ข้ามกาลบันดาลรัก 162.1-162.4

ตอนที่ 162.1

 

เมิ่งฉีถามอย่างสงสัย “น้องสาว คนผู้นี้เป็นใคร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “คนคุ้นเคยที่เคยคิดจะวางแผนพวกเรา ถูกข้ากำราบไปครั้งหนึ่ง ดูท่าจะยังไม่รู้สำนึก วันนี้ยังคิดจะมาหาเรื่องอีก”


 


 


หวังจิ่วพูดอย่างเคืองแค้น “นังตัวดี นี่เป็นเรื่องระหว่างข้ากับเมิ่งเสียวเถี่ย ไม่เกี่ยวกับเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเยาะหยัน “เจ้าผิดแล้ว ก่อนที่หลี่ชุ่ยฮวาจะถูกหย่าร้างบุญคุณความแค้นของพวกเจ้าข้าไม่เกี่ยวข้อง แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน เพื่อจุดประสงค์ที่บอกใครไม่ได้ของเจ้า หลังจากเจ้าแย่งภรรยาเขาไปแล้วทอดทิ้งอย่างไม่ไยดี ยังมีหน้ากลับมาโยนความผิดนี้ให้อาสี่ข้า เจ้าไม่เห็นแก่ที่เขาขาพิการ บ่งการพวกนักเลงมาจัดการเขาและพี่รองข้า บีบคั้นจะเอาให้ถึงแก่ชีวิต บัญชีนี้เราต้องชำระความให้ดีเสียหน่อยแล้ว”


 


 


หวังจิ่วพูดอย่างเหิมเกริม “เดิมข้าให้พวกเขาจัดการเมิ่งเสียวเถี่ยคนเดียว เจ้าหน้าอ่อนนี่กลับเข้ามาทำข้าเสียเรื่องเอง ไม่เช่นนั้นข้าได้หักขาอีกข้างของเมิ่งเสียวเถี่ยไปแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ แผดเสียงดังลั่น “เหวินหู่!”


 


 


เหวินหู่เดินมาตรงหน้านาง ถามอย่างอ่อนน้อม “แม่นาง มีสิ่งใดจะสั่งการ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งออกไปตามตรง “วันนี้จงแสดงฝีมือที่แท้จริงของเจ้าออกมาให้ข้าเห็น จำไว้ ห้ามออมมือเด็ดขาด”


 


 


เหวินหู่รับคำ แสดงท่าทีองอาจ หันไปพูดดูหมิ่นหวังจิ่ว “พวกเจ้าจะมาเข้ามาทีละคน หรือเข้ามาพร้อมกัน?”


 


 


หวังจิ่วคอยรับใช้ข้างกายเศรษฐีอู๋มานาน วางอำนาจบาตรใหญ่จนเคยตัว ไม่เคยถูกใครดูหมิ่นเช่นนี้มาก่อน เห็นเหวินหู่ไม่เห็นตัวเองอยู่ในสายตา เลือดในกายพลุ่งพล่าน พูดอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าอย่าเพิ่งเหิมเกริมไป ที่นี่คือตัวเมือง ข้าแค่โบกสะบัดมือ ก็ทำให้เจ้าตายไร้ดินกลบหน้าได้แล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเยาะ ร้องตวาด “เหวินหู่ รีบเผด็จศึกโดยไว ข้ายังมีธุระสำคัญต้องจัดการ”


 


 


หวังจิ่วได้ฟัง หันไปโบกมือให้คนที่พามาด้วย “ลุยพร้อมกัน”


 


 


พวกนักเลงหัวไม้ต่างกรูเข้ามา


 


 


หวังจิ่วกลับหลบไปอีกด้าน


 


 


ตระกูลเหวินหู่เปิดสำนักคุ้มภัยมาหลายชั่วอายุคน ได้รับการฝึกฝนด้วยศิลปะการเข่นฆ่าอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ท่าสวยแต่ใช้จริงไม่ได้ ไร้ซึ่งการอวดโอ้ใดๆ พวกโจรป่าโจรภูเขาทั่วไปไม่เคยเข้าถึงตัวเขาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกสวะจอมปลอมแอบอ้างบารมีผู้อื่น การต่อสู้กับพวกเขาเรียกได้ว่าง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก แทบไม่ต้องเปลืองแรงใดๆ เลย ไม่กี่กระบวนท่า ก็ซัดคนทั้งหมดหมอบราบ นักเลงหัวไม้พวกนั้นต่างกอดตัวเองร้องโหยหวน ไม่กล้าลุกขึ้นมาอีก


 


 


หวังจิ่วเห็นภาพตรงหน้า ลอบก้าวถอยหลังหลายก้าว คิดจะหลบหนีออกไปจากกลุ่มคน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไหนเลยจะปล่อยเขาไป แผดเสียงพูด “เหวินหู่ ยังเหลืออีกคน”


 


 


เหวินหู่เดินอาดๆ มาตรงหน้าหวังจิ่ว กำหมัดขึ้น ควงต่อยเขาไม่ยั้ง


 


 


หวังจิ่วรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นกำบัง กลับได้ยินเสียง “กร๊อบ” แขนที่ยกขึ้นบังหักเป็นท่อน หมัดของเหวินหู่ละเลงใส่ใบหน้าเขาเต็มๆ


 


 


ร่างหวังจิ่วหงายเก๋งไปด้านหลัง ล้มแน่นิ่งไปกับพื้นใบหน้าปูดบวม


 


 


ผู้คนที่มาห้อมล้อมส่งเสียงร้องอุทาน ถอยหลบเป็นแนว


 


 


หวังจิ่วกอดแขนที่หักนอนเกลือกกลิ้งไปกับพื้น


 


 


พวกนักเลงได้ยินหวังจิ่วกรีดร้องโหยหวน ตื่นตกใจ รีบทยอยกันลุกขึ้นมาถามไถ่ “พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไร?”


 


 


หวังจิ่วเจ็บจนเหงื่อซึมไปทั้งร่าง พูดอะไรไม่ออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปตรงหน้าพวกเขา


 


 


พวกนักเลงนึกว่านางยังคิดจะลงมือ ต่างพูดขอชีวิต


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองหวังจิ่วที่เอาแต่นอนเกลือกกลิ้งแวบหนึ่ง พูดว่า “ครั้งนี้จะไว้ชีวิตพวกเจ้า ครั้งหน้าหากล่วงเกินคนของข้าอีก จะไม่โชคดีเหมือนครั้งนี้”


 


 


พวกนักเลงต่างแย่งกันพูด “ต่อไปไม่กล้าอีกแล้ว” ประคองหวังจิ่วที่เอาแต่ร้องโหยหวนวิ่งอย่างทุเรศทุรังออกไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาข้างเมิ่งฉี ถามอย่างห่วงใย “พี่รอง ท่านไม่เป็นไรนะ?”


 


 


เมิ่งฉีส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นไร อาสี่คงเจ็บหนักไม่น้อย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการ “เหวินหู่ ประคองคนไปบนรถม้า พวกเราพาเขาไปโรงหมอ”


 


 


เหวินหู่รับคำ ค่อยๆ ประคองเมิ่งเสียวเถี่ยไปบนรถม้าที่เมิ่งฉีบังคับมา


 


 


เมิ่งฉีก็ตามมาขึ้นรถม้า


 


 


ผู้คนที่มามุงดูต่างแยกออกเป็นทาง เหวินหู่บังคับรถม้ามาข้างรถม้าเหวินเปียว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นรถม้า เลิกม่านบังรถออก บอกทางเหวินเปียวมาถึงร้านยาเต๋อเหริน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า ไม่กี่ก้าวก็เดินมาถึงข้างรถม้าอีกคัน เปิดม่านบังรถออก ให้เมิ่งฉีประคองเมิ่งเสียวเถี่ยลงมาอย่างระวัง


 


 


พนักงานร้านยาเต๋อเหรินเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวพาเมิ่งเสียวเถี่ยที่สภาพย่ำแย่เข้ามา รีบเข้ามาช่วยเมิ่งฉีประคองเมิ่งเสียวเถี่ยเข้ามาในร้านยาเต๋อเหริน วางเขาลงบนเตียงรักษาอย่างระมัดระวัง


 


 


หมอชรากำลังตรวจรักษา พนักงานคนหนึ่งวิ่งเข้ามากระซิบกระซาบ หมอชราพยักหน้า หลังจากเขียนใบสั่งยาให้ผู้ป่วย ก็รีบลุกขึ้นเดินมาทักทายเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง เจ้ามาแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “อาสี่ข้าได้รับบาดเจ็บ รบกวนท่านช่วยตรวจดูหน่อยเถอะ”


 


 


หมอชรารีบเดินไปข้างเตียง ดึงผ้าม่านปิด ตรวจดูอาการบาดเจ็บของเมิ่งเสียวเถี่ยอย่างละเอียด พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางไม่ต้องเป็นกังวล อาสี่เจ้ามีเพียงบาดแผลภายนอก ไม่มีอะไรร้ายแรง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถึงวางใจพูดว่า “รบกวนท่านช่วยดูให้พี่รองข้าด้วย”


 


 


หมอชราตรวจดูเขาอย่างละเอียดแล้วพูดว่า “พี่รองเจ้าไม่เป็นอะไร พักฟื้นไม่กี่วันก็จะหายดี”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ


 


 


หมอชรายิ้มพูด “เรื่องเล็กน้อย แม่นางเมิ่งอย่าได้เกรงใจ” พูดจบ เดินไปข้างโต๊ะรักษาหยิบพู่กันเขียนใบสั่งยา ให้พนักงานนำไปจัดยา


 


 


พอเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในร้านยาเต๋อเหริน ก็มีพนักงานไปรายงานเหวินซื่อแล้ว เหวินซื่อเดินออกมาจากหลังร้าน เปล่งเสียงถามดังลั่น “เกิดอะไรขึ้นกับบ้านพวกเจ้าอีกแล้ว?”


 


 


คนที่มารักษาโรคในร้านยาเต๋อเหรินต่างหันมองมาเป็นตาเดียว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้ว ไม่สนใจเขา หันไปพูดกับเมิ่งฉี “พี่รอง ประคองอาสี่ พวกเรากลับ”


 


 


เมิ่งฉีพยักหน้า พยายามประคองเมิ่งเสียวเถี่ย พนักงานเห็นเข้ารีบเข้ามาช่วย


 


 


เหวินซื่อถามอย่างไม่พอใจ “ข้าล่วงเกินอะไรเจ้าเล่า? เหตุใดถึงไม่สนใจข้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับลอยๆ “กลัวจะตกใจ”


 


 


เหวินซื่อสะอึกกึก


 


 


หมอชราหลุดขำ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังเดินออกไป เหวินซื่อได้สติกลับมา ตามออกมาด้วย เดินไปพลางพูดขึ้น “เจ้าตัวแสบ ด้วยความห้าวหาญของเจ้า บาดแผลเล็กน้อยของข้ายังจะทำเจ้าตกใจได้? ข้าว่าเจ้าไม่อยากแยแสข้ามากกว่า?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้มหันไปตอบ “ยินดีด้วยที่เจ้าพูดถูกต้อง ข้าไม่อยากแยแสเจ้า”


 


 


เหวินซื่อสะอึกกึกอีกครั้ง


 


 


หมอชราพ่นหัวเราะ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขา ยังเดินต่อไป เมิ่งฉีและพนักงานประคองเมิ่งเสียวเถี่ยเดินตามหลังมา


 


 


เหวินซื่อโมโหแล้ว “จะบอกให้นะเจ้าตัวแสบ เจ้าอย่าคิดว่าข้า” คำพูดที่เหลือพอเห็นเหวินเปียวก็กลืนกลับลงไปหมด สาวเท้าตามจนทันแล้วถามเมิ่งเชี่ยนโยวเสียงเบา “เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจ “เจ้ารู้จักพวกเขา?”


 


 


เหวินซื่อพยักหน้า “คุณชายเจ้าสำนักคุ้มภัยเวยหย่วน ยาสมุนไพรล้ำค่าของร้านพวกเรา ส่วนใหญ่เป็นพวกเขาที่คุ้มกันส่งมาให้ ทว่า ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องขึ้นกับสำนักคุ้มภัยของพวกเขา พวกเขาทั้งสกุลถูกตัดสินเป็นทาสหลวง เหตุใดถึงมาอยู่กับเจ้าได้?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักฝีเท้า พูดเสียงต่ำเล่าเรื่องที่ตนเองซื้อพวกเขามาอย่างรวบรัดให้เขาฟัง


 


 


เหวินซื่อตกตะลึง พูดหว่านล้อม “ไม่ได้เด็ดขาด เจ้ารีบส่งพวกเขาออกไปยิ่งเร็วก็ยิ่งดี เลี่ยงไม่ให้นำหายนะมาสู่ตัวเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้วถาม “พวกเขากระทำผิดอันใดกันแน่? เจ้าถึงกับต้องตะลึงพรึงเพริดเช่นนี้?”


 


 


เหวินซื่ออยากพูดแต่พูดไม่ออก กล่าวว่า “เรื่องบางอย่างข้าไม่สะดวกจะพูดให้เจ้าฟัง สรุปคือให้เจ้าเชื่อข้า พอกลับไปให้รีบขายพวกเขาทิ้งไป”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้าพูด “ในเมื่อข้าซื้อพวกเขามาแล้ว ก็จะไม่ขายพวกเขาไปอีก”


 


 


เหวินซื่อเริ่มร้อนรน “ข้าหวังดีต่อเจ้า คนบางคนเจ้าไม่อาจล่วงเกินได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้มพูดข่มขู่ “เรื่องที่ข้าซื้อพวกเขามีเพียงเจ้ารู้ ข้ารู้ หากมีคนที่สามล่วงรู้ นั่นก็คือเจ้าที่ป่าวประกาศออกไป คอยดูว่าถึงตอนนั้นข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร?”


 


 


เหวินซื่อไม่ยินดีแล้ว “คนไปมาที่แห่งนี้มากมาย เลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะถูกใครเห็นเข้า เจ้าจะเอาความผิดมาโยนให้ข้าได้อย่างไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดแหย่เย้า “คนอื่นข้าไม่รู้จัก ข้ารู้จักแต่เจ้า หากเรื่องแพร่งพรายออกไป เจ้าก็คือคนทำ”


 


 


เหวินซื่อโมโหกระทืบเท้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะร่วน


 


 


ตอนที่เหวินซื่อออกมาเหวินเปียวก็จำเขาได้ทันที เห็นเขาพูดเสียงต่ำกับเมิ่งเชี่ยนโยว คาดเดาว่าเขาจะต้องพูดเรื่องของตัวเองออกมา ให้รู้สึกหนักอึ้งในใจ


 


 


เมิ่งฉีและพนักงานประคองเมิ่งเสียวเถี่ยขึ้นนั่งบนรถม้าเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวก็เตรียมจะขึ้นรถม้า พนักงานคนหนึ่งยกห่อยาในมือวิ่งกระวีกระวาดออกมา ร้องโวยวาย “แม่นาง ท่านยังไม่ได้รับยาไป!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดชะงักฝีเท้า พนักงานส่งยาให้กับมือนาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบใจ


 


 


พนักงานรีบร้อนโบกมือพูดว่าไม่ต้อง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเหวินซื่อแวบหนึ่ง พูดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “ยาของข้าใกล้จะได้ส่วนผสมครบแล้ว ถึงตอนนั้นใบหน้าเจ้าจะได้ฟื้นคืนกลับสู่สภาพเดิมเสียที” พูดจบเดินขึ้นรถม้า สั่งการเหวินเปียวให้บังคับรถม้ากลับบ้าน


 


 


อึดใจหนึ่งเหวินซื่อถึงได้สติกลับมาว่าเมิ่งเชี่ยนโยวพูดอะไร ดีใจเกือบจะกระโดดตัวลอย พูดพึมพำอย่างยินดี “นังตัวแสบ ไม่บอกแต่แรก ทำข้ากลัดกลุ้มใจมาหลายวัน”


 


 


เหวินเปียวบังคับรถม้ากลับเงียบๆ ตอนที่มาถึงทางแยก เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเขา “ให้เหวินหู่พาพวกเขาสองคนกลับไป เจ้าไปหมู่บ้านหลี่กับข้า”


 


 


เหวินเปียวรับคำ ร้องบอกเหวินหู่ เหวินหู่พยักหน้า บังคับรถม้ากลับหมู่บ้านหวง 

 

 


ตอนที่ 162.2

 

เหวินเปียวบังคับรถม้ามุ่งหน้าไปหมู่บ้านหลี่ ลังเลใจจะพูดหลายครั้ง คล้ายว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะสังเกตเห็นปฏิกิริยาเขา พูดว่า “มีอะไรก็พูดมาตามตรง อึกๆ อักๆ ข้าเห็นแล้วรำคาญ”


 


 


เหวินเปียวถามอย่างระวัง “เมื่อครู่คือนายน้อยซุนแห่งร้านยาเต๋อเหรินเมืองหลวงใช่หรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ “ใช่ เหวินซื่อ เมื่อครู่เขายังพูดว่าเมื่อก่อนพวกเจ้ามักมีการค้าร่วมกัน”


 


 


เหวินเปียวลองหยั่งเชิงถามอีกครั้ง “เช่นนั้นเขาไม่ได้บอกแม่นางว่าพวกเรากระทำความผิดใด?”


 


 


“ข้าถามแล้ว เขาไม่ได้พูด เพียงบอกให้ข้าขายพวกเจ้าไป”


 


 


เหวินเปียวนิ่งไปครู่หนึ่ง ถึงถามขึ้น “เช่นนั้นแม่นางตัดสินใจว่า?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างเบาสบาย “ข้าซื้อพวกเจ้ามาแล้ว พวกเจ้าก็คือคนของข้า ข้าเป็นคนโง่สิถึงจะขายพวกเจ้าไปอีก”


 


 


เหวินเปียวยินดี ถามเสียงเบา “เช่นนั้นแม่นางไม่กลัวพวกเราจะสร้างภาระให้?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “วางใจเถอะ บ้านนอกคอกนาที่นี่ ปีหนึ่งได้เห็นคนในเมืองผ่านเข้ามาไม่กี่มากน้อย เรื่องที่พวกเจ้าเป็นกังวลไม่มีวันเกิดขึ้น”


 


 


ความว้าวุ่นใจของเหวินเปียวในที่สุดก็สงบลงได้ ค่อยๆ ถอนใจโล่งอก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงทอดถอนใจของเขา แอบยิ้มกรุ่มกริ่มในรถม้า


 


 


มาถึงบ้านจางจู้ เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า ร้องตะโกนจากนอกประตู “ท่านตาท่านยาย ข้ามาแล้ว!”


 


 


เมื่อวานพ่อแม่จางจู้ได้ยินจางจู้บอกว่าวันนี้จะมีคนนำเงินอีแปะมาส่งให้ ดังนั้นจึงเฝ้าอยู่แต่ในบ้านไม่ได้ออกไปไหน ได้ยินเสียงเมิ่งเชี่ยนโยวร้องตะโกน ต่างก็ดีใจเดินออกมาจากบ้าน แม่จางจู้ยิ้มพูด “ยายรอให้เจ้ามาทุกวัน ในที่สุดวันนี้เจ้าก็มาแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกอย่างดีใจ สั่งเหวินเปียวให้นำรถม้าไปผูกใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าประตูบ้าน แล้วยก**บเงินอีแปะเข้ามา


 


 


แม่จางจู้ดึงมือนาง พูดอย่างรักใคร่ “เหนื่อยหรือเปล่า รีบเข้ามาในบ้าน ยายจะเทน้ำให้กินก่อน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามแม่จางจู้เข้ามาในบ้าน เหวินเปียวยก**บเงินเดินตามหลังมา


 


 


เข้ามาถึงในบ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสัญญาณให้เหวินเปียววาง**บลงบนพื้น แล้วเปิดออก


 


 


แม่จางจู้เห็นเงินอีแปะเต็ม**บก็ร้องอุทาน “คุณพระช่วย ทั้งหมดนี้กี่อีแปะเรอะ?”


 


 


พ่อจางจู้ก็ตกใจถลึงตาโต


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นอาการตะลึงพรึงเพริดของพวกเขา พูดว่า “นี่เป็นเงินอีแปะห้าสิบตำลึงที่ข้าเพิ่งแลกมาจากในเมือง เก็บไว้ที่นี่ หากใครต้องการตัดเงินค่าแรง ก็ให้ลุงใหญ่เอาไปให้เขา”


 


 


พ่อแม่จางจู้เกือบตาลายเพราะเงินอีแปะเหล่านี้ ได้ยินคำพูดเมิ่งเชี่ยนโยวถึงได้สติกลับมา แม่จางจู้พูดอย่างเป็นกังวล “ทั้งหมดนี้เยอะเกินไปแล้ว เก็บไว้ในบ้านหากมีคนมาขโมยจะทำอย่างไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกอดแขนนางยิ้มพูด “ท่านยาย ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้คนในหมู่บ้านต่างก็ไปทำงานบนภูเขาร้าง ไม่มีคนมาคิดพะวงถึงเงินอีแปะพวกนี้ดอก”


 


 


พ่อจางจู้ไม่เห็นด้วย “ก็เพราะคนในหมู่บ้านน้อย เก็บเงินอีแปะมากเช่นนี้ไว้ในบ้านถึงไม่ปลอดภัย หากมีคนคิดไม่ซื่อ ข้ากับยายเจ้าร้องเรียกใครก็ไม่มีใครได้ยิน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคิดเพียงแค่อยากแลกเงินอีแปะมาทีเดียว ไม่ได้คิดถึงปัญหาเหล่านี้ เห็นสองผู้เฒ่าวิตกกังวลเช่นนี้ จึงพูดว่า “เพราะข้าไม่คิดให้รอบคอบเอง เอาอย่างนี้ ข้าจะเก็บไว้ที่นี่จำนวนหนึ่ง ตอนขากลับข้าค่อยนำส่วนที่เหลือกลับไป”


 


 


พ่อแม่จางจู้พยักหน้า “เช่นนี้ดีที่สุด ไม่เช่นนั้นพวกเราวันๆ ต้องเอาแต่อกสั่นขวัญแขวนมานั่งเฝ้าเงินอีแปะมากมายพวกนี้”


 


 


ภรรยาจางจู้และภรรยาจางเกินรวมถึงเด็กๆ หาบน้ำไปส่งกลับมา เห็นรถม้าจอดอยู่หน้าประตู ก็รู้ทันทีว่ามีคนมา เดินเข้ามาในลานบ้าน ภรรยาจางจู้ก็ร้องถาม “ท่านพ่อท่านแม่ มีใครมาหรือ”


 


 


แม่จางจู้ขานรับอย่างยินดี “โยวเอ๋อร์มานะ พวกเจ้ารีบเข้ามา”


 


 


ภรรยาจางจู้และภรรยาจางเกินวางคานหาบที่ไหล่ลง รีบเดินเข้าบ้าน เห็นเงินอีแปะเต็ม**บก็ให้ตกอกตกใจ เด็กทั้งหมดยิ่งตกใจระคนดีใจ นั่งยองโปรยเงินอีแปะใน**บเล่น


 


 


ภรรยาจางจู้ตวาดพวกเขา “อย่าเล่นซี้ซั้ว ทำเสียหายไปจะลำบาก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ป้าใหญ่ นี่เป็นเงินอีแปะ ไม่เสียหายดอก”


 


 


ภรรยาจางจู้ตบหน้าผาก “แหม บ้านเราแร้นแค้นมานาน เวลาไปบ้านคนอื่นกลัวลูกเต้าจะไปทำข้าวของบ้านเขาพังไม่มีเงินชดใช้ ถึงตวาดจนชินปาก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขบขันต่อท่าทางของนาง


 


 


ภรรยาจางเกินพูดขึ้น “เมิ่งเชี่ยนโยว วันนี้เที่ยงกินข้าวที่นี่นะ ป้ารองกับป้าใหญ่จะไปนวดเส้นบะหมี่ให้เจ้าเดี๋ยวนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบปฏิสเธ “ไม่ล่ะ ป้ารอง ในบ้านยังมีเรื่องอีกมากให้ทำ ข้ายังต้องรีบกลับไป”


 


 


แม่จางจู้อาวรณ์ “กลับไปช้าหน่อยก็ไม่ทำให้เสียงานอะไรมาก เจ้าฟังป้ารอง วันนี้อยู่กินข้าวเที่ยงที่นี่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบร้อนพูด “ท่านยาย ไม่ได้จริงๆ ตอนพี่รองและอาสี่เข้าไปซื้อผักในเมือง เกิดปะทะกับคนที่นั่น ข้าต้องรีบกลับไปดู”


 


 


ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ภรรยาจางจู้ถามอย่างเป็นห่วง “ฉีเอ๋อร์ไม่เป็นไรนะ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ข้าพาพวกเขาไปหาหมอในเมืองแล้ว พี่รองแค่ถูกตีไม่กี่ครั้ง ไม่เป็นอะไรมาก อาสี่ค่อนข้างหนัก ยาที่ข้าจัดมาให้เขายังอยู่บนรถม้า ข้าต้องรีบนำกลับไปต้มให้เขาดื่ม”


 


 


เรื่องคนเจ็บจะรอช้าไม่ได้ พ่อจางจู้รีบพูด “เช่นนั้นก็อย่ารอช้าเลย พวกเจ้ารีบกลับไปเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวให้ภรรยาจางจู้หา**บมาใบหนึ่ง ตักเงินอีแปะจำนวนหนึ่งออก แล้วสั่งเหวินเปียวให้ยกส่วนที่เหลือขึ้นรถม้า บอกลาคนทั้งครอบครัว ขึ้นนั่งบนรถม้าเดินทางกลับบ้านใหญ่เมิ่ง


 


 


หลังจากแยกกับเมิ่งเชี่ยนโยว เหวินหู่บังคับรถม้ามาส่งเมิ่งเสียวเถี่ยที่บ้านก่อน


 


 


หญิงชราเมิ่งเห็นสภาพร่อแร่ของเมิ่งเสียวเถี่ยก็ให้เจ็บปวดใจ เร่งเร้าถามว่าเกิดอะไรขึ้น


 


 


จนถึงตอนนี้เมิ่งฉีก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถูกรุมทำร้าย ย่อมพูดไม่ออก


 


 


เมิ่งเสียวเถี่ยยิ่งปิดปากสนิท ไม่กล้าปริปาก


 


 


หญิงชราเมิ่งพร่ำพูดโวยวายเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวตัวเอง มีแต่เรื่องเลวร้ายไม่หยุดหย่อน


 


 


เมิ่งฉีให้เหวินหู่นำผักที่ซื้อมาส่งไปบ้านหลี่ต้าฉุย ส่วนตัวเองจะอยู่ดูแลเมิ่งเสียวเถี่ย


 


 


เมิ่งจงจวี่เห็นเขาก็มีสภาพย่ำแย่ พูดห้ามปราบ “เด็กดี ดูท่าแล้วเจ้าก็เจ็บไม่น้อยเช่นกัน รีบกลับไปพักผ่อนที่บ้าน อาสี่เจ้าเดี๋ยวพวกเราดูแลเอง”


 


 


หญิงชราเมิ่งก็หว่านล้อมเขา


 


 


เมิ่งฉีจำต้องกลับบ้าน มาถึงหน้าประตูบ้าน ฉวยโอกาสที่เมิ่งชื่อไม่สังเกตเห็น แอบย่องกลับเข้าห้องตัวเอง เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว แล้วแสร้งทำเป็นเดินออกมาจากในห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถือห่อยาเดินเข้ามาบ้านใหญ่ เจอเมิ่งอี้ที่เพิ่งจะเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เมิ่งเสียวเถี่ยเสร็จ พูดว่า “พี่เมิ่งอี้ นี่เป็นยาที่จัดมาให้อาสี่ รบกวนท่านนำไปต้มมาหนึ่งเทียบ”


 


 


เมิ่งอี้ตกใจถาม “น้องโยวเอ๋อร์ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าอาสี่บาดเจ็บ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างกระชับ “ข้าผ่านไปโดยบังเอิญ เห็นพวกอาสี่ถูกรุมทำร้าย พอจัดการคนกลุ่มนั้นแทนพวกเขาแล้ว ก็พาพวกเขาไปโรงหมอ” พูดจบก็ส่งยาในมือให้เมิ่งอี้


 


 


หญิงชราเมิ่งได้ยินเสียงเดินออกมาจากในห้อง ถามขึ้น “โยวเอ๋อร์ เมื่อครู่ยายถามฉีเอ๋อร์แล้ว เขาบอกไม่รู้ว่าทำไมถึงถูกตี เจ้ารู้หรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก ตอบว่า “เป็นหวังจิ่ว”


 


 


หญิงชราเมิ่งพลันนึกไม่ออกว่าหวังจิ่วเป็นใคร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเตือนสตินาง “ก็คือคนที่มาลักลอบคบชู้กับหลี่ชุ่ยฮวา”


 


 


หญิงชราเมิ่งถึงเข้าใจแจ่มแจ้ง ก่นด่า “ที่แท้ก็เจ้าเดรัจฉานนั่น เขากระทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรมเช่นนั้น เถียเอ๋อร์ไว้ชีวิตเขา เหตุใดเขายังลงมือเ**้ยมโหดกับเถียเอ๋อร์ได้อีก? หากรู้ว่าจะมีวันนี้ ตอนนั้นไม่สมควรไว้ชีวิตเขา”


 


 


พูดเช่นนี้ก็ไม่ผิด ความจริงสถานการณ์ในตอนนั้น หากจัดการเก็บหวังจิ่วจริงๆ สกุลเมิ่งจะยุ่งยากยิ่งกว่าเดิม เศรษฐีอู๋จะต้องใช้อำนาจบดขยี้พวกเขา แต่ตอนนี้สกุลเมิ่งไม่เหมือนก่อนแล้ว การจะจัดการหวังจิ่วคนชั่วช้านี้ ย่อมง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ


 


 


ดังนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวจึงตอบกลับเบาๆ “ท่านย่า ต่อไปเขาไม่กล้าแล้ว”


 


 


หญิงชราเมิ่งไม่เข้าใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อธิบายต่อ เดินเข้ามาในบ้าน มองเมิ่งเสียวเถี่ยที่นอนซึมกระทื่อดวงตาทั้งสองปิดสนิท เอ่ยปากพูดว่า “ข้ามีวิธีทำให้ท่านไม่ต้องถูกคนอื่นรังแกอีก”


 


 


เมิ่งเสียวเถี่ยเบิกตาโพลง มองนางอย่างเต็มไปด้วยความหวัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทิ้งไว้เพียงประโยคหนึ่ง “รอท่านหายดีค่อยบอก” แล้วหันหลังจากไป


 


 


เมิ่งเสียวเถี่ยมองไปทางประตูเป็นนาน ทบทวนคำพูดของนางอย่างละเอียดว่าจริงหรือหลอก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกลาหญิงชราเมิ่ง กลับมาที่บ้านตัวเอง


 


 


เมิ่งชื่อและกลุ่มหญิงสาวทำงานเร็ว กองผ้าในห้องฝั่งตะวันตกไม่นานก็ถูกพวกเขาใช้หมด คนทั้งหมดกำลังพูดถึงเรื่องนี้ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมา เมิ่งชื่อถามนาง “โยวเอ๋อร์ ผ้าในบ้านใช้ใกล้หมดแล้ว กระเป๋านักเรียนก็มีเก็บไว้ไม่น้อยแล้ว เจ้าดูก่อนว่ายังต้องเย็บกระเป๋านักเรียนเพิ่มหรือไม่?”


 


 


กลุ่มหญิงสาวมองนางด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ กลัวนางจะพูดว่าไม่ต้องเย็บแล้ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคิดเรื่องนี้เอาไว้นานแล้ว ตอบกลับทันควัน “พวกท่านเย็บต่อไม่ต้องหยุด สองสามวันนี้ข้าจะไปซื้อผ้าคุณภาพรองอีกจำนวนหนึ่งกลับมา”


 


 


กลุ่มหญิงสาวค่อยโล่งใจ


 


 


เห็นท่าทางพวกเขา เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้ว่าพวกเขากังวลเรื่องอะไร พูดปลอบใจ “พวกท่านเย็บกระเป๋านักเรียนให้สบายใจเถอะ ไม่ว่าบ้านข้าจะมีเหลือเก็บเท่าไหร่ ก็ต้องจ่ายค่าแรงพวกท่านจนครบ”


 


 


หญิงสาวคนหนึ่งพูดว่า “นายหญิง พวกเราไม่ได้คิดเช่นนั้น พวกเราแค่กลัวว่างานดีๆ เช่นนี้ชั่วอึดใจเดียวก็จะไม่มีแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “พวกท่านวางใจ ไม่มีทางเป็นเช่นนั้น ข้าวางแผนจะทำการค้ากระเป๋านักเรียนระยะยาว หากหยุดทำเร็วเช่นนี้ ผ่านไปอีกสักระยะพอกระเป๋านักเรียนของข้าขายดี ข้าไม่ร้องไห้ขาดใจตายหรือ”


 


 


กลุ่มหญิงสาวได้ยินก็วางใจ ทำงานในมือตัวเองอย่างสบายใจ 

 

 


ตอนที่ 162.3

 

 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้ามาในห้องตัวเอง นำสมุนไพรที่ครั้งก่อนนำกลับมาจากร้านยาเต๋อเหรินแล้วยังไม่ได้บดละเอียด กางออกเป็นชุดๆ บดจนละเอียด คิดจะทำตามสูตรตามความทรงจำตัวเอง ผลิตเป็นตัวยารักษาแผลเป็นตัวใหม่ออกมา 


 


 


เวลาครึ่งวันผ่านไปอย่างเร็ว ถึงเวลาเข้าเมืองแล้ว เหวินเปียวและเหวินหู่ตระเตรียมรถม้าเสร็จ ยืนร้องเรียกในลานบ้านอย่างสุภาพ “แม่นาง พวกเราต้องไปรับนายน้อยแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้สติคืนกลับมาจากการครุ่นคิด วางเนื้อครีมที่ยังทำไม่สำเร็จในมือ พูดรับคำ “พวกเจ้ารอประเดี๋ยว ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้” พูดจบ ลุกขึ้นเปิดตู้ หยิบเสื้อผ้าสะอาดออกมา เปลี่ยนชุดบนตัวที่มีแต่กลิ่นยาออก ถึงสาวเท้าเดินมานั่งบนรถม้า 


 


 


ยังคงเป็นเหวินเปียวบังคับรถ มุ่งหน้าตรงเข้าเมืองอย่างมั่นคง เมิ่งเชี่ยนโยวที่นั่งบนรถม้า ครุ่นคิดครู่สั้นๆ โพล่งปากถาม “เหวินเปียว พวกเจ้ามีวรยุทธ์สูงมากใช่ไหม?” 


 


 


เหวินเปียวไม่คิดว่าอยู่ๆ เมิ่งเชี่ยนโยวจะถามคำถามนี้ ตกใจเล็กน้อย ถามอย่างระวัง “แม่นางถามเรื่องนี้ไปเพื่ออะไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบเขา “ข้าเพียงแค่อยากรู้ ถามไปอย่างนั้น” 


 


 


เหวินเปียวขบคิดครู่หนึ่งถึงตอบ “ข้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีวรยุทธ์สูงหรือไม่ แต่หลังจากที่พวกเราเป็นผู้คุ้มภัยไม่ว่าจะเจอยอดฝีมือเก่งกาจแค่ไหนก็ไม่เคยเพลี่ยงพล้ำให้ มีเพียงครั้งสุดท้ายนั้น” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวประหลาดใจ “ครั้งสุดท้ายเกิดอะไรขึ้น?” 


 


 


เหวินเปียวนิ่งเงียบ อึดใจหนึ่งถึงพูดว่า “เพราะการคุ้มกันภัยครั้งสุดท้ายของพวกเราเกิดเรื่องถึงได้ถูกตัดสินให้เป็นทาสหลวง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ถามต่อ กลับพูดว่า “พอดีเลย ข้าเองก็รู้วรยุทธ์ พรุ่งนี้เช้ายามอิ๋นปลายพวกเจ้าจงมาที่ลานใหญ่ พวกเรามาประลองกันสักตั้ง” 


 


 


เหวินเปียวตกใจ “แม่นางก็รู้วรยุทธ์?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “รู้นิดหน่อย อยากหาคนทดสอบฝีมือด้วยมานานแล้ว ดีที่พวกเจ้าเป็นวรยุทธ์ พวกเราจะได้ทดสอบกัน ข้าจะดูว่าตัวเองอยู่ในระดับไหน” 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่รับคำอย่างอ่อนน้อม 


 


 


รถม้ามาถึงหน้าประตูโรงเรียน ประตูโรงเรียนยังไม่เปิดออก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้า ลงจากรถม้า เดินมารอหน้าประตูโรงเรียน 


 


 


อาจารย์เวรยังคงกล่าวทักทายนางอย่างเป็นมิตร “แม่นางน้อย มารับน้องชายอีกแล้วหรือ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า 


 


 


อาจารย์กล่าวชื่นชม “ในครอบครัวใหญ่ น้อยครั้งจะเห็นพี่สาวที่รักใคร่น้องชายเช่นนี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มพูด “อาจารย์กล่าวเกินไปแล้ว พวกเราหาใช่ครอบครัวใหญ่ไม่ เป็นเพียงครอบครัวชาวนาเล็กๆ ธรรมดาๆ เท่านั้น” 


 


 


อาจารย์ยิ่งทวีความชื่นชม “อายุเพียงเท่านี้ก็ถ่อมตนเช่นนี้แล้ว อนาคตจะต้องยิ่งยากจะเทียบเทียม” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะไม่ได้พูดอะไร 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉเดินออกมาจากห้องเรียน เมิ่งอี้เซวียนเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวมายืนรอที่หน้าประตูโรงเรียนจริงๆ ยกยอรอยยิ้มพึงพอใจวิ่งตรงมาหานาง 


 


 


ซุนเหลียงไฉเบ้ปาก พูดงึมงำไม่พอใจ แล้วเดินตามออกมา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจูงมือเมิ่งอี้เซวียน รอซุนเหลียงไฉเดินออกมาถึงเดินมาข้างรถม้าพร้อมกัน 


 


 


คนโดยรอบมองพวกเขาอย่างประหลาดใจ 


 


 


ทั้งสามนั่งดีแล้ว เหวินเปียวถึงบังคับรถม้าเดินทางกลับ 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนนั่งตรงข้ามเมิ่งเชี่ยนโยว ใช้ดวงตาคู่งามนั้นมองนางอย่างปิติยินดี 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถูกเขามองจนหัวใจสั่น แสร้งย่นหัวคิ้ว พูดอย่างหงุดหงิด “มีอะไรก็รีบพูด” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเผยรอยยิ้มสุกสกาว พูดอย่างขอความดีความชอบ “วันนี้ข้าขายกระเป๋านักเรียนได้สองใบ” 


 


 


ซุนเหลียงไฉส่งเสียง “เชอะ” อย่างดูแคลน “ก็แค่ขายได้สองใบเท่านั้น ข้าขายไปได้สิบกว่าใบแล้ว” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนไม่สนใจเขา ยังคงจ้องมองเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเผยสีหน้ายินดี ถาม “เจ้าขายออกได้อย่างไร?” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนตอบ “วันนี้ตอบคาบว่าง ข้าได้ยินคนกลุ่มหนึ่งกำลังถกเถียงกันเรื่องกระเป๋านักเรียนของข้า ก็เลยรวบรวมความกล้าไปถามพวกเขาว่าต้องการซื้อกระเป๋านักเรียนของข้าหรือไม่ ใบละสิบตำลึง มีสองคนที่ตื่นเต้นดีใจมาก รับคำในทันที บอกให้ข้านำมาวันพรุ่ง ยังมีอีกสามคนก็เห็นชัดว่าอยากซื้อ ทว่ายังอิดออดว่าราคาแพงเกินไป บอกว่าหากราคาถูกกว่านี้หน่อยก็ดี พวกเขาจะต้องซื้อไว้คนละใบ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินก็ดีใจ นางยอมรับในด้านสติปราดเปรื่องของเจ้าปีศาจตนนี้ดี แต่ในด้านการค้ายังรู้สึกมีใจพะวงอยู่ วันนี้ได้เห็นผลงานนี้ แทบอยากจะเข้าไปอุ้มเมิ่งอี้เซวียนแล้วหมุนสักสองสามรอบ ดังนั้นจึงพูดชมเชยด้วยน้ำเสียงสดใส “อี้เซวียนของพวกเราเยี่ยมมากๆ ขายกระเป๋านักเรียนก็ได้ เกินความคาดหมายของข้าจริงๆ” 


 


 


ได้ฟังคำชมเชยของนาง เมิ่งอี้เซวียนใบหน้าแดงฝาดพลัน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจ ถามเขาอย่างดีใจ “คืนนี้เจ้าอยากกินอะไร บอกข้า ข้าจะทำให้กิน” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนกะพริบดวงตาโตคู่งาม ตอบอยากเบิกบานใจ “ข้าอยากกินมันฝรั่งแผ่นทอด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำทันควัน “ไม่มีปัญหา กลับไปข้าจะทอดให้เจ้ากิน” 


 


 


ซุนเหลียงไฉพูดเสียงลั่นอย่างไม่พอใจ “เขาเพิ่งจะขายกระเป๋านักเรียนได้แค่สองใบ เจ้าก็รับปากเต็มคำจะทำของอร่อยให้เขากิน ข้าขายได้สิบกว่าใบ ขอให้เจ้าทำมันฝรั่งเส้นผัดพริก เจ้ากลับบ่ายเบี่ยง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตบศีรษะเขาดัง “เปี๊ยะ” “ใครบ่ายเบี่ยงกัน ข้าก็ทำมันฝรั่งตุ๋นเนื้อให้เจ้ากินแล้วอย่างไร?” 


 


 


ซุนเหลียงไฉถูกตี แม้จะไม่กล้าร้องโวยวายอีก แต่ก็ยังพูดเสียงเบาอย่างไม่พอใจ “มันฝรั่งแผ่นทอดที่เขาพูดถึง ข้าก็อยากกินด้วย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตีเขาอีกครั้ง “มีครั้งไหนทำของอร่อยแล้วเจ้าไม่ได้กินบ้าง ถ้าเจ้ายังบ่นงึมงำไม่เลิก ไม่มีท่วงท่าของชายชาตรี ระวังข้าจะให้เจ้าดื่มแต่โจ๊กขาวทุกวัน” 


 


 


คราวนี้ซุนเหลียงไฉตกใจหุบปากสนิท 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนคุยเรื่องขายกระเป๋านักเรียนไปตลอดทาง เมิ่งเชี่ยนโยวยังจุดประกายให้เขารู้ว่าจะทำการตลาดต้องมีเคล็ดลับอะไรบ้าง เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้ายินดี จดจำไว้เป็นข้อๆ 


 


 


ซุนเหลียงไฉนั่งฟังอีกด้านด้านรู้บ้างไม่รู้บ้าง แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม ได้แต่อัดอั้นอยู่ในใจ 


 


 


คนทั้งหมดกลับมาถึงบ้าน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า เดินตรงไปที่บ้านเก่า หยิบมันฝรั่งจำนวนหนึ่งออกมา หลังจากปอกอย่างละเอียดแล้ว ก็หั่นเป็นแว่นบางๆ 


 


 


เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเดินมาดู เห็นมันฝรั่งแผ่นบนเขียง ดีใจร้องถาม “ท่านพี่ ท่านจะทำมันฝรั่งแผ่นทอดหรือ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทำไปพลางตอบไปพลาง “ใช่ พี่จะทอดมันฝรั่งแผ่นอร่อยๆ ให้เจี๋ยเอ๋อร์กิน ประเดี๋ยวเจี๋ยเอ๋อร์ต้องช่วยพี่ทำด้วยนะ” 


 


 


มันฝรั่งในบ้านน้อยลงทุกที เมิ่งเชี่ยนโยวยังต้องเก็บไว้เป็นเมล็ดพันธุ์ ดังนั้นโอกาสที่จะกินมันฝรั่งก็น้อยลงตามไปด้วย มีบางครั้งที่คนในครอบครัวต้องการ ถึงจะเอามาประกอบอาหาร มันฝรั่งแผ่นทอดยิ่งไม่ต้องพูดถึง คนในบ้านไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงอยากกินมานานแล้ว กลัวเมิ่งเชี่ยนโยวจะว่าพวกเขาไม่รู้ความ จึงไม่เคยกล้าขอ ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่าจะทอดมันฝรั่งแผ่น ต่างไชโยโห่ร้องยินดี 


 


 


เห็นพวกเขาร้องดีใจแบบนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเข้าไปในบ้านหยิบมันฝรั่งออกมาอีกจำนวนหนึ่ง 


 


 


เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงต่างดีใจลิงโลด กระโดดโลดเต้นโห่ร้องในลานบ้านไม่หยุด 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉเข้ามาเพราะได้ยินเสียง เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวทำงานง่วนคนเดียว เมิ่งอี้เซวียนนั่งยองตรงหน้าเตาลงมือเผาไฟให้อย่างรู้ความ 


 


 


ซุนเหลียงไฉไม่เคยกินมาก่อน ย่อมไม่รู้ว่ามันฝรั่งแผ่นทอดคืออะไร แต่เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวรับปากคำขอของเมิ่งอี้เซวียน ก็ให้งุ่นง่านใจ ถึงบอกว่าตัวเองก็อยากกินด้วย ตอนนี้เห็นเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงดีใจกระโดดโลดเต้น เริ่มรู้สึกเฝ้ารอ มองเมิ่งเชี่ยนโยวตาปริบๆ ให้รีบทำมันฝรั่งแผ่นทอดเสร็จออกมาโดยไว ตนเองจะได้ลิ้มรสว่าเป็นอย่างไร 


 


 


เพราะตัดสินใจจะทำมันฝรั่งแผ่นทอดกะทันหัน เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้ทำหลากหลายรสชาติ มีเพียงรสหวานและรสเค็มเท่านั้น เพียงเท่านี้ เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงก็ดีใจหน้าบานแล้ว กระทั่งมันฝรั่งแผ่นทอดชุดแรกออกจากเตา หลังจากทิ้งไว้ให้เย็นครู่หนึ่ง ยกไปวางข้างเตา เด็กคนหนึ่งอดใจรอไม่ไหวหยิบมันฝรั่งแผ่นทอดแผ่นหนึ่งเข้าปาก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจึงหยิบกะละมังใส่มันฝรั่งแผ่นทอดมองให้เมิ่งเจี๋ย พูดกำชับ “ระวังนะ อย่าให้ลวกปาก” 


 


 


เมิ่งเจี๋ยยกกะละมังมาวางบนขอบโต๊ะอย่างเบิกบาน 


 


 


ซุนเหลียงไฉก็เสนอหน้าเข้ามา มองดูมันฝรั่งแผ่นทอดแผ่นบางๆ ก็ให้แปลกประหลาดพรึงเพริด เลียนแบบท่าทางของเมิ่งเจี๋ย บรรจงหยิบแผ่นหนึ่งใส่ปากเคี้ยวหงุบๆ ยังไม่ทันจะกลืนก็ร้องอุทานน้ำเสียงงึมงำ “อร่อยที่สุดเลย” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเผาไฟอยู่หน้าเตา ใบหน้าน้อยๆ ถูกเปลวไฟเผาจนหน้าแดง หน้าผากก็มีเหงื่อผดซึมออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบมันฝรั่งแผ่นทอดแผ่นหนึ่งยื่นมาที่ปากเขา “เจ้าชอบกินที่สุด รสเค็ม” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนแหงนหน้า มองนางอย่างดีใจระคนประหลาดใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว “ไม่กินหรือ? มือข้าสะอาดแล้วนะ” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนรีบอ้าปากงับคำเล็ก กินอย่างชื่นอกชื่นใจ 


 


 


“ถือไว้เอง ข้าจะทอดที่เหลือทั้งหมด” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนออกแรงเช็ดถูมือไปมากับเสื้อตัวเอง คิดจะรับมันฝรั่งแผ่นทอดที่เหลือมา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือขึ้น “ช่างเถอะ ข้าถือให้เจ้าดีกว่า เจ้ารีบกินรีบกลืน” 


 


 


มีซุนเหลียงไฉจอมตะกละอยู่ด้วย มันฝรั่งแผ่นทอดในกะละมังไม่นานก็ถูกฟาดจนเรียบ 


 


 


เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเพิ่งจะได้กินแค่ไม่กี่ชิ้น ต่างจ้องเขาเขม็งอย่างเคืองขุ่น 


 


 


ซุนเหลียงไฉถูกจ้องจนรู้สึกผิด จับจมูกตัวเองอย่างเก้อเขิน หมุนตัวเดินไปข้างเตาไฟเงียบๆ  

 

 


ตอนที่ 162.4

 

ทอดมันฝรั่งแผ่นเสร็จ อาหารค่ำของเมิ่งชื่อก็ทำเสร็จพอดี เข้ามาร้องเรียกคนทั้งหมดไปกินข้าว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นๆ ยกมันฝรั่งแผ่นทอดเข้ามา วางลงบนโต๊ะในห้องครัว 


 


 


ซุนเหลียงไฉกินแล้วติดใจ ยื่นหน้าเข้ามาคิดจะกินอีก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามเขา “มันฝรั่งแผ่นทอดเป็นแค่ของกินเล่น กินข้าวก่อน คืนนี้ทำการบ้านเสร็จค่อยกินต่อ” 


 


 


ซุนเหลียงไฉไม่กล้าฝ่าฝืน มองมันฝรั่งแผ่นทอดในกะละมังอย่างอาลัยอาวรณ์แวบหนึ่ง แล้วนั่งลงกินข้าวอย่างว่านอนสอนง่าย 


 


 


กินอาหารค่ำเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวให้เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉไปทำการบ้าน ตนเองและเมิ่งเสียนยกมันฝรั่งแผ่นทอดสองกะละมังมาบ้านหลี่ต้าฉุย 


 


 


สองผู้เฒ่าหลี่และครอบครัวเหวินเปียวก็เพิ่งจะกินอาหารค่ำเสร็จ กำลังเก็บกวาดลานบ้าน เหวินเปียวเห็นพวกเขาเข้ามาก่อน ถามอย่างสุภาพ “แม่นาง มีเรื่องอะไรจะให้พวกเราทำหรือ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ข้าทำขนมแปลกใหม่ชนิดหนึ่ง เอามาให้ท่านยายหลี่และท่านตาหลี่รวมถึงเด็กๆ ได้ลิ้มรสกัน” 


 


 


ภรรยาหลี่ต้าฉุยปลาบปลื้ม “มีของข้าด้วยเรอะ ข้าต้องลองชิมเสียหน่อยแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยววางกะละมังในมือลงบนโต๊ะที่ยังไม่ได้เก็บขึ้น ยิ้มพูดกับสองผู้เฒ่าหลี่ “นี่คือมันฝรั่งแผ่นทอด ข้าเพิ่งจะทำเสร็จ พวกท่านลองชิมดูเถิด” 


 


 


ภรรยาหลี่ต้าฉุยเห็นมันฝรั่งแผ่นทอดแผ่นบางๆ ในกะละมัง ก็ให้ประหลาดใจ หยิบขึ้นแผ่นหนึ่งอย่างระวัง วางใส่ปาก กัดหนึ่งคำ มันฝรั่งแผ่นทอดแตกเสียงก้อง เปล่งเสียงประหลาดใจ “โอ๊ะ อร่อยมากจริงๆ!” 


 


 


เหวินจิ้งและเหวินจงเลียริมฝีปาก มองนางอย่างอิจฉา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับกะละมังในมือเมิ่งเสียนมา วางไว้ตรงหน้าพวกเขา “นี่เป็นของพวกเจ้า กินเถอะ” 


 


 


เด็กทั้งสองมองบิดามารดาของตัวเอง 


 


 


เมื่อก่อนครอบครัวตนเองเปิดสำนักคุ้มภัย เดินทางไปทั่วทั้งเหนือใต้ออกตก ได้กินของอร่อยของสถานที่นั้นๆ มาก็ไม่น้อย แต่กลับไม่เคยเห็นมันฝรั่งแผ่นทอดแผ่นบางนี้มาก่อน ภรรยาเหวินเปียวรู้ว่านี่เป็นของดี รีบร้อนพูด “แม่นาง อาหารหายากเช่นนี้จะเอามาให้พวกเขากินได้อย่างไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “นี่เป็นขนมที่ยามว่างข้าขบคิดออกมาเอง เดิมก็ทำเพื่อให้เด็กและคนแก่ได้กินเล่น ไม่ใช่ของหายากอะไร รีบเอาให้เด็กๆ กินเถอะ” 


 


 


ภรรยาเหวินเปียวยังคงลังเล 


 


 


เหวินเปียวพูดข้างๆ “เมื่อแม่นางให้เด็กๆ กินก็กินเถอะ” 


 


 


ภรรยาเหวินเปียวไม่ลังเลอีก วางใส่มือเหวินจิ้งและเหวินจงคนละแผ่น เด็กน้อยทั้งสองกินอย่างเบิกบาน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกวักมือเรียกเด็กที่เหลือที่มีอายุมากกว่าหน่อย “พวกเจ้าก็มากินเถอะ” 


 


 


เด็กทั้งหมดโบกมืออุตลุด “ขอบคุณแม่นาง พวกเราไม่กิน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งชักสีหน้า “ข้าสั่งให้พวกเจ้ากิน” 


 


 


เด็กทั้งหมดเห็นนางโมโหแล้ว ลนลานยื่นมือออกไป หยิบมาคนละแผ่น แม้แต่เหวินซงที่โตที่สุดก็หยิบเข้าปากหนึ่งแผ่น 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับคืนสีหน้าเดิม พูดว่า “ทำถูกต้องแล้ว พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ต่อไปไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้” 


 


 


ภรรยาหลี่ต้าฉุยก็ผลักกะละมังตรงหน้าตัวเองออก “ใช่ๆๆ เป็นครอบครัวเดียวกัน ให้เด็กๆ ก็กินในนี้ไปด้วย” 


 


 


สะใภ้เหวินทั้งสามคนต่างน้ำตาซึม พูดเสียงเครือ “ขอบคุณแม่นาง ขอบคุณฮูหยินชรา” 


 


 


ภรรยาหลี่ต้าฉุยโบกมือพูดว่า “พวกเจ้าอย่าได้เรียกข้าว่าฮูหยินชราเด็ดขาด เรียกข้าว่าท่านป้าเหมือนคนอื่นๆ เถอะ” 


 


 


ครั้งนี้อย่างไรเหวินเปียวก็ไม่เห็นด้วย พูดขึงขัง “เมื่อแม่นางซื้อพวกเรามา พวกเราก็คือคนรับใช้ จะเพราะว่าแม่นางดีกับพวกเรา พวกเราก็จะไม่รู้จักแยกแยะไม่ได้ กฎระเบียบที่ต้องเคารพพวกเราก็ยังต้องเคารพ” 


 


 


เหวินหู่และเหวินเป้าก็เปล่งเสียงเห็นพ้อง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีปัญหาเรื่องคำเรียก เห็นพวกเขายืนหยัด ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เพียงกำชับเหวินเป้า “อาสี่ข้าบาดเจ็บ พรุ่งนี้เจ้าเข้าเมืองไปซื้อผักกับพี่รองข้า จำไว้ หากเจอใครมาหาเรื่องอีก เจ้าไม่ต้องเกรงใจ สู้จนพวกนั้นล่าถอยไปก็พอ เกิดเรื่องอะไรขึ้นข้ารับผิดชอบเอง” 


 


 


เหวินเป้าขานรับเสียงใส “ทราบแล้ว แม่นาง” 


 


 


เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เหวินเปียวและเหวินหู่มายืนรอหน้าประตูใหญ่ตรงตามเวลา เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดประตูให้พวกเขา ให้พวกเขาตามตัวเองมาที่ลานใหญ่เงียบๆ 


 


 


เมิ่งเสียนเห็นพวกเขาเข้ามา มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่เข้าใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบาย “ข้าเป็นคนให้พวกเขามาเอง ข้าอยากจะประลองวรยุทธ์กับพวกเขาหน่อย” 


 


 


เมิ่งเสียนและคนอื่นพยักหน้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวให้เหวินเปียวเหวินปู่ยืดเส้นยืดสาย ตนเองก็นำคนที่เหลือยืดเหยียดร่างกาย 


 


 


เมื่อเสร็จสิ้น เมิ่งเสียนเมิ่งฉีและเมิ่งอี้เซวียนไม่ได้ผูกถุงกระสอบขึ้นไปเดินเหินบนท่อนไม้เหมือนที่เคย กลับยืนอยู่ที่เดิม รอดูว่าพวกเขาจะประลองวรยุทธ์อย่างไร 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้รบเร้าพวกเขา ถามเหวินเปียวและเหวินหู่ “พวกเจ้าสองคนใครมีวรยุทธ์สูงกว่ากัน?” 


 


 


เหวินเปียวตอบ “โดยรวมแล้วข้าสูงกว่าเล็กน้อย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เช่นนั้นพวกเรามาประลองกันดูก่อน” 


 


 


เหวินเปียวเริ่มลังเล “แม่นาง ข้าลงมือหนัก เกรงจะทำท่านบาดเจ็บ ให้น้องรองประลองกับท่านก่อนเถอะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้อง เจ้าเข้ามาเลย” 


 


 


เหวินเปียวไม่มีทางเลือก จำต้องกำหมัดพูดว่า “แม่นาง ล่วงเกินแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็แสดงท่าตั้งรับ “เข้ามาเลย” 


 


 


เหวินเปียวออกหมัดจู่โจม 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเบี่ยงตัวหลบ ออกคำสั่งเสียงเข้ม “ออกแรงกว่านี้” 


 


 


เดิมเหวินเปียวกลัวจะทำนางบาดเจ็บ จึงใช้แรงเพียงสามส่วน ได้ยินนางพูดเช่นนี้ เพิ่มความแรงของน้ำหนักหมัด 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงไม่พอใจ หยุดการเคลื่อนไหว พูดว่า “ไม่ต้องหวาดกลัวออมแรง แสดงความสามารถที่แท้จริงของเจ้าออกมา พวกเราประลองกันสักตั้ง ให้ข้ารู้ว่าวรยุทธ์ของข้าเทียบกับยอดฝีมืออย่างเจ้ายังห่างชั้นกันแค่ไหน” 


 


 


เหวินเปียวได้ฟังไม่ลังเลอีก ปลดปล่อยพละกำลังทั้งหมดตรงเข้าจู่โจม 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นการออกอาวุธอย่างดุดันของเขา หมุนตัวหลบได้อย่างปราดเปรียว จากนั้นยกเท้าขึ้นถีบ 


 


 


เหวินเปียวตกตะลึงเล็กน้อย เกือบจะถูกลูกถีบนี้ ร้อนรนถอยหลังไปสองก้าว ถึงหลบมาได้อย่างหวุดหวิด พูดชมเชย “แม่นาง ฝีมือคล่องแคล่วว่องไว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร จู่โจมกลับ 


 


 


เหวินเปียวไม่ขยับ รอเมิ่งเชี่ยนโยวใกล้เข้ามาถึงออกหมัดโจมตีนาง 


 


 


เมิ่งเสียนนึกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะถูกตี ร้องเสียงหลง แม้แต่เหวินหู่ก็เปล่งเสียงร้องอย่างอดไม่ไหว 


 


 


ก่อนที่หมัดของเหวินเปียวจะมาถึงตัวเอง เมิ่งเชี่ยนโยวที่รูปร่างเตี้ย หงายตัวนอนไปกับพื้น ถีบใส่หัวเข่าเหวินเปียวเต็มแรง 


 


 


เหวินเปียวเจ็บปวด เกือบจะคุกเข่าไปบนพื้น 


 


 


เหวินหู่ร้องชม “แม่นางออกอาวุธได้งดงามนัก” 


 


 


เหวินเปียวไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะหลบกำปั้นของตัวเองได้ ยังถีบใส่ขาตัวเอง พลันเก็บคืนความรู้สึกดูแคลน รวบรวมสมาธิประลองกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างแน่วแน่ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อ่อนข้อให้ ทั้งสองออกอาวุธกันไปมาหลายกระบวนท่า เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้เจอคู่ปรับฝีมือระดับนี้มานานแล้ว ยิ่งสู้ก็ยิ่งฮึกเหิม ส่วนเหวินเปียวกลับยิ่งสู้ก็ยิ่งตื่นตะลึง 


 


 


เหวินหู่ก็ตกใจไม่แพ้กันตนเองและบรรดาพี่น้องฝึกวรยุทธ์ด้วยกันมาแต่เด็ก แม้จะไม่ใช่ยอดฝีมือชั้นเซียน แต่คนที่วรยุทธ์ไม่สูงน้อยคนที่จะรับมือกับพวกเขาได้เกินสิบกระบวนท่า แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับออกอาวุธกันไปมากับพี่ใหญ่หลายสิบกระบวนท่าแล้ว ไม่เพียงไม่มีทีท่าจะพ่ายแพ้ กลับยิ่งสู้ก็ยิ่งคล่องมือ หากไม่เพราะพี่ใหญ่ได้เปรียบที่มีร่างกายกำยำล่ำสัน ไม่แน่ว่าจะพ่ายแพ้ให้เมิ่งเชี่ยนโยวแล้วก็ได้ 


 


 


พวกเมิ่งเสียนเฝ้าดูอยู่ด้านข้างเลือดในกายพลุ่งพล่าน คอยส่งเสียงให้กำลังใจเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขาด 


 


 


ผ่านไปอีกสิบกว่ากระบวนท่า เมิ่งเชี่ยนโยวเล็งเป้าหมายช่องโหว่หนึ่ง ลอยตัวมาด้านหลังเหวินเปียว ถีบใส่แผ่นหลังเขาอย่างจัง 


 


 


เหวินเปียวเซถลาไปด้านหน้าสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว หลังจากหยุดฝีเท้าได้ หันกลับไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นาง ข้าแพ้แล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “เจ้าไม่ต้องถ่อมตน หากไม่เพราะเจ้าออมมือ ตอนนี้ข้าคงจะไปนอนฟุบกับพื้นลุกไม่ขึ้นไปนานแล้ว” 


 


 


เหวินปียวพูดด้วยใจจริง “แม่นางพูดผิดแล้ว ข้าใช้พละกำลังทั้งหมดแล้ว จนใจที่แม่นางปราดเปรียวคล่องแคล่ว ข้าออกอาวุธไม่โดนเลย เลื่อมใสแม่นางยิ่งนัก” 


 


 


เหวินหู่ก็พูดสมทบ “แม่นาง พี่ใหญ่ข้าใช้พละกำลังที่มีทั้งหมดแล้วจริงๆ แต่เพราะแม่นางฝีมือล้ำเลิศ พี่ใหญ่ข้าถึงเอาชนะไม่ได้” 


 


 


เมิ่งเสียนและคนอื่นๆ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวประลองกับเหวินเปียวหลายกระบวนท่า ก็ให้คลั่นเนื้อคลั่นตัว อยากจะประลองกับพวกเขาบ้าง มองมาที่เมิ่งเชี่ยนโยวตาปริบๆ พูดรบเร้า “น้องสาว พวกเราก็อยากประลองกับพวกเขาบ้าง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเหวินหู่ “เจ้าไปประลองกับพวกเขาทั้งสามคนหน่อยเถอะ อย่าลงมือหนักจนทำพวกเขาบาดเจ็บ” 


 


 


เหวินหู่รับคำ เดินขึ้นหน้าสองสามก้าว พูดกับทั้งสามอย่างอ่อนน้อม “นายน้อยเชิญ” 


 


 


เมิ่งเสียนเมิ่งฉีและเมิ่งอี้เซวียนหันหน้ามองกัน ตรงเข้าจู่โจมพร้อมกัน ไม่ถึงห้ากระบวนท่า ทั้งหมดก็ถูกเหวินหู่ซัดหมอบไปกับพื้น 


 


 


คนทั้งหมดไม่ยอมแพ้ ต่างประคองกายลุกขึ้นตรงเข้าต่อสู้พร้อมกัน ครั้งนี้เร็วกว่าเดิม เพียงสามกระบวนท่า ก็ฟุบหมอบไปกับพื้น 


 


 


เมิ่งเสียนลุกขึ้นคิดจะสู้ต่อ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยับยั้งเขา “พี่ใหญ่ ไม่ต้องสู้แล้ว พวกท่านไม่ไหว” 


 


 


เมิ่งเสียนชะงักฝีเท้า เมิ่งฉีและเมิ่งอี้เซวียนก็ลุกขึ้นยืน 


 


 


ทั้งสามมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างขุ่นมัว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ปกติให้พวกท่านฝึกมากๆ พวกท่านไม่ฟัง ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าตัวเองอ่อนด้อยเพียงใด หากไม่เพราะเหวินหู่ออมมือให้ ไม่แน่ว่าด้วยฝีมือของเขาแค่สองกระบวนท่าพวกท่านก็ไม่รอดแล้ว” 


 


 


ทั้งสามก้มหน้าละอาย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวออกคำสั่ง “นับแต่วันพรุ่งนี้ไป ทุกวันตอนเช้าให้พวกท่านตื่นเช้าขึ้นอีกหนึ่งชั่วยาม มาฝึกวรยุทธ์กับเหวินหู่” 


 


 


คนทั้งหมดยังไม่ทันขานรับคำ ซุนเหลียงไฉก็ร้องโอดครวญ “ยังต้องตื่นเช้ากว่านี้ ยังจะให้พวกเรามีชีวิตอยู่หรือไม่?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่งพูดว่า “ไม่อยากตื่นเช้าก็ได้ ขอเพียงวันนี้เจ้าเอาชนะเหวินหู่ได้ นับแต่พรุ่งนี้ไปเจ้าอยากนอนตื่นกี่โมงก็ตื่นกี่โมง” 


 


 


ซุนเหลียงไฉไม่พอใจ “เจ้ารู้แก่ใจว่าข้าไม่รู้วรยุทธ์ ยังจะให้ข้าไปสู้กับเขา เจ้าจงใจแกล้งข้าชัดๆ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าตั้งใจแกล้งเจ้า เจ้าจะทำอะไรได้?” 


 


 


ซุนเหลียงไฉสะอึกกึก 


 


 


เมิ่งเจี๋ยเมิ่งชิงปิดปากแอบหัวเราะ 


 


 


เมิ่งเสียนและคนที่เหลือขานรับคำอย่างสุขใจ 


 


 


ยี่สิบกว่าวันต่อมา เมิ่งเสียนและคนที่เหลือทุ่มเทกำลังฝึกวรยุทธ์กับเหวินหู่อย่างเต็มที่ มีเพียงซุนเหลียงไฉที่ชอบแอบอู้ ไม่ระวังถูกเมิ่งเชี่ยนโยวจับได้ ก็ถูกนางลงโทษให้วิ่งรอบท่อนไม้ยี่สิบรอบ 


 


 


ซุนเหลียงไฉเหนื่อยจนขาสั่นไปหลายวัน นับแต่นั้นมา ก็ไม่กล้าแอบอู้อีก 


 


 


นอกจากการไปหมู่บ้านหลี่เป็นประจำดูการแผ้วถางภูเขาร้างเป็นอย่างไรบ้างแล้ว เวลาอื่นเมิ่งเชี่ยนโยวจะคลุกอยู่แต่ในห้องค้นคว้าตัวยาลบรอยแผลเป็น แม้แต่เรื่องสร้างบ้านก็น้อยครั้งที่จะถามถึง มีเพียงในตอนที่ทุกคนเริ่มไปไม่ถูก ถึงจะเข้าไปให้คำแนะนำ 


 


 


เหมิ่งเหรินไม่ออกมาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนเลย มีแต่เหมิ่งอี้ ที่พอเมิ่งเหรินหายดี ก็มาที่ก่อสร้างเรือนหลังใหม่ทุกวัน ทำงานที่มีความสามารถพอจะทำได้ 


 


 


อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นแล้ว วันที่จะปิดโรงงานกุนเชียงก็มาถึง 


 


 


ช่วงเช้าของวันสุดท้าย เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนคำนวณเงินค่าแรงของคนงานเสร็จแต่เนิ่นๆ ตระเตรียมเงินครบถ้วน หลังจากปิดโรงงานตอนบ่ายจะนำมาจ่ายเป็นค่าแรงให้คนงาน 


 


 


มาถึงยามบ่าย คนงานต่างทำกุนเชียงเสร็จแล้ว หลังจากนำไปผึ่งลม ก็มายืนเข้าแถวรอที่หน้าประตูใหญ่ 


 


 


เหวินหู่แบกโต๊ะตัวหนึ่งออกมา เหวินเปียวยก**บบรรจุเงินออกมา วางลงบนโต๊ะ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมา ยิ้มพูดกับทุกคน “วันนี้โรงงานของพวกเราจะปิดตัวลงแล้ว พวกเราคำนวณเงินค่าแรงของทุกคนเรียบร้อยแล้ว อีกประเดี๋ยวพอทุกคนได้รับเงิน จะได้กลับบ้านไปพักผ่อนหลายวัน” 


 


 


มีคนงานพูดเสียงดัง “นายหญิง พวกเราไม่อยากพักผ่อน อยากทำแต่งาน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เรื่องงานไม่มีปัญหา อีกไม่กี่วันก็ยังจะมีอีก พวกท่านกลับไปพักผ่อนสองสามวัน พอข้าเปิดรับสมัครจะไปเรียกพวกท่านมา” 


 


 


คนงานได้ฟังก็ยินดีปรีดา ต่างทยอยถาม “นายหญิง ยังมีงานให้พวกเราทำจริงๆ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าตอบ “ย่อมมีแน่นอน ข้าเคยหลอกพวกท่านเมื่อไร งานในครั้งนี้ไม่เพียงพวกท่านทำได้ แม้แต่คนในครอบครัวพวกท่านก็ช่วยกันทำได้” 


 


 


คนงานได้ยินยิ่งดีใจ ซักถามไม่หยุดว่าเป็นงานอะไร 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเพียงว่า “ถึงตอนนั้นพวกท่านก็รู้เอง” แล้วไม่อธิบายต่อ 


 


 


ขอเพียงมีงานทำ ได้รับค่าตอบแทน งานอะไรพวกคนงานต่างก็ยินดีทำ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดให้ละเอียด ก็ไม่ถามเพิ่ม เรียงลำดับกันเข้ามารับเงิน 


 


 


ครั้งนี้เมิ่งเสียนเป็นคนลงบัญชี เมิ่งฉีเป็นคนจ่ายเงิน ความเร็วไม่ช้ามาก ก่อนฟ้ามืดนอกจากเงินค่าแรงของพวกอู๋ต้าห้าคนและพวกจางมู่อีกห้าคน คนที่เหลือได้รับจ่ายครบทุกคน 


 


 


พวกคนงานแยกย้าย เหลือเพียงคนสิบคนที่ยืนร้อนรนกระสับกระส่าย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวให้พวกอู๋ต้าทั้งห้าคนเข้ามารับเงินค่าแรง หลังรับเงินก็บอกพวกเขาว่า “ให้พวกเจ้าลาพักกลับบ้านได้สามวัน หลังจากสามวันให้กลับมาทำงานแต่เช้า ถ้ากลับมาช้า ระวังข้าจะลงโทษสถานหนัก” 


 


 


พวกอู๋ต้าทั้งห้าคนแม้ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาจะมีชีวิตเหนื่อยล้าแทบทุกวัน แต่จิตใจสงบสุข ทั้งไม่ต้องเป็นกังวลจะมีใครมาล้างแค้น ยิ่งไม่ต้องพะวงคนในครอบครัวจะต้องถูกใครรังแกเพราะตัวเอง กำลังเป็นกังวลว่าพอโรงงานปิด ตัวเองไม่มีงานทำ เมิ่งเชี่ยนโยวจะไล่พวกเขาไปหรือไม่ ตอนนี้ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ต่างก็ดีใจเริงร่า พูดพร่ำไม่หยุด “ไม่มีทาง แม่นาง พวกเราจะต้องมาตรงตามเวลา” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ ทั้งห้าคนถือเงินค่าแรงเดินกอดกันไปอย่างมีความสุข 


 


 


พวกจางมู่ห้าคนมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับคนทั้งห้า “ข้าก็ให้พวกเจ้าลาพักสามวัน กลับไปอยู่พร้อมหน้าคนในครอบครัว สำหรับเงินค่าแรงของพวกเจ้า พรุ่งนี้ข้าจะให้คนส่งไปให้พวกเจ้าแต่ละบ้าน” 


 


 


พวกจางมู่ห้าคนก็ดีอกดีใจ กล่าวขอบคุณแล้วจากไป 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเหวินเปียวและเหวินหู่ “พรุ่งนี้พอกลับมาจากในเมือง พวกเจ้านำเงินค่าแรงของพวกเขาห้าคนส่งไปให้พวกเขาแต่ละบ้าน หากเกิดเหตุอะไรขึ้น ให้กลับมาบอกข้า” 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)