้นที่หลงฟั่นสร้างขึ้นหนก่อนได้เลย ถึงขั้นที่ยอดเยี่ยมกว่าด้วยซ้ำ
พลังวิญญาณดั้งเดิมของร่างนี้คือขั้นแปด! นับว่าเป็นตัวตนที่ขัดต่อสวรรค์ยิ่งนักเช่นกัน
กู้ซีจิ่วมอง ‘ตัวเอง’ ที่อยู่ในโลง มุมปากเผยรอยยิ้มขื่นขมแวบหนึ่ง เดิมทีดวงวิญญาณเธอก็ถือกำเนิดจากร่างโคลนนิ่ง บางทีร่างโคลนนิ่งสิถึงจะเป็นแหล่งพำนักที่แท้จริงของเธอ…
เธอเอ่ยถามหลงซือเย่ “ถ้าหากฉันอยากย้ายเข้าสู่ร่างโคลนนิ่งนี้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ จะสำเร็จอย่างง่ายดายหรือเปล่า?”
หลงซือเย่ตกตะลึง ไม่พูดไม่จาอะไรคว้าข้อมือเธอมาจับชีพจรให้ทันที ผ่านไปสักพักถึงคลายมือออก “ร่างนี้ของเธอยอดเยี่ยมมากอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาเลยสักนิด ทำไมถึงคิดจะเปลี่ยนร่างอีกล่ะ?” เธอนึกว่าการเปลี่ยนร่างเหมือนการเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือไง?
กู้ซีจิ่วหลุบตาลง เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนมีความคิดบ้าดีเดือดเช่นนี้ได้อย่างไร คิดจะทำตัวเป็นเหลยเฟิง ส่งมอบสังขารนี้ออกไปอีกครั้ง มอบให้หลานจิ้งเคอนางในดวงใจของตี้ฝูอี…
เขาคาดหวังให้หลานจิ้งเคอฟื้นคืนชีพมาโดยตลอดมิใช่หรือ? โกรธเคืองที่เธอยึดครองร่างของหลานจิ้งเคอเสมอมาใช่หรือไม่? เช่นนั้นเธอก็จะมอบให้!
สังขารนี้ถึงแม้จะเป็นร่างเดิมของคุณหนูแห่งจวนแม่ทัพ แต่ก็เป็นตี้ฝูอีที่ใช้ความพยายามอย่างมหาศาลถึงทำให้มันที่หลับใหลอยู่สามารถฝึกฝนจนบรรลุขั้นสิบได้ อีกทั้งร่างนี้เดิมทีก็เคยหมั้นหมายกับตี้ฝูอี…
เมื่อคิดเช่นนี้แล้วร่างนี้เดิมทีก็มีความเกี่ยวพันกับตี้ฝูอีอย่างล้ำลึกยิ่งนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เธอก็จะมอบให้ไปเสียเลย!
ในเมื่อคิดจะตัด เช่นนั้นก็ต้องสะบั้นให้หมดจด!
เธอคืนร่างดั้งเดิมนี้ให้เขา กลับสู่ร่างโคลนนิ่ง นับจากวันนี้ไปเธอก็ไม่ติดค้างเขาอีกแล้ว! ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขาอีกแม้สักเศษเสี้ยว!
บางทีหลังจากเปลี่ยนร่างแล้ว เธออาจจะก้าวออกมาจากบ่วงรักครั้งนี้อย่างสมบูรณ์ได้ เป็นตัวเองคนใหม่อย่างสมบูรณ์!
เธอไม่อยากอธิบายลูกคิดรางแก้วเหล่านี้ให้หลงซือเย่ทราบ เพียงมองเขาอย่างจริงจัง “สรุปแล้วย้ายได้ไหม?”
หลงซือเย่ปวดหัวแล้ว ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ถ้าจะย้ายย่อมย้ายได้ เพียงแต่ตอนนี้เธอบรรลุขั้นสิบแล้ว แต่พลังวิญญาณของร่างนี้แค่ขั้นแปดเท่านั้น ถ้าหากเธอย้ายร่างพลังยุทธ์จะถดถอยลงมาก…”
“ไม่เป็นไร ฉันมุมานะฝึกฝนอีกครั้งได้”
หลงซือเย่ส่ายหน้า “นี่ใช่เรื่องที่มุมานะฝึกฝนแล้วก็สามารถบรรลุได้ง่ายๆ…”
กู้ซีจิ่วสามารถบรรลุขั้นสิบได้ตั้งแต่อายุยังน้อย นอกจากพรสวรรค์อันสูงส่งยิ่งนักของตัวเธอแล้ว ยังมีปัจจัยภายนอกอีกมากมายที่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้
ยกตัวอย่างเช่นเขตหวงห้ามที่มีพลังวิญญาณล้นหลามยิ่งนักแห่งนั้นเอย การบำเพ็ญร่วมคู่กับตี้ฝูอีเอย โอสถวิญญาณที่ตี้ฝูอีหามาให้เธอเอย เคล็ดวิชาแนวทางต่างๆ ที่ตี้ฝูอีถ่ายทอดให้เธอเอย…
เมื่อนำปัจจัยเหล่านี้มารวมกัน ถึงทำให้ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแปดปี เธอสามารถบรรลุจากขั้นแปดไปยังขั้นสิบได้ กลายเป็นตัวตนที่ผิดต่อกฏเกณฑ์ของสวรรค์
อย่างตัวเขารวมถึงสานุศิษย์สวรรค์คนอื่นๆ ได้รับทรัพยากรที่ดีที่สุด แนวทางการฝึกฝนที่ยอดเยี่ยมที่สุด กว่าจะบรรลุขั้นเก้าก็ยังใช้เวลาตั้งหลายสิบปี
กู้ซีจิ่วฉลาดเฉลียวนั้นเป็นความจริง แต่หากว่าเธอย้ายเข้าร่างโคลนนิ่งอีกครั้ง อย่าว่าแต่บรรลุขั้นสิบเลย แม้กระทั่งขั้นเก้าก็คงต้องใช้เวลายี่สิบสามสิบปี ส่วนการบรรลุขั้นสิบ นั่นก็ขึ้นอยู่กับลิขิตสวรรค์แล้ว บางทีอาจต้องใช้เวลาหลายร้อยปี หรือไม่ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่อาจบรรลุขั้นนี้เลย
“ซีจิ่ว ร่างเดิมยอดเยี่ยมที่สุดแล้วจริงๆ หากไม่มีเหตุสุดวิสัย ก็อย่าเปลี่ยนเลย เธอในตอนนี้บรรลุขั้นสิบเป็นอมตะแล้ว คงโฉมเยาว์วัยไปชั่วนิรันดร์ หลังจากเปลี่ยนร่างแล้วต่อให้เธอฝึกฝนจนบรรลุขั้นเก้า อย่างมากก็มีชีวิตได้แค่พันปี…” หลงซือเย่ตักเตือนด้วยความหวังดี
เป็นอมตะงั้นหรือ?
มุมปากกู้ซีจิ่วหยักขึ้นเล็กน้อย เธอไม่สนใจไยดีชีวิตอมตะเลย! อายุขัยพันปีก็เพียงพอสำหรับเธอแล้ว!
“ครูฝึกหลง ฉันไม่สนใจชีวิตอมตะ แค่อยากได้ร่างกายที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเองอย่างสมบูรณ์ หากว่าสามารถย้ายได้ ฉันก็อยากจะย้ายเข้าไปในระยะเวลาอันใกล้นี้”
————————————————————————————-
บทที่ 1629 ทุกคนตามหาเจ้ากันหมด
ตอนนี้ร่างเดิมของนี้ของเธอมีความทรงจำบางส่วนของหลานจิ้งเคอ เธอไม่ต้องการความทรงจำนี้! ไม่อยากใช้ร่างเดียวกับนางในดวงใจของเขา! เช่นนี้จะทำให้เธอคิดว่าตนคือตัวแทนของหลานจิ้งเคออยู่ตลอดเวลา…
หลงซือเย่เกลี้ยกล่อมต่อไป แทบจะพูดผลดีผลเสียทั้งหมดออกมาจนสิ้นแล้ว จนปัญญาที่กู้ซีจิ่วตัดสินใจแน่วแน่แล้ว สุดท้ายหลงซือเย่ก็หมดหนทาง ตกปากรับคำเรื่องการเปลี่ยนร่างให้เธอ เพียงแต่เนื่องจากดวงวิญญาณของกู้ซีจิ่วค่อนข้างพิเศษ การย้ายร่างบ่อยๆ เช่นนี้จะทำให้วิญญาณเธอบาดเจ็บได้ง่ายๆ ทำให้ดวงวิญญาณเธอแตกสลาย เพื่อความปลอดภัย ตอนเปลี่ยนร่างต้องใช้สมุนไพรชนิดหนึ่งมาปลุกเสก สมุนไพรชนิดนี้หายากยิ่งนัก เติบโตบนภูเขาไฟ หลายปีถึงจะออกผลสักลูก ทุกครั้งจะมีระยะออกผลเพียงสั่นๆ ไม่กี่วัน อีกทั้งหลังจากปลิดผลไม้ลงมาแล้ว ต้องใช้ภายในหนึ่งเดือนถึงจะได้ผล จำเป็นต้องใช้ผลที่สดใหม่
ที่ค่อนข้างน่ายินดีคือ อีกหนึ่งเดือนให้หลังจะเป็นระยะออกผลของสมุนไพรชนิดนี้ เมื่อถึงเวลาหลงซือเย่จะไปเก็บเกี่ยวมาด้วยตัวเอง หลังจากกลับมาก็จะทำการย้ายร่างให้กู้ซีจิ่ว
ทั้งสองกำหนดวันที่จะทำการย้ายร่างเรียบร้อยแล้ว กู้ซีจิ่วจึงกลับไปที่จวนทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินของตน
เธอไม่ได้วางแผนว่าจะบอกเรื่องนี้แก่ตี้ฝูอีล่วงหน้า จะรอหลังจากเธอย้ายร่างสำเร็จแล้ว ค่อยนำร่างเดิมไปมอบให้จวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็นับว่าเสร็จสิ้นแล้ว
เธอไม่กลับมาเลยทั้งคืนทำให้คนในบ้านร้อนรนใจ พวกกู้เซี่ยเทียนตระเวนออกตามหาไปทั่ว เมื่อเห็นเธอกลับมาล้วนถอนหายใจอย่างโล่งอกกันถ้วนหน้า
กู้เซี่ยเทียนเอ่ยขึ้นว่า “จิ่วเอ๋อร์ เจ้าไปไหนมา? ทุกคนตามหาเจ้ากันหมด เมื่อคืนข้าถึงกับแล่นไปจวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมารอบหนึ่ง ผลคือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็ไม่อยู่เช่นกัน ข้ารับใช้ของเขาบอกว่าเขาไม่ได้กลับไปเลย…”
ไม่ได้กลับไปเลยงั้นหรือ? ในฝันเมื่อคืนเธอเห็นเขารับรองแขกที่ศาลาสดับคลื่นในจวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายชัดๆ…
ความฝันของคนอื่นอาจเป็นแค่ความฝัน แต่ความฝันของเธอกลับไม่ใช่แค่ความฝันอยู่บ่อยครั้ง แต่เป็นการถอดวิญญาณไปที่นั่น ดังนั้นทุกอย่างที่ประสบพบเห็นจึงเป็นความจริงทั้งสิ้น
เหตุผลที่คนของจวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายบอกว่าเขาไม่ได้กลับไป น่าจะเป็นเพราะเขาไม่อยากให้กู้เซี่ยเทียนไปวุ่นวายอีกเท่านั้น ถึงอย่างไรทุกกริยาวาจาของเขาก็แสดงออกอยู่ตลอดว่าเขาเห็นเธอเป็นเพียงคนแปลกหน้า…
“ท่านพ่อ ข้ากับเขาไม่เกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว ภายหน้าจะเกิดเหตุอะไรขึ้นกับข้า ท่านก็อย่าได้ไปที่จวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอีก” สีหน้ากู้ซีจิ่วเคร่งขรึม
วันหน้าต่อให้เธอต้องตายก็จะไม่ไปที่จวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอีกเด็ดขาด ย่อมไม่ต้องการให้คนในครอบครัวตนแล่นไปที่นั่นให้โดนดูถูกอีก
กู้เซี่ยเทียนเห็นเธอพูดอย่างเคร่งขรึมจริงจัง ย่อมไม่กล้าฝ่าฝืน พยักหน้าตอบรับ เขายังพะวงเรื่องที่กู้ซีจิ่วหายไปทั้งคืน กู้ซีจิ่วตอบไปประโยคหนึ่ง ‘ข้าไปดื่มสุราที่สำนักถามสวรรค์มา ดื่มมากไปหน่อย จึงพักที่นั่นหนึ่งคืน’
อันที่จริงกู้เซี่ยเทียนกังวลเรื่องวิวาห์ของบุตรสาวมาโดยตลอด เมื่อได้ยินกู้ซีจิ่วเอ่ยเช่นนี้ เขาก็ใจเต้นแวบหนึ่ง
ความจริงแล้วเจ้าสำนักถามสวรรค์กับบุตรสาวก็สมกันยิ่งนัก หนุ่มหล่อสาวงาม…
เดิมทีเขาคิดจะหยั่งเชิงจากสุ้มเสียงของบุตรสาวดูอีก แต่เมื่อเห็นว่าสีหน้านางไม่ค่อยดี ท่าทางชัดเจนว่าไม่อยากพูดมากแล้ว จึงแล้วไปเสีย
วันหน้าถ้าได้พบหลงซือเย่คงต้องลองหยั่งเชิงดูเสียหน่อย
ความจริงแล้วเมื่อเทียบกับตี้ฝูอีที่ลึกลับซับซ้อนแล้ว กู้เซี่ยเทียนถูกจริตกับหลงซือเย่ที่สุขุมเยือกเย็นมีความสามารถมากกว่า
ตี้ฝูอีดั่งมหาสมุทร ระลอกคลื่นผันผวน สภาพอากาศปรวนแปร ทว่าไม่รู้เลยว่าจะถูกคลื่นยักษ์ซัดคนให้จมลึกลงไปอย่างสิ้นเชิงในยามใด!
ส่วนหลงซือเย่กลับเป็นดั่งขุนเขาใหญ่ เงียบขรึมพูดน้อย ไม่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนถึงเพียงนั้น มอบความรู้สึกน่าพึ่งพายิ่งนักให้แก่ผู้คน และมีความรักลึกซึ้งต่อบุตรสาวของเขามาโดยตลอด หากว่าบุตรสาวได้ออกเรือนกับเขา ย่อมต้องถูกเขารักถนอมเทียมฟ้า
สำหรับสตรี ต่อให้มีความสามารถสักเพียงใดก็ยังสมควรจะหาสามีชาติตระกูลดีอยู่ สามีภรรยาร้องรับสอดประสานชั่วชีวิตถึงจะสมบูรณ์พร้อม นี่เป็นแนวคิดแต่ไหนแต่ไรมาของกู้เซี่ยเทียน สำหรับตัวเขาในยามนี้สิ่งสำคัญลำดับแรกก็คือการหาคู่ครองที่ดีให้บุตรสาว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น