คัมภีร์วิถีเซียน 1625-1627
ตอนที่ 1625 ปราณแยกจิตวิญญาณ
ก่อนที่วานรมารตัวนั้นจะโจมตีกลับอย่างดุเดือด หานลี่ปล่อยลำแสงเทวะดูดปราณและเปลวเพลิงยะเยือกห้าสีออกไป แต่ต้านทานเอาไว้ได้เล็กน้อยก็ถูกโจมตีจนแตกสลายไปตามลำดับ สุดท้ายถึงได้ฝืนใช้โล่ผลึกวารีต้านทานการโจมตีระลอกนี้เอาไว้
วานรมารมีพลังมหาศาลยังพอว่า ใบมีดชำรุดสีม่วงเล่มนั้นช่างมีอานุภาพยิ่งใหญ่จริงๆ เมื่อฟันลงมาจากจุดที่ไกลออกไปก็ไม่อาจป้องกันได้
จากประสบการณ์การต่อสู้ที่เฟื่องฟูของหานลี่ ย่อมนึกวิธีการใช้แมลงกลืนทองต้านทานได้ทันที
เขาไม่ได้ปล่อยแมลงเกราะทองออกมาเพิ่ม แต่ทำให้เทวรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้ลดระดับลงมา รวมร่างกับตน และใช้แขนทั้งสี่วาดสมบัติสี่ชิ้นออก โจมตีไปยังกำปั้นทั้งสองของอีกฝ่ายพร้อมกัน
และแทบจะในเวลาเดียวกันแมลงกลืนทองสองตัวที่ถูกจับเอาไว้ก็คลายเขี้ยวแหลมๆ ออก กระพือปีกทั้งสองข้างดิ้นรนอย่างสุดชีวิต
หลังจากที่แมลงกลืนทองกลายพันธุ์แล้ว ตัวมันเองก็มีพลังมหาศาล
เมื่อทั้งสองสำแดงฤทธิ์เดชพร้อมกัน ก็ทำให้แมลงกลืนทองดิ้นหลุดจากกำปั้นของอีกฝ่ายได้
แมลงทั้งสองพุ่งออกไปยังใบมีดชำรุดที่อยู่ไกลออกไปทันที มันพัวพันอย่างไม่ลดละ
วานรมารเห็นเช่นนั้นก็ควงกำปั้นคู่นั้น ทุบมาทางหานลี่
แต่จากกายเนื้อที่แข็งแกร่งของหานลี่ จะไปหวาดกลัวอะไร นี่จึงกลายเป็นสถานการณ์ตรงหน้า
เกราะสงครามบนร่างของวานรมารและใบมีดสีม่วงนั้นร้ายกาจมาก แต่ความน่ากลัวที่แท้จริงกลับเป็นพลังมหาศาลในตัวมัน
แม้ว่าหานลี่จะไม่ได้ชูแขนทั้งหกขึ้นพร้อมกัน แต่ก็กระตุ้นเคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้จนถึงขีดสุด ก็ยังด้อยกว่าอีกฝ่ายขั้นหนึ่ง
ทว่าไม่รู้ว่าเป็นเพราะวานรมารตนนี้ได้รับบาดเจ็บหนัก หรือว่าสงวนวิธีต่อกรกับหานลี่เอาไว้เพียงเท่านั้น นอกจากใช้กำปั้นคู่นั้นแล้ว ก็ไม่ได้สำแดงอิทธิฤทธิ์อะไรอีก
หานลี่ถึงได้ปรับตัวเข้ากับความเร็วดุจภูตผีของอีกฝ่ายได้ และสามารถตั้งรับได้อย่างสบายๆ
ทว่าเช่นกันสมบัติปกติโจมตีไปยังเกราะสงครามสีม่วงล้วนไม่มีประโยชน์อันใดนัก มากสุดก็ทำให้ผิวของเกราะชิ้นนี้มีรอยข่วนเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น
เกราะสงครามสีม่วงที่แปลกประหลาดนี้ทำให้วานรยักษ์ดูเหมือนอยู่ในกระดองเต่าที่ไม่อาจทำลายได้ ทำให้หานลี่รู้สึกยุ่งยากเป็นอย่างมาก
ดูแล้วมีเพียงต้องใช้อีกวิธีแล้ว
หานลี่มีสีหน้าไร้ความรู้สึก พลางขบคิดอยู่ในใจ
เขาสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ฝ่ามือข้างหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อมาตลอดพลันเคลื่อนไหว มือสีขาวบริสุทธิ์ดุจหยกงามยื่นออกมา
หลังจากเสียงภูตผีกรีดร้องดังขึ้น หัวกะโหลกสีขาวห้าหัวก็ปรากฏขึ้น มันอ้าปากกว้างๆ ออก เปลวเพลิงเย็นเยียบห้าสีลอยหมุนวนออกมา พลางม้วนไปทางวานรมาร
จากนั้นหานลี่พลันอ้าปากออกอีกครั้ง เตาใบเล็กสีเขียวพลันถูกพ่นออกมา
เตาใบนั้นหมุนคว้าง ชั่วขณะนั้นเส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนพลันพุ่งแหวกอากาศออกมา ตรงไปหาฝ่ายตรงข้าม จากนั้นก็พลิ้วไหวแล้วสลายหายไป
ส่วนร่างของหานลี่กลับมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นที่แผ่นหลัง ปีกคู่หนึ่งปรากฏขึ้น
ปีกทั้งสองกระพือเบาๆ ร่างกายก็กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวสายหนึ่งพุ่งออกไปยังทางออกของห้องโถง
คาดไม่ถึงว่าเขาจะคิดอาศัยอิทธิฤทธิ์ทั้งสองชนิดนี้ต้านทานวานรมารเอาไว้ชั่วคราว ส่วนตัวเองก็ถือโอกาสนี้หนีไป ดึงระยะห่างออกจากวานรมาร
จากนั้นก็ล่อวานรตัวนี้ให้มายังทางเดินที่มีเขตอาคมกระบี่หลากวสันต์อยู่
มีเพียงต้องอาศัยอานุภาพของเขตอาคมกระบี่ เขาถึงได้จะกักอีกฝ่ายเอาไว้ได้ แล้วสำแดงอิทธิฤทธิ์ออกมาสังหารมารตนนี้
ทว่าเรื่องที่หานลี่คิดไม่ถึงพลันเกิดขึ้น
ประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วพริบตาที่หานลี่มาเพิ่งประตูใหญ่ ความเปลี่ยนแปลงพลันปรากฏขึ้น
กลางอากาศด้านข้างประตูใหญ่ มีลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ ของสีแดงโลหิตยาวสองสามจั้งพลันเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏออกมา แล้วทุบลงมาที่หัว
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเตียงโลหิตที่เดิมวางอยู่ของมารวานรตัวนั้น!
“สิ่งนี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
หานลี่พลันตกตะลึง อดที่จะครุ่นคิดอย่างห้ามมิได้
แต่เตียงโลหิตนั้นปรากฏขึ้นเร็วเกินไป ยามที่ทุบลงมาก็เปล่งแสงสีโลหิตเจิดจ้า อักขระยันต์น้อยใหญ่ทะลักออกมาดูแล้วพิสดารมาก
หานลี่ไม่กล้าดูแคลนเลยสักนิด แทบจะร้องเสียงทุ้มต่ำออกมาตามความรู้สึก ไม่เพียงแขนสีทองสี่ข้างจะโบกสะบัดอาวุธพร้อมกัน ฝ่ามือสีดำและขาวทั้งสองก็พลิ้วไหว กลายเป็นเงากำปั้นโจมตีออกไปทั่วท้องฟ้า
แม้ว่าเตียงโลหิตจะปรากฏตัวกะทันหันไปหน่อย ทำให้เขาไม่ทันได้สำแดงอิทธิฤทธิ์อื่นออกมา ทำได้เพียงอาศัยกายเนื้อเข้าต้านทาน แต่เขามั่นใจว่าหากใช้แขนทั้งหกก็เพียงพอจะโจมตีจนเจ้าสิ่งนี้กระเด็นไปได้
ลำแสงสีทองสว่างวาบอาวุธมีดทั้งสี่โจมตีไปยังเตียงโลหิตอย่างแน่นหนา
เสียงอึกทึกดังขึ้น ลำแสงสีทองและลำแสงสีโลหิตตัดสลับกันไปมา ทำให้เตียงโลหิตเตียงนั้นหยุดชะงัก และยังคงกดลงมาด้านล่างอย่างช้าๆ
หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม เงากำปั้นเต็มท้องฟ้าผนึกรวมกัน กลายเป็นกำปั้นยักษ์สีดำขาวขนาดเท่าศีรษะสองกำปั้น จากนั้นก็โจมตีไป
แต่ในยามนั้นเองหานลี่พลันรู้สึกเย็นยะเยือกที่แผ่นหลังจนขนลุกซู่ ผิวมีก้อนตะปุ่มตะป่ำเล็กๆ ปรากฏขึ้นอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน
“แย่แล้ว!”
แม้จะไม่รู้ว่ามีอันตรายอะไร แต่เขาที่มั่นใจในจิตสัมผัสของตัวเองมาโดยตลอด พลันหดมือทั้งสองเข้ามาอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่จะลังเลเลยสักนิด โล่ผลึกวารีหดเล็กลงก่อนจะบินมาตรงหน้า เขากระตุ้นมันในทันที มืออีกข้างกลับใช้มือหนึ่งร่ายคาถา ดูเหมือนว่าจะร่ายคาถาอะไรสักอย่าง
แต่ก็ดูเหมือนว่าจะสายไปแล้ว
แทบจะในเวลาเดียวกัน เสียง “ครืน” พลันดังขึ้น!
กลางอากาศประชิดแผ่นหลังของหานลี่เส้นสีขาวสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบพลางปรากฏขึ้น แขนสีแดงโลหิตข้างหนึ่งยื่นออกมาจากเส้นสีขาว นิ้วทั้งห้าตะปบลงมาราวกับตะขอ
ลำแสงวิญญาณปกป้องร่างสีทองเรืองรองและจะเทียบกับกายเนื้อที่เป็นสมบัติระดับสุดยอดได้อย่างไร เมื่อตะปบลงมาก็เปราะบางราวกับกระดาษ แค่รางเลือนไปเล็กน้อย แขนสีแดงโลหิตก็ทะลวงผ่านร่างของหานลี่ และตะปบออกมาจากทรวงอก
หานลี่มองแขนครึ่งท่อนที่ปรากฏหน้าทรวงอกของตน กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุก แววตาฉายแววงงงวย ดูเหมือนว่าจะไม่เชื่อเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเอง
เสียงหัวเราะประหลาด “คิกๆ” ดังก้องสะท้อนไปมาในห้องโถงอีกครั้ง
ทว่าเสียงนี้ไม่ใช่เสียงที่ดังออกมาจกปากของวานรมารสวมเกราะสงครามสีม่วง แต่ดังออกมาจากรอยแยกที่เกิดขึ้นเป็นเส้นสีขาวด้านหลัง เห็นได้ชัดว่าเป็นเจ้าของแขนสีโลหิตนี้
“เด็กเอ๋ย คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าจัดการข้า ช่างรนหาที่ตายเสียจริง ทว่าดูจากพลังยุทธ์ของเจ้าก็บริสุทธิ์มาก พอจะชดเชยให้ข้าได้พอดี” ท่ามกลางเสียงหัวเราะแปลกประหลาด เงาสีแดงโลหิตสายก็กระโจนออกมาตากรอยแยก และเอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
จากนั้นแขนที่ทะลวงผ่านร่างของหานลี่ก็หดกลับไป อ้าปากออกเผยเขี้ยวเต็มปากออกพลางกัดมาทางศีรษะของหานลี่
แต่ในยามนั้นเอง เรื่องที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น
ฉับพลันร่างของหานลี่พลันถูกลำแสงสีเขียวมรกตห่อหุ้มร่าง จากนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นดวงลำแสงสีเขียวแล้วสลายหายไป เหลือเพียงยันต์วิเศษสีเขียวมรกตที่ถูกแขนสีโลหิตทะลวงจนเกิดเป็นรอยสายหนึ่งเอาไว้เท่านั้น
เงาโลหิตงับเอาความว่างเปล่า ย่อมตกตะลึงเป็นอย่างมาก แต่ทันใดนั้นก็เอียงศีรษะมองไปทางประตู
เห็นเพียงด้านหน้าไอมารนอกประตูมีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ใบหน้าของหานลี่ซีดขาวไปเล็กน้อยขณะปรากฏตัวขึ้น
สายตาของเงาโลหิตเคร่งเครียดพลางกวาดมองไปยังทรวงอกของเขา แล้วอดที่จะตกตะลึงไม่ได้
ด้านหน้าของหานลี่ไม่เพียงไม่มีร่องรอยการบาดเจ็บ แม้กระทั่งโลหิตสักหยดก็ยังไม่มี หากไม่ใช่เพราะตรงทรวงอกของบริเวณชุดสีเขียวถูกฉีกขาดจนเป็นรูขนาดใหญ่ เกรงว่าแม้แต่เงาโลหิตเองก็ยังคิดว่าร่างที่ตนทำการโจมตีด้วยการทะลวงผ่านไปเมื่อครู่ เป็นเพียงเคล็ดวิชาภาพลวงตาเท่านั้น
เงาสีโลหิตกลอกตาไปมา แล้วตกลงที่แขนสีโลหิตข้างนั้น เห็นเพียงด้านบนไม่ใช่ว่าจะไม่มีอะไรอยู่เลย มียันต์วิเศษเปล่งแสงสีเขียวมรกตแทนหานลี่ที่ถูกทะลวงทรวงอกปรากฏขึ้นแทน
มันชักสีหน้า ขยับแขนอีกข้างหนึ่ง ตะปบไปทางยันต์วิเศษนี้ทันที
แต่ในยามนั้นเอง หานลี่ที่อยู่นอกประตูกลับแค่นเสียงอย่างเย็นชา และพ่นคำว่า “เก็บ” ออกมา
ยันต์วิเศษสีเขียวมรกตพลิ้วไหวกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวมรกตสายหนึ่งพุ่งออกไป แค่กะพริบวาบก็จมหายเข้าไปในร่างของหานลี่อย่างไร้ร่องรอย
แน่นอนว่ายันต์วิเศษนี้คือ ‘ยันต์แปลงวิญญาณ’ ที่หานลี่ซุ่มหลอมขึ้นตั้งแต่ที่มาถึงแดนวิญญาณ
จากระดับพลังปราณของหานลี่ในยามนี้ ประกอบกับการบ่มเพราะทั้งวันทั้งคืนมาเป็นเวลาสองสามร้อยปี อิทธิฤทธิ์ของยันต์แปลงวิญญาณจึงเหนือกว่าตอนที่อยู่ในแดนมนุษย์เป็นอย่างมาก
ดังนั้นแม้ว่าเมื่อครู่เขาจะไม่ทันได้กระตุ้นสมบัติป้องกันตัว แต่ชั่วพริบตาที่อีกฝ่ายทะลวงผ่านกายเนื้อที่แข็งแกร่งของเขา กลับเคลื่อนไหวความคิดกระตุ้นยันต์แปลงวิญญาณก่อน ให้มันมารับการโจมตีทะลวงหัวใจแทน
หากไม่ทำเช่นนั้น การโจมตีที่เหนือกว่าความหมายเมื่อครู่ของอีกฝ่าย แม้ว่าเขาจะอาศัยกายเนื้อที่แข็งแกร่งหนีเอาชีวิตรอดได้ แต่ก็ต้องได้รับบาดเจ็บหนักอย่างแน่นอน ทว่าด้วยเหตุนี้ยันต์แปลงวิญญาณแผ่นนี้ก็ไม่อาจใช้การได้อีกชั่วคราว จำต้องบ่มเพราะเพิ่มอีกสักร้อยปีขึ้นไปถึงจะได้
ทว่าเห็นได้ชัดว่าที่นี่คือที่หลับใหลของวานรมารตัวนั้น เงาโลหิตนั่นคือสิ่งใดกัน เหตุใดถึงมาปรากฏตัวที่นี่ ทว่าฟังจากคำพูดที่อีกฝ่ายพ่นออกมาเมื่อครู่ ก็วางมาดเป็นวานรมาร หรือว่าอีกฝ่ายเป็นร่างแปลงของวานรมาร?
หานลี่มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส ลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบในแววตาพลางพิจารณาเงาโลหิตขึ้นๆ ลงๆ
แม้ว่าร่างของเงาโลหิตจะถูกลำแสงสีโลหิตห่อหุ้มเอาไว้ชั้นหนึ่ง ร่างกายดูขมุกขมัว แต่ภายใต้อิทธิฤทธิ์ของเนตรวิญญาณของหานลี่ กลับมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ผลคือรูม่านตาพลันหดเล็กลงทันที
สิ่งที่โผล่ออกมาของเงาโลหิตนี้ดูไม่เหมือนร่างที่แท้จริง คาดไม่ถึงว่าไม่ว่ารูปร่างท่าทางล้วนเหมือนกับวานรมารสวมเกราะสงครามสีม่วงอย่างไรอย่างนั้น
บนหัวมีเขาเดี่ยวงอกออกมาสามเขา ปากกว้างอัปลักษณ์ แขนทั้งสองยาวเลยหัวเข่า!
เงาโลหิตเห็นหานลี่นิ่งงันอยู่ที่เดิมไม่ได้ปริปากใดๆ แค่พิจารณามันไม่หยุดด้วยสีหน้าฉงนอยู่ที่เดิม ทันใดนั้นก็เผยรอยยิ้มโหดเ**้ยมออกมา ฉับพลันนั้นพลันชูมือขึ้นกวักไปทางวานรมารสวมชุดเกราะสงครามสีม่วงที่อยู่ไกลออกไป
ทันใดนั้นวานรมารพลันเคลื่อนไหว สาวเท้ายาวๆ เดินตรงไปข้างหน้า
ส่วนเงาโลหิตพลันร่างกายพลิ้วไหว กลายเป็นสายรุ้งสีโลหิตสายหนึ่งพุ่งออกไป แค่กะพริบวาบก็จมหายเข้าไปในเกราะสงครามสีม่วง แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
เสียง “พรึ่บ” พลันดังขึ้น!
ไอมารสีแดงดำถูกปล่อยออกมาจากเกราะสงครามสีม่วง ในเวลาเดียวกันพลังแรงกดที่น่าตกตะลึงก็ปรากฏขึ้น ไหนเลยมีท่าทางได้รับบาดเจ็บสักกระผีก
ยื่นอยู่ห่างจากหานลี่ถึงเพียงนี้ เมื่อถูกพลังแรงกดที่น่าตกตะลึงโจมตี ก็ยังถอยหลังไปหลายก้าวพร้อมกับหน้าที่เปลี่ยนสี ในเวลาเดียวกันในหัวพลันมีลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ ฉับพลันนั้นพลันนึกถึงเคล็ดวิชามารลับชนิดหนึ่งที่บันทึกเอาไว้ในเคล็ดวิชามารค้ำฟ้า จึงอดที่จะร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้งไม่ได้
“ปราณแยกจิตวิญญาณ!”
“เอ๋! เจ้ารู้ชื่อเคล็ดวิชานี้ได้อย่างไร! ไม่ผิด ข้าใช้เคล็ดวิชานี้รักษาการบาดเจ็บจริงๆ การแยกจิตนั้นแม้ว่าจะอันตรายไปสักหน่อย แต่ก็เพียงพอจะทำให้ความเร็วในการฟื้นฟูข้าเพิ่มขึ้นเท่าหนึ่ง จะว่าไปแล้วเจ้าก็ประหลาดเหมือนกัน เป็นคนของแดนวิญญาณแท้ๆ กลับฝึกฝนเคล็ดวิชามารระดับสุดยอดของแดนมารโบราณของพวกเขา แม้ว่าจะถูกดัดแปลงไปไม่น้อย อานุภาพก็ยังดูเหมือนจะใช่แต่ไม่ใช่” เสียงร้องอุทานเบาๆ ดังออกมาจากวานรมารในเกราะสงครามสีม่วง จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างเย็นชา
“เช่นนั้นอาการบาดเจ็บของเจ้าก็ใกล้จะหายดีแล้ว!” หานลี่หน้าเปลี่ยนสีเป็นดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง
“ฮ่าๆ! แม้ว่ากายเนื้อจะฟื้นฟูช้าไปสักหน่อย แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมกลับฟื้นฟูมาเจ็ดแปดส่วนแล้ว หากเจ้ารู้จักวางตัวละก็ รีบให้ข้าดูดโลหิตบริสุทธิ์ของเจ้าเสียดีๆ หากพอใจข้าก็อาจจะปล่อยจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของเจ้าให้กลับไปเกิดใหม่ก็เป็นได้” วานรมารเอ่ยพร้อมหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
ตอนที่ 1626 เนตรวิญญาณวานรปีศาจ
“ฟื้นฟูมาเจ็ดแปดส่วน? เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อหรือ จากพลังยุทธ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลางของเจ้า หากฟื้นฟูได้เกินครึ่งแล้ว เหตุใดต้องใช้กายเนื้อต่อกรกับศัตรู ใช้จิตวิญญาณดั้งเดิมแอบซุ่มโจมตีข้าอยู่ด้านข้างด้วยเล่า แม้ว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้าจะฟื้นฟูไวกว่ากายเนื้อ แต่มากสุดก็คงได้แค่สามสี่ส่วนเท่านั้น ตอนนี้หลังจากที่จิตวิญญาณดั้งเดิมกลับมาแล้ว แม้ว่าข้าคนเดียวจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า แต่ขอแค่เรียกผู้ช่วยมาอีกสองคน ก็สังหารเจ้าได้อย่างไม่มีปัญหา” หานลี่แค่ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยเปิดโปงออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างเย็นชา
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหานลี่ วานรมารที่กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่งก็หยุดชะงัก หลังจากเกราะบนใบหน้าเปล่งแสงสีโลหิตสองดวงสว่างวาบ ฉับพลันนั้นมือหนึ่งก็พลิกฝ่ามือตะปบออกมากลางอากาศ
ใบมีดชำรุดสีม่วงที่กำลังต่อกรกับแมลงกลืนทองสองตัวอยู่ไกลออกไป ก็พลิ้วไหวแล้วสลายหายไป
ครู่ต่อมาใบมีดนี้ก็มาปรากฏในมือของวานรมาร และเปล่งแสงวาววาบ ขยายใหญ่ขึ้นสองสามจั้ง กลายเป็นกระบี่ยักษ์สีม่วงเล่มหนึ่ง
กระบี่ยักษ์ชี้มาทางหานลี่ดัง “สวบๆ”
รอยบากสีม่วงความหนาเท่าปากชามเจ็ดแปดสายเปล่งแสงสว่างวาบพร้อมสับลงมา ชั่วพริบตาพลันมาปรากฏตรงหน้าของหานลี่
แต่หานลี่ที่เตรียมการป้องกันเอาไว้ตั้งนานแล้ว จะปล่อยให้อีกฝ่ายทำสำเร็จอีกครั้งได้อย่างไร
โล่ผลึกวารีตรงหน้าเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นม่านลำแสงแวววาวบดบังร่างของตนเองตลอดจนมาถึงด้านหลัง
เสียงอึกทึกดัง “ตูมๆ” ม่านลำแสงระเบิดออกท่ามกลางรอยบากสีม่วง
แม้ว่าการโจมตีกว่าครึ่งจะถูกม่านลำแสงแยกออกเป็นสองส่วน แต่อานุภาพของการโจมตีนี้ก็เหนือกว่าคราวก่อนหน้า อานุภาพที่เหลือก็ทำให้ม่านลำแสงสั่นคลอนส่งเสียงดังสนั่นออกมา จนมาถึงตัวของหานลี่
เสียง “สวบ” ดังขึ้น หานลี่กระเด็นออกไปราวกับว่าไม่มีพลังต้านทานเลยสักนิด เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วจมหายเข้าไปในไอสีดำหายวับไป
“นับว่าปากดีไม่น้อย แต่อิทธิฤทธิ์แค่นี้ยังกล้ามาข่มขู่ข้า! ไม่สิ เด็กเอ๋ย! เจ้าคิดจะหนีไปไหน?”
วานรมารพลันหัวเราะเยาะออกมา แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่เมื่อเห็นว่าหานลี่ไม่ได้บินออกมาจากไอมารอีก ลำแสงสีโลหิตบนเกราะบนใบหน้าพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ฉับพลันนั้นก็สัมผัสอะไรได้พลางร้องตะโกนออกมา
ไอมารสีดำแดงตัดสลับพัวพันกัน พายุมารก่อตัวขึ้น มันควบคุมสายรุ้งสายหนึ่ง จมหายเข้าไปในไอมารที่หมุนวน
แต่เมื่อลำแสงหลีกหนีของวานรมารเข้าไปในนั้น ฉับพลันนั้นวายุประหลาดพลันกดลงมา ภูเขาสูงสองสามจั้งกดทับลงมาอย่างคาดไม่ถึง
ลำแสงหลีกหนีของวานรมารพลันหยุดชะงัก แต่ก็ชูแขนขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ ปล่อยกำปั้นออกไปกลางอากาศ ชั่วขณะนั้นพลังมหาศาลไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งพลันทะลักออกมา
มารอสูรตัวนี้ไม่สนใจว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร สายตาจ้องเขม็งไปยังเบื้องหน้า
แม้ว่าสำหรับคนธรรมดาแล้ว จะไม่อาจมองเห็นทางเดินในไอมารสีดำสนิทนี้ได้ แต่สำหรับมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ตนนี้ กลับไม่เป็นอุปสรรคเลยสักกระผีก
ดังนั้นวานรตัวนี้จึงมองปราดออกไปยี่สิบสามสิบจั้ง คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น แต่สองมือกลับร่ายอาคม ไอมารรอบกายทยอยกันม้วนวนล่นถอยออกไป ราวกับว่ากำลังเตรียมการสำแดงอิทธิฤทธิ์ที่ร้ายกาจอะไรออกมาอย่างไรอย่างนั้น
“รนหาที่ตาย!” เมื่อเห็นท่าทางของหานลี่ วานรมารพลันเอ่ยพึมพำกับตนเอง แต่ก็ไม่ได้พุ่งออกไปในทันที แต่กวาดสายตาไปรอบๆ หานลี่ก่อนด้วยความระมัดระวัง
แต่ครู่ต่อมาเรื่องที่เกิดขึ้นเหนือศีรษะกลับอยู่นอกเหนือความคาดหมายของวานรมารไปหน่อย
พลังมหาศาลที่โจมตีออกไปไปอยู่แค่ตีนเขา มันทำให้ภูเขาขนาดย่อมสั่นไหวเล็กน้อย ระดับความเร็วที่ภูเขาลดระดับลงมากลับรวดเร็วขึ้น มาอยู่เหนือศีรษะของวานรมาร และพริบตานั้นก็ขยายใหญ่ขึ้นสองสามเท่า สีดำทะมึนกดลงมาประชิดศีรษะ
วานรมารพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็แค่นเสียงด้วยความเย็นชา ตวัดกระบี่ยักษ์สีม่วงในมือ
ชั่วขณะนั้นรอยบากสีม่วงสองสามสายพลันปรากฏขึ้น จากนั้นก็รวมตัวกันกลายเป็นรอยบากขนาดใหญ่ ฟันออกไปกลางอากาศ
คิดไม่ถึงว่าวานรมารจะตัดสินใจใช้กระบี่สับไปที่ภูเขาสีดำสองสามครั้ง
แต่การเคลื่อนไหวของเขากลับสายไปก้าวหนึ่ง ภูเขาขนาดย่อมที่ดูดุดันพลันเปล่งแสงสีเทาสว่างวาบ แล้วสลายหายไปราวกับฟองอากาศ
กวาดรอยบากสีม่วงไปจนเกลี้ยง
วานรมารพลันตกตะลึง ความคิดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไม่เข้าใจเจตนาของหานลี่อยู่เล็กน้อย
แต่ครู่ต่อมาฉับพลันนั้นมันก็ก้มหน้าลงตามความรู้สึก กวาดสายตาไปด้านหน้าอีกครั้ง
เห็นเพียงหานลี่ที่อยู่ตรงข้ามมีประจุไฟฟ้าสีทองวนล้อมรอบเรือนร่างพร้อมกับเสียงฟ้าผ่าตั้งแต่เมื่อใดก็สุดจะรู้ได้
จากนั้นประจุไฟฟ้าก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น แผ่ออกไปรอบด้าน ก่อตัวกันเป็นตาข่ายไฟฟ้าวงกลมท่ามกลางลำแสงอัสนีที่น่าตกตะลึง
แทบจะในเวลาเดียวกันอักขระลำแสงสีทองก็เปล่งแสงสว่างวาบพลางทะลักออกมาจากมือทั้งสองของหานลี่ ทยอยกันจมหายเข้าไปในประจุไฟฟ้ารอบด้านแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ชั่วพริบตาที่จมหายเข้าไปในประจุไฟฟ้ารอบด้านก็ปริแตกออกอย่างเงียบเชียบ กลายเป็นวงล้อลำแสงสีทองเจิดจ้าเส้นผ่าศูนย์กลางสองสามจั้ง
ร่างของหานลี่ที่อยู่ท่ามกลางวงล้อเริ่มรางเลือน แต่เสียงบริกรรมคาถาที่ฟังไม่ได้ศัพท์กลับดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ภายใต้วงล้อสีทองที่หมุนวนโคจร อักขระพลันหมุนคว้าง และยิ่งไปกว่านั้นยังมีเสียงเพรียกดังแว่วมา ค่อยๆ แหลมเสียดแก้วหูมากขึ้นเรื่อยๆ!
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นขึ้น!
ชั่วพริบตานั้นคาดไม่ถึงว่าวงล้อที่อยู่ท่ามกลางลำแสงสีทองจะสลายหายไป
ร่างของหานลี่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่มือหนึ่งพลันร่ายคาถา อีกมือหนึ่งค่อยๆ คลายนิ้วทั้งห้าออก
เหนือฝ่ามือไปสองสามฉื่อ ดวงแสงราวกับทองคำบริสุทธิ์ลูกหนึ่งลอยนิ่งอยู่ตรงนั้น
ผิวของดวงแสงมีลายเว้าลึกลงไปราวกับลวดลายอักขระ ลำแสงหม่นแสงลง ไร้ซึ่งพลังแรงกด ราวกับว่าเป็นแค่อาวุธธรรมดาเท่านั้น
หลังจากวานรมารเห็นรูปร่างของลูกทรงกลมสีทองอย่างชัดเจน ร่างกายกลับสั่นสะท้าน ร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง
“ไข่มุกอัสนีปัดเป่าภยันตราย”
จากนั้นมารตนนี้ก็ไม่ได้สงสัยใดๆ อีก ไหล่สองข้างแค่พลิ้วไหว กลายเป็นวายุมารสีดำแดงม้วนวนไปหาหานลี่
ดูเหมือนว่าจะไม่คิดให้โอกาสดวงแสงสีทองของหานลี่!
แต่หลังจากที่วานรมารพุ่งออกมาได้สิบจั้งเศษ หานลี่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ บนพื้นดินกลับมีลำแสงสีทองสว่างวาบ กระบี่สองเล่ม ดาบเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นจากใต้ดิน
อาวุธทั้งสองแค่ตวัด ลำแสงกระบี่สองสายและลำแสงดาบสายหนึ่งก็สับไปทางวานรมารที่อยู่ท่ามกลางวายุมาร
ทั้งสามยังไม่ทันสับลงมา ก็มีไอมารเย็นเยียบสามกลุ่มม้วนวนไปก่อน คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนแหลมคมมาก
แม้ว่าวานรมารจะมั่นใจในเกราะสงครามบนร่าง แต่แน่นอนว่าย่อมไม่รับการโจมตีตรงๆ แบบก่อนหน้าแล้ว ทันใดนั้นพลันหยุดชะงักร่างกายอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย กลางวายุมารมีเสียง “ฉับๆๆ” ดังขึ้นสามครั้ง
รอยบากสีม่วงสามสายเปล่งแสงสว่างวาบ โจมตีลำแสงกระบี่และลำแสงดาบได้อย่างง่ายดาย
แต่เมื่อวายุมารหยุดชะงักเล็กน้อย หานลี่ที่ถือดวงแสงสีทองอยู่ตรงข้าม กลับหัวเราะใส่วานรมารเบาๆ
ครู่ต่อมาวานรมารไม่ทันได้คิดจะกระตุ้นวายุมาร ฉับพลันนั้นก็รู้สึกว่าทัศนียภาพรอบด้านรางเลือน ดอกบัวสีเขียวขนาดสองสามฉื่อทะลักออกมาจากกำแพงทางเดินทั้งสี่ จากนั้นลำแสงสีเขียวก็เชื่อมต่อกัน กลายเป็นม่านลำแสงสีเขียวผืนหนึ่ง ห่อหุ้มหานลี่เอาไว้ข้างใน
วานรมารระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้ตกอยู่ในอานุภาพของเขตอาคมกระบี่ หานลี่จึงกระตุ้นเขตอาคมกระบี่หลากวสันต์อย่างไม่เกรงเลยสักนิด
ยามนี้พลันมีดาบกระบี่สีทองปรากฏขึ้นจากใต้ดิน มันพลิ้วไหวแล้วสลายหายไปบนพื้นดิน
และในเวลาเดียวกันจุดที่หานลี่ยืนอยู่ก็มีลำแสงสีทองสว่างวาบ สะท้อนเงาสีดำจางๆ สายหนึ่ง ลำแสงสีทองเปล่งแสงเจิดจ้า นักรบเกราะสีทองเรืองรองสองตนปรากฏออกมาจากเงา
ตนหนึ่งถือกระบี่ยาวคู่หนึ่ง อีกคนหนึ่งถือดาบด้วยมือหนึ่ง
นั่นก็คือหุ่นเชิดเงาสองตัวที่สร้างขึ้นจากยันต์เกราะปราณ!
“เขตอาคมกระบี่! นี่มันยุ่งยากแล้ว” แม้ว่าวานรมารที่ติดอยู่ในเขตอาคมกระบี่จะรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีร้อนรนจนทำตัวไม่ถูก แค่เอ่ยพึมพำออกมาเท่านั้น
และในยามนั้นหานลี่ที่อยู่ด้านนอกพลันมีแววตาเย็นเยียบ ร่ายอาคมกระตุ้นในใจ เปิดใช้อานุภาพของเขตอาคมกระบี่
ฉับพลันนั้นวานรมารพลันรู้สึกว่ารอบด้านมีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ พฤกษายักษ์สีเขียวหนาเท่าตัวคนปรากฏขึ้นกลางอากาศหลายต้น จากนั้นก็ทุบลงมาราวกับห่าฝน
วานรมารแค่นเสียงด้วยความเย็นชา ลำแสงสีโลหิตบนเกราะด้านบนใบหน้าเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะสลายหายไป เผยใบหน้าที่โหดเ**้ยมออกมา ส่วนดวงตายักษ์ที่เหมือนระฆังคู่นั้นก็มีลำแสงสีม่วงสองดวงเปล่งแสงสว่างวาบ หากเพ่งพินิจมองก็จะพบว่าในลำแสงสีม่วงมีอักขระห้าเปล่งแสงสว่างวาบอยู่รางๆ ไม่หยุด
ดวงตาปีศาจที่ประหลาดเช่นนี้ กวาดมองไปยังพฤกษายักษ์สีเขียวที่เรียงตัวแน่นอยู่กลางอากาศแวบหนึ่ง ใบหน้ากลับเผยแววยิ้มเยาะออกมา
จากนั้นมันก็ใช้แขนข้างหนึ่งชี้ไปที่พฤกษาสีเขียวต้นหนึ่งที่กำลังลดระดับลงมา ตะปบออกไปกลางอากาศ ท่าทางไม่สนใจที่มันกำลังจะกระทุ้งลงมาหาเขาเลยสักนิด
หลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้น ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น!
มือยักษ์เปล่งแสงเรืองรองข้างหนึ่งปรากฏขึ้น และทำลายพฤกษายักษ์ต้นอื่นๆ และฉวยเอาพฤกษาสีเขียวที่ไม่สะดุดตาต้นนั้นเอาไว้ในมือ
จากนั้นหว่างนิ้วพลันมีลำแสงสีม่วงสว่างวาบ พฤกษาสีเขียวกลายเป็นกระบี่บินความยาวสองสามฉื่อเล่มหนึ่ง เปล่งแสงสีเขียวมรกตดูเหมือนจะแหลมคมเป็นอย่างมาก
ในเวลาเดียวกันที่กระบี่บินเล่มนี้ถูกทำลายเคล็ดวิชาลวงตาออก พฤกษายักษ์ต้นอื่นๆ ที่กำลังจะกระทุ้งลงมาที่วานรยักษ์ก็เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วหายวับไป
กระบี่บินสีเขียวเล่มนั้นลอยพลิ้วไปมาอยู่ในมือยักษ์ ท่าทางดิ้นรนอยากหลุดพ้น
แต่ใบหน้าของวานรยักษ์พลันมีสีหน้าโหดเ**้ยมปรากฏขึ้น โยนกระบี่ยักษ์สีม่วงในมือออกไป สับลงมาที่กระบี่บินสีเขียว
มองปราดเดียวก็ดูออกว่ากระบี่บินเล่มนี้เป็นกระบี่บินประจำกายของอีกฝ่าย หากสับออกเป็นสองท่อนไป แน่นอนว่าย่อมทำร้ายจิตวิญญาณของอีกฝ่ายได้
หานลี่ที่อยู่นอกเขตอาคมกระบี่เห็นเคล็ดวิชาลวงตาถูกทำลายออกเมื่อครู่ก็ตกตะลึง แต่เมื่อเห็นฉากนี้พลันมีสีหน้าเคร่งขรึม จะปล่อยให้วานรมารทำสำเร็จได้อย่างไร
หากเปลี่ยนเป็นกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาที่ยังไม่ได้บ่มเพาะครั้งที่สอง ภายใต้สถานการณ์ที่พลังปราณสู้อีกฝ่ายไม่ได้ ถูกอีกฝ่ายใช้เคล็ดวิชาทมิฬจับเป็นๆ เช่นนี้ บางทีก็อาจจะซวยมาก
แต่เมื่อมีอิทธิฤทธิ์ลวงตาของกระบี่วิญญาณ การทำให้กระบี่บินกลายเป็นของจริงได้ในพริบตา ก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายเรื่องหนึ่ง
หานลี่แค่ใช้มือหนึ่งชี้ไปที่กระบี่บินกลางเขตอาคมกระบี่
หลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้น กระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาเล่มนั้นก็ถูกมือยักษ์จับเอาไว้ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วสลายหายไป
ครู่ต่อมาห่างออกไปสิบจั้งเศษ ดวงไฟสีเขียวเป็นกลุ่มๆ ก็ปรากฏขึ้น จากนั้นก็รวมตัวกัน ชั่วขณะนั้นกระบี่บินสีเขียวพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ
กระบี่เล่มนี้เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วสลายหายไปท่ามกลางเขตอาคมกระบี่อีกครั้ง
วานรมารพลันมีสีหน้าตะลึงงัน แต่ทันใดนั้นแววตาโหดเ**้ยมก็ฉายแวบผ่าน มือหนึ่งร่ายอาคม ลำแสงสีม่วงในดวงตาพลันเปลี่ยนเป็นเจิดจ้า ส่วนในส่วนลึกของนัยน์ตาก็มีอักขระห้าสีกวาดผ่านไปมารางๆ ไม่หยุด
สุดท้ายสายตาพลันหยุดชะงัก คาดไม่ถึงว่าจะหยุดอยู่ที่เรือนร่างของหานลี่นอกเขตอาคมกระบี่
“เนตรวิญญาณ”
หานลี่เห็นสถานการณ์นี้พลันมีจิตใจหนักอึ้ง ความสงสัยเดิมพลันมลายหายไป
คาดไม่ถึงว่าดวงตาของวานรมารระดับศักดิ์สิทธิ์ตนนี้ จะมีอิทธิฤทธิ์ไม่ต่างอะไรกับเนตรวิญญาณวารีกระจ่างนัก
ดังนั้นถึงได้มองเคล็ดวิชาลวงตาของเขตอาคมกระบี่ของเขาออก และหาตำแหน่งของเขาพบผ่านเขตอาคมกระบี่
ตอนที่ 1627 เขตอาคมกระบี่กักมาร
ในยามที่หานลี่ใจหายวาบ วานรมารกลับร้องคำรามเสียงต่ำๆ ออกมา อ้าปากออกพ่นไอบริสุทธิ์สีดำแดงออกมา ห่อหุ้มกระบี่ยักษ์สีม่วงตรงหน้าเอาไว้
ชั่วขณะนั้นกระบี่เล่มนี้พลันเปล่งแสงสีม่วงออกมา สัตว์วิญญาณนิรนามที่อยู่ด้านในตัวนั้น ขยายร่างขึ้นคาดไม่ถึงว่าจะปรากฏตัวออกมาจากผิวของกระบี่ยักษ์ สะบัดหัวสะบัดหาง เผยท่าทีดุดันเป็นอย่างมากออกมา
กระบี่ยักษ์หมุนติ้วๆ แล้วตั้งตระหง่านขึ้น คมกระบี่ชี้มาทางหานลี่ แล้วฟันฉับลงมา
กระบี่ลำแสงสีม่วงยาวสิบจั้งเศษทะลักออกมา ฟันลงมาหาม่านลำแสงสีเขียวอย่างแช่มช้าและเงียบเชียบ
กระบี่ลำแสงสีแต่เดิมน่าจะเปล่งแสงสว่างวาบ กลับดูเหมือนจะแข็งตัวขึ้น ระหว่างที่กำลังโบยบิน ก็ลดระดับความเร็วลงสองสามเท่าอย่างคาดไม่ถึง
หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้กลับหน้าเปลี่ยนสี แขนสีทองสี่ขาวร่ายอาคมพร้อมกัน ชูแขนไปทางเขตอาคมกระบี่อีกครั้ง
เสาลำแสงสีทองสี่สายที่ดูเสมือนจริงถูกพ่นออกมา ตรงเข้าไปหากระบี่ลำแสงสีม่วง
เสียง “ตึงๆ” ดังสนั่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
แม้ว่าลำแสงสีทองจะระเบิดเสียงที่น่าตกตะลึงออกมา แต่ก็แค่ทำให้ลำแสงสีม่วงหยุดชะงักเล็กน้อย แล้วถูกแยกออกอย่างง่ายดาย
ลำแสงสีม่วงเปล่งแสงสว่างวาบ ยังคงพุ่งมาหาหานลี่
หางตาของหานลี่กระตุก หุ่นเชิดเงาสองตัวที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาโบกสะบัดอาวุธมีดในมือโดยไม่ปริปากใดๆ ทันที
กระบี่ลำแสงสีทองและดาบลำแสงพุ่งออกไปราวกับห่าฝน
ในเวลาเดียวกันหานลี่พลันเพิ่มพลังลมปราณ กระตุ้นเขตอาคมกระบี่
ม่านลำแสงสีเขียวเบื้องหน้าเปลี่ยนไป อักขระสีเขียวปรากฏขึ้น หมุนคว้างเล็กน้อย ก็กลายเป็นดอกบัวสีเขียวเป็นดอกๆ ต้านทานอยู่เบื้องหน้าม่านลำแสง
แม้ว่ากระบี่ลำแสงและดาบลำแสงจะทยอยกันฟันลงมาไม่ขาดสาย แต่เมื่อฟันโดนกระบี่ลำแสงสีม่วง ก็ทำให้ลำแสงของมันเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้งแล้วทยอยกันสลายหายไป ไม่อาจต้านทานเอาไว้ได้เช่นกัน
หลังจากที่ลำแสงสีม่วงเปล่งแสงสว่างวาบเป็นครั้งสุดท้าย ก็ฟันลงมายังดอกบัวสีเขียวที่ปรากฏตัวขึ้นเต็มท้องฟ้า
หมอกลำแสงสีเขียวและลำแสงสีม่วงเปล่งแสงสว่างวาบ กระบี่ลำแสงกลายเป็นเงาลวงตาที่เหมือนกับสัตว์นิรนามในใบมีดชำรุดอย่างไรอย่างนั้น กระโจนลงมาอย่างรุนแรง กรงเล็บทั้งสองโบกสะบัด ดอกบัวสีเขียวถูกผ่าออกเป็นสองส่วนอย่างง่ายดายดอกแล้วดอกเล่า
ร่างใหญ่ยักษ์กระโจนเข้าไปในลำแสงสีเขียว ราวกับว่าไม่อาจต้านทานเอาไว้ได้
หานลี่ที่อยู่ด้านนอกเห็นเช่นนั้น สายตาพลันเคร่งขรึม ชั่วพริบตานั้นลมปราณในร่างพลันทะลักไปหาเขตอาคมกระบี่ราวกับสายธารที่เดือดพล่าน
กลีบดอกบัวสีเขียวที่แต่เดิมถูกฉีกออก พลันหมุนวนแล้วผนึกเข้าหากัน ปรากฏขึ้นเป็นหลายดอกอีกครั้ง และเปล่งแสงสว่างวาบต้านทานอยู่เบื้องหน้ากระบี่ลำแสงสีม่วงอีกครั้ง
แม้ว่าลำแสงสีม่วงจะมีอานุภาพยิ่งใหญ่ แต่ภาพลวงตาของเขตอาคมกระบี่หลากวสันต์ก็มีอิทธิฤทธิ์วิเศษเช่นกัน
ภายใต้ประคับประคองของพลังปราณนั้น ดอกบัวสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนพลันทะลักออกมาจากทั่วทุกสารทิศ
กระบี่ลำแสงสีม่วงกลายเป็นเงาลวงตาสัตว์วิญญาณ สุดท้ายก็อยู่ห่างจากม่านลำแสงสีเขียวไปสองสามจั้ง ลำแสงหม่นแสงลง อานุภาพหายวับไปราวกับไม่มีอยู่แล้ว
วานรมารในเขตอาคมกระบี่เห็นเช่นนั้น ดวงตาทั้งสองพลันเปล่งแสงสีม่วงสว่างวาบ ใบหน้ามีสีหน้าประหลาดใจปรากฏขึ้น ประวัติความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่ของใบมีดชำรุดเล่มนั้น เขาก็พอรู้อยู่บ้าง!
เป็นเพราะสมบัติชิ้นนี้มันถึงได้ถูกไล่สังหารในแดนมนุษย์ และตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้
แม้ว่าเขาในตอนนี้จะมีข้อจำกัดเรื่องพลังยุทธ์ จึงไม่อาจกระตุ้นอานุภาพทั้งหมดของสมบัติชิ้นนี้ได้ แต่การฟันลงมาเมื่อครู่ก็ต้องใช้พลังปราณทั้งหมด ไม่อาจสำแดงออกมาอย่างต่อเนื่องได้ คาดไม่ถึงว่าจะยังถูกเขตอาคมกระบี่ตรงหน้าต้านทานเอาไว้อีก
นี่จึงทำให้มันใจหายวาบ
นั่นหมายความว่าเขตอาคมกระบี่ที่กักเขาอยู่นั้น อานุภาพของมันเหนือกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้ จากสถานการณ์ของเขาในยามนี้ เกรงว่าคงไม่อาจฝ่าออกไปได้ง่ายๆ
เมื่อขบคิดอย่างละเอียด แม้ว่ามารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้จะมีชื่อเสียงเกรียงไกร แต่ก็ยังรู้สึกกล้ำกลืนอยู่หลายส่วน
หลังจากที่มันมาถึงแดนนี้โดยข้ามผ่านรอยแยกห้วงเวลาของเทือกเขามารสีทองมา เป็นเพราะสาเหตุอื่นๆ จึงต้องต่อสู้กับมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ตนอื่นๆ ล้วนทั้งเผ่ามนุษย์เผ่าศักดิ์สิทธิ์นอกเทือกเขาอย่างต่อเนื่อง
ไม่เพียงจะทำให้พลังยุทธ์ของมันเสียหาย จนเกือบจะจิตวิญญาณแตกสลาย แม้แต่สมบัติที่มีอานุภาพน่าตกตะลึงซึ่งพกเอาไว้กับตัวสองสามชิ้น ก็ถูกทำลายไประหว่างการต่อสู้ตามลำดับ
มิเช่นนั้นแม้ว่าพลังยุทธ์ของเขาจะถดถอยจนมาถึงขั้นนี้ หากสำแดงสมบัติออกมาทีเดียวสองสามชิ้น ก็น่าจะทลายเขตอาคมออกมาได้
ดวงตาทั้งสองของวานรมารมีลำแสงสีม่วงไหลวนโคจรไปมา สีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส
แต่หานลี่กลับรู้สึกผ่อนคลายลง สะบัดแขนเสื้อ ในมือมียันต์วิเศษสีเขียวเรืองรองปรากฏขึ้นปึกหนึ่ง
ยันต์วิเศษเหล่านี้ดูธรรมดาๆ มาก ทุกแผ่นล้วนมีความยาวแค่ครึ่งฉื่อ แผ่ไอวิญญาณไม้ที่บริสุทธิ์มากออกมา
ในที่สุดหานลี่ในยามนี้ก็มั่นใจว่าพลังยุทธ์ของวานรมารตัวนี้เสียหายไปเป็นอย่างมาก จิตวิญญาณที่แข็งแกร่งและเคล็ดวิชาลับต่างๆ นั้นไม่ต้องพูดถึง พลังปราณในยามนี้ไม่แตกต่างอะไรกับระดับยอดสุดของระดับหลอมสุญตาขั้นปลายเท่านั้น แต่เกราะสงครามที่คุ้มครองร่างของเขาและใบมีดชำรุดสีม่วงในมือนั้นน่าอัศจรรย์จริงๆ หากหมายจะสังหารมารตัวนี้ก็ยังคงเป็นเรื่องที่ยากเย็น
โชคดีที่ขอแค่จำกัดการแปลงกายสารพัดของอีกฝ่ายได้ อิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่ายก็ลดลงไปกว่าครึ่ง
ทว่าอีกฝ่ายมีเนตรวิญญาณที่สามารถมองทะลุผ่านเคล็ดวิชาลวงตาได้อย่างง่ายดายนั้น ก็เป็นเรื่องที่จัดการยากเช่นกัน
เกรงว่าการสร้างภาพลวงตาธรรมดาๆ ของเขตอาคมกระบี่ คงไม่อาจจัดการอีกฝ่ายได้
การที่เขตอาคมกระบี่อาจจะเจอกับศัตรูที่มีเนตรวิญญาณนั้น หานลี่เคยศึกษาตอนที่หลอมเขตอาคมกระบี่นี้มาตั้งนานแล้ว
ดูแล้วอิทธิฤทธิ์ใหม่ที่เขาเพิ่งจะเรียนรู้มาจากเขตอาคมกระบี่หลากวสันต์ในช่วงที่ผ่านมานั้น คงจะได้ลองใช้กับมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้แล้ว
เมื่อขบคิดเช่นนั้นหานลี่ก็ถือโอกาสที่วานรมารลังเลอยู่ในเขตอาคมกระบี่ ชูมือขึ้นทันใด
ชั่วขณะนั้นยันต์วิเศษสีเขียวปึกหนึ่งก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวพุ่งออกไปเต็มท้องฟ้า หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบก็หายวับไป ทยอยกันจมหายเข้าไปในเขตอาคมกระบี่
และแทบจะในเวลาเดียวกัน ปากของหานลี่พลันบริกรรมคาถา มืออีกข้างถือไข่มุกกลมสีทองเอาไว้ ฉับพลันนั้นพลันกลายเป็นเสาลำแสงสีทองพุ่งไปหาเขตอาคมกระบี่ด้านบน
จากนั้นพลันอ้าปากออก พ่นอักขระสีทองขนาดใหญ่ออกมา และพุ่งสูงขึ้นไปและหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
วานรมารในเขตอาคมกระบี่สัมผัสอะไรได้ทันที มันเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เสียง “ปัง!” ดังขึ้น
ในเขตอาคมกระบี่พลันมีพายุหมุนก่อตัวขึ้น เมฆสีดำปกคลุม ดวงอาทิตย์สีทองดวงหนึ่งปรากฏขึ้นรางๆ ในเมฆาสีดำ จากนั้นกลิ่นอายที่น่าตกตะลึงราวกับจะทำลายฟ้าดินได้ก็ทะลักออกมาจากดวงอาทิตย์สีทอง
“เคล็ดวิชาอัญเชิญอัสนี!” รูม่านตาของวานรมารมีอักขระปรากฏขึ้น แล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาออกมา
จากนั้นเขาพลันแค่นเสียงด้วยความเย็นชา ไม่กล้าดูแคลนมือหนึ่งกวักเรียกกระบี่ยักษ์สีม่วงที่อยู่กลางอากาศ
กระบี่ยักษ์เปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นพลันกลายเป็นลำแสงสีม่วงสายหนึ่งถูกเขาดูดเข้ามาอยู่ในมือ
ขวางสมบัติในมือ วานรยักษ์คิดจะสับอากาศวิปลาสให้แตกกระจายตรงๆ
เมื่อเผชิญหน้ากับเคล็ดวิชาอัญเชิญอัสนีที่เป็นข้อจำกัดสำหรับไอมารอย่างอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย แม้ว่ามันจะมีเกราะสงครามสีม่วงปกป้องร่าง ก็ไม่อยากรับการโจมตีนี้ตรงๆ
แต่กระบี่ยักษ์ในมือมารตนนั้นยังไม่ทันได้โบกสะบัด ฉับพลันนั้นรอบด้านพลันมีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ บรรยากาศรอบด้านเริ่มรางเลือน มันปรากฏตัวขึ้นในป่ารกสีเขียวขจี
รอบด้านกลับมีต้นไม้หนาเท่าตัวคน สูงยี่สิบสามสิบจั้งเสียดฟ้าเต็มไปหมด
“หึ ลูกไม้จิ๊บจ๊อยเช่นนี้ยังกล้าเอาออกมาใช้!” วานรมารเปล่งเสียงหัวเราะประหลาดๆ ออกมา กระบี่ยักษ์ในมือสั่นเทาเปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมา ในเวลาเดียวกันรูม่านตาพลันมีอักขระไหลโคจรอย่างรวดเร็ว
แต่ไม่รอให้มันใช้เนตรวิญญาณหาช่องโหว่ของภาพลวงตารอบด้าน ฉับพลันนั้นต้นไม้ยักษ์ทั้งหมดก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ แล้วบิดเบี้ยวกลายเป็นนักรบชุดเกราะสูงสิบจั้งสวมชุดเกราะสีเขียวทั่วเรือนกาย
จากนั้นลำแสงสีเขียวพลันเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นเต็มท้องฟ้า นักรบชุดเกราะทุกคนตะปบมือข้างหนึ่งออกไป ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นในมือพลันมีใบมีดยักษ์สีเขียวรูปทรงต่างๆ อย่างดาบ กระบี่ ขวานสองคม ขวานศึกเป็นต้น
นักรบชุดเกราะสิบกว่าต้นที่อยู่ใกล้กับวานรมารมากที่สุด สับใบมีดยักษ์ในมืออย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด เงาสีดำขนาดยักษ์สิบกว่าตัวพร้อมพายุหมุนสิบกว่ากลุ่มลดระดับลงมาพร้อมกัน
วานรมารพลันตกใจจนขวัญกระเจิง!
ไม่สนใจอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย ฟันกระบี่ยักษ์ในมือออกไปกลางอากาศอย่างไม่ต้องขบคิด!
ชั่วขณะนั้นรอยบากสีม่วงสายหนึ่งพลันกลายเป็นประจุไฟฟ้าทรงกลมสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วฟันออกไป
เสียง “เกร๊ง” ดังขึ้น
ใบมีดยักษ์ของกระบี่สิบกว่าเล่มถูกทำลายไปพร้อมกับนักรบชุดเกราะที่ดูเหมือนยักษ์รอบด้าน
“ไม่สิ เจ้าพวกนี้เป็นแค่ภาพลวงตา!”
จัดการได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ วานรมารไม่ได้เผยสีหน้ายินดีออกมา กลับเผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมาแทน
เมื่อครู่ที่รอยบากสีม่วงสับไปที่ใบมีดยักษ์เหล่านั้น มันสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่แฝงอยู่ในนั้นจำนวนไม่น้อย
แต่ไม่รอให้วานรมารคิดออกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รอบด้านพลันมีเสียงฝีเท้าดังอึกทึกขึ้น นักรบชุดเกราะจำนวนมากกว่าเดิมทะลักเข้ามาราวกับสายน้ำ ลำแสงเย็นเยียบเปล่งแสงสว่างวาบ ใบมีดยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งเสียงหวีดร้องพร้อมกัน
วานรมารแค่นเสียงด้วยความเย็นชา ไม่สะบัดกระบี่ยักษ์สีม่วงในมืออีก กลับยกเท้าขึ้น กระทืบลงไปบนพื้นจนดังสนั่นอีกครั้ง
เสียงอึกทึกสะเทือนเลื่อนลั่นดังขึ้น พื้นดินสั่นไหว จากนั้นไอสีดำแดงก็แผ่ลงมารอบด้านราวกับระลอกคลื่น
ทุกแห่งที่ไอมารสีดำแดงกวาดผ่านไป นักรบชุดเกราะทั้งหมดจะทยอยกันล้มลงไปราวกับฟองอากาศ ชั่วพริบตาก็ถูกกวาดไปจนเกลี้ยง
หานลี่ที่อยู่นอกเขตอาคมกระบี่เห็นเช่นนั้นพลันมีสีหน้าเคร่งขรึม มือพลันเปลี่ยนไปร่ายอาคม
เงาลวงตาเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ ลำแสงสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น จากนั้นก็พลิ้วไหว กลายเป็นลูกศรสีเขียวความยาวสองสามฉื่อหลายดอก!
เสียงแหวกอากาศดัง “ฟิ้วๆ” ดังขึ้น ลูกศรพุ่งไปหาวานรมารราวกับห่าฝน
ครั้งนี้วานรมารกลับไม่ร้อนรน แค่ใช้มือหนึ่งตบไปบนเกราะสีม่วงบนร่าง
ม่านลำแสงสีม่วงชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นจากในเกราะสงคราม จากนั้นมันก็หรี่ตาทั้งสองข้างลงด้วยสีหน้าราบเรียบ เนตรวิญญาณกวาดไปทางลูกศรสีเขียวเหล่านั้น
ผลคือทันใดนั้นพลันขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าเผยสีหน้าฉงนออกมา
ภายใต้การกวาดมองด้วยเนตรวิญญาณของเขา ลูกศรเหล่านี้มีพลังปราณของจริงแฝงอยู่ คาดไม่ถึงว่าจะไม่ใช่ภาพลวงตา
วานรมารมีสีหน้าเคร่งขรึม แต่ครู่ต่อมาเสียง “ตูมๆ” ก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย
ลำแสงสีเขียวระเบิดออกบนผิวของวานรมารราวกับลูกไฟ ลูกศรจำนวนมากโจมตีม่านลำแสงสีม่วงจนสั่นเทาไม่หยุด ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบอย่างบ้าคลั่ง
แต่ม่านลำแสงสีม่วงชั้นนี้กลับแข็งแกร่งราวกับภูเขาไท่ซาน ไม่มีท่าทีจะแหลกสลายเลยสักนิด
แม้ว่าวานรมารจะเห็นว่าลูกศรเหล่านี้ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่อานุภาพก็มีแค่นี้ ทันใดนั้นจึงรู้สึกผ่อนคลายลง แต่ก็อดที่จะรู้สึกประหลาดใจพลางครุ่นคิดเจตนาของหานลี่ไม่ได้
ในยามนั้นเองใต้ดินที่มันยืนอยู่ก็มีเสียง “ตูม” ดังสนั่นขึ้น มือยักษ์สีเขียวข้างหนึ่งยื่นออกมาจากพื้นดินในบริเวณนั้น แค่พลิกฝ่ามือ นิ้วทั้งห้าก็กดลงมาหาวานรมารราวกับภูเขาไท่ซาน
แน่นอนว่าวานรมารย่อมไม่หวาดกลัวอะไร ทันใดนั้นพลันขยับดาบยักษ์ที่อยู่ในมือ หมายจะฟันมือยักษ์ให้ขาดเป็นสองท่อน แต่ฉับพลันนั้นก็ดูเหมือนว่าจะสัมผัสอะไรได้ พลางชูคอขึ้นอย่างกะทันหัน
ผลคือมองเห็นเสาลำแสงสีทองสายนั้นเข้าพอดี อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายที่กลายเป็นดวงอาทิตย์สีทองพ่นลงมาจากกลางอากาศอย่างเงียบเชียบ แต่เปล่งแสงสว่างวาบก็มาอยู่เหนือศีรษะของเขาอยู่แค่คืบ
วานรมารพลันหน้าเปลี่ยนสี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น