อัจฉริยะสมองเพชร 1618-1631

 ตอนที่ 1618

 

ขุมสมบัติตระกูลหลัว

 


เพราะแต่ละคนฝึกฝนเทคนิควรยุทธที่แตกต่างกัน จึงไม่มีกรรมวิธีเฉพาะในการฝ่าด่านวรยุทธจากนักรบระดับเซียนขั้น 9 ไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ดังนั้น จางเซวียนจึงสามารถใช้ภูมิปัญญาของเหล่าบรรพบุรุษสำหรับเป็นความรู้อ้างอิงในการค้นหาเส้นทางที่เหมาะสมกับเขาเท่านั้น


“ภูมิปัญญาและกรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่? ตระกูลหลัวของเรามีบรรพบุรุษมากมายนับไม่ถ้วนที่สำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เราจึงมีหนังสือเรื่องนั้นอยู่จำนวนมาก แต่ก็ใช้เป็นเพียงความรู้เพื่ออ้างอิงเท่านั้น คุณจะพยายามฝึกฝนมันโดยตรงไม่ได้…” หลัวกั้นเจินเตือน


ภูมิปัญญาของเหล่าบรรพบุรุษถือเป็นแหล่งของแรงบันดาลใจ แต่เพราะนักรบทุกคนมีสภาวะที่ต่างกัน เรื่องราวที่ประสบมาก็ต่างกัน ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาต้องใช้ในการฝ่าด่านวรยุทธจึงแตกต่างกันไปด้วย ถ้าใครสักคนพยายามจะเดินตามเส้นทางของใครอีกคนหนึ่งอย่างหูหนวกตาบอดโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ก็มีโอกาสที่ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถฝ่าด่านวรยุทธได้ แต่วรยุทธยังอาจถูกธาตุไฟเข้าแทรกด้วย


“ขอบคุณสำหรับคำเตือน ผมจะจำไว้” จางเซวียนตอบพร้อมกับพยักหน้า


เห็นทีท่าของชายวัยกลางคน หลัวกั้นเจินรีบพูดต่อพร้อมกับยิ้มให้ “คุณคือนักรบที่ปราดเปรื่องที่สุดในชั่วระยะเวลาหลายหมื่นปีของประวัติศาสตร์ตระกูลหลัวของเรา ดังนั้น คุณก็คงรู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้วต่อให้ผมไม่ต้องบอก กรุณาตามผมมาเถอะ!”


ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถทำความเข้าใจแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติได้ ความเก่งกาจของเขาก็ถือว่าเป็นเลิศ หลัวกั้นเจินคงกลายเป็นสิ่งกวนใจหากเขาย้ำเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก


รู้ดีว่าจางเซวียนกำลังจะไปอ่านหนังสือ หลัวลั่วชิงพยักหน้า “ไปเถอะ ฉันจะรอคุณอยู่ที่นี่”


“ได้ เดี๋ยวผมกลับมานะ” จางเซวียนพูดก่อนจะจากไปพร้อมกับหลัวกั้นเจิน ไม่ช้าทั้งคู่ก็มาถึงหอสมุด


“หอสมุด 3 ชั้นล่างเปิดให้กับสมาชิกฝ่ายในของตระกูลหลัว ส่วนที่นอกเหนือไปจากนั้น ก็มีแต่เหล่าผู้อาวุโสเท่านั้นที่เข้าถึงได้…ภูมิปัญญาสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จะอยู่ในชั้นที่สูงกว่านั้นอีก” หลัวกั้นเจินอธิบายขณะพาจางเซวียนขึ้นไปชั้น 4


จางเซวียนกวาดสายตามองหนังสือจำนวนมากที่อยู่รอบตัวเขา และรับรู้ได้ว่าส่วนใหญ่เป็นการจดบันทึก บันทึกเหล่านี้มีตัวอักษรที่ยุ่งเหยิงมากมาย และบางส่วนก็พร่าเลือนหรือมีบางหน้าขาดหาย เป็นผลกระทบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากการถูกเก็บรักษาไว้เป็นระยะเวลานาน


“หนังสือพวกนี้ไม่มีระบบความคิดหรือรูปแบบที่ชัดเจน ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการอ้างอิงเท่านั้น เชิญคุณเลือกดูได้ตามสบาย และถ้ามีอะไรที่คุณต้องการก็เรียกผมได้” หลัวกั้นเจินพูด


“ขอบคุณมากสำหรับความช่วยเหลือ ผมจะขอเดินดูรอบๆเท่านั้น ถ้ามีปัญหาอะไรจะเรียกคุณก็แล้วกัน” เมื่อพูดจบ จางเซวียนก็รีบเดินกวาดสายตาไปตามชั้นหนังสือ


เห็นแบบนั้น หลัวกั้นเจินจึงจากไปอย่างเงียบๆ


ไม่นานหลังจากหลัวกั้นเจินจากไป จางเซวียนก็รีบถ่ายโอนหนังสือจากชั้นต่างๆขณะพึมพำ ‘ข้อบกพร่อง’ ในใจ เขาใช้เวลาราว 10 นาทีในการถ่ายโอนทุกอย่างในชั้นนี้เข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า


ประมวล! จางเซวียนเพ่งสมาธิ แล้วหนังสือเล่มใหม่เอี่ยมก็ปรากฏ


เขารีบพลิกดูและอ่านอย่างรวดเร็ว


ถึงภูมิปัญญาเหล่านี้จะยังไม่สามารถประมวลขึ้นเป็นเคล็ดวิชาเทียบฟ้าได้ แต่ก็ทำให้เรามีความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นว่าการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่นั้นเป็นอย่างไร


ขั้นการพักฟื้นภายใน, โดยพื้นฐานแล้วคือความสามารถในการกระจายการรับรู้จิตวิญญาณเข้าสู่ทุกเซลล์และทางเดินพลังปราณทุกเส้นในร่างกาย สิ่งนี้จะทำให้นักรบสามารถแก้ไขข้อบกพร่องภายในร่างกายและยกระดับกายเนื้อของตัวเองให้สูงกว่าขีดจำกัดของนักรบระดับเซียนขั้น 9… ในเวลาเดียวกัน การปรับปรุงสภาวะของกายเนื้อก็จะทำให้ผู้นั้นมีอายุขัยยืนยาวขึ้น สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ยาวนานกว่าเดิม


เมื่อสำเร็จวรยุทธระดับเซียนขั้น 2-การรับรู้จิตวิญญาณ นักรบจะสามารถเปิดดวงตาที่สาม ทำให้มองทะลุสภาวะร่างกายของตัวเองได้โดยใช้การรับรู้จิตวิญญาณ ซึ่งสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นการพักฟื้นภายใน ผู้นั้นจะต้องขัดเกลาการรับรู้จิตวิญญาณให้ละเอียดพอที่จะซึมซาบเข้าไปในทุกเซลล์


แม้จะฟังดูง่ายๆ แต่ก็มีอานุภาพน่าทึ่งไม่น้อย ถ้าเซลล์ของนักรบผู้นั้นได้รับความบอบช้ำหรือมีแบคทีเรียหรือไวรัสเข้าแทรก พวกเขาก็จะมองทะลุต้นตอของปัญหาได้โดยใช้การรับรู้จิตวิญญาณและส่งพลังปราณเข้าไปเพื่อแก้ไขความผิดปกตินั้น ด้วยสิ่งนี้ นักรบจะมั่นใจได้ว่ากายเนื้อของพวกเขาจะอยู่ในภาวะแข็งแกร่งสูงสุดอยู่เสมอ ทำให้สามารถปลดปล่อยพละกำลังเต็มพิกัดได้ทุกเมื่อ


แม้นักรบระดับเซียนโดยทั่วไปจะมีอายุขัยราว 1 พันปี แต่สภาวะของกายเนื้อของพวกเขาก็จะเริ่มเสื่อมโทรมเมื่ออายุได้ 800 ปี ทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ถดถอยด้วย ในเวลาเดียวกัน การทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกายที่ด้อยประสิทธิภาพลงก็จะทำให้การฝ่าด่านวรยุทธยากขึ้นเรื่อยๆ


‘ผลักดันตัวเองให้ถึงขีดสุดเมื่อยังอ่อนวัยและมีเรี่ยวแรง’ ประโยคนี้เป็นประโยคที่พูดกันทั่วไปในหมู่ปรมาจารย์


เมื่อการทำงานของกายเนื้อเริ่มถดถอย การฝ่าด่านวรยุทธก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ ต่อให้พยายามสักแค่ไหนก็ตาม นี่คือเหตุผลที่มีสิ่งที่เรียกกันว่า ‘ช่วงเวลาทองของการฝึกฝนวรยุทธ’


แต่ข้อจำกัดนี้จะหมดสิ้นไปสำหรับผู้ที่สำเร็จวรยุทธขั้นการพักฟื้นภายในแล้ว


ความสามารถในการกระจายการรับรู้จิตวิญญาณเข้าสู่ทุกเซลล์ในร่างกายจะทำให้ผู้นั้นสามารถซ่อมแซมและแทนที่เซลล์ที่เสื่อมสภาพด้วยเซลล์ใหม่ ทำให้ร่างกายอยู่ในสภาวะแข็งแกร่งสูงสุดได้ตลอดเวลา หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้นั้นจะสามารถสำแดงพละกำลังเต็มพิกัดได้เหมือนเมื่อครั้งที่อายุยังน้อย!


ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้อายุขัยของผู้นั้นใกล้จะสิ้นสุดแล้ว แต่หากมีแรงบันดาลใจใหม่ๆสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธเข้ามา ก็ยังสามารถยกระดับวรยุทธได้อีก


ดังนั้น ยิ่งนักรบที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แก่ตัวลงเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งไร้เทียมทานมากขึ้นเท่านั้น ตรงกันข้ามกับนักรบระดับเซียน ซึ่งเมื่อยิ่งแก่ตัวไปก็ยิ่งอ่อนแอ และมีโอกาสจะได้รับความบอบช้ำมากกว่านักรบที่อายุยังน้อย


ด้วยการฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้าซึ่งปราศจากข้อบกพร่อง พลังปราณของเราจึงบริสุทธิ์กว่านักรบคนอื่นๆมาก สิ่งนี้ทำให้การฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของเรายากขึ้นไปอีก…


จางเซวียนส่ายหัวอย่างจนปัญญาขณะทำความเข้าใจภูมิปัญญาที่เขาเพิ่งประมวลขึ้น


ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ต่อให้อ่านหนังสือมาแล้วมากมาย เขาก็ยังไม่พบวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธของตัวเอง


ช่างมันเถอะ ถ่ายโอนหนังสือพวกนี้ไว้ก่อนก็แล้วกัน ถ้ายังใช้ไม่ได้ล่ะก็ เราจะไปถ่ายโอนหนังสือที่ตระกูลจางด้วย ตระกูลจางก็คงมีภูมิปัญญาของเหล่าบรรพบุรุษอยู่เหมือนกัน…


รู้ดีว่าไม่อาจรีบร้อนในเรื่องแบบนี้ จางเซวียนจึงระงับความร้อนรนและมุ่งหน้าไปยังชั้นที่สูงขึ้น


ในเมื่อหนังสือในชั้นนี้มีรายละเอียดเกี่ยวกับภูมิปัญญาในการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ หนังสือในชั้นที่สูงกว่านี้ก็คงจะเป็นภูมิปัญญาของวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในขั้นที่สูงขึ้นอีก


จางเซวียนใช้เวลาไม่นานในการถ่ายโอนหนังสือ และขึ้นไปถึงชั้นสูงสุดของหอสมุด


ตอนที่เขาออกจากหอสมุด ก็เห็นหลัวกั้นเจินยังคงรออยู่แถวๆนั้น จึงเดินเข้าไปหาหลัวกั้นเจินและยิ้มให้ “ผมคิดว่าผมต้องการหินวิเศษขั้นสูงสุดจำนวนหนึ่งและของล้ำค่าบางอย่างที่มีพลังจิตวิญญาณสูงเพื่อการฝ่าด่านวรยุทธ ไม่ทราบว่ามีที่ไหนในตระกูลของเราที่ผมจะหาทรัพยากรเหล่านี้ได้ และมีข้อจำกัดหรือไม่ว่าตัวผมในฐานะหัวหน้าตระกูลจะมีโอกาสได้รับทรัพยากรแค่ไหน?”


หลังจากอ่านหนังสือทั้งหมดแล้ว จางเซวียนก็รู้ตัวว่าเขาต้องการหินวิเศษจำนวนไม่น้อยเพื่อการฝ่าด่านวรยุทธครั้งนี้


เซียนดาบชิงเคยเปรยกับเขาว่าบรรดาตระกูลนักปราชญ์ชั้นสูงนั้นมีทรัพย์สมบัติมากแค่ไหน ในเมื่อตระกูลหลัวก็เป็นหนึ่งในตระกูลนักปราชญ์ชั้นสูงเช่นกัน หินวิเศษขั้นสูงสุดเพียงไม่กี่ก้อนและของล้ำค่าที่มีพลังจิตวิญญาณสูงก็คงจะไม่ถือว่ามากเกินไปสำหรับพวกเขา


ดังนั้น จางเซวียนจึงแจ้งความประสงค์นี้โดยไม่อ้อมค้อม


“มีโควต้าอยู่ว่าหัวหน้าตระกูลจะได้รับทรัพยากรในปริมาณเท่าไหร่ แต่ในเมื่อคุณเพิ่งสร้างคุณงามความดีครั้งใหญ่ให้กับตระกูลหลัวของเรา เหล่าผู้อาวุโสจึงลงมติเป็นเอกฉันท์ที่จะมอบทรัพยากรของตระกูลหลัวให้คุณตามแต่คุณจะต้องการ!” หลัวกั้นเจินพูดขณะนำทางไป


ไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงขุมสมบัติ


“นี่คือสถานที่ที่เราเก็บทรัพยากรและทรัพย์สมบัติต่างๆของตระกูลหลัวไว้ ของรางวัลที่เรามอบให้กับสมาชิกของตระกูลที่สร้างคุณงามความดีก็ล้วนมาจากที่นี่ ท่านหัวหน้า, เชิญเดินดูรอบๆได้ตามสบาย ถ้าคุณสนใจสิ่งไหนก็หยิบไปได้เลย ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจ”


“ขอบคุณมาก!” นึกไม่ถึงว่าจะได้สิทธิพิเศษขนาดนี้จากการรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลหลัว จางเซวียนนัยน์ตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น


ถ้าเขาสามารถนำทุกอย่างในขุมสมบัติแห่งนี้ไปได้…มันจะหนักเกินกำลังไหมถ้าเขาจะเก็บทุกอย่างที่นี่เข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ?


ถ้าทำได้ เขาก็จะไม่ต้องกังวลเรื่องทรัพยากรในการฝึกฝนวรยุทธอีกต่อไป!


แต่นั่นก็เป็นความคิดที่แวบเข้ามาเท่านั้น จางเซวียนไม่ได้คิดจะทำ หลักการและคุณธรรมในใจเขาไม่อนุญาตให้เขาทำอะไรแบบนั้น


เขาเป็นปรมาจารย์ ไม่ใช่นักย่องเบา! ต่อให้เขามาที่นี่เพื่อชดเชยให้คนเหล่านี้ ก็ยังถือเป็นความชั่วร้ายอยู่ดีหากเขาจะคว้าทุกสิ่งที่อยู่ในนี้ไปทั้งหมด เขาไม่ได้มีความเคืองแค้นอะไรกับตระกูลหลัว และการกระทำแบบนั้นจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงแม้กับตระกูลหลัวผู้มั่งคั่ง!


มีชั้นวางของหลายชั้นในขุมสมบัติแห่งนั้น ทั้งอาวุธ อัญมณีและหินวิเศษมากมายวางกองอยู่เต็ม


หลังจากได้เป็นเจ้าของหอกสวรรค์กระดูกมังกรแล้ว แม้แต่ของล้ำค่าระดับเซียนขั้นสูงสุดก็ยังไม่เตะตาจางเซวียน เช่นเดียวกับหินวิเศษขั้นสูงสุดที่ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์กับเขามากนักในระดับวรยุทธที่สูงขนาดนี้ เขาจึงไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่


“เอ๊ะ? นี่อะไร?”


จางเซวียนเดินไปตามชั้นต่างๆ จากนั้นก็หยุดกึก เขาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ


บนชั้นที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก มีกล่องหยกใบหนึ่งซึ่งถูกปิดไว้ มันแผ่พลังจิตวิญญาณที่เข้มข้นถึงขนาดทำให้จิตใจของเขาหวั่นไหวได้


เห็นจางเซวียนมองกล่องหยกใบนั้น หลัวกั้นเจินอธิบาย “มันคืออุกกาบาตที่ตกสู่พื้นโลก บรรพบุรุษของเราได้มาด้วยความบังเอิญ ผมไม่แน่ใจนักว่ามันเป็นอะไร แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่มีใครสามารถหาวิธีขัดเกลามันหรือสกัดเอาพลังจิตวิญญาณที่อยู่ภายในตัวมันได้ ลงท้าย มันจึงถูกเก็บไว้ในขุมสมบัติของเรา…”


“อุกกาบาตที่ตกสู่พื้นโลก?” จางเซวียนทวนคำด้วยความอัศจรรย์ใจ


เขาเดินไปที่กล่องหยกที่ถูกปิดไว้และเปิดมันออกช้าๆ


ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะได้เห็นว่าอะไรอยู่ในกล่อง บางอย่างในตัวเขาก็สั่นริกรี้ด้วยความตื่นเต้น เสียงหนึ่งดังก้องอยู่ในหัว


“เอามันมาให้ผม! ผมอยากได้เจ้าก้อนแข็งๆนั่น…”


“ใครน่ะ?” จางเซวียนส่งโทรจิตถามอย่างระแวง

 

 

 


ตอนที่ 1619

 

เจ้าตะกละพูดได้

มีของ 2-3 อย่างในตัวเขาที่สามารถสื่อสารกับเขาผ่านทางโทรจิตได้


เจ้าตัวโคลนงี่เง่านั่นก็ตัวหนึ่ง ซึ่งคอยแต่จะหาซีนโดดเด่นให้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา แต่มันก็อยู่ในรังนางพญามด มีไอ้โหดซึ่งไม่ได้พูดอะไรมากนักนับตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่พวกเขาได้พบกับร่างกายท่อนบนของมันที่ปูชนียสถานนักปราชญ์ อีกอย่าง ไอ้โหดก็ไม่กล้าปลดปล่อยการรับรู้จิตวิญญาณของมันออกมาหากเขาไม่อนุญาต ดังนั้นจึงไม่มีทางที่มันจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกภายนอก


ส่วนเครื่องรางน้อย เขาเก็บมันไว้ในแหวนเก็บสมบัติ มันจึงไม่สามารถสื่อสารกับเขาผ่านทางโทรจิตได้ และก็ชัดเจนว่าเสียงนั้นไม่ใช่เสียงของหอกสวรรค์กระดูกมังกร


แต่จางเซวียนได้ยินชัด เสียงนั้นเหมือนกับเสียงของเด็กเล็กๆที่เจื้อยแจ้วและสดใส เขาไม่น่าจะคิดเอาเองเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้…


อะไรที่เข้าไปอยู่ในร่างของเขาได้โดยที่เขาไม่รู้ตัว?


จางเซวียนรีบตรวจสอบร่างกายของเขา แล้วก็ต้องตกใจเมื่อไม่พบอะไรเลย เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงคำรามในใจ “แกเป็นใครน่ะ? หยุดล้อเล่นเสียที!”


“คุณหมายความว่าอะไรที่พูดว่าผมล้อเล่น? ผมคือน้ำเต้าน้อยไงล่ะ!” เสียงนั้นตอบอย่างร้อนใจ


“น้ำเต้าน้อย?” จางเซวียนขมวดคิ้วด้วยความสับสน


“ก็ใช่น่ะสิ! จะเป็นใครอื่นได้นอกจากผม?”


ทันทีที่พูดจบ น้ำเต้าที่นอนนิ่งอย่างเกียจคร้านอยู่ในจุดตันเถียนของจางเซวียนก็ส่ายก้นเบาๆ


“น้ำเต้าตงฉู่?” จางเซวียนถึงกับผงะ


เขารู้ว่าน้ำเต้าตงฉู่อยู่ภายในร่างกายของเขา และรู้ด้วยว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความคิดจิตใจของตัวเอง แต่มันเรื่องอะไรถึงทำตัวน่ารำคาญแบบนี้? อีกอย่าง…น้ำเต้าตงฉู่พูดได้ด้วยหรือ?


แถมยังเรียกตัวเองว่าน้ำเต้าน้อย…


ไม่รู้สึกแปลกๆบ้างหรือไงที่ตั้งชื่อให้ตัวเองเสียน่ารักขนาดนั้น?


“ใช่แล้ว! หลังจากได้ซึมซับพลังงานมากมายจากสายฟ้า ผมก็ปลุกตัวเองขึ้นมาได้สำเร็จ เร็วเข้า! เอาอุกกาบาตก้อนนั้นมาให้ผม ผมอยากกิน!” น้ำเต้าตงฉู่ยังคงส่ายก้นอย่างยินดีปรีดา


“แกอยากกินมัน?” จางเซวียนขมวดคิ้ว “รู้หรือเปล่าว่าอุกกาบาตนี้คืออะไร?”


เขาก็พอจะรู้อยู่ว่าน้ำเต้าตงฉู่คงไม่ใช่อะไรที่เรียบง่ายอย่างรูปร่างหน้าตาของมัน แต่ก็นึกไม่ถึงว่ามันจะพูดจาเจื้อยแจ้วได้ขนาดนี้ แถมเมื่อดูจากความร้อนรนในการอยากได้อุกกาบาต…มันคิดว่าตัวเองเป็นใคร?


“ผมไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่ผมรู้ว่ามันกินได้!” น้ำเต้าตงฉู่ตอบ


“กินได้?” จางเซวียนหันกลับไปมองอุกกาบาตก้อนนั้นอีกครั้ง เขาใช้นิ้วแตะมัน แล้วหอสมุดเทียบฟ้าก็กระตุก หนังสือเล่มใหม่เอี่ยมปรากฏขึ้น เขารีบพลิกดูเพื่ออ่านรายละเอียด “คริสตัลที่ตกลงมาสู่พื้นโลก เป็นวัตถุที่หลุดรอดมาจากรอยแยกของมิติกับเวลา สามารถใช้หลอมของล้ำค่าได้ มูลค่าไม่เป็นที่ประจักษ์ชัด”


คริสตัลที่ตกลงมาสู่พื้นโลก? มูลค่าไม่เป็นที่ประจักษ์ชัด? หมายความว่าอย่างไร? จางเซวียนขมวดคิ้ว


นี่เป็นครั้งแรกที่หอสมุดเทียบฟ้าประเมินมูลค่าของล้ำค่าชิ้นหนึ่งอย่างคลุมเครือ


ที่ผ่านมา แค่เขาแตะวัตถุชิ้นไหน ก็จะได้รู้ประวัติศาสตร์ฉบับเต็มของวัตถุชิ้นนั้น แต่สำหรับอุกกาบาตก้อนนี้ คำอธิบายเกี่ยวกับมันที่หนังสือประมวลให้กลับคลุมเครืออย่างน่าประหลาด


มูลค่าไม่เป็นที่ประจักษ์ชัด…ตกลงอุกกาบาตก้อนนี้มีค่าหรือไม่มีค่า?


ดูเหมือนคราวนี้หอสมุดเทียบฟ้าจะไว้ใจไม่ได้เสียอีกแล้ว…จางเซวียนส่ายหน้าและถอนหายใจ


ตั้งแต่เขาสำเร็จวรยุทธระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดและได้มีปฏิสัมพันธ์กับเหล่าผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์ หอสมุดเทียบฟ้าก็ดูจะไม่ใช่เพื่อนร่วมทางที่เชื่อใจได้อย่างแต่ก่อน


ไม่สามารถระบุประวัติศาสตร์ของหินเพียงก้อนเดียวได้…ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะเชื่อถือมันเพียงอย่างเดียวไม่ได้


เราคงต้องหาโอกาสไปเยือนสมาคมผู้หยั่งรู้…จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะทบทวนการตัดสินใจอีกครั้ง


เขากำลังคิดว่าควรจะมอบคริสตัลที่ตกลงมาก้อนนี้ให้น้ำเต้าตงฉู่หรือไม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจปฏิเสธ


“แกบอกว่าแกคือน้ำเต้าตงฉู่ แต่ฉันไม่เชื่อหรอกว่าน้ำเต้าตงฉู่จะกลืนกินอะไรแบบนี้ได้ แกเป็นใครกัน?” จางเซวียนคาดคั้น


ถ้าอีกฝ่ายเป็นน้ำเต้าตงฉู่แบบธรรมดาทั่วไป เขาก็คงจะพอเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ได้กับการที่มันมานอนนิ่งอยู่ในจุดตันเถียนของเขา แต่เมื่อได้รู้แล้วว่ามันมีชีวิตจิตใจมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป จนถึงขั้นที่พูดจาเจื้อยแจ้วแบบนี้ ก็เริ่มรู้สึกกังวลกับการที่มีมันมานอนนิ่งอยู่ในจุดตันเถียน


ถ้าอีกฝ่ายมีเจตนาจะทำร้ายเขา เขาคงลำบากแน่


“ผมจะเป็นอะไรอื่นได้ถ้าไม่ใช่น้ำเต้าตงฉู่? วางใจเถอะน่ะ ผมยอมรับคุณเป็นเจ้านายแล้วก่อนจะเข้าสู่จุดตันเถียนของคุณ เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่ผมจะทำร้ายคุณโดยเด็ดขาด ผมยังมีอนาคตสดใสรออยู่ข้างหน้า ยังมีน้ำเต้าสวยๆอีกมากมายให้ผมได้เข้าหา เพราะฉะนั้นคงโง่เง่าเต็มทีหากผมจะรนหาที่ตาย!” น้ำเต้าตงฉู่ตอบอย่างอาจหาญ


จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “ก็ยังไม่เข้าท่าอยู่ดี ฉันยังรู้สึกไม่ปลอดภัยที่มีแกอยู่ในร่างกายของฉัน ทำไมเราไม่แลกเปลี่ยนกันล่ะ? ฉันจะมอบคริสตัลก้อนนี้ให้แก แต่แกก็ต้องออกจากจุดตันเถียนของฉันและมาอยู่ในแหวนเก็บสมบัติ”


“ผมจะหลับลึกไประยะหนึ่งหลังจากกลืนกินคริสตัลก้อนนั้น เพราะฉะนั้น คุณไม่ต้องห่วงหรอกว่าผมจะรบกวนคุณ…” น้ำเต้าตงฉู่ตอบอย่างเกียจคร้าน


ดูเหมือนมันจะพอใจกับสถานที่ที่ตัวเองอยู่ในตอนนี้ และไม่เต็มใจจะย้ายออก


จางเซวียนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำนั้น


เขาไม่อยากยอมรับ แต่เรื่องจริงก็คือเขาจนปัญญากับน้ำเต้าลูกนี้ น้ำเต้าตงฉู่เข้าสู่จุดตันเถียนของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต และเขาก็พยายามครั้งแล้วครั้งเล่าที่จะขับมันออกมา ครั้งล่าสุดที่เขาพยายามก็เพิ่งไม่นานมานี้หลังจากที่สำเร็จวรยุทธระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล


ตราบใดที่น้ำเต้าตงฉู่ยังอยู่ในจุดตันเถียนของเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับการมีระเบิดเวลาอยู่ในร่างกาย ถึงอีกฝ่ายจะยืนยันว่ามันจะไม่สร้างความยุ่งยากใดๆ แต่ใครจะไปแน่ใจได้ว่าถึงที่สุดแล้วมันจะรักษาสัญญาของมันหรือเปล่า?


ถึงอย่างไร การนำมันออกมาก็ย่อมดีกว่า


“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เราจะหารือกัน แกจำศีลในแหวนเก็บสมบัติของฉันก็ได้ หรือไม่ก็อย่าพูดเรื่องคริสตัลก้อนนั้นอีก!” จางเซวียนพูดขณะปิดฝากล่องหยก


“ฮื่อออ! อย่างนั้นก็ได้…” เมื่อมีอาหารเป็นเดิมพัน น้ำเต้าตงฉู่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยินยอม มันตัวสั่นเล็กน้อย และยังไม่ทันที่จางเซวียนจะรู้ตัว มันก็หายวับจากจุดตันเถียนของเขาและมาปรากฏในแหวนเก็บสมบัติ


“เฮ้ย…” จางเซวียนหรี่ตาด้วยความตกใจ


จุดตันเถียนอยู่ในร่างกายของเขา เป็นพื้นที่ที่ควรอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ส่วนแหวนเก็บสมบัตินั้นเป็นมิติลี้ลับที่แยกออกมา ซึ่งจะไม่มีใครอื่นเข้าไปได้หากปราศจากการยินยอมจากเจ้าของ แต่น้ำเต้าตงฉู่กลับเข้าไปอยู่ในนั้นได้โดยไม่ต้องรอคอยการอนุญาตใดๆ


เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าน้ำเต้าตงฉู่เหนือชั้นกว่าเขาในเรื่องการควบคุมมิติ!


ไอ้น้ำเต้าตงฉู่นี่มันเป็นตัวอะไรกันแน่?


เอาเถอะ จะเป็นตัวอะไรก็ช่าง ถ้ามันวุ่นวายล่ะก็ เราจะขว้างหนังสือเทียบฟ้าใส่มัน! จางเซวียนคำรามในใจ


โชคดีที่หลังจากหลัวชวนฉิงได้ศึกษาศาสตร์การสกัดกั้นมิติเทียบฟ้าฉบับเรียบง่ายจากเขาแล้ว ความสำนึกในบุญคุณของอีกฝ่ายก็ทำให้เกิดหน้าหนังสือสีทองหน้าใหม่ขึ้น ในเมื่อหน้าหนังสือสีทองสามารถเอาชนะได้แม้แต่กับไอ้โหด การควบคุมน้ำเต้าเพียงลูกหนึ่งก็คงไม่ยากเกินไป


ถ้าเขาขว้างหนังสือเทียบฟ้าใส่น้ำเต้าตงฉู่ เจ้าดื้อด้านนั่นก็คงแหลกเป็นชิ้นๆ


เมื่อมีไม้ตายอยู่กับตัว จางเซวียนก็รู้สึกปลอดภัยขึ้น ถึงอย่างไรเขาก็นำน้ำเต้าตงฉู่ออกจากจุดตันเถียนของเขาได้แล้ว สำหรับตอนนี้ จึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวล


เขาหันไปยิ้มให้หลัวกั้นเจิน “ผมนำอุกกาบาตก้อนนี้ไปได้ไหม?”


“เหล่าบรรพบุรุษของเราได้ศึกษาอุกกาบาตก้อนนี้หลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ก็ระบุไม่ได้ว่ามันคืออะไร คุณนำมันไปได้เลยหากคุณต้องการ” หลัวกั้นเจินพยักหน้า


“ขอบคุณ” เมื่อได้ยินว่าเขานำมันไปได้ จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


จากนั้นเขาก็นำกล่องหยกใส่เข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ


เมื่อเห็นกล่องหยกเข้ามาอยู่ในแหวนเก็บสมบัติ น้ำเต้าตงฉู่รีบพุ่งเข้าใส่ด้วยความตื่นเต้น ร่างของมันบิดเบี้ยวเล็กน้อย แล้วคริสตัลที่ตกลงมาสู่พื้นโลกซึ่งอยู่ในกล่องก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับมีพลังลึกลับบางอย่างกลืนกินมันไปจนหมด


จากนั้นก็เหมือนกับที่มันพูดไว้ น้ำเต้าตงฉู่เข้าสู่การหลับลึก ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย


เห็นอีกฝ่ายเงียบปากไปได้ จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก ครู่ต่อมา เขาก็ได้แต่กุมขมับด้วยความปวดใจ “น้ำเต้าพูดได้…”


เมื่อมาคิดดู เขามีของประหลาดอยู่กับตัวมากมาย…เครื่องรางพูดได้…น้ำเต้าพูดได้…หอกพูดได้ โชคดีเหลือเกินที่ทรัพย์สมบัติเบ็ดเตล็ดอื่นๆในแหวนเก็บสมบัติของเขาพูดไม่ได้ ถ้าพวกมันพูดได้ เขาคงต้องช็อกตายแน่


จางเซวียนเลิกสนใจเรื่องน้ำเต้าตงฉู่ หันมากวาดสายตาดูขุมสมบัติต่อไป ไม่ช้าก็พบกับทรัพยากรบางส่วนที่น่าพอใจ


มีทั้งน้ำทิพย์ที่มีพลังจิตวิญญาณเข้มข้น ยาเม็ดอันล้ำค่า และสมุนไพรชนิดพิเศษ


พูดได้เลยว่าตระกูลหลัวร่ำรวยอย่างน่าทึ่ง ปริมาณทรัพย์สมบัติที่พวกเขามีในขุมสมบัตินั้นสามารถทำให้นักรบทุกคนอ้าปากค้างได้


หลังจากหยิบข้าวของมา 2-3 ชิ้นสำหรับช่วยเหลือเขาในการฝ่าด่านวรยุทธ จางเซวียนก็ออกจากขุมสมบัติ


ถึงอย่างไร ของล้ำค่าเหล่านี้ก็ถูกสั่งสมเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆด้วยน้ำพักน้ำแรงของเหล่าบรรพบุรุษแห่งตระกูลหลัว คงจะเป็นเรื่องชั่วร้ายเกินไปหากเขาจะฉกฉวยมาทั้งหมด


แต่ถึงอย่างนั้น จางเซวียนก็ได้ของดีมา 2-3 อย่าง


ถ้าจะพูดกันให้เห็นภาพ หากข้าวของที่เขาได้จากเซียนดาบชิงก่อนหน้านี้เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งหน่วย ข้าวของที่เขาได้รับครั้งนี้ก็มีมูลค่าอย่างน้อย 10 หน่วยเลยทีเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าตอนนี้เขาเป็นหัวหน้าตระกูลหลัว หลัวกั้นเจินคงโยนเขาออกไปนอกเมืองสวรรค์บังแล้ว


จางเซวียนเก็บข้าวของเหล่านั้นอย่างระมัดระวังและบอกหลัวกั้นเจินว่า “ผมตั้งใจจะออกเดินทางเพื่อไปตามหาแรงบันดาลใจในการฝ่าด่านวรยุทธ หากเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลหลัวในระหว่างนี้ ส่งข้อความหาผมได้เลย แล้วผมจะรีบกลับมา!”

 

 

 


ตอนที่ 1620

 

เตะก้นจางเซวียน!

“คุณจะออกเดินทางหรือ?” หลัวกั้นเจินแทบสำลัก


เพระเห็นว่าหลัวเทียนหยาคนนี้มาจากครอบครัวสาขาและไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าข้าวเจ้าของตระกูลจาง เขาถึงยอมให้อีกฝ่ายนำทรัพย์สมบัติไปมากมายในคราวเดียว ซึ่งเหตุผลที่เขาทำอย่างนั้นก็แสนจะเรียบง่าย คือเขาอยากนำพาหลัวเทียนหยาเข้าสู่นาวาขนาดใหญ่ที่ชื่อตระกูลหลัว และโน้มน้าวใจให้อีกฝ่ายเต็มใจรับตำแหน่งกัปตันเรือ


แต่หมอนี่ยังไม่ทันจะก้าวเท้าออกจากขุมสมบัติเลย ก็คิดเรื่องจะออกเดินทางแล้ว…


คุณมันใจจืดใจดำ! จะทำตัวไร้หัวใจกว่านี้อีกได้ไหม!


ผมรู้ว่าคุณไม่คาดหวังตำแหน่งหัวหน้าตระกูลหลัว แต่คุณจะมาโยนทิ้งโยนขว้างราวกับเป็นเศษผงแบบนี้ไม่ได้!


“ท่านหัวหน้า ได้โปรดรอก่อนเถอะ เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลหลัวมีเรื่องจะปรึกษา และพวกเขาคอยคุณอยู่ หากเรื่องนี้เสร็จสิ้นแล้ว คุณจะไปไหนก็ได้ทั้งนั้นตามต้องการ!” หลัวกั้นเจินถอนหายใจอย่างจนปัญญา


“เรื่องอะไร?” จางเซวียนถาม


“ท่านหัวหน้า ผมเชื่อว่าคุณคงได้ยินแล้วว่าตระกูลจางได้ปฏิเสธการหมั้นหมายกับเราต่อหน้าสาธารณชนมากมาย!” หลัวกั้นเจินตอบ


“อือ! จางเซวียนพยักหน้า


ในฐานะตัวการ เขาจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?


“ตระกูลหลัวเป็นตระกูลนักปราชญ์ที่ใหญ่โตเป็นอันดับ 2 ของทวีปแห่งปรมาจารย์ และมีเกียรติสูงส่งมาตลอด แต่เรากลับถูกเหยียดหยามต่อหน้ากลุ่มอำนาจมากมายของทวีปแห่งปรมาจารย์ ทำให้ชื่อเสียงของเราป่นปี้ไม่มีชิ้นดี! เพราะพวกเราอ่อนแอกว่าตระกูลจาง เราจึงถอดใจจากเรื่องนี้แล้ว…แต่ท่านหัวหน้า คุณคือผู้ที่เอาชนะได้แม้แต่กลุ่มผู้เชี่ยวชาญจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์…” ถึงตอนนี้ หลัวกั้นเจินนัยน์ตาเบิกโพลง


ชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าเขาสามารถทำความเข้าใจแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติได้ ทำให้มีประสิทธิภาพการต่อสู้ที่เหนือชั้นกว่าทุกคนในระดับเดียวกัน แน่นอนว่าความปราดเปรื่องของอีกฝ่ายย่อมเหนือกว่าที่เขาจะจินตนาการ


“ดังนั้น…เหล่าผู้อาวุโสจึงได้เสนอให้คุณดำเนินการล้างแค้นตระกูลจางที่มาเหยียดหยามพวกเรา! เราจะเรียกคืนศักดิ์ศรีของตระกูลหลัว และทำให้ทั้งโลกรู้ว่าพวกเราไม่ใช่กลุ่มอำนาจที่ใครจะมาเหยียดหยามได้!”


“คุณต้องการล้างแค้นตระกูลจาง?” จางเซวียนเลิกคิ้วด้วยความพรั่นพรึง


“ใช่! หัวหน้าตระกูลจาง, จางเซวียน เป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 ขั้นต้น และเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธได้เมื่อ 3 วันก่อนนี่เอง ต่อให้เขาจะปราดเปรื่องแค่ไหน เวลา 3 วันก็คงไม่เพียงพอให้ขัดเกลาวรยุทธได้หรอก ไม่มีทางที่เขาจะเทียบชั้นกับคุณได้เลย! ท่านหัวหน้า ในเมื่อคุณเอาชนะได้แม้แต่หนานกงหยวนเฟิง การจะสั่งสอนบทเรียนให้เจ้าจางเซวียนนั่น…สำหรับคุณแล้วคงง่ายดายยิ่งกว่าเดินเล่นชมสวน!”


หลัวกั้นเจินพูดด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ


“เป้าหมายของเหล่าผู้อาวุโสก็คือให้คุณเข้าท้าทายตระกูลจางและสั่งสอนบทเรียนที่เขาจะไม่มีวันลืม ทำให้เขาลงไปคลานหาฟันของตัวเองที่ร่วงอยู่กับพื้น! เมื่อเราล้างแค้นจากการที่ถูกเหยียดหยามแล้ว เราก็จะเรียกคืนชื่อเสียงของตระกูลหลัวกลับมา และรุ่งเรืองขึ้นได้อีกครั้ง!”


ถึงอย่างไร เหตุผลที่ตระกูลจางกล้าทำตัวหยิ่งผยองก็เพราะจางเซวียนเป็นทั้งหัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์ เป็นศิษย์พี่ของปรมาจารย์หยาง ทั้งยังเป็นอาจารย์ของกลุ่มอำนาจชั้นนำอีกมากมาย


แต่ในการดวลอย่างชอบธรรม ตำแหน่งเหล่านั้นล้วนไม่มีประโยชน์กับเขา ขอแค่หัวหน้าหลัวเทียนหยาสำแดงความเหนือชั้นออกมาต่อหน้าจางเซวียน ก็จะไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะตระกูลหลัวของพวกเขาอีก!


ในเมื่อตระกูลจางกล้าทำลายเกียรติยศศักดิ์ศรีของพวกเขาเพื่อเสริมอำนาจให้ตัวเอง พวกนั้นก็จะมากล่าวหาพวกเขาไม่ได้หากว่าเขาทำแบบเดียวกัน!


“ผม…” จางเซวียนแทบจะทึ้งผมตัวเองด้วยความร้อนใจ


นี่มันนรกอะไร…เหตุการณ์ถึงพลิกผันขนาดนี้?


ก็จริงแหละ พอเข้าใจได้อยู่เรื่องที่ตระกูลหลัวอยากเรียกคืนชื่อเสียงของตัวเองคืนมา โดยเฉพาะหลังจากที่พวกเขาได้พบหัวหน้าตระกูลผู้ทรงพลังแล้ว แต่ปัญหาก็คือ…เจ้าจางเซวียนหน้าด้านหน้าทนที่พวกคุณก่นด่าสาปแช่งอยู่ตลอดเวลานั่นน่ะก็คือผม!


คุณเอาจริงๆหรือที่มาขอร้องให้ผมเล่นงานตัวเอง?


ผมทำอะไรให้พวกคุณรู้สึกได้ว่าผมชื่นชอบการทำร้ายตัวเอง? ผมดูเหมือนพวกมาโซคิสม์หรือไง?


“ทันทีที่เรื่องนี้สำเร็จลุล่วง เราก็จะเรียกคืนความมั่นใจของตระกูลหลัวที่เคยสูญหายไปและฟื้นฟูชื่อเสียงของเรากลับคืนสู่ความรุ่งเรืองใหม่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน…ท่านหัวหน้า ผมขอวิงวอนคุณว่ากรุณาอย่าปฏิเสธเรื่องนี้ ทันทีที่เรื่องนี้เสร็จสิ้น คุณจะไปไหนก็ได้ตามแต่คุณต้องการ พวกเราจะไม่ตั้งคำถามกับการตัดสินใจของคุณเลย…” หลัวกั้นเจินรีบเสริม


เหตุที่ตระกูลหลัวมีอำนาจใหญ่โตในทวีปแห่งปรมาจารย์ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะพวกเขามีกลุ่มอำนาจมากมายหลายกลุ่มเป็นบริวาร หากกลุ่มอำนาจเหล่านั้นสูญเสียความมั่นใจในตระกูลหลัว ก็จะพากันตีจากตระกูลหลัวไปและไปเป็นบริวารของกลุ่มอำนาจอื่นที่ทรงพลังอย่างเช่นตระกูลจาง


ในเมื่อเป็นอย่างนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญสูงสุดที่พวกเขาจะต้องเรียกคืนชื่อเสียงกลับมาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่อย่างนั้น ก็อาจเกิดหายนะตามมา


ลำพังแค่การสถาปนาหัวหน้าตระกูลคนใหม่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะเรียกความมั่นใจกลับคืนสู่ตระกูลหลัว ในท้ายที่สุด วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการโน้มน้าวใจให้กลุ่มอำนาจอื่นมั่นใจว่าตระกูลหลัวไม่ได้อ่อนแอกว่าเดิมก็คือการล้างแค้นที่ถูกตระกูลจางเหยียดหยาม และทำให้เจ้าจางเซวียนคนนั้นรู้ว่าการถูกซ้อมมันเหมือนตกนรกอย่างไร!


แน่นอนว่าความขัดแย้งกับหนานกงหยวนเฟิงก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นประสิทธิภาพของตระกูลหลัวแล้ว แต่ปัญหาก็คือมันอาจไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีนักที่จะทำลายชื่อเสียงของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์


ถึงพวกเขาจะขับไล่หนานกงหยวนเฟิงไปได้ แต่หลัวกั้นเจินก็ไม่กล้าลำพองใจพอที่จะคิดว่าตระกูลหลัวจะสามารถต้านทานความโกรธแค้นของทั้ง 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ได้ อย่างน้อยที่สุด ในช่วงเวลานี้ก็ไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีนักที่จะมีปัญหากับพวกเขา


“ผมขอเวลาคิดสักครู่นะ…” จางเซวียนตอบด้วยสีหน้าที่ดูคับข้องใจ


ทำไมทุกคนถึงอยากกระทืบเรานัก…หน้าเราเหมือนหินรองฝ่าเท้าหรือ?


ทำอย่างกับเราจงใจปฏิเสธการหมั้นหมายและเจตนาดูถูกตระกูลหลัวอย่างนั้นแหละ…


“ไม่จำเป็นต้องไต่ตรองเรื่องนี้แล้ว ท่านหัวหน้า…พวกเรามั่นใจเต็มเปี่ยมในพละกำลังของคุณ!” หลัวกั้นเจินเพิ่มความกดดันให้จางเซวียนขณะพาอีกฝ่ายออกจากขุมสมบัติ “เหล่าผู้อาวุโสกำลังรอคุณอยู่ในห้องโถงใหญ่ หากคุณเตรียมตัวพร้อมเมื่อไหร่ พวกเราก็จะออกเดินทางทันที!”


“ออกเดินทางทันที?” จางเซวียนแทบลมจับเมื่อได้ยินคำนั้น


“ใช่แล้ว การล้างแค้นน่ะต้องทำตอนที่เหตุการณ์ยังคุกรุ่นอยู่ ตลอดระยะเวลาหลายหมื่นปีนับตั้งแต่ก่อตั้งตระกูลหลัวมา เราเคยถูกเหยียดหยามแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า? แน่นอนว่าไม่! เราไม่อาจกระจายข่าวเรื่องการต่อสู้ระหว่างท่านหัวหน้ากับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ออกไปได้ เพราะอาจมีผลกระทบร้ายแรงตามมา แต่ด้วยเครือข่ายข้อมูลข่าวสารอันฉับไวของตระกูลจาง ไม่ช้าพวกเขาก็คงรู้เรื่องนี้ ถ้าเจ้าจางเซวียนนั่นเผ่นหนีไปก่อนเมื่อรู้ข่าว เราคงไม่มีโอกาสได้แก้แค้นอีก!” หลัวกั้นเจินประสานมือให้จางเซวียนขณะอธิบายอย่างร้อนรน


“ท่านหัวหน้า พวกเราขอวิงวอนให้คุณยอมรับคำขอครั้งนี้ด้วย เพื่อเหล่าสมาชิกตระกูลหลัวและมรดกตกทอดนับหมื่นปีของพวกเรา!”


“….”


จางเซวียนไม่เคยรู้สึกอยากปล่อยโฮมากเท่านี้มาก่อนในชีวิต


พวกคุณเตรียมการทั้งหมดนี้เพื่อผลประโยชน์ของตระกูลหลัว แต่เคยคิดถึงความรู้สึกของผมบ้างหรือเปล่า?


ผมไม่ได้เป็นแค่หัวหน้าตระกูลหลัวของพวกคุณนะ แต่ยังเป็นหัวหน้าตระกูลจางด้วย…คุณจะโหดร้ายถึงขนาดบีบบังคับให้ผมท้าทาย ตบหน้า และหยามศักดิ์ศรีตัวเองหรือ?


สัญชาตญาณของจางเซวียนบอกให้เขาปฏิเสธหลัวกั้นเจิน แต่เมื่อจ้องลึกลงไปในดวงตาที่ลุกโชนของชายชรา เขาก็พบว่าตัวเองไม่รู้ว่าจะทำแบบนั้นได้อย่างไร ดังนั้น หลังจากอึกอักลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จางเซวียนจึงได้แต่ยื้อด้วยการพูดว่า “ขอผมฟังความเห็นของเหล่าผู้อาวุโสก่อน…”


ส่วนหลัวกั้นเจิน เมื่อได้ยินว่าหัวหน้าตระกูลไม่ได้ปฏิเสธคำขอของเขาเสียทีเดียว ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาเดินนำจางเซวียนไป “ท่านหัวหน้า ทางนี้เลย!”


ถึงเขาจะจงเกลียดจงชังจางเซวียนมากแค่ไหน ก็ต้องยอมรับว่าหมอนั่นมีความสามารถที่พิเศษอย่างน่าทึ่ง อันที่จริง ก็คงจะไม่เป็นการเกินเลยหากจะพูดว่าเขาคือความภาคภูมิใจสูงสุดของตระกูลจาง หากตระกูลหลัวสามารถสั่งสอนบทเรียนให้หมอนั่นได้ ความอับอายที่เคยได้รับก็จะถูกชำระล้างไป บางทีพวกเขาอาจนำพาตระกูลของตัวเองให้มีศักดิ์ศรีและเกียรติยศสูงกว่าเดิมก็ได้!


ไม่ช้าทั้งคู่ก็มาถึงห้องโถงใหญ่


 


เหล่าผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลัวนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว ทันทีที่เห็นหลัวกั้นเจินกับจางเซวียน ก็รีบลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าตื่นเต้นร้อนรน


“ท่านหัวหน้า เราจะออกเดินทางกันเดี๋ยวนี้เลยไหม?”


“จัดการไอ้สารเลวจางเซวียนนั่นเถอะ!”


“เราจะทำให้เจ้าคนชั่วร้ายนั่นรู้ว่าการดูถูกตระกูลหลัวเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตที่เขาเคยทำ!”


…..


เสียงร้อนรนเซ็งแซ่ดังไปทั่วทั้งห้อง ราวกับมีใครราดน้ำมันลงไปรอบบริเวณนั้น และทุกอย่างอาจลุกพรึ่บเป็นไฟในชั่วพริบตาหากใครสักคนดีดนิ้ว


“….”


สองคำแวบเข้ามาในหัวของจางเซวียน – จบเห่


เขารู้สึกราวกับคราวนี้กำลังขุดหลุมฝังตัวเอง


เขามาที่นี่ด้วยเจตนาดี อยากจะชดใช้ให้ตระกูลหลัวในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป แต่โชคชะตาก็เล่นตลก ลงท้ายเขาต้องกลายเป็นหัวหน้าตระกูลหลัวเสียเอง


และราวกับเท่านั้นยังไม่พอ…ยังไม่ทันที่เขาจะรู้ตัว ก็ถูกกดดันให้เล่นงานตัวเองด้วย!


หากเขาสลัดการปลอมตัวออกไปตอนนี้และเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงในฐานะจางเซวียนออกมา ไม่เพียงแต่การชดใช้ของเขาจะไม่ได้รับคำขอบคุณ ตระกูลหลัวก็คงคิดว่าเขาเข้ามาเล่นตลก ทำให้โอกาสที่จะไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างทั้งสองตระกูลต้องกลายเป็นศูนย์โดยสิ้นเชิง


ในกรณีเลวร้ายที่สุด อาจเป็นชนวนให้เกิดสงครามเลยด้วยซ้ำ!


จางเซวียนใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะระงับอารมณ์ของเหล่าผู้อาวุโสได้ เขาพูดว่า “ผมเข้าใจความรู้สึกของพวกคุณดี แต่ผมไม่คิดว่าช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเข้าท้าทายตระกูลจาง”


“ผมไม่ปฏิเสธนะว่าจางเซวียนคนนั้นทรงพลังมาก เรียกได้ว่าแทบไม่มีใครในระดับเดียวกันกับเขาที่จะเทียบชั้นกับเขาได้เลย แต่…ท่านหัวหน้า คุณคือคนที่เอาชนะได้แม้แต่หนานกงหยวนเฟิง! พวกเราเชื่อว่าคุณสามารถจัดการเจ้าจางเซวียนนั่นได้อย่างง่ายดายเช่นกัน เราจะส่งจดหมายขอท้าดวลอย่างเป็นทางการไปยังตระกูลจาง และเชิญสภาปรมาจารย์ให้เข้ามาเป็นคนกลางในการดวลครั้งนี้ด้วย ขอแค่เราทำตามขั้นตอนที่เหมาะสม ตระกูลจางก็จะถูกบีบให้ตอบรับคำท้าของเรา แล้วทำไมคุณถึงพูดว่ามันไม่ใช่ช่วงเวลาเหมาะสมที่จะท้าทายตระกูลจางล่ะ?”


“ท่านหัวหน้า ผมไม่ได้จะคัดค้านคุณนะ แต่ผมรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสเหมาะที่สุดสำหรับพวกเราที่จะเข้าท้าทายตระกูลจาง คุณจากครอบครัวสาขา น้อยคนในตระกูลหลัวที่เคยได้ยินชื่อคุณ หากไม่ใช่เพราะสายเลือดบริสุทธิ์ของคุณล่ะก็ แม้แต่พวกเราก็คงจะสงสัยว่าคุณเป็นสมาชิกตระกูลหลัวหรือเปล่า…ในเมื่อเป็นอย่างนั้น คนอื่นๆก็คงคิดแบบเดียวกัน นั่นหมายความว่าตระกูลจางก็คงไม่ทันระมัดระวังตัวและเปิดโอกาสให้เราได้สั่งสอนบทเรียนให้จางเซวียนผู้โอหังคนนั้นได้ ยิ่งไปกว่านั้น เรายังจะสามารถสร้างชื่อเสียงให้คุณและทำให้ทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์ได้รับรู้ถึงความเก่งกาจที่คุณมี…”


…..


เหล่าพูดอาวุโสที่กำลังไฟแรงใช้เวลาไม่ถึง 1 นาที ก็ตีข้อเสนอของจางเซวียนตกไปอย่างราบคาบ


“….” จางเซวียน


สุดยอด ที่พวกคุณพูดมาน่ะมีเหตุผล…ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมจะพูดอะไรได้อีก

 

 

 


ตอนที่ 1621

 

คุณมีความสัมพันธ์อย่างไรกับปรมาจารย์ขง?

จางเซวียนมองเห็นวัตถุประสงค์และความตั้งใจของหลัวกั้นเจินกับเหล่าผู้อาวุโส ทำให้การปฏิเสธเป็นเรื่องยาก


นอกเหนือจากการได้แก้แค้นจางเซวียน ยังเป็นโอกาสเหมาะที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับหลัวเทียนหยาด้วย หลัวเทียนหยารับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลหลัวแล้วก็จริง แต่โลกยังคงไม่รู้ว่าเขาเป็นใครและมีความเก่งกาจแค่ไหน


จะมีใครอื่นที่เหมาะจะเป็นหินรองฝ่าเท้าเพื่อสร้างชื่อเสียงให้หลัวเทียนหยามากกว่าทายาทน้อยผู้โด่งดังของตระกูลจาง ซึ่งทุกวันนี้ชื่อของเขาก็ติดปากผู้คนมากมาย?


ในช่วงเวลาที่กำลังคับอกคับใจอยู่นั้น จางเซวียนชำเลืองมองหลัวลั่วชิงทางหางตา เห็นเธอยิ้ม สดใส เขาจำไม่ได้ว่าเคยเห็นรอยยิ้มชื่นบานแบบนี้มาก่อนบนสีหน้าที่เฉยเมยเป็นปกติของเธอ


ในตอนนั้น จางเซวียนรู้สึกประสาทกินมากขึ้นกว่าเดิม


คุณเป็นคนรักของผมหรือเปล่า? คุณควรจะคอยช่วยเหลือผมตอนที่ผมตกที่นั่งลำบากไม่ใช่หรือ? คุณนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไรหลังจากที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว?


ขณะที่จางเซวียนไม่รู้ว่าควรจะแสดงปฏิกิริยาอย่างไรต่อสายตาคาดหวังหลายคู่ที่อยู่รอบตัวเขา ก็ได้ยินโทรจิตจากหลัวลั่วชิง “อันที่จริง ฉันคิดว่าน่าจะดีกว่าถ้าคุณตอบรับคำขอของพวกเขา”


“ตอบรับคำขอของพวกเขา?” สีหน้าของจางเซวียนไม่สู้ดี “คุณอยากให้ผมทำร้ายตัวเองหรือ?”


“ไม่ใช่เสียหน่อย อันดับแรก คุณก็พาพวกเขาไปตระกูลจาง หาโอกาสเหมาะๆเพื่อเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของคุณ และจัดการให้ทั้งสองตระกูลได้จับเข่าคุยกันเพื่อแก้ปัญหาอย่างสันติ ไม่อย่างนั้น ด้วยความแค้นเคืองที่ตระกูลหลัวมีต่อตระกูลจาง ยิ่งคุณชดใช้ให้พวกเขามากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะมีอาวุธทรงพลังที่จะใช้เล่นงานตระกูลจางได้มากขึ้นเท่านั้น ในกรณีเลวร้ายที่สุด ตระกูลหลัวอาจรู้สึกว่าพวกเขาพร้อมที่จะเปิดสงครามด้วยพละกำลังที่เพิ่งค้นพบใหม่ การที่สองตระกูลจะไกล่เกลี่ยกันได้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่คุณจะวางเฉยก็ไม่ได้เหมือนกันนะ” หลัวลั่วชิงอธิบาย


“เอ่อ…” จางเซวียนครุ่นคิดหนัก


ที่หลัวลั่วชิงพูดก็มีเหตุผล


ตระกูลหลัวมีความอาฆาตแค้นอย่างล้ำลึกกับตระกูลจาง ซึ่งแม้การที่เขาอยากชดใช้ความเสียหายให้กับตระกูลหลัวจะเป็นไปด้วยความปรารถนาดี แต่การกระทำอย่างนั้นก็ไม่ต่างกับการกระพือความปรารถนาที่จะแก้แค้นให้ลุกโชนขึ้นอีก ซึ่งไม่เพียงแต่จะแก้ไขความขัดแย้งไม่ได้ ยังจะทำให้มันเลวร้ายกว่าเดิมด้วย!


ในเมื่อตระกูลหลัวของเราแข็งแกร่งพอแล้ว จะไกล่เกลี่ยกับตระกูลจางไปเพื่ออะไร? ความคิดอันเลวร้ายนี้ย่อมฝังรากลึกลงไปในใจของสมาชิกตระกูลหลัว


ถ้าจางเซวียนปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปแบบนี้ ไม่ช้าไม่นาน การต่อสู้ระหว่างสองตระกูลจะต้องเกิดขึ้น แทนที่จะปล่อยให้เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ดำเนินต่อไป เขาควรจะรีบแก้ไขมันโดยด่วน


ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่อาจวุ่นวายกับการสลับสับเปลี่ยนร่างระหว่างหลัวเทียนหยากับจางเซวียนได้ เขาคงจะเหนื่อยตายเสียก่อน!


“ผมก็คิดว่าคงไม่มีหนทางอื่น…” หลังจากไตร่ตรองแล้ว ถึงจางเซวียนจะยังลำบากใจ แต่ลงท้ายเขาก็พยักหน้า “เอาเถอะ ผมตอบรับคำขอของพวกคุณ ออกเดินทางไปตระกูลจางกันเดี๋ยวนี้เลย!”


“วู้ฮู้! ออกเดินทางไปตระกูลจางกันเถอะ!”


“เตะก้นเจ้าจางเซวียนนั่น!”


…..


เหล่าผู้อาวุโสพากันโห่ร้องด้วยความยินดีปรีดา


“….” จางเซวียน


สมาชิกตระกูลหลัวต่างเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางอยู่แล้ว เมื่อได้การตอบรับจากจางเซวียน พวกเขาก็รีบลุกขึ้นยืนโดยไม่ลังเลและเรียกอสูรระดับเซียนบินได้ของตัวเองมา


อสูรระดับเซียนบินได้หลายสิบตัวปรากฏขึ้นกลางอากาศ เกิดเป็นภาพอันสง่างาม


เป้าหมายของตระกูลหลัวคือเพื่อเรียกคืนชื่อเสียงของพวกเขา ดังนั้น แม้จางเซวียนจะสามารถพาพวกเขาทะลุมิติไปได้โดยเฉพาะหลังจากที่เขาสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติแล้ว แต่คนเหล่านั้นก็เลือกที่จะบินไปโดยใช้อสูรระดับเซียนบินได้เพื่อดึงดูดความสนใจของชาวโลก


…..


จางเซวียนยืนอยู่บนหลังของอสูรระดับเซียนบินได้ตัวหนึ่ง เขาชำเลืองมองหลัวลั่วชิงซึ่งกำลังกลั้นหัวเราะอยู่ เขาตัดพ้ออย่างน้อยอกน้อยใจ


คุณคิดว่าผมอยากตกอยู่ในสภาพนี้หรือ?


ชาติก่อนผมทำอะไรผิดไว้ ชาตินี้สวรรค์ถึงลงโทษผมแบบนี้?


ช่างมันเถอะ เราจะไม่คิดเรื่องนี้แล้ว! ให้ความสำคัญกับการพยายามฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 ดีกว่า!


ถึงจะท้อใจแค่ไหน แต่จางเซวียนก็รู้ดีว่าคิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ จึงหลับตาและใช้สมาธิพิจารณาภูมิปัญญาที่เขาได้ถ่ายโอนไว้ หวังว่าจะพบแรงบันดาลใจที่นำไปสู่การฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่


2 วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่จางเซวียนรู้สึกว่าเขาพบเส้นทางที่เหมาะสมแล้ว และกำลังจะดำเนินการฝ่าด่านวรยุทธ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัวของเขา


“คุณคิดจะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ตอนนี้หรือ?”


เขาหันไป และเห็นหลัวลั่วชิงกำลังมองอยู่


“นั่นคือความตั้งใจของผม” จางเซวียนพยักหน้ารับ


ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องปกปิดเรื่องนี้จากสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้า


ถ้าเป็นคนอื่น เขาคงลำบากใจที่จะอธิบายว่าตัวเองยกระดับวรยุทธได้รวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องพยายามปกปิดวรยุทธไว้ แต่เขาไม่คิดว่าจำเป็นจะต้องทำแบบนั้นต่อหน้าหลัวลั่วชิง


ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง หลัวลั่วชิงไม่เคยประหลาดใจกับการยกระดับวรยุทธอย่างพรวดพราดของเขา และไม่เคยตั้งคำถามด้วย ตรงกันข้าม ดูเหมือนว่าเธอจะคาดเดาเหตุการณ์แบบนี้ไว้แล้ว


“อย่าเพิ่งรีบร้อน การฝ่าด่านวรยุทธของนักรบระดับเซียนนั้นมีหลายระดับ อย่างเช่นเซียนฟ้าประทาน ซึ่งสำหรับวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ก็เป็นแบบเดียวกัน คงไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีนักหากคุณจะรีบร้อนฝ่าด่านวรยุทธขั้นต่ำ” หลัวลั่วชิงพูด


“การฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่มีหลายระดับหรือ?” จางเซวียนถามด้วยความสงสัย


ก่อนหน้านี้ เขาได้พบแท่นสถาปนาเซียนของจริง และได้ใช้พลังจากที่นั่นเพื่อผลักดันการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่การเป็นเซียนฟ้าประทาน และก็เพราะการฝ่าด่านวรยุทธแบบไม่ธรรมดาในครั้งนั้นที่ทำให้พลังปราณของเขามีทั้งปริมาณและความเข้มข้นเหนือชั้นกว่าผู้ที่มีวรยุทธระดับเดียวกัน


หรือว่าจะมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ด้วย?


“ไม่มีอะไรแบบที่เรียกว่านักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ฟ้าประทานหรอก” หลัวลั่วชิงตอบ มองเห็นความสงสัยของจางเซวียน “แต่กรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จะส่งผลให้เกิดความแตกต่างมากมายในประสิทธิภาพการต่อสู้ของนักรบแต่ละคน”


“เอ่อ…”


จางเซวียนไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของคนรักของเขาเป็นใคร แต่สิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจก็คือคนรักของเขาคนนี้มีความรอบรู้เรื่องวรยุทธเหนือชั้นกว่าเขามาก ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ เขาก็คงไม่ประสบความสำเร็จในการเป็นเซียนฟ้าประทาน


และในเมื่อเธอพูดออกมาแล้ว เขาก็ควรใส่ใจ


“ขั้นแรกของนักวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่คือการพักฟื้นภายใน เป็นวรยุทธที่จะทำให้นักรบสามารถกระจายการรับรู้จิตวิญญาณของพวกเขาเข้าสู่ทุกเซลล์ในร่างกาย และยกระดับกายเนื้อขึ้นจากขั้นพื้นฐาน เหมือนกับการเจริญเติบโต” หลัวลั่วชิงอธิบาย “การฝ่าด่านวรยุทธแบบทั่วไปสู่ขั้นการพักฟื้นภายในนั้น นักรบจะต้องบ่มเพาะการรับรู้จิตวิญญาณของตัวเองให้อยู่ในรูปแบบที่ทรงพลังและใสกระจ่างกว่าเดิม การฝ่าด่านวรยุทธแบบนี้ไม่ยากเท่าไหร่ เป็นวิธีการที่ถือว่าอ่อนด้อย รู้จักกันในชื่อกรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธขั้นต่ำ”


ในเมื่อมีขั้นต่ำ ก็ย่อมมีขั้นสูง


“ว่ากันว่า นี่เป็นวิธีเดียวที่เหล่านักรบรู้กันว่าจะทำให้พวกเขายกระดับวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ ซึ่งมีเพียงคนเดียวในทวีปแห่งปรมาจารย์ที่ออกแบบกรรมวิธีที่เหนือชั้นกว่าในการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ และประสบความสำเร็จด้วย” หลัวลั่วชิงพูดต่อ


“คุณหมายถึง…ปรมาจารย์ขง?” จางเซวียนตั้งคำถาม


ในประวัติศาสตร์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ บุคคลที่โด่งดังที่สุดก็คือปรมาจารย์ขง หากใครสักคนจะสามารถออกแบบกรรมวิธีที่เหนือชั้นกว่าในการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้…ก็ย่อมเป็นเขา


“ใช่แล้ว ปรมาจารย์ขง” หลัวลั่วชิงพยักหน้า “ตอนที่เขาเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด เขาได้นำเปลวเพลิงสวรรค์เข้าสู่ร่างกายเพื่อบ่มเพาะการรับรู้จิตวิญญาณด้วยความร้อนแผดเผาของมัน ทำให้การรับรู้จิตวิญญาณมีความทนทานและแข็งแกร่งกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้ เขาจึงแข็งแกร่งกว่านักรบทั่วไปมากหลังจากที่ฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จแล้ว ทั้งปริมาณพลังปราณและความแข็งแกร่งที่เขามีนั้น ต่อให้นักรบที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณโดยทั่วไปก็เทียบชั้นไม่ได้ และนั่นคือการปูรากฐานให้เขากลายเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์”


“เปลวเพลิงสวรรค์?” จางเซวียนตัวแข็งเมื่อได้ยินคำนั้น


ก่อนหน้านี้ เจตจำนงของปรมาจารย์ขงได้บอกเขาว่ากุญแจที่นำไปสู่การแก้ไขสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดคือการได้เป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวและนำเอาเปลวเพลิงสวรรค์เข้าสู่ร่างของตัวเองเพื่อแผดเผามัน…


สำหรับผู้ที่จะได้เป็นปรมาจารย์ระดับ 7 ดาว จะต้องมีวรยุทธตั้งแต่ระดับเซียนขั้น 2 ถึงขั้น 4, ปรมาจารย์ระดับกึ่ง 8 ดาวจะมีวรยุทธระดับเซียนขั้น 5 ส่วนปรมาจารย์ระดับ 8 ดาวนั้นจะมีวรยุทธตั้งแต่ระดับเซียนขั้น 6 ถึงขั้น 8


ดังนั้น ผู้ที่มีวรยุทธระดับเซียนขั้น 9 โดยทั่วไปก็น่าจะเป็นปรมาจารย์ระดับกึ่ง 9 ดาว


มีกรณีพิเศษอยู่บ้างที่นักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดบางคนได้รับตราสัญลักษณ์ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวก่อนล่วงหน้า แต่โดยทั่วไป เงื่อนไขของการได้เป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวก็คือต้องสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่


หรือนั่นจะหมายความว่า…ที่ปรมาจารย์ขงพูดถึงการได้เป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวนั้นไม่ได้หมายถึงตราสัญลักษณ์จากสภาปรมาจารย์ แต่หมายถึงระดับวรยุทธ? เขาจะต้องฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ให้ได้เสียก่อน และจำเป็นต้องใช้กรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธขั้นสูงด้วย…แบบนั้นหรือเปล่า?


“ก็เหมือนกับการทดสอบสายฟ้า เปลวเพลิงสวรรค์คือการลงทัณฑ์รูปแบบหนึ่งที่สวรรค์ส่งมาให้กับเหล่านักรบ ตอนที่คุณเอาชีวิตรอดจากการทดสอบสถาปนาเซียนมาได้และกลายเป็นเซียนฟ้าประทาน คุณรู้สึกไหมว่าทั้งจิตวิญญาณและกายเนื้อของคุณแข็งแกร่งกว่าเดิม ทำให้สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้อย่างง่ายดาย?” หลัวลั่วชิงถาม


จางเซวียนพยักหน้า


โดยทั่วไป ตั้งแต่สำเร็จวรยุทธระดับเซียนขั้น 5 การละทิ้งช่องว่าง นักรบก็จะต้องเผชิญกับการทดสอบสายฟ้าเพื่อบ่มเพาะจิตวิญญาณต้นกำเนิดของตัวเองแล้ว แต่เพราะได้ผ่านการทดสอบสถาปนาเซียน จิตวิญญาณและกายเนื้อของจางเซวียนจึงยกระดับขึ้นไปจนเหนือชั้นกว่าระดับวรยุทธจริงของตัวเอง ทำให้เขามีความแข็งแกร่งกว่านักรบทั่วไป


ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็พอเข้าใจได้ว่าเปลวเพลิงสวรรค์จะทำให้การรับรู้จิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้น และทำให้เขามีประสิทธิภาพการต่อสู้ที่เหนือชั้นกว่าเมื่อเทียบกับนักรบคนอื่นๆ


“ผมได้อ่านหนังสือมากมายที่เกี่ยวกับการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ไม่มีเล่มไหนพูดถึงความแตกต่างระหว่างกรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธขั้นต่ำกับขั้นสูงเลย ถ้าปรมาจารย์ขงเป็นเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่คิดค้นและรับรู้สิ่งนี้ แล้ว…ลั่วชิง คุณเรียนรู้มันได้อย่างไร?”


จางเซวียนเก็บความอยากรู้ไว้ไม่ไหว เขามองหน้าเธอและตั้งคำถาม “คุณ…มีความสัมพันธ์อย่างไรกับปรมาจารย์ขง?”


 

 

 


ตอนที่ 1622

 

ปูชนียสถานนักปราชญ์ถูกโจมตี

เมื่อตอนที่พวกเขาอยู่ที่สถาบันปรมาจารย์หงหย่วน หลัวลั่วชิงได้พาเขาไปยังแท่นสถาปนาเซียน และทั้งคู่ก็ได้เข้าสู่มิติลี้ลับซึ่งซุกซ่อนอยู่ในพื้นที่นั้น พวกเขาได้พบลายมือปรมาจารย์ขงที่นั่น แต่หลัวลั่วชิงกลับมอบให้จางเซวียนโดยไม่ลังเล ทั้งยังพูดว่าเธอสามารถหามันได้อีกตราบเท่าที่เธอต้องการ


หลังจากนั้น เมื่อพวกเขาเข้าสู่พระราชวังชิวอู๋ เธอก็บอกว่าเธอกำลังตามหาทรัพย์สมบัติชิ้นหนึ่ง และไม่ได้สนใจใยดีกับมรดกตกทอดของนักปราชญ์โบราณชิวอู๋เลย


มาตอนนี้ เธอก็ยังพูดถึงกรรมวิธีฝ่าด่านวรยุทธขั้นสูงที่มีแต่ปรมาจารย์ขงเท่านั้นที่ทำสำเร็จ…เป็นไปได้ไหมว่าเธอจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับปรมาจารย์ขง?


ไม่อย่างนั้น เธอจะรู้เรื่องของปรมาจารย์ขงมากขนาดนี้ได้อย่างไร?


เมื่อเจอกับคำถามปุบปับของจางเซวียน หลัวลั่วชิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงและนิ่งเงียบ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ก็ปรากฏความวิงวอนในแววตาคู่นั้นขณะที่พูดว่า “อย่าถามหรือคาดเดาอะไรอีกเลย ฉันบอกคุณไม่ได้จริงๆ”


“แต่…” เห็นหลัวลั่วชิงไม่เต็มใจจะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับตัวเธอ จางเซวียนอดรู้สึกคับข้องใจไม่ได้ แต่ก็รู้ดีว่าไม่มีทางทำอะไรได้กับเรื่องนี้ จึงได้แต่ถอนหายใจและพูดว่า “เอาเถอะ ผมสัญญาว่าจะไม่ซักไซ้อะไรอีก แต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน อย่างน้อยที่สุด คุณจะบอกผมได้ไหมว่าชื่อจริงๆของคุณคืออะไร?”


หลังจากพูดจบ จางเซวียนก็มองหน้าหลัวลั่วชิงอย่างร้อนใจ


ก่อนหน้านี้ เป็นเพราะหลัวฉีฉีปิดบังชื่อจริงของเธอ เรื่องจึงลงเอยด้วยความเข้าใจผิดครั้งใหญ่ เขาตั้งใจว่าจะไม่สร้างความผิดพลาดแบบเดิมอีก


ถึงหลัวลั่วชิงจะไม่เต็มใจเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงก็ไม่เป็นไร ขอแค่เขารู้ชื่อจริงของเธอ เขาก็มั่นใจว่าในท้ายที่สุดจะต้องค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอจนได้


ในตอนแรก หลัวลั่วชิงไม่เต็มใจตอบ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของจางเซวียนก็ใจอ่อน เธอส่ายหน้าอย่างจนปัญญาแล้วตอบว่า “นั่นไม่ใช่ชื่อจริง”


เป็นอย่างที่เขาคาดไว้เลย!


จางเซวียนจ้องหน้าหลัวลั่วชิงแล้วถามต่อ “ถ้าหลัวลั่วชิงไม่ใช่ชื่อจริงของคุณ แล้ว…”


เขารู้สึกแปลกๆอยู่แล้วตั้งแต่เมื่อรู้ว่าไม่มีตระกูลหลัวอยู่ในรายชื่อตระกูลต่างๆของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ และความจริงที่หลัวลั่วชิงเพิ่งบอกว่าตัวเองไม่ได้ใช้ ‘แซ่หลัว’ ก็อธิบายอะไรได้มาก


“อย่าถามอะไรให้มากกว่านี้อีกเลยนะ” หลัวลั่วชิงร้องขอ “ไม่ใช่เพราะฉันไม่อยากเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกับคุณ แต่ฉันพูดไม่ได้! ถ้าฉันพูด ไม่เพียงแต่ฉันที่จะต้องทุกข์ใจ แม้แต่คุณก็จะต้องเจอกับเรื่องเดือดร้อนสาหัส…”


“…ผมเข้าใจ ผมจะไม่ถามแล้ว”


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลัวลั่วชิงพูดอะไรแบบนี้ ถึงจางเซวียนจะยังไม่แน่ใจว่าปัญหาแบบไหนที่พวกเขาจะต้องเผชิญ แต่เมื่อดูจากการที่เธอหวาดกลัวทั้งๆที่ตัวเองก็มีพละกำลังไม่น้อย ก็แปลว่าเรื่องนั้นน่าจะซับซ้อนกว่าที่เขาคิดไว้


“เท่าที่ผมรู้ การฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่นั้นไม่อาจเรียกเปลวเพลิงสวรรค์มาได้ แล้วปรมาจารย์ขงทำได้อย่างไร? เขาใช้ศาสตร์ลับพิเศษบางอย่างหรือเปล่า?”จางเซวียนรีบเปลี่ยนเรื่อง


โดยทั่วไป เมื่อนักรบฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ขั้น 2-ร่างอันทรงเกียรติเท่านั้นที่เปลวเพลิงสวรรค์จะถูกเรียกมา เปลวเพลิงสวรรค์จะชำระล้างสิ่งแปดเปื้อนในร่างกายของผู้นั้น เพื่อให้กำเนิดกายเนื้อที่สมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ


พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ปรมาจารย์ขงน่าจะใช้ศาสตร์ลับบางอย่างเพื่อเรียกเปลวเพลิงสวรรค์มาขณะที่อยู่ระหว่างการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่วรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ขั้น 1


เห็นจางเซวียนไม่ซักไซ้เรื่องตัวตนของเธออีก หลัวลั่วชิงถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะตอบว่า “ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าเขาทำได้อย่างไร แต่ฉันรู้ว่าจะค้นพบกรรมวิธีนั้นได้ที่ไหน”


“ที่ไหนล่ะ?”


ถ้าเขาพบศาสตร์ลับที่สามารถดึงเอาเปลวเพลิงสวรรค์มาบ่มเพาะร่างกายและการรับรู้จิตวิญญาณของเขาได้ ไม่เพียงแต่ประสิทธิภาพการต่อสู้จะเพิ่มขึ้น ยังสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดในตัวได้ด้วย เท่ากับยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว


“สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่” หลัวลั่วชิงตอบ “ในครั้งนั้น ตอนที่ปรมาจารย์ขงกำลังฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เขาได้ก่อตั้งสภาปรมาจารย์ขึ้นแล้ว และในสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่นั่นแหละที่ปรมาจารย์ขงค้นพบแรงบันดาลใจในการคิดค้นศาสตร์ลับ และประสบความสำเร็จในการยกระดับวรยุทธของเขาไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่”


“เพราะฉะนั้น หากคุณมุ่งหน้าไปที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ ก็น่าจะพบศาสตร์ลับนั้น…”


หลัวลั่วชิงยังพูดไม่ทันจบ จางเซวียนก็เลิกคิ้ว เขาสะบัดข้อมือ แล้วตราหยกสื่อสารก็มาอยู่ในมือของเขา


“เอ๊ะ?”


เห็นทีท่าของจางเซวียน หลัวลั่วชิงรู้ทันทีว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”


“มีบางอย่างเกิดขึ้นที่ปูชนียสถานนักปราชญ์!” จางเซวียนเลิกคิ้ว


ข้อความบนตราหยกสื่อสารที่เขาเพิ่งได้รับนั้นมาจากปรมาจารย์จานแห่งปูชนียสถานนักปราชญ์


“ปูชนียสถานนักปราชญ์?” หลัวลั่วชิงขมวดคิ้ว


“ใช่” จางเซวียนพยักหน้า เขารีบอ่านรายละเอียดและพูดว่า “มีใครบางคนบุกเข้าไปในปูชนียสถานฝ่ายใน ผมต้องไปตรวจสอบสักหน่อย!”


หลังจากพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นยืน


“ฉันจะไปกับคุณด้วย” หลัวลั่วชิงพูด


“ได้สิ” รู้ดีว่าวรยุทธของคนรักของเขาน่าจะถึงขั้นชั่วกัลปาวสานแล้ว จางเซวียนจึงพยักหน้าโดยไม่ลังเล


ทั้งคู่รีบออกจากห้องโดยสารบนหลังของอสูรระดับเซียนบินได้


“ท่านหัวหน้า!” เห็นจางเซวียนกำลังจะจากไปอย่างปุบปับ หลัวกั้นเจินกับคนอื่นๆรีบเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจ


“ผมมีเรื่องด่วนที่ต้องไปจัดการ!” จางเซวียนพูด


เขาไม่อาจเปิดเผยความจริงที่ว่าเขาเป็นหัวหน้าปูชนียสถาน เพราะไม่อย่างนั้น ก็เท่ากับเปิดเผยว่าตัวเองคือจางเซวียน


“แต่ตระกูลจาง…” หลัวกั้นเจินอุทานด้วยความร้อนใจ


“ผมจะเดินทางไปตระกูลจางทันทีที่จัดการเรื่องราวที่นั่นเสร็จ พวกคุณไม่ต้องกังวล” จางเซวียนพูดพร้อมกับโบกมือ


กลุ่มคนที่บุกเข้าไปในปูชนียสถานนักปราชญ์น่าจะเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่ลักพาตัวจ้าวหย่ากับลูกศิษย์คนอื่นๆของเขาไป คราวก่อนพวกนั้นหนีรอดไปได้ ซึ่งเขาก็ตั้งใจว่าจะไม่ให้เรื่องแบบเดิมเกิดขึ้นอีก


“แต่…” หลัวกั้นเจินขมวดคิ้ว


“พอที! นี่ไม่ใช่เรื่องที่มีไว้หารือ ผมจะกลับมาให้ทันเวลาที่เราจะต้องรับมือกับพวกตระกูลจาง!” จางเซวียนโบกมืออย่างหมดความอดทน


จากนั้นเขาก็สะบัดข้อมือ และนำหอกออกมาชี้ตรงไปยังมิติที่อยู่ตรงหน้า


ฟึ่บ!


เกิดรอยแยกของมิติขึ้นตรงหน้าเขา จางเซวียนรีบผลุบเข้าไป มีหลัวลั่วชิงตามไปติดๆ


ในชั่วพริบตา ทั้งคู่ก็หายวับไป


“นี่มัน…การทะลุผ่านรอยแยกแห่งมิติ?”


หลัวกั้นเจินกับคนอื่นๆหน้าซีดด้วยความพรั่นพรึง


พวกเขารู้อยู่แล้วว่าท่านหัวหน้าเป็นทายาทตระกูลหลัวที่มีความเก่งกาจอย่างน่าทึ่ง เพราะคนธรรมดาสามัญย่อมไม่อาจทำความเข้าใจแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติได้ แต่เรื่องจริงก็ยังคงย้ำเตือนอยู่ว่าเขาเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดเท่านั้น ทุกคนจึงยังรู้สึกว่าพละกำลังของหลัวเทียนหยายังไม่สูงส่งเท่าไหร่นัก


แต่สิ่งที่หัวหน้าตระกูลเพิ่งทำลงไปทำให้พวกเขารู้ทันทีว่าประเมินอีกฝ่ายต่ำไป


“เกิดอะไรขึ้น ท่านหัวหน้าถึงรีบร้อนขนาดนั้น?” หลัวชิงเฉินตั้งคำถาม


“ผมก็ไม่รู้ แต่ในเมื่อท่านหัวหน้าให้คำมั่นชัดเจนแล้ว พวกเราก็เดินทางต่อกันเถอะ! ความแค้นในใจผมจะไม่มีวันลบเลือนจนกว่าจะทำให้เจ้าจางเซวียนนั่นยอมคุกเข่าร้องขอความเมตตาได้” หลัวกั้นเจินคำรามด้วยแววตาเย็นเยียบ


ผู้อาวุโสคนอื่นๆพยักหน้ารับ


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาเดินทางสู่ตระกูลจาง แต่ไม่มีวันไหนที่จะรู้สึกกระตือรือร้นเท่ากับวันนี้เลย


ในที่สุด ตระกูลหลัวก็จะได้พบกับความรุ่งเรืองครั้งใหม่แล้ว!


…..


ฟึ่บ!


รอยแยกแห่งมิติเปิดออก จางเซวียนกับหลัวลั่วชิงกระโจนออกมา หลังจากเหลียวมองโดยรอบ ทั้งคู่ก็รู้ว่ามาถึงทางเข้าปูชนียสถานนักปราชญ์แล้ว


จางเซวียนขับเคลื่อนพลังปราณในร่างของเขาและกลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิม เมื่อชำเลืองมองสาวน้อยที่อยู่ข้างๆ ก็เห็นว่าหลัวลั่วชิงสลัดการปลอมตัวของเธอออกแล้วเช่นกัน


ไม่ช้า ทั้งคู่ก็เข้าสู่ปูชนียสถานนักปราชญ์


“เกิดอะไรขึ้น?”


สิ่งแรกที่จางเซวียนรู้สึกได้เมื่อเข้าสู่ปูชนียสถานนักปราชญ์ก็คือทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยเศษซาก ของอาคารและสิ่งปลูกสร้างที่พังทลาย มีหลุมมีรูนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่ทุกแห่ง ราวกับปูชนียสถานนักปราชญ์เพิ่งผ่านการต่อสู้อย่างหนักหน่วงมา


“มีรังสีของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น…” จางเซวียนเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้ เขาตรวจสอบพื้นที่โดยรอบและพบเจตนาสังหารของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นพร้อมกับรังสีของเหล่าปรมาจารย์หลงเหลืออยู่ในบริเวณนั้น


เห็นได้ชัดว่ามีเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นบุกรุกมาที่ปูชนียสถานนักปราชญ์และเกิดการต่อสู้อันดุเดือดขึ้น


“ท่านหัวหน้า คุณกลับมาแล้ว!”


ขณะที่จางเซวียนกำลังสำรวจพื้นที่โดยรอบ ปรมาจารย์จาน ปรมาจารย์เก่อ และผู้อาวุโสของปูชนียสถานนักปราชญ์อีกหลายคนก็บินมา


“เกิดอะไรขึ้นที่นี่?” จางเซวียนถามอย่างเคร่งเครียด


“เรียนท่านหัวหน้า เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นบุกรุกปูชนียสถานนักปราชญ์ของเราและเข้าไปถึงปูชนียสถานฝ่ายใน…”ปรมาจารย์จานประสานมือพร้อมกับรายงานด้วยแววตาที่ยังคงความกังขา “แต่พวกมันจากไปพร้อมกับรูปปั้นของนักปราชญ์ขุยเท่านั้น ไม่ได้นำสิ่งอื่นไปเลย และไม่ได้สังหารใครด้วย ทั้งหมดที่พวกมันทำก็คือทำลายอาคาร 2-3 หลังและสร้างความปั่นป่วนครั้งใหญ่ขึ้นก่อนจะหลบหนี”


“พวกมันขโมยรูปปั้นของนักปราชญ์ขุย? เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น?” จางเซวียนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหรี่ตาเมื่อนึกได้


เขากำหมัดแน่นขณะพึมพำ “หรือพวกมันมาที่นี่เพื่อ…ร่างกายท่อนบนของไอ้โหด?”

 

 

 


ตอนที่ 1623

 

สะกดรอย

ปรมาจารย์จานกับคนอื่นๆอาจไม่ล่วงรู้ความลับที่ซ่อนอยู่ในรูปปั้นนักปราชญ์ขุย แต่จางเซวียนรู้ดี


ร่างกายท่อนบนของไอ้โหดซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีพละกำลังไร้เทียมทานที่สุดและสามารถต่อสู้กับปรมาจารย์ขงได้อย่างสมน้ำสมเนื้อในยุคนั้นถูกซ่อนไว้ในรูปปั้นนักปราชญ์ขุย!


ในตอนนั้น หลังจากที่จางเซวียนใช้หอสมุดเทียบฟ้าและรู้แล้วว่าร่างกายท่อนบนของไอ้โหดถูกเก็บไว้ในรูปปั้น เขาก็ตั้งใจว่าจะทำลายรูปปั้นนั้นสักเล็กน้อยเพื่อให้ได้ร่างกายท่อนบนของไอ้โหดมา แต่ลงท้ายก็ได้แต่หักห้ามใจไว้และตัดสินใจไม่ทำ


เพราะถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นปรมาจารย์และหัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์ ต่อให้การทำอย่างนั้นจะทำให้บรรลุเป้าหมาย แต่ก็ต้องคำนึงถึงวิธีการด้วย


แต่สำหรับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นที่บุกเข้ามาในปูชนียสถานฝ่ายในและนำไปเพียงแค่รูปปั้นของนักปราชญ์ขุย ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกมันต้องมีอะไรบางอย่างที่จะต้องจัดการกับร่างกายท่อนบนของไอ้โหด


ไอ้โหดเป็นหนึ่งในฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดตัวหนึ่ง ดังนั้นพวกมันจึงสามารถใช้ประโยชน์จากร่างกายท่อนนี้ได้มาก อันที่จริง อาจปลุกไอ้โหดให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ด้วยซ้ำหากรวบรวมชิ้นส่วนที่หายไปของมันได้หมด!


“ไอ้โหด?” ได้ยินจางเซวียนพึมพำ ปรมาจารย์จานถึงกับผงะ


“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก!” จางเซวียนรีบตอบ “พวกมันมากันกี่คน? มีวรยุทธระดับไหน?”


“มันมากัน 4 คน ผมไม่รู้ระดับวรยุทธของพวกมัน แต่พวกมันทำลายค่ายกลอารักขาของปูชนียสถานนักปราชญ์ได้อย่างง่ายดาย พวกเรายับยั้งมันไม่ได้เลย” ปรมาจารย์จานตอบอย่างกระอักกระอ่วน


ปูชนียสถานนักปราชญ์เป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาของทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่มาตรการรักษาความปลอดภัยของที่นี่ถูกทำลายไปแล้วถึง 2 ครั้งภายในระยะเวลาเพียงครึ่งเดือน ครั้งแรกก็มาจากฝีมือของหัวหน้าปูชนียสถานของพวกเขาเอง จึงยังไม่น่าอับอายเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้เป็นฝีมือของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นซึ่งนำทรัพย์สมบัติของพวกเขาไปได้สำเร็จด้วย…


พูดกันตามตรง พวกเขายังลังเลใจที่จะรายงานเรื่องนี้ต่อสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่


เพราะมันน่าอับอายเกินไป!


“พวกมันมีกัน 4 คน?” จางเซวียนหรี่ตา “มันหนีไปทางไหน?”


“ทางนั้น…เราคลาดกับพวกมันหลังจากไล่ตามมันไปได้สักระยะหนึ่ง จึงทำได้แค่ส่งข้อความเพื่อขอความช่วยเหลือจากคุณ” ปรมาจารย์จานตอบขณะชี้นิ้วไป


“ไม่เป็นไรหรอก ผมเข้าใจ สำหรับตอนนี้…ซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างที่พังทลายและจัดการค่ายกลให้กลับคืนสู่สภาพเดิมเสียก่อน” จางเซวียนสั่งการขณะจ้องไปยังทิศทางที่ปรมาจารย์จานชี้นิ้วไป “ผมจะไปดูว่าจะนำรูปปั้นนักปราชญ์ขุยกลับมาได้หรือไม่!”


การขโมยรูปปั้นนักปราชญ์ขุยไปไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงแค่กับศักดิ์ศรีของปูชนียสถานนักปราชญ์เท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้น ยังมีร่างกายท่อนบนของไอ้โหดเป็นเดิมพันด้วย ถ้าเขานำรูปปั้นกลับมาไม่ได้ ถึงเขาจะยังไม่ได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการ ก็คงจะต้องอับอายขายหน้ากับความไร้ประสิทธิภาพของตัวเอง


ด้วยความเข้าใจอย่างล้ำลึกในเรื่องมิติของจางเซวียน เขาจึงจับทิศทางได้อย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลาเพียง 10 อึดใจหรือประมาณนั้น เขาก็เดินทางไปได้ไกลกว่าหมื่นลี้


จางเซวียนเหลียวหลังไปดู และพบว่าหลัวลั่วชิงกำลังตามเขามาติดๆ เขาเปิดใช้ดวงตาหยั่งรู้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและเริ่มสำรวจบริเวณโดยรอบอย่างถี่ถ้วนเพื่อหาร่องรอยของผู้บุกรุกทั้งสี่


“ทำแบบนั้นน่ะไม่ได้ผลหรอก” หลัวลั่วชิงส่ายหน้า “มีโอกาสที่ 4 คนนั้นจะเป็นชายหนุ่มทั้ง 4 คนที่เราเคยพบที่ภูเขาห้วยขาว พวกเขาเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน และมีกรรมวิธีพิเศษในการกลบเกลื่อนร่องรอยของตัวเอง คุณไม่มีทางแกะรอยพวกเขาได้จนกว่าดวงตาหยั่งรู้ของคุณจะพัฒนาถึงขั้น 4!”


“คุณพูดถูก…” จางเซวียนก็รู้เรื่องนั้นเช่นกัน


ในพื้นที่ที่จ้าวหย่ากับคนอื่นๆถูกลักพาตัวไปนั้น เจ้าตัวการไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้เลย ขนาดเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้อันเฉียบแหลม เขาก็ยังไม่พบอะไรทั้งสิ้น


“แต่คราวนี้ พวกมันจะหนีไปไม่ได้ง่ายๆเหมือนคราวที่แล้วหรอก…” จางเซวียนคำราม


เขาสะบัดข้อมือ แล้วหนังสือเล่มหนึ่งก็มาอยู่ในมือของเขา


มันคือหนังสือเทียบฟ้า


อาจจะเป็นการยากสำหรับจางเซวียนที่จะระบุตำแหน่งที่อยู่ของจ้าวหย่ากับคนอื่นๆ แต่สำหรับรูปปั้นของนักปราชญ์ขุยนั้นไม่เหมือนกัน!


ขอแค่ไอ้โหดสามารถจับทิศทางที่ร่างกายท่อนบนของมันถูกนำไปได้ เขาก็จะรู้ตำแหน่งที่ชัดเจนและหาตัวพวกนั้นเจอในที่สุด


เว้นเสียแต่…พวกมันจะใช้ศาสตร์ลับบางอย่างเพื่อปกปิดพิกัดของร่างกายท่อนบนของไอ้โหดไว้


แต่เมื่อพิจารณาว่าเวลาเพิ่งผ่านไปไม่นานนับตั้งแต่พวกมันขโมยรูปปั้นไป ก็เป็นไปได้ว่าพวกมันน่าจะยังไม่มีเวลาพอจะทำแบบนั้น


หลัวลั่วชิงมองหนังสือที่จางเซวียนนำออกมา แต่ไม่พูดอะไร


“ไอ้โหดน้อย ตื่นได้แล้ว ฉันอยากให้แกค้นหาว่าร่างกายท่อนบนของแกอยู่ที่ไหน!” จางเซวียนตบหนังสือเบาๆ


“ฮะ?” ไอ้โหดขยับตัวเล็กน้อยเมื่อได้ยินสมญานามใหม่ แต่ก็ตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากจับสัญญาณอยู่ครู่หนึ่ง มันก็ชี้ไปยังทิศทางหนึ่งและพูดว่า “ทางนั้นแหละ!”


“ได้เลย” จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็รีบบินไปตามทิศทางที่ไอ้โหดชี้


หลัวลั่วชิงตามเขาไปติดๆ


ทั้งคู่บินไปอีกราว 5 นาทีก่อนที่ไอ้โหดจะพูดขึ้นอีกครั้ง “พวกนั้นอยู่ในเมืองที่อยู่ตรงหน้าเรานี่แหละ…บ้าที่สุด! ผมจับสัญญาณร่างกายท่อนบนของผมไม่ได้แล้ว!”


จางเซวียนรีบมองตรงไปข้างหน้า และเห็นเมืองหนึ่งอยู่ไม่ห่างออกไปนัก


เมืองนั้นมีขนาดใหญ่ เทียบได้กับสมาพันธ์นานาจักรวรรดิเลยทีเดียว


“แกจับสัญญาณร่างกายท่อนบนของแกไม่ได้แล้ว? หมายความว่าอย่างไร?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


“ผมรู้สึกเหมือนร่างกายท่อนบนของผมมีปราการบางอย่างมาปิดกั้นไว้ เมื่อครู่นี้ผมยังจับสัญญาณของมันได้อยู่เลย แต่จู่ๆทุกอย่างก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย” ไอ้โหดตอบ


“มีปราการบางอย่างมาปิดกั้นไว้?” สีหน้าของจางเซวียนไม่สู้ดี


เขาไล่ตามศัตรูมาอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง ถ้าเขาแกะรอยพวกมันได้สำเร็จก่อนที่พวกมันจะทันได้ซ่อนตัว ก็คงจะจับตัวพวกมันได้พร้อมกันทีเดียว โชคไม่ดีที่ฝ่ายตรงข้ามเคลื่อนไหวเร็วกว่าที่เขาคิดไว้


คงยากมากที่จะควานหาตัวศัตรูในเมืองขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่มีเงื่อนงำหรือร่องรอยใดๆ


“แกยังจำตำแหน่งสุดท้ายที่สัญญาณของร่างกายท่อนบนของแกยังอยู่ ก่อนที่มันจะหายไปได้หรือเปล่า?” จางเซวียนถาม


ไอ้โหดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ผมกะตำแหน่งได้เพียงคร่าวๆเท่านั้น…”


“นำทางไปสิ!” จางเซวียนสั่งการ รู้ดีว่าไม่มีเวลาจะเสียแล้ว


พูดตามตรง เขาไม่ได้ใส่ใจกับการที่ตัวเองหรือปูชนียสถานนักปราชญ์จะเสื่อมเสียชื่อเสียง สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือร่างกายท่อนบนของไอ้โหดเท่านั้น


เพราะมันจะอันตรายมากหากอาวุธที่ทรงพลังขนาดนี้ตกไปอยู่ในมือของฝ่ายตรงข้าม อีกอย่าง ถ้าเขาได้ร่างกายท่อนบนของไอ้โหดมา ก็จะเรียกคืนความแข็งแกร่งของไอ้โหดกลับมาได้


ประสิทธิภาพการต่อสู้ของไอ้โหดนั้นอาจจะอ่อนด้อยไปบ้างในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นพันธมิตรที่ไว้ใจได้มาตลอด


ลำพังแค่หัวใจ นิ้วมือ และศีรษะก็ทำให้ไอ้โหดมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับนักรบระดับเซียนขั้น 8 แล้ว หากได้ร่างกายท่อนบนมาอีก ประสิทธิภาพการต่อสู้ของมันมิเหนือชั้นกว่านักรบขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หรือ?


หรืออันที่จริง อาจไปได้ถึงขั้นนักปราชญ์โบราณเลยด้วยซ้ำ เพราะถึงอย่างไร นั่นก็เป็นร่างกายท่อนบนทั้งหมดของมัน!


แน่นอนว่าไม่มีทางที่จางเซวียนจะยอมพลาดโอกาสที่จะได้มีบริวารซึ่งมีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณ เพราะนั่นจะเป็นไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยมี


ภายใต้การนำทางของไอ้โหด ไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงใจกลางเมือง


“ผมคิดว่าแถวๆนี้แหละที่ผมสูญเสียการติดต่อกับร่างกายท่อนบนของผมไป ผมกะระยะได้เพียงเท่านี้…” ไอ้โหดพูดเจื่อนๆ


ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้นำทวีปแห่งปรมาจารย์ ออกจะเป็นเรื่องน่าอายมากที่ตอนนี้มันไม่สามารถแม้แต่จะหาร่างกายของตัวเองให้เจอ


จางเซวียนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำนั้น “ที่แกกะประมาณไว้น่ะ จะมีโอกาสผิดพลาดสักเท่าไหร่?”


ใจกลางเมืองขนาดใหญ่แห่งนี้เต็มไปด้วยบ้านพักและคฤหาสน์หรูหรามากมาย หากต้องค้นหาทุกซอกทุกมุม ฝ่ายตรงข้ามคงจะหนีไปเสียก่อนที่พวกเขาจะได้เงื่อนงำที่มีประโยชน์ หากไอ้โหดระบุตำแหน่งที่ถูกต้องให้พวกเขาค้นหาได้ การทำงานก็คงจะง่ายขึ้นมาก


“เอ่อ…ก็น่าจะราวๆ…200 ลี้” ไอ้โหดตอบอย่างกระอักกระอ่วน


“200 ลี้?” จางเซวียนนึกอยากฉีกไอ้โหดเป็นชิ้นๆขึ้นมาทันที


จะต้องมีคนอย่างน้อยเป็นล้านคนอยู่ในรัศมี 200 ลี้จากที่พวกเขากำลังยืนอยู่ การจะตามหารูปปั้นรูปหนึ่งที่ถูกซุกไว้อย่างดี ปิดกั้นไม่ให้การรับรู้จิตวิญญาณและการแกะรอยรูปแบบอื่นๆใช้การได้ในพื้นที่ขนาดใหญ่แบบนี้…เว้นเสียแต่จะเกิดปาฏิหาริย์ ไม่มีทางทำได้อย่างแน่นอน!


รู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ไอ้โหดพึมพำ “จู่ๆมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ถ้าเราเดินทางอย่างรวดเร็ว ผมคิดว่าอาจจับสัญญาณของมันได้อีกครั้ง…”


“เอาเถอะ ฉันเข้าใจแล้ว” จางเซวียนตอบพร้อมกับถอนหายใจอย่างหมดหวัง


รู้ดีว่าไม่มีทางเลือกที่ดีกว่าในเวลานี้ เขาจึงต้องยอมทำไปตามนั้น ร่างกายท่อนบนของไอ้โหดถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขา จึงไม่อาจปล่อยให้มันหลุดมือไปได้โดยไม่พยายามที่จะตามหา


มีผู้คนจำนวนมากเดินไปมาคลาคล่ำอยู่บริเวณใจกลางเมือง ไม่ว่าจะเป็นบนถนนหรือกลางอากาศ จางเซวียนกับหลัวลั่วชิงไม่ได้ปลดปล่อยพลังปราณของพวกเขาออกมา คนอื่นๆจึงไม่อาจมองเห็นระดับวรยุทธของทั้งคู่ได้ การปรากฏตัวของทั้งสองจึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาบริเวณนั้น


ไม่อย่างนั้น พละกำลังอันน่าทึ่งของทั้งคู่จะต้องสร้างความตกอกตกใจในหมู่ชาวเมืองแน่


 

 

 


ตอนที่ 1624

 

สมาคมผู้หยั่งรู้แห่งเมืองหุบเขาเก็บเกี่ยว

“นี่คงเป็นเมืองหุบเขาเก็บเกี่ยว เพราะอยู่ใกล้ภูเขา จึงมีบรรยากาศที่เหมือนกับฤดูใบไม้ผลิตลอดปี เป็นเมืองที่เก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรได้มากที่สุดภายในรัศมีหลายแสนลี้จากบริเวณนี้ อาหารส่วนใหญ่ที่ถูกส่งไปยังปูชนียสถานนักปราชญ์ก็มาจากที่นี่”


จางเซวียนใช้เวลาไม่นานก็ระบุตำแหน่งที่ตัวเองอยู่ได้


เมื่อครั้งที่เขาอยู่ที่ปูชนียสถานนักปราชญ์ ได้อ่านหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับสภาพภูมิศาสตร์ ดังนั้น ด้วยการกะทิศทางและระยะทางอย่างคร่าวๆจากปูชนียสถานนักปราชญ์ ก็พอจะระบุตำแหน่งได้


จางเซวียนเหลียวมองไปรอบๆอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ส่ายหน้า คงไม่เข้าท่าแน่ถ้าค้นหาสะเปะสะปะแบบนี้ เราต้องลองใช้หอสมุดเทียบฟ้าเพื่อระบุตำแหน่งที่อยู่…


เมื่อคิดขึ้นได้ เขาก็สะบัดข้อมือและนำสมุดเปล่าออกมาเล่มหนึ่ง เขาวาดแผนผังของถนนที่อยู่รอบตัวและเขียนลงไปว่า ‘รูปปั้นของนักปราชญ์ขุยอยู่ในทิศทางนี้’


เขาแตะสมุดอย่างแผ่วเบา แล้วหอสมุดเทียบฟ้าก็กระตุก


แต่ไม่มีหนังสือเล่มไหนถูกประมวลขึ้นมา


“ใช้การไม่ได้อีกแล้วหรือ? เกิดอะไรขึ้น?” จางเซวียนสีหน้าไม่สู้ดี


เกิดอะไรขึ้นกับหอสมุดเทียบฟ้ากันนี่?


ที่ผ่านมา มันไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง แต่ทุกวันนี้กลับทำงานผิดพลาดบ่อยครั้งกว่าเดิม เหมือนเครื่องยนต์เก่าที่สำลักและใกล้จะหมดแรง หรือว่ามันจำเป็นต้องได้รับการยกระดับอย่างเร่งด่วน?


แต่นั่นแหละ เขาก็ใช้งานมันมากว่า 1 ปีแล้ว บางทีมันอาจจะเริ่มสูญเสียพละกำลังของมัน โดยเฉพาะเมื่อเขามีระดับวรยุทธแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว


ไม่น่ะ ไม่น่าใช่แบบนั้น ในสภาวะปกติ หอสมุดเทียบฟ้าคงไม่ทำงานผิดพลาดหรอก จางเซวียนเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เว้นเสียแต่ว่า…รูปปั้นนักปราชญ์ขุยอยู่ในพื้นที่ที่ถูกปิดกั้นแม้แต่จากสายตาของสวรรค์…


สองสามครั้งก่อนที่หอสมุดเทียบฟ้าไม่ทำงานก็เป็นเพราะผู้ที่เขาพยายามตรวจสอบมีสภาวะการปฏิเสธคำทำนายโดยสิ้นเชิง อย่างตัวเขากับหลัวลั่วชิง


แต่ก็ยังมีอีกหลายวิธีที่จะปิดกั้นสายตาของหอสมุดเทียบฟ้า อย่างเจ้าพวกตัวการที่ภูเขาห้วยขาวก็ใช้วิธีการพิเศษบางอย่าง ซึ่งไม่เพียงแต่จะปกปิดร่องรอยของพวกมันจากดวงตาหยั่งรู้ แต่ยังปกปิดสายตาของเหล่าผู้หยั่งรู้ได้ด้วย


สถานการณ์ที่จางเซวียนเผชิญอยู่ตอนนี้เหมือนกับครั้งก่อน เป็นไปได้หรือไม่ว่ากรรมวิธีพิเศษบางอย่างถูกนำมาใช้กับรูปปั้นของนักปราชญ์ขุยเพื่อปิดกั้นตำแหน่งที่อยู่ของมันจากคำทำนาย?


“ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็มีความเป็นไปได้ข้อเดียว…”


นัยน์ตาของจางเซวียนเป็นประกายคมปลาบขณะเหลียวมองโดยรอบอย่างรวดเร็ว เขาเดินไปหานักรบคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆและประสานมือ “สหาย ไม่ทราบว่าสมาคมผู้หยั่งรู้ของเมืองหุบเขาเก็บเกี่ยวตั้งอยู่ที่ไหน?”


“สมาคมผู้หยั่งรู้? อยู่ทางโน้นน่ะ ห่างออกไปราวสี่ลี้ มันเป็นตึกที่มีรูปร่างเหมือนเต่า คุณไม่ต้องกลัวว่าจะไปผิดที่!”


นักรบผู้นั้นเป็นชายวัยกลางคนที่มีอายุราว 40 กลางๆ เขาตอบคำถามของจางเซวียนอย่างสุภาพ


“ขอบคุณมาก” จางเซวียนประสานมืออีกครั้ง เขาโบกมือเรียกหลัวลั่วชิงก่อนจะบินไปยังทิศทางที่ชายวัยกลางคนชี้นิ้วไป


“คุณสงสัยว่าสมาคมผู้หยั่งรู้ของเมืองหุบเขาเก็บเกี่ยวร่วมมือกับพวกตัวการเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้หยั่งรู้คนอื่นๆทำนายที่อยู่ของรูปปั้นนักปราชญ์ขุยได้อย่างนั้นหรือ?” หลัวลั่วชิงเข้าใจความคิดของจางเซวียนทันที


“ปราการปิดกั้นแบบธรรมดาสามารถป้องกันไม่ให้นักรบทั่วไปสะกดรอยตามได้ แต่ไม่อาจยับยั้งการทำนายของผู้หยั่งรู้ เพื่อให้ปลอดภัยสูงสุด พวกตัวการน่าจะขอความช่วยเหลือจากผู้หยั่งรู้เพื่อให้ปกปิดตำแหน่งของรูปปั้นนักปราชญ์ขุยจากสายตาของสวรรค์” จางเซวียนพูดพร้อมกับพยักหน้า


“ก็จริง ฉันว่าคุณมาถูกทางแล้วล่ะ” หลัวลั่วชิงพยักหน้า


ถึงปูชนียสถานนักปราชญ์ในเวลานี้จะไม่มีผู้เชี่ยวชาญมากนัก แต่ก็ยังมีผู้หยั่งรู้ระดับ 9 ดาวปฏิบัติหน้าที่อยู่ คือปรมาจารย์เฟิง ถ้าเขารู้ตำแหน่งที่ตั้งของรูปปั้น ก็คงมีโอกาสที่จะระบุที่อยู่ของมันได้หลังจากได้ทดลองสัก 2-3 ครั้ง


ดังนั้น ถ้าพวกตัวการต้องการป้องกันทุกวิถีทาง พวกมันก็จะต้องใช้เทคนิคบางอย่างเพื่อปกปิดสายตาของสวรรค์จากรูปปั้นนักปราชญ์ขุย


ในเมืองหุบเขาเก็บเกี่ยวทั่วทั้งเมือง ก็มีคนเพียงกลุ่มเดียวที่ทำเรื่องแบบนั้นได้…บรรดาผู้หยั่งรู้จากสมาคมผู้หยั่งรู้!


ทั้งสองมุ่งหน้าไป ไม่ช้าก็มาถึงอาคารที่มีรูปร่างเหมือนเต่า มีอักษรจารึกหน้าตาประหลาดอยู่บนผิวหน้าของอาคารนั้น พวกมันดูเหมือนจะมีอำนาจลึกลับบางอย่างที่ป้องกันไม่ให้การรับรู้จิตวิญญาณของนักรบคนไหนแทรกซึมเข้าไปได้


เราจะรู้ว่าเรามาถูกที่หรือไม่ ก็ต้องเข้าไปข้างใน! จางเซวียนคิดขณะเดินตรงไปยังทางเข้าอาคารที่มีรูปร่างเหมือนเต่า


ในตอนนั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งก็ก้าวออกมาขวางทาง “ช้าก่อน สมาคมผู้หยั่งรู้แห่งเมืองหุบเขาเก็บเกี่ยวของพวกเราไม่ต้อนรับผู้มาเยือน!”


“ผมคือจางเซวียน หัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์ เราเพิ่งสูญเสียของล้ำค่าชิ้นหนึ่งไป และผมก็ตั้งใจเดินทางมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากประธานสมาคมของคุณให้ช่วยทำนายว่ามันอยู่ที่ไหน!” จางเซวียนพูดขณะสะบัดข้อมือให้อีกฝ่ายเห็นตราสัญลักษณ์หัวหน้าปูชนียสถาน


“คุณคือหัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์?” ชายหนุ่มชะงักกับสถานภาพสูงส่งของแขกที่อยู่ตรงหน้า เขารีบประสานมืออย่างสุภาพและพูดว่า “ผู้อาวุโส ได้โปรดรอสักครู่ ผมจะไปรายงานประธานสมาคมว่าคุณมา เชิญทางนี้”


หลังจากพูดจบ ชายหนุ่มก็รีบกลับเข้าไปในอาคารที่มีรูปร่างเหมือนเต่า


ราว 3 นาทีต่อมา ผู้อาวุโสที่มีผมสีดำก็เดินกลับมาพร้อมกับชายหนุ่ม


“ขออภัยด้วยที่ไม่ได้ต้อนรับ ผมไม่ทราบว่าคุณมา หัวหน้าปูชนียสถานจาง เชิญข้างในเลย!”


ผู้อาวุโสมีอายุราว 60 ปี มีวรยุทธระดับเซียน 8 สูงสุด เขาสวมเสื้อคลุมตัวยาวของสมาคมผู้หยั่งรู้ มีรูปลักษณ์และท่าทางที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทรงภูมิปัญญา


“ผมจะพูดตามตรงกับคุณเลยก็แล้วกัน ผมมาที่นี่เพราะมีคำขอที่จะต้องรบกวนคุณ” จางเซวียนประสานมืออย่างสุภาพ


“หัวหน้าปูชนียสถานจาง คุณก็เกรงอกเกรงใจเกินไป คุณคงไม่รู้สินะว่าทุกวันนี้ชื่อเสียงของคุณโด่งดังแค่ไหน ผมไม่คิดเลยว่าสมาคมของเราจะมีเกียรติถึงขนาดได้ต้อนรับคุณ เชิญทางนี้เลย!” ผู้อาวุโสพูดขณะนำทางไป


ไม่ช้า พวกเขาก็มาถึงห้องหนึ่ง


ทันทีที่เดินเข้าไป หลัวลั่วชิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอรีบส่งโทรจิตหาจางเซวียน “จางเซวียน ระวังตัวด้วย”


“มีอะไร?” จางเซวียนส่งโทรจิตตอบ “คุณรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างหรือ?”


นี่เป็นครั้งแรกที่หลัวลั่วชิงส่งโทรจิตเดือนเขาให้ระวังตัว ดูเหมือนจะมีบางอย่างไม่ธรรมดาในสมาคมผู้หยั่งรู้แห่งนี้


หลัวลั่วชิงทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในท้ายที่สุดเธอก็เปลี่ยนใจ “ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่คิดว่าระมัดระวังเอาไว้น่าจะดีที่สุด”


“อือ ผมเข้าใจ!” จางเซวียนส่งโทรจิตตอบ


คงเป็นเรื่องโง่เง่าเต็มทีหากจะไม่ใส่ใจคำเตือนของหลัวลั่วชิง จางเซวียนจึงวางมือไว้ที่เอว เตรียมพร้อมจะเปิดการโจมตีทันทีหากมีอะไรเกิดขึ้น


แต่ดูเหมือนเขาจะกังวลเกินกว่าเหตุ เพราะเมื่อเดินเข้าไปถึงใจกลางห้อง ก็ยังไม่พบอะไรผิดปกติ


หลังจากที่ทุกคนได้ที่นั่งแล้ว ผู้อาวุโสก็เงยหน้ามองจางเซวียนและตั้งคำถาม “ไม่ทราบว่าคุณมาเยือนที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร หัวหน้าปูชนียสถานจาง?”


“ไม่นานมานี้ นักย่องเบากลุ่มหนึ่งลอบเข้าไปในปูชนียสถานของเราและขโมยรูปปั้นนักปราชญ์ขุย ผมแกะรอยตามพวกนั้นมา และพบว่าร่องรอยของคนกลุ่มนั้นสิ้นสุดที่นี่ ในเมื่อพวกเราต่างก็ขึ้นตรงกับสภาปรมาจารย์ ผมจึงอยากขอรบกวนให้คุณทำนายตัวตนและตำแหน่งที่อยู่ของนักย่องเบากลุ่มนั้นด้วย!” จางเซวียนประสานมือ


คำพูดของจางเซวียนออกจะดูอ้อมค้อมสักหน่อย แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ในข้อความของเขานั้นชัดเจน เขากำลังพูดว่า ทรัพย์สมบัติของผมหายไปในอาณาเขตของคุณ ถ้าพวกคุณไม่สามารถทำนายตัวตนตำแหน่งที่อยู่ของเจ้าพวกตัวการกลุ่มนั้น ผมก็เกรงว่าผมจะต้องสงสัยพวกคุณด้วย!


“รอยของนักย่องเบากลุ่มนั้นสิ้นสุดที่นี่?” ผู้อาวุโสขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “หัวหน้าปูชนียสถานจางกำลังสงสัยว่าสมาคมผู้หยั่งรู้ของเราซ่อนตัวหัวขโมยกลุ่มนั้นไว้และฉกฉวยเอาทรัพย์สมบัติของปูชนียสถานนักปราชญ์มา?”


“พวกที่ขโมยรูปปั้นนักปราชญ์ขุยมานั้นเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น แต่พวกมันสามารถปกปิดตัวเองได้อย่างดี จนกระทั่งแม้ดวงตาหยั่งรู้ของผมก็ยังทำอะไรกรรมวิธีของมันไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น สมาคมผู้หยั่งรู้ของเราที่ปูชนียสถานนักปราชญ์ก็ไม่สามารถทำนายตำแหน่งที่อยู่ของพวกมันหรือทรัพย์สมบัติที่หายไปได้ด้วย ผมไม่อยากกล่าวหาพวกคุณ แต่เกรงว่าไม่อาจทำตัวหูหนวกตาบอดกับหลักฐานที่ปรากฏชัดอยู่ตรงหน้า” จางเซวียนตอบอย่างสุขุม


“การที่ทรัพย์สมบัติของเราสูญหายไปถือเป็นเรื่องเล็ก แต่การที่หัวขโมยกลุ่มนั้นเกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นเป็นเรื่องที่ต้องกังวล เรื่องนี้คงจะดูไม่สวยนักหากผมรายงานต่อสภาปรมาจารย์ เพราะฉะนั้นผมขอให้พวกคุณให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ด้วย นี่เป็นวิธีเดียวที่จะชำระมลทินของสมาคมผู้หยั่งรู้ของพวกคุณ!”


“หัวหน้าปูชนียสถานจาง ผมเคารพคุณในฐานะหัวหน้าปูชนียสถานและหัวหน้าตระกูลจาง และผมก็ต้อนรับคุณเข้าสู่สมาคมผู้หยั่งรู้ของเราด้วยเจตนาดี แต่คุณกล่าวหาว่าสมาคมของเราร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น…” ผู้อาวุโสลุกพรวดและคำราม “คุณได้อะไรจากการทำลายชื่อเสียงของสมาคมผู้หยั่งรู้ของเรา?”


“ใจเย็นก่อนเถอะ อารมณ์เสียไปก็ไม่มีประโยชน์” จางเซวียนชำเลืองมองผู้อาวุโสที่กำลังร้อนรน “ผมไม่ได้คิดอะไรจริงจังกับคำพูดพวกนั้น ทั้งหมดที่ผมต้องการก็คือนำทรัพย์สมบัติของปูชนียสถานนักปราชญ์ที่ถูกขโมยไปกลับคืนมา ถ้าคุณไม่รู้เรื่องอะไรเลยอย่างที่คุณพูดออกมาจริงๆ คุณก็คงไม่รังเกียจที่จะให้ผมค้นให้ทั่วสมาคมของคุณ จริงไหม? หากผมไม่พบอะไร คุณก็วางใจได้เลยว่าผมจะจ่ายค่าชดใช้ให้กับสมาคมผู้หยั่งรู้ของคุณอย่างสมน้ำสมเนื้อกับความผิดพลาดของผม!”


 


“คุณจะค้นสมาคมผู้หยั่งรู้ของเรา? บังอาจ! สมาคมผู้หยั่งรู้แบกรับหน้าที่และความรับผิดชอบอันหนักหน่วงในการทำนายอนาคตเพื่อปกป้องมวลมนุษยชาติ แม้แต่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ก็ยังต้องเคารพพวกเรา แต่ลำพังแค่หัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์อย่างคุณ…กล้าคิดที่จะค้นสมาคมของเรา?” ผู้อาวุโสตวาดก้อง

 

 

 


ตอนที่ 1625

 

ปะทะกับสมาคมผู้หยั่งรู้

ผู้หยั่งรู้คือหนึ่งในอาชีพพิเศษที่มีมากมายหลายอาชีพในโลก แต่ด้วยความสามารถเฉพาะตัว จึงทำให้ได้การยอมรับอย่างสูงในทวีปแห่งปรมาจารย์ แม้แต่สภาปรมาจารย์ก็ไม่กล้าสร้างแรงกดดันให้กับพวกเขา


การที่ชายหนุ่มจะกล่าวหาสมาคมผู้หยั่งรู้ว่าร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นโดยไม่มีหลักฐานชัดเจนก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ถึงกับบังอาจกล่าวคำขอที่จะเข้าค้นสมาคมของพวกเขาด้วย…


เรื่องนี้ยอมรับไม่ได้!


“ผมไม่ปฏิเสธว่าผมไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเอ่ยปากต่อสมาคมของคุณแบบนี้ แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงแค่กับทรัพย์สมบัติของปูชนียสถานนักปราชญ์ ยังเกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นด้วย มันอาจเป็นความบังเอิญและความโชคร้าย แต่ร่องรอยของนักย่องเบากลุ่มนั้นมาหยุดอยู่ในอาณาเขตของสมาคมผู้หยั่งรู้ของคุณพอดี เมื่อมีความปลอดภัยของมวลมนุษย์เป็นเดิมพัน ผมก็เกรงว่าผมไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำแบบนี้ หวังว่าพวกคุณจะเข้าใจความคิดของผม” จางเซวียนพูด


“เหล่าผู้หยั่งรู้มักหลีกเลี่ยงที่จะเกี่ยวข้องกับกิจธุระของโลกภายนอก ดังนั้นผมจึงเชื่อว่าพวกคุณคงไม่อยากเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งโดยไม่จำเป็น หากผมรายงานเรื่องนี้ไปยังสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่หรือสมาคมผู้หยั่งรู้สำนักงานใหญ่ คุณคงมีอะไรให้ต้องอธิบายอีกมาก นั่นคงไม่ใช่เรื่องที่คุณปรารถนาหรอกนะ ใช่ไหม?”


“คุณข่มขู่ผมหรือ?” ผู้อาวุโสคำรามขณะกำหมัดแน่น


“ข่มขู่? ผมเป็นหัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์นะ ผมไม่ลดตัวลงไปทำอะไรแบบนั้นหรอก อีกอย่าง ถ้ามีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นที่ขโมยรูปปั้นนักปราชญ์ขุยไปลักลอบเข้ามาในสมาคมผู้หยั่งรู้แห่งนี้ เพื่อความปลอดภัยของมวลมนุษย์ ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครตั้งคำถามกับการตัดสินใจของผมที่จะขอเข้าค้นสมาคมของคุณ!” จางเซวียนตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น


“เฮอะ! หัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์ก็ช่างจองหองเสียจริง!”


ยังไม่ทันที่ผู้อาวุโสจะได้ตอบโต้ เสียงคำรามเย็นเยียบก็ดังมาจากที่ไกลๆ จากนั้นชายชรา 2 คนก็เดินเข้ามาจากประตูด้านข้าง


เมื่อเห็นทั้งคู่ จางเซวียนหรี่ตาด้วยความหวาดระแวง


เขาต้องประหลาดใจที่ไม่อาจมองเห็นระดับวรยุทธของชายชราทั้งสอง


ในเมื่อตอนนี้เขาเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดแล้ว การที่เขามองไม่เห็นวรยุทธของอีกฝ่ายก็แปลว่าทั้งคู่จะต้องมีวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เป็นอย่างน้อย


วรยุทธระดับเซียนขั้น 8 สูงสุดก็น่าจะเป็นขีดจำกัดสำหรับเมืองในระดับเมืองภูเขาเก็บเกี่ยว แล้วนักรบขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สองคนมาปรากฏตัวพร้อมกันแบบนี้…


ก่อนหน้านี้ จางเซวียนเพียงแค่คาดเดา แต่การปรากฏตัวของชายชราทั้งคู่ทำให้เขาเชื่อว่าสมาคมผู้หยั่งรู้แห่งนี้มีบางอย่างผิดปกติจริงๆ


“ผมต้องขออภัยด้วยถ้าทำให้คุณรู้สึกแบบนั้น ไม่ทราบว่าคุณทั้งสองเป็นใคร? ผมเพิ่งได้รับการแนะนำให้รู้จักกับผู้นำสมาคมผู้หยั่งรู้แห่งเมืองภูเขาเก็บเกี่ยว จึงต้องขอร้องคุณทั้งสองว่าอย่าขัดจังหวะบทสนทนาของเรา และรู้จักสงบปากสงบคำไว้บ้าง!” จางเซวียนตอบอย่างอาจหาญ


หากพวกเขาเป็นนักรบที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จากสมาคมอื่น จางเซวียนก็คงลังเลเล็กน้อยที่จะมีปัญหากับพวกเขา แต่ในเมื่อคนเหล่านี้เป็นผู้หยั่งรู้…


ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็คือสั่งสอนบทเรียนให้คนพวกนั้น ยังไม่เรียกว่าเป็นการข่มขู่ด้วยซ้ำ!


“ผมคือรองประธานสมาคมผู้หยั่งรู้สำนักงานใหญ่, ฉีเจิน และผู้ที่อยู่ข้างผมคือผู้อาวุโสมั่วชิง!” ชายชราคนที่พูดขึ้นก่อนสะบัดแขนเสื้อและคำราม “ไม่มีทางที่จะมีเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นตัวไหนอยู่ที่นี่ และไอ้ที่คุณเรียกว่าทรัพย์สมบัติของปูชนียสถานนักปราชญ์ก็ไม่ได้อยู่ที่นี่เหมือนกัน ตอนนี้คุณพอใจหรือยัง?”


“โชคร้ายนะที่ผมไม่พอใจ” จางเซวียนตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเอาสองมือไพล่หลัง เขาพูดต่ออย่างไม่ยี่หระ “เว้นเสียแต่คุณจะอนุญาตให้ผมตรวจค้นทั้งสมาคมผู้หยั่งรู้แห่งเมืองหุบเขาเก็บเกี่ยว ไม่อย่างนั้น วันนี้ผมก็จะไม่ไปจากที่นี่!”


“คุณ…”


นึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะพูดแบบนั้นทั้งที่เขาเปิดเผยตัวตนในฐานะรองประธานสมาคมผู้หยั่งรู้ สำนักงานใหญ่แล้ว ฉีเจินหรี่ตาอย่างโกรธเกรี้ยว เขาเงื้อมือขึ้น ดูเหมือนเตรียมพร้อมจะปล่อยการโจมตี แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง


ดูเหมือนกับว่าจะมีใครบางคนส่งโทรจิตหาเขา ครู่ต่อมา ฉีเจินก็ระงับความโกรธไว้และสะบัดแขนเสื้ออย่างเกรี้ยวกราดอีกครั้ง “เอาเถอะ คุณตรวจค้นที่นี่ก็ได้ แต่ผมให้เวลาคุณแค่ 3 นาทีเท่านั้นนะ เมื่อหมดเวลา 3 นาที ไม่ว่าคุณจะพบสิ่งที่คุณกำลังตามหาอยู่หรือไม่ ผมก็ต้องขอให้คุณกลับไป เรายังมีพิธีการสำคัญที่จะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้น ถ้าเราพลาดช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการทำนายล่ะก็ ต่อให้ปูชนียสถานนักปราชญ์ของคุณก็รับผิดชอบผลที่จะตามมาไม่ได้!”


“สามนาที? ตามนั้น!” จางเซวียนพยักหน้ารับ


เขาหยิบหนังสือเทียบฟ้าออกมาและสั่งการในใจ “ไอ้โหด ตรวจสอบพื้นที่นี้ให้ทั่ว ดูซิว่าแกรู้สึกได้ถึงร่างกายท่อนบนของแกหรือไม่!”


“ได้เลย” ไอ้โหดตอบ เพียงครู่เดียวหลังจากที่มันสำรวจพื้นที่โดยรอบ หนังสือเทียบฟ้าก็สั่นสะท้านขณะมีเสียงอุทานอย่างตื่นเต้นลอดมา “นายท่าน ที่นี่มีบางอย่างผิดปกติ มีรังสีของความปั่นป่วนวุ่นวาย ราวกับมีบางอย่างที่อันตรายมากอยู่ข้างใน!”


“อันตรายมาก?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


การที่ไอ้โหดให้คำจำกัดความพื้นที่โดยรอบว่า ‘อันตรายมาก’ จะเป็นอะไรที่ถูกซุกซ่อนอยู่ในสมาคมผู้หยั่งรู้แห่งนี้?


“เอ๊ะ? ความรู้สึกนั้นหายไปแล้ว ผมเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า สัญชาตญาณของผมดูจะสูญเสียความไวไปหลังจากที่ระดับวรยุทธของผมตกฮวบ” ไอ้โหดตั้งข้อสังเกต


มันแน่ใจว่าก่อนหน้านี้มันรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง แต่ความรู้สึกนั้นก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา ถึงจะยังคงสงสัย แต่ก็ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ที่ว่าตัวเองอาจเข้าใจผิด ร่างกายของมันยังไม่สมบูรณ์ จึงมีโอกาสที่ประสาทสัมผัสจะรับรู้บางอย่างผิดพลาดไปบ้าง


“ฉันเข้าใจแล้ว แกอย่าไปสนใจรังสีวุ่นวายนั่น ตอนนี้ตรวจสอบเสียก่อนว่าร่างกายท่อนบนของแกอยู่ที่นี่หรือเปล่า!” จางเซวียนสั่งการ


เมื่อครู่นี้หลัวลั่วชิงก็เพิ่งเตือนเขา มาตอนนี้ไอ้โหดก็พูดแบบเดียวกัน


เรื่องนี้ทำให้จางเซวียนหวั่นวิตกเล็กน้อย


แต่เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว เขาก็ถอยไม่ได้ เจ้าตัวการน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกันกับพวกที่ลักพาตัวจ้าวหย่ากับลูกศิษย์คนอื่นๆของเขาไป เขาจึงไม่อาจพลาดโอกาสครั้งนี้ แถมร่างกายท่อนบนของไอ้โหดก็มีความสำคัญต่อเขามากด้วย


“รับทราบ” ไอ้โหดตอบ มันรีบสลัดความคิดวกวนในหัวสมองออกไปและสำรวจตรวจสอบพื้นที่นั้นอีกครั้ง ต่อมามันก็อุทาน “นายท่าน ผมรู้แล้วร่างกายท่อนบนของผมอยู่ที่นี่จริงๆ แต่ว่า…”


“แต่อะไร?” จางเซวียนกำลังดีใจที่รู้ว่ามาถูกที่ แต่คำพูดนี้ทำให้เขาเกิดความสงสัยขึ้นอีก


การที่สมาคมผู้หยั่งรู้รวมหัวกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นเพื่อขโมยรูปปั้นนักปราชญ์ขุย…พวกนั้นอยากได้อะไร?


“มีรังสีประหลาดล้อมรอบร่างกายท่อนบนของผม ก่อนหน้านี้รูปปั้นนักปราชญ์ขุยกดข่มอำนาจของร่างกายท่อนบนของผมไว้ ผมจึงรับรู้มันได้ไม่เต็มที่ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกได้ถึงร่างกายท่อนบนของผมอย่างชัดเจน รู้สึกเหมือนกับว่าพวกมันอาจทำลายรูปปั้นแล้ว” ไอ้โหดตอบ


“ทำลายรูปปั้น? ดูเหมือนพวกมันจะขโมยรูปปั้นนักปราชญ์ขุยมาเพื่อร่างกายท่อนบนของไอ้โหดจริงๆ…” จางเซวียนครุ่นคิดหนัก


ถ้าก่อนหน้านี้เป็นเพียงการคาดเดา ตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเป้าหมายหลักของเผ่าพันธุ์ปีศาจกลุ่มนี้คือร่างกายท่อนบนของไอ้โหด


อีกอย่าง ก็ดูจะบังเอิญมากไปที่รองประธานสมาคมและผู้อาวุโสของสมาคมผู้หยั่งรู้สำนักงานใหญ่มาเยือนสมาคมสาขาที่ห่างไกลพร้อมๆกัน โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ เท่าที่เห็น…มีความเป็นไปได้ที่เหล่าผู้หยั่งรู้ระดับสูงจำนวนหนึ่งจะร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น!


แน่นอนว่าเรื่องนี้ยังต้องการการตรวจสอบและยืนยัน แต่คาดเดาสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อนก็น่าจะดีกว่า


“แล้วตอนนี้ร่างกายท่อนบนของแกอยู่ที่ไหน?” จางเซวียนถาม


“อยู่หลังห้องนี้” ไอ้โหดตอบ


“เข้าใจละ” จางเซวียนพยักหน้าขณะหันไปมอง


ที่ด้านหลังของห้องนั้นมีประตูขนาดใหญ่สีดำสนิท เขาพยายามใช้การรับรู้จิตวิญญาณตรวจสอบว่ามีอะไรอยู่ด้านหลังประตู แต่ดูเหมือนจะมีปราการบางอย่างปิดกั้นเอาไว้ ไม่ให้ใครหรือวิธีการใดๆเข้าไปตรวจสอบได้


จางเซวียนเดินตรงไปที่ประตูเพื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน


ในตอนนั้นเอง เสียงของฉีเจินก็ดังขึ้น “หมดเวลา 3 นาทีแล้ว หัวหน้าปูชนียสถานจาง ผมต้องขอให้คุณกลับไปเดี๋ยวนี้!”


“กลับไป?” จางเซวียนคำราม “ผมเพิ่งแน่ใจเดี๋ยวนี้เองว่าทรัพย์สมบัติของปูชนียสถานที่หายไปนั้นอยู่หลังประตูบานนี้ แต่ดูเหมือนคุณจะรีบร้อนไล่ผมเหลือเกิน ผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆว่าเจตนาของคุณคืออะไร!”


ม่านตาของฉีเจินหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่เขาก็รีบปกปิดมันไว้ด้วยเสียงคำราม “คุณพูดว่าคุณแน่ใจว่าทรัพย์สมบัติที่หายไปของคุณอยู่หลังประตูบานนี้ แน่ใจได้อย่างไร?”


“ก็เหมือนกับความสามารถของสมาคมผู้หยั่งรู้ของคุณในการเปิดเผยข้อมูลสำคัญผ่านคำทำนายนั่นแหละ ปูชนียสถานของเราก็มีวิธีการของตัวเองในการแกะรอยหาทรัพย์สมบัติ ถ้าผมหาตำแหน่งของทรัพย์สมบัติของเราที่ถูกขโมยไปไม่ได้ ผมควรจะเป็นหัวหน้าปูชนียสถานหรือ?” จางเซวียนตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น


“หัวหน้าปูชนียสถานจาง ผมเข้าใจว่าคุณร้อนใจอยากจะตามหาทรัพย์สมบัติของปูชนียสถานนักปราชญ์ของคุณ แต่ไอ้การกล่าวหาซี้ซั้วอย่างที่คุณทำน่ะไม่ทำให้คุณได้อะไรขึ้นมาหรอกนะ สมาคมผู้หยั่งรู้ของเรามีพิธีการสำคัญที่จะต้องดำเนินการในตอนนี้ และเราก็ไม่มีเวลาจะมาโต้เถียงกับคุณ ผมขอให้คุณกลับไปเดี๋ยวนี้เลย ไม่อย่างนั้น จะมากล่าวหาว่าผมหยาบคายไม่ได้!” ฉีเจินพูดพร้อมกับโบกมืออย่างวางมาด


“หยาบคาย? คุณตั้งใจจะโจมตีผมหรือ?” จางเซวียนหรี่ตาอย่างข่มขู่


ใครจะไปคิดว่าสมาคมผู้หยั่งรู้จะเก่งกล้าขนาดนี้? การที่พวกเขาจะร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจเพื่อขโมยรูปปั้นนักปราชญ์ขุยก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ถึงกับกล้าข่มขู่เขาซึ่งเป็นถึงหัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์ด้วย!


“พวกเราไม่อยากให้เรื่องลุกลามไปถึงจุดนั้นหรอก แต่คุณก็จุ้นจ้านไม่หยุด ผมเกรงว่าผมคงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้กำลัง!” ฉีเจินตอบขณะรังสีแผดกล้าระเบิดออกจากร่างของเขา พุ่งขึ้นสู่สวรรค์


เขาเป็นนักรบที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 2 ร่างอันทรงเกียรติ!


ถึงเขาจะยังอ่อนด้อยหากเปรียบเทียบกับเซียนดาบชิง แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของอีกฝ่ายก็มากเกินพอที่จะรับมือกับนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดอย่างจางเซวียน


เห็นฉีเจินกำลังจะปล่อยการโจมตี มือของจางเซวียนเลื่อนไปที่หอกสวรรค์กระดูกมังกรซึ่งรัดอยู่รอบเอวของเขา พร้อมตอบโต้ทันทีหากอีกฝ่ายใช้ความรุนแรง แต่แล้วการระเบิดของรังสีนั้นก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่งขณะที่หลังคารูปกระดองเต่าเปิดออก


ร่างหนึ่งพุ่งลงมาจากหลังคาที่เปิดออกนั้น


“หวู่เฉิน?”


ผู้ที่เข้ามาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเด็กชายวัยรุ่นที่ติดตามหลัวลั่วชิง, หวู่เฉิน!


อีกฝ่ายบอกว่าตัวเขามีเรื่องที่จะต้องไปจัดการหลังจากที่ทั้งสามออกจากอาณาจักรโบร่ำโบราณของนักปราชญ์โบราณหรันชิวที่ภูเขาห้วยขาว แล้วทำไมจู่ๆถึงมาปรากฏตัวที่นี่?


 

 

 


ตอนที่ 1626

 

หนังสือเล่นงานนักปราชญ์โบราณ

“โจมตี!”


ขณะที่จางเซวียนกำลังจังงัง ฉีเจินก็ตวาดลั่น


ตัวเขาพร้อมกับผู้อาวุโสมั่วชิงจากสมาคมผู้หยั่งรู้สำนักงานใหญ่พุ่งเข้าใส่หวู่เฉินที่อยู่กลางอากาศ


“ฮึ่มมม!” หวู่เฉินคำรามขณะปล่อยพลังจากฝ่ามือลงมาเพื่อตอบโต้


ฟึ่บ!


พื้นที่ที่อยู่โดยรอบแข็งทื่อ ยังไม่ทันที่จีเฉินกับมั่วชิงจะได้ทำอะไร ก็ถูกเล่นงานอย่างจังเข้าที่หน้าอก ทำให้ทั้งคู่ร่วงลงมากระแทกพื้นอย่างแรงพร้อมกับกระอักเลือดออกมากองใหญ่


แม้จะเป็นถึงนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 2 แต่ก็ยังอ่อนด้อยหากเปรียบเทียบกับหวู่เฉิน


ดูเหมือนหวู่เฉินจะยังไม่เห็นจางเซวียนกับหลัวลั่วชิง หลังจากเล่นงานชายชราทั้งคู่แล้ว เขาก็ปล่อยพลังฝ่ามืออีกครั้งเข้าใส่ด้านหลังห้อง ซึ่งน่าจะเป็นที่อยู่ของร่างกายท่อนบนของไอ้โหด พื้นที่ที่อยู่โดยรอบบริเวณหลังห้องพังทลายไปทันที ทำให้เพดานถูกทำลายไปด้วย


ฟิ้วววว!


ในตอนนั้น พู่กันด้ามหนึ่งก็ลอยละลิ่วมาจากเพดานที่กำลังทรุดตัวและปะทะเข้ากับพื้นที่ที่ถูกทำลาย จากนั้นเสียงคมกริบก็กรีดก้องไปทั่ว เกิดรอยแยกของมิติที่กระจายไปยังพื้นที่โดยรอบ


“นั่นมันเผ่าพันธุ์ปีศาจสี่ตัวนั้นนี่!” จางเซวียนหรี่ตา


พู่กันที่ลอยมาดูคุ้นตามาก มันเป็นหนึ่งในของล้ำค่าของเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งสี่ตัวที่จางเซวียนพบที่อาณาจักรโบร่ำโบราณของนักปราชญ์โบราณหรันชิว


เขาไม่คิดเลยว่าจะมาพบกับพวกมันอีกครั้งที่นี่


ดูเหมือนว่าหลังจากที่แยกกัน หวู่เฉินก็คงใช้วิธีการบางอย่างสะกดรอยตามพวกมันมา


เราควรโจมตีบ้าง จางเซวียนคิด


เขาคว้าเข็มขัดที่รัดอยู่รอบเอวและสะบัดให้มันกลายเป็นหอกสวรรค์กระดูกมังกร จากนั้นก็โผขึ้นสู่กลางอากาศ


เคร้งงงง!


หลังจากเกิดเสียงกระทบกันของโลหะ 2-3 ครั้ง จางเซวียนก็ถูกบีบให้ล่าถอยด้วยใบหน้าซีดเผือด


หากไม่ใช้หยดเลือดของปรมาจารย์ขง เขาก็ไม่อาจเทียบชั้นกับเผ่าพันธุ์ปีศาจสี่ตัวนั้นได้


ขณะที่จางเซวียนถูกผลักดันให้ล่าถอย เสียงตวาดกร้าวก็ดังกึกก้องมาจากด้านล่าง ชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนหนึ่งพุ่งออกมาจากที่ซ่อน เขาสะบัดข้อมือ แล้วดาบเล่มยาวก็มาอยู่ในมือของเขา เมื่อมีบทเพลงบรรเลงปีศาจและพู่กันเข้าช่วย เขาก็สามารถเล่นงานหวู่เฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ปราการของกระแสดาบฉีอันดุเดือดครอบคลุมไปทั่วท้องฟ้าบริเวณเหนือสมาคมผู้หยั่งรู้ ผู้ที่ได้เห็น ต่างก็แทบจะตาบอดเพราะความเข้มข้นของกระแสดาบฉี ราวกับดาบเล่มนั้นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่มีอยู่ในโลก


อากาศโดยรอบส่งเสียงหวีดหวิวเพราะแรงกดดันหนักหน่วงจากปราการของกระแสดาบฉี รอยแยกของมิติสีดำสนิทถูกเปิดออกทั่วทั้งบริเวณนั้น


ชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดใช้พลังเต็มพิกัดตั้งแต่ต้น หากเปรียบเทียบกับตอนที่จางเซวียนปะทะกับอีกฝ่ายที่อาณาจักรโบร่ำโบราณของนักปราชญ์โบราณหรันชิว ก็ดูเหมือนเขาจะแข็งแกร่งกว่าตอนนั้นมาก


แต่ถึงชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดจะทรงพลังแค่ไหน หวู่เฉินก็ยังทรงพลังกว่า


“ฮึ่มมมม!” หวู่เฉินคำราม


เขาปล่อยพลังฝ่ามือลงมาอีกครั้งโดยไม่มีอาการตื่นตระหนกแม้แต่น้อย


รอยแยกของมิติสีดำสนิทที่กระจัดกระจายไปทั่วสมานตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็ว และชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดที่ดูจะไร้เทียมทานคนนั้นก็พลันแข็งทื่อกลางอากาศพร้อมกับดาบของเขา ด้วยความตกใจ เขาไม่สามารถปล่อยพละกำลังออกมาได้เลย!


“ช่างมีประสิทธิภาพการต่อสู้ที่น่าทึ่งอะไรอย่างนี้!” จางเซวียนนัยน์ตาเบิกโพลงขณะเอ่ยชม


เขานึกไม่ถึงจริงๆว่าหวู่เฉินจะมีพละกำลังมากมายอย่างที่เห็น ต่อให้เขาเรียกใช้พลังงานจากหยดเลือดของปรมาจารย์ขง ก็เป็นไปได้ว่าไม่น่าจะรับมือกับการโจมตีของชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดได้ดีกว่าที่หวู่เฉินทำอยู่


บึ้มมมม!


เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้งในสมาคมผู้หยั่งรู้ ชายอีกหลายคนพุ่งเข้าใส่หวู่เฉิน การปรากฏตัวของคนเหล่านั้นส่งผลให้เจตนาสังหารกระหายเลือดอบอวลไปทั่ว บรรยากาศโดยรอบทำให้รู้สึกราวกับตกอยู่ในสมรภูมิอันดุเดือด


“พวกมันเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจทุกตัวเลยนี่!” จางเซวียนตัวแข็งด้วยความประหลาดใจ


เขานึกไม่ถึงว่าจะมีเผ่าพันธุ์ปีศาจปรากฏตัวพร้อมกันทีเดียวมากขนาดนี้ แถมพวกมันยังไม่พยายามปกปิดตัวเองเลยด้วย


“รู้แล้ว เพราะที่นี่คือสมาคมผู้หยั่งรู้ ไม่เพียงแต่ที่นี่จะปกปิดรังสีของพวกมันได้ ยังปกปิดร่างกายของพวกมันจากสายตาของสวรรค์ด้วย จึงเป็นธรรมดาที่พวกมันไม่จำเป็นต้องพยายามซุกซ่อนตัวตนของตัวเอง…” จางเซวียนพยักหน้าเมื่อนึกได้


ตอนที่พวกเขาอยู่ที่อาณาจักรโบร่ำโบราณของนักปราชญ์โบราณหรันชิว เผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งสี่ต้องปลอมตัวเล็กน้อย เพราะหากเครื่องรางลำดับแรกรู้ตัวตนที่แท้จริงของพวกมันและพยายามใช้อำนาจกดข่มพวกมันไว้ พวกมันก็จะต้องเจอปัญหาใหญ่


แต่สำหรับที่นี่ ตราบใดที่พวกมันมั่นใจว่าจะไม่มีใครที่สามารถเอาชีวิตรอดและเดินออกไปจากสมาคมผู้หยั่งรู้ได้ ก็แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของพวกมัน


“เรียกพลัง!”


รู้ดีว่าหากมัวแต่ลังเลในตอนนี้ ก็อาจหมายถึงการต้องเสียชีวิต จางเซวียนจึงเรียกใช้พลังงานจากหยดเลือดของปรมาจารย์ขงหยดสุดท้ายทันที


มันเป็นไพ่ไม้ตายที่ทรงพลังที่สุดของเขา ซึ่งทำให้เขาออกจะไม่เต็มใจที่จะใช้มัน แต่ก็รู้ดีว่าหากไม่รีบโจมตีตอนนี้ และถ้าหวู่เฉินเพลี่ยงพล้ำ ตัวเขากับหลัวลั่วชิงก็จะต้องเป็นรายต่อไป!


ฟึ่บ!


ทันทีที่พละกำลังจากหยดเลือดของปรมาจารย์ขงถูกเรียกใช้ จางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งที่โอบรอบร่างกายของเขา ทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ได้รับการยกระดับขึ้นสู่ขั้นใหม่ จางเซวียนถือหอกสวรรค์กระดูกมังกรไว้และพุ่งเข้าใส่เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่อยู่ใกล้เขาที่สุด


“ตายซะ!”


จางเซวียนใช้หอกจ้วงแทงจุดสำคัญของเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นโดยไม่ลังเล


คราวที่แล้ว ก็เป็นเพราะความลังเลของเขาที่ทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งสี่ตัวหนีรอดไปได้ คราวนี้เขาจะไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเด็ดขาด!


เมื่อเจอกับการโจมตีอย่างกะทันหันจากคู่ต่อสู้ที่ทรงพลัง เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องผละจากหวู่เฉินมาปัดป้องการโจมตีของจางเซวียน


เจตนาสังหารโหดเหี้ยมพุ่งเข้าใส่จางเซวียน เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นสะบัดกรงเล็บใส่เขา


แต่ด้วยประสิทธิภาพการต่อสู้ที่จางเซวียนมีอยู่ในตอนนี้ เขาจะปล่อยให้เผ่าพันธุ์ปีศาจทำอะไรตามใจได้อย่างไร?


จางเซวียนใช้หอกแทงกรงเล็บของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ก่อนจะจ้วงลึกเข้าไปถึงหัวใจของมัน


ขณะที่หอกของเขาอยู่ในร่างของเผ่าพันธุ์ปีศาจ เขาก็บิดมันอย่างแรง


พลั่ก!


วินาทีต่อมา ร่างของเผ่าพันธุ์ปีศาจก็แหลกเละ กลายเป็นเนื้อบด


ด้วยสิ่งนี้ นักรบที่มีวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 4-ชั่วกัลปาวสานก็พบจุดจบ


เห็นสหายของพวกมันเสียชีวิตในชั่วพริบตา เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่เหลือถึงกับจังงัง บางที อาจเป็นเพราะรู้ตัวว่าจางเซวียนเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงของพวกมัน พวกมันกลุ่มหนึ่งจึงเบนเป้าหมายและพุ่งการโจมตีมาที่จางเซวียน


จางเซวียนหรี่ตา เขาสะบัดหอกโดยใช้มือเดียว มันแปรสภาพกลายเป็นมังกรอันสง่างามและพุ่งเข้าใส่เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด


ในเวลาเดียวกัน เขาก็ดีดนิ้วเบาๆด้วยมืออีกข้างหนึ่ง


“แข็งทื่อ!”


ฟึ่บ!


พื้นที่โดยรอบดูจะแข็งทื่อไปทันที ทุกอย่างที่อยู่ในสมาคมผู้หยั่งรู้หยุดชะงัก


เผ่าพันธุ์ปีศาจที่กำลังเกรี้ยวกราดคิดไม่ถึงว่าจางเซวียนจะมีเทคนิคแบบนี้ ทันทีที่พวกมันรู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ ก็รีบหันหลังกลับและพยายามหนี แต่สายไปแล้ว พื้นที่รอบตัวมันถูกปิดกั้น และพวกมันก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้แม้เพียงนิ้วเดียว


ฉึกกก!


หอกจ้วงแทงเข้าใส่ศีรษะของเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด มันเสียชีวิตทันที แต่เพราะมิติที่ถูกทำให้แข็งทื่อ ร่างของมันจึงยังคงลอยคว้างอยู่กลางอากาศอย่างน่าขยะแขยง


เมื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจสองตัวถูกกำจัดไป ภาระของหวู่เฉินก็เบาลงมาก เขาปล่อยพลังจากฝ่ามือติดต่อกันอีกสองครั้ง ครั้งแรกทำให้ชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดกระเด็นไป และครั้งที่สองก็ทำลายพิณของชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอได้ภายในเสี้ยววินาที


วิ้ง!


ในตอนนั้น โครงกระดูกของร่างกายท่อนบนของไอ้โหดก็ลอยขึ้นสู่กลางอากาศ


ยากที่จะบอกได้ว่าร่างกายท่อนบนนั้นทำจากอะไร แต่กระดูกซี่โครงมีความโปร่งแสงราวกับหยกชั้นดี และแทนที่มันจะแผ่เจตนาสังหารอันเหี้ยมโหดออกมา กลับมีรังสีของผู้ทรงภูมิ


“นายท่าน นั่นคือร่างกายท่อนบนของผม!” ไอ้โหดอุทานอย่างตื่นเต้น


“ในที่สุดก็ออกมา!”


เมื่อเห็นว่าร่างกายท่อนบนของไอ้โหดอยู่ที่นี่จริงๆ จางเซวียนตาโต เขาสะบัดข้อมือโดยไม่ลังเล แล้วหนังสือเทียบฟ้าก็ลอยเข้าหาร่างกายท่อนบนของไอ้โหด


ฟึ่บ!


ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตา หนังสือเทียบฟ้าก็กักขังร่างกายท่อนบนของไอ้โหดไว้ในนั้น


การจัดการกับศีรษะและนิ้วมือของไอ้โหดดูจะยุ่งยากกว่า เพราะพวกมันมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่สำหรับร่างกายท่อนบน การถูกรูปปั้นนักปราชญ์ขุยที่อยู่ภายในปูชนียสถานนักปราชญ์กดข่มอำนาจของมันมานานหลายปีทำให้ร่างกายท่อนบนของไอ้โหดถูกชำระล้าง ขจัดเอาความคิดและชีวิตจิตใจของมันออกไปจนหมด


ดังนั้นหนังสือเทียบฟ้าจึงไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายในการกักขังมัน


เมื่อเห็นภาพนั้น หวู่เฉินเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ


“ฮ่าฮ่าฮ่า! ผมกำลังจะฝ่าด่านวรยุทธแล้ว นายท่าน ผมต้องจำศีลนะ คุณดูแลตัวเองด้วย…” ไอ้โหดคำรามพร้อมกับหัวเราะลั่น เสียงของมันค่อยๆจางหายไป


จางเซวียนรู้สึกได้ว่าสติสัมปชัญญะของไอ้โหดเข้าสู่สภาวะหลับลึก


ก็เหมือนกับหลายครั้งที่ผ่านมา


การซึมซับร่างกายท่อนบนของมันเป็นกระบวนการที่ทำให้เหน็ดเหนื่อยอยู่ไม่น้อย มันจึงต้องเข้าสู่ภาวะจำศีล


เมื่อมันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็คงฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่…จางเซวียนแอบถอนหายใจ


แม้ทุกอย่างจะเสร็จสิ้นแล้ว แต่จางเซวียนก็ยังไม่ถอย เขาเงื้อหอกเข้าใส่เผ่าพันธุ์ปีศาจอีกตัวหนึ่ง ตั้งใจจะสังหารมัน


แต่ในตอนนั้นเอง รังสีทำลายล้างก็ระเบิดออกมาจากสมาคมผู้หยั่งรู้ มันพุ่งทะยานขึ้นสู่หมู่เมฆ


รังสีนั้นทรงพลังอย่างน่าทึ่งเสียจนแทบจะพลิกสวรรค์ได้!


“หรือว่าจะเป็น…นักปราชญ์โบราณ?” จางเซวียนหรี่ตาด้วยความตกตะลึง


การเรียกใช้พลังงานจากหยดเลือดของปรมาจารย์ขงทำให้พละกำลังของเขาเหนือชั้นกว่านักรบทุกคนที่มีวรยุทธต่ำกว่าขั้นนักปราชญ์โบราณ แต่เมื่อเผชิญกับรังสีที่ทรงพลังอย่างน่าทึ่งจากสมาคมผู้หยั่งรู้ จางเซวียนก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นมดที่ยืนอยู่ตรงหน้าช้าง


เขาไม่สามารถแม้แต่จะหยั่งถึงพละกำลังของผู้ที่ปลดปล่อยรังสีนั้น


เป็นไปได้ว่านี่คือระดับความแข็งแกร่งของผู้ที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณซึ่งเขาเคยได้ยินเรื่องราวมามาก


จางเซวียนรีบหันไปยังทิศทางที่รังสีระเบิดออกมาด้วยความหวาดระแวง และเห็นเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวมหึมากำลังพุ่งเข้าใส่หลัวลั่วชิงด้วยความเร็วสูง


จางเซวียนทั้งพรั่นพรึงและตื่นตระหนก เขาคำรามก้อง “ลั่วชิง ระวังด้วย!”


ถ้าเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณตัวนั้นเข้าถึงตัวหลัวลั่วชิงได้ เธอคงตายอย่างไม่ต้องสงสัย


ใครจะไปคิดว่าจะมีนักปราชญ์โบราณซ่อนตัวอยู่ในสมาคมผู้หยั่งรู้ แถมยังเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นด้วย? พวกเผ่าพันธุ์ปีศาจกำลังวางแผนอะไรอยู่?


บ้าจริง! บ้าที่สุด!


“ไม่นะ!”


จางเซวียนไม่รู้ว่านั่นคือเสียงตะโกนก้องในหัวของเขาหรือเขาตะโกนออกมาจริงๆ แต่สิ่งที่เห็นบอกเขาว่าเขาไม่อาจปล่อยให้อะไรที่กำลังจะเกิดนั้นเกิดขึ้นจริงๆได้


ฟิ้วววว!


หนังสือเล่มหนึ่งลอยละลิ่วออกจากหว่างคิ้วของจางเซวียน


พลั่ก!


มันพุ่งเข้าใส่เผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณซึ่งกำลังจะเล่นงานหลัวลั่วชิง


“อะไรกัน?”


ด้วยสีหน้าที่ยังคงพรั่นพรึง เผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณตัวนั้นถูกทับบี้แบนอยู่กับพื้น และสิ้นใจ


แม้ในวินาทีแห่งความตาย มันก็ยังไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรผู้ที่ทรงพลังอย่างมันถึงต้องพบจุดจบเพียงเพราะน้ำหนักของหนังสือเล่มหนึ่ง

 

 

 


ตอนที่ 1627

 

สภาปรมาจารย์ทรยศมวลมนุษย์หรือเปล่า?

ความเงียบครอบงำทั่วทั้งสมรภูมิแห่งนั้น


แม้แต่หวู่เฉินกับชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดก็ชะงัก ส่งผลให้การสู้รบของทั้งคู่หยุดไปชั่วขณะ


ทุกสายตาจับจ้องที่ร่างของเผ่าพันธุ์ปีศาจซึ่งเละเป็นเนื้อบดอยู่กับพื้น ไม่มีใครพูดอะไรออกมา


ทุกคนรับรู้ได้ถึงรังสีที่ระเบิดออกมาก่อนหน้านี้ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีนักปราชญ์โบราณปรากฏตัว แต่นักปราชญ์โบราณผู้นั้นก็กลับได้พูดเพียงคำเดียวว่า “อะไรกัน?” ก่อนจะพบจุดจบ


มันน่าตกตะลึงเกินไป!


นักรบที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นสุดยอดในทวีปแห่งปรมาจารย์ แม้อาจจะดูเกินจริงไปสักหน่อยหากจะพูดว่าไม่มีใครทำร้ายพวกเขาได้ แต่พละกำลังและพลังชีวิตของพวกเขาก็แข็งแกร่งเสียจนนักปราชญ์โบราณส่วนใหญ่สามารถมีชีวิตอยู่ได้จนสิ้นอายุขัย แต่แล้วนักปราชญ์โบราณคนหนึ่งก็มาจบชีวิตต่อหน้าต่อตาพวกเขาด้วยการถูกทำลายทั้งกายเนื้อและจิตวิญญาณต้นกำเนิดจนเละไม่เหลือชิ้นดี ทำให้โอกาสที่จะมีชีวิตรอดเป็นศูนย์


นี่มันเกิดอะไรขึ้น?


นักปราชญ์โบราณบอบบางขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แตะต้องนิดเดียวก็แหลกสลายเลยหรือ?


ถ้าไม่อย่างนั้น หนังสือเล่มนั้นมันคืออะไร? หมอนั่นได้หนังสือมาจากไหน?


และมันยังคงใช้การได้อยู่หรือเปล่า?


ชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดหน้าซีดตัวสั่น เขาตวาดอย่างร้อนรน “ถอย!”


ด้วยการโจมตีที่แม้แต่นักปราชญ์โบราณยังต้านทานไม่ไหว ก็แปลว่าไม่มีทางที่พวกเขาจะเอาชีวิตรอด เผ่าพันธุ์ปีศาจที่เหลือรีบหักเครื่องรางของตัวเองด้วยสีหน้าพรั่นพรึง แล้วรอยแยกแห่งมิติก็ปรากฏขึ้นรอบตัว


“พวกแกคิดจะไปไหน?” จางเซวียนคำรามขณะเงื้อมือขึ้น ตั้งใจจะปิดกั้นพื้นที่โดยรอบเอาไว้เพื่อไม่ให้พวกมันหนีไปได้


แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำอย่างนั้น เสียงหนึ่งก็ลอยเข้ามาในหัว “ปล่อยพวกมันไป”


เขาหันกลับไปมองหลัวลั่วชิง เห็นอีกฝ่ายส่ายหน้าพร้อมกับขมวดคิ้วจนย่นเป็นร่องลึก


จางเซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจทำตามเธอ


ครืนนนนน!


คลื่นรบกวนของมิติสั่นสะท้านทั่วทั้งพื้นที่นั้นขณะที่ชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวอื่นๆที่หักเครื่องรางแล้วหายวับไปในรอยแยกแห่งมิติ เหลือไว้เพียงฉีเจินกับคนอื่นๆจากสมาคมผู้หยั่งรู้


รู้ดีว่าหากพวกมันหนีไปแล้วก็คงไม่มีทางจับตัวได้ จางเซวียนสูดหายใจลึกและตั้งคำถามกับหลัวลั่วชิง “เพราะอะไร?”


เขารู้ดีว่าคนรักของเขาไม่ใช่คนชนิดที่จะทำอะไรโดยไร้เหตุผล เธอน่าจะมีความคิดบางอย่าง จึงบอกเขาให้ปล่อยพวกนั้นไป เพราะอย่างนี้ เขาจึงเลือกที่จะทำตามคำสั่งของเธอ


“คุณยับยั้งพวกมันไม่ได้หรอกถ้ามันอยากหนีไปจริงๆ” หลัวลั่วชิงตอบอย่างสุขุม


“ต่อให้ผมยับยั้งพวกมันไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะสังหารมันได้อีกสักตัว” จางเซวียนตอบพร้อมกับกำหมัดแน่น


ฝ่ายตรงข้ามล้วนแต่เป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน แม้จะต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่ลงท้ายพวกมันก็สามารถทำลายการสกัดกั้นมิติของเขาได้ จากมุมมองนี้ การหลบหนีของพวกมันจึงเป็นเรื่องที่ถึงอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้น แต่ในเมื่อพวกมันต้องใช้เวลาในการทำลายการสกัดกั้นของมิติ จางเซวียนก็มั่นใจว่าเขาน่าจะสามารถสังหารพวกมันได้อีกอย่างน้อยก็หนึ่งตัว


“สังหารเผ่าพันธุ์ปีศาจอีกหนึ่งตัวก็ไม่ทำให้ได้อะไรขึ้นมาหรอก” หลัวลั่วชิงพูด “ที่สำคัญกว่านั้น เมื่อครู่นี้ ที่นี่ไม่ได้มีนักปราชญ์โบราณแค่ตัวเดียวนะ!”


“เมื่อครู่นี้ ที่นี่ไม่ได้มีนักปราชญ์โบราณแค่ตัวเดียว?”


คำพูดนั้นทำให้จางเซวียนหรี่ตาอย่างพรั่นพรึงขณะที่เพิ่งรู้ตัวว่าเขาเข้าใกล้ความตายมากแค่ไหน“คุณกำลังจะบอกว่า…ในสมาคมผู้หยั่งรู้แห่งนี้มีนักปราชญ์โบราณซุกซ่อนอยู่มากกว่าหนึ่งตัวที่ผมสังหารไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”


“น่าจะมีอีกอย่างน้อยสามตัว แต่การโจมตีนั้นทำให้พวกมันตกตะลึง เมื่อรู้ตัวว่าไม่มีพละกำลังมากพอที่จะต้านทานพละกำลังจากหนังสือของคุณได้ มันจึงเลือกที่จะหลบหนี แต่ถ้าคุณพยายามยับยั้งพวกมันไว้ มันก็อาจปล่อยการโจมตีออกมาเพราะอับจนหนทาง…ต่อให้เป็นคุณ ฉันก็ไม่คิดว่าคุณจะสามารถรับมือกับนักปราชญ์โบราณพร้อมกันทีเดียวสามตัวได้หรอก” หลัวลั่วชิงพูด


“ผม…” จางเซวียนเงียบกริบ


เขาได้ใช้หน้าหนังสือสีทองที่มีอยู่เพียงหน้าเดียวไปแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้มาจากความสำนึกในบุญคุณของหลัวชวนฉิงที่เขาถ่ายทอดศาสตร์การสกัดกั้นมิติเทียบฟ้าฉบับเรียบง่ายให้


เขาใช้มันกับนักปราชญ์โบราณไปตัวหนึ่งแล้ว ซึ่งหากนักปราชญ์โบราณอีกตัวปรากฏ ก็คงไม่มีทางที่เขาจะทำอะไรได้


และนั่นจะหมายถึงจุดจบของทุกคน


ถึงเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณที่เขาเพิ่งสังหารไปจะพบจุดจบก่อนที่จะทันได้สำแดงพละกำลังที่แท้จริงออกมา แต่จางเซวียนก็บอกได้จากรังสีของอีกฝ่ายว่าเขาไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลยหากดวลกันตัวต่อตัว อันที่จริง เพียงแค่รังสีที่นักปราชญ์โบราณแผ่ออกมาก็เพียงพอที่จะทำให้เขาพ่ายแพ้แล้ว


ไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผลที่บรรดานักปราชญ์โบราณจะได้รับการเคารพยกย่องอย่างสูงในโลกใบนี้ เพราะหากปราศจากพละกำลังมหาศาล ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะมีอิทธิพลมากอย่างที่เป็นอยู่


หลังจากสงบสติอารมณ์จากความตกตะลึงที่เพิ่งผ่านประสบการณ์เฉียดตาย จางเซวียนก็เกิดความสงสัย ทำไมเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณจำนวนมากถึงลักลอบเข้ามาในทวีปแห่งปรมาจารย์ได้โดยที่สภาปรมาจารย์ไม่รู้?


เป็นความจริงที่ว่านักปราชญ์โบราณส่วนใหญ่ที่เป็นมนุษย์จะอยู่ในสภาวะจำศีล แต่เท่าที่เขารู้ นักปราชญ์โบราณเหล่านั้นดูจะมีวิธีการบางอย่างที่จะสัมผัสได้ถึงความเป็นปฏิปักษ์ของนักปราชญ์โบราณคนอื่นๆ ด้วยสิ่งนี้ พวกเขาจึงปกป้องมวลมนุษย์จากการคุกคามของนักปราชญ์โบราณที่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ตลอดระยะเวลาหลายหมื่นปีที่ผ่านมา


ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่สภาปรมาจารย์จะไม่รู้ไม่เห็นว่ามีนักปราชญ์โบราณที่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนมากเข้ามาในทวีปแห่งปรมาจารย์!


เว้นเสียแต่…สภาปรมาจารย์จะทรยศมวลมนุษย์!


ราวกับจะรู้ว่าจางเซวียนกำลังข้องใจเรื่องอะไร หวู่เฉินอธิบาย “เรื่องนี้น่าจะเป็นฝีมือของสมาคมผู้หยั่งรู้สำนักงานใหญ่ พวกเขาใช้ศาสตร์ลับปกปิดการปรากฏตัวของนักปราชญ์โบราณเหล่านี้ไว้ ทำให้พวกมันผ่านการตรวจจับของสภาปรมาจารย์และนักปราชญ์โบราณที่เป็นมนุษย์ได้”


“อีกอย่าง พวกมันยังตัดสินใจอย่างชาญฉลาดที่เลือกใช้เมืองหุบเขาเก็บเกี่ยวเป็นฐานปฏิบัติการเพราะเป็นเมืองที่ไม่โดดเด่น ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลซึ่งปลอดภัยจากสายตาของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่และกลุ่มอำนาจหลักๆ ที่สำคัญกว่านั้น ยังไม่มีสภาปรมาจารย์ในบริเวณใกล้เคียงที่จะสามารถควบคุมสมาคมผู้หยั่งรู้ในพื้นที่ ทำให้เป็นฐานที่มั่นที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการซ่อนตัวโดยไม่ให้ใครสงสัย”


จางเซวียนครุ่นคิดหนักเมื่อได้ยินคำพูดนั้น


เมืองหุบเขาเก็บเกี่ยวตั้งอยู่ในหุบเขา เป็นปราการธรรมชาติชั้นดี แถมยังมีลำธารซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่ทำให้พื้นดินโดยรอบอุดมสมบูรณ์ ด้วยสภาวะที่ได้เปรียบ จึงเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการสร้างฐานอำนาจ เหมือนกับตระกูลจางและตระกูลหลัว


บางที อาจเป็นเพราะความต้องการที่จะป้องกันไม่ให้อำนาจจากภายนอกเข้ามาก้าวก่ายกิจการภายในของพวกเขา แต่หลายชั่วคนมาแล้วที่ประชากรในพื้นที่นี้คัดค้านอย่างชัดเจนไม่ให้กลุ่มอำนาจจากภายนอกเข้ามาลงหลักปักฐานในเมืองนี้ ซึ่งรวมถึงสภาปรมาจารย์ด้วย ผลที่ได้ก็คือเมืองนี้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่เพียงไม่กี่แห่งที่ไม่มีสาขาของสภาปรมาจารย์ตั้งอยู่


ด้วยเหตุผลดังกล่าว เมืองหุบเขาเก็บเกี่ยวจึงเหมาะสมที่สุดสำหรับการซ่อนตัวของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น


“ถึงสมาคมผู้หยั่งรู้จะช่วยปกปิดการปรากฏตัวของเผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนี้ แต่พวกมันก็ยังต้องผ่านฉนวนของนักปราชญ์โบราณชิวอู๋ที่อาณาจักรใต้ดินก่อนจะเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ อาณาจักรใต้ดินทุกแห่งมีปรมาจารย์อารักขาอยู่อย่างเคร่งครัด เพราะฉะนั้น มันไม่แปลกไปหน่อยหรือที่เผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนมากผ่านเข้ามาได้แบบนี้?” จางเซวียนตั้งคำถาม


“ผมก็ว่ามันแปลก ผมสืบเสาะเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนที่แยกทางกับคุณและนายหญิง แต่ก็ยังหาเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ไม่ได้”


“คำตอบก็เห็นชัดอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?” หลัวลั่วชิงโพล่งออกมา “มีใครบางคนในสภาปรมาจารย์ช่วยเหลือพวกมัน”


จางเซวียนชะงักเมื่อได้ยินคำพูดนั้น


อันที่จริงเขาก็มีคำตอบอยู่ในใจ แต่ไม่กล้าที่จะเชื่อว่าเป็นแบบนั้น


การจะทำเรื่องแบบนี้ได้ บุคคลหรือกลุ่มคนที่ร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นจะต้องมีสถานภาพและตำแหน่งสูงพอควรในสภาปรมาจารย์


พวกเขาเป็นใคร? ทำไมถึงเลือกที่จะทรยศมวลมนุษย์?


ดูเหมือนคราวนี้เผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนั้นจะมีเป้าหมายอยู่ที่ร่างกายท่อนบนของไอ้โหด ดูจากความมุ่งมั่นในการค้นหา พร้อมที่จะแบกรับความเสี่ยงโดยลักลอบเข้ามาในทวีปแห่งปรมาจารย์ และก็เป็นไปได้ว่าพวกมันน่าจะรวบรวมชิ้นส่วนร่างกายส่วนอื่นๆของไอ้โหดเอาไว้แล้ว! จางเซวียนคิดอย่างเคร่งเครียด


การที่เผ่าพันธุ์ปีศาจจะรวบรวมชิ้นส่วนของไอ้โหดไว้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่จางเซวียนรู้สึกว่าเหตุผลในการทำแบบนี้ย่อมไม่ธรรมดา


เพราะถึงไอ้โหดจะเป็นหนึ่งในฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคสมัยนั้น แต่ก็คงไม่จำเป็นต้องใช้นักปราชญ์โบราณมากขนาดนี้เพื่อปฏิบัติการตามหาร่างกายท่อนบนของมัน


เป็นไปได้ว่านักปราชญ์โบราณที่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนี้มาที่นี่ด้วยเหตุผลอื่น…แต่เป็นสิ่งที่เขายังคิดไม่ออกในเวลานี้


แต่ถึงอย่างไร ก็ดูเหมือนว่าต่อไปเราจะต้องระแวดระวังสภาปรมาจารย์ให้มากขึ้น…จางเซวียนเคยคิดจะรายงานเรื่องนี้ต่อสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ แต่ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เขาคิดว่าเลื่อนออกไปก่อนน่าจะดีกว่า


เขายังไม่เคยไปสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ จึงไม่รู้ว่าสามารถไว้ใจใครได้ ถ้าข้อมูลนี้เข้าหูผิดคน ก็เป็นไปได้ว่าหายนะจะตามมา คนทรยศพวกนั้นอาจบิดเบือนข้อเท็จจริงบางอย่างเพื่อทำร้ายเขาก็ได้


สถานการณ์ตอนนี้สุ่มเสี่ยงมาก เก็บตัวเงียบไว้ก่อนน่าจะดีกว่า


ดูเหมือนว่าแม้แต่สภาปรมาจารย์ก็เชื่อถือไม่ได้อีกแล้ว! เราจะต้องผนึกกลุ่มอำนาจต่างๆที่เรามีอยู่ในตอนนี้ให้เป็นหนึ่งเดียวกันโดยเร็วที่สุด – ตระกูลจาง ตระกูลหลัว ปูชนียสถานนักปราชญ์ สภายอดขุนพล…จางเซวียนคิดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พวกเราอ่อนแอเกินไปหากเปรียบเทียบกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นในตอนนี้


ไม่มีใครคาดคิดว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นจะเข้ามาแฝงตัวอยู่ในสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ และเมื่อไม่รู้ว่าจะไว้ใจใครได้ จางเซวียนจึงต้องพึ่งพาตัวเอง


สำหรับตอนนี้ เขาทำได้เพียงแค่พยายามรวบรวมอำนาจต่างๆที่เขามีอยู่ในมือให้เป็นหนึ่งเดียวกัน และภาวนาว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจะไม่เปิดการโจมตีเพื่อรุกรานทวีปแห่งปรมาจารย์ในเร็วๆนี้


“จางเซวียน ศพของนักปราชญ์โบราณมีของล้ำค่าอยู่มากมายนะ หมอนั่นน่าจะเพิ่งสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณได้ไม่นาน แต่ศพของมันก็ยังเป็นสิ่งที่คุณสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้” หลัวลั่วชิงพูด

 

 

 


ตอนที่ 1628

 

ซุนฉางอหังการ

“ของล้ำค่า?”


ตอนนั้นเองที่จางเซวียนนึกได้ว่านอกจากจะได้ร่างกายท่อนบนของไอ้โหดมาแล้ว เขายังเพิ่งสังหารนักปราชญ์โบราณไปตัวหนึ่ง


ร่างของนักปราชญ์โบราณเป็นที่หมายปองของใครต่อใครแม้จะกลายเป็นศพไปแล้ว


จางเซวียนตาโตด้วยความตื่นเต้นขณะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าควรทำอย่างไรกับศพนักปราชญ์โบราณตัวนี้ “ถ้าผมหลอมศพของมันให้กลายเป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณได้ ก็จะมีไม้ตายไว้ใช้ประโยชน์เพิ่มอีกอย่างในยามคับขัน!”


เพราะได้รับการถ่ายทอดมรดกตกทอดของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณมา จางเซวียนจึงรู้กรรมวิธีการหลอมหุ่นโลหะไร้วิญญาณ หากเขาใช้ศพของนักปราชญ์โบราณตัวนี้เป็นร่างตั้งต้นและหลอมหุ่นโลหะไร้วิญญาณได้สำเร็จ ก็แปลว่าเขาอาจจะมีประสิทธิภาพการต่อสู้ระดับเดียวกับนักปราชญ์โบราณหากถอดจิตวิญญาณเข้าสิงร่างหุ่นตัวนั้น?


ถ้าทำได้จริง เขาคงไม่ต้องกลัวใครหน้าไหนอีก!


เรื่องนี้มาได้จังหวะพอดี เพราะเขาเพิ่งใช้หยดเลือดของปรมาจารย์ขงหยดสุดท้ายและหน้าหนังสือสีทองที่เพิ่งได้มาใหม่ไปหมาดๆ ทำให้ขาดแคลนไม้ตายสำหรับช่วงเวลาคับขัน ถ้าเขาหลอมศพนี้ให้กลายเป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณได้ ปัญหาทุกอย่างก็จะคลี่คลาย


“มันเป็นของล้ำค่าจริงๆ ผมจะนำมันไปด้วยนะ” เห็นหลัวลั่วชิงกับหวู่เฉินไม่คิดจะถือกรรมสิทธิ์ในศพของนักปราชญ์โบราณตัวนั้น จางเซวียนจึงโบกมือเพื่อจะนำศพเข้าสู่แหวนเก็บสมบัติ


แต่เขาก็ต้องตะลึงเมื่อพบว่ามันหนักอึ้งราวกับกำลังเคลื่อนย้ายภูเขา ขนาดจางเซวียนใช้พลังจิตวิญญาณจนเกือบหมด ศพของนักปราชญ์โบราณตัวนั้นยังก็ไม่ขยับ


“เกิดอะไรขึ้น?” จางเซวียนขมวดคิ้วด้วยความสับสน


ถึงอย่างไร ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาก็เทียบเท่ากับนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดแล้ว แถมยังผนวกเข้ากับความเข้าใจเรื่องมิติด้วย ดูไม่สมเหตุสมผลเลยที่เขาไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้แม้เพียงศพร่างเดียวเข้าสู่แหวนเก็บสมบัติของเขา


“งั้นก็ต้องใช้กำลัง!” จางเซวียนคิดขณะใช้พลังปราณห่อหุ้มศพนั้นไว้แล้วออกแรงดึง “อ้าว ฮะ-เฮ้ย…”


ขนาดใช้พละกำลังเต็มพิกัด ศพก็ไม่ขยับแม้แต่นิ้วเดียว!


พละกำลังที่เขาได้จากการเรียกใช้งานหยดเลือดของปรมาจารย์ขงยังไม่หมดฤทธิ์ นั่นหมายความว่าพละกำลังที่จางเซวียนมีอยู่ตอนนี้เหนือชั้นกว่านักรบที่มีวรยุทธขั้นต่ำกว่านักปราชญ์โบราณทุกคน!


“เมื่อสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 2 ร่างอันทรงเกียรติแล้ว กายเนื้อของนักรบจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกมาก ทำให้ผู้นั้นสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงต่อหน้าศัตรูที่เขาเผชิญ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้านักรบผู้นั้นฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ระดับนักปราชญ์โบราณได้ ร่างของเขาก็จะได้รับการบ่มเพาะให้หนักแน่นและแข็งแกร่งทนทานมากขึ้นอีก เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับผู้ที่มีวรยุทธต่ำกว่าขั้นนักปราชญ์โบราณที่จะทำให้เกิดบาดแผลบนศพของนักปราชญ์โบราณ นับประสาอะไรกับจะสังหารนักปราชญ์โบราณที่ยังมีชีวิต ก็เพราะเหตุนี้ นักปราชญ์โบราณจึงเป็นที่ขึ้นชื่อว่ารับมือด้วยได้ยากมาก” เห็นสีหน้าของจางเซวียน หลัวลั่วชิงได้แต่หัวเราะเบาๆ


“นั่นหมายความว่าผมไม่มีทางเก็บศพของนักปราชญ์โบราณตัวนี้เข้าแหวนเก็บสมบัติได้อย่างนั้นหรือ?” จางเซวียนถามด้วยสีหน้าคับข้องใจ


เขายังคงตั้งใจจะหลอมศพนี้ให้เป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณเพื่อใช้เป็นไม้ตายของตัวเอง แต่ถ้าเขาทำไม่ได้แม้แต่จะยกร่างของมัน แล้วจะควบคุมมันได้อย่างไร?


“ในสถานการณ์ปกติ คุณไม่มีทางยกมันได้จริงๆ แต่หอกสวรรค์กระดูกมังกรที่คุณมีน่ะเป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณ ถึงพละกำลังของมันจะถูกสกัดกั้นไว้ แต่ก็น่าจะสามารถเคลื่อนย้ายศพเข้าสู่แหวนเก็บสมบัติของคุณได้” หลัวลั่วชิงพูด


“นั่นสิ!” จางเซวียนตบหน้าผากเมื่อนึกได้


เขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร?


ตอนนี้พละกำลังของเขาอาจไม่มากพอ แต่หอกสวรรค์กระดูกมังกรนั้นเคยเป็นอาวุธของนักปราชญ์โบราณหรันชิวซึ่งแข็งแกร่งที่สุด


แม้แต่หยดน้ำที่มันสะบัดออกมายังมีพละกำลังมากพอจะสังหารนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดได้ สำหรับพละกำลังของตัวมันเอง ก็คงจะมากกว่าตัวเขาในตอนนี้หลายเท่า


ดังนั้น จางเซวียนจึงแตะหอกที่ถืออยู่ แล้วหอกนั้นก็กลายร่างเป็นมังกรตัวมหึมา


ฟึ่บ!


มันยกร่างของนักปราชญ์โบราณตัวนั้นให้ลอยขึ้นจากพื้นได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็ย้ายเข้าไปเก็บไว้ในแหวนเก็บสมบัติของจางเซวียน


“ทำได้จริงๆด้วย!” เห็นหอกสวรรค์กระดูกมังกรทำสำเร็จ จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่


เมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จสิ้น เขาก็หันกลับไปมองฉีเจินกับคนอื่นๆ


ไม่น่าเชื่อเลยว่าเหล่าผู้หยั่งรู้จะรวมหัวกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น ให้อภัยไม่ได้!


เปรี้ยงงงง!


เพียงแค่ชั่ววูบของความคิด สายฟ้ามากมายนับไม่ถ้วนก็ฟาดลงมาจากสวรรค์ ฟาดเข้าใส่ฉีเจินกับคนอื่นๆที่อยู่ตรงนั้น เสียงกรีดร้องโหยหวนร้องขอชีวิตดังระงมขณะที่สายฟ้าลงทัณฑ์ร่างของพวกเขาอย่างเกรี้ยวกราด


ด้วยการโบกมือเบาๆของจางเซวียน เพดานรูปกระดองเต่าก็แยกออกจากกันจากแรงปะทะของสายฟ้าเบื้องบน ทำให้เหล่าผู้หยั่งรู้ในสมาคมเป็นเป้านิ่งให้กับการลงทัณฑ์จากสวรรค์


บรรดาผู้หยั่งรู้คือผู้ขโมยความลับของสวรรค์ การมีอยู่ของคนเหล่านี้จึงไม่ได้การยอมรับจากโลก แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังอาจหาญที่จะรวมหัวกันกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นเพื่อนำความพินาศมาสู่เผ่าพันธุ์ของตัวเอง…ช่างรนหาที่ตายจริงๆ!


ขณะที่สายฟ้ากำลังกวาดล้างสมาคมผู้หยั่งรู้ จางเซวียนก็รู้สึกได้ว่าความคิดของเขาแจ่มใสและปลอดโปร่งขึ้นอย่างชัดเจน ยากที่จะอธิบายความรู้สึกนั้น แต่เขารู้ได้เลยว่าหอสมุดเทียบฟ้ากำลังแข็งแกร่งขึ้นทีละน้อย


จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นก็นำตราหยกสื่อสารออกมาและสั่งการปรมาจารย์จานให้พาเหล่าผู้อาวุโสของปูชนียสถานนักปราชญ์มาที่นี่


ไม่ช้า ปรมาจารย์จานกับปรมาจารย์เก่อและพรรคพวกก็มาถึง


“ผมจะส่งมอบผู้หยั่งรู้กลุ่มนี้ให้คุณ พวกเขามีความผิดที่รวมหัวกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นกลุ่มที่ขโมยรูปปั้นของนักปราชญ์ขุยไป ผมต้องการให้พวกคุณสอบสวนและเค้นให้คนพวกนี้คายเจตนาที่แท้จริงออกมาให้ได้!” จางเซวียนสั่งการอย่างเฉียบขาด


“ขอรับ ท่านหัวหน้าปูชนียสถาน”


ถึงปรมาจารย์จานกับคนอื่นๆจะยังงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่พวกเขาก็รีบพยักหน้ารับคำสั่งของจางเซวียน


“ไปกันเถอะ!” จางเซวียนหันไปพูดกับหลัวลั่วชิง


ถึงเขาจะไม่ประสบความสำเร็จในการจับตัวกลุ่มเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ขโมยรูปปั้นนักปราชญ์ขุย แต่อย่างน้อยก็ได้เปิดโปงการทรยศของสมาคมผู้หยั่งรู้ ถ้ารู้เป้าหมายที่แท้จริงของคนเหล่านี้ พวกเขาก็จะคาดเดาได้ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจมีแผนการจะทำอะไรต่อไป ซึ่งปูชนียสถานนักปราชญ์ก็มีศักยภาพพอที่จะรับมือกับเรื่องนี้ การมอบหมายให้ปรมาจารย์จานจัดการจึงถือว่าเหมาะสม


เรื่องด่วนในตอนนี้สำหรับจางเซวียนก็คือการกลับสู่ตระกูลจางและคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างตระกูลจางกับตระกูลหลัว ไม่อย่างนั้น รอยร้าวในความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลจะปิดกั้นไม่ให้ทั้งสองฝ่ายสามารถร่วมมือกันแก้ไขวิกฤตที่กำลังจะเกิดได้


ในเมื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธถึงขั้นนักปราชญ์โบราณเริ่มเปิดการโจมตีแล้ว เขาก็ไม่มองโลกในแง่ดีจนถึงขนาดจะคิดว่าตระกูลจางจะสามารถเอาตัวรอดจากวิกฤติการณ์ครั้งนี้ได้โดยลำพัง


ฟึ่บ!


เมื่อออกจากสมาคมผู้หยั่งรู้ ทั้งสามก็เดินทางผ่านเส้นทางของมิติที่หวู่เฉินเปิดทางให้ ใช้เวลาไม่นานก็กลับถึงตระกูลจาง


“เซวียนเอ๋อ ลูกกลับมาแล้ว!”


เมื่อเห็นจางเซวียน เซียนดาบชิงกับคนอื่นๆรีบเข้ามาต้อนรับ


“คุณคงเป็นหลัวลั่วชิง! ฉันคือท่านแม่ของจางเซวียน คุณจำฉันได้ไหม? เราเคยพบกันครั้งหนึ่งที่ตระกูลหลัว แต่ตอนนั้นฉันไม่ได้พูดอะไรกับคุณมากนัก เราเดินไปด้วยกันเถอะ!” เห็นสาวน้อยที่ลูกชายของเธอพามาด้วย เซียนดาบเหมิงตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น ราวกับจะมีประกายไฟปะทุออกจากดวงตาของเธอ


หลัวลั่วชิงไม่คุ้นเคยกับการได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ใบหน้าของเธอจึงแดงก่ำ เพราะไม่แน่ใจว่าควรจะแสดงทีท่าอย่างไร เธอจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากจางเซวียน


เห็นหลัวลั่วชิงทำอะไรไม่ถูก จางเซวียนเบือนหน้า แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับความคับข้องใจของเธอ


“เขาคือ…” เซียนดาบชิงมองหวู่เฉินและตั้งคำถาม


เขาได้เห็นกับตาว่าเด็กชายวัยรุ่นคนนี้ทรงพลังขนาดไหนเมื่อตอนอยู่ที่ตระกูลหลัว ถ้าเป็นไปได้ เขาก็ยิ่งกว่ายินดีที่จะได้ทำความคุ้นเคยและรู้จักกับผู้เชี่ยวชาญระดับนี้ เพื่อจะได้แลกเปลี่ยนความรู้กับอีกฝ่าย


“เขาชื่อหวู่เฉิน เป็นบริวารของลั่วชิง” จางเซวียนแนะนำ


ยังไม่ทันที่เซียนดาบชิงจะได้พูดอะไร เสียงห้วนๆเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “บริวาร? เป็นคนรับใช้หรือ? เข้าใจแล้ว! หลังจากที่นายท่านของเราแต่งงานกับนายหญิงของคุณ คุณก็จะต้องอยู่ใต้อำนาจสั่งการของผมนะ! มาทำความรู้จักกันเถอะ”


ซุนฉางเดินพรวดพราดมาจากที่ไหนสักแห่ง เขาแตะบ่าของหวู่เฉินพร้อมกับยิ้มอย่างย่ามใจ


หลังจากเหตุการณ์ที่สมาพันธ์นานาจักรวรรดิ ซุนฉางก็ถูกบังคับให้เข้ารับการฝึกฝนวรยุทธภายใต้การดูแลของเจิ้งหยางที่สภายอดขุนพล แต่เมื่อจ้าวหย่ากับคนอื่นๆถูกลักพาตัวไป จางเซวียนเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของลูกศิษย์คนอื่นๆของเขา จึงให้เจิ้งหยาง หวังหยิ่ง กับคนอื่นๆย้ายมาพำนักที่ตระกูลจาง


ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่ซุนฉางจะต้องย้ายนิวาสถานมาที่ตระกูลจางด้วย


เมื่อรู้ว่านายน้อยที่เขารับใช้อยู่เป็นทั้งหัวหน้าตระกูลจางและหัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์ ความมั่นใจของซุนฉางก็กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว หลายคนเห็นเขาเดินอาดๆไปมาทั่วทั้งตระกูลจาง ราวกับเป็นเจ้าของสถานที่นี้เสียเอง


นี่เป็นกิริยาท่าทางที่เขารู้สึกว่าในฐานะพ่อบ้านของหัวหน้าตระกูลนักปราชญ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของทวีปแห่งปรมาจารย์, เขาควรจะแสดงออกแบบนั้น


“ผมจะต้องอยู่ใต้อำนาจการสั่งการของคุณ?” หวู่เฉินแทบลมจับเมื่อได้ยินคำนั้น


“ดูเหมือนคุณจะไม่ค่อยปลื้มนะ ไม่เต็มใจจะทำตามคำสั่งของผมหรือ? ให้ผมบอกอะไรคุณสักหน่อยก็แล้วกัน ผมเป็นพ่อบ้านเพียงคนเดียวของนายน้อย ต่อให้ผมสั่งสอนบทเรียนให้คุณ ก็ไม่มีใครกล้าออกรับแทนคุณหรอก!” เมื่อรู้สึกได้ถึงความไม่เต็มใจของหวู่เฉิน ซุนฉางตบหัวเด็กชายและคำราม


คุณก็เป็นแค่คนใช้! กล้าดีอย่างไรปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่งของผม? ลองขมวดคิ้วอีกทีสิ แล้วผมจะซ้อมคุณให้คุณลืมไปเลยว่าที่นี่ใครใหญ่!


นึกไม่ถึงว่าพ่อบ้านของลูกชายของพวกเขาจะปากกล้าและไว้ใจไม่ได้ขนาดนี้ เซียนดาบชิงเหมิงแทบเข่าอ่อน


เด็กชายวัยรุ่นคนนี้บุกเข้าไปที่ตระกูลหลัวและยืนจังก้าอย่างอาจหาญต่อหน้าการผนึกกำลังของเหล่าผู้อาวุโส แต่เจ้าอ้วนที่เพิ่งสำเร็จวรยุทธระดับเซียนกล้าตบศีรษะของเขา…อยากตายเป็นผีหรือไง?


“….”


จางเซวียนได้แต่กุมขมับด้วยความอับอาย ถ้ามีหลุมมีรูอยู่แถวๆนั้น เขาคงจะกระโจนลงไปเสียแล้ว


เพิ่งไม่นานมานี้เองที่ซุนฉางพบกับความบอบช้ำครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา แล้วมันเรื่องอะไร ที่ผ่านไปแค่ไม่กี่วัน หมอนั่นก็กลับมาผงาดและอหังการได้ขนาดนี้?

 

 

 


ตอนที่ 1629

 

 หนานกงหยวนเฟิงมาถึงตระกูลจาง

ความโอหังของซุนฉางคงอยู่ไม่นานนัก


ในชั่วพริบตา เขาก็รู้สึกว่าตัวเองลอยขึ้นสู่กลางอากาศทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไร เขาลอยห่างออกไปอย่างช้าๆก่อนจะหายลับตาไป


เห็นหวู่เฉินเพียงแค่ทำให้ซุนฉางลอยหายไป จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่


มันเป็นเรื่องน่าปวดหัวอย่างมากสำหรับเขากับการที่ซุนฉางพยายามจะอวดโอ้สถานภาพของตัวเองทุกครั้งที่มีโอกาส พูดตามตรง เขาอยากจะเทศนาหมอนั่นเรื่องความถ่อมเนื้อถ่อมตัวเสียเหลือเกิน!


น่าสงสัยมากว่าทำไมคนถ่อมเนื้อถ่อมตัวอย่างเขาถึงมาลงเอยกับพ่อบ้านที่คุยโวโอ้อวดขนาดนี้


เฮ่อออ! อันที่จริง…ในครั้งนั้นเขาก็ควรจะตัดสินใจอย่างระมัดระวังกว่านี้หน่อย


ถ้าต่อไปเขามีโอกาสได้เลือกพ่อบ้านอีกสักคน ก็จะต้องหาคนที่ไว้วางใจได้ อย่างน้อยที่สุดพ่อบ้านของเขาก็ควรจะเหมือนหวู่เฉินที่สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง หรือต่อให้เขาหาคนที่มีความสามารถระดับหวู่เฉินไม่ได้ อย่างน้อยพ่อบ้านของเขาก็จะไม่ทำให้เขาอับอายขายหน้าและสร้างปัญหาให้ตลอดเวลาแบบนี้…


ถ้าไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าซุนฉางติดตามเขามาตั้งแต่ยังอยู่ที่อาณาจักรเทียนเซวียน จางเซวียนจะไม่มีทางทนกับเรื่องแบบนี้เด็ดขาด!


…..


“ท่านหัวหน้า ตระกูลหลัวเพิ่งสถาปนาหัวหน้าตระกูลคนใหม่ ชื่อหลัวเทียนหยา ร่ำลือกันว่าเขาสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติแล้ว พวกเราเชื่อว่าเหตุผลที่พวกตระกูลหลัวมาเยือนครั้งนี้ก็เพื่อจะให้หลัวเทียนหยาท้าดวลกับคุณ และเรียกศักดิ์ศรีคืนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานหมั้น อันที่จริง…เราได้ยินว่าพวกเขาถึงกับเชื้อเชิญสภาปรมาจารย์มาเป็นคนกลางในการดวลด้วย เพื่อให้แน่ใจเรื่องความชอบธรรม…”


ขณะที่ทุกคนเพิ่งทรุดตัวลงนั่งในห้องโถงใหญ่ ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็ลุกขึ้นยืนและประสานมือพร้อมกับรายงาน


จางเซวียนนวดหว่างคิ้วอย่างเคร่งเครียดเมื่อได้ฟังรายงานขณะตอบว่า “ผมรู้เรื่องแล้ว เหตุผลที่ผมกลับมาก็เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้แหละ!”


“แก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติเป็นมรดกตกทอดสูงสุดของตระกูลหลัว ผู้ที่สำเร็จวิชานี้จะสามารถสกัดกั้นมิติได้ ทำให้คู่ต่อสู้อับจนหนทาง แม้แต่พวกเราก็ยังลำบากหากจะต้องรับมือกับอะไรแบบนั้น…เซวียนเอ๋อ ลูกต้องระวังนะ” เซียนดาบชิงแนะด้วยความเป็นห่วง


ตระกูลจางกับตระกูลหลัวมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาจึงรู้ซึ้งถึงประสิทธิภาพการต่อสู้ของตระกูลหลัวเป็นอย่างดี หากนักรบสักคนสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติแล้ว ไม่ช้าไม่นานผู้นั้นก็จะขึ้นเป็นสุดยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์


ลูกชายของเขาอาจมีพละกำลังไร้เทียมทานในบรรดานักรบระดับเดียวกัน แต่ก็ยังยากที่เขาจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่สำเร็จความเข้าใจระดับนั้น


“ตระกูลหลัวถูกหยามเกียรติอย่างมากจากการยกเลิกงานหมั้น ในเมื่อพวกนั้นกล้าท้าทายเราอย่างเปิดเผย ก็แปลว่าพวกเขามั่นใจว่าตัวเองจะได้รับชัยชนะ! ตระกูลจางของเราไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับหลัวเทียนหยา แต่เราเพิ่งได้ข่าวว่าเขาเอาชนะได้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์” ผู้อาวุโสคนที่เพิ่งรายงานก่อนหน้านี้กล่าวเสริมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


“เขาเอาชนะได้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์? ในที่สุดคนพวกนั้นก็เปิดเผยตัวเองแล้วหรือ?” เซียนดาบเหมิงตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


“ใช่ ดูเหมือน 100 สำนักแห่งนักปราชญ์จะท้าทายตระกูลหลัวเข้าสู่การดวลโดยมีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานเป็นเดิมพัน ขณะที่ตระกูลหลัวกำลังเพลี่ยงพล้ำ ก็พอดีกับที่หลัวเทียนหยาปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันและเอาชนะพวกนั้นได้ จากนั้นพวกเขาก็ทดสอบสายเลือดตระกูลหลัวของหลัวเทียนหยา และพบว่ามันมีความบริสุทธิ์ถึงระดับ ‘9’ ด้วยเหตุนี้ เหล่าผู้อาวุโสจึงลงมติเป็นเอกฉันท์ยกหลัวเทียนหยาให้ขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลหลัว และจากนั้นก็รีบจัดพิธีสถาปนา” ผู้อาวุโสอธิบาย


ด้วยความสัมพันธ์อันแนบแน่นในอดีต ทั้งสองตระกูลจึงรู้ความเป็นไปของกันและกัน


ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลหลัวก็ไม่ได้พยายามปิดข่าว ดังนั้น ผู้อาวุโสของตระกูลจางที่ทำหน้าที่สืบข่าวจึงใช้เวลาไม่นานในการรวบรวมข้อมูล


“เพราะได้รับมรดกตกทอดจากปรมาจารย์ขง พวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์จึงมีประสิทธิภาพการต่อสู้ที่ไร้เทียมทานในบรรดานักรบระดับเดียวกัน แม้แต่ยอดขุนพลก็ยังเอาชนะพวกเขาได้ยาก การที่หลัวเทียนหยาเอาชนะพวกนั้นได้อย่างง่ายดาย ก็แปลว่าเราไม่อาจสบประมาทประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาได้…” เซียนดาบเหมิงขมวดด้วยความกังวล


“เรื่องนั้นน่ะ…” จางเซวียนเกาหัวอย่างลำบากใจ “ถ้าผมจะบอกว่าผมคือหลัวเทียนหยา พวกคุณจะเชื่อผมไหม?”


“เลิกพูดจาเหลวไหลน่ะ หมอนั่นมีสายเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุดในตระกูลหลัว ลูกจะเป็นเขาได้อย่างไร?” เซียนดาบเหมิงส่ายหน้า


ลูกชายของเธอมีสายเลือดของเธอ นั่นเป็นสิ่งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ตรวจสอบชัดเจนแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จางเซวียนจะมีสายเลือดตระกูลหลัว อีกอย่าง หลัวเทียนหยาคือคนที่ได้รับการทดสอบความบริสุทธิ์ของสายเลือดตระกูลหลัว ซึ่งได้ผลออกมาว่าอยู่ในระดับ ‘9’ จึงไม่มีทางที่ทั้งสองจะเป็นคนคนเดียวกันได้!


“คือ…” จางเซวียนพูดไม่ออก


เขาบอกความจริงแล้วนะ ทำไมไม่มีใครเชื่อเขาเลย?


จางเซวียนถอนหายใจอย่างจนปัญญาและกำลังจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมด ก็พอดีกับที่มีลมหอบใหญ่พัดหวีดหวิวอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา


จากนั้น เสียงหนึ่งก็ดังกึกก้องไปทั่วทั้งตระกูลจาง “หนานกงหยวนเฟิงและถานไท่เจินชิงแห่งสำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่จาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์มาเยือนตระกูลจางพร้อมกับศิษย์น้องอีกจำนวนหนึ่ง พวกเราอยากขอพบหัวหน้าตระกูลจาง!”


“พวกนั้นมาทำอะไรที่นี่? หายดีจากอาการบอบช้ำแล้วหรือ?” จางเซวียนชะงักเมื่อได้ยินคำประกาศ


เขารีบเดินออกจากห้องโถงใหญ่ มีคนอื่นๆตามไปติดๆ


หนานกงหยวนเฟิงลอยตัวอยู่กลางอากาศ ข้างตัวเขาคือชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนล่ำที่มีใบหน้าค่อนข้างจะผิดรูป ส่วนด้านหลังทั้งคู่คือชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งซึ่งมีจำนวน 8 คน ดูเหมือนจะเป็นลูกศิษย์ของหนานกงหยวนเฟิงและชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนล่ำคนนั้น


“ถานไท่เจินชิง? เขาเป็นทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อหยู่นี่?” จางเซวียนคิดพร้อมกับขมวดคิ้ว


นักปราชญ์โบราณจื้อหยู่ใช้แซ่ที่ได้รับการต่อเติมภายหลังว่าถานไท่ เพราะใบหน้าที่ออกจะผิดรูปของเขา ทำให้ครั้งหนึ่งปรมาจารย์ขงเคยตัดสินเขาด้วยรูปลักษณ์ภายนอกและลงเอยด้วยการเข้าใจเขาผิด ทำให้เกิดคำพูดที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป “ตัดสินคนจากภายนอก ก็จะเข้าใจจื้อหยู่ผิด”


จางเซวียนจับตามองคนกลุ่มนี้อย่างถี่ถ้วนด้วยความสงสัย และพบว่าผิวพรรณของหนานกงหยวนเฟิงยังคงซีดเผือดอยู่เล็กน้อย ส่วนศิษย์สายตรงทั้ง 4 ของเขากับคนอื่นๆก็ยังดูไม่แข็งแรงสมบูรณ์นัก เห็นชัดว่าพวกเขายังไม่ฟื้นตัวจากอาการบอบช้ำ


“ต้องมีอะไรผิดปกติแน่ ถึงเราจะสอยพวกนั้นกระเด็นด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่อาการบาดเจ็บก็ไม่น่าจะรุนแรงขนาดนี้ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?” จางเซวียนสงสัย


 


ถึงเขาจะใช้พละกำลังเต็มพิกัดในการดวลกับหนานกงหยวนเฟิง แต่ก็ไม่ได้เรียกใช้พลังจากหยดเลือดของปรมาจารย์ขง ดังนั้นความบอบช้ำที่เขาทำให้อีกฝ่ายได้รับนั้นจึงยังมีขีดจำกัด ถึงหนานกงหยวนเฟิงจะปวกเปียกไปบ้างระหว่างการดวลครั้งนั้นเพราะต้องลดระดับวรยุทธลงเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 แต่ก็น่าจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วหลังจากที่ปลดปล่อยการสกัดกั้นวรยุทธแล้ว


ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมหนานกงหยวนเฟิงถึงยังดูบอบช้ำหนักอยู่?


“ผมคือหัวหน้าตระกูลจาง, จางเซวียน พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ต้อนรับตัวแทนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ เข้ามาคุยกันด้านในเถอะ” รู้ดีว่าไม่ใช่เวลาที่เขาจะมัวจังงัง จางเซวียนประสานมือและกล่าวต้อนรับอีกฝ่าย


“ได้เลย!”


เมื่อเห็นว่ามารยาทของจางเซวียนนั้นไร้ที่ติ หนานกงหยวนเฟิงกับคนอื่นๆก็ไม่อาจตำหนิอะไรได้ พวกเขารีบร่อนลงมาจากกลางอากาศ


“เชิญทางนี้” จางเซวียนยิ้มให้ขณะนำทางเข้าสู่ห้องโถงใหญ่


หลังจากได้ที่นั่งตามลำดับขั้นแล้ว หนานกงหยวนเฟิงก็เข้าเรื่องทันที “พวกเรามีเวลาไม่มาก เพราะฉะนั้นจะตรงเข้าประเด็นเลยนะ วิหารแห่งขงจื๊อกำลังจะเปิดเร็วๆนี้ และ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ของเราก็หวังว่าจะได้เข้าไปข้างในเพื่อคารวะบรรพบุรุษ พวกเรารู้มาว่าตระกูลจางมีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานอยู่ชิ้นหนึ่ง ซึ่งเราก็หวังว่าพวกคุณจะมีน้ำใจพอที่จะมอบมันให้เรา วางใจเถอะว่าเราจะไม่เอาเปรียบคุณ เราจะมอบของล้ำค่าที่มีมูลค่าทัดเทียมกับเครื่องรางให้!”


“คุณอยากได้เครื่องรางฟ้าประทานในตำนานหรือ? เรื่องนั้นคงลำบากหน่อยนะ เพราะตระกูลจางของเราตั้งใจจะเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อเหมือนกัน เพระฉะนั้น ผมเกรงว่าพวกเราคงไม่อาจตอบรับคำขอของคุณได้!” เซียนดาบชิงตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์มาที่นี่ก็เพราะเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน!


วิหารแห่งขงจื๊อคือสถานที่ที่ปรมาจารย์ขงเก็บรักษาทรัพย์สมบัติและมรดกตกทอดที่มีค่าที่สุดของเขาไว้ การพลาดโอกาสที่จะได้เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อก็เท่ากับต้องร่วงลงจากอันดับสูงสุดของตระกูลนักปราชญ์ ยิ่งไปกว่านั้น กว่าตระกูลจางจะได้ครอบครองเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วจะให้พวกเขามอบมันให้คนอื่นอย่างง่ายดายแบบนี้หรือ?


ถึงอีกฝ่ายจะมาจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ แต่เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะมาต่อรองกันได้!


ราวกับคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะได้การตอบรับอย่างที่เห็น หนานกงหยวนเฟิงถอนหายใจเฮือกใหญ่และพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้น ผมคิดว่าพวกเราก็คงจะต้องแข่งขันกันแล้วล่ะ ปรมาจารย์ขงสนับสนุนให้เหล่าลูกศิษย์ของเขาแข่งขันกันอยู่เสมอเพื่อจะได้พัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้า ในเมื่อเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานเป็นของขวัญที่จะมอบให้กับคนรุ่นหลัง ปรมาจารย์ขงก็คงหวังว่ามันจะตกไปอยู่ในมือของผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุด มีแต่ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเท่านั้นที่จะคู่ควรกับการได้รับทรัพย์สมบัติและมรดกตกทอดของเขา!”


“ในเมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเราก็จะขอท้าทายตระกูลจางอย่างเป็นทางการ หากทายาทตระกูลจางคนไหนที่มีอายุต่ำกว่า 100 ปีสามารถเอาชนะบรรดาลูกศิษย์ของเราในเรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของเวลาได้…100 สำนักแห่งนักปราชญ์ของพวกเราก็ขอให้สัญญาว่าจะไม่หยิบยกเรื่องเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานขึ้นมาพูดกับตระกูลจางอีก และพวกเราจะให้เหล่านักปราชญ์โบราณกล่าวคำขอโทษอย่างเป็นทางการกับตระกูลจางด้วย แต่ในทางกลับกัน ถ้าไม่มีทายาทตระกูลจางคนไหนสามารถเอาชนะเหล่าลูกศิษย์ของเราในเรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของเวลา ผมก็คงต้องขอให้คุณส่งมอบเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานมาให้พวกเราดูแล!”


“ลูกศิษย์ของคุณจะท้าทายตระกูลจางของเราเรื่องความเข้าใจในกฎเกณฑ์ของเวลาหรือ?”


จางเซวียนมองหนานกงหยวนเฟิงและขมวดคิ้ว


“ไม่ใช่ เป็นลูกศิษย์ของพี่ถานไท่ที่จะเข้าท้าทายทายาทตระกูลจาง!” หนานกงหยวนเฟิงตอบยิ้มๆ

 

 

 


ตอนที่ 1630

 

ถานไท่เจินชิง

“ผมคือถานไท่เจินชิง ทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อหยู่ เป็นเกียรติอย่างมากที่ได้พบหัวหน้าตระกูลจาง!”


ชายวัยกลางคนใบหน้าผิดรูปที่นั่งอยู่ข้างหนานกงหยวนเฟิงลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับอย่างงาม กิริยามารยาทของเขาจัดว่าไร้ที่ติ แม้การมาเยือนของเขาจะมีเจตนาเพื่อสร้างความขัดแย้ง แต่ ความสุภาพเรียบร้อยของอีกฝ่ายก็ทำให้ยากที่ใครจะไม่ชอบเขา


เพราะฉะนั้น นี่ก็คือนักปราชญ์ตัวจริง…จางเซวียนตั้งข้อสังเกตในใจ


เขาได้พบทั้งปรมาจารย์และผู้เชี่ยวชาญมากมายตลอดการเดินทาง ซึ่งก็มีบางส่วนที่แสดงออกได้อย่างเหมาะสมและสง่างาม แต่ไม่มีใครเทียบได้กับชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้า


เพียงแค่เห็น ก็บอกได้ทันทีว่าเขาคือสาวกปรมาจารย์ขงตัวจริง


“ผู้อาวุโสถานไท่ คุณเกรงอกเกรงใจเกินไปแล้ว…” จางเซวียนลุกขึ้นยืนเพื่อทักทายตอบ


“ผมเชื่อว่าน้องหยวนเฟิงคงพูดชัดเจนแล้วถึงเหตุผลแห่งการมาเยือนของพวกเรา มรดกตกทอดของปรมาจารย์ขงเป็นสิ่งที่พวกเราหวงแหน เราจึงไม่อาจล้มเลิกความคิดนี้ได้ง่ายๆ กลุ่มชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังผมคือศิษย์สายตรงของผมเอง พวกเขาเล่าเรียนกับผมมาระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้น เพื่อไม่ให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราต้องร้าวฉาน ผมขอเสนอให้จัดการดวลเรื่องกฎเกณฑ์แห่งเวลา กับตระกูลอันทรงเกียรติของคุณ โดยผู้ที่เข้าดวลจะเป็นทายาทรุ่นหลังของตระกูลจาง และไม่ว่าผลการดวลจะออกมาอย่างไร พวกเราก็เต็มใจจะมอบหินหมึกก้อนนี้ซึ่งครั้งหนึ่งบรรพบุรุษของผมเคยใช้ให้กับตระกูลจาง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการกล่าวคำขอโทษ”


ขณะที่พูดคำนั้น ถานไท่เจินชิงก็สะบัดข้อมือ แล้วหินหมึกสีดำสนิทก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ


“นั่นคือทรัพย์สมบัติของนักปราชญ์โบราณจื้อหยู่ใช่ไหม?”


เซียนดาบชิงกับคนอื่นๆต่างอัศจรรย์ใจกับของกำนัลนั้น


หินหมึกก้อนนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่แผ่รังสีอันหนักหน่วงทรงพลังราวกับจะสามารถพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้ ดูเหมือนว่าต่อให้คลื่นรบกวนของมิติและเวลาก็ถูกปราบได้หากหินก้อนนี้ปรากฏ


นี่คือ…ของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณตัวจริง! จางเซวียนเลิกคิ้วด้วยความอัศจรรย์ใจ


ดาบที่หนานกงหยวนเฟิงเสนอให้ตระกูลหลัวนั้นเป็นแค่ของล้ำค่าที่ครั้งหนึ่งนักปราชญ์โบราณจื่อร่งเคยใช้ ยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณตัวจริง จะบอกว่ามันไม่มีค่าก็ไม่ใช่ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ใครๆพากันตาลุก แต่สำหรับหินหมึกที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาในตอนนี้เป็นของล้ำค่าที่นักปราชญ์โบราณจื้อหยู่คนนั้นเคยใช้ในช่วงเวลาที่เขามีพละกำลังแข็งแกร่งสูงสุด!


แต่ถึงอย่างไรก็ยังเทียบชั้นกับหอกสวรรค์กระดูกมังกรของเราไม่ได้อยู่ดี…


นอกจากนักปราชญ์โบราณหรันชิวจะแข็งแกร่งกว่านักปราชญ์โบราณจื้อหยู่ ข้อเท็จจริงที่ว่าหอกสวรรค์กระดูกมังกรเป็นของล้ำค่าที่ใช้เพื่อการสู้รบ ขณะที่หินหมึกเป็นเครื่องมือสำหรับการจารึกอักษร ก็บ่งบอกชัดแล้วว่าวัตถุประสงค์เบื้องต้นของทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันมาก


แต่ถึงอย่างนั้น หากพวกเขาได้หินหมึกก้อนนี้มา ก็จะถือเป็นทรัพย์สมบัติชิ้นใหญ่ที่นำพาโชคลาภมาสู่ตระกูลจาง!


จางเซวียนพูดกับถานไท่เจินชิง “ในเมื่อคุณแสดงความจริงใจออกมาชัดเจนขนาดนี้ ผมก็คิดว่าคงจะเป็นการหยาบคายหากปฏิเสธการดวล”


“ผมขอให้คุณเข้าใจเรื่องนี้ด้วย” ถานไท่เจินชิงตอบพร้อมกับยิ้มอย่างสุภาพ


“วิหารแห่งขงจื๊อเป็นสถานที่ที่ปรมาจารย์ทุกคนในรุ่นของพวกเราหวังจะได้ไปเยือน ภายใต้กิริยามารยาทอันงดงามและความสุภาพที่แสดงออกมา แต่การแข่งขันก็เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดก็ย่อมจะได้สิทธินั้นไป!”จางเซวียนโบกมือพร้อมกับส่งยิ้มให้ขณะลุกขึ้นยืน “ไม่ทราบว่าคุณตั้งใจจะใช้การดวลรูปแบบไหน?”


วัตถุประสงค์ในการมาเยือนของอีกฝ่ายก็คือเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน และเห็นชัดว่าพวกเขาไม่คิดจะถอย ในเมื่อเป็นแบบนั้น จะมัวใช้คารมอ้อมค้อมกันไปมาก็ไม่มีประโยชน์ จัดการให้เสร็จสิ้นไปเสียเลยย่อมดีกว่า


“ในเมื่อหัวหน้าจางตัดสินใจแล้ว ผมก็ขอเสนอรูปแบบของการดวลนะ” ถานไท่เจินชิงพยักหน้า “100 สำนักแห่งนักปราชญ์ของเราแบ่งการดวลออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ชื่อว่าวิชาการและการต่อสู้ การดวลวิชาการจะทำให้ผู้ดวลทั้งสองฝ่ายยังสามารถรักษาสัมพันธไมตรีต่อกันได้ ในขณะที่การดวลการต่อสู้ ต่างฝ่ายจะต้องนำความสามารถของตัวเองออกมาเข้ารับการทดสอบ”


“แล้วการดวลวิชาการกับการดวลการต่อสู้ในวันนี้คืออะไร?”


“ผมมีกระจกเงาแห่งกาลเวลาอยู่บานหนึ่ง เมื่อมันสะท้อนจิตวิญญาณต้นกำเนิดของใครสักคน กระจกเงาก็จะอนุญาตให้สติสัมปชัญญะของผู้นั้นซึมซาบเข้าไปในกระจกได้ ด้านในกระจกมีค่ายกลที่เกี่ยวกับกาลเวลาและกับดักของกาลเวลาฝังอยู่ในนั้นมากมาย ซึ่งผู้เข้าท้าทายจะต้องผ่านไปให้ได้ นี่คือการดวลวิชาการ” ถานไท่เจินชิงพูดขณะที่กระจกเงาสีทองบานหนึ่งปรากฏตรงหน้า


กระจกเงาบานนี้ไม่เหมือนกระจกเงาทั่วไป ผิวหน้าของมันไม่เรียบ มีการหักมุมหลายตำแหน่งซึ่งสะท้อนกันและกัน ทำให้เกิดภาพที่น่าเวียนหัวเหมือนกับกล้องคาไลโดสโคปหรือกล้องภาพลวงตา


“ส่วนการดวลการต่อสู้ พวกเราจะลดระดับวรยุทธลงให้เท่ากับอีกฝ่ายและดวลกันโดยใช้กำลัง ทุกอย่างจะเป็นไปอย่างยุติธรรม ผู้ที่มีพละกำลังเหนือกว่าก็จะได้ชัยชนะ!”


หลังจากอธิบายการดวลทั้งสองแบบแล้ว ถานไท่เจินชิงก็ทรุดตัวลงนั่งและเฝ้ามองฝูงชนที่อยู่รอบตัวเขาพร้อมกับยิ้ม รอคอยให้ตระกูลจางตัดสินใจ


“ทายาทตระกูลจางของเราไม่เคยเผชิญหน้ากับกระจกเงาแห่งกาลเวลามาก่อน พวกเขาจึงไม่รู้จักกลไกและค่ายกลที่อยู่ในนั้น หากเราเผชิญหน้ากับพวกเขาในการดวลวิชาการ ก็ย่อมเสียเปรียบ ส่วนการดวลการต่อสู้ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็ขึ้นชื่อในเรื่องเทคนิคการต่อสู้ที่เหนือชั้น ดังนั้น การที่พวกเราจะเอาชนะเขาได้ก็ไม่ง่ายเช่นกัน” ผู้อาวุโสคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตอย่างเคร่งเครียด


“ดูเหมือนพวกนั้นจะยื่นข้อเสนอที่ทำให้ตัวเองได้เปรียบนะ?”


“ก็แล้วจะทำอย่างไร ตระกูลจางของเราไม่ได้อ่อนแอก็จริง แต่รากฐานของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์นั้นแข็งแกร่งมาก อีกอย่าง พวกเขายังแสดงจุดยืนชัดเจนแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะต้องการหรือไม่ เราก็จะต้องกระโจนเข้าสังเวียนไปกับพวกเขาอยู่ดี!”


“แล้วเราจะทำอย่างไร?”


เหล่าผู้อาวุโสในห้องนั้นต่างมีสีหน้าไม่สู้ดี


แม้ข้อเสนอในการดวลวิชาการจะดูเหมือนยุติธรรม แต่ความเหลื่อมล้ำของข้อมูลและความรู้ทำให้ตระกูลจางเสียเปรียบมาก ไม่มีทายาทตระกูลจางคนไหนรู้เงื่อนงำหรือแม้แต่เคยเผชิญหน้ากับกระจกเงาแห่งกาลเวลามาก่อน ขณะที่เหล่าศิษย์สายตรงของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ดูจะคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี


ต่อให้ความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์แห่งเวลาของทั้งสองฝ่ายจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน แต่ผู้ที่คุ้นเคยกับกระจกเงาแห่งกาลเวลาก็ย่อมมีโอกาสที่จะขจัดอุปสรรคที่อยู่ในนั้นได้ดีและรวดเร็วกว่าผู้ที่ไม่คุ้นเคย


เรื่องนี้ก็เหมือนกับการแข่งวิ่งมาราธอนในถิ่นฐานบ้านเกิดของคนอื่น ต่อให้นักวิ่งทั้งสองมีทักษะทัดเทียมกัน แต่นักวิ่งเจ้าถิ่นที่คุ้นเคยกับสภาพภูมิประเทศและพื้นที่ก็ย่อมได้เปรียบ


เช่นเดียวกันกับการดวลการต่อสู้ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ได้รับมรดกตกทอดโดยตรงจากปรมาจารย์ขงและเหล่าศิษย์สายตรงของเขา ดังนั้นเทคนิคการต่อสู้และศาสตร์ลับที่พวกเขามีอยู่ในมือก็ย่อมเหนือชั้นกว่าของตระกูลจาง


เป็นความจริงที่ว่าตระกูลจางได้รับพรจากสวรรค์ให้มีอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องมากมายตลอดระยะเวลาหลายหมื่นปีที่ผ่านมา แต่ก็คงจะเป็นการคาดหวังสูงเกินไปหากคิดว่าจะเอาชนะปรมาจารย์ขงและบรรดาศิษย์สายตรงของเขาได้


พูดอีกอย่างก็คือ ไม่ว่าจะเป็นการดวลวิชาการหรือการดวลการต่อสู้ ทุกอย่างก็ไม่เข้าทางพวกเขาไปเสียทั้งนั้น


จางเซวียนไม่ใส่ใจความกังวลของฝูงชนที่อยู่รอบตัว เขาตอบอย่างสุขุม “การดวลวิชาการดูน่าสนใจสำหรับผม แต่ว่าก็น่าจะสิ้นเปลืองเวลามาก เราดวลการต่อสู้กันดีกว่า รีบจัดการให้มันเสร็จสิ้นไป!”


“ดวลการต่อสู้? ได้สิ!” ถานไท่เจินชิงพยักหน้าพร้อมกับยิ้มอ่อนโยน เขายกมือขึ้น แล้วชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินออกมาจากด้านหลัง “ชายหนุ่มคนนี้คือถานไท่เจี้ยนขุย เป็นศิษย์สายตรงของผมเอง ปีนี้อายุ 30 ปี ความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์แห่งเวลาของเขาจัดว่ายังไม่ลึกซึ้งนัก เพราะฉะนั้น ผมต้องขออภัยด้วยหากทักษะของเขาดูจะขาดความประณีตไปสักหน่อย”


ทันทีที่ถานไท่เจินชิงพูดจบ ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินไปยังใจกลางห้องโถงใหญ่ และหยุดยืนอยู่ตรงนั้น รังสีไร้เทียมทานระเบิดออกจากร่างของเขา แผ่ความกดดันหนักหน่วงใส่ผู้ที่อยู่โดยรอบ


“วรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ขั้น 1-การพักฟื้นภายใน!” เซียนดาบชิงหรี่ตา


สำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 ตั้งแต่อายุเพียง 30 ปี นอกจากลูกชายของเขาแล้ว ไม่มีใครอื่นในตระกูลจางที่จะเทียบชั้นกับถานไท่เจี้ยนขุยคนนี้ได้เลย!


อันที่จริง แม้ตัวเซียนดาบชิงเองก็มีอายุเกินกว่านี้มากเมื่อตอนที่เขาสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1


“ถานไท่เจี้ยนขุย ได้โปรดกรุณาด้วย!” ชายหนุ่มประสานมือและโค้งคำนับ


“เซวียนเอ๋อ ถึงลูกจะมีวรยุทธระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้รับการถ่ายทอดมรดกตกทอดเรื่องกฎเกณฑ์แห่งเวลาของตระกูลจางอย่างเป็นระบบมาก่อน ถ้าลูกจนมุมล่ะก็ รีบใช้ศาสตร์ลับเลยนะ พ่อหมายถึงศาสตร์ลับที่ลูกใช้ยกระดับพละกำลังขึ้นไปจนถึงขั้นชั่วกัลปาวสานอย่างตอนที่ลูกสู้กับพ่อน่ะ…” เซียนดาบชิงส่งโทรจิตหาลูกชาย


ทายาทตระกูลจางที่มีอายุต่ำกว่า 100 ปีที่เก่งกาจที่สุดในตระกูลจางก็ย่อมไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจางเซวียน


หากจางเซวียนใช้ศาสตร์ลับที่เขาเคยใช้มาแล้วครั้งหนึ่ง ก็น่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย


“เอ่อ…เกรงว่าผมจะใช้ศาสตร์ลับนั้นไม่ได้แล้วล่ะ” จางเซวียนส่ายหน้า


เขาต้องมีหยดเลือดของปรมาจารย์ขงถึงจะเรียกใช้พลังนั้นได้ แต่เขาก็ใช้หยดเลือดทั้ง 3 หยดไปหมดแล้ว พูดอีกอย่างก็คือตอนนี้เขาไม่เหลือไม้ตายอะไรอีก


“ลูกใช้ศาสตร์ลับนั้นไม่ได้แล้ว?” เซียนดาบชิงเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ถ้าอย่างนั้น…”


ต่อให้อีกฝ่ายลดระดับวรยุทธลงมา ความเหลื่อมล้ำในระดับวรยุทธที่แท้จริงก็ยังส่งผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพการต่อสู้อยู่ดี แม้ลูกชายของเขาจะมีความปราดเปรื่องอย่างน่าทึ่ง แต่การต่อสู้ครั้งนี้ก็คงจะหนักหน่วงไม่น้อย


“ไม่ต้องห่วง ผมจะไม่ใช่คนที่เข้าไปดวลหรอก!” จางเซวียนตอบพร้อมกับหัวเราะหึๆ


“ลูกจะไม่เข้าดวล?” ได้ยินคำนั้น เซียนดาบชิงถึงกับผงะ


คนอื่นๆก็รีบหันมามอง ถ้าคุณไม่ต่อสู้ แล้วใครจะสู้?


“แน่นอนว่าไม่ใช่ผม! พวกคุณไม่คิดบ้างหรือว่าจะเป็นการเอาเปรียบแขกของเรามากไปถ้าผมออกโรงด้วยตัวเอง?” จางเซวียนยิ้ม “ผมคิดว่าเราควรมอบโอกาสนี้ให้กับคนรุ่นหลัง…ให้ลูกศิษย์ของผม, จางจิ่วเซี่ยว มาดวลแทนก็แล้วกัน!”

 

 

 


ตอนที่ 1631

 

การเก็บความจำด้วยการรับรู้จิตวิญญาณ, ผลงานของหนังสือพันเล่ม

“คนรุ่นหลัง?”


ฝูงชนอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำนั้น


จางจิ่วเซี่ยวอายุมากกว่าคุณไม่ใช่หรือ?


ชายหนุ่มอายุ 20 ปีคนหนึ่งเรียกผู้ที่แก่กว่าว่า ‘คนรุ่นหลัง’…เอาเถอะ ในแง่ของอาวุโส จางจิ่วเซี่ยวเป็นลูกศิษย์ของเขา การเรียกแบบนี้จึงไม่ถือว่าผิดอะไร เพียงแต่…


มันให้ความรู้สึกที่ประหลาดชอบกล!


อีกอย่าง…


“จางจิ่วเซี่ยวเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 8 สูงสุดเท่านั้น ถึงสายเลือดของเขาจะบริสุทธิ์ แต่ก็ไม่เคยร่ำเรียนเทคนิควรยุทธและเทคนิคการต่อสู้ที่เป็นแก่นสารของตระกูลจางมาก่อน พ่อเกรงว่า…” เซียนดาบชิงพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว


เป็นเพราะการประลองที่จัดขึ้นในตระกูลจางที่ทำให้จางจิ่วเซี่ยวฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 8 ขั้นต้น และในระหว่างช่วงเวลานั้น ทางตระกูลจางก็ได้ทุ่มเททรัพยากรให้กับการบ่มเพาะเขา ด้วยเหตุนี้ ผ่านไปไม่นาน จางจิ่วเซี่ยวก็ยกระดับวรยุทธขึ้นเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 8 สูงสุดได้สำเร็จ


ด้วยระดับวรยุทธที่มี ถือได้ว่าเขาเป็นนักรบที่โดดเด่นที่สุดในบรรดานักรบรุ่นเดียวกันของตระกูลจาง แต่คู่ต่อสู้ที่เขาจะต้องเผชิญเป็นถึงอัจฉริยะจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์, ถานไท่เจี้ยนขุย!


แถมทุกอย่างยังเลวร้ายลงไปอีก เพราะจางจิ่วเซี่ยวมาจากครอบครัวสาขา จึงไม่เคยมีโอกาสได้เข้าถึงมรดกตกทอดที่เป็นแก่นสารของตระกูลจาง


ไม่ว่าจะมองอย่างไร จางจิ่วเซี่ยวก็ไม่น่าจะมีโอกาสมากนัก


เรื่องนี้มีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานเป็นเดิมพัน แต่จางเซวียนกลับทำราวกับเป็นเรื่องไม่สำคัญ ทำแบบนี้จะดีหรือ?


จางเซวียนไม่ใส่ใจคำแนะนำที่ดังขึ้นรอบตัว เขาโบกมือและสั่งการ “ไม่มีปัญหาหรอกน่ะ เชิญตัวเขามา!”


“ขอรับ” ผู้อาวุโสคนหนึ่งโค้งคำนับเพื่อรับคำสั่งขณะเดินออกจากห้องโถงใหญ่ ไม่ช้าก็กลับมา พร้อมกับชายหนุ่มที่ถูกพูดถึง


“ท่านอาจารย์!” จางจิ่วเซี่ยวรี่เข้าหาจางเซวียนและโค้งคำนับอย่างงาม


“อือ ผมเชื่อว่าผู้อาวุโสที่ 9 คงบอกกล่าวคุณถึงสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ผมอยากให้คุณเป็นตัวแทนของตระกูลจางในการดวลกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ และขอบอกให้คุณรู้ไว้ด้วยว่าผมไม่ยอมรับความพ่ายแพ้!” จางเซวียนเอาสองมือไพล่หลัง


“ผมแพ้ไม่ได้?” จางจิ่วเซี่ยวขมวดคิ้ว “ท่านอาจารย์ ผมเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จเมื่อวานนี้เอง จึงยังขัดเกลาวรยุทธไม่ได้เต็มที่…”


เขารู้เรื่องราวจากผู้อาวุโสที่ 9 แล้วระหว่างทางที่เดินมา และรู้ดีว่าการดวลกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์นั้นสำคัญขนาดไหน หากเขาแพ้ คงต้องกลายเป็นตัวกาลกิณีของตระกูลจางแน่!


“คุณยังขัดเกลาวรยุทธได้ไม่เต็มที่หรือ? เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาเลย” จางเซวียนลุกขึ้นยืนและสั่งการจางจิ่วเซี่ยว “นั่งลง!”


“ขอรับ ท่านอาจารย์”


จางจิ่วเซี่ยวไม่รู้ว่าท่านอาจารย์ของเขากำลังจะทำอะไร แต่รู้ดีว่าอีกฝ่ายคงไม่สั่งการโดยปราศจากเหตุผล จึงทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิกับพื้นโดยไม่รีรอ


จางเซวียนเดินอ้อมไปด้านหลังจางจิ่วเซี่ยว เขายื่นมือออกมาและวางลงบนศีรษะของอีกฝ่าย


จางจิ่วเซี่ยวประหลาดใจเล็กน้อยกับการกระทำของจางเซวียน เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ว่ามีกระแสพลังงานอุ่นๆไหลเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งมาจากฝ่ามือนั้น


กระแสพลังงานอุ่นนี้ไหลเวียนไปทั่วร่างของเขาอย่างรวดเร็ว ขจัดสิ่งอุดตันและซ่อมแซมร่างกายบางส่วนที่บอบช้ำของเขาซึ่งเป็นผลมาจากการฝ่าด่านวรยุทธที่เพิ่งผ่านมาไม่นาน


ในชั่วพริบตา วรยุทธของเขาก็กลมกลืนกันอย่างสมบูรณ์แบบกับสมอง จิตวิญญาณ และกายเนื้อ ความคลาดเคลื่อนในการควบคุมวรยุทธหายวับไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้พลังปราณไหลเวียนได้อย่างราบรื่นตามใจปรารถนา จางจิ่วเซี่ยวรู้สึกราวกับตัวเองเป็นนักรบผู้ช่ำชองซึ่งสำเร็จวรยุทธขั้นนี้มาหลายปีแล้ว


“เอ่อ…”


หนานกงหยวนเฟิงกับถานไท่เจินชิงมองหน้ากันอย่างตกตะลึง ทั้งคู่แทบไม่เชื่อสายตา


นี่ไม่ใช่การถ่ายทอดวรยุทธ จึงไม่ถือว่าผิดกฎ


สิ่งที่ชายหนุ่มกำลังทำคือผสานวรยุทธของลูกศิษย์ของเขาให้กลมกลืนกันกับกายเนื้อและจิตวิญญาณโดยใช้ศาสตร์ลับบางอย่าง เป็นการกระทำที่บอกได้เลยว่าการพูดนั้นง่ายกว่าการทำมาก


เพราะนอกจากจะต้องมีพลังปราณที่บริสุทธิ์อย่างน่าทึ่งและสามารถควบคุมพลังงานของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เขาต้องเข้าใจสภาวะร่างกายของลูกศิษย์อย่างถ่องแท้ด้วย


สำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่มีผู้เชี่ยวชาญมากมาย แต่ไม่มีใครสักคนที่ทำแบบนี้ได้ อันที่จริง แม้แต่นักปราชญ์โบราณก็คงไม่กล้าอวดอ้างอย่างมั่นใจว่าพวกเขาจะทำมันได้สำเร็จ!


แต่นักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดคนหนึ่งทำสิ่งนี้ได้อย่างง่ายดาย…


หัวหน้าตระกูลจางจะเก่งกาจไร้เทียมทานไปหน่อยไหม?


“เอาล่ะ ตอนนี้คุณคงขัดเกลาวรยุทธระดับเซียนขั้น 8 สูงสุดได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ส่วนเรื่องมรดกตกทอดของตระกูลจาง…” จางเซวียนย่นหน้าผากเล็กน้อย เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง


ครู่ต่อมา เขาก็เงยหน้ามองถานไท่เจินชิง จากนั้นก็ประสานมือและโค้งคำนับให้อีกฝ่ายด้วยสีหน้าขอโทษขอโพย “ผู้อาวุโสถานไท่ ลูกศิษย์ของผมเพิ่งกลับสู่ตระกูลจางได้ไม่นาน จึงเชี่ยวชาญในเทคนิควรยุทธของครอบครัวสาขาเท่านั้น ถ้าคุณให้เวลาผมสักระยะหนึ่ง ผมจะถ่ายทอดบางกระบวนท่าให้เขา ด้วยวิธีนี้ เขาจะพร้อมกว่าเดิมสำหรับการดวลกับลูกศิษย์ของคุณ”


“คุณจะถ่ายทอดบางกระบวนท่าให้กับลูกศิษย์ของคุณตอนนี้หรือ?”


ขนาดคนรักษากิริยาอย่างถานไท่เจินชิงก็ยังอดชะงักไม่ได้กับคำขอของจางเซวียน


กฎเกณฑ์แห่งเวลานั้นเป็นที่รู้กันว่าเป็นนามธรรมและยากที่จะทำความเข้าใจ ซึ่งก็จะยากขึ้นไปอีกหากเป็นศิลปะที่เกี่ยวข้องกับกาลเวลาซึ่งแตกแขนงมาจากกฎเกณฑ์ของเวลา แม้แต่ลูกศิษย์ของเขาก็ยังต้องใช้เวลาหลายปีภายใต้คำชี้แนะของเขากว่าจะเข้าใจหลักการพื้นฐานของมัน แต่ชายหนุ่มบอกว่าจะตั้งต้นสอนลูกศิษย์ของเขาตอนนี้


เอาจริงๆสิ?


จางเซวียนคิดว่าถานไท่เจินชิงกำลังกังวลว่าเขาจะใช้เวลานานเกินไป จึงพูดเสริมพร้อมกับยิ้มให้ “ไม่ต้องห่วงนะ ผมไม่ใช้เวลานานหรอก หนึ่งชั่วโมงก็พอแล้ว”


“หนึ่งชั่วโมง…” ถานไท่เจินชิงยิ่งจังงังหนักกว่าเดิมหลังจากได้ยิน


หมอนั่นจะเรียนอะไรได้ภายในเวลาชั่วโมงเดียว?


อีกอย่าง คู่ต่อสู้ที่จะต้องเผชิญก็คือลูกศิษย์ของเขาซึ่งเป็นนักรบขั้นการพักฟื้นภายใน!


ไม่ใช่ถานไท่เจินชิงคนเดียวที่งงงันกับคำขอซึ่งดูเหลวไหล หนานกงหยวนเฟิงกับบรรดาลูกศิษย์ของเขาก็มองหน้ากันอย่างงุนงง


ทุกคนอดไม่ได้ที่จะเข้ามาใกล้อีกนิด อยากเห็นว่าจางเซวียนจะถ่ายทอดศิลปะแห่งกาลเวลาให้กับลูกศิษย์ของเขาภายในเวลาหนึ่งชั่วโมงได้อย่างไร แต่ในตอนนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงร้อนรนของเซียนดาบชิง


“เซวียนเอ๋อ ลูกเพิ่งกลับตระกูลจางได้เพียง 2 วันนะ! ยังไม่ได้รับการถ่ายทอดมรดกตกทอดของตระกูลเลย แล้วจะเอาอะไรถ่ายทอดให้จิ่วเซี่ยว?”


“….” หนานกงหยวนเฟิงกับถานไท่เจินชิงถึงกับเซ


ลงท้าย แม้ตัวชายหนุ่มเองก็ยังไม่ได้เชี่ยวชาญในศิลปะแห่งกาลเวลาเลยด้วยซ้ำ แต่กล้าประกาศว่าจะถ่ายทอดมันให้กับลูกศิษย์ของเขาภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง


เอาจริงๆสิ คุณบอกพวกเราหน่อยได้ไหมว่าในสมองของคุณคิดอะไรอยู่?


หัวหน้าตระกูลจางปัญญาอ่อนขนาดนี้เลยหรือ?


“ไม่มีปัญหา ผมศึกษามันตอนนี้เลยก็ได้…ผู้อาวุโสที่ 8, คุณถือกุญแจหอสมุดของตระกูลจางนี่ ผมอยากให้คุณนำหนังสือเทคนิควรยุทธและหนังสือเทคนิคการต่อสู้ทั้งหมดของตระกูลมาที่นี่ ตอนนี้เลยนะ” จางเซวียนสั่งการ


“ขอรับ ท่านหัวหน้า”


ผู้อาวุโสที่ 8 รีบออกไปจากห้องโถงใหญ่ ครู่ต่อมาเขาก็กลับมาอีกครั้ง ด้วยการสะบัดข้อมือ หนังสือจำนวนมากที่อัดแน่นอยู่บนชั้นหนังสือก็ปรากฏต่อหน้าฝูงชน มันมีจำนวนมากมายมหาศาล รวมแล้วก็หลายแสนเล่ม


เหตุผลที่ตระกูลจางสามารถบ่มเพาะผู้เชี่ยวชาญติดต่อกันได้หลายชั่วคนและรักษาตำแหน่งของตัวเองในฐานะตระกูลนักปราชญ์หมายเลข 1 ของทวีปแห่งปรมาจารย์ไว้ได้ก็เป็นเพราะมรดกตกทอดที่มีมากมายของพวกเขา หนังสือเทคนิควรยุทธและเทคนิคการต่อสู้ที่ถูกสะสมมาหลายต่อหลายปีนั้นถือเป็นภาพอันน่าประทับใจ


อันที่จริง ผู้อาวุโสที่ 8 นำหนังสือมาเพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะเวลาที่มีจำกัด เขาจึงไม่อาจนำมาทั้งหมดได้


“ผมรบกวนคุณด้วยนะ” จางเซวียนหันไปขอบคุณผู้อาวุโสที่ 8 ก่อนจะหันกลับมามองหนังสือที่อยู่ตรงหน้า


เขาใช้การรับรู้จิตวิญญาณกวาดไปทั่วทั้งชั้นหนังสืออย่างรวดเร็ว พริบตาต่อมา หนังสือหลายแสนเล่มก็ลอยขึ้นสู่กลางอากาศและพลิกหน้าของมันเองโดยอัตโนมัติ


“นี่มัน…การเก็บความจำด้วยการรับรู้จิตวิญญาณ ผลงานของหนังสือพันเล่ม? ทำได้อย่างไร?”


ถานไท่เจินชิงนัยน์ตาเบิกโพลงอย่างไม่อยากเชื่อ


“การเก็บความจำด้วยการรับรู้จิตวิญญาณนั้นคือการที่นักรบจะต้องแบ่งการรับรู้จิตวิญญาณของเขาเป็นเศษเสี้ยวมากมายนับไม่ถ้วน เพื่อเข้าซึมซาบและเก็บรายละเอียดในหนังสือเล่มต่างๆไว้เป็นความทรงจำในเวลาพร้อมๆกัน”


“แม้แต่ขงซือเหยาซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามีสติปัญญาปราดเปรื่องที่สุดในสำนักแห่งขงจื๊อก็ทำได้เพียงแค่เก็บความจำจากหนังสือพร้อมกันทีเดียว 3,000 เล่ม เพียงเท่านั้นก็เป็นวีรกรรมที่ไม่มีใครทำลายสถิติได้ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมาแล้ว…”


“แต่ชายหนุ่มคนนี้พลิกหน้าหนังสือทีเดียวหลายแสนเล่มพร้อมๆกัน การรับรู้จิตวิญญาณของเขาจะต้องทรงพลังขนาดไหน?”


หนานกงหยวนเฟิงอ้าปากค้าง


นักรบระดับเซียนขั้น 2 ทุกคนสามารถใช้การรับรู้จิตวิญญาณของตัวเองจดจำข้อความในหนังสือได้อย่างรวดเร็ว แต่เรื่องนี้จะแตกต่างออกไปมากหากเป็นการจดจำข้อความในหนังสือพร้อมกันทีเดียวหลายเล่ม เพียงแค่อ่านหนังสือพร้อมกัน 2 เล่ม นักรบผู้นั้นก็จะต้องแบ่งแยกสมาธิระหว่างหนังสือทั้งสองเล่มแล้ว และนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับนักรบขั้นจิตวิญญาณต้นกำเนิดที่จะทำได้


สำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่มีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมาย แต่แม้ผู้ที่ปราดเปรื่องที่สุดก็สามารถเก็บความจำจากหนังสือได้พร้อมกันทีเดียว 3,000 เล่มเท่านั้น ส่วนหมอนี่เก็บความจำจากหนังสือได้ทีเดียวพร้อมกันหลายแสนเล่ม…


เขาไม่กลัวว่าหัวสมองจะระเบิดเพราะข้อมูลที่หนักเกินกำลังหรืออย่างไร? ไม่กลัวพิการหรือ?

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)