ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 162-165
ตอนที่ 162 เคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ถึงแม้ภาพวาดของปรมาจารย์ลิ่วยินภาพนั้นจะเห็นแค่แผ่นหลัง แต่รูปร่างและการแต่งตัวเหมือนกับผู้ที่อยู่ตรงหน้าไม่มีผิด
แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร! ปรมาจารย์ลิ่วยินเป็นผู้ก่อตั้งนิกายปีศาจได้จากโลกนี้ไปเมื่อหลายพันปีก่อนแล้ว ทำไมถึงมาปรากฏตัวในสถานที่แปลกประหลาดนี้ได้
“นับว่าเจ้าฉลาดมากที่มองแค่แวบเดียวก็จำข้าได้ แต่ข้าไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของปรมาจารย์ลิ่วยิน เป็นเพียงแค่จิตรับรู้ส่วนหนึ่งที่เขาทิ้งไว้ก่อนเสียชีวิตเท่านั้น” นักพรตวัยกลางคนได้ยินก็แสดงสีหน้าประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ แต่เรียกท่านว่าปรมาจารย์ลิ่วยินก็คงไม่ผิด ไม่ทราบว่าที่นี่คือสถานที่ใด หรือว่าเป็นด้านในของกำแพงเก็บเงา?” หลิ่วหมิงเข้าใจในฉับพลัน และถามต่อด้วยความนอบน้อม
“ที่นี่ไม่ใช่ด้านในของกำแพงเก็บเงา แต่เป็นห้องจิตรับรู้ ในสมัยก่อนที่ลิ่วยินจะเสียชีวิตนั้น เขาได้ทิ้งจิตรับรู้ส่วนเล็กๆ ไว้ และสร้างห้องเพื่อให้จิตส่วนนี้อยู่โดยเฉพาะ ส่วนเจ้าเข้ามาในนี้ได้อย่างไรนั้นข้าเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก เพราะข้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของจิตรับรู้ของลิ่วยินในสมัยก่อนเท่านั้น ไม่สามารถรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายนอกได้ เพียงแค่สัมผัสได้ว่าศิษย์คนใดสามารถสืบทอดวิชาของลิ่วยินได้ ข้าก็จะมอบผลประโยชน์ที่สอดคล้องกับการฝึกให้พวกเขาเท่านั้น เจ้าเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณ แต่กลับเข้ามาที่นี่ได้ มันช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก เจ้าบอกข้าหน่อยว่าก่อนหน้านั้นข้างนอกเกิดอะไรขึ้น” นักพรตวัยกลางคนจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยตาที่เป็นประกาย
หลิ่วหมิงได้ยินก็ใจเต้น “ตึกตัก!” ขึ้นมา
เขาไม่อาจบอกเรื่องฟองอากาศลึกลับแก่จิตของปรมาจารย์ลิ่วยินที่อยู่ตรงหน้าได้ แต่ถ้าจะใช้ข้ออ้างอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน เพราะเขาไม่รู้ว่า ‘ห้องจิตรับรู้’ นี้เป็นอย่างไร ซึ่งเขาไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
“ผู้น้อย…”
หลิ่วหมิงกะพริบตาสองสามครั้ง ขณะกำลังจะพูดอะไรบางอย่างที่พอจะช่วยให้ถูไถไปได้นั้น ห้องทั้งห้องก็พลันสั่นไหวขึ้นมาทันที ผนังผลึกที่อยู่รอบด้านส่งเสียงแตกหักดังขึ้น จากนั้นรอยแตกร้าวก็ปรากฏขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ราวกับว่าอีกไม่นานห้องผลึกทั้งห้องจะแตกกระจายออกมา
“เป็นไปไม่ได้ ห้องจิตรับรู้นี้ใกล้จะพังทลายลงแล้ว” พอนักพรตวัยกลางคนที่ดูสงบนิ่งได้เห็นฉากนี้ก็หลุดปากพูดออกมา
“อะไรนะ ที่นี่ใกล้จะพังทลายแล้ว” หลิ่วหมิงได้ยินก็ตกใจเป็นอย่างมาก
“เป็นไปได้อย่างไร คิดไม่ถึงว่ามันจะถูกทำลายด้วยพลังจิตเหมือนกัน! แม้ว่าห้องจิตรับรู้นี้จะไม่ได้สร้างจากพลังจิตทั้งหมดของข้าในสมัยก่อน แต่ด้วยด้วยระดับความแข็งแกร่งของมัน ต่อให้เป็นผู้ฝึกในระดับแก่นแท้ก็ไม่อาจใช้พลังจิตทำลายสถานที่แห่งนี้ได้” นักพรตวัยกลางคนจ้องมองรอยแตกร้าวที่มีไอสีเทาที่รั่วไหลออกมา สีหน้าของเขาซีดขาวไม่มีเลือดเลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงจ้องมองไอสีเทาที่รั่วไหลออกมาด้วยสีหน้าที่ดูประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
“ช่างคุ้นเคยกับกลิ่นไอที่ไอสีเทาเหล่านี้แผ่ออกมายิ่งนัก ดูเหมือนว่าจะเป็นกลิ่นไอในห้องว่างเปล่าที่ฟองอากาศลึกลับสร้างขึ้นมา หรือว่า…”
“ดูท่าครั้งนี้ข้าคงยากที่หลบพ้นด่านเคราะห์นี้ไปได้ ช่างเถอะ! ข้าอยู่ที่นี่มานานหลายพันปี พลังของกำแพงเก็บเงาก็ใกล้จะหมดสิ้นแล้ว อีกไม่นานก็ต้องจากไปเช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้ต้องไปก่อนเวลาเล็กน้อยเท่านั้น แต่ในเมื่อเจ้าเข้ามาในนี้ได้ก็แสดงว่าพวกเรามีวาสนาต่อกัน ไม่แน่อาจจะมีชีวิตรอดออกไปได้ ข้ามีสิ่งของมอบให้เจ้าชิ้นหนึ่ง เป็นตัวอ่อนจิตวิญญาณกระบี่ที่ข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจครึ่งชีวิตก็ยังไม่สามารถหลอมสร้างได้สำเร็จ รับปากข้า! หากเจ้ามีโอกาสล่ะก็ จงนำของสิ่งนี้ไปมอบให้ลูกหลานของข้าที่แผ่นดินจงเทียน จำไว้ให้ดี ของสิ่งนี้หลอมสร้างขึ้นมาจากโลหิตของข้า ด้วยเหตุนี้จึงมีเพียงแต่สายโลหิตของข้าเท่านั้นที่สามารถหลอมสร้างมันได้สำเร็จ และใช้งานมันได้ นิกายเดิมของข้าคือนิกายยอดบริสุทธิ์ ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของแผ่นดินจงเทียน เพื่อเป็นการตอบแทนข้าจะถ่ายทอดวิชากระบี่บินที่เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาตัวอ่อนจิตวิญญาณกระบี่นี้ให้กับเจ้า จำไว้ให้ดี วิชากระบี่บินนี้แม้แต่นิกายของข้าก็ถือเป็นวิชาต้องห้าม เจ้าอย่าได้แสดงให้ใครดูง่ายๆ” เมื่อนักพรตวัยกลางคนเห็นว่าผนังผลึกรอบด้านเริ่มจะแตกร้าวออกมาเป็นชิ้นๆ เขากลับมีท่าทีที่สงบขึ้นมา หลังจากที่พูดกับหลิ่วหมิงอย่างรีบร้อนแล้ว ก็อ้าปากพ่นกระบี่เล็กที่มีแสงสีเหลืองอ่อนออกมา จากนั้นก็กดมันไว้กับหน้าอกของหลิ่วหมิงในทันที และมืออีกข้างก็โบกไปยังคัมภีร์สีทองบนโต๊ะหินที่อยู่มุมห้อง
“ฟู่!” แสงสีเขียวที่ปกคลุมอยู่บนโต๊ะหินแตกสลายทันที คัมภีร์สีทองเปลี่ยนเป็นรุ้งสีทองพุ่งยิงเข้ามา พริบตาเดียวมันก็มาหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรีบคว้าคัมภีร์สีทองไว้แน่น แต่คัมภีร์สีทองกลับพร่ามัวและจมหายเข้าไปในมือเขา
ตอนแรกเขารู้สึกตกตะลึง แต่ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“ผู้อาวุโส ข้าน้อยฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำ ไม่ทราบว่าวิชาในอีกครึ่งท้ายมีอยู่ในนี้ด้วยหรือไม่…”
“อะไรนะ! เจ้าฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำ มิน่าล่ะ! วิชาชุดนั้นถึงได้บินออกไปเอง เคล็ดวิชากระดูกดำเป็นวิชาปีศาจโบราณที่ข้าได้มาโดยบังเอิญ ตอนนั้นข้าได้มาเพียงครึ่งแรกเท่านั้น ส่วนอีกครึ่งหลังคงต้องอาศัยวาสนาของเจ้าในการตามหาแล้ว แต่ตามที่ข้าทราบมาดูเหมือนว่าจะมีคนค้นพบเบาะแสของมันที่แผ่นดินจงเทียน ช่างเถอะ! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะมอบเคล็ดวิชานี้ให้เจ้าก็แล้วกัน หลังจากที่เจ้าเข้าสู่ระดับของเหลวแล้วจะได้เปลี่ยนมาฝึกฝนวิชานี้ได้โดยตรง” นักพรตวัยกลางคนลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะถอนหายใจ และกล่าวออกมา จากนั้นก็โบกมือไปยังคัมภีร์สีดำที่หลิ่วหมิงเคยเห็นบนโต๊ะหินสีดำอีกตัวหนึ่ง
ม่านแสงสีเขียวแตกกระจายไปในทันที คัมภีร์สีดำก็พุ่งเข้ามาหา พริบตาเดียวมันก็จมหายเข้าไปในร่างของหลิ่วหมิง
ร่างของนักพรตวัยกลางคนดูลางเลือนขึ้นมา ราวกับว่าเป็นเป็นค่าตอบแทนของการเอาคัมภีร์แต่ละเล่มออกมาจากม่านแสงนั้น
หลิ่วหมิงเห็นนี้ก็รีบกล่าวขอบคุณในทันที
นักพรตวัยกลางคนโบกมือมาทางหลิ่วหมิง และคิดที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็มีเสียงดังมาจากผนังผลึกรอบด้าน ในที่สุดมันก็พังทลายลงมาทั้งหมด ไอสีเทาจากทั่วทุกทิศพวยพุ่งมายังจุดศูนย์กลางราวกับคลื่นยักษ์ นักพรตวัยกลางคนและหลิ่วหมิงต่างก็จมอยู่ในนั้น
หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงแค่ว่าใจเต้นขึ้นมาหนึ่งที และจิตก็พร่ามัว จากนั้นตนเองก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้ากำแพงเก็บเงาสีฟ้าอีกครั้ง และตัวเขายังอยู่ในท่าที่กำลังเปลี่ยนท่ามือเพื่อเรียกวิชาป้องกันตัวอยู่
“นี่คือ…”
ถึงแม้ว่าเขาจะคุ้นเคยกับสถานการณ์แบบนี้ แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าสิ่งที่เห็นเมื่อครู่เป็นความจริงหรือแค่ภาพลวงตาเท่านั้น
เขากวาดสายตาไปยังกำแพงเก็บเงา ค้นพบว่าแสงสีฟ้ายังคงเปล่งประกายอยู่ ซึ่งไม่มีความแตกต่างจากก่อนหน้านั้นเลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นำจิตจมดิ่งเข้าไปในร่าง จากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที
ฟองอากาศลึกลับยังคงเปล่งประกายอยู่ในทะเลจิตวิญญาณของเขา แต่นอกทะเลจิตวิญญาณกลับมีกระบี่เล็กสีเหลืองอ่อนอยู่เล่มหนึ่ง แต่ดูเหมือนกับว่ามันหวาดกลัวฟองอากาศลึกลับเป็นอย่างมาก มันได้แต่ล่องลอยอยู่บริเวณทะเลจิตวิญญาณ โดยไม่กล้าเข้าใกล้ฟองอากาศลึกลับเลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงหลับตาทั้งสองลง แล้วกวาดจิตดูในทะเลจิตวิญญาณอีกครั้ง แสงลูกกลมสีฟ้าอ่อนสองลูกปรากฏออกมา หลังจากที่เขาใช้พลังจิตสัมผัสมัน มันทั้งสองก็หมุนติ้วๆ จนกลายเป็นคัมภีร์สีทองและสีดำอย่างละหนึ่งเล่ม
“เคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่ง”
“เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ”
แม้ว่าหลิ่วหมิงจะได้ยินชื่อทั้งสองวิชานี้เป็นครั้งแรก แต่ประจักษ์ชัดว่ามันต่างก็เป็นเคล็ดวิชาที่ยอดเยี่ยม
เขาให้พลังจิตแตะคัมภีร์สีทองด้วยความดีใจ และค่อยๆ พลิกเปิดทีละหน้า…
ขณะเดียวกัน ณ ห้องลับที่ซ่อนเร้นอยู่อีกด้านหนึ่งของหุบเขา ไม่รู้ว่าอาจารย์ปู่เยี่ยนที่เดิมทีหลับตาฝึกฝนอยู่นั้นลืมตาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ขณะเดียวกันก็แสดงสีหน้างุนงงออกมา
ทันทีที่เขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ก็มีแผ่นค่ายกลสีฟ้าอ่อนปรากฏขึ้น หลังจากที่เอามือตบลงไปชั้นจำกัดแต่ละชั้นก็ปรากฏออกมา จากนั้นมันก็พร่ามัวเปลี่ยนเป็นใบหน้าของหลิ่วหมิงที่นั่งขัดสมาธิเงียบๆ อยู่หน้ากำแพงผลึก
อาจารย์ปู่เยี่ยนจ้องดูหลิ่วหมิงกับกำแพงผลึกอย่างละเอียดแล้วก็เอามือตบลงในแผ่นค่ายกล และแผ่นค่ายกลสีฟ้าก็กลับคืนรูปเดิมอีกครั้ง
“แปลกจริง! สิ่งที่ทำให้ใจข้าเต้นโครมครามเมื่อครู่นั้นคือสิ่งใดกัน หรือว่าช่วงนี้ข้ารีบร้อนฝึกฝนจนเกินไป จึงทำให้ใจไม่สงบ” หลังจากที่เขาพูดพึมพำไม่กี่ประโยคแล้วก็เก็บแผ่นค่ายกลเข้าไป จากนั้นก็หลับตาฝึกฝนต่อ
เช้าวันที่สอง เมื่อเด็กน้อยมาเปิดประตูตามเวลาที่กำหนด หลิ่วหมิงที่กำลังนั่งอยู่หน้ากำแพงผลึกก็ลืมตาและลุกขึ้นมาในทันที
“ศิษย์พี่ไป๋ ได้เวลาแล้ว ท่านต้องไปจากหุบเขาแล้ว” เด็กน้อยชุดเหลืองเดินเข้ามากล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณศิษย์น้องที่บอก ข้าเองก็คิดว่าได้เวลาแล้ว และคิดที่จะไปเหมือนกัน” หลิ่วหมิงเองก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“อ๋อ! ดูจากท่าทีของศิษย์พี่แล้ว ท่านไม่ได้อะไรจากกำแพงเก็บเงาหรือ?” เด็กน้อยเห็นเช่นนี้ก็ถามด้วยตาที่เป็นประกายอย่างอดไม่ได้
“ก็พอได้มาบ้าง มันเพียงแค่ช่วยคลายปมปัญหาของข้าได้ข้อหนึ่ง ทั้งยังไม่รู้ว่ามันจะได้ผลจริงๆ หรือไม่ ต้องกลับไปลองดูก่อนถึงจะสามารถยืนยันได้” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างคลุมเครือ
“อิๆ! ศิษย์พี่พอได้อะไรมาบ้างก็นับว่าไม่เลวแล้ว อาจารย์อา อาจารย์ลุงจำนวนมากเข้าไปทั้งคืนยังไม่ได้อะไรออกมาเลย” เด็กชายชุดเหลืองกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เฮ่อๆ! ข้าเองก็คิดเช่นนี้” หลิ่วหมิงหัวเราะออกมา
ต่อมาเด็กน้อยก็นำทางหลิ่วหมิงออกไปจากหุบเขา
จากนั้นเด็กน้อยผู้นี้ก็กลับมาในหุบเขาแล้วเข้าไปในห้องหินอีกครั้ง เขาเดินวนกำแพงเก็บเงาไปหนึ่งรอบ และลูบตรวจสอบอย่างละเอียด หลังจากที่พบว่าไม่มีปัญหาใดๆ แล้วเขาก็เดินกระหยิ่มยิ้มออกไป
สองวันผ่านไป หลิ่วหมิงมาปรากฏตัวที่หอใหญ่บนยอดเขาเก้าทารก เขายืนเก็บมืออยู่หน้านักพรตแซ่จง กุยหรูฉวน และจูชื่อ
“ในเมื่อเจ้ามีแผนจะไปจากนิกายหลายปี พวกข้าเองก็ไม่อาจขัดขวางเจ้าได้ แต่ที่เจ้าไม่เลือกทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณในตอนนี้ ถือว่าเป็นเป็นการกระทำที่ฉลาดมาก เช่นนี้แล้วข้าเชื่อว่าหลังจากผ่านการฝึกฝนไปช่วงเวลาหนึ่ง ในอีกหลายปีข้างหน้าเจ้าจะมีความหวังในการทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณที่เพิ่มมากขึ้น”
………………………………………
ตอนที่ 163 หน้ากากพันหน้าและเคล็ดวิชาเปลี่ยนกระดูก
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ศิษย์ก็คิดเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่รีบร้อนที่จะลงมือ!” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างนอบน้อม
“แต่เมืองเสวียนจิงเป็นสถานที่ที่อันตรายสำหรับเจ้ามาก ก่อนเดินทางข้าจะมอบมุกเพลิงอัคคีให้เจ้าสามเม็ด เผื่อเจ้าต้องเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจ” จูชื่อกล่าวเสร็จก็สะบัดแขนเสื้อก่อนที่จะมีขวดเล็กๆ พุ่งออกมา
หลิ่วหมิงคว้าเอาขวดใบเล็กไว้ได้ก่อนที่จะกล่าวขอบคุณด้วยความดีใจ
มุกเพลิงอัคคีสามเม็ดที่จูชื่อให้ในครั้งก่อนนั้น ทำให้อสูรครึ่งมังกรได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ ถ้าหากได้มาอีกสามเม็ดล่ะก็พลังของเขาจะเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย
“ในเมื่ออาจารย์ลุงมอบสิ่งของให้เจ้าแล้ว ข้าเป็นถึงอาจารย์ก็ไม่อาจให้เจ้ากลับไปมือเปล่าได้ เอาอย่างนี้เถอะ! ข้ามีของล้ำค่าราคาสูงที่ข้าซื้อมาในสมัยก่อน มันสามารถเปลี่ยนใบหน้าได้ ข้าขอมอบมันให้กับเจ้า คิดว่าคงจะมีประโยคต่อการทำภารกิจที่เมืองเสวียนจิง” นักพรตแซ่จงยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบเอาสิ่งของที่ดูคล้ายหน้ากากบางๆ ออกมาจากอกแล้วส่งให้หลิ่วหมิง
“ขอบคุณอาจารย์ นี่คือ…” หลิ่วหมิงรับสิ่งของมาอย่างนอบน้อม แต่หลังจากที่สังเกตดูแล้วกลับรู้สึกตกตะลึงอย่างอดไม่ได้
“เฮ่อๆ! คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องจะมอบ ‘หน้ากากพันหน้า’ นี้ให้ศิษย์หลานไป๋” นี่เป็นของล้ำค่าที่มีความพิเศษเป็นอย่างมาก เพียงแค่นำมันมาวางไว้บนใบหน้า และส่งพลังเวทย์เข้าไปเพียงเล็กน้อย ก็สามารถเปลี่ยนใบหน้าของตัวเองได้ตามใจปรารถนา ทั้งยังแสดงกิริยาท่าทางได้แตกต่างกันออกไป ทำให้มันดูไม่แตกต่างจากคนทั่วไปเลยแม้แต่น้อย มีข้อเสียอย่างเดียวก็คือ หน้ากากนี้เป็นสิ่งของสิ้นเปลืองที่ใช้หินจิตวิญญาณหลายพันก้อนซื้อมา พอเริ่มใช้มันแล้วก็จะสามารถใช้ต่อได้อีกแค่สี่ถึงห้าปีเท่านั้น” กุยหรูฉวนเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“มีของสิ่งนี้แล้วศิษย์ก็สามารถปิดบังสถานะได้ง่ายขึ้น” หลิ่วหมิงได้ยินก็หันไปคารวะขอบคุณนักพรตแซ่จงด้วยความดีใจ
“ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์ของข้า ข้าเป็นถึงอาจารย์ก็ไม่อาจขี้เหนียวกับเจ้าได้ ศิษย์พี่กุย ข้ากับศิษย์พี่จูต่างก็มอบของให้แล้ว ท่านคงจะไม่ขี้เหนียวหรอกนะ” นักพรตแซ่จงชายตามองกุยหรูฉวนแล้วพลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เฮ่อๆ! ถึงศิษย์น้องไม่พูด ข้าเป็นถึงอาจารย์ลุงก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้ แต่คิดว่าศิษย์หลานคงไม่ขาดแคลนสิ่งของจำพวกยันต์และอาวุธอาญาสิทธิ์อยู่แล้ว เอาอย่างนี้เถอะ! ข้ามี ‘เคล็ดวิชาเปลี่ยนกระดูก’ ที่คิดค้นขึ้นมาเองมอบให้เจ้า มันสามารถเปลี่ยนแปลงกระดูกได้นานตามช่วงเวลาที่แน่นอน ถ้าหากฝึกฝนแล้วนำมาใช้กับหน้ากากพันหน้าก็จะสามารถปกปิดตัวตนได้อย่างแนบเนียนยิ่งขึ้น เจ้าจะยอมฝึกมันหรือไม่?” กุยหรูฉวนกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณอาจารย์ลุงที่มอบให้ ศิษย์ยินดีที่จะฝึกมัน” หลิ่วหมิงได้ยินก็โค้งตัวตอบรับด้วยความดีใจ
“ดี! เคล็ดวิชาชุดนี้ถูกบันทึกอยู่ในกระดาษแผ่นนี้ เจ้าเอามันไปจดจำแล้วก็ทำลายมันซะ” กุยกรูฉวนพยักหน้า จากนั้นก็หยิบกระดาษสีเหลืองอ่อนที่เต็มไปด้วยอักขระออกมาจากอก แล้วยื่นให้หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรีบก้าวไปรับกระดาษแผ่นนี้
“นอกจากนี้ยังมีโอสถถอนพิษระดับสูงอยู่ขวดหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะว่าเจ้าสัมผัสโดนพิษที่ไม่สามารถถอนได้ตามคำร่ำลือล่ะก็ เชื่อว่ามันคงเพียงพอที่จะถอนพิษได้หลายชนิด” กุยหรูฉวนพลิกมือข้างหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับขวดเล็กๆ สีเขียวหยกใบหนึ่ง แล้วโยนไปให้หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรับขวดเล็กๆ ใบนี้มาอย่างนอบน้อม และกล่าวขอบคุณไม่หยุด
ต่อมากุยหรูฉวนกับจูชื่อก็กำชับหลิ่วหมิงอีกไม่กี่ประโยค จากนั้นก็พากันจากไป
พริบตาเดียวในหอใหญ่ก็เหลือเพียงแต่เขากับนักพรตแซ่จงเท่านั้น
“ชงเทียน ก่อนหน้านั้นที่เจ้าพูดว่ามีเรื่องอยากบอกกับอาจารย์คือเรื่องใดกัน ทำไมถึงมาบอกก่อนจะไป” พอนักพรตแซ่จงเห็นกุยหรูฉวนกับจูชื่อจากไปแล้ว ก็กล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ที่จริงแล้วศิษย์อยากจะบอกเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของศิษย์…” หลิ่วหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“ตัวตนที่แท้จริง! หมายความว่าอย่างไร?” นักพรตแซ่จงได้ยินก็มีสีหน้าแปลกใจเป็นอย่างมาก
“ที่จริงศิษย์ไม่ใช่ลูกหลานตระกูลไป๋ และก็ไม่ได้มีนามว่า ‘ไป๋ชงเทียน’ แต่ศิษย์แซ่หลิ่ว มีนามว่าหมิง และเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่ข้าเกิดมา…” หลิ่วหมิงเล่าออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงเหาะลงไปจากยอดเขาด้วยท่าทีสบายใจ นักพรตแซ่จงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในหอใหญ่กลับมีสีหน้าที่ขมขื่นขึ้นมา
“คาดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กคนนี้จะมีความเป็นมาที่ซับซ้อนขนาดนี้ จะบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กก็ไม่เชิง ดูท่าอาจารย์อย่างข้าคงต้องออกหน้าเข้าช่วยถึงทำเรื่องนี้ให้กลายเป็นเรื่องเล็กได้ ดีที่เจ้าเด็กนี่ช่วยสร้างผลงานให้กับนิกาย ทั้งยังโดนบีบให้ไปจากนิกาย คาดว่าคนเหล่านั้นคงจะยอมปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปได้” นักพรตแซ่จงพึมพำกับตัวเองไปไม่กี่ประโยค จากนั้นก็ลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะลุกขึ้นมาแล้วเดินออกไปจากหอใหญ่
ขณะนี้หลิ่วหมิงกลับถึงที่พักแล้ว หลังจากเก็บของเล็กน้อยก็เหาะออกไปจากเขาเก้าทารก
สามชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเมฆเทา เขากำลังเดินทางห่างออกไปจากนิกายปีศาจได้ร้อยลี้
ตอนนี้เขากำลังตรวจสอบแผนที่ที่มือข้างหนึ่งถืออยู่ ผ่านไปครึ่งค่อนวันถึงได้พูดพึมพำออกมา
“ไปตระกูลไป๋จำต้องอ้อมไปไกลอีกเล็กน้อย แต่ถ้าจัดการเรื่องนี้ได้เร็วก็สามารถไปบ้านเกิดของอาเฉียนได้ เมื่อจัดการเรื่องที่ท่านสั่งเรียบร้อยแล้วค่อยไปเมืองเสวียนจิงก็ยังไม่สาย”
พอกล่าวจบเขาก็เก็บแผนที่ และหยิบแผ่นเข็มทิศออกมาหาทิศทาง จากนั้นเขาก็พยักหน้าพร้อมกับเก็บมันเข้าไปเหมือนเดิม และหยิบ ‘เคล็ดวิชาเปลี่ยนกระดูก’ ที่กุยหรูฉวนมอบให้แผ่นนั้นออกมาทำความเข้าใจ
เคล็ดวิชานี้นอกจากสามารถเปลี่ยนกระดูกให้ยาวสั้นได้อย่างน่าอัศจรรย์แล้วก็ไม่มีประโยชน์เพิ่มเติมใดๆ อีก ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่ซับซ้อนมากนัก
ด้วยระดับสติปัญญาของหลิ่วหมิง ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันก็ทำความเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
เขาก็เก็บกระดาษแผ่นนั้นเข้าไป มือทั้งสองทำท่ามือแล้วร่ายคาถากระตุ้นพลังเวทย์ ทันใดนั้นทะเลจิตวิญญาณของเขาก็หมุนวนติ้วๆ กระแสความร้อนแผ่กระจายไปทั่วร่าง
ครู่ต่อมาหลิ่วหมิงก็ตะโกนเสียงต่ำพร้อมกับมีเสียงราวกับจุดประทัดดังมาจากร่างเขา พอสะบัดไหล่ร่างของเขาก็สูงขึ้นมาหนึ่งศีรษะกว่าๆ รูปร่างของเขาสูงใหญ่ขึ้นเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงลุกขึ้นยืนบนเมฆเทาแล้วสังเกตดูรูปร่างของตนเอง และขยับแขนขาไปมา หลังจากว่าไม่มีปัญหาใดๆ ก็ทำท่ามืออีกครั้ง ขณะเดียวกันเสียงเปรี๊ยะๆ ก็ดังขึ้นมา พร้อมกับร่างที่ลดขนาดลงไปเท่าตัว ตอนนี้ร่างของเขาผอมเล็กเป็นอย่างมาก
ความดีใจปรากฏอยู่เต็มใบหน้าของเขา เมื่อเขากระตุ้นเคล็ดวิชาอีกครั้งร่างของเขาก็กลับมาเป็นปกติ จากนั้นก็นำกระดาษออกมาอ่านอีกหลายรอบแล้วก็ตบลงไปบนนั้น
“ฟู่!” กระดาษถูกเปลวไฟแผดเผาจนกลายเป็นขี้เถ้า
จากนั้นเขาถึงนำจิตเข้าไปกวาดดูข้างในทะเลจิตวิญญาณ
ฟองอากาศลึกลับยังคงเปล่งประกายแวววาวอยู่ในทะเลจิตวิญญาณ!
คิ้วหลิ่วหมิงค่อยๆ ขมวดขึ้นมา
ตั้งแต่ฟองอากาศลึกลับปรากฏตัวขึ้นเมื่อหลายวันก่อน มันก็ไม่หายไปเหมือนกับก่อนหน้านั้น และยังไม่มีการดูดกลืนพลังเวทย์ใดๆ แต่กลับเคลื่อนไหวแปลกประหลาดอยู่ในทะเลจิตวิญญาณไม่หยุด
สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
พอกลับมาจากหุบเขา เขาก็เคยใช้พลังเวทย์กับพลังจิตไปสัมผัสมันอยู่หลายครั้ง แต่มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
และพอเขานึกถึงห้องจิตรับรู้ที่สร้างมาจากพลังจิตของปรมาจารย์ลิ่วยินถูกพื้นที่ว่างเปล่าสีเทากลืนกินนั้น เขาก็ยิ่งรู้สึกฉงนมากกว่าเดิม เป็นการยากที่จะจินตนาการถึงที่มาของฟองอากาศลึกลับกับพื้นที่ว่างเปล่าสีเทาได้ ไม่คาดคิดว่ามันจะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้
แต่เขาคิดมาหลายปีแล้วก็ยังคิดไม่ออก ภายในระยะเวลาสั้นเช่นนี้ก็ยิ่งไม่สามารถทำความเข้าใจได้อย่างชัดแจ้งได้
หลิ่วหมิงได้แต่ส่ายศีรษะแล้วละสายตาไปยังกระบี่เล็กสีเหลืองอ่อนที่สงบนิ่งอยู่ข้างทะเลจิตวิญญาณ จากการศึกษาเมื่อหลายวันก่อนทำให้ทราบว่า ‘ตัวอ่อนจิตวิญญาณกระบี่’ นี้ไม่ใช่วัตถุที่มีตัวตนจริงๆ แต่มันเป็นการรวมตัวกันของพลังบางอย่าง อีกอย่างปรมาจารย์ลิ่วยินยังบอกว่าเขาไม่สามารถบีบหรือกระตุ้นให้มันออกมาได้
ดีที่ดูเหมือนว่าของสิ่งนี้ไม่มีอันตรายใดๆ ดังนั้นเขาจึงยอมให้มันอยู่ในร่าง
ส่วนเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนั้นเขาเคยดูผ่านๆ ไปรอบหนึ่ง แต่สิ่งที่บันทึกไว้ในนั้นค่อนข้างล้ำลึกเกินไป ไม่สามารถทำความเข้าใจภายในระยะเวลาอันสั้นๆ ได้
แต่เคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งกลับมีบันทึกเกี่ยวกับการฝึกฝนกระบี่บินอยู่
ส่วนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ กลับดูเหมือนเป็นวิชาการฝึกร่างที่แข็งแกร่งมาก คล้ายกับว่าถ่ายทอดเป็นสายเดียวกันกับเคล็ดวิชากระดูกดำ ดูเหมือนว่าจะสามารถควบคุมปีศาจได้โดยเฉพาะ
แต่น่าเสียดายที่เคล็ดวิชานี้ต้องรอเข้าสู่ระดับของเหลวก่อนจึงจะสามารถฝึกฝนได้
แค่เคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งกลับไม่มีข้อจำกัดนี้ รอทำความเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งแล้ว เขาก็สามารถเลือกฝึกฝนวิชาพื้นฐานที่มีในนั้นได้
แต่ทั้งหมดนี้ต้องรอเขาไปหาที่พำนักในเมืองเสวียนจิงได้แน่นอนแล้ว ถึงจะดำเนินการได้
สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือรีบไปถึงตระกูลไป๋ให้ไวที่สุด และจัดการเรื่องสถานะของเขากับเรื่องการแต่งงานกับมู่หมิงจูให้เรียบร้อยเสียก่อน
ก่อนเดินทางมาเขาได้บอกเรื่องการสวมรอยเป็นไป๋ชงเทียนของตนเองให้นักพรตแซ่จงฟังแล้ว และอาจารย์ของเขาก็รับปากจะช่วยจัดการเรื่องนี้ให้กับเขา
เช่นนี้เขาก็ตกอยู่ในสถานะที่ไม่พ่ายแพ้แล้ว ตอนนี้เขามีเงื่อนไขพร้อมที่จะไปจัดการปัญหาเหล่านี้ที่ตระกูลไป๋
และด้วยสถานะกับพลังของเขาในตอนนี้ ลำพังแค่ตระกูลไป๋ที่มีศิษย์จิตวิญญาณแค่คนเดียวจะสามารถทำอะไรเขาได้
หลิ่วหมิงคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ ขณะเดียวกันก็รีบกระตุ้นพลังเวทย์ในทันที เพื่อทำให้เมฆเทาก็เหาะเร็วขึ้นมากกว่าเดิม และพุ่งออกไปยังที่ไกลๆ
ตอนเย็น ขณะที่ท้องฟ้าเริ่มมืดนั้นต่อให้หลิ่วหมิงจะเก่งกาจและใจกล้าแค่ไหน ก็ไม่คิดที่จะเดินทางไปต่อ
เขาหายอดเขาจากสันเขาเปลี่ยวด้านล่างแล้วร่อนลงไป จากนั้นก็สร้างโพรงหินที่เรียบง่ายเพื่อใช้พักผ่อนนั่งสมาธิและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางในวันรุ่งขึ้น
แต่พอถึงเวลายามสาม หลิ่วหมิงที่กำลังเข้าฌานอยู่พลันรู้สึกได้ถึงความร้อนจากฟองอากาศลึกลับที่อยู่ในทะเลจิตวิญญาณ จากนั้นพลังจิตอันแข็งแกร่งก็โหมกระหน่ำออกมาโดยไม่มีลางสังหรณ์มาก่อน พริบตาเดียวมันวิ่งขึ้นไปยังศีรษะของหลิ่วหมิง
……………………………………….
ตอนที่ 164 จวนตระกูลไป๋
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงตกใจเป็นอย่างมาก เขายังไม่ทันมีปฏิกิริยาใดๆ พลังจิตเหล่านี้ก็พุ่งไปยังทะเลจิตรับรู้ของเขา ทำให้พลังจิตของเขาพองตัวขึ้นมาอย่างน่าตกใจ
“นี่คือ…”
ชั่วเวลานั้น หลิ่วหมิงนึกถึงเรื่องที่พลังเวทย์ถูกกลืนกินแล้วส่งผลสะท้อนให้พลังเวทย์เขาบริสุทธิ์ขึ้นมา
เหตุการณ์นี้เหมือนกับที่เขานึกไว้ แต่ผลสะท้อนครั้งนี้กลับไม่ใช่พลังเวทย์ แต่เป็นพลังจิตที่บริสุทธิ์เป็นอย่างมาก
ส่วนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไรนั้น หลังจากที่เขาคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว ก็นึกถึงห้องจิตรับรู้ที่สร้างมาจากพลังจิตของปรมาจารย์ลิ่วยินในขณะที่ถูกพื้นที่ว่างเปล่าสีเทากลืนกินเข้าไป ทำให้เขาเข้าใจในฉับพลัน
แต่ความคิดเหล่านี้ก็เป็นแค่ความคิดผ่านๆ พลังจิตที่โหมกระหน่ำเข้ามาในตอนนี้ทำให้เขาไม่สามารถคิดอะไรได้อย่างละเอียด เขาได้แต่พยายามทำท่ามือกระตุ้นเคล็ดวิชาใจปีศาจที่เขาเพิ่งฝึกฝนไปได้ไม่นาน เพื่อปกป้องการรับรู้ของจิตที่เหลืออยู่ไม่ให้โดนพลังจิตอันแข็งแกร่งนี้ทำลาย
แต่พอเขายิ่งรักษาการรับรู้ของจิตไว้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าพลังจิตของตนเองยิ่งแข็งแกร่งอย่างบ้าคลั่ง ผ่านไปไม่นานมันก็ทำให้พลังจิตของเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมสามเท่า
พลังจิตที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมหาศาลนี้ ถึงแม้เขาจะใช้เคล็ดวิชาใจปีศาจปกป้องการรับรู้ของจิตไว้ แต่ก็ยังคงทำให้ศีรษะของเขารู้สึกหนักอึ้งอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน สีหน้าขาวซีดจนยากจะหาที่เปรียบได้ เส้นเลือดดำปูดโปนขึ้นมาบริเวณหน้าผากทั้งสองด้าน โลหิตสีดำไหลออกมาจากประสาทสัมผัสทั้งห้า
ขณะนี้เขาได้ใช้พรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลังตั้งแต่แรกแล้ว และในสถานการณ์เร่งรีบเช่นนี้ เขาแบ่งจิตเป็นสองส่วนกระตุ้นเคล็ดวิชาใจปีศาจพร้อมกัน เพื่อต้านทานการจู่โจมของพลังจิตอันแข็งแกร่งนี้
ผ่านไปไม่นาน หลิ่วหมิงก็พลันตะโกนเสียงต่ำออกมา เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นจนทำให้โพรงทั้งโพรงสั่นไหว จากนั้นร่างของเขาก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าวก่อนที่จะสลบไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เมื่อหลิ่วหมิงรู้สึกถึงกลิ่นคาวจางๆ ในปาก เขาก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา
แต่ชั่วพริบตาที่เขาลืมตาทั้งสองขึ้นมานั้น สิ่งที่มองเห็นทั้งหมดล้วนเป็นสีแดงจางๆ
เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่ก็เข้าใจในทันทีว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ เขาทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งก่อนที่น้ำสะอาดจะปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ หลังจากใช้นิ้วจิ้มเข้าไปมันก็ไหลลงมาเป็นสาย
เขาแหงนหน้าล้างคราบเลือดออกไปจนหมด จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียวอีกครั้งเพื่อทำให้ร่างกายเกิดไอร้อนขึ้นมา และเสื้อผ้าก็กลับมาแห้งอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ถอนหายใจยาวๆ ก่อนที่จะใช้นิ้วนวดขมับสองข้างเบาๆ
เหตุการณ์ในก่อนหน้านี้ช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก!
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาฝืนต้านทานไว้อย่างยากลำบาก และพลังจิตเหล่านั้นไม่ได้โหมกระหน่ำในขณะที่เขาสลบไปล่ะก็ เกรงว่าศรีษะของเขาคงจะต้องระเบิดออกมาจริงๆ
แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้สึกว่าทะเลจิตรับรู้ของเขาขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมสามถึงสี่เท่า ดูเหมือนว่าพลังจิตอันแข็งแกร่งเหล่านั้นจะอยู่เต็มทุกพื้นที่ในทะเลจิตรับรู้ของเขา การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็ทำให้รู้สึกปวดศีรษะเบาๆ ได้
ดูเหมือนว่าถ้าเขาอยากจะควบคุมพลังจิตเหล่านี้ให้ได้อย่างใจนึก คงต้องค่อยๆ ใช้เวลาในการทำความเข้าใจกับมัน
แต่อย่างไรก็ตาม พลังจิตอันแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้คงไม่ด้อยไปกว่าอาจารย์จิตวิญญาณทั่วไปอย่างแน่นอน
หลิ่วหมิงคิดถึงจุดนี้ก็พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขารีบนำจิตจมดิ่งเข้าไปในร่างแล้วกวาดดูทะเลจิตวิญญาณ
แน่นอนว่าฟองอากาศลึกลับนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
หลิ่วหมิงเรียกจิตกลับมา และใช้มือลูบคางไปมาราวกับคิดอะไรอยู่
ดูท่าเขาคาดเดาไม่ผิดตั้งแต่แรก พลังจิตอันแข็งแกร่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการกลืนกินห้องจิตรับรู้ของปรมาจารย์ลิ่วยินจริงๆ
แต่ผลสะท้อนกลับเช่นนี้ ไม่คาดคิดว่าจะมีระยะห่างของเวลาหลายวัน มันช่างแตกต่างกับการสะท้อนกลับของพลังเวทย์ยิ่งนัก
ต่อไปถ้าต้องเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้อีก เขาจะต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น
ครั้งนี้ถือว่าดวงดีที่มันไม่ทำให้ศีรษะเขาระเบิดออกมา ครั้งหน้าอาจจะไม่ดวงนี้อย่างนี้ก็ได้
แต่จะว่าไป! ถ้าใช้วิธีการนี้ได้ถูกวิธีกลับสามารถทำให้พลังจิตของเขาแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ ความยั่วยวนนี้ทำให้เขาอดใจเต้นไม่ได้
แต่พอหลิ่วหมิงนึกถึงฉากอันน่ากลัวที่พลังจิตอัดแน่นอยู่เต็มศีรษะแล้ว ก็รู้สึกเสียวสะท้านอย่างอดไม่ได้ เขาจึงละทิ้งความคิดนี้ไปก่อน
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาจะหาห้องจิตรับรู้แบบนั้นได้จากไหน ต่อให้มีโอกาสเช่นนี้จริงๆ แต่ถ้ายังไม่มีแผนการรับมือที่ดีพอ เกรงว่ามันคงไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตายเลย
ต่อมาหลิ่วหมิงก็ตรวจสอบดูส่วนอื่นๆ ของร่างกาย หลังจากไม่พบว่ามีอะไรเสียหาย เขาก็ทำท่ามือเข้าฌานด้วยความสบายใจ
……
เขตเฟิ่งอวิ๋น เป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองเขตของแคว้นต้าเสวียน และเมืองหลูสุ่ยเป็นหนึ่งในสามเมืองที่มีความสำคัญทางด้านยุทธศาสตร์ของเขตเฟิ่งอวิ๋น เป็นสถานที่รวมตัวของผู้ฝึกปราณที่มีพอจะมีชื่อเสียงของแคว้นต้าเสวียน
เมืองนี้สร้างตามแนวแม่น้ำ นอกเมืองมีที่ดินมืดที่เป็นพื้นที่ราบขนาดใหญ่อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเหมาะสมต่อการเพาะปลูกข้าว และพืชไร่ บริเวณใกล้ๆ ยังมีการค้นพบโลหะ และสายแร่มีค่าอยู่บ่อยๆ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เมืองหลูสุ่ยเจริญรุ่งเรืองไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ไม่รู้ว่ามีผู้มีอิทธิพลครอบครองโดยพลการอยู่มากน้อยเท่าใด
แต่ช่วงเวลาหนึ่งเดือนนี้ หนึ่งในตระกูลผู้ฝึกปราณที่เก่าแก่ของเมืองหลูสุ่ยอย่างตระกูลไป๋กลับดูคึกคักขึ้นมาเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลไป๋ที่มีชื่อเสียงจะกลับมาในฉับพลัน แต่ยังเริ่มเปิดประตูรับผู้ฝึกปราณจากข้างนอก ทำให้อิทธิพลของตระกูลแผ่ขยายไปอย่าวกว้างขวาง ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็สามารถทำลายอิทธิพลของศัตรูน้อยใหญ่ไปได้ไม่น้อย
ในสายตาของผู้ที่มีสติปัญญาความรู้ การขยายอิทธิพลของตระกูลไป๋ในครั้งก่อนนั้นเป็นเพราะว่า หลายปีก่อนไป๋ชงเทียนที่เป็นทายาทสายตรงได้กลายเป็นศิษย์ของนิกายปีศาจ ทำให้ตระกูลอันดับสามของเขากลายเป็นหนึ่งในตระกูลที่แข็งแกร่งของเมืองหลูสุ่ย การขยายอิทธิพลในครั้งนี้ ไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้าใดๆ และตระกูลผู้ฝึกปราณที่มีชื่อเสียงในเมืองหลูสุ่ยก็ไม่ได้ต่อต้านตระกูลไป๋ ขอเพียงแค่ตระกูลไป๋ไม่ล่วงล้ำในเขตอิทธิพลของพวกเขา พวกเขาก็จะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น
แต่เมื่อไม่นานมานี้ มีข่าวว่านายน้อยของตระกูลไป๋ที่ชื่อไป๋ชงเทียนจะแต่งกับคุณหนูตระกูลมู่ที่มีชื่อของแคว้นต้าเสวียนในอีกไม่กี่เดือน ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็มีข่าวเรื่องนายน้อยตระกูลไป๋ผู้นี้ได้กลายเป็นหนึ่งในสิบศิษย์แกนนำของนิกายปีศาจ เรื่องนี้ถึงได้ค่อยๆ แพร่กระจายไปถึงหูผู้ฝึกปราณกับตระกูลที่มีชื่อเสียง
ด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ กับตระกูลเล็กๆ บางตระกูลถึงได้รู้ตัวในฉับพลัน พวกเขาต่างก็รีบพากันมาพึ่งพาตระกูลไป๋ หรือบ้างก็พาตัวเองมาเป็นแขกของตระกูลไป๋ ทำให้ตระกูลไป๋เหนือว่าตระกูลผู้ฝึกปราณอื่นๆ ภายในคืนเดียว ดูเหมือนว่าตระกูลไป๋จะครอบคลุมอิทธิพลเกือบครึ่งหนึ่งของเมืองหลูสุ่ย
ในชั่วระยะเวลาเดียว ตระกูลไป๋ก็เจริญรุ่งเรืองอย่างสุดขีด
ด้านหน้าของจวนตระกูลไป๋ที่กินอาณาเขตหลายหมู่ในวันนี้ มีชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเขียวยืนอยู่ เขาเงยหน้ามองดูแผ่นป้ายขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่บนประตูใหญ่ หลังจากใช้สายตากวาดมองข้ารับใช้อกผายไหล่ผึ่งเอวกลมทั้งสี่ที่ยืนอยู่นอกประตูอย่างเฉยเมยแล้ว เขาก็ก้าวเท้าเดินเข้าประตูใหญ่
“ที่นี่คือจวนตระกูลไป๋ ท่านเป็นใครถึงได้กล้าบุกรุก!”
ข้ารับใช้ทั้งสี่ที่เฝ้าประตูอยู่ย่อมไม่อาจให้คนแปลกหน้าบุกเข้าไปเช่นนี้ได้ พวกเขาจึงขวางประตูใหญ่ไว้ ชายหนุ่มผิวดำร่างท้วมที่เป็นหัวหน้า จ้องมองและตะคอกใส่หลิ่วหมิงทีหนึ่ง
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาตาถึง และมองออกว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่คนธรรมดา เกรงว่าคงจะเรียกคนอื่นๆ มารุมตีชายหนุ่มผู้นี้ตั้งนานแล้ว
ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือหลิ่วหมิงที่เพิ่งมาถึงอย่างเร่งรีบ พอเห็นฉากนี้เขาก็โยนป้ายหยกสีเหลืองอ่อนออกไป ขณะเดียวกันก็กล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“นำของสิ่งนี้ไปให้นายท่านของจวนแล้วบอกว่าข้ามาแล้ว”
ป้ายหยกนี้คือสิ่งของที่ไป๋ชงเทียนตัวจริงพกติดตัวในปีนั้น ในตอนที่เขาสวมรอยเป็นไป๋ชงเทียน เขาก็ได้พกป้ายหยกนี้เข้าไปในนิกายปีศาจด้วย ตอนนี้ได้ใช้ประโยชน์จากมันแล้ว
“ข้ามาแล้ว? คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร หรือว่าเจ้าหยอกล้อข้าเล่น!” ข้ารับใช้อ้วนดำรับป้ายหยกไว้ได้ แต่คำพูดของหลิ่วหมิงในตอนท้ายทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนไป
อย่างที่รู้ว่าช่วงสองเดือนนี้อิทธิพลของตระกูลไป๋เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ตอนนี้ข้ารับใช้เหล่านี้ก็พลอยได้หน้าไปด้วย เวลาไปเดินข้างนอกไม่มีใครกล้าหาเรื่องพวกเขา ตอนนี้อยู่ๆ ก็มีชายหนุ่มเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้น ทั้งยังพูดคำพูดที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุ ย่อมทำให้พวกเขารู้สึกโกรธขึ้นมา
เมื่อหลิ่วหมิงได้ยินก็เพียงแค่จ้องมองข้ารับใช้อ้วนดำด้วยสายตาเยือกเย็น จากนั้นก็ถอยไปหนึ่งก้าว
“เจ้าจะทำอะไร คิดว่าถอยไปเล็กน้อยแล้วข้าจะไม่กล้า…เอาเถอะ! ท่านรอสักครู่ ข้าจะส่งป้ายหยกเข้าไปในจวนเดี๋ยวนี้” ข้ารับใช้อ้วนดำกล่าวด้วยใบหน้าดุร้าย แต่พอมองไปยังพื้นที่ที่หลิ่วหมิงเคยยืนอยู่ ใบหน้าก็ซีดขาวลง และยังพูดจาติดอ่างด้วย
ข้ารับใช้อีกสามคนก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่พอมองไปบนพื้นก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
ไม่รู้ว่ามีรอยเท้าลึกสองรอยปรากฏอยู่บนพื้นหินสีดำมันขลับตั้งแต่เมื่อไหร่ รอยเท้านี้ลึกชุ่นกว่าๆ มองเห็นได้อย่างแจ่มชัด ราวกับว่าช่างหินตั้งใจแกะสลักมันมา
ข้ารับใช้ของตระกูลไป๋เหล่านี้ ย่อมเคยสัมผัสกับผู้ฝึกปราณมาแล้ว และพวกเราจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่คนธรรมดาได้อย่างไร ดังนั้นตอนนี้พวกเขาจึงดูเชื่อฟังเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงจ้องมองชายอ้วนดำถือป้ายหยกเข้าประตูใหญ่ไปอย่างรวดเร็ว และตัวเขาเองก็ยืนรอหน้าประตูอย่างเงียบๆ
เวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป!
พลันมีเสียงกลองและดนตรีดังมาจากในจวนตระกูลไป๋ ตามด้วยเสียงต้อนรับอันไพเราะ ข้ารับใช้แต่งกายเรียบร้อยเดินเรียงกันมาเป็นสองแถว จากนั้นชายชราผมขาวก็เดินออกมาจากในจวน หลังจากที่เขาเขม้นตามองมาก็พบกับหลิ่วหมิงที่ยืนรออยู่หน้าประตูใหญ่ เขารีบเดินออกมาด้วยรอยยิ้ม และโค้งตัวกล่าวอย่างนอบน้อม
“นายน้อยชงเทียน ในที่สุดท่านก็กลับมา หลายวันก่อนนายท่านกับคุณหนูยังพูดกันอยู่เลยว่าในช่วงนี้ท่านอาจจะกลับจวน คิดไม่ถึงว่าวันนี้ข้าน้อยจะได้เห็นนายน้อยจริงๆ ถ้าหากว่านายท่านกับคุณหนูรู้เข้าคงจะต้องดีใจอย่างแน่นอน”
“ท่านคือใคร รู้จักข้าหรือ?” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“นายน้อยล้อข้าน้อยเล่นแล้ว ข้าน้อยไป๋ผานไง! ข้าน้อยเห็นท่านตั้งแต่เล็กจนโต” ชายชรายังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
……………………………………….
ตอนที่ 165 เจรจาลับ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ไป๋ผาน?” หลิ่วหมิงจ้องมองชายชราที่ไม่แสดงความผิดปกติใดๆ จากนั้นก็พยักหน้าแล้วเดินเข้าข้างในโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
ด้วยสายตาของเขา เขามองออกว่าขายชราตรงหน้าเป็นผู้ฝึกปราณที่มีพลังไม่น้อย แต่ทำไมเขาจะต้องใส่ใจด้วยล่ะ
ไป๋ผานรีบเดินนำไป และกล่าวออกมาอย่างนอบน้อม
“ตอนนี้นายท่านกับคุณหนูไปคุยธุระนอกเมือง แต่ข้าให้คนขี่ม้าเร็วไปแจ้งข่าวเรื่องนายน้อยกลับจวนแล้ว เชื่อว่านายท่านกับคุณหนูคงกลับถึงจวนในวันพรุ่งนี้ ตอนนี้ข้าจะเตรียมเรือนเก่าของนายน้อยให้ก่อน”
“ไม่อยู่ในจวน! ตอนนี้ใครเป็นคนดูแลจวนไป๋กันแน่” หลิ่วหมิงถามไปหนึ่งประโยค
“เรียนนายน้อย ตอนนี้รองนายท่านเป็นคนดูแลจวนอยู่ ส่วนนายท่านสามเก็บตัวฝึกฝนมาหลายวันแล้ว” ไป๋ผานตอบตามตรง
“อืม! ข้าไม่สนว่าตอนนี้ใครจะเป็นคนดูแลจวน ข้าหวังว่าพรุ่งนี้จะได้เจอนายท่านที่แท้จริง มิเช่นนั้น…ฮึ! ดูจากท่าทีของเจ้าคงรู้สถานะที่แท้จริงของข้าแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่พูดอะไรมาก” หลิ่วหมิงกวาดสายตามองชายชราอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด
“นายน้อยล้อข้าน้อยเล่นแล้ว ข้าน้อยจะไปรู้เรื่องอะไรได้อย่างไร แต่นายน้อยวางใจเถอะ! เชื่อว่าพรุ่งนี้นายท่านกับคุณหนูจะต้องมาพบนายน้อยชงเทียนด้วยตัวเองอย่างแน่นอน” ชายชราได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป แต่ก็รีบตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วหมิงทำหน้านิ่งไร้ความรู้สึกแล้วก็ไม่กล่าวอะไรออกมา เขาเดินตามชายชราไปทางทิศตะวันออก และหลังจากที่เลี้ยวไปเลี้ยวมา ไม่นานก็มาถึงลานที่พักที่เงียบงัดเป็นพิเศษแห่งหนึ่ง
ด้านหน้าเรือนนี้มีสาวใช้ใบหน้าสวยงามสองคนยืนอยู่ พวกนางสวมชุดสีเหลืองและสีแดง อายุราวๆ สิบห้าถึงสิบหกปี พอพวกนางเห็นชายชราเข้ามาก็รีบแสดงความเคารพและกล่าวขึ้นพร้อมกัน
“คารวะพ่อบ้านใหญ่!”
“เหมยจู เหมยหลาน รีบมาพบนายน้อยชงเทียนเร็วเข้า”
ต่อไปพวกเจ้าทั้งสองต้องรับผิดชอบดูแลเสื้อผ้า อาหาร ที่พัก และการเดินทางของนายน้อย ถ้าหากดูแลไม่ดีจะถูกลงโทษตามกฎของจวน! นายน้อยชงเทียนท่านพอใจกับนางทั้งสองหรือไม่? ถ้าหากไม่เข้าตาท่านล่ะก็ ข้าจะเปลี่ยนให้ทันที แล้วหาคนใหม่มารับใช้ท่าน” ไป๋ผานให้ทั้งสองลุกขึ้นมาก่อน จากนั้นก็กล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“เอาพวกนางนั่นแหละ!” หลิ่วหมิงกวาดตามองหญิงสาวตรงหน้าแล้วกล่าวออกมา
“ทราบ! ถ้าอย่างนั้นนายน้อยท่านพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าน้อยขอลา ถ้าต้องการอะไรล่ะก็สั่งพวกนางทั้งสองได้เลย” ไป๋ผานกล่าวอย่างนอบน้อม
หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในเรือนอย่างไม่เกรงใจ เหมยจู เหมยหลาน ก็รีบเดินตามเข้าไป
เมื่อไป๋ผานเห็นประตูเรือนปิดแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าเขาก็ค่อยๆ หายไป เขายืนขมวดคิ้วงงงันอยู่ที่เดิมซักพักถึงได้หมุนตัวจากไป
และพอเขาเดินไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ ก็พลันมีเงาร่างชายวัยกลางคนที่ดูฉลาดเฉียบแหลมเคลื่อนตัวออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างทางเดินเล็กๆ เขาเดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงด้านหน้าของชายชราแล้วกล่าวอย่างนอบน้อม
“พ่อบ้านใหญ่ ข้าเตรียมคนไว้พร้อมแล้ว เพียงแค่คนผู้นี้ออกจากเรือน พวกเราก็รู้ได้ในทันที”
“คนผู้นี้อะไรกัน ต้องเรียกนายน้อยชงเทียน ตราบใดที่นานท่านและคุณหนูใหญ่ยังไม่เปลี่ยนคำพูด เขาก็ยังเป็นนายน้อยที่แท้จริงของจวนไป๋อย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้ให้คนของเจ้าถอยออกไปให้หมด เจ้าคิดว่านายน้อยชงเทียนเป็นคนระดับไหน? คนธรรมดาเหล่านี้ไม่สามารถหลุดพ้นสายตาเขาไปได้ ถึงแม้เจ้าจะเป็นพ่อบ้านและโชคดีรู้เรื่องนี้เข้า แต่ไม่อาจตัดสินใจทำอะไรโดยพลการได้” ไป๋ผานจ้องมองชายวัยกลางคนครู่หนึ่งแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น
“ทราบ! ข้าจะให้คนเหล่านี้ถอนตัวกลับไปให้หมด” ชายวัยกลางคนได้ยินก็สะดุ้งโหยง จากนั้นก็รีบโค้งตัวกล่าวตอบรับ
ชายชรากล่าวกำชับอีกสองประโยคแล้วก็เอามือไขว้หลังเดินจากไป
ชายวัยกลางคนลุกขึ้นมา และมองตามหลังชายชราด้วยความเกลียดชัง จากนั้นก็ทำเสียงฮึดฮัดก่อนที่จะเดินไปเส้นทางเล็กๆ อีกทาง
ผ่านไปไม่นานชายชราก็เดินผ่านลานบ้านสองสามแห่ง และแนวป้องกันสองสามชั้นก่อนที่จะมาถึงห้องที่ดูธรรมดาๆ และเคาะประตูเบาๆ
“ไป๋ผานหรือ เข้ามาเถอะ!” เสียงผู้ชายดังออกมาจากในห้อง
“ใช่แล้วนายท่าน” ชายชราตอบรับแล้วก็ค่อยๆ ผลักประตูเดินเข้าไป
กลางห้องโถงที่ไม่ค่อยใหญ่มากนัก มีชายสองคนกับหญิงหนึ่งคนรออยู่ที่นั่นนานแล้ว
ชายทั้งสองมีใบหน้าค่อนข้างคล้ายกันมาก แต่คนหนึ่งดูเป็นหนอนหนังสือ อายุประมาณห้าสิบกว่าปี อีกคนหนึ่งอายุสี่สิบกว่าๆ รูปร่างกำยำล่ำสัน สะพายดาบยาวสามฉื่ออยู่ที่เอว
ผู้หญิงกลับเป็นหญิงชราที่อายุหกสิบกว่าๆ มีรอยเหี่ยวย่นเต็มใบหน้า แต่มือค้ำยันไม้เท้าทองสัมฤทธิ์อยู่ แลดูมีกำลังวังชาและกระฉับกระเฉง
“ข้าน้อยคารวะผู้อาวุโส นายท่าน รองนายท่าน!” ไป๋ผานก้าวไปข้างหน้าแล้วคารวะทั้งสาม
“พ่อบ้านไป๋ เจ้าไม่ใช่คนนอก มาถึงเวลานี้แล้วยังต้องมากพิธีอยู่อีก จัดการที่พักให้คนผู้นั้นเรียบร้อยหรือยัง เขาได้พูดอะไรกับเจ้าหรือไม่” ชายที่ดูเป็นหนอนหนังสือโบกมือแล้วถามออกมาอย่างเร่งรีบ
“เรียนนายท่าน ข้าจัดการให้คนผู้นี้ไปอยู่ที่เรือนเก่าของนายน้อยชงเทียน และยังให้เหมยจู เหมยหลานไปรับใช้แล้ว ส่วนเขาพูดอะไรบ้างนั้นหรือ นอกจากจะพูดว่าพรุ่งนี้จะต้องพบนายท่านกับคุณหนูใหญ่ให้ได้แล้วก็ไม่พูดอย่างอื่นอีก” ไป๋ผานกล่าวอย่างนอบน้อม
ประจักษ์ชัดว่าชายที่ดูเป็นหนอนหนังสือผู้นั้นคือ ‘ไป๋ซิงหลิว’ ผู้ที่เป็นนายท่านของจวนตระกูลไป๋นั่นเอง
“พูดแค่นี้เองเหรอ ได้พูดถึงเรื่องการแต่งงานกับตระกูลมู่ไหม?” ชายรูปร่างกำยำล่ำสันกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“เรียนรองนายท่าน ไม่ได้พูดถึงเลย” ชายชราตอบโดยไม่ต้องคิด
ชายรูปร่างกำยำล่ำสันคือรองนายท่านของตระกูลไป๋นั่นเอง
“เขามีท่ามีอย่างไรบ้าง มีอะไรที่ดูผิดปกติหรือไม่?” หญิงชราถาม
“เรียนผู้อาวุโส คนผู้นี้มีท่าทีนิ่งสงบ ข้าน้อยเดาความคิดของเขาไปออกเลยแม้แต่น้อย” ไป๋ผานฝืนยิ้มกล่าวออกมา
“อย่างนี้ก็หมายความว่าคนผู้นี้อายุยังน้อยแต่มีความคิดล้ำลึกมาก ดูท่าจะไม่สามารถตบตาเขาได้ง่ายๆ” ชายที่ดูเป็นหนอนหนังสือได้ยินก็คิ้วขมวดขึ้นมา
“คนผู้นี้สามารถใช้ชื่อของตระกูลไป๋เราเข้าไปนิกายปีศาจ และยังกลายเป็นศิษย์ของนิกายได้ ทั้งยังได้เป็นหนึ่งในสิบศิษย์แกนนำจากการประลองใหญ่ เขาจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน ไม่รู้ว่าเงื่อนไงที่เราเคยพูดคุยกันในก่อนหน้านั้นจะยังโน้มน้าวใจคนผู้นี้ได้หรือเปล่า” ชายรูปร่างกำยำล่ำสันถอนหายใจเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา
“ถ้าไม่สามารถโน้มน้าวได้ ก็เพิ่มผลประโยชน์ให้เขาอีกสักหน่อย ตระกูลไป๋เรารอมานานถึงขนาดนี้ มันไม่ง่ายเลยที่จะคว้าโอกาสอันดีตรงหน้านี้ได้ ข้าจะไม่ยอมให้ตระกูลเราตกไปอยู่ในสถานะเดิมเด็ดขาด” หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด
“ท่านแม่ คนผู้นี้เป็นศิษย์จิตวิญญาณเราไม่อาจดูแคลนตำแหน่งในนิกายของเขาได้ ภายใต้การกดดันนี้ เกรงว่าผู้ฝึกปราณอย่างพวกเราไม่อาจเจรจากับเขาได้โดยตรง ดังนั้นลูกจึงเลือกที่จะยังไม่พบกับเขา และได้ส่งคนไปแจ้งเรื่องให้กับเยียนเอ๋อร์แล้ว ถึงแม้เยียนเอ๋อร์จะเป็นศิษย์ธรรมดาของนิกายจันทราสวรรค์ แต่อิทธิพลของนิกายจันทราสวรรค์นั้นไม่ใช่เรื่องที่นิกายปีศาจจะเทียบได้ ถ้ามีเยียนเอ๋อร์อยู่ด้วย พวกเราถึงจะเจรจากับคนผู้นี้ได้ง่ายขึ้น” ไป๋ซิงหลิวกล่าว
“เยียนเอ๋อร์ไปรับคนแล้วสินะ! เป็นแค่ผู้ส่งสาส์นจากตระกูลมู่เท่านั้นใยต้องให้เยียนเอ๋อร์ไปรับเองด้วย” รองนายท่านตระกูลไป๋กล่าวอย่างไม่พอใจ
“เจ้ารอง เจ้าไม่รู้อะไร ผู้ส่งสาส์นตระกูลมู่ในครั้งนี้ไม่ใช่ผู้ฝึกปราณทั่วไป ได้ยินมาว่าเขาเป็นศิษย์จิตวิญญาณของหุบเขาเก้าช่อง ตระกูลไป๋ของพวกเราไม่อาจเมินเฉยได้จึงต้องให้เยียนเอ๋อร์ออกไปรับด้วยตนเอง” หญิงชราปราดตามองชายรูปร่างกำยำล่ำสันอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ แต่ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กเยียนเอ๋อร์จะกลับมาทันพรุ่งนี้ไหม!” รองนายท่านตระกูลไป๋รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา
“วางใจเถอะ! เมื่อวานข้าได้รับข่าวว่าเยียนเอ๋อร์กำลังพาผู้ส่งสาส์นเที่ยวชมทัศนียภาพตรงปากทางข้ามฟากเฟยเฮ่อที่อยู่นอกเมือง ขอเพียงนางได้รับข่าวจากเรา เชื่อว่านางจะต้องรีบกลับมาโดยเร็ว” ไป๋ซิงหลิวกล่าวอย่างมั่นใจ
“อย่างนี้ก็ดีสิ! แต่พอถึงเวลานั้นผู้ส่งสาส์นจากตระกูลมู่ก็ต้องตามเยียนเอ๋อร์มาที่นี่ด้วยไม่ใช่หรือ ถ้าหากได้พบกับเจ้าเด็กนั่น คงไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้นหรอกนะ!” ชายรูปร่างกำยำล่ำสันกล่าวด้วยท่าทีงุนงง
“วางใจเถอะ! ถึงแม้พวกเราจะคาดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะมาตระกูลไป๋เร็วขนาดนี้ แต่การที่จะถ่วงเวลาผู้ส่งสาสน์ตระกูลมู่สักวันสองวัน ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร อีกอย่างการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูลไป๋กับตระกูลมู่ก็เป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย มิเช่นนั้นตระกูลมู่คงไม่ให้ศิษย์จิตวิญญาณมาส่งสาส์นหรอก ต่อให้ไม่มีเรื่องการแต่งงานกัน แต่ไมตรีนี้ก็ไม่อาจตัดขาดได้โดยง่าย สิ่งที่สำคัญในตอนนี้ก็คือ ตระกูลไป๋เราอาศัยแค่ศิษย์จิตวิญญาณอย่างเยียนเอ๋อร์เพียงคนเดียว มันไม่เพียงพอต่อการควบคุมอิทธิพลของของตระกูลไป๋ในตอนนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม พวกเราจะต้องอาศัยชื่อเสียงหนึ่งในสิบศิษย์แกนนำของนิกายปีศาจมารักษากิจการพื้นฐานของเราไว้ให้ได้” หญิงชรากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“อย่างนี้ก็กล่าวได้ว่า ตระกูลไป๋เราจะเจริญรุ่งเรืองหรือตกต่ำก็ขึ้นอยู่กับผลการเจรจากับเจ้าเด็กนั่นในวันพรุ่งนี้สินะ!” รองนายท่านตระกูลไป๋ยิ้มขมขื่นออกมาอย่างอดไม่ได้
“มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ถ้าผู้ที่กลายเป็นหนึ่งในสิบศิษย์แกนนำนิกายปีศาจผู้นั้นเป็นชงเทียนตัวจริงล่ะก็ มันคงจะดีมากเลย อย่างน้อยก็สามารถปกป้องตระกูลไป๋เราให้เจริญรุ่งเรืองไปอีกนาน” หญิงชราค่อยๆ กล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่เสียดายอย่างสุดขีด
“ฮึ! ท่านแม่ไม่ต้องพูดถึงไอ้คนไม่เอาไหนพรรค์นั้น เป็นถึงผู้ฝึกปราณแต่กลับตายในน้ำมือโจรกระจอก ต่อให้เขาไปเข้าร่วมพิธีเปิดจิตวิญญาณจริงๆ ก็ไม่สามารถมีชีวิตรอดไปได้” ไป๋ซิงหลิวกลับกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด
“แต่ถ้าจะให้เจ้าเด็กนั่นมาเป็นคนของตระกูลเราไป๋เราจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้” รองนายท่านตระกูลไป๋ลูบคางไปมาก่อนที่จะกล่าว
“เอ๋! ความหมายของน้องรองคือ…” ไป๋ซิงหลิวได้ยินก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย
“ก่อนหน้านั้นตระกูลไป๋เราอาศัยสถานะศิษย์จิตวิญญาณของเยียนเอ๋อร์มาประคับประคองตระกูลไว้ได้ พวกเราจึงไม่ยอมให้นางแต่งงานง่ายๆ แต่อายุของนางในตอนนี้ก็สมควรจะแต่งงานได้แล้ว” รองนายท่านตระกูลไป๋พลันกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“อะไรนะ! น้องรองคิดที่จะใช้เยียนเอ๋อร์ผูกมัดเจ้าเด็กนี้ไว้ ทำแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด!” ไป๋ซิงหลิวได้ยินก็ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น