ลำนำบุปผาพิษ 1622-1625

 บทที่ 1622 คืนสิ้นปี 1


เดิมทีเขาหมดหวังไปแล้ว แต่ตอนนี้วาสนาของกู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีขาดจากกันอย่างสมบูรณ์แล้ว แบบนั้นไม่เท่ากับว่าเขายังมีหวังกับเธออยู่หรอกหรือ?


เขาพลาดโอกาสไปแล้วครั้งหนึ่ง ไม่อยากพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง


มือของกู้ซีจิ่วที่กุมจอกสุราอยู่พลันหยุดชะงัก เชิดหน้าดื่มสุราอีกจอก


เธอจำได้ว่ามีคนเคยกล่าวเอาไว้ ถ้าต้องจะหลุดพ้นจากอาการอกหักโดยเร็ว วิธีที่ดีที่สุดคือการมีรักครั้งใหม่ ส่วนหลงซือเย่เคยเป็นครูฝึกของเธอ เคยเป็นคนที่หมายปอง หากว่าสานต่อวาสนากับเขา เธอจะสามารถก้าวออกมาจากหล่มรักครั้งนี้ได้หรือเปล่านะ?


เธอดื่มสุราจนสมองค่อนข้างเลอะเลือนแล้ว ในใจของเธอก็ราวกับแช่อยู่ในน้ำ อึดอัดจนหายใจไม่ออก


กู้ซีจิ่ว เธอมันไร้ประโยชน์!


เขาทำกับเธอขนาดนี้เธอยังไม่ลืมเขาอีก! ยังหวังว่าจะได้เจอเขาอยู่อีก! นี่เธอเป็นทาสรักหรือไง?!


เขาไม่ต้องการเธอแล้ว! มองเธอเป็นคนแปลกหน้า เห็นเธอเป็นเพื่อนร่วมงานธรรมดา เธอยังคิดถึงเขาอยู่ทำไม? หรือว่ายังอยากเป็นสหายธรรมดาๆ ของเขาอยู่? ขอแค่ได้มองเขามากขึ้นอีกแวบงั้นสิ?


รนหาที่หรือไง? เธออย่ากระจอกขนาดนี้ได้ไหม?! ไม่เด็ดเดี่ยวเอาเสียเลย!


กู้ซีจิ่ว เขาไม่เห็นค่าเธอแล้ว! เป็นความจริง! เธอไม่มีค่าแล้ว!


แต่ว่า เธออยากเจอหน้าเขาอีกจริงๆ นะ! อยากจนแทบบ้าแล้ว!


เธอนึกว่าจะได้พบหน้าเขาสักแวบในงานเลี้ยงที่วังหลวง แต่เขาก็ไม่มา…


ความคะนึงดั่งต้นหญ้าในฤดูใบไม้ผลิ ทอดยาวไปไกลทว่ายังฝังรากลึก…


….


ความคิดหมดอาลัยตายอยากนับไม่ถ้วนหมุนวนอยู่ในสมองของเธอด้วยฤทธิ์สุรา เธอกรอกสุราเข้าไปอีกคำ พลาดท่าสำลักเข้า เธอไอออกมาอย่างรุนแรง ไอจนน้ำตาไหล


หลงซือเย่ลุกขึ้นมาลูบหลังเธอ ให้เธอโล่งคอ แล้วส่งผ้าเช็ดหน้าสีขาวพิสุทธิ์ผืนหนึ่งให้เธอ ให้เธอซับน้ำตาที่ไอจนไหลออกมา


ไม่ง่ายเลยกว่ากู้ซีจิ่วจะหยุดไอได้ น้ำตาไหลแทบเต็มหน้าแล้ว


เธอใช้ผ้าเช็ดหน้าซับ พลางเยาะหยันตัวเอง “นานมากแล้วที่ไม่ได้สำลัก การสำลักครั้งนี้ร้ายกาจจริงๆ…”


หลงซือเย่มองเธออยู่สักพัก ถอนหายใจออกมา “ซีจิ่ว ต่อหน้าฉันเธอไม่จำเป็นต้องฝืนเข้มแข็งหรอก อยากร้องก็ร้องออกมาเถอะ”


กู้ซีจิ่วเงียบไปครู่หนึ่ง


เธอยังคงโต้แย้ง “ฉันไม่ได้อยากร้องไห้ ฉันแค่สำลักเหล้า…”


หลงซือเย่มองเธอโดยไม่พูดอะไร ถึงอย่างไรก็เคยมีความสัมพันธ์กันเช่นนั้น เขาย่อมรู้จักเธอดีที่สุด มองการแสร้งทำของเธอออกอย่างง่ายดายยิ่ง


หลายเดือนมานี้เธอแสร้งทำเป็นว่าสบายดียิ่งนัก ต่อให้เป็นพี่ชายแท้ๆ ของเธอก็อาจมองไม่ออกว่าเธอกำลังฝืนยิ้มแย้มอยู่ ทุกคนคิดว่าเธอก้าวออกมาได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่คิดถึงตี้ฝูอีอย่างสิ้นเชิงแล้ว แต่หลงซือเย่กลับรู้ดี เพราะว่ารู้ดีเมื่อเห็นเธอเป็นเช่นนี้ถึงได้ปวดใจ…


ยิ่งกู้ซีจิ่วอธิบายเท่าไหร่ยิ่งก็ยิ่งเบาลงเท่านั้น สุดท้ายเธอก็พูดไม่ออกแล้ว เธอรู้ว่าหลงซือเย่รู้จักเธอดี…


ในร่างของหลงซือเย่เดิมทีผนึกหลงฟั่นเอาไว้ แต่ห้าเดือนก่อนตี้ฝูอีมาหาหลงซือเย่ พบว่าในร่างเขาไม่มีร่องรอยของดวงวิญญาณหลงฟั่นแล้ว และไม่ทราบเช่นกันว่าหลบหนีไปที่อื่น หรือว่าถูกดวงวิญญาณของหลงซือเย่กลืนกินไปอย่างสมบูรณ์แล้ว…


ตี้ฝูอีเคยเรียกวิญญาณของหลงฟั่นดูแล้วเช่นกัน และเรียกมาไม่ได้เลยสักเสี้ยวกระผีก


เมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมีความเป็นไปได้อยู่สองกรณี หนึ่งคือมันไม่อยู่บนโลกนี้แล้วจริงๆ สองคือเขาไปเกิดใหม่แล้ว ไม่อาจสิงสู่ร่างของผู้อื่นได้อีกต่อไป


เนื่องจากครั้งก่อนตี้ฝูอีได้ประทับตราไว้บนร่างจิตของหลงฟั่น ทำให้เขาสิงสู่ใครไม่ได้อีก ต่อให้สร้างร่างโคลนนิ่งออกมาอีกก็ไม่ได้เช่นกัน!


สองกรณีนี้ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหนล้วนเป็นผลดีต่อหลงซือเย่ทั้งสิ้น และเป็นผลดีต่อโลกนี้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นตี้ฝูอีกับหลงซือเย่จึงไม่สืบสาวราวเรื่องกันอีก


————————————————————————————-


บทที่ 1623 คืนสิ้นปี 2


เรื่องนี้หลงซือเย่เคยเล่าให้กู้ซีจิ่วฟังแล้ว ตอนนั้นกู้ซีจิ่วตัดขาดกับตี้ฝูอี เธอนึกไม่ถึงเลยว่าตี้ฝูอีจะยังช่วยเหลือหลงซือเย่อยู่ ในใจประหลาดใจขึ้นมาทันที


ต่อมาก็นึกขึ้นได้ว่าเดิมทีหลงซือเย่ก็เป็นสานุศิษย์สวรรค์ ตี้ฝูอีมีฐานะเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ปกป้องคุ้มครองสานุศิษย์สวรรค์มาโดยตลอด เขาทำการรักษาให้หลงซือเย่ย่อมมิใช่เพราะเห็นแก่หน้าเธอกู้ซีจิ่ว


ไม่ว่าตี้ฝูอีจะทำเพื่อใคร ขอแค่สามารถกำจัดภัยพิบัติใหญ่เช่นหลงฟั่นได้อย่างสมบูรณ์กู้ซีจิ่วก็ยังคงยินดียิ่งนัก และรู้สึกดีใจแทนหลงซือเย่ด้วย


ช่วงห้าเดือนมานี้พบหน้าหลงซือเย่อยู่หลายครั้ง ถึงขั้นที่เคยดื่มสุราด้วยกันสองครั้งแล้ว ตอนนั้นหลงซือเย่ไม่ได้ปลอบใจเธอเลย เพียงอยู่เป็นเพื่อนข้างกายเธอ


เรื่องเช่นนี้ผู้อื่นปลอบไปก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่เจ้าตัวต้องค่อยๆ ก้าวออกมาเอง


กู้ซีจิ่วยังคงเคร่งครัดกับตัวเองยิ่งนักอยู่ ต่อให้ในใจจะเสียใจสักแค่ไหนเธอก็ไม่คิดจะร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น


ยามที่เสียใจอย่างยิ่ง ก็จะหาสถานที่ปลอดผู้คนสักแห่งนั่งเงียบๆ อยู่ทั้งคืน เหมือนลูกสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บ เพียงอยากหลบเลียแผลตนในสถานที่ไร้ผู้คนเท่านั้น ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น


“ซีจิ่ว ร้องเพลงกับเต้นรำให้ฉันเพลงได้ไหม?” หลงซือเย่ไม่อยากให้บรรยากาศหดหู่อยู่เช่นนี้ จึงเสนอขึ้นมา


เขาหยิบพิณตัวหนึ่งออกมาอย่างกระตือรือร้น “ฉันจะบรรเลงให้เธอเอง”


กู้ซีจิ่วก็ไม่ปฏิเสธเช่นกัน “ได้!”


เสียงพิณแว่วขึ้นมา กู้ซีจิ่วขับขานบทเพลง


ปีนั้นบนถนนที่ทอดยาวกลิ่นอายรักกรุ่นกำจร ควบม้าทะยานกลางหมอกฝนดุจภาพฝัน


หลบฝนใต้ชายคา สบสายตาลึกล้ำคู่หนึ่ง


ดั่งภูผาที่แทรกด้วยวาโยโบกพลิ้วหิมะลออ


สายพิรุณเยียบเย็น สายลมพัดพาหมอกสลัวหอมระคนธ์


ดวงใจพลันสั่นไหวเฉกดุจคมกระบี่อ่อนโยนของท่าน กวัดแกว่งสง่างามน่าตะลึง


หรือคำรักที่จารจดล้วนกลายเป็นความว่างเปล่าไปแล้วสิ้นหนึ่งขีดหนึ่งเขียนกลั่นกรองแล้วจึ่งมอบให้…


มือของหลงซือเย่ที่ดีดพิณอยู่พลันชะงักไป เพลงที่เธอร้องคือ ‘สหายพรตหญิงผู้หนึ่งของข้า’[1] บางทีเพลงนี้อาจจะเข้ากับความรู้สึกของเธออย่างยิ่ง เธอร้องอย่างตั้งใจยิ่งนัก


ทว่าข้าทำได้เพียงแสร้งยิ้มแย้มสุขุม รับฟังคำรักหวานซึ้งเหล่านั้นที่แว่วอยู่ริมหู


ไม่เหลียวมองดวงหน้าอันคุ้นเคยของท่าน ดื่มสุราอย่างเงียบเหงาทำราวกับไม่แยแส…


นอกทวารบรรพตหิมะโบกพัดชายชุดขาวปลิวไสวหลอมละลายบนปลายนิ้ว


แบกกระบี่ยามถามไถ่บนยุทธภพอันกว้างไกลควรจักไปยังแห่งใดดี?


ชาตินี้ยามนี้เป็นดั่งเรื่องขบขันกระทั่งตัวข้าก็ยังหัวเราะเยาะหยันตัว


ความปรารถนาเพียงฝ่ายใดของข้ามีเริ่มต้นทว่าไร้สิ้นสุด หากท่านมีใจให้ผู้อื่นตั้งแต่ต้น ไยต้องมาทำให้ข้ายกใจให้ผิดคน หรือการที่ได้เห็นข้าหมดอาลัยตายอยาก ทำให้ท่านสุขใจกระนั้นหรือ?


โชคดีที่ข้าผ่านเรื่องราวบนโลกโลกีย์มาเนิ่นนานแล้ว หัวใจดวงนี้ถูกทะลวงนับร้อยนับพันบาดแผล


จะหวั่นเกรงกับความกลับกลอกที่เป็นดั่งคมมีดกรีดเฉือนของท่านได้อย่างไร ข้าไม่มีทางเจ็บปวด มิสู้กลบฝังเรื่องราวในอดีตไว้กลางสายลม


เสียงพิณเอ้อระเหย เสียงเพลงแว่ววน ล่องลอยอยู่ภายในศาลาหลังน้อย


กู้ซีจิ่วหยักยิ้มมุมปาก ถือตะเกียบเล่มหนึ่งเคาะจอกสุราร้องเพลง


เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นบทเพลงที่เศร้าสร้อยยิ่งนัก แต่พอเธอขับขานออกมากลับให้อารมณ์ห้าวหาญเกรียงไกร เมื่อเพลงนี้จบลง คล้ายว่าเธอจะมีไฟในการร้องเพลงขึ้นมาแล้ว ขับขานออกมาทีละเพลงๆ


ไม่เพียงแต่ร้องเพลงเท่านั้นยังร่ายรำไปตามเสียงพิณด้วย


ด้านนอกศาลหิมะปลิวว่อนด้านในศาลามีเงาคนร่ายรำ


การร้องรำของเธอยอดเยี่ยมมาก ปีนั้นหลังจากที่ตี้ฝูอีได้ยลแล้วก็ไม่อนุญาตให้เธอร้องรำต่อหน้าคนอื่นอีก บอกว่าเธอต้องร้องรำให้เขาชมเพียงผู้เดียว มิเช่นนั้นเขาจะหึงหวง


ตอนนี้เธอกับเขาตัดขาดกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว ไม่ว่าเธอจะร้องรำให้ผู้ใดชม เขาล้วนขัดขวางไม่ได้แล้ว และไม่มีสิทธิ์ที่จะขัดขวางด้วย ในที่สุดเธอก็เธอทำตามใจได้แล้ว!


เธอร้องเพลงแล้วเพลงเล่า หลงซือเย่ก็บรรเลงให้เธอเพลงแล้วเพลงเล่า


หลายปีมานี้ฝีมือการบรรเลงพิณของเขาพัฒนาขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้เพลงที่ดีดออกมาจะไม่สามารถดึงดูดวิหคนับร้อยให้มาบินร่อนร่ายรำได้ แต่ก็ทำให้ผู้ฟังลุ่มหลงเมามายได้เช่นกัน


บางทีอาจเป็นเพราะเหน็ดเหนื่อยเกินไป หรืออาจเป็นเพราะเมามายแล้ว ในที่สุดเธอก็หยุดร้องรำ หลังจากพูดคุยกับหลงซือเย่ได้ไม่กี่ประโยค ก็ฟุบลงบนโต๊ะหลับใหลไปทันที


————————————————————————————-


[1] สหายพรตหญิงผู้หนึ่งของข้า (我的一个道姑朋友) เป็นเพลงประกอบเกมออนไลน์กระบี่ชะตาจอมยุทธ์ภาค 3 เป็นบทเพลงเศร้าที่รำพันถึงความรักในอดีต ฝ่ายชายเปลี่ยนใจไปแล้วแต่ฝ่ายหญิงยังคงจมดิ่งหวนรำลึกถึงความหลังอยู่เสมอ


บทที่ 1624 คืนสิ้นปี 3


หลงซือเย่ที่นั่งอยู่ด้านข้างมองดูเธอ มองเธอซุกใบหน้าเล็กๆ ไว้ในวงแขน มองไม่เห็นใบหน้าของเธอ แต่มองออกว่าเงาร่างของเธอแฝงความเดียวดายที่ยากจะเอื้อนเอ่ยได้เอาไว้


“ซีจิ่ว ถ้าอยากนอนฉันจะพาเธอไปนอนในห้องนะ ที่นี่หนาว” หลงซือเย่ก้าวเข้ามาหมายจะอุ้มเธอ กลับถูกเขตแดนคุ้มกายบนร่างเธอดีดสะท้อนออกไป


ชัดเจนยิ่งนัก เธอในตอนนี้ปฏิเสธการเข้าใกล้จากทุกคน


หลงซือเย่ถอนหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง ล้มเลิกความคิดที่อุ้มเธอเข้าไปพักผ่อนในเรือน


กู้ซีจิ่วกำลังฝัน ในความฝันเธอเพนจรไปทั่วเหมือนสัมภเวสี


ในความฝันท้องฟ้ามืดมิด ทุกครัวเรือนต่างจุดประทัดจุดโคมแล้ว เสียงประทัดดังปังๆ ต่อเนื่องกัน เด็กน้อยแก่นแก้วถือประทัดวิ่งไล่กันบนท้องถนน ผู้คนนับไม่ถ้วนชุมนุมกันอยู่ที่ประตูวังหลวง หรงเจียหลัวแต่งตัวเต็มยศนำขบวนข้าราชบริพารยืนอยู่บนหอเหนือประตูร่วมสุขสันต์ไปกับราษฎร และกล่าวให้โอวาท


ดอกไม้ไฟนับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นสู่ฟ้า ระเบิดออกกลางอากาศ ส่องสะท้อนใบหน้ายิ้มแย้มของผู้คนให้เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง


หลายครอบครัวจูงลูกหลานคนชรามาชุมนุมที่นี่ สามีจูงมือภรรยา ภรรยาจูงมือบุตร หนึ่งครอบครัวเดินเที่ยวด้วยกัน ใบหน้ายิ้มแย้มบ่งบอกถึงความปีติพึงใจ


กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าตนล่องลอยไปอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่คึกคัก ไม่มีใครมองเห็นเธอ แต่เธอสามารถสัมผัสถึงความสุขของคนอื่นได้


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เธอกับเขาเคยจับมือกันเดินเที่ยวในคืนสิ้นปี ยามนั้นความสุขของเธอราวกับแทบล้นทะลักออกมา หวังเพียงว่า ‘จะมีวันนี้ไปทุกๆ ปี มีช่วงเวลานี้ไปทุกๆ ปี’ กลับนึกไม่ถึงว่าความสุขเป็นดั่งฟองสบู่ สลายหายไปอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้!


ไม่ทันรู้ตัวก็ไปถึงจวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแล้ว


จวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกลับค่อนข้างวังเวงอยู่บ้าง ไม่มีกลิ่นอายของคืนข้ามปี


เหล่าข้ารับใช้ส่วนใหญ่ล้วนถูกปล่อยให้กลับไปข้ามปีกับครอบครัวแล้ว ภายในจวนเหลือผู้ปฏิบัติหน้าที่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นใบหน้าเดิมๆ ที่กู้ซีจิ่วคุ้นเคย


เธอลอยผ่านหน้าพวกเขาไปพวกเขาก็ไม่สังเกตเห็นเลยเช่นกัน


เธอได้ยินจากปากของสาวใช้เหล่านี้ว่าเขากำลังรับรองแขกอยู่ที่ศาลาสดับคลื่น


ศาลาสดับคลื่นเป็นสถานที่ที่กู้ซีจิ่วโปรดปรานที่สุดยามพำนักอยู่ในจวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เป็นอาคารกลางภูเขาหลังหนึ่ง มีภูเขารายล้อมอยู่สามด้าน อีกหนึ่งด้านเป็นสายน้ำ ฝั่งภูเขาปลูกต้นสนครามเอาไว้ เมื่อสายลมโชยมา ต้นไม้จะเอนไหว ดั่งคลื่นสมุทร ทิวทัศน์งดงามยิ่งนัก


ตี้ฝูอีไม่รับรองแขกที่นี่ง่ายๆ ยามปกติจะลากเธอไปร่ำสุราที่นี่ ตอนนี้แขกที่เขารับรองอยู่ที่นี่เป็นใครกัน?


หัวใจเธอพลันรุ่มร้อนดั่งเพลิง เธออยากเจอเขา!


ตัวเธอในความฝันยังคงทำทุกอย่างได้ตามปรารถนา ตรงไปที่นั่นทันที


ต่อมาในที่สุดเธอก็ได้เห็นเขาแล้ว เรื่องราวผ่านพ้นไปห้าเดือนในที่สุดเธอก็ได้เห็นเขาอีกครั้ง! จากนั้นก็ราวถูกฟ้าผ่าลงกลางศีรษะ!


เรือนผมของเขา! ทำไมถึงเป็นสีขาวล่ะ


สวมชุดอยู่บ้านสีฟ้าอ่อน คิ้วดั่งเรียวจันทร์เหนือยอดเขา เนตรสกาวดั่งดารา ณ ขอบฟ้า รูปโฉมยังคงหล่อเหลาพิสุทธิ์เช่นเดิม เป็นอย่างที่เธอคุ้นเคย มีเพียงเส้นผมอย่างดียวที่ไม่เป็นสีดำดุจหมึกอีกต่อไป แต่กลับขาวโพลนดุจหิมะ!


ในเวลาเดียวกันนี้ เธอก็ได้เห็นแขกที่เขากำลังรับรองอยู่ เป็นสองพี่น้องสกุลหลานจากเผ่าเงือกหลานเหยากวงและหลานจิ้งอี๋


หลายเดือนมานี้ถึงแม้หลานเหยากวงจะมาเยี่ยมกู้ซีจิ่วอยู่เป็นประจำ แต่หลานจิ้งอี๋ไม่เคยมาด้วยเลย นี่เป็นครั้งแรกในรอบห้าเดือนที่กู้ซีจิ่วได้เห็นนาง


แม่นางน้อยมองตี้ฝูอีที่กำลังชงชาอยู่ด้วยสีหน้าปวดใจ “พี่หวง ทำไมผมท่านถึงกลายเป็นสีขาวเช่นนี้ไปได้เล่า?”


มือของตี้ฝูอีที่กำลังชงชาอยู่พลันชะงักไปแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร ยังคงชงชาต่อ


หลานเหยากวงถลึงตาใส่น้องสาวคราหนึ่ง เตือนไม่ให้นางสะกิดบาดแผลของผู้อื่น หลานจิ้งอี๋กลับเบะปาก เพียงแต่ยังคงทำเป็นไม่รู้ตัว ดวงตายังคงจับจ้องตี้ฝูอี “พี่หวง เป็นเพราะพี่หญิงไม่ได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมา ท่านผิดหวังเกินไปเส้นผมถึงได้หงอกขาวเช่นนี้ใช่ไหรือไม่? ข้าเคยได้ยินตำนานปรัมปราเช่นนี้ คู่รักคู่หนึ่งแยกจากกันทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ยามที่คนเราสิ้นหวังเกินไปเส้นผมจะหงอกขาว…”


————————————————————————————-


บทที่ 1625 คืนสิ้นปี 4


หลานเหยากวงขมวดคิ้ว ในที่สุดก็ออกปากปรามนาง “จิ้งอี๋ อย่าพูดเหลวไหล พี่หญิงฟื้นคืนชีพแล้ว นางแค่ไม่ยอมรับเท่านั้น…”


“ไม่ใช่! นางไม่ใช่พี่หญิง! เป็นกู้ซีจิ่วที่ฟื้นขึ้นมา นางเป็นเพียงเสี้ยวจิตสำนึกของพี่หญิงเท่านั้น! น่าชังนัก! ว่ากันตามเหตุผลแล้ว มนุษย์มีสามวิญญาณถึงจะนับว่าเป็นวิญญาณหลัก เป็นเจ้าของนิสัยหลักของคนผู้นั้น แต่จิตสำนึกเป็นเพียงส่วนเกื้อหนุนเท่านั้น ไม่ควรมีสตินึกรู้เป็นของตน กลับนึกไม่ถึงว่าเสี้ยวจิตสำนึกดวงนี้ไม่เพียงแต่มีสตินึกรู้เป็นของตัวเองเท่านั้น ยังยึดครองร่างกายที่สมควรเป็นของพี่หญิงอีกด้วย ทำให้พี่หญิงกลับมาไม่ได้…”


น้ำเสียงของนางสะอื้นอยู่บ้าง “ข้าคิดถึงพี่หญิง อยากได้พี่หญิงคนเดิมผู้นั้นกลับมา….”


หลานเหยากวงเอ่ยขัดนาง “น้องเล็ก เจ้าอย่าได้กล่าวเช่นนี้ ซีจิ่วเป็นจิตสำนึกของพี่หญิงกลับชาติมาเกิด เป็นส่วนหนึ่งของพี่หญิงเช่นกัน เจ้าไม่อาจไม่ยอมรับนางได้!”


“แต่พี่หญิงที่ข้าต้องการคือดวงวิญญาณหลัก! นั่นไม่ใช่พี่หญิงของข้า! คนในยามนี้ก็เหมือนตัวปลอมคนหนึ่ง เป็นกาเหว่ายึดรังกา!!”


หลานเหยากวงขมวดคิ้ว “พี่หญิงสิ้นชีพในครานั้น เดิมทีดวงวิญญาณได้แตกกระสานซ่านเซ็นไปแล้ว เป็นพี่หวงที่ฝืนรั้งเสี้ยววิญญาณนางไว้ เช่นนี้ถึงได้เก็บรักษาความทรงจำเหล่านั้นของนางเอาไว้ได้ วิญญาณส่วนที่เหลือแตกแยกไปหมด จิตสำนึกนั้นสามารถกลับชาติมาเกิดได้ก็นับว่าเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายในเรื่องเหนือความคาดหมายแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ดวงวิญญาณหลักจะยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เกรงว่าคงสลายเป็นธุลีไปแล้ว เจ้าจะให้พี่หวงไปตามหาพี่หญิงที่มีดวงวิญญาณหลักมาให้เจ้าจากไหนกัน?”


หลานจิ้งอี๋ไม่ยอมแพ้ “ในเมื่อจิตสำนึกนั้นสามารถเกิดใหม่อย่างสมบูรณ์ได้ แล้วรู้ได้อย่างไรว่าดวงวิญญาณหลักของพี่หญิงจะรวมตัวกันอย่างสมบูรณ์ไม่ได้? ไม่แน่ว่าอาจจะกลับชาติมาเกิดแล้วเช่นกัน!”


หลานเหยากวงส่ายหน้า “ไหนเลยจะมีเรื่องดีเช่นนี้ได้…”


จู่ๆ ตี้ฝูอีที่นั่งอยู่ตรงนั้นมาตลอดก็เปิดปากขึ้น “จิ้งอี๋พูดถูก จิตสำนึกไม่นับว่าเป็นนางจริงๆ ข้าจะหาทางตามหาวิญญาณหลักของนางกลับมา ทำให้นางกลับคืนมาอย่างแท้จริง…”


หลานเหยากวงตะลึงงัน ดวงตาหลานจิ้งอี๋พลันส่องประกาย “พี่หวง ที่ท่านกล่าวเช่นนี้ความหมายคือไม่ยอมรับว่ากู้ซีจิ่วในยามนี้คือพี่หญิงจิ้งเคอเหมือนกันใช่ไหม?”


น้ำเสียงตี้ฝูอีขรึมลง “นางย่อมไม่นับว่าเป็นจิ้งเคอ เป็นข้าที่ผิดพลาดไป”


หลานจิ้งเคอถอนหายใจเหยียดยาว “จิ้งอี๋รู้อยู่แล้วว่าพี่หวงก็อยากให้พี่หญิงตัวจริงกลับคืนมา ดีเหลือเกิน!”


ดูเหมือนนางจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “แล้วจะอย่างไรกับร่างกายเล่า? ร่างนั้นถูกเสี้ยวจิตสำนึกนั้นยึดครองแล้ว ต่อให้ดวงวิญญาณหลักของพี่หญิงรวบรวมกลับมาได้ก็ถือกำเนิดใหม่ไม่ได้แล้วนะ”


ตี้ฝูอีเงยหน้าเหม่อมองไปไกลครู่หนึ่ง เอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่ต้องห่วง ยามนี้สังขารมิใช่เรื่องยากแล้ว หลงซือเย่เจ้าสำนักถามสวรรค์สามารถสร้างร่างโคลนนิ่งได้ รอจนดวงวิญาณหลักของจิ้งเคอเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ข้าจะให้หลงซือเย่สร้างร่างที่เหมือนกันออกมาอีกร่างหนึ่ง ให้จิ้งเคอได้ฟื้นคืนชีพอย่างสมบูรณ์”


แววตาหลานจิ้งอี๋ไหวระริก สีหน้าตื้นตัน “ข้ารู้อยู่แล้วว่าผู้ที่พี่หวงคะนึงหาอย่างแท้จริงก็คือพี่หญิงจิ้งเคอของข้า เพื่อให้นางได้คืนชีพท่านวางแผนมาหลายพันปี…เฮ้อ ท่านอุตสาหะวางแผนมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ตั้งตารอมาเนิ่นนานปานนี้ สุดท้ายกลับถูกกู้ซีจิ่วฉกฉวยผลประโยชน์ ต้องเสียใจอย่างยิ่งเป็นแน่ ดังนั้นจึงได้คิดมากจนผมหงอกขาว…”


ตี้ฝูอียกชาขึ้นดื่มอึกหนึ่ง ไม่พูดอะไร


คล้ายว่าหลานจิ้งอี๋จะนึกอะไรขึ้นมาได้อีก “ใช่แล้ว หากว่าวันหน้าพี่หญิงจิ้งเคอตัวจริงของข้าฟื้นคืนชีพ เช่นนั้นจะเอาอย่างไรกับตัวปลอมอย่างกู้ซีจิ่วดี?”


ตี้ฝูอีเอ่ยอย่างเฉยเมย “ไม่จำเป็นต้องสนใจนาง วันหน้าข้าก็แค่ทำเหมือนนางเป็นคนแปลกหน้า ไม่รักใคร่พะเน้าพะนอนางด้วยเห็นว่าเป็นจิ้งเคออีก”


หลานจิ้งอี๋เบะปาก “นางช่างได้ผลประโยชน์เหลือเกิน…ช่างเถอะ ขอเพียงพี่หวงไม่ชมชอบนางอีกก็พอแล้ว มิเช่นนั้นหลังจากพี่หญิงจิ้งเคอตัวจริงของข้าฟื้นคืนมาคงจะเสียใจ”


————————————————————————

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)