พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1621-1626
บทที่ 1621 สมาชิกหน่วยองครักษ์เงา
หวงฝู่จวินโหรวก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเขาอย่างไรดี ที่บอกกับมารดาตัวเองไป ก็เพราะอยากจะให้มารดารู้ว่าตัวเองจะยังไม่กลับไป แต่ใครจะคิดว่าหวงฝู่ตวนหรงจะเดาออกทันทีว่านางอยู่กับใคร จะเป็นจะตายก็จะมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นนางก็ต้องกลับไปเดี๋ยวดี ไม่ให้โอกาสนางได้มาเกลือกกลั้วอยู่กับใคร
รวดเร็วมาก หวงฝู่ตวนหรงกับอู่หนิงมาพร้อมกันแล้ว เหมียวอี้ หวงฝู่จวินโหรวและเหยียนซิวออกไปตอนรับด้านนอก เหมียวอี้เองก็ไม่อยากหลบอยู่ในลานบ้านให้คนเข้าใจผิดว่าเขากับคนของตระกูลหวงฝู่มีความสัมพันธ์ที่ล้ำลึกต่อกัน เพราะสมาคมวีรชนเป็นสิ่งที่อ่อนไหวจริงๆ คาดว่าตระกูลโค่วเองก็ไม่อยากทำให้เรื่องนี้คลุมเครือเช่นกัน
หวงฝู่ตวนหรงรูจักเหมียวอี้ แต่สำหรับอู่หนิงที่ดูอิสระเจ้าสำราญ เหมียวอี้ค่อนข้างอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเขาอยู่บ้าง ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีมาก ดูแล้วก็ไม่เหมือนสามัญชนจนตรอก แต่กลับยินดีแต่งงานเข้าตระกูลหวงฝู่ ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเจ้าตัวคิดได้อย่างไร ขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า ไม่รู้ว่าทำไมจึงรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีอารมณ์กลัดกลุ้มเล็กๆ แวบผ่านใบหน้าไปอย่างอธิบายไม่ถูก
หลังจากทั้งสองฝ่ายทักทายปราศัยกันไม่กี่ค่ำ หวงฝู่ตวนหรงก็เย็นชามา กลับเป็นอู่หนิงที่มีท่าทีค่อนข้างอบอุ่นและสบายๆ กับเหมียวอี้ คุยไปยิ้มไป ดูเป็นคนสบายใจไร้กังวลจริงๆ
เมี่ยวฉุนได้รับข่าวแล้ว นางเหาะมาเป็นผู้นำทางให้คนกลุ่มนี้
ความเจริญรุ่งเรืองในโลกมนุษย์ก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง เอาเป็นว่าไม่ค่อยแตกต่างกับโลกมนุษย์ในเขตของตำหนักสวรรค์สักเท่าไร เต็มไปด้วยกลิ่นอายของแดนพุทธ ให้ความรู้สึกว่าเป็นเสน่ห์ของต่างแดน
พวกเขาเดินไปตามถนนที่เจริญเฟื่องฟู เมี่ยวฉุนถ่ายทอดเสียงแนะนำตลอดทาง อู่หนิงฟังไปพยักหน้าไป หันซ้ายหันขวาดูสินค้า สีหน้าผ่อนคลายสบายใจ
หวงฝู่ตวนหรงกลับเฝ้าตามติดอยู่ข้างกายลูกสาว ไม่ให้โอกาสลูกสาวได้มีโอกาสแอบคุยกับเหมียวอี้ นี่ก็คือเหตุผลที่นางดึงดันจะมาให้ได้ นางรู้สึกกลัวแล้วจริงๆ กลัวว่าคนหนุ่มสาวจะไม่มีความสามารถในการควบคุมตัวเอง ที่นี่คือที่ไหนล่ะ? ถ้าเรื่องระหว่างลูกสาวกับเหมียวอี้ถูกเปิดโปงขึ้นมา ผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่อยากจินตนาการถึงเลย
ภายนอกหวงฝู่จวินโหรวดูสงบใจเย็น แต่ในใจกลับคับแค้น ดูจากสายตาที่เหลือบมองมารดาเป็นระยะก็รู้แล้ว ส่วนสายตาที่มองเหมียวอี้ก็ทำให้เข้าใจโดยไม่ต้องพูดเลย นางโทษเหมียวอี้ว่าไม่ควรเสนอความคิดว่าจะมาเดินเล่นที่นี่ ตอนนนี้โดนคนจับตาดูแบบเข้มงวดแล้ว สนุกตรงไหน?
เหมียวอี้กลับไม่เป็นอะไร ถ้ามีหวงฝู่ตวนหรงคอยดูแลลูกสาวตัวเองได้ก็ดีที่สุดแล้ว
ทว่าการมาของหวงฝู่ตวนหรงก็ไม่ได้สงบอย่างที่เขาคิด ตอนที่เดินมาถึงทะเลสาบแห่งหนึ่งในเมือง จู่ๆ หวงฝู่ตวนหรงก็ถามว่า “แม่ทัพภาคหนิว อยู่ที่ตลาดผีเป็นยังไงบ้าง?”
หลายคนที่ได้ยินคำถามนี้มองมาพร้อมกัน เหมียวอี้ก็งงเช่นกัน จากนั้นก็ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ผู้จัดการใหญ่กำลังพูดหยอกหนิวเหรอ? สถานการณ์ของหนิว คาดว่าคงไม่ต้องพูดอะไรมากหรอก”
หวงฝู่ตวนหรงส่ายหน้าเบาๆ “ถึงยังไงแม่ทัพภาคหนิวก็เป็นแม่ทัพภาคตลาดผี ทางสมาคมวีรชนมีเรื่องนิดหน่อย ไม่ทราบว่าจะให้โอกาสขอคำชี้แนะได้หรือเปล่า?”
เหมียวอี้พึมพำในใจ ผู้หญิงคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่? ภายนอกกลับยิ้มพร้อมถามว่า “มิกล้าปฏิเสธ?”
หวงฝู่ตวนหรงเอียงหน้าบอกลูกสาวทันที “โหรวโหรว ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนพ่อเจ้าสักหน่อย” ไม่สนว่าสองพ่อลูกจะเต็มใจหรือไม่ นางบอกเมี่ยวฉุนอีกว่า “พระอาจารย์ใหญ่ ข้ากับแม่ทัพภาคหนิวขอคุยกันส่วนตัว คงไม่มีปัญหาใช่มั้ย?”
อู่หนิงกวาดตามองฮูหยินของตัวเองอย่างแปลกใจเล็กน้อย ผลปรากฏว่าโดนถลึงตาใส่ ถึงได้หัวเราะร่าพลางจูงมือหวงฝู่จวินโหรวเดินออกไป
เมี่ยวฉุนก็ประนมมือแล้วเดินตามไปเช่นกัน หวงฝู่ตวนหรงเหลือบมองเหยียนซิวอีก เหมียวอี้จึงเข้าใจ เอียงหน้าบอกใบ้ให้เหยียนซิวถอยออกไปเช่นกัน
แต่เหยียนซิวก็ยังไม่ได้ออกไป ยังคงเดินตามหลังอยู่ไกลๆ
เมื่อเดินกับหวงฝู่ตวนหรงริมทะเลสาบได้สักพักแล้วไม่เห็นนางเอ่ยปากพูดอะไร เหมียวอี้ก็จำต้องเป็นฝ่ายถามก่อน “ผู้จัดการใหญ่มีอะไรจะกำชับหรือขอรับ?”
หวงฝู่ตวนหรงแสยะยิ้มทื่อๆ “เล่นมุกตลกเหรอ ข้าจะกล้ากำชับอะไรเจ้าล่ะ ท่านเป็นลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วเชียวนะ”
“…” ประโยคนี้ทำให้เหมียวอี้ไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรดี สิ่งที่แฝงอยู่ในคำพูดของอีกฝ่ายทำให้เขาละอายใจเล็กน้อย
การที่เขาไม่พูดอะไร ก็ไม่ได้แปลว่าหวงฝู่ตวนหรงจะปล่อยไป “เจ้าแซ่หนิว ไหนเจ้าลองบอกมาซิ ว่าเรื่องระหว่างเจ้ากับโหรวโหรวเตรียมจะทำยังไงกันแน่?”
เหมียวอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วโดยนคำถามกลับไป “ท่านคิดว่าควรทำยังไงล่ะ?”
หวงฝู่ตวนหรงหันกลับมาถลึงตาว่า “ตัดขาด! เจ้าน่าจะรู้นะ ว่าถ้าพวกเจ้าทำอย่างนี้ต่อไป ก็ไม่มีใครรับผิดชอบผลที่ตามมาไหวทั้งนั้น ตัดขาดอย่าให้เหลือเยื่อใยเดี๋ยวนี้!”
เหมียวอี้ครุ่นคิดพลางกล่าวช้าๆ ว่า “ผู้จัดการใหญ่ ข้าเข้าใจที่ท่านพูดทุกอย่างนะ แต่ข้าทำเรื่องที่ไร้ไมตรีอย่างนั้นไม่ลงหรอก ข้ารับประกันกับท่านได้อย่างเดียวเท่านั้น ถ้าท่านเกลี้ยกล่อมโหรวโหรวได้ ข้าก็ยินดีทำตามเจตนาของท่าน”
“เจ้า…” หวงฝู่ตวนหรงแค้นจนกัดฟันกรอด ถ้าตัวเองทำได้ก็คงทำไปนานแล้ว ยังจะต้องมาคุยกับเจ้าอีกเหรอ?
นางไม่มีหน้าจะไปพูดเรื่องนี้กับลูกสาวอีกแล้ว จึงหวังว่าจะเริ่มจัดการจากฝั่งเหมียวอี้ ให้เหมียวอี้เป็นคนใจร้ายถีบลูกสาวตัวเองออกมา
เหมียวอี้เห็นสีหน้านางแย่มาก จึงกล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า “ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ไม่สู้ให้ทำอย่างนี้ต่อไปดีกว่า พวกเราก็แค่ต้องระวังตัวมากขึ้นหน่อย น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
หวงฝู่ตวนหรงโมโหจนหัวเราะประชด “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้ข้าตั้งใจจะช่วยให้พวกเจ้าแอบคบกันต่อไป แต่เจ้าคิดเหรอว่าถ้าข้าอยากจะปิดบังแล้วจะปิดบังไหว? บิดานางก็ไม่ใช่คนโง่ เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน สักวันก็คงจะเผยพิรุธออกมาให้เห็น ถึงตอนนั้นทั้งตระกูลหวงฝู่จะต้องหัวหลุดสักกี่คนเพื่อชดเชยให้เรื่องนี้?”
“ไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง สามีท่านจะทำร้ายคนในครอบครัวเชียวหรือ?” เหมียวอี้แปลกใจ
หวงฝู่ตวนหรงกัดฟันบอกว่า “ในเมื่อพูดถึงส่วนนี้แล้ว ข้าจะเปิดเผยให้ชัดเจนเพื่อให้เจ้าชั่งน้ำหนักเอาเองก็ได้ ประวัติของพ่อโหรวโหรวไม่ธรรมดาหรอก เขาเป็นคนของตำหนักสวรรค์ เป็นคนที่ผู้การใหญ่ซ่างกวนชิงของตำหนักสวรรค์จับแทรกเข้ามาในสมาคมวีรชนเพื่อจับตาดูตระกูลหวง คนประเภทพ่อของโหรวโหรวน่ะ ไม่ได้มีอยู่ในตระกูลหวงฝู่แค่คนสองคนหรอกนะ!”
เหมียวอี้ตกใจไม่เบา แต่ก็ยังถามเหมือนเดิม “เขาจะทำร้ายลูกสาวของตัวเองเชียวเหรอ?”
“แล้วจะให้เขาขอบคุณเจ้ารึไง? เจ้าทำอะไรกับลูกสาวเขาไปบ้างล่ะ? ถ้าเขารู้ขึ้นมา คงจะแค้นจนต้องฉีกเนื้อเจ้าทั้งเป็นแน่!” หวงฝู่ตวนหรงถ่ายทอดเสียงบอกอย่างโมโห
“เสือจะดุร้ายขนาดไหน แต่ก็ไม่กินลูกตัวเองหรอก ในเมื่อเข้ารักลูกสาวตัวเองขนาดนี้ มีหรือที่จะ…” เหมียวอี้กล่าว
หวงฝู่ตวนหรงพูดตัดบททันที “เรื่องบางเรื่องไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เจ้าคิด เจ้าเคยได้ยินชื่อหน่วยองครักษ์เงารึเปล่า?”
“หน่วยองครักษ์เงา?” ชื่อนี้เหมียวอี้เคยได้ยินมาจากเทพประจำดาวผังก้วน ในมือประมุขชิงมีกำลังพลกลุ่มหนึ่งที่เอาไว้ปฏิบัติภารกิจลับโดยเฉพาะ เขาอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึกด้วยความตระหนก “นี่ท่านกำลังบอกว่า พ่อของโหรวโหรวเป็นสมาชิกหน่วยองครักษ์เงาเหรอ?”
“สงสัยเจ้าจะรู้มาบ้างเหมือนกัน” หวงฝู่ตวนหรงเหล่ตามองพลางแสยะยิ้ม นางหยุดเดินแล้วหันตัวไปมองผิวคลื่นทะเลสาบที่สะท้อนแสงระยิบระยับ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “ถึงแม้ข้าจะสงสัย แต่ในใจก็มั่นใจว่ามีความเป็นไปได้เก้าในสิบ มีความเป็นไปได้สูงว่าพ่อของโหรวโหรวเป็นสมาชิกของหน่วยองครักษ์เงา หน่วยองครักษ์เงาถูกควบคุมอยู่ในมือซ่างกวนชิงผู้การใหญ่ตำหนักสวรรค์ สมาคมวีรชนก็ถูกควบคุมอยู่ในมือซ่างกวนชิงเช่นกัน ที่อื่นมีคนที่ซ่างกวนชิงสามารถใช้งานได้ไม่เยอะ คนที่เขาเชื่อใจมากพอที่จะส่งมาจับตาดูคนของสมาคมวีรชน เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นคนของหน่วยองครักษ์เงา โหรวโหรวคือลูกสาวสุดที่รักของอู่หนิง แต่ในเมื่อซ่างกวนชิงสามารถควบคุมหน่วยองครักษ์เงาไว้อย่างแน่นหนา ก็แสดงว่าจะต้องมีวิธีการควบคุมหน่วยองครักษ์เงาแน่นอน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ข้าก็ไม่มั่นใจว่าอู่หนิงจะยืนอยู่ฝั่งไหน กลัวว่าถึงตอนนั้นอู่หนิงก็คงจะทำตามใจตัวเองไม่ได้เช่นกัน”
“ในเมื่อท่านรู้เรื่องนี้แล้ว ทำไมถึงยอมเป็นสามีภรรยากับเขาแล้วคลอดโหรวโหรวออกมา?” เหมียวอี้ถาม
หวงฝู่ตวนหรงอธิบายว่า “เจ้าคิดว่าข้ามีสิทธิ์เลือกเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? ข้าเองก็เคยมีคนรักของตัวเองเหมือนกัน แต่ข้าไม่มีทางเลือก และไม่มีทางขัดขืนได้ นอกเสียจากจะไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเท่านั้นแหละ เฮ้อ! ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องพวกนี้ ถ้าพูดจากอีกมุมหนึ่ง อู่หนิงก็ถือว่าเป็นผู้ชายที่ไม่เลวเลย เป็นคนที่รู้จักเอาใจใส่ ข้าไม่นึกเสียใจทีหลังที่ได้อยู่กับเขา ทว่าเรื่องบางเรื่องเขาก็ไม่มีทางควบคุมได้ เจ้าเข้าใจรึยัง? …หนิวโหย่วเต๋อ โหรวโหรวก็พอจะมีความสวยอยู่บ้าง แต่เจ้าก็เคยเห็นนางเป็นของเล่นมาแล้ว ข้างกายเจ้าก็ไม่ขาดผู้หญิง ปล่อยโหรวโหรวไปเถอะนะ ทำไมถึงกดดันให้นางเดินไปสู่เส้นทางตายล่ะ? ข้าแค่หวังให้ลูกสาวตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อไป เรื่องอื่นข้าไม่สนแล้ว คำขอร้องนี้ไม่ถือว่าเกินไปใช่มั้ย? ข้าไปมีเรื่องกับเจ้าไม่ไหวจริงๆ และไม่อยากมีเรื่องกับเจ้าด้วย ข้าขอร้องให้เจ้าทิ้งลูกสาวข้า ไม่ได้เหรอ?”
พูดจาแบบนี้เรียกว่าอะไรกัน? เหมียวอี้ฟังแล้วไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่เขาก็หัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ออกเช่นกัน รู้ว่าวันนี้ผู้หญิงคนนี้ควักหัวใจออกมาพูดแล้ว ไม่ว่าสิ่งที่ควรพูดหรือไม่ควรพูดก็พูดออกมาหมด หลังจากเงียบไปสักประเดี๋ยว ก็กล่าวช้าๆ ว่า “ผู้จัดการใหญ่ ข้าเคยทำร้ายโหรวโหรวมาครั้งหนึ่งแล้ว ถ้าทำร้ายหัวใจนางอีกครั้ง ท่านคิดว่าปฏิกิริยาของนางจะไม่ทำให้พ่อนางมองออกเหรอ? ถ้าท่านรับประกันได้ ข้าก็จะรับปากท่าน!”
“…” หวงฝู่ตวนหรงอ้าปากค้างพูดไม่ออกทันที อึกอักอยากจะพูดหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็รับประกันไม่ไหว นางเห็นลูกสาวเติบโตมากับตา นางเข้าใจดีว่าลูกจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ถ้าทำร้ายจิตใจนางอีกครั้ง ดีไม่ดีอาจจะยอมแหลกราญไปพร้อมกับหนิวโหย่วเต๋อก็ได้
เหมียวอี้ครุ่นคิดแล้วบอกอีกว่า “ผู้จัดการใหญ่ มีอยู่จุดหนึ่งที่ข้าหวังให้ท่านเข้าใจ ไม่ใช่ว่าโหรวโหรวแบกรับความเสี่ยงนี้ไว้คนเดียว ถ้าเกิดปัญหาอะไรกับนาง ข้าก็หนีไม่พ้นหรอก ถ้าเกิดเรื่องอะไรข้าจะแบกรับไปพร้อมกับนาง! ข้าให้คำตอบแบบนี้ ท่านพอใจรึยัง?”
หวงฝู่ตวนหรงเงยหน้า นางถามฟ้าอย่างพูดไม่ออก ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองทำเวรทำกรรมอะไรไว้ ทำไมถึงมาเจอกับไอ้หลานที่เข้าใกล้ไม่ได้แต่ก็สะบัดไม่หลุดคนนี้ เจ้าอยู่กินทรัพยากรดีๆ ที่ตำหนักสวรรค์ก็ดีอยู่แล้ว เรื่องระหว่างเจ้ากับโหรวโหรวก็ใช่ว่าจะไม่มีทางเหลือให้กอบกู้สถานการณ์ แต่เจ้าดันถ่อไปอยู่ที่กองทัพองครักษ์ทำไม? อยู่ก่อเรื่องที่กองทัพองครักษ์ยังไม่พอ ยังกลายไปเป็นลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วอีก เบื้องหลังของตระกูลหวงฝู่จะกล้าไปยุ่งเกี่ยวกับเบื้องบนได้ยังไง? ทำผิดข้อห้ามเกินไปแล้ว!
“ทุกที่ของที่นี่มีแต่คนของสำนักพุทธ อย่าประเมินความแน่วแน่ในการเป็นพันธมิตรของประมุขพุทธะกับประมุขชิงต่ำเกินไป อย่าหวังว่าแดนสุขาวดีเห็นอะไรแล้วจ่ะช่วยพวกเจ้าปิดบัง พวกเจ้าสองคนอย่าทำซี้ซั้วที่นี่!” หวงฝู่ตวนหรงกล่าวเตือนทิ้งท้าย แล้วหันตัวจากไปทันที
คำพูดนี้หมายความว่ายังไง? เหมียวอี้ยืนงงอยู่กับที่ จากนั้นก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว
ในวันต่อๆ มา หวงฝู่จวินโหรวก็ถูกมารดาจับตาดูอย่างเข้มงวดมาก แทบจะไม่ต่างอะไรกับถูกมัดเอวเอาไว้ ไม่ต้องคิดจะไปไหนทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะถ่อไปนัดเจอกับเหมียวอี้ นางแทบจะแตกคอกับมารดา สุดท้ายหวงฝู่ตวนหรงก็กลัวว่าอู่หนิงจะมองอะไรออก เอาคำพูดของเหมียวอี้มาบอกลูกสาว ทำให้หวงฝู่จวินโหรวยอมแพ้และว่านอนสอนง่ายทันที สำหรับการเชื่อฟังคำสั่งของนาง ทำให้หวงฝู่ตวนหรงอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ลูกสาวโตแล้วไม่เชื่อฟังแม่จริงๆ ด้วย
ในที่สุดพิธีกรรมงานวันเกิดของพระโพธิสัตว์หลันเย่ก็มาถึงแล้ว แขกจากตำหนักสวรรค์และแดนสุขาวดีทยอยกันปรากฏตัว ในอารามหลันเย่มีแขกแน่นขนัด แสดงบรรยากาศที่ครึกครื้นยิ่งใหญ่ของชาพุทธ
เมื่ออยู่ท่ามกลางกลุ่มคน ถึงแม้เหมียวอี้จะรักษาระยะห่างกับตระกูลหวงฝู่ แต่ก็ดูไม่เย็นชาเหมือนกัน กำลังคนในสายของตระกูลโค่วปฏิบัติต่อเขาราวกับดาวล้อมเดือน
ในอารามหลันเย่ ขณะที่กลุ่มแขกกำลังพูดคุยกัน จู่ก็มีเสียงอุทานดังขึ้น ทุกคนพากันมองไปทางพระอุโบสถ เหมียวอี้ก็หันมองตามเช่นกัน เห็นเพียงพระโพธิสัตว์หลันเย่รีบเดินออกมาจากพระอุโบสถ จากนั้นเหาะขึ้นบนฟ้าแล้วหันมองไปทั่ว ไม่รู้ว่ากำลังหาอะไรอยู่
บทที่ 1622 ฆราวาสผู่หลัน
ฝูงชนแปลกใจว่าพระโพธิสัตว์หลันเย่กำลังจะทำอะไร บรรดาศิษย์ของหลันเย่ที่มองไปรอบๆ ก็มีท่าทางสงสัยประหลาดใจเช่นกัน เหมือนไม่เข้าใจว่าหลันเย่กำลังจะทำอะไรกันแน่ ในขณะนี้เอง จู่ๆ หลันเย่ก็ทะยานขึ้นฟ้าสูงอีกครั้ง แล้วเหาะไปยังบางจุดอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
ตอนนี้กลุ่มคนที่ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองเผยสีหน้าเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน เห็นเพียงบนท้องฟ้ามีผู้หญิงสิบกว่าคนปรากฏตัว พวกนางเหาะมาพร้อมกัน ที่คอสวมใส่สร้อยหยก ราวกับเป็นนางฟ้านางสวรรค์ ทุกคนเข้าใจแล้วว่าคงจะมีแขกมา
แต่ว่าแขกจากที่ไหนกันที่ทำให้พระโพธิสัตว์หลันเย่รีบออกมาต้อนรับด้วยตัวเองได้? เมื่อมองให้ละเอียดก็พบว่าเป็นเทพธิดาชาวพุทธระดับบงกชรุ้งกลุ่มหนึ่ง แต่ผู้ที่นำหน้ามากลับเป็นนักพรตบงกชทอง และหลังจากพระโพธิสัตว์หลันเย่เข้าไปต้อนรับแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะทำความเคารพนักพรตบงกชทองท่านนั้น ชัดเจนว่าเป็นท่าทีของผู้น้อยต่อผู้ใหญ่
ลูกศิษย์บางส่วนของหลันเย่รีบทะยานขึ้นฟ้า เข้าไปทำความเคารพแล้ว
มีคนไม่น้อยพากันเดาะลิ้นอย่างแปลกใจ พากันเดาว่านักพรตบงกชทองผู้นั้นเป็นใคร
“ไม่รู้ว่าท่านนั้นเป็นใคร ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้พระโพธิสัตว์เคารพนบนอบขนาดนี้?” มีคนเริ่มถามพระธุดงค์ที่อยู่ข้างกัน
มีพระธุดงค์เริ่มส่ายหน้า และมีพระธุดงค์ประนมมือกล่าวว่า “ที่แท้ฆราวาสผู่หลันก็มาเยือนด้วยตนเอง ดีแล้ว ดีงามแล้ว”
ทุกคนได้ยินแล้วก็ยิ่งแปลกใจ ฆราวาส? หรือพูดได้อีกอย่างว่าเป็นนักพรตชาวพุทธที่ยังไม่ได้รับแต่งตั้ง เป็นคนที่ยังไม่มีตำแหน่งในสำนักพุทธ ทำไมถึงได้รับการต้อนรับอันทรงเกียรติขนาดนี้จากพระโพธิสัตว์หลันเย่?
แม้แต่เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็เอียงหน้ามองไปทางพระธุดงค์ เงี่ยหูตั้งใจฟัง อยากจะสืบว่านางเป็นใครกันแน่
มีคนถามว่า “ฆราวาสผู่หลันคนนี้เป็นใครเหรอ ทำไมถึงได้รับการต้อนรับอันทรงเกียรติจากพระโพธิสัตว์ขนาดนี้?”
พระธุดงค์ตอบว่า “ฆราวาสผู่หลันคือศิษย์ที่พุทธะจิ้งฮวารับไว้เป็นกรณีพิเศษ เป็นศิษย์คนเล็กสุดของพุทธะจิ้งฮวาในตอนนี้”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ทุกคนก็เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน ที่แท้ถ้านับลำดับอาวุโส ฆราวาสผู่หลันก็ยังมีศักดิ์เป็นอาจารย์อาของพระโพธิสัตว์หลันเย่ ทั้งยังถูกพุทธะจิ้งฮวารับเป็นศิษย์เป็นกรณีพิเศษ จะเห็นได้ว่าได้รับความสำคัญจากพุทธะจิ้งฮวาขนาดไหน ไม่แปลกใจที่พระโพธิสัตว์หลันเย่เคารพขนาดนี้
และดูจากท่าทางของพระโพธิสัตว์หลันเย่ที่รีบออกมาต้อนรับเมื่อใกล้ถึงเวลา ก็มีความเป็นไปได้เก้าในสิบที่ก่อนหน้านี้พระโพธิสัตว์หลันเย่ไม่รู้ว่าฆราวาสผู่หลันจะมา เพิ่งจะได้รับข่าวเมื่อเรื่องจวนตัว ไม่รู้ว่าจะอวยพนวันเกิดให้พระโพธิสัตว์หลันเย่
บนท้องฟ้า กลุ่มคนขบวนหนึ่งเหาะลงมาจากข้างบน ไม่ได้เข้าผ่านประตูใหญ่ แต่เหยียบลงนอกพระอุโบสถโดยตรง แล้วก็เข้ามาในพระอุโบสถโดยมีพระโพธิสัตว์หลันเย่เดินอยู่เคียงข้างด้วยตัวเอง
“ไม่รู้ว่าฆราวาสผู่หลันท่านนี้มีประวัติที่มายังไง ไม่น่าเชื่อว่าพุทธะจิ้งฮวาจะรับไว้เป็นศิษย์คนสุดท้าย?” ด้านนอกมีคนถามขึ้นอีก
“ไม่รู้สิ” พระธุดงค์ผู้นั้นส่ายหน้า
ตรงนั้นเกิดเสียงกระซิบกระซาบสืบถามอยู่ข้างกายพระธุดงค์ทันที คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์กระเพื่อมไปทั่ว เหมียวอี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น กำลังพลังอิทธิฤทธิ์ออกมาสบเช่นกัน แต่จนใจที่ไม่รู้ว่าทุกคนไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้ ไม่มีพระธุดงค์คนไหนในงานที่สามารถพูดสิ่งนี้ออกมาได้เลย
เหมียวอี้ที่สังเกตการณ์รอบตัว เดิมทีก็ไม่ได้สนใจฆราวาสผู่หลันสักเท่าไรอยู่แล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับตน ใครจะคิดว่าจะบังเอิญเห็นหวงฝู่เยี่ยนที่นั่งอยู่ท่ามกลางคนตระกูลหวงฝู่มีสีหน้าเรียบเฉย เมื่ออยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่สืบถามไปทั่วก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับนกกระเรียนในฝูงไก่ เขาอดไม่ได้ที่จะเกิดความคิดบางอย่างในใจ หรือว่าหวงฝู่เยี่ยนจะรู้ประวัติของฆราวาสผู่หลันท่านนี้?
คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเป็นไปได้ เพราะสมาคมวีรชนมีช่องทางข่าวสารดีมาก ไม่แน่ว่าอาจจะรู้อะไรบ้าง
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เหมียวอี้เห็นว่ามีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์อยู่ทั่วทั้งงาน สามารถอาศัยคลื่นเหล่านี้กลบเกลื่อนคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองได้ จึงห้อยแขนเสื้อข้างหนึ่งต่ำลง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหวงฝู่จวินโหรว
หวงฝู่จวินโหรวที่ยืนอยู่กับคนในตระกูลงงไปชั่วขณะ ชำเลืองมองไปทางเหมียวอี้แวบหนึ่ง เหมียวอี้เป็นคนส่งข้อความมาหาตนแท้ๆ แต่เหมียวอี้กลับไม่มองมาทางนี้ แต่กลับจงใจมองไปอีกด้านหนึ่ง
พฤติกรรมเหมือนโสเภณีที่อยากได้ป้ายสรรเสริญความดีแบบนี้ ทำให้หวงฝู่จวินโหรวทั้งโมโหทั้งอยากขำ นางห้อยแขนเสื้อข้างหนึ่งแล้วหยิบระฆังดาราออกมาเช่นกัน : มีอะไร?
เหมียวอี้ถามว่า : ดูจากท่าทางที่ทุกคนอยากรู้อยากเห็นมาก ฆราวาสผู่หลันท่านนี้มีประวัติที่มายังไงกันแน่?
หวงฝู่จวินโหรว : ข้าเองก็ได้ยินเป็นครั้งแรกเหมือนกัน จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ?
เหมียวอี้ : ถามท่านตาเจ้าสิ เขาอาจจะรู้อะไรบางอย่างก็ได้
หวงฝู่จวินโหรวอึ้งทันที แล้วก็หันกลับไปมองหวงฝู่เยี่ยน จากสิ่งที่เหมียวอี้บอกเตือน ก็เหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่นางก็ไม่สะดวกจะถามท่านตาของตัวเองโดยตรง จึงย้ายไปถามมารดาที่อยู่ข้างหน้า
หวงฝู่ตวนหรงเหล่ตามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง จากนั้นก็หันตัวไปยืนข้างกายหวงฝู่เยี่ยน เหมือนกำลังถ่ายทอดเสียงถามอะไรบางอย่าง
ผ่านไปไม่นาน หวงฝู่จวินโหรวก็ตอบข้อความกลับมาแล้ว : หลายพันปีก่อนจู่ๆ พุทธะจิ้งฮวาก็รับศิษย์คนคนสุดท้ายเป็นพรณีพิเศษ สิ่งนี้ทำให้สมาคมวีรชนสนใจ เบื้องบนก็ออกคำสั่งมาให้สืบเรื่องนี้เช่นกัน จากเบาะแสบ้างอย่างทำให้สืบเจอว่าฆราวาสผู่หลันท่านนี้ไม่ได้มีพื้นเพมาจากแดนสุขาวดี แต่มาจากดาวไร้ลักษณ์ในเขตตำหนักสวรรค์ ตอนนี้พุทธะจิ้งฮวารับเป็นศิษย์นางก็เป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว เหมือนจะมีลูกชายหนึ่งคนด้วย ถูกพุทธะจิ้งฮวาแนะนำให้ไปฝึกตนที่ภูเขาหลิงซาน สำนักพุทธจงใจปิดข่าว สมาคมวีรชนก็เลยรู้ไม่เยอะเช่นกัน สืบได้แค่เท่านี้
ข่าวนี้ฟังดูเหมือนไม่เป็นความลับสักเท่าไร แต่คำว่า ‘ดาวไร้ลักษณ์’ ยังทำให้เหมียวอี้รู้สึกตะลึงในใจ ช่างบังเอิญจริงๆ ตอนอยู่ที่พิภพใหญ่ พื้นเพของตนก็นับว่ามาจากดาวไร้ลักษณ์เหมือนกัน นึกมถึงว่าจะบังเอิญมาเจอ ‘บ้านเกิด’ แล้ว เพียงแต่เป็นเรื่องเมื่อหลายพันปีก่อน ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นตัวเองยังอยู่ที่ดาวไร้ลักษณ์หรือเปล่า
เหมียวอี้ไม่รู้ว่าทางหวงฝู่เยี่ยนรู้มากเท่าไร หรือว่ารู้แล้วไม่ยอมบอก หรือไม่ก็สืบแล้วแต่สืบได้ไม่เยอะ ก็เลยทำสีหน้าเรียบเฉยอย่างนั้น สรุปก็คือเหมียวอี้รู้สึกว่าถามแล้วไม่ได้อะไร
ในขณะนี้เอง จู่ๆ เมี่ยวฉุนก็เดินผ่านฝูงชนเข้ามา มากุมหมัดคารวะเชิญอยู่ข้างกายเหมียวอี้ “ฆราวาสผู่หลันทราบว่ามีแขกผู้มีเกียรติมาเยือน บอกว่าจะต้อนรับอย่างเย็นชาไม่ได้ เชิญแม่ทัพภาคหนิวไปพบที่พระอุโบสถสักครั้ง”
เหมียวอี้ยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน คิดในใจว่าตัวเองนับเป็นแขกผู้มีเกียรติเสียที่ไหนกัน แค่ได้ชื่อว่าเป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วเท่านั้นแหละ
แน่นอน คงไม่ดีที่จะทำตัวไม่รู้กาลเทศะ ถึงอย่างไรตัวเองก็เป็นตัวแทนตระกูลโค่ว ถ้าไม่รู้จักมีมารยาทธรรมเนียมจนตระกูลโค่วเสียหน้า ก็จะทำให้ตระกูลโค่วไม่พอใจ ย่อมต้องปฏิบัติตามอยู่แล้ว
ตอนที่เดินไปถึงบันไดพระอุโบสถ เหมียวอี้ถึงได้พบว่าแขกผู้มีเกียรติไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว นอกจากพระกลุ่มหนึ่งแล้ว ก็ยังมีแขกผู้มีเกียรติกลุ่มหนึ่งที่แต่งตัวเหมือนปุถุชนกำลังเดินขึ้นบันได้เช่นกัน สิ่งที่บังเอิญก็คือ เหมียวอี้รู้จักคนพวกนี้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย
สี่อ๋องสวรรค์ จอมพลสิบสองสายล้วนส่งคนมา เหมียวอี้ก็ย่อมเป็นหนึ่งในนั้น ฆราวาสผู่หลันเหมือนจะให้เข้าพบเฉพาะคนที่ระดับจอมพลขึ้นไปส่งมา สิ่งนี้ไม่ได้สำคัญอะไรเลย เพราะสิ่งที่ทำให้เหมียวอี้แอบขำก็คือ ตระกูลเซี่ยโห้วกับตึกศาลาสัตยพรตแยกกันส่งคนมา คนที่ตระกูลเซี่ยโห้วส่งมาก็คือเซี่ยโห้วหู่เฉิงน้องชายของเซี่ยโห้วหลงเฉิง ส่วนคนที่ตึกศาลาสัตยพรตส่งมาก็คือเฉาเฟิ่งฉือ ล้วนเป็นคนคุ้ยเคยกันทั้งนั้น
เหมียวอี้เดาว่าฝั่งอารามหลันเย่คงจะแกล้งโง่ มีใครไม่รู้บ้างว่าตระกูลเซี่ยโห้วกับตึกศาลาสัตยพรตเป็นพวกเดียวกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะยังแสดงละคนส่งคนมาสองกลุ่ม นี่ก็คือความดื้อดึงของคนมีเงิน ไม่ถือสาที่จะส่งมอบของขวัญอีกส่วนหนึ่ง
ส่วนเซี่ยโห้วหู่เฉิงก็เหมือนจะรู้สึกดีกับเหมียวอี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะพยักหน้าให้เหมียวอี้ด้วยรอยยิ้ม ต่อให้ไม่เห็นแก่หน้าคนเป็นก็ต้องเห็นแก่หน้าคนตาย ไม่ว่าแม่ทัพภาคหนิวท่านนี้จะเป็นอย่างไร แต่ก็นับว่าเป็นสหายของพี่ใหญ่ตอนที่มีชีวิตอยู่
ถ้าเขารู้ว่าเบื้องหลังคนที่ฆ่าพี่ชายของเขาคือเหมียวอี้ ก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรบ้าง
ท่าทีที่เฉาเฟิ่งฉือมีต่อเหมียวอี้ก็เหมือนจะไม่เลวเหมือนกัน นางพยักหน้ายิ้มบางๆ ในจุดนี้เหมียวอี้ซาบซึ้งใจนานแล้ว ตอนเจอกันที่ตึกศาลาสัตยพรต เหมียวอี้ก็สังเกตได้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้มีท่าทีต่อเขาค่อนข้างดี
คนที่มาในนามจอมพลสามสายที่อยู่ใต้สังกัดตระกูลโค่ว ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบเหมียวอี้ แต่ก็ล้วนสำนึกได้แล้วไปยืนข้างหลังเหมียวอี้เพื่อแสดงความเคารพ ก็ช่วยไม่ได้ เพราะนี่คือลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว อีกฝ่ายเป็นตัวแทนของตระกูลโค่ว ถ้าไม่ไว้หน้าเขาก็เท่ากับไม่ไว้หน้าตระกูลโค่ว ไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว
ส่วนคนกลุ่มอื่น ก็ไม่ได้รู้สึกดีกับเหมียวอี้เท่าไรนัก โดยเฉพาะอิ๋งหยาง เป็นทายาทรุ่นที่สามของตระกูลโค่ว เป็นลูกพี่ลูกน้องของอิ๋งฮุยที่ตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ที่อุทยานหลวง แน่นอน ความสัมพันธ์เลวร้ายระหว่างตระกูลโค่วกับเหมียวอี้ไม่ใช่เพราะเรื่องการตายของอิ๋งฮุยอย่างเดียว คนที่รู้สถานการณ์เบื้องลึกต่างก็รู้ว่าพูดไปก็เรื่องยาว ดังนั้นอิ๋งหยางจึงมองเหมียวอี้ด้วยสายตาเย็นเยียบดุร้ายอย่างไม่ปิดบังเลยสักนิด
เหมียวอี้ขี้คร้านจะสนใจเขา รู้ว่าถึงแม้ตัวเองจะก้มหัวให้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ใจกว้างให้อภัยอยู่ดี
คนกลุ่มหนึ่งเจอกันบนบันได โดยมีตัวแทนของสี่อ๋องสวรรค์กับตระกูลเซี่ยโห้วอยู่หน้าสุด ทั้งหมดถูกเชิญเข้าไปในพระอุโบสถ
ในอุโบสถ กลุ่มนักบวชยืนแยกอยู่สองแถวทางซ้ายและขวา พระโพธิสัตว์หลันเย่ก็ลงจากฐานดอกบัวแล้วเช่นกัน ไม่กล้าโอ้อวดต่อหน้าฆราวาสผู่หลัน นางยืนอยู่ข้างกายฆราวาสผู่หลันแล้ว
ส่วนฆราวาสผู่หลันท่านนี้ก็หน้าตางดงามไม่ธรรมดาจริงๆ ผมยาวประแผ่นหลัง ใบหน้าหยกดูสง่าภูมิฐาน หน้าผากนูนเกลี้ยงเกลา มองไม่เห็นความประมาทเลินเล่อในดวงตา เปล่งประกายดุจดาวในดาราจักร สวมชุดกระโปรงสีขาวของฆราวาส สร้อยหยกห้อยอยู่ตรงหน้าอกที่อิ่มเอิบ ทั้งตัวเผยความสง่างามในความสงบนิ่ง มองปราดเดียวก็รู้สึกว่ามีกลิ่นอายบริสุทธิ์เหนือโลกีย์โผเข้าปะทะหน้า
เหมียวอี้ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า รู้สึกว่าพอตัวเองเข้ามาแล้ว ฆราวาสผู่หลันท่านนี้ก็จับตามองตัวเองทันที เหมือนจะจ้องประเมินตนอยู่ตลอด ทำเอาเขายกมือขึ้นลูบใบหน้าว่ามีอะไรติดหรือเปล่า
สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเข้าใจผิดจริงๆ สงสัยว่าฆราวาสผู่หลันท่านนี้รู้จักตนหรือเปล่า อย่าบอกนะว่าเคยเจอกันที่ดาวไร้ลักษณ์มาก่อนจริงๆ? แต่พอเขาลองจัดระเบียบความคิดในหัว ถ้าเคยพบท่านนี้จริงๆ นางก็มีภาพลักษณ์ที่ไม่ธรรมดา เป็นไปไม่ได้ที่ตัวเองจะจำไม่ได้เลยสักนิด จะต้องไม่รู้จักแน่นอน ไม่อย่างนั้นก็ต้องมีภาพรางๆ บ้าง
หลังจากเดินเข้ามาดู อยากจะยืนยันอะไรบางอย่างจากสายตาของอีกฝ่าย แต่ก็พบว่าสายตาของฆราวาสผู่หลันย้ายออกจากตัวเขาไปแล้ว เริ่มไปมองประเมินคนอื่นแทน ทำให้เหมียวอี้สงสัยอีกครั้งว่าตัวเองอาจจะเข้าใจผิดไป เป็นตัวเองที่คิดมากไปเอง
ไม่ว่าจะอย่างไร ประวัติความเป็นมาของฆราวาสผู่หลันก็เป็นเพียงฆราวาสคนหนึ่ง ดังนั้นทุกคนก็ยังกุมหมัดคารวะหรือไม่ก็ประนมมือให้พระโพธิสัตว์หลันเย่ “พระโพธิสัตว์!”
พระโพธิสัตว์หลันเย่ยิ้มพลางพยักหน้าเล็กน้อย แล้วยกมือแนะนำฆราวาสผู่หลันที่อยู่ข้างกัน “ท่านนี้คือฆราวาสผู่หลันอาจารย์อาของข้า ได้ยินว่ามีแขกผู้มีเกียรติมาที่นี่ จึงตั้งใจมาเจอทุกท่านที่นี่ จะได้ไม่เป็นการเมินเฉยแขก”
เซี่ยโห้วหู่เฉิงไม่เกี่ยงงอนในสิ่งที่ควรกระทำ เป็นคนแรกที่กุมหมัดทำความเคารพ “เซี่ยโห้วหู่เฉิงคำนับฆราวาส”
ตามด้วยตระกูลอิ๋งที่คุมทัพหนึ่งในสี่ให้ตำหนักสวรรค์ อิ๋งหยางกุมหมัดคารวะ “อิ๋งหยางคำนับฆราวาส”
จนกระทั่งถึงคราวของเหมียวอี้ “หนิวโหย่วเต๋อคำนับฆราวาส” พอพูดจบก็รู้สึกได้ว่าฆราวาสผู่หลันกำลังสบตากับตัวเอง แต่สายตาก็ย้ายไปที่ตัวเฉาเฟิ่งฉืออย่างรวดเร็ว
“ตึกศาลาสัตยพรตเฉาเฟิ่งฉือคำนับฆราวาส”
หลังจากเฉาเฟิ่งฉือคำนับแล้ว คนของจอมพลแต่ละสายก็มาคำนับอีก
หลังจากฆราวาสผู่หลันประนมมือเคารพกลับทีละคน สายตาก็ไปหยุดอยู่บนหน้าเหมียวอี้อย่างเป็นทางการ แล้วถามพร้อมรอยยิ้มบางๆ “เจ้าก็คือหนิวโหย่วเต๋อ ลูกเขยสุดที่รักของอ๋องสวรรค์โค่วใช่มั้ย?”
เหมียวอี้แอบรู้สึกจนใจ ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นใคร พอพูดถึงตนก็จะพ่วงคำว่า ‘ลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่ว’ มาด้วยเสมอ เขากุมหมัดคารวะอีกครั้ง “ใช่แล้วขอรับ ไม่ทราบว่าฆราวาสมีอะไรจะชี้แนะ?”
ฆราวาสผู่หลันจ้องตาเหมียวอี้พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มอีกว่า “ไม่กล้านับว่าชี้แนะหรอก! อาตมาได้ยินชื่อท่านโด่งดังที่แดนสุขาวดีมานานแล้ว ได้เห็นวันนี้ก็นับว่ามีสง่าราศีไม่ธรรมดาจริงๆ ดีแล้ว ดีงามแล้ว”
บทที่ 1623 งานพิธีวันเกิด
นี่ชมหรือประชด? เหมียวอี้รู้สึกเซ็งในใจ ได้แต่หัวเราะเงียบๆ
ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้วเหรอ? คนอื่นๆ ได้ยินแล้วกลั้นขำ พบว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้ช่างชื่อเสียงฉาวโฉ่จริงๆ!
เมื่อบอกว่าได้ยินเชื่อเสียงมานานแล้ว ทุกคนก็เชื่ออย่างนั้น แต่ที่บอกว่า ‘มีสง่าราศีไม่ธรรมดา’ เดิมทีทุกคนก็คิดว่าเป็นคำหยอกล้อเหมียวอี้ มีคนไม่น้อยรู้สึกดีกับฆราวาสท่านนี้ทันที เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะมีคนไม่ชอบขี้หน้าเหมียวอี้เยอะเกินไป
ถึงแม้จะเอ่ยถึงเหมียวอี้ก่อน แต่ฆราวาสผู่หลันก็ไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง พูดคุยกับคนอื่นๆ เหมือนกัน
ส่วนเหมียวอี้ก็รักษาความเงียบไว้ตลอด ตอนหลังเขายังอยากจัดการธุระนิดหน่อยที่แดนสุขาวดี ไม่อย่างล่วงเกินคนทางฝั่งนี้
หลังจากพูดคุยกันได้พัก ฆราวาสผู่หลันก็กวาดสายตามองปฏิกิริยาของเหมียวอี้ จากนั้นก็หยุดการพูดคุยตามมารยาทต่อไป “วันนี้เป็นงานวันเกิดของพระโพธิสัตว์หลันเย่ อาตมาไม่สะดวกจะแย่งบทบาทของเจ้าภาพอีก ไม่สู้รองานพิธีของพระโพธิสัตว์เงียบๆ ดีกว่า”
ทุกคนทยอยกันเอ่ยรับ แล้วก็แยกย้ายกันออกไป
ตอนที่เดินลงบันไดพระอุโบสถ อิ๋งหยางก็เหลือบมองเงาหลังของเหมียวอี้แวบหนึ่ง เดินเข้าไปหาพระอรหันต์ตัวลี่ที่กำลังเดินลงบันได แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “พระอรหันต์รู้สึกว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้เป็นอย่างไร?”
พระอรหันต์ตัวลี่เอียงหน้ามามองอย่างุนงง เคยได้ยินมาบ้างว่าเหมียวอี้เคยมีความขัดแย้งกับตระกูลโค่ว จึงตอบด้วยรอยยิ้มเรียบๆ “อาตมารู้ไม่เยอะ โยมเหมือนจะมีความหมายแฝงในคำพูดนะ?”
อิ๋งหยางบอกว่า “พระอรหันต์รู้อยู่แล้วเหตุใดจึงแกล้งถาม พูดมาให้ชัดเจนเถิด ข้าไม่อยากให้เขารอดชีวิตกลับไป ถ้าเขารอดกลับไป ข้าก็รู้สึกเหมือนมีก้างติดคอ พระอรหันต์มีวิธีการอะไรจะช่วยข้าได้บ้าง?”
ตัวลี่แอบตกใจ “โยมอิ๋งกำลังล้อเล่นรึเปล่า? เขาเป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว ใครจะกล้าแตะต้องเขาซี้ซั้ว?”
“ตำหนักสวรรค์ควบคุมอะไรทางแดนสุขาวดีไม่ได้ อ๋องสวรรค์โค่วก็ไม่อยากแตกคอกับแดนสุขาวดีเช่นกัน คาดว่าพระอรหันต์จะต้องมีวิธีการที่เหมาะสมแน่นอน” อิ๋งหยางกล่าว
ตัวลี่ “โยมอิ๋งพูดตลกแล้ว อาตมาไม่เข้าใจว่าโยมอิ๋งหมายความว่าอะไร” นี่เท่ากับปฏิเสธอ้อมๆ แล้ว
อิ๋งหยางกลับไม่ยอมปล่อย “พระอรหันต์เอ่ยเงื่อนไขมาได้เลย ตราบใดที่สมเหตุสมผลก็สามารถเจรจากันได้”
“น้ำใจของโยมอิ๋ง อาตมาซาบซึ้งแล้ว อาตมามีความสามารถจำกัด อามิตตาพุทธ” ตัวลี่กล่าว
อิ๋งหยางแสยะยิ้ม “ข้าได้ยินพ่อบ้านบอกมา ว่าพระอรหันต์ตัวลี่มีความสามารถไม่ธรรมดา มีลูกศิษย์ในมือเยอะมาก ใช้จ่ายทรัพยากรไม่น้อย กิจการบางอย่างที่ตำหนักสวรรค์ก็ดำเนินการได้อย่างเป็นความลับมาก เพื่อช่วยรักษาความลับให้พระอรหันต์ ตระกูลโค่วสิ้นเปลืองพลังความคิดไปไม่น้อย” พูดจบก็สะบัดชายเสื้อก้าวลงบันไดไปหนึ่งขั้น ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้นแล้ว เหมือนกำลังบอกว่าเจ้าจัดการเองตามเห็นสมควรก็แล้วกัน
พระอรหันต์ตัวลี่คิ้วกระตุกเล็กน้อย ขณะมองเขาหลังของอีกฝ่าย เขาก็ตกอยู่ในความคิด…
งานพิธีวันเกิดใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว แขกในอารามหลันเย่ทยอยกันถูกเชิญไปงานพิธีวันเกิดนอกอาราม
รอบข้างดูไม่ต่างอะไรจากปกติ ทะเลมรกตไร้ขอบเขต เกาะกระจัดกระจายกันเหมือนดาวบนท้องฟ้า เหมียวอี้ไม่ค่อยเข้าใจว่านี่คือการเฉลิมฉลองอะไร
ผ่านไปไม่นาน “เป๋ง…เป๋ง…เป๋ง…” เสียงระฆังดังก้องยอดเขาแล้วก็หยุด
“ลี พอ ลี พอตี คิว ฮอ คิว ฮอตี ทอ ลอ นี ตี…”
คนที่เคยได้ยินเสียงพระโพธิสัตว์หลันเย่พูดต่างก็รู้ว่านี่คือเสียงของใคร
เสียงเปล่งสวดพุทธคัมภีร์ที่ไม่ช้าไม่เร็วของพระโพธิสัตว์หลันเย่พลันดังออกมาจากอารามหลันเย่ เสียงไม่ดัง เหมือนเปล่งสวดเบาๆ อยู่ข้างหูเจ้า แต่กลับลอยละล่องอยู่ระหว่างฟ้าดิน ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ อยากจะตามหาว่าเสียงนี้มาจากไหนโดยจิตใต้สำนึก
“ป๊อกๆๆๆ…”
ตามติดด้วยเสียงเคาะบักฮื้อที่ดังถี่และหนาแน่นออกมาจากอารามหลันเย่ เสียงเคาะเริ่มเป็นระเบียบทีละนิด กลายเป็นมีจังหวะทำนอง ตอบสนองกับเสียงสวดพุทธคัมภีร์ของพระโพธิสัตว์หลันเย่
จู่ๆ บนผิวทะเลก็มีเสียงเคาะบักฮื้อดังอยู่พักหนึ่ง ดังรวมเข้ามาจากเกาะที่อยู่สี่ด้านแปดทิศ
“ลี พอ ลี พอตี คิว ฮอ คิว ฮอตี ทอ ลอ นี ตี…”
ทันใดนั้น ท่ามกลางเสียงบักฮื้อก็มีเสียงสวดของพระโพธิสัตว์หลันเย่ดังตามมา เสียงสวดจากบนเกาะสี่ด้านแปดทิศรวมกันเข้ามาแล้ว สุดท้ายก็สอดคล้องกับจังหวะพอดี ราวกับรวมตัวกันกลายเป็นกระแสเสียงที่ดังก้องไม่หยุดพักอยู่ระหว่างฟ้าดิน แต่เสียงของพระโพธิสัตว์หลันเย่ก็ดังโดดเด่นอยู่ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้คนแยกเสียงได้ชัดเจนมาก
ไม่รู้ว่ามีนักบวชมากเท่าไรที่ร่วมสวดมนต์บทนี้ด้วยกัน แต่ท่ามกลางเสียงสวดที่ต่ำตื้นก็เหมือนจะแฝง ถึงขั้นทำให้คนรู้สึกกระสับกระส่ายรางๆ ด้วย ในใจราวกับมีจิตมารกำลังโดนกระตุ้นให้กะเทาะเปลือกออกมา
แขกที่แต่งกายแบบฆราวาสหันมองไปทั่ว ทั้งหมดพยายามอดทนความรำคาญใจนี้เอาไว้ ส่วนบรรดาพระธุดงค์ก็ประนมมือหลับตาแล้ว ริมฝีปากขยับเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังสวดอะไรอยู่
“เปรี้ยง!”
ทันใดนั้นก็มีฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ เสียงสะเทือนดังก้องทั่วฟ้าดิน ทำให้กลุ่มคนตกใจทันที ทำลายอารมณ์กลัดกลุ้มใจของกลุ่มคนในชั่วพริบตาเดียว
ทุกคนเงยหน้ามองท้องฟ้า สายฟ้าบนฟ้าหายไปแล้ว แต่ตรงขอบฟ้าไกลโพ้นทั้งสี่ด้านแปดทิศยังมีเสียงฟ้าร้องดังแว่วมา ทุกคนหันไปมอง เห็นเพียงตรงขอบฟ้าทั้งสี่ด้านมีเส้นสีดำวงหนึ่งกำลังปิดล้อมเข้ามา พอใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง ถึงได้รู้ว่าเป็นเมฆดำกำลังม้วนกลิ้งเข้ามา
เมฆดำพลิกม้วนเข้ามาพร้อมกับฟ้าแลบฟ้าร้อง เมฆลมกระเพื่อมรุนแรง ไม่นานก็ปกคลุมท้องฟ้าที่สว่างจ้าแล้ว ท้องฟ้าสีครามส่วนเดียวที่ยังเหลืออยู่ก็เริ่มถูกกลบไปทีละนิดเช่นกัน เสาแสงที่ส่องอารามหลันเย่ก็หายไปแล้ว สุดท้ายฟ้าดินก็มืดมิดไปทั้งแถบ ราวกับมีปีศาจมารร้ายกลืนกินฟ้าดินไปหมดแล้ว
“เปรี้ยงๆ” สายฟ้าที่มีเสียงดังขวักไขว่ไปมาไม่หยุดอยู่ท่ามกลางเมฆดำที่พลิกม้วน ฟ้าแลบส่องสว่างใบหน้าของบรรดาแขกในงานพิธีวันเกิด
คนที่ไม่รู้เรื่องรู้อย่างอย่างเหมียวอี้ ในใจรู้สึกตระหนกมาก ไม่รู้ว่าเป็นพลังอภินิหารที่ร้ายกาจขนาดไหนกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถควบคุมปรากฏการณ์ฟ้าดินได้
เห็นได้ชัดเจนมาก ว่าการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์ฟ้าดินนี้ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ เห็นได้ชัดว่าเกิดจากฝีมือมนุษย์
ในขณะนี้เอง ก็มีเม็ดฝนตกเปาะแปะลงมาจากท้องฟ้า ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นพายุฝนกระหน่ำ บนตัวแขกมีเกราะลมปราณพรั่งพรูออกมาทันที ป้องกันพายุฝนเอาไว้
ผ่านไปไม่นาน ท่ามกลางพายุฝนที่ชะล้าง บนยอดเขาก็มีกระแสน้ำกลายเป็นกระแสน้ำเชี่ยวกรากพ่นพุ่งลงมา พายุฝนที่ตกลงจากฟ้าราวกับจะชะล้างทั้งอารามหลันเย่
พายุฝนกระหน่ำต่อเนื่องอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ด้านหลังของกลุ่มคนก็ปรากฏแสงสว่าง ทุกคนหันกลับไปมอง เห็นเพียงพระโพธิสัตว์หลันเย่ผู้มีธรรมลักษณ์น่าเกรงขามกำลังหลับตาสวดมนต์อยู่บนฐานดอกบัวสว่างไสว ฐานดอกบัวกำลังลอยไปทางท้องฟ้าที่มีเมฆดำพลิกม้วนอย่างไม่รีบร้อน
“ของวิเศษขั้นหก” เหมียวอี้พึมพำในใจ สายตากำลังจ้องฐานดอกบัวของพระโพธิสัตว์หลันเย่
บนท้องฟ้าเหนือบัลลังก์แสงสว่าง เมฆดำพลิกม้วนเกิดเป็นช่องโหว่ช่องหนึ่ง ทั้งยังปรากฏท้องฟ้าสีครามวงหนึ่งด้วย พระโพธิสัตว์หลันเย่ที่หลับตาสวดมนต์อยู่บนฐานดอกบัวถูกเสาแสงด้านบนยิงส่องลงมาครอบไว้ แต่รอบข้างกลับเป็นเมฆดำพลิกม้วนที่มีฟ้าร้องฟ้าแลบ พระโพธิสัตว์หลันเย่ราวกับเป็นดาวช่วยชีวิตจาดแดนแสงธรรมที่พุ่งฝ่าความมืด ฉากที่ทั้งอัศจรรย์ทั้งศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ทำให้คนวู่วามอยากจะก้มกราบโดยจิตใต้สำนึก
และเสียงสวดมนต์ของพระโพธิสัตว์หลันเย่ที่กำลังทะยานขึ้นฟ้าก็ยิ่งโอ่อ่ามากขึ้น เหนือกว่าทุกเสียงสวดข้างล่างรวมกัน
ในขณะนี้ พายุฝนเริ่มซาลงทีละนิด ก่อนจะหายไปโดยสิ้นเชิงฟ้าแลบฟ้าร้องบนท้องฟ้าก็ค่อยๆ เงียบสงบเช่นกัน ฟ้าสีครามเริ่มขยายจากพระโพธิสัตว์หลันเย่ออกไปรอบด้าน เหมือนไม่กล้าดูหมิ่นนาง แล้วก็เหมือนถูดแรงกดดันจากการสยบมารปราบปีศาจของนาง เมฆดำพลิกม้วนไหลออกไป เหมือนมาจากตรงไหนก็กลับไปตรงนั้น
เสาแสงที่ขยายอยู่บนท้องฟ้าครอบคลุมอารามหลันเย่อีกครั้ง ขยายไปทั่วทั้งภูเขา วงแสงกวาดขยายไปทั่วทั้งผิวทะเล
จนกระทั่งเมฆดำพลิกม้วนหายไปจนหมด ท้องฟ้ากลับมาสว่างสดใสอีกครั้ง บนเกาะที่กระจัดกระจายเหมือนหมู่ดาวด้านล่างก็ปรากฏรุ้งกินน้ำหลายสายทันที ปรากฏออกมาด้วยความเร็วอย่างที่คาเปล่าสังเกตเห็นได้ เริ่มจากไกลมาใกล้ สายรุ้งขนาดใหญ่ที่เหมือนสะพานสวรรค์ปรากฏอยู่บนท้องฟ้า วาดเป็นเส้นโค้งอยู่บนท้องฟ้าเหนืออารามหลันเย่
ส่วนพระโพธิสัตว์หลันเย่ก็ราวกับนั่งสมาธิอยู่บนสายรุ้ง ธรรมลักษณ์ สง่างาม ศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์จนทำให้คนรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างหาเหตุผลไม่ได้ ทำให้คนรุ้สึกทึ่งจริงๆ
จู่ๆ กลุ่มคนที่กำลังแอบตกตะลึงก็พากันมองไปที่ผิวทะเลเบื้องล่าง เห็นเพียงมีละอองน้ำกระจายอยู่ทั่วผิวทะเล พอใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไป ก็พบว่ามีปลาหลายตัวกระโดดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ กระโดดไม่หยุด ปลาน้อยกระโดดเสียงดังจ๋อม ปลาใหญ่พุ่งขึ้นมาเหนือผิวน้ำไกลมาก ทำให้น้ำกระเด็นลงมาดังตูม
ทั้งผิวทะเลคึกคักราวกับน้ำเดือดปุดๆ ปลาเล็กปลาใหญ่นานาชนิดราวกับกำลังกระโดดอย่างสนุกสนาน เหมือนกำลังเฉลิงฉลองที่พระโพธิสัตว์หลันเย่คืนแสงสว่างให้พวกมัน ขอบคุณพระโพธิสัตว์หลันเย่ที่ขับไล่มารร้ายที่ปกคลุมฟ้าดิน
ประกอบกับฉากอันงดงามของรุ้งกินน้ำหลายสาย ทำให้คนรู้สึกเหมือนฟ้าดินพลิกโฉมหน้าใหม่ หัวใจและจิตวิญญาณของทุกคนราวกับได้ถูกชำระล้าง แต่ละคนได้ลิ้มลองรสชาติความลี้ลับมหัศจรรย์อย่างที่บรรยายออกมาได้ยาก
“อามิตตาพุทธ!” พระโพธิสัตว์หลันเย่ที่นั่งขัดสมาธิหลับตาประนมมืออยู่เหนือสายรุ้งพลันเอ่ยนามพระพุทธาเจ้า เสียงดังก้องทั่วทั้งฟ้าดิน
“เป๋ง…เป๋ง…เป๋ง…” เสียงระฆังดังก้องอยู่ในอารามหลันเย่อีกครั้ง
เสียงเคาะบักฮื้อเงียบลงแล้ว เสียงสวดมนต์เงียบลงแล้ว
รอบข้างพลันเงียบสงบ เสียงลมและเสียงคลื่นบนผิวทะเลดังเข้ามาในหู ชัดเจนจนสามารถได้ยินได้ ทุกคนเกิดความรู้สึกบางอย่าง ราวกับมีดอกไม้หอมซึมซาบเข้ามาในปอด ทำให้คนสดชื่นผ่อนคลายหัวใจ บวกกับฉากอัศจรรย์ของสายรุ้งที่มีอยู่ทั่วทุกที่ตรงหน้า ความรู้สึกนั้นยอดเยี่ยมจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ถูกจริงๆ
“รบกวนทุกท่านเดินทางไกลมางานพิธีวันเกิดแล้ว อาตมาขอกล่าวขอบคุณตรงนี้ อามิตตาพุทธ!” พระโพธิสัตว์หลันเย่ประนมมือขอบคุณอยู่บนท้องฟ้า
ทุกคนไม่ว่าจะเป็นนักบวชหรือปุถุชน ต่างก็ประนมมือทำความเคารพกลับ มองดูฐานดอกบัวแบกพระโพธิสัตว์หลันเย่เหาะกลับเข้ามาในอาราม
ไม่มีสุราอาการเลิศรสในงานเลี้ยง งานพิธีที่ดำเนินต่อเนื่องมาได้เกือบหนึ่งชั่วยามจบลงตรงนี้ หมายความว่าการเฉลิมฉลองวันเกิดของพระโพธิสัตว์หลันเย่จบลงแล้ว แต่ก็ยังทำให้คนไม่น้อยขบคิดถึงรสชาติมิรู้ลืม งานพิธีแบบนี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้เห็น เป็นการบุกเบิกสิ่งใหม่จนทำให้หวนนึกถึงไม่รู้ลืมจริงๆ คนที่ไม่เคยเห็นก็นับว่าได้เปิดหูเปิดตาเยอะมาก
มีคนเริ่มกล่าวขอตัวลา มีบางคนยังคงทอดถอนใจด้วยความทึ่งเหมือนกับเหมียวอี้ จนกระทั่งปลาที่กระโดดเฉลิมฉลองบนผิวทะเลหายไป ก็มีคนไม่น้อยที่ได้สติกลับมาจากแดนมหัศจรรย์ พอมองไปรอบๆ อีกครั้ง ก็พบว่ารุ้งกินน้ำหลายสายยังคงไม่หายไป
“แม่ทัพภาคหนิว กลับด้วยกันมั้ย?” กำลังพลในเครือข่ายตระกูลโค่วเอ่ยถาม
เหมียวอี้หันกลับมาตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าเตรียมจะเที่ยวเล่นที่แดนสุขาวดี พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
พระอรหันต์ตัวลี่ที่เดินเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ พอได้ยินแบบนั้นก็เหลือบมองเหมียวอี้อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วหันตัวช้าๆ เดินออกไป
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็ขอตัวก่อน” กลุ่มกำลังพลสายตระกูลโค่วกุมหมัดอำลา
“ส่งตรงนี้!” เหมียวอี้กุมหมัดตอบด้วยรอยยิ้ม
ทางนี้กำลังส่งคนกลุ่มหนึ่งไป เฉาเฟิ่งฉือก็เดินเข้ามาถามด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านแม่ทัพภาคจะกลับตลาดผีด้วยกันมั้ย?”
“ข้าเตรียมจะอยู่เปิดหูเปิดตาอีกสักหน่อย” เหมียวอี้โบกมือชี้สายรุ้งที่อยู่รอบๆ พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่แล้วจริงๆ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวิชาพุทธของพระโพธิสัตว์หลันเย่จะสูงส่งล้ำลึกขนาดนี้ สามารถควบคุมปรากฏการณ์ฟ้าดินได้”
เฉาเฟิ่งฉือยิ้มเรียบๆ หันมองไปโดยรอบก่อนจะเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “เป็นความสามารถอันน้อยนิดเท่านั้นเอง รวบรวมพลังปรารถนาของสรรพสิ่งแล้วเร่งให้เกิดปฏิกิริยาออกมา วิชาพุทธที่ลึกล้ำอย่างแท้จริงสามารถอาศัยกำลังของคนคนเดียวเพื่อพลิกโฉมฟ้าดินได้เลย พระโพธิสัตว์หลันเย่ยังห่างจากระดับนั้นอีกไกล แน่นอนว่าวันนี้พระโพธิสัตว์หลันเย่ก็ได้แสดงให้เห็นการรวมพลังกันของทุกคนแล้ว ถ้าทุกคนในอารามหลันเย่ไม่สามารถรวมใจเป็นดั่งกำแพง พร้อมใจกันส่งแรงอธิษฐาน ก็สำแดงเรื่องปาฏิหาริย์แบบนี้ออกมาไม่ได้หรอก นี่ก็คือเสน่ห์ของวิชาพุทธ”
บทที่ 1624 บังเอิญมีสหายเก่ามาหา
เหมียวอี้เอียงหน้ามองนาง ผู้หญิงคนนี้กับคำพูดแบบนี้ทำให้เขารู้สึกเหนือความคาดหมายอีกครั้ง ถ้าจะบอกว่าแค่เปิดเผยความจริง แต่ในเวลานี้ก็อาจจะทำให้ตกเป็นที่ต้องสงสัยได้ว่าใส่ร้ายป้ายสีพระโพธิสัตว์หลันเย่ หรือพูดได้อีกอย่างก็คือ ไม่มีทางที่จะเอ่ยเรื่องแบบนี้ในเวลานี้กับคนนอก เหมียวอี้ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้สนิทสนมอะไรกับผู้หญิงคนนี้ นี่เป็นการแสดงมิตรภาพหรือมีเจตนาแอบแฝงอะไร?
ไม่รู้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้มีจุดประสงค์อะไร แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงเจตนาดีตอนที่พบผู้หญิงคนนี้ครั้งแรก เขามองออกจากสายตาของอีกฝ่าย แน่นอนว่าเขาไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกพบ ตัวเองไม่ได้มีเสน่ห์มากขนาดนั้น ก็เพราะด้วยเหตุนี้เอง เขาถึงได้พลังความคิดไตร่ตรอง
เขาไม่ได้แสดงความคิดในใจออกมา ภายนอกยังคงทำท่าทางเหมือนเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน “พลังปรารถนา? ที่แท้สิ่งที่ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสีในวันนี้ก็คือพลังปรารถนา! สงสัยพลังปรารถนานี้จะไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่ได้มีประโยชน์แค่การฝึกตน ล้ำลึกจนไม่อาจคาดเดา!”
เฉาเฟิ่งฉือยิ้มพร้อมบอกว่า “พลังปรารถนาก็คือใจคน เรียกว่าใจปรารถนา ไม่ใช่แค่สามารถรวบรวมพลังจิตวิญญาณฟ้าดินได้นะ ทั้งยังก่อเมฆลมระหว่างฟ้าดินได้อีกด้วย มีอยู่ประโยคหนึ่งที่กล่าวเอาไว้ดีมาก เมื่อจิตใจซื่อสัตย์มากพอ แม้แต่ทองและหินก็แยกออกจากกันได้ หากมีใจที่ซื่อสัตย์แน่วแน่มากพอ ไม่ว่าอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ยังมีอีกประโยคหนึ่ง ใจคนยากจะคาดเดา ไม่รู้ว่าอย่างท่านแม่ทัพภาคเรียกว่าใจคนยากจะคาดเดารึเปล่า? วิชาพุทธฝึกจิต สำหรับความลี้ลับมหัศจรรย์ในด้านนี้ พวกเขามีความรู้มากว่านักพรตทั่วไปในแดนฝึกตน”
“เหอะๆ พอได้ยินเจ้าพูดแบบนี้ก็เข้าใจทะลุปรุโปร่งแล้ว” เหมียวอี้ทำท่าพยักหน้าเหมือนได้รับคำสั่งสอน
“ในเมื่อท่านแม่ทัพภาคต้องการจะอยู่เปิดหูเปิดตาที่นี่ เฟิ่งฉือก็ต้องขอตัวกลับก่อน วันหลังไว้เจอกันอีกที่ตลาดผี” เฉาเฟิ่งฉือย่อตัวเล็กน้อย กล่าวอำลาแล้วหันตัวจากไป
ใครจะคิดว่าจู่ๆ คำว่า ‘เฟิ่งฉือ’ จากปากนางเหมือนจะกระตุ้นอะไรบางอย่างกับเหมียวอี้แล้ว เหมียวอี้พลันตะโกนบอกว่า “ช้าก่อน!”
เฉาเฟิ่งฉือหยุดเดินแล้วหันตัวมา แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพภาคมีอะไรจะกำชับ?”
“เจ้าคือใครของตระกูลเซี่ยโห้ว?” เหมียวอี้หรี่ตาจ้องนางพร้อมเอ่ยถาม
เฉาเฟิ่งฉือยิ้มโดยไม่ตอบอะไร หันตัวเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง
“เซี่ยโห้วหลงเฉิง เซี่ยโห้วหู่เฉิง เฉาเฟิ่งฉือ เซี่ยโห้วเฟิ่งฉือ หลงเฉิง หู่เฉิง เฟิ่งฉือ หลงเฉิงเฟิ่งฉือ เซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็นอะไรกับเจ้า? เป็นพี่ชายของเจ้าเหรอ?” เหมียวอี้เอ่ยชื่อมาเป็นชุด ถามซักไซ้
“ท่านแม่ทัพภาคคิดมากไปแล้ว” เฉาเฟิ่งฉือที่เดินไปข้างหน้าตอบโดยไม่หันกลับมา ตอบอย่างสบายๆ แล้วก็เหาะออกไปทันที
“หลงเฉิงเฟิ่งฉือ…” เหมียวอี้จ้องร่างนางในขณะที่ปากก็ยังพึมพำชื่อ ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ จากนั้นก็นึกเชื่อมโยงถึงท่าทางเป็นมิตรที่เซี่ยโห้วหู่เฉิงมีต่อเขาอีก ทำให้ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองอาจจะเดาถูก
เพียงแต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจ เซี่ยโห้วหลงเฉิงนับว่าเป็นพี่ชายของทั้งสองคน แล้วเกี่ยวอะไรกับที่สองคนนี้แสดงท่าทีเป็นมิตรต่อตนล่ะ
เพราะเข้าไม่เข้าใจว่าทำไมถึงแม้เซี่ยโห้วหลงเฉิงจะทำตัวเสเพล แต่ก็มีความหมายที่ต่างออกไปสำหรับเฟิ่งฉือและหู่เฉิง คนเสเพลในสายตาของคนอื่น แต่ในสายตาของสองคนนี้กลับไม่มีใครแทนที่ได้ การจากไปของเซี่ยโห้วหลงเฉิงทำให้ทั้งสองรู้สึกเจ็บปวดทรมานยากจะลบเลือน ส่วนหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นสหายพียงคนเดียวของเซี่ยโห้วหลงเฉิง
“นายท่าน!” เหยียนซิวที่ขึ้นมาจากตีนเขาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเหมียวอี้ ถามว่า “ออกเดินทางได้รึยังขอรับ?”
เหมียวอี้มองไปรอบๆ แล้วถามว่า “ทำไมเมี่ยวฉุนยังไม่มาอีก?”
ถึงแม้ในมือเขาจะมีแผนที่ดาว แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนนอก ลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วไม่สะดวกจะเพ่นพ่านไปทั่วอาณาเขตแดนสุขาวดี ให้คนจากสำนักพุทธเบิกทางให้จะดีกว่า
เหยียนซิวได้ยินแล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเมี่ยวฉุน
เหมียวอี้เห็นเขาเขย่าระฆังดาราในมือนานมาก แล้วขมวดคิ้วถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”
“ไม่ได้ตอบ” เหยียนซิว
“อ้อ!” เหมียวอี้มองไปที่อารามหลันเย่ “ถึงยังไงก็มีแขกเยอะ อาจจะมีธุระอะไรก็ได้ รอสักประเดี๋ยวแล้วค่อยติดต่อไป”
ทั้งสองรออยู่ที่เดิม หลังจากรออยู่เกือบครึ่งชั่วยามเต็มๆ แขกก็ไปกันหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นเมี่ยวฉุนออกมา ระหว่างนั้นเหยียนซิวก็ติดต่อหลายครั้ง เมี่ยวฉุนยังคงไม่ได้ตอบอะไร ก็เลยทำให้สองคนนี้อดกังวลไม่ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วหรือเปล่า
ทว่าในตอนนี้เอง ในอารามหลันเย่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งออกมา ผู้ที่นำหน้ามาคือฆราวาสผู่หลันที่แต่งกายแบบเทพธิดาชาวพุทธ นางเดินนำคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาทางนี้ด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม
พอเข้ามาตรงหน้า ทั้งสองฝ่ายก็ทำความเคารพกัน ฆราวาสผู่หลันยิ้มบางๆ “แม่ทัพภาคหนิวกำลังรอเมี่ยวฉุนอยู่เหรอ”
ด้วยฐานะของอีกฝ่าย แต่สามารถรู้จักเมี่ยวฉุนได้ สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้อึ้งนิดหน่อย พยักหน้าบอกว่า “ใช่แล้ว! ฆราวาสกำลังจะกลับแล้วเหรอ?”
ฆราวาสผู่หลันตอบว่า “ได้ยินเมี่ยวฉุนบอก ว่าแม่ทัพภาคหนิวมาที่แดนสุขาวดีเป็นครั้งแรก อยากจะเที่ยวเล่นให้ทั่วแดนสุขาวดี อาตมากำลังจะท่องเที่ยวพอดี เลยช่วยแม่ทัพภาคตัดสินใจให้เมี่ยวฉุนกลับไปก่อน อาตมานำทางแม่ทัพภาคหนิวไปท่องเที่ยวด้วยกันดีมั้ย?”
เหมียวอี้รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในพระอุโบสถอีกฝ่ายใช้คำพูดเหน็บแนมเขา ดังนั้นในใจก็เลยค่อนข้างไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ จึงปฏิเสธอ้อมๆ “ฆราวาสมีฐานะสูงส่ง ถึงยังไงชายหญิงก็มีความแตกต่างกัน มิบังอาจรบกวน”
ฆราวาสผู่หลันจึงยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “ฐานะของแม่ทัพภาคหนิวจะแย่กว่าอาตมาเชียวเหรอ? ส่วนเรื่องชายหญิงแตกต่างกัน อย่าบอกนะว่าแม่ทัพภาคหนิวมองไม่ออกว่าเมี่ยวฉุนก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน?”
นี่แทบจะเป็นคำพูดหยอกล้อ ทำให้เหมียวอี้ยิ่งรู้สึกเซ็งกว่าเดิม ชัดเจนขนาดนี้แล้ว ต่อให้เป็นคนโง่ก็มองออกว่าตนกำลังหาข้ออ้างมาปฏิเสธ ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจเลย กลับทำให้เขาพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ไม่ตอบก็เท่ากับตกลงแล้ว อย่างน้อยฆราวาสผู่หลันก็คิดอย่างนี้ จึงหันกลับมาบอกทุกคนข้างหลังว่า “ไม่จำเป็นต้องให้คนติดตามมากมายขนาดนั้น พวกเราไปกันก่อนเถอะ ข้ากับแม่ทัพภาคหนิวเจอกันครั้งแรกก็เหมือนรู้จักกันมานาน ไปเที่ยวด้วยกันเถอะ”
แต่คนข้างหลังนางเหมือนจะกังวลอยู่บ้าง หนึ่งในนั้นประนมมือพร้อมบอกว่า “ฆราวาส พาคนไปด้วยสักสองคนดีกว่า?” ไม่ได้กังวลความปลอดภัยของฆราวาสผู่หลันที่แดนสุขาวดี ที่แดนสุขาวดีไม่มีใครกล้าแตะต้องฆราวาสผู่หลันซี้ซั้ว เพียงแต่สายตาเหลือบมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง เหมือนกำลังบอกว่าไม่ค่อยวางใจเหมียวอี้
ฆราวาสผู่หลันก็ไม่ปิดบังเช่นกัน พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “พวกเจ้าคิดมากเกินไปแล้ว แม่ทัพภาคหนิวเป็นวีรบุรุษที่โลกรู้จัก ไม่ควรค่าที่จะทำเรื่องต่ำช้า ไปกันเถอะ”
กลุ่มเทพธิดาชาวพุทธไม่กล้าพูดอะไรอีก ทยอยกันประนมมือแล้วถอยออกไป สุดท้ายก็เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้ว
ขณะที่เหมียวอี้มองเงาคนจากไปบนท้องฟ้า พูดหยอกตัวเองว่า “วีรบุรุษที่โลกรู้จัก? ฆราวาสประเมินหนิวสูงเกินไปมั้ง หนิวคนนี้ไม่ใช่สุภาพบุรุษอะไรหรอกยะ ทางตำหนักสวรรค์ก็รู้กันหมด คนที่ด่าทอข้าก็มีไม่น้อย อย่าบอกนะว่าฆราวาสไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย?”
แต่ใครจะคิดว่าฆราวาสผู่หลันจะกล่าวอย่างแน่วแน่ว่า “คนมีปากก็พูดกันไป ปากหลายปากสามารถละลายทองได้ แต่ก็อาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้ อย่างน้อยอาตมาก็มีความมั่นใจในตัวท่านแม่ทัพภาค”
“อ้อ!” เหมียวอี้แปลกใจนิดหน่อย หันกลับมาสบสายตาที่แน่วแน่และใสกระจ่างของนาง ถามอย่างเหนือความคาดหมายมากว่า “ทำไมฆราวาสถึงมั่นใจในตัวหนิวขนาดนี้?”
ฆราวาสผู่หลันเอียงหน้ามองเหยียนซิวแวบหนึ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังบอกใบ้ ทว่าเหมียวอี้กลับทำท่าเหมือนไม่เข้าใจ ไม่ได้บอกให้เหยียนซิวถอยไป
ฆราวาสผู่หลันเงียบไปครู่เดียว คาดว่าคงตัดสินได้ว่าเหยียนซิวเป็นลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้แน่นอน ถึงได้จ้องตาเหมียวอี้พร้อมกล่าวอย่างใจเย็น “อาตมามาจากดาวไร้ลักษณ์ จะว่าไปในปีนั้นก็เคยมีวาสนาได้พบแม่ทัพภาคหนิวครั้งหนึ่ง ท่านแม่ทัพภาคในตอนนั้นรำพึงฟ้าเวทนาคน มีความกล้าหาญอยู่ลึกๆ โดดเด่นเหนือบุคคลอื่น อาตมาในตอนนั้นก็แน่ใจแล้วว่าแม่ทัพภาคหนิวไม่ใช่คนธรรม พอตอนหลังได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของท่านอีก ก็พบว่าไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย พอได้มาเจอในตอนนี้ หน้าตาก็ยังไม่เปลี่ยนไป กลับมีสง่าราศียิ่งกว่าเดิมเสียอีก!” นางทำสีหน้าสะท้อนใจยามนึกหวนไปถึงปีนั้น
รู้จักเหรอ? ใบหน้าตายของเหยียนซิวดูตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด มองไปทางเหมียวอี้
เหมียวอี้ก็พูดไม่ออกเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขายังเดาไปมั่วๆ ว่าตอนที่อยู่เองอยู่ดาวไร้ลักษณ์ ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้อยู่ด้วยหรือเปล่า นึกไม่ถึงว่าจะรู้จักตนจริงๆ
เขาถอยหลังก้าวหนึ่ง แล้วก็เริ่มขมวดคิ้ว มองประเมินฆราวาสผู่หลันศีรษะจดเท้า จากนั้นก็จ้องใบหน้าที่สง่างามของผู่หลันแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างค่อนข้างเสียมารยาท ใช้ความคิดเต็มที่แล้ว คิดแล้วคิดอีก นึกถึงเหตุการณ์ที่ตัวเองเคยเจอที่ดาวไร้ลักษณ์ แต่ก็ไม่มีความทรงจำติดอยู่ในหัวเลยจริงๆ นึกไม่ออกว่าเคยเจอผู้หญิงคนนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะลองถามว่า “ฆราวาสกำลังจะบอกว่า พวกเรารู้จักกันเหรอ?”
ฆราวาสผู่หลันอมยิ้มพลางพยักหน้ายืนยัน
เหมียวอี้จึงลูบคางครุ่นคิดอีกรอบ แล้วยิ้มแห้งถามว่า “ข้าเป็นคนใจหยาบ ไม่ทราบว่าฆราวาสจะชี้แนะสักหน่อยได้มั้ยว่าเราเคยพบกันที่ไหน?” เมื่อบังเอิญเจอกันแบบนี้ อีกฝ่ายรู้จักเจ้า แต่เจ้ากลับไม่รู้จักอีกฝ่าย ค่อนข้างเสียมารยาทแล้ว กอปรกับฐานะของอีกฝ่าย ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเก้อเขิน
ฆราวาสผู่หลันไม่ได้ตำหนิว่าเขาได้ดีแล้วขี้ลืม เพียงยิ้มเรียบๆ พลางส่ายหน้า “จำไม่ได้ก็สมเหตุสมผลแล้ว จะเห็นได้ว่าในตอนนั้นแม่ทัพภาคทำดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลย เรื่องบางเรื่องถ้าเอ่ยขึ้นอีก ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับแม่ทัพภาคหรือสำหรับอาตมา แม่ทัพภาครู้ไว้เพียงว่า ถ้าไม่มีบุญคุณอันใหญ่หลวงของแม่ทัพภาคในปีนั้น ก็ไม่มีอาตมาในวันนี้ อาตมาไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อแม่ทัพภาคหนิว”
เหมียวอี้ยิ่งทำสีหน้าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่าเดิม เอามือลูบคางพลางยิงฟันเล็กน้อย ทำท่าเหมือนปวดฟัน
ทั้งยังได้รับบุญคุณจากข้าด้วย? ข้าเคยมีบุญคุณต่อใครที่ดาวไร้ลักษณ์เหรอ? หรือจะเป็นคนของสำนักลมปราณ? ถ้าเป็นคนของสำนักลมปราณ ตัวเองก็น่าจะจำได้บ้างสิ ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่คนของสำนักลมปราณจะมาบวชถึงแดนสุขาวดีและมีภูมิหลังแบบนี้ ถ้าไม่มีเขาก็ไม่มีนางในวันนี้เหรอ? ล้อเล่นรึเปล่า ข้าไม่เคยยัดคนเข้ามาในสำนักพุทธนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองช่วยให้ใครมาอยู่ในตำแหน่งนี้ที่สำนักพุทธได้ ตัวเองไม่ได้คบค้ากับคนของสำนักพุทธเลย
เขารู้สึกว่าหญิงชาวพุทธคนนี้พูดซี้ซั้ว แต่ดูจากท่าทางของนาง ก็เหมือนจะไม่ได้โกหก แล้วนางก็ไม่จำเป็นต้องมาหลอกเขาด้วย นี่มันเรื่องอะไรกันแน่! เหมียวอี้แทบจะเป็นบ้า นึกไม่ถึงว่าเคยทำเรื่องที่มีบุญคุณไร้ที่เปรียบต่อให้เอาไว้ เพียงแต่เมื่อก่อนตัวเองยังเป็นหนุ่มเลือดร้อนมาก เรื่องที่ในปัจจุบันไม่มีทางทำได้ แต่ในอดีตอาจจะทำได้ เขาได้แต่ยิ้มเจื่อน “ฆราวาสพูดให้อยากรู้แล้ว ช่วยเตือนความจำสักหน่อยได้มั้ย”
ฆราวาสผู่หลันยิ้มเรียบๆ เอาไว้ตอนบังเอิญค่อยเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกที นางเปลี่ยนประเด็นสนทนาแล้ว “ไม่ทราบว่าแม่ทัพภาคหนิวจะไปเที่ยวที่ไหน อาตมาจะนำทางให้”
เหมียวอี้เอามือลูบหน้าผากอย่างจนใจ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากบอก เขาก็ไม่สะดวกจะกดดัน จึงตอบกลับอย่างเคารพปนหยอกล้อ “อยากไปดูที่เขาหลิงซานสักหน่อย ไม่ทราบว่าฆราวาสจะนำทางไปได้รึเปล่า?” แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับขอไปเดินเล่นที่วังสวรรค์ แน่นอนว่าสถานการณ์ของวังสวรรค์กับเขาหลิงซานนั้นไม่เหมือนกัน ถ้าจะเปรียบเทียบให้ใกล้เคียงหน่อยก็คือจะไปเดินเล่นที่อุทยานหลวง ถามว่าเตรียมให้หน่อยได้มั้ย อุทยานสวรรค์ใช่ว่าใครอยากไปก็ไปได้เหรอ?
“เขาหลิงซาน!” ฆราวาสผู่หลันอึ้งทันที แล้วกล่าวช้าๆ อย่างลังเลว่า “เกรงว่าจะไม่ค่อยสะดวก แต่ภูมิหลังของแม่ทัพภาคก็เห็นๆ กันอยู่ ใช่ว่าจะไปเขาหลิงซานไม่ได้ แต่อาจจะต้องให้อาตมาประสานงานให้ก่อน ถ้ายังไม่แน่ใจ อาตมาก็ยังไม่กล้าให้สำคำสัญญานี้กับแม่ทัพภาค”
บทที่ 1625 เบาะแสไม่แน่นอน
คิดเป็นจริงเป็นจังไปแล้ว! เหมียวอี้โบกมือ “ในเมื่อยุ่งยากก็ช่างเถอะ ไม่กล้ารบกวนฆราวาสจริงๆ ให้เมี่ยวฉุนไปเป็นเพื่อนพวกเราสักหน่อยก็ได้…” เป็นเพราะฆราวาสผู่หลันมีฐานะโดดเด่นเกินไปจริงๆ เวลาทั้งสองเดินด้วยกันแล้วดึงดูสายตาคนเกินไป เรื่องที่เขาจะทำนั้นไม่อยากให้สะดุดตาคนมากนัก
ตอนแรกไม่รู้ว่าทำไมผู่หลันจึงจับตาดูตน จึงไม่สะดวกจะปฏิเสธ แต่ตอนนี้ในเมื่อผู่หลันบอกว่าทั้งสองมีไมตรีต่อกัน เขาจึงไม่ถือสาที่จะปฏิเสธ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อมั่นในตัวผู่หลัน เพียงแต่เขาไม่ใช่หนิวโหย่วเต่อที่ผู่หลันเคยรู้จักในปีนั้นอีกแล้ว หนิวโหย่วเต๋อในตอนนี้ไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนในอดีต เรื่องไหนที่ป้องกันได้ก็จะพยายามป้องกันเต็มที่ เป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อทุกอย่างที่ผู่หลันบอก และไม่เลือดร้อนไปเป็นเพื่อนตายกับเยี่ยนเป่ยหงเหมือนในเมื่อก่อนด้วย
แต่จะว่าไปแล้ว เรื่องบางเรื่องสุดท้ายก็มีได้มีเสีย เขาไม่เชื่อใจคนอื่นง่ายๆ คนอื่นก็ไม่เชื่อใจเขาง่ายๆ เช่นกัน ไม่มีใครเป็นคนโง่ทั้งนั้น ทุกคนล้วนได้เสียในผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน จะให้มีสหายที่มิตรภาพเหนือชีวิตอย่างเยี่ยนเป่ยหงก็คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย!
เอาเป็นว่าเมื่อเขาปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำอีก ถึงแม้ฆราวาสผู่หลันจะมีเจตนาดี แต่ก็ทำได้เพียงล้มเลิกความคิด หลังจากแลกระฆังดาราสำหรับติดต่อกับเหมียวอี้แล้ว ก็บอกอีกว่า “เรื่องเขาหลิงซาน อาตมาจะพยายามเตรียมการให้เต็มที่ หวังว่าจะไม่ทำให้แม่ทัพภาคหนิวผิดหวัง”
เป้าหมายในการมาที่นี่ของเหมียวอี้ไม่ใช่เขาหลิงซาน แต่ในเมื่อมาถึงแล้ว จะไปเปิดหูเปิดตาที่เขาหลิงซานสักหน่อยก็ไม่เป็นไร เฝ้ารอให้เรื่องดำเนินจนสำเร็จ ย่อมกุมหมัดคารวะกล่าวขอบคุณอยู่แล้ว
หลังจากฆราวาสผู่หลันออกไปได้ไม่นาน เมี่ยวฉุนก็ปรากฏตัวอีกแล้ว ให้นางรับหน้าที่เรื่องการเดินทางต่อ
เมื่อเห็นนางอีกครั้ง เหยียนซิวก็ถามด้วยเสียงเยียบเย็นว่า “พระอาจารย์ใหญ่นี่เชิญตัวมายากจริงๆ นะ”
เมี่ยวฉุนไม่ค่อยคุ้นชินกับใบหน้าของเหยียนซิว เป็นเพราะน่ากลัวจริงๆ พยายามเลี่ยงสายตาไม่ให้มองไปทางเหยียนซิว นางตอบอย่างเก้อเขินเล็กน้อยว่า “ฆราวาสถามถึงสถานการณ์ของท่านแม่ทัพภาค คงไม่ดีหากอาตมาจะไม่ตอบ นึกไม่ถึงว่าฆราวาสก็จะออกไปท่องเที่ยวเหมือนกัน ตั้งใจจะทำหน้าที่แทนอาตมา อาตมาก็ทำได้เพียงปฏิบัติตามคำสั่ง”
“นายท่านของข้ารอเจ้าท่านนานมาก ใช้ระฆังดาราติดต่อไปหลายครั้ง จะตอบสักคำยากนักรึไง?” เหยียนซิวหัวเราะหึหึ เพราะก่อนหน้านี้นางไม่ตอบกลับเลย ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดในใจ
“พอแล้ว!” เหมียวอี้หันกลับมาตำหนิเขา บอกใบ้ไม่ให้เขาพูดล่วงเกินคนอื่นโดยไม่มีประโยชน์ ในจุดนี้หยางชิ่งฉลาดกว่าเหยียนซิว
เหยียนซิวโค้งตัวเล็กน้อย หุบปากแล้ว
ในศาลาเล็กริมหน้าผา พระอรหันต์ตัวลี่ไม่ได้รีบออกไป กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่กับพระอรหันต์หวยอวี้ ศิษย์ของพระโพธิสัตว์หลันเย่ หวยอวี้เป็นพระอรหันต์หญิงศีรษะล้าน นับว่ารู้จักและคุ้นเคยกับพระอรหันต์ตัวลี่
“ถ้าข้าจำไม่ผิด นั่นคือลูกศิษย์ของเจ้าใช่มั้ย”
ขณะมองตามเมี่ยวฉุนเหาะไปยังขอบฟ้าพร้อมกับพวกเหมียวอี้ พระอรหันต์ตัวลี่ที่วางถ้วยน้ำชาลงก็เอ่ยถามเสียงเรียบ
พระอรหันต์หวยอวี้พยักหน้า “เมี่ยวฉุนศิษย์คนเล็กของข้าเอง มีปัญหาอะไรเหรอ?”
“ทำไมไปเกลือกกลั้วอยู่กับหนิวโหย่วเต๋อลูกเขยโค่วหลิงซวีนั่นได้?” ตัวลี่ส่ายหน้า
“ผู้ที่ม้าล้วนเป็นแขก ก็ต้องมีคนคอยดูแลต้อนรับสิ” หวยอวี้กล่าว
“นี่กำลังจะส่งแขกกลับกันแล้วใช่มั้ย?” ตัวลี่ถาม
หวยอวี้ตอบว่า “หนิวโหย่วเต๋อนั่นมาที่แดนสุขาวดีเป็นครั้งแรก อยากจะเปิดหูเปิดตาสักหน่อย ศิษย์คนเล็กก็เลยไปเป็นเพื่อนเท่านั้นเอง”
“อ้อ!” ตัวลี่ถามอีกว่า “มีอารมณ์สุนทรีขนาดนี้ ไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวไหนนะ”
หวยอวี้ยกแขนเสื้อรินน้ำชา “ศิษย์น้อยก็ไม่รู้เหมือนกัน เขามาเป็นครั้งแรก ควรจะไปที่ไหนก็คงจะไปที่นั่นกระมัง”
“ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้อยู่ไม่สุข ชอบก่อเรื่อง เจ้าต้องระวังตัวไว้นะ” ตัวลี่กล่าว
หวยอวี้จึงบอกว่า “ถึงยังไงที่นี่ก็ไม่ใช่ตำหนักสวรรค์ คงจะไม่ถึงขั้นนั้น ระหว่างทางถ้าเจอเหตุการณ์อะไร ศิษย์น้อยก็จะรายงานมาทุกเมื่อ”
ตัวลี่พยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมากอีก ยกถ้วยน้ำชาคาระไกลๆ แล้วสองฝ่ายที่นั่งตรงข้ามกันก็ดื่มลิ้มรสอย่างช้าๆ
เพียงแต่วันต่อมาตอนที่ทั้งสองสนทนาธรรมกันอีกครั้ง พอตัวลี่เอ่ยปากก็อดไม่ได้ที่จะถามมากขึ้นหน่อย “หนิวโหย่วเต๋อนั่นไม่ได้ก่อเรื่องใช่มั้ย?”
เดินทางในดาราจักรอันกว้างใหญ่เป็นเวลาเกือบครึ่งเดือน เมี่ยวฉุนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมียวอี้อยากจะเห็นอะไรกันแน่ สรุปก็คือเหมียวอี้หยิบแผนที่ดาวขึ้นมาชี้นิดหน่อย แล้วทุกคนก็ไปตามนั้น หลังจากไปถึงที่หมายแล้ว ก็เดินดูนิดหน่อยเหมือนเหมือนขี่ม้าชมสวน เสร็จแล้วก็เปลี่ยนสถานที่ทันที เหมือนกำลังเที่ยวเล่นทัศนาจรจริงๆ
แต่ในความเป็นจริง เป้าหมายในการมาที่นี่ของเหมียวอี้ก็ไม่ซับซ้อนเลย เขาพุ่งเป้ามาที่หกเคล็ดวิชาพิเศษภาคฟ้า สาเหตุที่หลับหูหลับตาเดินไปทั่วก็ง่ายมากเช่นกัน เพราะเขาไม่สะดวกจะไปยังเป้าหมายโดยตรง กลัวว่าจะถูกสงสัย วิธีการที่ดีที่สุดก็คือเดินผ่านเป้าหมายนิดหน่อยก็พอ แล้วถือโอกาสเก็บของเอาไว้ วิธีการที่ผีไม่เห็นเทพไม่รู้แบบนี้เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดแล้ว ดังนั้นการทัศนาจรของเขาจึงต้องทำให้เหมือนการทัศนาจร
พอม่านราตรีใกล้จะมาเยือน ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น นักบวชห้าคนก็เหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงบนยอดเขาลูกหนึ่ง ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชรุ้ง แต่ละคนปิดบังเอาไว้
อวิ่นจ้าว นักบวชที่เป็นหัวหน้ากลุ่มมองไปรอบๆ แวบหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ “ครั้งนี้ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหน ดูรอบๆ สักหน่อย หาสถานที่เหมาะๆ พักก่อนเถอะ”
นักบวชสามคนเหาะแยกกันไปค้นห้าสามทิศทาง คนที่ยังยืนอยู่ข้างหลังเขาโดยไม่ขยับไปไหนก็คือศิษย์น้องอวิ่นหมิง
อวิ่นหมิงก้าวขึ้นมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง มายืนอยู่ข้างกัน แล้วขมวดคิ้วบอกว่า “หนีไปอีกแล้วเหรอ! เขามีเบาะแสไม่แน่นอน ไม่ทราบแน่ชัดว่าจะไปที่ไหนกันแน่ พอพวกเราไปถึง พวกเขาก็ไปแล้ว ไม่รู้แม้กระทั่งว่าพวกเขาพักที่ไหนด้วยซ้ำ รอจนได้ข่าวแล้วพวกเราไปอีกรอบ คนก็ไปแล้ว ศิษย์พี่ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไร?”
อวิ่นจ้าวก็จนใจเช่นกัน ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ทัศนาจรทัศนาจร เจ้าหนุ่มนั่นไปทัศนาจรจริงๆ ตอนนี้ทำได้เพียงค่อยเป็นค่อยไป เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่หยุดพักเลย ต้องมีเวลาหยุดพักบ้างสิ”
อวิ่นหมิงกล่าวอย่างปวดประสาทว่า “ศิษย์พี่ ท่านก็พูดอย่างนี้มาตลอดทางแล้ว แต่ใครจะรู้ล่ะว่าเมื่อไรจะได้พัก ถ้าเขาเบื่อแล้วเลี้ยวหนีไป แล้วออกจากแดนสุขาวดีไปเลยจะทำยังไง?”
อวิ่นจ้าวเอียงหน้ามองมา แล้วกล่าวอย่างมีนัยยะแฝง “ถ้าเขาหนีไปจริงๆ ก็อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้”
“งั้นพวกเราจะรายงานผลภารกิจกับท่านอาจารย์ยังไง?” อวิ่นหมิงอึ้งไป
“ท่านอาจารย์รู้สถานการณ์ ไม่โทษพวกเราหรอก” อวิ่นจ้าวตอบ
อวิ่นหมิงขมวดคิ้ว “ศิษย์พี่ ข้าเข้าใจความหมายของท่านนะ การลงมือกับหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่การกระทำที่ฉลาด ก็เห็นๆ กันอยู่ว่ามีอ๋องสวรรค์โค่วหนุนหลัง ถ้าทำอะไรผิดพลาดขึ้นมา อ๋องสวรรค์โค่วเดือดดาล ก็ไม่อยากจะคิดถึงผลที่ตามมาเลย! แต่ท่านอาจารย์ก็บอกไว้ชัดเจนแล้ว ว่าที่ให้พวกเราลงมือก็เพราะโดนกดดันมาเหมือนกัน เรื่องนี้ท่านอาจารย์ไม่เชื่อใจคนนอก ตระกูลอิ๋งบีบจุดอ่อนของเขาอยู่ ถ้าอาจารย์ไม่รายงานผลการปฏิบัติงาน แล้วทางตระกูลอิ๋งเปิดโปงจุดอ่อนของท่านอาจารย์ขึ้นมา ทางเขาหลิงซานไม่ปล่อยพวกเราไว้แน่”
อวิ่นจ้าวกล่าวว่า “ถ้าทำเรื่องนี้จริงๆ แบบนั้นต่างหากที่จะทำให้จุดอ่อนตกอยู่ในมือตระกูลอิ๋ง ตามที่ข้าคิดนะ ควรจะรีบกำจัดของที่อยู่ที่ตลาดสวรรค์ให้เร็วที่สุด ถ้าไม่มีอะไรเชื่อมโยง ไม่มีหลักฐานแล้ว แค่คำกล่าวหาปากเปล่าของตระกูลอิ๋งก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก”
“โถ่ศิษย์พี่!” อวิ่นหมิงประนมมือไหว้ ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ท่านก็พูดเหมือนง่าย ท่านอาจารย์มีลูกศิษย์มากขนาดนั้น ถ้าไม่มีทรัพยากรฝึกตนแล้ว จะยังรักษาไว้ยังไงได้ล่ะ? แล้วอีกอย่างนะ ในเมื่อตระกูลอิ๋งกล้าเอาเรื่องนี้มาขู่ เรื่องร้านค้าที่ตลาดสวรรค์น่ะ คิดว่าอยากจะตัดก็ตัดได้เลยเหรอ? เกรงว่าในมืออีกฝ่ายจะกุมหลักฐานเอาไว้เพียงพอตั้งนานแล้วน่ะสิ แล้วสาเหตุรองลงมา ถ้าช่วยตระกูลอิ๋งทำเรื่องนี้จริงๆ พวกเราก็ถือว่าจะได้หลุดพ้นจริงๆ แล้ว ต่อไปนี้ตระกูลอิ๋งไม่กล้าขู่พวกเราอีกหรอก เพราะถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปง ไม่ว่าจะเป็นทางตระกูลโค่ว ทางตำหนักสวรรค์หรือทางเขาหลิงซาน ตระกูลอิ๋งก็ไม่มีทางแก้ไขได้เลย ในทางกลับกัน ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเรื่องสกปรกโสมมอะไรทำร่วมกับพวกเรา ตระกูลอิ๋งก็สามารถเปิดโปงเรื่องที่ตลาดสวรรค์โดยไม่กังวลอะไรเลย ท่านอาจารย์คิดได้ถึงจุดนี้ถึงได้ตอบตกลงไป เพราะท่านอาจารย์ไม่ได้โง่หรอก มีหรือที่จะยอมให้คนจูงจมูกไปตลอด”
อวิ่นจ้าวขบคิดถึงคำพูดของศิษย์น้องเงียบๆ แล้วสุดท้ายก็พยักหน้าเบาๆ บอกว่า “ที่ศิษย์น้องพูดก็มีเหตุผล สงสัยเรื่องนี้จะต้องทำให้สำเร็จเท่านั้น ล้มเหลวไม่ได้ แต่ข่าวจากฝั่งอาจารย์ก็ยืนยันอะไรไม่ได้เลย ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปก็ยุ่งยากจริงๆ พวกเราสะกดรอยตามแบบนี้ ไม่สะดวกจะทำอย่างเปิดเผย แม้แต่จะเหาะเหยียบพื้นก็ยังต้องหลบคน”
อวิ่นหมิงยิ้มเจื่อน “ท่านอาจารย์บอกว่าไม่มีทางเลือกเหมือนกัน เขาไม่สะดวกจะเปิดเผยกับพระอรหันต์หวยอวี้ตรงๆ ไม่อย่างนั้นจะทำให้คนสงสัย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา จะไม่ให้สงสัยไปที่ตัวอาจารย์ก็แปลกแล้ว ศิษย์พี่ ท่านไม่ต้องใจร้อนหรอก เป็นข้าเองที่ไม่หนักแน่น เรื่องนี้ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า จะรีบร้อนไม่ได้ แค่ไม่ลงมือเท่านั้นเอง ถ้าลงมือขึ้นมาก็ต้องจัดการให้ได้ภายในครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นถ้าถูกเปิดโปงตัวตนขึ้นมาก็จะยุ่งยากแล้ว คำพูดของศิษย์พี่ก็มีเหตุผล ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะหนีต่อไปไม่หยุด ต้องมีเวลาหยุดพักบ้างอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นก็จะเป็นโอกาสของพวกเรา”
อวิ่นจ้าวพยักหน้า แต่สีหน้าก็ยังมีความกังวลอยู่ “หนิวโหย่วเต๋อเป็นทหารกล้าของตำหนักสวรรค์ คนที่ตายด้วยน้ำมือเขามีตั้งเท่าไรก็ไม่รู้ ตอนอยู่ระดับบงกชทองก็บุกเดี่ยวตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน ตอนทิ้งไว้ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็รอดออกมาได้ ตอนหลังก็บัญชาการกำลังพลธงพยัคฆ์ครึ่งหนึ่งไปโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านจนแตกพ่าย ได้ยินว่าในศึกนั้นไม่มีนักพรตบงกชรุ้งคนไหนกล้าปะทะกับเขาซึ่งๆ หน้าเลย ชื่อเสียงการรบสะท้านใต้หล้า ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้กลายเป็นลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วหรอก หนิวโหย่วเต๋อรบร้อยศึกแต่ยังรอด หลายปีมานี้ไม่เคยแพ้เลยสักศึก เรียกได้ว่าเป็นทหารกล้าที่เหยียบศพคนอื่นเดินออกมา ชื่อเสียงของเขาไม่ใช่สิ่งจอมปลอม ข้ากังวลนิดหน่อยว่าศิษย์พี่ทั้งสี่จะเอาชนะเขาได้หรือเปล่า”
อวิ่นหมิงพูดปลอบใจ “ศิษย์พี่คิดมากไปแล้ว พวกที่โดนตีฝ่าในแดนอเวจีเป็นแค่ลูกกระจ๊อกเท่านั้น ส่วนที่นำกำลังพลธงพยัคฆ์ไปโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้าน ข้ายอมรับว่ามีฝีมืออยู่บ้าง แต่นั่นเป็นเพราะเขาบัญชาการได้เหมาะสม ทั้งยังอาศัยอานุภาพของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ไม่อย่างนั้นก็ลองให้เขาลุยเดี่ยวดูสิ แล้วอีกอย่างนะ ใช่ว่าท่านอาจารย์จะไม่ได้คำนึงถึงจุดนี้ อาศัยของวิเศษที่ให้มา การกำจัดเขาก็ไม่ใช่ปัญหาเลย ครั้งนี้พวกเราห้าคนเหนือกว่าเขาแน่นอน!”
อวิ่นจ้าวพยักหน้า ทอดสายตามองพระอาทิตย์ยามเย็นสีเลือด แล้วบอกว่า “พอหนิวโหย่วเต๋อตาย แล้วโค่วหลิงซวีต้องการคำอธิบาย เกรงว่าที่แดนสุขาวดีคงจะวุ่นวายอยู่สักพัก”
หลังจากนั้นสองวัน ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งห้าที่แอบอยู่ในถ้ำกลางแนวภูเขาก็ทยอยกันลืมตาท่ามกลางความมืดมิด ศิษย์น้องทั้งสี่มองไปยังอวิ่นจ้าวที่ไม่รู้ว่ากำลังใช้ระฆังดาราติดต่อไปที่ไหน
รอไปสักประเดี๋ยว อวิ่นจ้าวที่เก็บระฆังดาราแล้วก็ลุกขึ้นยืน อีกสี่คนที่แน่ใจแล้วลุกขึ้นยืนตาม อวิ่นหมิงถามว่า “ศิษย์พี่ ครั้งนี้จะไปไหนอีก?”
อวิ่นจ้าวเดินไปนอกถ้ำ พร้อมบอกว่า “ดาวฮุ่ยหลิน”
หลังจากพวกเขารีบออกจากถ้ำมาแล้ว อวิ่นหมิงก็หันกลับมาข้างหลัง พบว่าคนหายไปหนึ่งคน จึงตะโกนถามว่า “อวิ่นกวง มัวชักช้าอะไร? ถ้ารีบไปอาจจะเจอพวกเขาเดินอ้อยอิ่งอยู่วันสองวันก็ได้”
คนที่เหลือหันมองตาม เห็นเพียงอวิ่นกวงเดินเนิบนาบออกมา แล้วกล่าวอย่างลังเลเล็กน้อยว่า “เกรงว่าเขาจะเดินเล่นประเดี๋ยวเดียวแล้วก็ไปอีกน่ะสิ ถ้าตามไปก็อาจจะตามไม่ทันแล้วก็ได้ ข้ามีวิธีรั้งเขาไว้ให้อยู่รอพวกเรา”
“อ้อ!” อวิ่นหมิงหันตัวมา “มีวิธีการอะไรก็รีบบอกมา?”
อวิ่นกวงเดินไปตรงหน้าพวกเขา แล้วกล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “ข้ามีคนรู้จักอยู่ที่ฮุ่ยหลิน ถ้าให้เขาช่วย เขาก็น่าจะคิดหาทางรั้งหนิวโหย่วเต๋อไว้รอพวกเรา เพียงแต่เรื่องนี้ไม่สะดวกจะให้คนอื่นรู้…”
บทที่ 1626 ไม่ค่อยชอบมาพากล
พออวิ่นจ้าวได้ยินดังนั้น ก็กล่าวอย่างเด็ดขาดทันที “เรื่องนี้จะให้คนอื่นมายุ่งไม่ได้เด็ดขาด เรื่องไปหาคนอื่นมาช่วยไม่ต้องพูดถึงแล้ว พวกเราตามหลังแล้วหาโอกาสต่อไป”
“ศิษย์พี่!” อวิ่นหมิงกลับประนมมือบอกให้ช้าก่อน พูดโน้มน้าวว่า “ใช่ว่าศิษย์น้องอวิ่นกวงจะไม่รู้ถึงสถานการณ์นี้ ในเมื่อเขาพูดแบบนี้แล้ว แสดงว่าจะต้องมีสถานการณ์พิเศษอะไรแน่นอน ลองฟังให้จบแล้วค่อยว่ากันก็ได้” ไม่รอให้อวิ่นจ้าวที่เริ่มขมวดคิ้วได้คัดค้าน เขาชิงพูดกับอวิ่นกวงก่อนแล้วว่า “คนสนิทของศิษย์น้องจะช่วยเรื่องแบบนี้ได้ยังไง หนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่คนธรรมดานะ เป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว ไม่ใช่ว่าใครก็จะไปมีเรื่องด้วยไหว”
พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็พบว่ามีเหตุผล อวิ่นจ้าวจำต้องข่มคำพูดที่ขึ้นมาถึงปากเอาไว้ มองไปที่อวิ่นกวงเช่นกัน พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องพากันมองไปที่อวิ่นกวงหมดแล้ว
อวิ่นกวงยิ้มเจื่อนพร้อมตอบว่า “ที่ข้ากล้าไปหาเขาก็ย่อมมีเหตุผลอยู่แล้ว เขาแต่งงานรับผู้หญิงตั้งหลายคนที่ตำหนักสวรรค์ มีแม้กระทั่งทายาทด้วยแล้ว เขาถูกข้าจับได้โดยบังเอิญ”
พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องได้ยินแล้วมองหน้าเลิกลั่ก นี่เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายจริงๆ
อวิ่นหมิงขานรับ แล้วถามอย่างสนใจว่า “ไม่ทราบคนสนิทของเจ้ามีฐานะเป็นยังไง อาศัยอะไรถึงจะรั้งหนิวโหย่วเต๋อไว้ได้?”
อวิ่นกวง “ไป่ลิ่ว ศิษย์คนที่หกของพระอรหันต์ฮุ่ยหลิน น่าจะคิดหาข้ออ้างรั้งหนิวโหย่วเต๋อไว้ที่ดาวฮุ่ยหลินได้”
อวิ่นหมิงครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะยิ้มมุมปาก แล้วหันมาบอกอวิ่นจ้าวอีกว่า “ศิษย์พี่ พิจารณาวิธีการของศิษย์น้องอวิ่นกวงดูสักหน่อยก็ได้นะ”
อวิ่นจ้าวขมวดคิ้ว “แต่งงานกับผู้หญิงในทางโลก เรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก คนเราไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้า ล้วนมีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนากันทั้งนั้น นักพรตแดนสุขาวดีที่ทำเรื่องแบบนี้คงจะไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว คิดจะอาศัยเรื่องแบบนี้มาปิดปากเขา ทำได้เหรอ?”
“อามิตตาพุทธ” อวิ่นหมิงประนมมือพลางหลุบตาหลง “เช่นนั้นก็รับประกันความเสี่ยงอีกสักหน่อย หลังจากจบเรื่องนี้แล้วเขาจะไม่มีโอกาสได้เอ่ยปากอีกเลย”
คนที่เหลือตกใจทันที ทุกคนทำสีหน้าระแววงสงสัยไม่หยุด ย่อมเข้าใจว่าคำพูดของเขาหมายความว่าอะไร แบบนี้ต้องการจะฆ่าปิดปากไง!
อวิ่นจ้าวกล่าวเสียงต่ำว่า “พระอรหันต์ฮุ่ยหลินกับท่านอาจารย์มีไมตรีต่อกันอยู่บ้าง ทำแบบนี้เกินไปหน่อยหรือเปล่า?”
อวิ่นหมิงถามกลับว่า “ท่านอาจารย์กับตระกูลอิ๋งก็มีไมตรีต่อกันเหมือนกัน ครั้งนี้ไม่สู้ทำตามใจตระกูลอิ๋ง ให้ตระกูลอิ๋งปล่อยท่านอาจารย์ไปไม่ดีกว่าเหรอ? ในสายตาของพวกเขา มีเพียงผลประโยชน์เท่านั้นที่ยืนยาว จะมีไมตรีหรือความขัดแย้งอะไรเสียที่ไหน?”
พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องตกอยู่ในความเงียบทันที…
ณ ดาวฮุ่ยหลิน เหมียวอี้ยังคงทำตัวเหมือนขี่ม้าชมดอกไม้ เหาะไปเหาะมา เดี๋ยวก็เดินเล่นอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวก็เดินเล่นอยู่ตรงนั้น นอกจากชมทิวทัศน์ที่งดงามเป็นพิเศษ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะไปนมัสการเจ้าถิ่น ถ้าเจ้าอยากจะเดินเพ่นพ่านไปทั่วอาณาเขตของอีกฝ่าย ก็ต้องบอกอีกฝ่ายสักหน่อย จะได้ไม่เกิดความเข้าใจผิดอะไรกัน
มีแผ่นหยกผ่านทางที่พระโพธิสัตว์หลันเย่ให้ไว้ ขอเพียงไม่ใช่คนที่มีความแค้นกับพระโพธิสัตว์หลันเย่ โดยส่วนใหญ่ก็ไม่มีทางที่จะไม่ไว้หน้า กอปรกับภูมิหลังของหนิวโหย่วเต๋อ มาเดินเล่นอยู่ที่นี่ก็ไม่มีใครกลั่นแกล้ง
เป็นเจ้าถิ่นของที่นี่ โดยปกติก็จะได้ครอบครองอาณาเขตที่ดีที่สุด โดยเฉพาะสถานที่ฝึกตนของพระอรหันต์ผู้สง่าผ่าเผย ย่อมต้องไปพบสักหน่อยอย่างเลี่ยงไม่ได้
พระอรหันต์ฮุ่ยหลินไม่อยู่ เพียงแต่ลูกศิษย์สามารถช่วยตัดสินใจเรื่องเล็กน้อยแบบนี้แทนได้ ไป่ลิ่ว ศิษย์คนที่หกของฮุ่ยหลินเป็นฝ่ายเชิญให้เขาอยู่ที่นี่ แล้วมาต้อนรับขับสู้ด้วยตัวเอง พาไปขึ้นเขาทะเลเลหมอก ฟังเสียงระฆังที่ไพเราะ มองดูสหายนักบวชนั่งสมาธิระงับความอยากรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์อยู่ใต้ต้นไม้
เพียงแต่หลังจากผ่านไปครึ่งวัน เหมียวอี้ก็ขอตัวอำลา ใจเขาไม่ได้อยากอยู่ที่นี่เลย “ทิวทัศน์ทะเลหมอกที่นี่ทำให้คนเคลิบเคลิ้มจริงๆ เป็นสถานที่ที่ดี รบกวนไต้ซือให้มาเป็นเพื่อนตลอดทาง ไม่สะดวกจะรบกวนอีกต่อไปแล้ว วันหลังถ้าไต้ซือไปที่ตำหนักสวรรค์ หนิวจะเป็นเจ้าบ้านต้อนรับเอง วันนี้ขอกล่าวอำลาตรงนี้”
ที่บอกว่าทิวทัศน์งดงามน่าหลงใหลนั้นพูดไปตามมารยาท สำหรับเหมียวอี้แล้ว ที่นี่ไม่มีอะไรน่าดูเลย เขาเคยอยู่อุทยานหลวงมาก่อน มีทิวทัศน์งดงามแบบไหนบ้างที่ไม่เคยเห็น
“หา!” ไป่ลิ่วกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “เหตุแม่ทัพภาคหนิวจึงรีบไป หรือว่าอาตมามีจุดไหนที่ดูแลไม่ทั่วถึง?”
เหมียวอี้ยิ้มตอบ “ไม่ใช่หรอก! หนิวเป็นแม่ทัพภาคตลาดผี มีหน้าที่ติดตัว สุดท้ายก็จะต้องกลับไป จะอยู่ที่แดนสุขาวดีนานไม่ได้ เดิมทีครั้งนี้ก็กะว่าจะขี่ม้าชมดอกไม้ไปทั่วอยู่แล้ว เป็นแบบนี้มาตลอดทาง หวังว่าจะได้เห็นหลายๆ ที่เพื่อเปิดหูเปิดตาสักหน่อย ไม่ได้ไม่พอใจอะไรไต้ซือเลย”
ไป่ลิ่วประนมมือ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อาตมาก็ไม่ควรขัดขวาง เพียงแต่อาตมาแนะนำให้แม่ทัพภาคหนิวอยู่ต่อสักวันสองวัน”
เมื่อได้ยินคำพูดที่มีนัยยะแอบแฝงแบบนี้ เหมียวอี้ก็ถามว่า “หมายความว่ายังไงเหรอ?”
ไป่ลิ่วบอกว่า “ดาวฮุ่ยหลินมีเรื่องอัศจรรย์อยู่อย่างหนึ่ง ที่ทะเลคลื่นเขียวมรกต ภายในสองวันนี้จะมีฉากมหัศจรรย์ที่พบเห็นได้ยากบนทะเล ผู้ที่มาจะพลาดชมไม่ได้ ถ้าแม่ทัพภาคหนิวมาถึงแล้วพลาดชม ก็จะต้องเสียใจทีหลังแน่นอน ไม่แน่ว่าในอนาคตแม่ทัพภาคหนิวอาจจะต้องมาอีกรอบก็ได้”
เมื่อเห็นเขาพูดด้วยท่าทางเหมือนจะต้องดูให้ได้ เหมียวอี้ก็ถามเหมือนอยากรู้อยากเห็น “ไม่ทราบว่าเป็นฉากอัศจรรย์ยังไงเหรอ?”
ไป่ลิ่วยิ้มอย่างมีลับลมคมใน “แม่ทัพภาคหนิวอยู่ดูสักหน่อยก็ได้ เมื่อถึงตอนนั้นก็ย่อมเข้าใจเอง อาตมารับรองว่าแม่ทัพภาคหนิวจะรู้สึกว่าไม่เสียเที่ยว”
“อ้อ!” เหมียวอี้ถูกเขาล่อจนรู้สึกสนใจแล้วนิดหน่อย เอียงหน้ามองไปที่เมี่ยวฉุน
“ดาวฮุ่ยหลินมีอะไรแปลกๆ อย่างนี้ด้วยเหรอ ทำไมก่อนหน้านี้อาตมาไม่เคยได้ยินมาก่อน?” เมี่ยวฉุนฉงนใจนิดหน่อย
“เมื่อก่อนไม่มี เพิ่งจะค้นพบเมื่อไม่กี่ปีที่แล้วเอง ไม่รู้ด้วยว่าเมื่อก่อนพลาดไป ตอนหลังเพิ่งปรากฏออกมา เอาเป็นว่าอาตมารู้สึกว่าพระอาจารย์ใหญ่อยู่ดูสักหน่อยก็ได้ ไม่ทำให้พระอาจารย์ใหญ่ผิดหวังแน่นอน” ไป่ลิ่วตอบพร้อมรอยยิ้ม
เมี่ยวฉุนถูกโน้มน้าวจนหวั่นไหว นางมองเหมียวอี้พร้อมถามว่า “แม่ทัพภาคหนิวเสียเวลาสักสองวันไม่ได้เหรอ?”
เหมียวอี้ไตร่ตรองนิดหน่อย แล้วสุดท้ายก็พยักหน้ายิ้ม “ได้! งั้นก็อยู่ดูหน่อยแล้วกัน เพียงแต่ต้องรบกวนความสงบของไต้ซือสักสองวันแล้ว” เขาไม่แยแสเวลาสองวันนี้หรอก เมื่อเจอกับจุดที่ระยะทางยาวไกล เขาก็ต้องเสียเวลาในการเดินทางสองวันอยู่ดี กอปรกับสถานีนี้ใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางของเขาแล้ว ดีไม่ดีอาจจะต้องพักอยู่ตรงจุดหมายปลายทางก็ได้ ไม่สู้ดูที่นี่เป็นตัวอย่างไว้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวพอไปถึงที่หมายแล้วเจอเรื่องผิดปกติจะได้ไม่รู้สึกเหนือความคาดหมาย ในเมื่อตรงนี้มีทิวทัศน์อัศจรรย์ที่หาชมได้ยาก ก็ลองเปิดหูเปิดตาดูสักหน่อยก็ได้
“ไม่นับว่ารบกวนหรอก เอาอย่างนี้นะ พวกเราไม่สู้ออกเดินทางกันตอนนี้เลย ฉากอัศจรรย์นั้นเกิดขึ้นในเวลาที่ไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าเป็นช่วงไหนของสองวันนี้ เพื่อไม่ให้พลาดชม พวกเราไปเฝ้ารออยู่ตรงนั้นกันก่อน” ไป่ลิ่วอธิบายเหตุผลให้ฟัง แล้วถามอีกว่า “ไม่ทราบว่าพวกท่านคิดว่ายังไง?”
“แขกย่อมต้องตามใจเจ้าบ้านอยู่แล้ว” เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวหัวเราะ
“ดี! ให้อาตมาบอกศิษย์พี่ก่อน” ไป่ลิ่วหยิบระฆังดาราก็มาแจ้งข่าว จากนั้นก็ยื่นมือเชิญ นำพวกเขาเหาะขึ้นฟ้าไปด้วยตัวเอง
เหาะอยู่บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่เต็มไปด้วยอากาศ มีแรงต้านเยอะมาก พวกเขาไม่ได้เร่งความเร็ว เทียบกับตอนอยู่ในดาราจักรไม่ได้ นักพรตบงกชรุ้งอย่างพวกเขาใช้เวลาไปสองชั่วยามเต็มๆ กว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง เหมียวอี้เดาว่าตัวเองมาถึงปลายขอบอีกด้านของดาวฮุ่ยหลินแล้ว
ตรงหน้าเป็นทะเลมรกตที่กว้างใหญ่ มีเกาะเล็กโดดเดี่ยวสอสามแห่ง ไป่ลิ่วพาพวกเขาเหาะไปบนเกาะที่ใหญ่ที่สุด แล้วอยู่รอที่นั่น
หลังจากอยู่บนเกาะนั้นได้ครึ่งวัน เหมียวอี้ก็ได้รับข่าวจากคนคนหนึ่ง เป็นฆราวาสผู่หลันที่ส่งข่าวมา บอกว่าทางเขาหลิงซานช่วยให้ความสะดวกกับเขาแล้ว ให้เขาไปเที่ยวชมที่เขาหลิงซานได้ทุกเมื่อ แต่จุดที่เที่ยวชมได้มีจำกัด ห้ามไม่ให้เขาเข้าไปบริเวณวัดต้าเหลยอินที่ประมุขพุทธะใช้ฝึกตน สิ่งที่นางทำได้มีเพียงเท่านี้ ถามเหมียวอี้ว่าคิดอย่างไร
ในจุดนี้เหมียวอี้สามารถเข้าใจได้ วัดต้าเหลยอินก็เทียบเท่ากับวังสวรรค์ของตำหนักสวรรค์ จะปล่อยให้เขาบุกเข้าไปซี้ซั้วได้อย่างไร ภูมิหลังของเขาใช้ขู่คนอื่นได้นิดหน่อย แต่ถ้าคิดจะเอามาขู่ประมุขพุทธะก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าขำจริงๆ เขาย่อมขอบคุณฆราวาสผู่หลัน บอกว่าจะทัศนาจรอีกสักหน่อยแล้วค่อยไปเปิดหูเปิดตาที่เขาหลิงซาน
สรุปก็คือไม่ว่าจะอย่างไร การได้ไปเปิดหูเปิดตาที่เขาหลิงซานก็ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีเหนือความคาดหมายในการมาแดนสุขาวดีครั้งนี้
เช้าวันต่อมา เหมียวอี้กำลังนั่งฝึกตนอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งบนเกาะ เหยียนซิวที่รับหน้าที่เฝ้าระวังอยู่ด้านนอกก็เดินเข้ามาเงียบๆ แล้วถ่ายทอดเสียงเรียกข้างหู “นายท่าน”
เหมียวอี้ลืมตาเล็กน้อย “มีเรื่องอะไร?”
“ข้าน้อยรู้สึกว่าสถานการณ์ข้างนอกไม่ค่อยชอบมาพากล” เหยียนซิวกล่าว
เหมียวอี้อึ้งทันที ค่อยๆ หยุดฝึกวิชา แล้วถามว่า “ไม่ชอบมาพากลยังไง?”
เหยียนซิวตอบ “ในเมื่อเป็นทิวทัศน์อัศจรรย์ที่หาดูได้ยาก ก็น่าจะมีคนอื่นมาชมด้วยสิถึงจะถูก แต่ทำไมไม่มีคนนอกเลยล่ะ มีแค่พวกเราไม่กี่คนเหรอ?”
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง อย่าบอกนะว่าพวกฮุ่ยหลินมีเจตนาแอบแฝงกับตน พวกฮุ่ยหลินไม่น่าจะมีความกล้าขนาดนั้นนะ แต่เขาที่เคยผ่านประสบการณ์อันตรายมาเยอะก็ยังระวังตัวเพิ่มขึ้น “เจ้าไปถามไป่ลิ่วหน่อยว่ามันยังไงกันแน่”
“ถามแล้วขอรับ แต่เขาบอกว่าพวกเรามาเร็วเกินไป อีกไม่นานก็จะมีคนอื่นมาเหมือนกัน” เหยียนซิวตอบ
เหมียวอี้พยักหน้า “งั้นก็ตามนั้น เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำร้ายพวกเรานี่ ถ้าจะลงมือกับพวกเราจริงๆ ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องถ่วงเวลา น่าจะลงมือตั้งแต่ตอนอยู่ในวัดที่มีคนเยอะๆ แล้ว”
“ไม่กลัวเรื่องที่แน่นอน กลัวก็แต่เรื่องที่ไม่แน่นอน นายท่านระวังตัวไว้จะดีกว่า” เหยียนซิวแนะนำอีกครั้ง
จะไม่ให้เขาเตือนก็ไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่ตามเหมียวอี้ออกมา ทางอวิ๋นจือชิวก็จะกำชับเขาเสมอ ย้ำเขาให้ระวังตัว กลัวว่าเขาจะประมาทเลินเล่อ หลังจากมาถึงแดนสุขาวดีแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ยิ่งติดต่อมาเตือนเขาทุกวัน บอกว่าจะต้องรับรองความปลอดภัยของนายท่าน ถ้านายท่านเป็นอะไรไป นางก็จะไม่ปล่อยเขาไป
หลังจากนั้นครึ่งวัน เหยียนซิวก็เข้ามาในถ้ำภูเขาอีกรอบ จากนั้นเหมียวอี้ก็ตามเขาออกมา มายืนริมทะเลแล้วทอดสายตามองไปยังมหาสมุทรกันกว้างใหญ่
บนผิวทะเลมรกตมีระลอกคลื่น เป็นเหมือนอย่างเคย ไม่มีเค้าลางว่าจะเกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์อะไรเลย ที่สำคัญก็คือ ยังไม่มีคนอื่นปรากฏตัวด้วย ค่อนข้างไม่ชอบมาพากล
“ตัวเขาอยู่ไหน? ยังอยู่มั้ย?” เหมียวอี้ค่อยๆ หันหน้ามาถามย้ำทีละคำ
“กำลังนั่งสมาธิอยู่ในถ้ำทางด้านนั้น ไปดูมาแล้ว เขายังอยู่ขอรับ” เหยียนซิวตอบ
“ไต้ซือ ปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่ท่านบอกจะต้องรอถึงเมื่อไร?” เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ถามเสียงดังทันที
เพิ่งจะสิ้นเสียงได้ครู่เดียว ไป่ลิ่วก็เดินออกจากถ้ำด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม พอเดินมาถึงก็บอกว่า “สงสัยแม่ทัพภาคหนิวจะรอไม่ไหวแล้ว”
เมี่ยวฉุนที่อยู่ในถ้ำอีกแห่งก็เดินออกมาเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าตกใจเสียงของเหมียวอี้ หลังจากนางเข้าถ้ำไปแล้ว ก็ฝึกตนเงียบๆ เพื่อรอดูปรากฏการณ์มหัศจรรย์มาตลอด อยู่ที่นี่นางไม่คิดว่ามีอะไรน่ากังวล ผ่อนคลายสบายใจมาก
เหมียวอี้เอียงหน้ามองมา แล้วแสยะยิ้มกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าหนิวรอไม่ไหวแล้ว เพียงแต่หนิวปล่อยให้ทรายเข้าตาไม่ได้ หนิวฆ่าคนไว้เยอะเกินไป มีสันดานชอบฆ่าคน กลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ กลัวว่าจะเข้าใจผิดแล้วทำให้แดนสงบของสำนักพุทธมีมลทิน! สิ่งที่ไต้ซือเรียกว่าปรากฏการณ์มหัศจรรย์ จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีใครมาร่วมชื่นชมกับหนิวเลย ท่านให้เกียรติหนิวเกินไปหรือเปล่า? ช่วยให้คำอธิบายที่น่าพอใจกับข้าเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะเด็ดหัวโล้นของท่าน!
คำพูดนี้ไม่ไว้หน้ากันเลยสักนิด พออ้าปากพูดก็ทำท่าจะชักดาบเลย ไม่เกรงใจเลยสักนิด เมี่ยวฉุนกับไป่ลิ่วได้ยินแล้วสีหน้าเปลี่ยน ทั้งเห็นว่าก่อนหน้านี้เหมียวอี้อ่อนโยนและสุภาพมาก ใครจะคิดว่าบทจะแตกคอก็แตกคอเลย พุดจาทิ่มแทงจนยากจะรับไหว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น