คัมภีร์วิถีเซียน 1621-1622
ตอนที่ 1621 แผนการต่างๆ ปรากฏ
แต่เมื่อเงามีดร่อนลงมา หลังจากปิดผนึกแล้ว กลางอากาศทั้งนั้นก็ยังคงว่างเปล่า ไม่มีความผิดปกติเลยสักนิด
บุรุษแซ่กุยเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา หลังจากที่แววตาฉายแววฉงนออกมาสองครา แต่เมื่อขบคิดอย่างละเอียด สุดท้ายก็แค่นเสียงหึด้วยความเย็นชาผ่านทางจมูก มือหนึ่งกวักไปกลางอากาศที่ไกลออกไป
มีดบินเล่มนั้นกลายเป็นลำแสงสีเงินสายหนึ่งพุ่งกลับมา หลังจากสว่างวาบ ก็จมหายไปในแขนเสื้อของเขาอย่างไร้ร่องรอย
จากนั้นบุรุษก็กลายเป็นลำแสงโลหิตโดยไม่ปริปาก กลายเป็นสายรุ้งสีโลหิตสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศไป
ชั่วพริบตาที่นี่ก็เงียบสงัด นอกจากสายลมอ่อนที่พัดโชยมาแล้ว ก็ไม่มีสุ้มเสียงใดอีก
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหารเต็มๆ กลางอากาศพลันมีลำแสงสีเงินอ่อนสว่างวาบ เงาร่างคนขนาดจิ๋วปรากฏกายขึ้น
คนผู้นี้มีหูเรียวแหลม ใบหน้างดงาม นั่นก็คือมารอสูรร่างมนุษย์ที่มีนามว่า ‘จิ่วเยี่ย’
นางจ้องเขม็งไปยังจุดที่บุรุษแซ่กุยหายวับไป คิ้วดำขลับขมวดมุ่น หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้เอ่ยพึมพำกับตนเองว่า
“คนผู้นี้คือใคร แม้ว่าจะไม่ใช่ผู้ที่สังหารนายน้อย แต่ก็มีความสามารถมากจริงๆ หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้าใช้เคล็ดวิชาลับ นำกลิ่นอายไปไว้ที่อื่นแล้ว เกรงว่าคงไม่อาจหลบซ่อนจากหูตาคนผู้นี้ได้ ไม่ได้แล้ว ผู้ที่มาจากภายนอกเหล่านี้ล้วนจัดการยาก ไม่ใช่สิ่งที่ข้าเพียงคนเดียวจะจัดการได้ ต้องขอกำลังเสริม”
เอ่ยจบหญิงสาวก็ใช้มือหนึ่งตะปบไปที่หางทันที คาดไม่ถึงว่าดึงขนปุกปุยออกมา ปากก็บริกรรมคาถา จากนั้นก็ชูขึ้นอีกครั้ง
ชั่วขณะนั้นขนเหล่านั้นก็เปล่งเสียง “ฟิ้ว” กลายเป็นลำแสงสีเงินบางๆ จำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งแหวกอากาศไป
หลังจากลำแสงสีเงินกะพริบวาบ พวกมันก็สลายหายไปที่ขอบฟ้า
หลังจากที่หญิงสาวผู้นี้เห็นฉากนี้ ถึงได้มีสีหน้าผ่อนคลายลง แล้วมองไปยังเทือกเขาที่หานลี่และบุรุษแซ่กุยหายไป หลังจากลังเลเล็กน้อย ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่ง
นางใช้มือหนึ่งร่ายอาคม ร่างกายรางเลือนไปอีกครั้งท่ามกลางลำแสงสีเงิน สุดท้ายก็หายวับไป
……
หานลี่ตามวิหคควันมารตัวนั้นไป เดินอยู่ท่ามกลางหมอกหนาสีดำอย่างเชื่องช้า
แม้ว่าบางครั้งวิหคตัวนี้จะเปล่งเสียงร้องต่ำๆ อย่างร้อนใจออกมา ดูเหมือนว่าจะรบเร้าเขา
แต่หานลี่ก็แสร้งทำเป็นไม่เห็น ยังคงมีสีหน้าเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นท่าทางของเขา วิหคควันมารก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงทำได้เพียงลดระดับความเร็วลง ค่อยๆ นำทางเขาไปข้างหน้าอย่างแช่มช้า
แม้ว่าไอมารรอบด้านจะหนาแน่น ยื่นมือออกไปไม่เห็นนิ้วทั้งห้า ให้ความรู้สึกน่ากลัวราวกับอยู่ในน้ำพุใต้ธรณี
แต่ร่างของเขาพลันมีลำแสงสีทองเปล่งแสงระยิบระยับไม่หยุด แววตามีลำแสงสีฟ้าสว่างวาบ สถานการณ์รอบด้านเข้ามาสู่ครรลองสายตาอย่างชัดเจน
ยามนี้เขาอยู่ในทางเดินยักษ์สี่เหลี่ยม
ทางเดินนี้มีความกว้างประมาณสิบจั้งเศษ และยิ่งไปกว่านั้นกำแพงทั้งสี่ด้านของทางเดินยังสร้างขึ้นจากศิลาสีดำสนิทที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ส่วนไอมารหนาแน่นในทางเดินนั้น ก็ทะลักออกมาจากศิลาเหล่านั้นไม่หยุด
นี่จึงทำให้หานลี่รู้สึกประหลาดใจอยู่หลายส่วน
หากไม่ใช่เพราะหวาดกลัวกำแพงหินเหล่านี้จะมีเขตอาคมต้องห้ามอะไรที่ไม่รู้จัก แม้กระทั่งตอนที่เขาเข้ามาในทางเดิน ก็ยังอยากจะเคาะศิลาสีดำเหล่านี้สักหน่อย เพื่อพิจารณาอย่างละเอียด
ทางเดินสายนี้ไม่ได้มีเพียงสายเดียว แต่เป็นทางเดินที่ตัดสลับกันไปมา ราวกับกับเป็นค่ายกลทั่วเนินเขา และยิ่งไปกว่านั้นยิ่งเดินตรงไปก็ยิ่งลึกลงไปใต้ดินมากขึ้นเรื่อยๆ
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป!
ตอนแรกที่วิหคควันมารเข้ามาแล้วออกไป มันใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งมื้ออาหารเท่านั้น
ส่วนหานลี่เดินอยู่นานแล้ว ก็ยังคงมองไม่เห็นปลายทาง
นี่จึงทำให้เขาเหลือบตามองวิหคตัวนั้น แล้วค่อยๆ เย็นชาขึ้น
ดูเหมือนว่าวิหคควันมารจะสัมผัสได้ถึงแววตาที่ไม่เป็นมิตรทางด้านหลัง เมื่อพาเดินผ่านทางเดินที่ตัดสลับกันไปอีกสองสามครั้ง เมื่อหานลี่ขบคิดว่าตนเองควรหยุดฝีเท้าหรือไม่
ฉับพลันนั้นวิหคควันมาด้านหน้าก็หมุนวน ไม่ตรงไปข้างหน้าอีก
หานลี่ใจเต้น จ้องเขม็งมองไปด้านนั้น
เห็นเพียงไอมารด้านหน้าดูเหมือนจะเบาบางลงเป็นอย่างมาก มีทางออกยักษ์ที่มีลำแสงสีขาวอยู่ลางๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้า
หานลี่มีสีหน้าผ่อนคลายลง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ฉับพลันนั้นมือหนึ่งก็กวักเรียกวิหคควันมาร
เป็นเพราะวิหคตัวนี้มีจิตสัมผัสของหญิงสาวนามว่าเซียนเซียนสิงอยู่ แน่นอนว่าย่อมมีสติปัญญา เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ มันจึงกะพริบตาทั้งสองข้าง เผยสีหน้าฉงนออกมา แต่หลังจากลังเลเล็กน้อย ก็ยังคงบินมาหาหานลี่อย่างเชื่อฟัง
แต่เมื่อวิหคตัวนี้บินมาเหนือศีรษะของหานลี่ ยังไม่ทันได้หมุนวนโคจรรอบหนึ่ง แขนเสื้อข้างหนึ่งก็สะบัดไปกลางอากาศ
ม่านลำแสงสีเทาเปล่งแสงสว่างวาบพุ่งออกมา แค่กะพริบวาบก็ม้วนเอาวิหคน้อยสีดำที่ไม่ทันได้ป้องกันตัวเข้าไปข้างใน
วิหคควันมารตกตะลึง ไม่แม้กระทั่งอ้าปากคิดจะเอ่ยอะไรออกมา
แต่ม่านลำแสงพลันหมุนวนติ้วๆ อยู่รอบวิหคตัวนั้น ไม่มีสุรเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาจากลำแสงเทวะดูดปราณ
และในยามนั้นเองหานลี่ถึงได้ชี้ไปกลางอากาศด้วยสีหน้าราบเรียบเป็นอย่างยิ่ง
เห็นเพียงปลายนิ้วมีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ อักขระสีเขียวตัวหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วโจมตีไปยังร่างของวิหคควันมารที่ไม่อาจขยับตัวได้
ร่างของวิหคตัวนี้มีลำแสงสีเขียวหมุนวนโคจรไปมา ชั่วพริบตาก็สลายหายไปท่ามกลางม่านลำแสงสีเทา
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หานลี่ถึงได้ปรบมือทั้งสองข้างเบาๆ มุมปากเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา
ทว่าครู่ต่อมาหลังจากที่สายตาของเขาเลื่อนไปที่ทางออกจากทางเดินตรงหน้า ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน
เขาหรี่ตาทั้งสองข้างลงฉับพลันนั้นพลันอ้าปากออก ชั่วขณะนั้นเปลวเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งพลันบินออกมา แต่เมื่อเปล่งแสงสว่างวาบก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อทั้งสอง กระบี่เล่มเล็กสีทองเจ็ดสิบสองเล่มพุ่งออกมาอย่างเงียบเชียบ
ภายใต้การกระตุ้นด้วยคาถาอาคมอย่างไร้เสียงของหานลี่ กระบี่บินเหล่านี้พลันหมุนวนกลายเป็นดอกบัวสีเขียวเรียงตัวเต็มทางเดิน แต่ทันใดนั้นพลันกะพริบวาบ แล้วทยอยกันสลายหายไปราวกับฟองอากาศ
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หานลี่พลันครุ่นคิด พลิกฝ่ามืออีกข้างหนึ่ง ยันต์วิเศษสีเงินสองแผ่นพุ่งออกมาจากพื้นดิน ระหว่างทางพลันเปล่งแสงเจิดจ้า กลายเป็นเงาสีทองอ่อนสองสายจมหายเข้าไปใต้ดิน
นั่นก็คือยันต์เกราะเอกสองแผ่น
เพราะว่าต้องต่อกรกับมารอสูรระดับผสานอินทรีย์ตนหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใช่ตัวที่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้น ดังนั้นแม้ว่าร่างของอสูรตนนี้จะได้รับบาดเจ็บหนัก แน่นอนว่าหานลี่ก็ยังไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
เพื่อการเดินทางครั้งนี้เขาจึงเขียนยันต์วิเศษลูกอ๊อดสีเงินขึ้น
แม้ว่าวัตถุดิบที่ใช้เขียนยันต์เหล่านี้จะล้ำค่าเป็นอย่างมาก แต่ในเมืองใหญ่ๆ อย่างเมืองเมฆา ขอแค่มีศิลาวิญญาณ แน่นอนว่าย่อมต้องรวบรวมได้ครบอีกครั้งแน่
เมื่อเตรียมการทุกอย่างเสร็จสิ้น แววตาของหานลี่ถึงได้ฉายแววเย็นเยียบ ขยับมือข้างหนึ่ง แปะยันต์วิเศษสีม่วงแผ่นหนึ่งลงบนร่าง
ชั่วขณะนั้นลำแสงพลันเจิดจ้า หมอกสีม่วงกลุ่มหนึ่งคลี่ขยายออกมา ร่างกายของหานลี่อยู่ท่ามกลางอักขระสีเงิน แล้วหายวับไป
เพื่อความปลอดภัย คาดไม่ถึงว่าเขาจะใช้ยันต์ชำระพิสุทธิ์อีกด้วย
จากนั้นหลังจากที่หานลี่เคลื่อนไหว ร่างที่ล่องหนก็ค่อยๆ ลอยออกจากทางเดิน
คาดไม่ถึงว่าเขาจะมีท่าทีอยากสังหารมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นจริงๆ
……
ด้านนอกภูเขาตรงทางเข้าทางเดิน เมื่อหานลี่ลงมือกักวิหคควันมารเอาไว้ เซียนเซียนก็ร้องอุทานด้วยเสียงต่ำๆ ออกมา ใบหน้าเผยแววประหลาดใจ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เงาลวงตากิเลนสีเขียวพลันตกตะลึง เงยหน้าขึ้นเอ่ยถามด้วยความเคร่งขรึม
“วิหคควันมารของข้าถูกคนผู้นั้นกักเอาไว้” หญิงสาวเผ่าผลึกพ่นลมหายใจออกมา แล้วถึงได้ตอบกลับด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
“อะไรนะ เกิดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร หรือว่าคนผู้นั้นสัมผัสอะไรได้?” เงาลวงตากิเลนแววตาวาวโรจน์พลางเอ่ยถาม
“ไม่น่าจะพบอะไร อาจจะเพราะคนผู้นี้เป็นคนรอบคอบมาโดยตลอด ไม่อยากให้เราจับตาดูเขาตอนที่ตนต่อกรกับมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้น” เซียนเซียนลังเลเล็กน้อย แล้วถึงได้เอ่ยอย่างไม่มั่นใจออกมา
“แต่หากเป็นเช่นนั้น พวกเราก็ยุ่งยากแล้ว ไม่มีทางรู้สถานการณ์ของเขาและมารอสูรตัวนั้น ไม่อาจรู้เวลาที่ดีในการลงมือได้” เงาลวงตากิเลนสะบัดหาง สายตาเคร่งขรึมขึ้น
“แน่นอนว่าข้ารู้อยู่แล้ว! แต่ตอนนี้อย่าไปสนใจเรื่องนี้เลย ไม่ว่าหลังจากที่เขาลงมือกับมารอสูรแล้วสถานการณ์จะเป็นอย่างไร พวกเราก็ต้องรีบลงมือ ต่อให้เขามีอิทธิฤทธิ์มากขนาดไหน คิดจะสังหารมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวหนึ่ง ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะจัดการได้เพียงชั่วครู่ เพียงพอจะให้พวกเราเปิดรังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้” หญิงสาวเผ่าผลึกกัดฟันขณะเอ่ย
“ก็มีเพียงเช่นนี้ พวกเราไปกันเถิด!” เงาลวงตากิเลนเองก็พยักหน้าอย่างไม่ลังเล
เซียนเซียนพลิกฝ่ามือมือหนึ่ง ในมือมีแผ่นป้ายสามเหลี่ยมปรากฏขึ้น
เป็นสีดำสนิท ด้านหนึ่งมีลวดลายกิเลนสีดำสลักอยู่ตัวหนึ่ง อีกด้านกลับเป็นอักขระสีเงินอ่อนสองสามตัว
“น่าเสียดายแผ่นป้ายกิเลนนี่ ข้าใช้เวลาตั้งมาก ถึงจะรวบรวมวัตถุดิบครบแล้วหลอมขึ้นได้ แถมยังล้มเหลวไปตั้งหลายครั้ง” มือหนึ่งลูบไปบนแผ่นป้าย ใบหน้าของเซียนเซียนมีสีหน้าเสียดายปรากฏขึ้น
“ต่อให้เจ้าสิ่งนี้ล้ำค่าแค่ไหน เทียบกับของในรังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้สิ มีเพียงการบดบังของเจ้าสิ่งนี้ เจ้าถึงจะไม่ถูกไอมารในถ้ำกำจัด และเข้าไปในส่วนลึกได้อย่างง่ายดาย และยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังมีเจ้าเด็กแซ่หานผู้นั้นต้านทานมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์แทนเจ้าอีก แม้ว่าอสูรตัวนั้นจะพบความปิดปกติอะไร ก็ไม่อาจยับยั้งการเปิดรังวิญญาณของเจ้าได้” กิเลนเอ่ยอย่างไม่ต้องขบคิด
“แม้จะเป็นเช่นนั้น สิ่งนี้ใช้บดบังกลิ่นอายมันไม่คุ้มค่าไปหน่อย และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นของที่ใช้ได้ครั้งเดียวอีก” เซียนเซียนยังคงหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
กิเลนได้ยินก็ค้อนปะหลับปะเหลือก ยามที่คิดจะเอ่ยอะไรอีกนั้น หญิงสาวเผ่าผลึกกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม โยนแผ่นป้ายในมือขึ้นไปกลางอากาศ
ชั่วพริบตาแผ่นป้ายสีดำก็หมุนคว้างกลางอากาศ พายุระลอกใหญ่พัดเข้ามา เกิดเป็นพายุหมุนสีดำขึ้น
พายุหมุนลูกนี้แปลกประหลาดมาก มันเปล่งเสียงหวีดหวิวพลางพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าไปพลาง มีเสียงคำรามที่ทำให้ผู้คนหวาดผวาดังออกมาจากใจกลางพายุหมุนไปพลาง
มารยักษ์ตัวหนึ่งแอบซ่อนตัวอยู่ในนั้น
เซียนเซียนมีสีหน้าเคร่งขรึม มือหนึ่งร่ายคาถาไม่หยุด มืออีกข้างหนึ่งกลับยกข้อมือขึ้น อ้าปากออก
พ่นกระบี่เล่มเล็กสีเขียวออกมาเล่มหนึ่ง มันสั่นเทาเล็กน้อยแล้วกลายเป็นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งพันรัดข้อมือนาง แล้วเปล่งแสงสว่างวาบบินกลับไปในปากนางอีกครั้ง
ชั่วขณะนั้นโลหิตบริสุทธิ์จำนวนมากพลันพ่นออกมาจากปากแผลที่ข้อมือ!
“ไป” หญิงสาวเผ่าผลึกตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำออกมา
ชั่วพริบตาโลหิตบริสุทธิ์ที่ไหลออกมาพลันแข็งตัว กลายเป็นลูกบอลลำแสงขนาดเท่ากำปั้น พุ่งตรงไปยังพายุหมุนสีดำ
จะว่าไปแล้วก็แปลก หลังจากที่ลูกบอลโลหิตลูกนี้จมหายไปในพายุหมุน เสียงคำรามด้านในไม่เพียงจะหยุดอย่างกะทันหัน พายุสีดำที่ดูเหมือนว่าจะพัดรุนแรงไปรอบด้าน พลันค่อยๆ หดเล็กลง
สุดท้ายพายุหมุนสีดำก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ด้านในกลับมีกิเลนเรือนกายสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกขนาดสองสามจั้งปรากฏขึ้นตัวหนึ่ง
ตอนที่ 1622 ซุ่มโจมตี
ทั่วร่างของกิเลนสาดแสงสว่างวาบออกมา ผิวกายภายนอกดูเลือนรางลง แต่นั่นเป็นเพียงภาพจำแลงเท่านั้น
ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับภาพจำแลงเช่นนี้ หญิงสาวกลับยังสงบนิ่งผิดธรรมดา นางยื่นนิ้วชี้ออกไปกลางอากาศเบาๆ อักขระยันต์สีดำตัวแล้วตัวเล่าก็ปรากฏขึ้นอย่างน่าประหลาด แล้วแทรกซึมหายวับไปในร่างของกิเลนดำอย่างไร้ร่องรอย
ชั่วประเดี๋ยวเดียวกิเลนซึ่งมีแววตาดุดันโหดเ**้ยมในตอนแรกนั้นพลันอ่อนลง ในที่สุดมันก็โผหมอบลง กลายเป็นดวงแสงสีดำส่องพุ่งเข้ามา
เสียงดังขึ้น ‘พรึ่บ’ หนึ่ง หญิงสาวพร้อมกับกิเลนสีครามก็ถูกแสงสีดำโอบคลุมอยู่ภายใน ปกคลุมเอาไว้อย่างแน่นหนา
“หึๆ โชคดีที่ข้ายังจำสถานที่ฝังร่างของกิเลนตัวนี้ในตอนนั้นได้ จึงสามารถใช้กลิ่นอายซากศพที่เหลือจากกระดูกของมัน มาหลอมสมบัตินี้ขึ้น เพราะเจ้าและข้าต่างเป็นครึ่งชีวิตของกันและกัน ร่างกายจึงเต็มไปด้วยกลิ่นอายของกิเลนเช่นกัน มิเช่นนั้นระดับพลังยุทธ์ของเจ้าในตอนนี้ ไม่เพียงแต่ไม่สามารถขับเคลื่อนสมบัตินี้ได้ หนำซ้ำยังจะโดนแว้งกัด” กิเลนสีครามหัวเราะเบาๆ สองที
“เพราะว่าล้ำค่าถึงเพียงนี้ ข้าจึงตัดใจจากสมบัตินี้ไม่ได้ หาไม่แล้ว ด้วยพลังของสมบัติชิ้นนี้อย่างน้อยช่วงเวลาคับขัน ก็พอช่วยชีวิตข้าได้” หญิงสาวเผ่าจิงหัวเราะอย่างขมขื่นขึ้นหนึ่งที
ทว่าเมื่อพูดประโยคนี้จบลง หญิงสาวผู้นี้ก็ไม่ได้ลังเลอะไรอีก ทันทีที่ร่างกายขยับ ท่ามกลางแสงดำที่เพื่อมไหว นางก็จมลับหายไปท่ามกลางไอมาร
ทั้งสองกลับไม่รู้ว่าเมื่อพวกเขาจมหายไปในไอมารได้ไม่นาน จู่ๆ ก็มีศิลาภูเขาขนาดเท่ากำปั้นสีขาวเทาก้อนหนึ่งลอยพุ่งมาจากบริเวณเชิงเขาที่อยู่ใกล้ๆ
ศิลานั้นแม้ว่าจะไม่ใหญ่ แต่ก็กลิ้งหมุนเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นผิวภายนอกก็แตกร้าวเป็นเสี่ยงๆ เป็นแมลงเกราะสีทองสุกสกาวตัวหนึ่ง
เพียงเสี้ยววินาทีเดียว ก็บินเข้าไปในทางผ่านไอมารอย่างไร้วี่แวว
เวลาเดียวกันนั้นเอง หานลี่ก็เดินออกมาจากทางผ่านไอมาร แล้วปรากฏตัวเงียบๆ อยู่ทางเข้าห้องโถงใหญ่แห่งหนึ่ง จ้องนิ่งเข้าไปด้านในพลางครุ่นคิด
ห้องโถงเป็นรูปวงกลม โอ่โถงใหญ่โตไร้ที่เปรียบ เพียงเส้นผ่าศูนย์กลางก็ยาวนับร้อยกว่าจั้งแล้ว
บริเวณกลางห้องโถง กลับมีเขตอาคมคมสีทองใหญ่สามสิบกว่าจั้ง ทั้งสี่ด้านมีเสาหินสีดำทะมึนสูงหลายจั้งตั้งตระหง่านอยู่สิบสองเสา บนนั้นมีลวดลายของปีศาจใบหน้าเขียวปัดเขี้ยวโง้งยาว ดูโหดเ**้ยมผิดธรรมดาจำนวนหนึ่งสลักเอาไว้อยู่
ไอมารสีดำที่แผ่ออกมาจากภาพสลักเหล่านั้น ลอยเอื่อยตรงไปยังส่วนกลางของเขตอาคมอย่างพร้อมเพรียง
และส่วนกลางของเขตอาคมนี้ ยังมีเตียงขนาดใหญ่สีแดงเลือดหลังหนึ่ง ด้านบนมีวานรยักษ์สีดำตัวสูงหลายจั้งนอนอยู่ร่างหนึ่ง
เขี้ยวโง้งยาวของวานรเผยออกมา แขนขายาวเหยียด บนศีรษะมีเขาสัตว์ประหลาดยาวเสียดฟ้าสามอัน ส่องประกายสีเหลืองระยิบระยับ
บนทรวงอกมีรอยแผลฟกช้ำจนเป็นสีม่วงรอยหนึ่ง ใหญ่ประมาณศีรษะของมนุษย์ปกติ จนถึงกับสามารถมองเห็นกระดูกซี่โครงหลายซี่และหัวใจสีดำสนิทที่กำลังเต้นอยู่ไม่หยุดได้อย่างชัดเจน
ที่น่าแปลกใจก็คือ ดวงตาทั้งสองของวานรยักษ์นั้นหลับสนิท ผิวกายภายใต้แสงสีดำที่กะพริบไหว ดูดซับเอาไอมารที่ลอยมาจากโดยรอบทั้งสี่ด้านเข้าสู่ในกายไว้จนสิ้น
และเตียงขนาดใหญ่สีแดงเลือดที่อยู่ใต้ร่างนั้น ก็มีไอหมอกโลหิตบางๆ ลอยม้วนอยู่ชั้นหนึ่ง และพรั่งพรูเข้าสู่กลางกายวานรยักษ์ไม่ขาดสาย
หานลี่ยืนอยู่ประตูทางเข้า มองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องโถงนั้นอย่างเยือกเย็น ไม่มีทีท่าว่าจะคิดลงมือทำอะไรแม้แต่น้อย
เขาในเวลานี้ ร่างกายอยู่ในสภาวะรางเลือนเต็มที่ ต่อให้มีคนเข้าใกล็ในระยะประชิด ก็ยากที่จะสังเกตได้ถึงการมีอยู่ของเขา
ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับการมีตัวตนในสภาพครึ่งๆ กลางๆ หานลี่ก็ยังคงไม่อาจแน่ใจว่ายันต์หายตัวจะสามารถอำพรางได้มิดชิดจริง
ด้วยเหตุนี้หานลี่จึงยังรักษาระยะห่างโดยไม่ขยับแม้เพียงนิด คอยสังเกตทุกอย่างอยู่เงียบๆ
แต่ในขณะที่แมลงเกราะที่อยู่ภายนอกถ้ำพำนักบินเข้ามาจากเชิงเขา สายตาหานลี่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าหลังจากแววเยือกเย็นปรากฏขึ้นกลางสายตาปลาบหนึ่งแล้ว ก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
ตอนแรกก่อนที่จะเข้ามายังที่แห่งนี้ เพื่อที่จะป้องกันเหตุไม่คาดฝัน จึงบังเอิญทิ้งแมลงกลืนทองเอาไว้ตัวหนึ่งด้านอกพอดี
ตอนแรกเจ้าแมลงตัวนี้ยังมีเสี้ยวความคิดของเขาอยู่ ครั้นเมื่อได้กลืนแท่นศิลาประหลาดเก่าแก่เข้าไป ก็เกิดการกลายพันธุ์ขึ้นมา
จะว่าไป แมลงกลืนทองกลายพันธุ์เหล่านี้ตั้งแต่แรกก็พบว่าร่างกายเริ่มแข็งแกร่งขึ้น หลังเกิดการเปลี่ยนจำนวน ด้วยการศึกษาค้นคว้ามาแรมปี หานลี่ก็ยังพบอีกว่าแมลงวิญญาณกลายพันธุ์เหล่านี้ได้มีความสามารถอันประหลาดอย่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
นั่นคือการกลั้นหายใจกลายเป็นหิน
พรสวรรค์ประหลาดเช่นนี้ คือสิ่งที่หานลี่ค้นพบโดยไม่ได้ตั้งใจในครั้งหนึ่งระหว่างที่กำลังบำเพ็ญเพียรฝึกควบคุมจิตใจตน
แมลงกลืนทองเหล่านี้ตอนที่ยังไม่ได้มุดเข้าสู่ดินหิน ก็สามารถแผ่กระแสพลังวิญาณธาตุดินอันแรงกล้าออกมาจากภายในกาย สามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งกับซากที่กลายสภาพเป็นหินใกล้ๆ นั้นได้อย่างลงตัว
เมื่อเป็นเช่นนี้ เว้นเสียแต่ผู้ซึ่งรู้แน่แก่ใจว่ามีแมลงนี้ซ่อนกายอยู่ยังที่แห่งนี้ หรือไม่ก็ผู้ซึ่งครอบครองตาทิพย์ที่ได้รับการฝึกบำเพ็ญมาโดยเฉพาะจึงจะมองออกได้โดยตรง มิเช่นนั้นแล้วต่อให้จิตสัมผัสแก่กล้าเพียงใด ขอเพียงเจ้าแมลงนี้เร้นกายอยู่กลางดินหินไม่ปรากฏตัว ก็ไม่อาจสังเกตความผิดปกติได้
และด้วยเหตุนี้เอง หานลี่จึงได้ซึมแทรกเข้ามาส่วนล่างสุดของภูเขาลูกใหญ่ได้อย่างง่ายดาย
แม้เหตุเพราะไอมารขวางกั้น เขาจึงไม่อาจรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของหญิงสาวเผ่าจิงได้อย่างแม่นยำผ่านแมลงกลืนทองได้ตลอดเวลา แต่ด้วยจิตสัมผัสอันเลือนราง ก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่นิ่งกับที่อย่างว่าง่าย แต่มีการลงมือเคลื่อนไหวอะไรบางอย่าง
สำหรับเรื่องนี้ หานลี่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจนัก
หญิงสาวผู้นี้ทีแรกเมื่อได้เอ่ยปากว่าจะใช้วัตถุดิบมารอสูรขั้นศักดิ์สิทธิ์แลกกับการคืนสภาพเกราะมารเหนือฟ้านั่น เขาก็เดาได้ว่าอีกฝ่ายคงมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่แน่ มิเช่นนั้นหญิงสาวผู้นี้คงไม่ใช่ชาวเผ่าจิงธรรมดาคนหนึ่ง วัตถุดิบมารอสูรขั้นศักดิ์สิทธิ์นั้นแม้จะหายาก แต่เมื่อตัดแก่นมารไป คงไม่คุ้มค่าอะไรที่อีกฝ่ายจะทุ่มเทความคิดถึงขั้นนี้ หรือแม้กระทั่งมองข้ามสิ่งล้ำค่าอย่างเกราะมารเหนือฟ้า
ต่อมาเมื่อได้เข้ามายังเทือกเขาหมึกทอง ตลอดทางพวกเขาประสบเหตุการณ์อันตรายหลายต่อหลายครั้ง หญิงสาวกลับไม่ได้เผยท่าทียอมแพ้ออกมาแม้เพียงนิด
ในใจหานลี่จึงมั่นใจขึ้นแปดถึงเก้าส่วน
แต่กับเรื่องนี้ เขาก็ไม่ได้มีแสดงอาการโกรธเกรี้ยวอะออกมา
สำหรับหานลี่ ขอเพียงหญิงสาวผู้นี้ไม่ทำให้เขาเสียประโยชน์ สามารถใช้แก่นมารขั้นศักดิ์สิทธิ์คืนสภาพเกราะมารเหนือฟ้าตามที่บอกไว้แต่แรก แม้ว่านางจะลอบทำอะไรบางอย่าง เขาก็ยังพอที่จะหลับตาข้างหนึ่งได้
แน่นอนหากว่าผลประโยชน์นี้เพียงพอจะทำให้พอใจ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะมีส่วนเข้าไปเกี่ยว
หญิงสาวผู้นี้แม้ว่าจะดูรู้ทันความคิดเขา แต่บำเพ็ญเพียรมาน้อยนิด หานลี่จึงสามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดตลอดเวลาได้อย่างใจ
ตอนนี้ เขายืนอยู่ที่ทางเข้าห้องโถงใหญ่สังเกตการณ์อยู่นานชั่วหนึ่งเหยือกชา ในที่สุดก็แน่ใจ ทั้งห้องโถงใหญ่นอกจากเขตอาคมนั้นและเสาทั้งสิบสองต้นที่อยู่รายรอบสี่ทิศ ก็ไม่ได้มีเขตต้องห้ามใดๆ อีก
และวานรยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าก็ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ยังหลับใหลจมอยู่ในภวังค์
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก่อนที่เรื่องแผนการลับของหญิงสาวเผ่าจิงยังไม่กระจ่าง เขาก็ไม่รังเกียจที่จะเอาแก่นมารขั้นศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เบื้องหน้ามาไว้ก่อนค่อยว่ากันทีหลัง
ขอเพียงไม่ใช้แข็งปะทะแข็ง ซุ่มโจมตี เขาก็สามารถสังหารมารอสูรตัวนี้ได้อย่างง่ายดายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว
หานลี่ครุ่นคิดอยู่ในใจ แววเยือกเย็นฉายผ่านนัยน์ตาปลาบหนึ่ง และแล้วเขาก็ตัดสินใจลงมือ
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที แขนเสื้อทั้งสองขยับไหว
ในมือข้างหนึ่งมีแสงสีน้ำเงินกะพริบ ลูกปัดกลมสีน้ำเงินนับสิบลอยขึ้นกลางฝ่ามือ ในมืออีกข้างกลับปรากฏยันต์หนาๆ ปึกหนึ่งขึ้นมาในทันที
เมื่อเหวี่ยงออกไปด้านหน้า ทั้งสองสิ่งปรากฏขึ้นต่อหน้าหานลี่พร้อมกัน
จากนั้นแสงสีทองบนร่างกายของหานลี่ก็ส่องกะพริบ แล้วก็มีแมลงปีกแข็งสีทองขนาดเท่ากำปั้นสองตัวบินออกมา
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หานลี่ก็ใช้มือข้างหนึ่งสะบัดท่าสงบพลังปราณ ทันใดนั้นร่างกายจากที่ล่องหนอยู่ก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
แม้แต่ในขั้นตอนนี้ เขาก็ยังคงจับจ้องไปยังวานรยักษ์สีดำกลางห้องโถงใหญ่โดยไม่กะพริบตา
วานรตัวนี้นอนอยู่บนเตียงใหญ่สีแดงเลือดโดยไม่ขยับแม้แต่ปลายขน ไม่มีปฏิกิริยาผิดปกติอันใดเลยแม้แต่น้อย
หานลี่คลายสีหน้าลงเล็กน้อย เขาชี้นิ้วไปแตะปึกยันต์ที่อยู่ด้านหน้านั้น
เสี้ยววินาทีเดียวยันต์ปึกนั้นก็ลอยกระจายไปทั่วสารทิศอย่างเงียบเชียบในเวลาเดียวกัน จากนั้นก็ส่องแสงรำไรหนึ่งที แล้วเลือนหายไปเงียบๆ ทั่วสารทิศ
ลูกปัดกลมนับสิบก็ค่อยๆ บินไปยังเสาสีดำเหล่านั้นเช่นกัน
แต่เมื่อลอยไปถึงยังยอดของเสาเหล่านั้น ในขณะที่กำลังเข้าใกล้เขตอาคมขนาดมหึมา ลูกปัดกลมสีน้ำเงินเหล่านั้นกับหยุดนิ่ง ลอยเคว้งอยู่ที่เสาแต่ละต้นสูงหลายจั้ง ไม่ขยับเคลื่อนไหว
แมลงกลืนทองสองตัว ในขณะที่จิตสัมผัสของเขาเคลื่อนขยับ ก็ชำแรกแทรกกายอยู่ยังที่ซึ่งห่างจากเขตอาคมนั้นไปไม่เกินสิบจั้ง ลอยคว้างกลางอากาศจับตามองอย่างดุดัน
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จ ก็ชำเลืองมองวานรมารปราดหนึ่ง เมื่อเห็นมันยังคงสงบนิ่ง มืออีกข้างก็ออกท่าทางชี้พุ่งไปยังมุมหนึ่งของโถงใหญ่
ชั่วพริบตาเดียว วิหคเพลิงสีเงินตัวหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นมายังที่ซึ่งไกลออกไปอย่างน่าฉงน ปีกทั้งคู่กระพือโบก แล้วหายวับไปทันตา
วินาที่ถัดมา ส่วนยอดห้องโถงใหญ่ที่อยู่เหนือเขตอาคมยักษ์นั้น วิหคเพลิงก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ ลอยนิ่งกลางอากาศไม่ไหวติง
หานลี่สีหน้าเคร่งขรึมผิดปกติ แต่ในใจยังคงร่ายอาคมอย่างเด็ดเดี่ยว
วิหคเพลิงสีเงินอ้าปากกลางเวหา พ่นเส้นไหมสีทองเงินเส้นหนึ่งออกมา
นั่นคือคลื่นลำแสงภยันตราย
เส้นไหมสีทองเงินนั้นรวดเร็วไร้ที่เปรียบ
ประหนึ่งว่าทันทีที่คลายออกจากฝั่งนี้ ก็ไปถึงยังเขตอาคมฝั่งนั้นโดยทันที
เขตอาคมยักษ์นั้นตั้งอยู่ตรงนั้นโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ตามคาด
กลางห้องโถงใหญ่เสียงดึงขึ้น ‘หวึ่ง’ ทันใดนั้นแสงครอบสีเลือดชั้นหนึ่งก็ขึ้นกลางอากาศเหนือเขตอาคม ปกคลุมวานรยักษ์ที่อยู่ด้านล่างเอาไว้อย่างแนบสนิทมิดชิด
แต่เส้นไหมสีทองเงินทันทีที่สัมผัสกับครอบแสง ก็แทงทะลุเข้าไปอย่างงายดายราวกลับไม่มีสิ่งขวางกั้น ส่องประกายกะพริบวาบหนึ่ง แล้วก็ปรากฏบนศีรษะวานรยักษ์อย่างน่าประหลาดใจ
ส่องแสงวาบหนึ่งแล้วหายไป คลื่นลำแสงภยันตรายมุดทะลุเข้าไปในศีรษะอันใหญ่โตนั้นโดยตรง
เมื่อได้เห็นภาพความสำเร็จในหมัดเดียว หานลี่ที่อยู่ห่างออกไปจากที่นั่นก็กลั้นใจเอาไว้ชั่วครู่
เสียงดังขึ้น ‘ตึง’
บนร่างที่แทบจะว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งใดของวานรยักษ์ในตอนแรก ก็ถูกปกคลุมไปด้วยเกราะรบสีม่วงอย่างแน่นหนาชั้นหนึ่งขึ้นมาทันที
เส้นไหมสีทองเงินกระทบเกราะบนใบหน้าไร้ความกลัวของวานรยักษ์ ถูกทำให้สะท้อนกลับ
เกิดเสียงประหลาดดังขึ้นเหมือนกับโลหะกระทบกัน
หานลี่ที่อยู่ห่างออกไปเห็นดังนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นการใหญ่ ปรากฏกายทันทีอย่างไม่ลังเล แสงสีทองบนกายกะพริบสว่าง พระพุทธรูปสามเศียรหกหัตถ์สีทองปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ
เขาในขณะท่องคาถาเงียบๆ ในใจ เศียรทั้งสองจากสามเศียร เบิกตาทั้งคู่ขึ้น เผยให้เห็นแววตาอันเคร่งขรึม หัตถ์ทั้งหกโบกไปกลางอากาศ แล้วก็ประกบเข้าหากัน
กลางหัตถ์ใหญ่ที่ส่องประกายสุกสกาวมีแสงวาวสีสันต่างๆ กะพริบวาบ แล้วมีกระบี่ยักษ์สามเล่มปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง
กระบี่ทั้งสามรูปร่างดูโบราณเรียบง่าย บนผิวภายนอกมีอักขระยันต์ไหลวนส่องกะพริบ ทว่าสีของแต่ละเล่มนั้นไม่เหมือนกัน
เล่มหนึ่งบางราวกับแผ่นกระดาษ ส่องประกายสีทอง ด้ามหนึ่งตัวเล่มแคบยาวเหยียด ส่องประกายสีน้ำเงิน ด้ามสุดท้ายนั้นกลับหนาเตอะไร้คม ดำทะมึนราวกับหมึก
“ฟัน”
หานลี่ใช้เสียงที่เบาจนแทบฟังไม่ได้ยิน พูดออกมาอย่างเคร่งขรึม
เวลาเดียวกันนั้นมือทั้งสองก็สะบัดร่ายวิชา แล้วชี้ไปยังที่ไกลออกไปนั้นพร้อมกัน
‘พรึ่บ’ ‘พรึ่บ’ ‘พรึ่บ’ ดังขึ้นสามครั้ง
กระบี่แสงสีต่างกันสามเล่มก็ผ่าแหวกออกไป แล้วรวมเป็นหนึ่งในทันใด กลายเป็นลำแสงสามสีดำสายหนึ่งพุ่งยังวานรยักษ์
แทบจะในเวลาเดียวกัน ลูกปัดกลมสีน้ำเงินที่กระจายอยู่ตามเสาสีดำนับสิบเม็ดก็พากันร่วงลงสู่พื้น แสงสีน้ำเงินส่องวาบ แล้วแตกร้าวส่งเสียงดังกึกก้อง
ดังสนั่นราวฟ้าผ่า
เสี้ยววินาทีเดียว ไม่เพียงแต่เสาสีดำทั้งสิบสองต้น ที่แตกร้าวพังครืนลงด้วยกระแสสายฟ้า แม้แต่อาคมทั้งหมดก็ถูกไปด้วยสายฟ้าสีน้ำเงินทอดโค้งจนมิด
ครอบแสงและสายฟ้าสัมผัสกัน แสงสีม่วงและและกระแสสีนำเงินเบียดทับกัน
ครั้นแล้วครอบแสงสีม่วงก็แยกร้าวเกิดเสียงโหยหวนออกมาเสียงหนึ่ง กระแสสายฟ้าสีน้ำเงินนับไม่ถ้วนเบียดฟันลงอย่างแรง
ในขณะเดียวกัน แมลงกลืนทองสองตัวที่รอมาสักพักใหญ่ในตอนแรกนั้นก็พุ่งออกไปพร้อมกันกับกระบี่แสงสามสี อาศัยจังหวะที่พลังเริ่มอ่อนพุ่งเข้าไปชั่วพริบตา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น