พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1617-1620

บทที่ 1617 วิ่งเต้นมาหาถึงที่

 

เหมียวอี้หันตัวมาบอกว่า “ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่ถึงยังไงเจ้าก็ได้ชื่อว่าเป็นลูกสาวบุญธรรมของเขา เขาไม่ถึงขั้นทำอะไรเจ้าหรอก ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ฐานะของเจ้าก็ถูกประกาศแล้ว ไปอยู่ที่จวนอ๋องสวรรค์จะปลอดภัยกว่าจริงๆ”


อวิ๋นจือชิวก็รู้เช่นกันว่าตระกูลโค่วทำถึงขั้นนี้แล้ว ถ้านางไม่กลับไปก็จะฟังดูเหลวไหลเกินไป แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะกังวล “แล้วเจ้าจะทำยังไงล่ะ?” นางยกมือจับแขนเขาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใย


เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ “เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก โค่วเจิงก็บอกแล้วว่าไม่ต้องกังวลเกินไป มียอดฝีมือของตระกูลโค่วมาคุ้มกัน น่าจะไม่มีปัญหาอะไรมาก ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็ยังพายอดฝีมือกลุ่มหนึ่งออกมาจากแดนอเวจีด้วย ข้าเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว”


อวิ๋นจือชิวอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทางตระกูลโค่วลั่นวาจามาแล้ว คงไม่ดีหากจะไม่เชื่อฟัง


จากนั้นนางก็ไปหาเฟยหง อธิบายสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง ถามนางว่าต้องการจะตามไปที่จวนอ๋องสวรรค์ด้วยหรือไม่ เฟยหงก็จนใจเช่นกัน ภารกิจที่หน่วยตรวจการซ้ายมอบให้นางก็คือพยายามอยู่ข้างกายเหมียวอี้ อวิ๋นจือชิวทำได้เพียงฝากฝังเหมียวอี้ไว้ให้เฟยหง ตอนที่ตัวเองไม่อยู่ก็ให้เฟยหงดูแลเหมียวอี้ให้ดี


ทางนี้ให้โค่วเจิงเสียเวลาอยู่ไม่กี่วัน ตอนนี้โค่วเจิงเป็นผู้กำกับดูแลเรื่องต่างๆ ของตระกูลโค่วแล้ว ไม่สะดวกจะเสียเวลามากเกินไป หลังจากเตรียมตัวเล็กน้อย อวิ๋นจือชิวก็ตามเขาจากไป


ก่อนที่จะไป ก่อนที่จะออกจากห้อง โค่วเจิงก็หยุดเดินแล้วหันกลับมาหาเหมียวอี้ที่อยู่ข้างหลัง แนะนำเหมียวอี้ด้วยความจริงใจว่า “น้องเขย คนเราเกิดมาในโลกนี้ จะล่วงเกินคนอื่นบ้างก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ เรื่องแบบนี้ก็ระวังไม่ชนะเหมือนกัน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องสร้างศัตรูคู่แค้นไว้ทั่วทุกที่ นี่ไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาด เรื่องบางเรื่องก็อย่าไปทำเลย แต่ถ้าจะทำก็ต้องทำให้ฝ่ายตรงข้ามหมดกำลังโต้ตอบไปซะ ไม่อย่างนั้นก็ไม่สู้อดทนเอาไว้ดีกว่า ทำแบบนี้ไม่เสียหน้าหรอก คนที่ได้หัวเราะตอนสุดท้ายต่างหากที่เป็นผู้ชนะ ไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองเดินลำบากทุกก้าว แล้วอีกอย่าง คนระดับเจ้าน่ะ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปทำเรื่องประเภทรบราฆ่าฟันด้วยตัวเองหรอก เดิมริมแม่น้ำบ่อยก็ต้องรองเท้าเปียกเข้าสักวัน ไม่แน่ว่าวันไหนเจ้าอาจจะทำพลาดก็ได้ เรื่องไหนที่ให้ลูกน้องทำได้ก็พยายามให้ลูกน้องทำ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วเอาแต่พุ่งไปรบเอง แล้วแบบนั้นเจ้ายังจะมีลูกน้องไว้ทำอะไรอีกล่ะ เจ้ารู้มั้ยว่าทำไมทุกคนอย่างไต่เต้าขึ้นระดับบน? คนที่อยู่ระดับแม่ทัพภาคแล้ว เจ้าเคยเห็นใครต้องลงมือเองบ้างมั้ย? ถ้าไม่ถึงคราวที่หมดหนทาง เจ้าก็พยายามอย่าพุ่งไปอยู่หน้าสุด เข้าใจสิ่งที่ข้าพูดมั้ย?”


เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ไม่ว่าจะเห็นด้วยกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดหรือไม่ แต่ก็กุมหมัดคารวะ “ข้าจะจำไว้”


จะฟังเข้าใจหรือไม่ โค่วเจิงก็ไม่รู้ เขาพูดไว้เพียงเท่านี้ แล้วพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะหันตัวจากไป


เหมียวอี้ไปส่งถึงทางออกด้านบนของจวนแม่ทัพภาคด้วยตัวเอง และข้างกายโค่วเจิงก็ย่อมมียอดฝีมือติดตามคุมกันไม่น้อย เขามองตามอวิ๋นจือชิวที่พาเชียนเอ๋อร์และเสวี่ยเอ๋อร์หายไป


พอหันกลับมา เห็นเฟยหงอยู่ข้างกาย เหมียวอี้ก็ยิ้มบางๆ แล้วถือโอกาสจูงมือนางเดินกลับไปด้วยกัน


ในขณะที่ตกใจ ในใจเฟยหงก็แอบรู้สึกดีใจ นางอยู่กับเหมียวอี้มาหลายปีขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยเห็นเหมียวอี้ปฏิบัติต่อนางอย่างใกล้ชิดและอ่อนโยนเป็นธรรมชาติขนาดนี้มาก่อนเลย โดยเฉพาะในตอนนี้ข้างกายยังมีคนอื่นอยู่ด้วย มุมปากนางยกยิ้มหวานอย่างควบคุมตัวเองได้ยาก ไม่น่าเชื่อว่าจะรู้สึกสุขใจเหมือนได้เจอครอบครัวที่จากกันมานาน ในตอนนี้นางเพิ่งจะรู้สึกได้อย่างแท้จริงว่านี่คือผู้ชายของนาง นางเดินลงบันไดไปพร้อมกับเหมียวอี้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู…


“ตอนที่โค่วเจิงมา เขาไม่ได้ปลอมตัว ตอนที่ไปก็ไม่ได้ปลอมตัว ไปมาอย่างสง่าผ่าเผย พาอวิ๋นจือชิวกับหญิงรับใช้สองคนไปแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดจะทำอะไร”


ตึกศาลาสัตยพรต เฉาหม่านยืนอยู่ริมหน้าต่างพลางทอดสายตามอง โดยที่ชีเจวี๋ยคอยรายงานสถานการณ์ให้ฟังอยู่ข้างๆ


หลังจากได้ฟังแล้ว เฉาหม่านก็แสยะยิ้ม “ยังจะทำอะไรอีกล่ะ ก็แค่จับตัวประกันเอาไว้ในมือก็เท่านั้นแหละ”


“ตัวประกัน?” ชีเจวี๋ยประหลาดใจ “อวิ๋นจือชิวเป็นลูกสาวบุญธรรมของโค่วหลิงซวี ต่อให้โค่วเจิงใจกล้ากว่านี้ แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำเรื่องแบบนี้หรอกกระมัง?”


“เจ้าคิดว่าเป็นโค่วเจิงเหรอ?” เฉาหม่านเอียงหน้าเหล่ตามอง “นายท่านส่งข่าวมาแล้ว ว่าประมุขชิงตอบตกลงในราชสำนักแล้ว รับปากว่าจะให้ราชินีสวรรค์ให้กำเนิดทายาท”


ในด้านนี้ชีเจวี๋ยก็เคยได้ยินมาแล้วเช่นกัน ขณะที่กำลังอึ้งก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง กล่าวอย่างลังเลว่า “เถ้าแก่ ประมุขชิงยอมรับปากเปล่า แต่ไม่ได้ให้เวลาที่แน่นอน ถ้าภายในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์ไม่ได้ ประมุขชิงก็มีข้ออ้างเหตุผลต่างๆ มาบอกปัดอยู่ดี เมื่อถึงตอนนั้น ในการประชุมราชสำนักทางฝั่งนายท่านก็ยังต้องอาศัยแรงจากตระกูลโค่วอยู่ ตระกูลโค่วคงไม่ถึงขั้นหาตัวประกันตอนนี้หรอกมั้ง? ถ้าประมุขชิงบอกปัดจริงๆ การที่ตระกูลโค่วทำแบบนี้ไม่ถือว่าปล่อยไก่หรอกเหรอ แบบนี้จะให้หนิวโหย่วเต๋อคิดยังไง?”


เฉาหม่านโบกมือ แล้วเอามือไขว้หลังหันตัวเดินมาช้าๆ “ตระกูลโค่วคงไม่โง่ถึงขั้นบอกหนิวโหย่วเต๋อว่าจับฮูหยินไปเป็นตัวประกันหรอก ยังต้องดูอีกว่าประมุขชิงจะเคลื่อนไหวในขั้นต่อไปหรือเปล่า ถ้าประมุขชิงไม่มีการเคลื่อนไหว ทางตระกูลโค่วก็จะปฏิบัติต่ออวิ๋นจือชิวอย่างดี ใครจะไปบอกล่ะว่าเป็นตัวประกัน? ถ้าประมุขชิงเคลื่อนไหวในขั้นต่อไป กดดันหนิวโหย่วเต๋อขึ้นมาจริงๆ หนิวโหย่วเต๋อก็ย่อมนึกได้ว่าอวิ๋นจือชิวยังอยู่ในมือตระกูลโค่ว จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการทรยศ ตระกูลโค่วก็แค่เตรียมพร้อมป้องกันเท่านั้นเอง หรือพูดได้อีกอย่างว่าจำเป็นต้องทำอย่างนี้ เพราะประมุขชิงได้เปรียบกว่ามาก มีไพ่ในมือเยอะกว่าตระกูลโค่ว ถ้าตระกูลโค่วไม่เตรียมตัวล่วงหน้าไว้บ้างสักหน่อย เดี๋ยวตอนหลังอาจจะกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะก็ได้ และการที่โค่วเจิงเข้าออกจวนแม่ทัพภาคและพาตัวอวิ๋นจือชิวไปอย่างสง่าผ่าเผย ก็ไม่ต่างอะไรกับส่งสัญญาณให้ประมุขชิงรู้ ว่าในมือพวกเขามีตัวประกันอยู่ หวังว่าประมุขชิงจะหยุดความคิดชั่วร้ายเสียที”


ชีเจวี๋ยครุ่นคิดพลางพยักหน้า


วังสวรรค์ อุทยานสายัณห์


ซ่างกวนชิงเดินตามอยู่ข้างหลังประมุขชิง พร้อมรายงานสถานการณ์ที่ได้มาจากตลาดผี


ประมุขชิงเอามือไขว้หลังเดินอยู่บนเส้นทางดอกไม้ พอได้ยินรายงานก็ทำเสียงฮึดฮัด “เตรียมส่งคนไปชักจูงให้ยอมจำนนเถอะ”


“ตอนนี้หรือขอรับ?” ซ่างกวนชิงอึ้งทันที “หนิวโหย่วเต๋อทำได้ทุกอย่างเพื่ออวิ๋นจือชิว ตอนนี้อวิ๋นจือชิวอยู่ในมือตระกูลโค่วแล้ว มีหรือที่หนิวโหย่วเต๋อจะยอมตอบตกลง?”


ประมุขชิงกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “ได้ตัวประกันไปคนเดียวก็จะทำให้ข้าถอยได้แล้วเหรอ? ต่อให้อวิ๋นจือชิวไม่ได้อยู่ในมือตระกูลโค่ว ข้าก็ไม่หวังว่าหนิวโหย่วเต๋อจะทรยศตระกูลโค่วง่ายๆ เหรอ ถึงยังไงก็เพิ่งจะยอมรับพ่อบุญธรรมและรับลูกเขยเข้าตระกูล จะชักจูงสำเร็จหรือไม่ก็ไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือยุแยงความสัมพันธ์ระหว่างหนิวโหย่วเต๋อกับตระกูลโค่ว ถ้ามีรอยร้าวแล้วก็ไม่กลัวว่าจะงัดออกจากกันไม่ได้หรอก เมื่ออยู่ภายใต้สถาการณ์ที่เหมาะสม ค่อยโยนโอกาสที่ถูกหลักธรรมนองคลองธรรมให้หนิวโหย่วเต๋อ ก็ย่อมเหมือนน้ำมาคลองเกิด[1]แล้ว”


ซ่างกวนชิงถอนหายใจแล้วบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อมีคุณธรรมหรือความสามารถอะไร ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้ฝ่าบาทลำบากสิ้นเปลืองความคิดได้ นับว่าเป็นวาสนาของเขาแล้ว”


“วาสนา? กล้าทรยศข้าเพื่อผู้หญิงคนเดียวยังเรียกว่ามีวาสนาได้อีกเหรอ?” ประมุขชิงยิ้มประชด พ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “ช่างน่าขัน! แค่หนิวโหย่วเต๋อต่ำต้อยคนเดียวเท่านั้นเอง ข้าใช้งานเขา เขาถึงจะถูกนับว่าเป็นสิ่งของ ถ้าข้าไม่ใช้งานเขา เขาก็ไม่นับเป็นตัวอะไรทั้งนั้น ข้าจะขาดเขาไม่ได้เชียวเหรอ? อย่าว่าแต่เขาเลย ต่อให้อสุราอัคนีฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ข้าก็ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเหมือนกัน เฮอะ! แม้แต่คนของข้ายังกล้าแย่งไป ในเมื่อตาแก่โค่วชอบขโมยเด็ดลูกท้อ ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเขาจะกินไหวได้ยังไง!”


ซ่างกวนชิงเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน สงสัยแค่ต้องการจะทำให้โค่วหลิงซวีสะอิดสะเอียนเท่านั้น มิน่าล่ะก่อนหน้านี้ถึงไม่ส่งคนไปหาหนิวโหย่วเต๋อ แต่กลับรอให้ตระกูลโค่วไปก่อน เขากุมกมัดคารวะทันที “ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”


ประมุขชิงโบกมือเบาๆ จากนั้นก็เดินเอามือไหว้หลังหายเข้าไปในทางดอกไม้เพียงลำพัง


หลังจากนั้นหลายวัน เวินเจ๋อก็พาทั้งสองไปที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี


เหมียวอี้ได้ยินข่าวแล้วมาต้อนรับทันที พอเห็นตัวคนก็กุมหมัดคารวะมาแต่ไกลๆ “พี่ใหญ่เวิน ทำไมจะมาแล้วไม่บอกล่วงหน้าล่ะ? ขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับตั้งแต่ไกลๆ ล่วงเกินแล้ว” เขากุมหมัดคารวะให้สองคนที่ตามมาข้างหลังเช่นกัน


เวินเจ๋อที่เดินก้าวยาวเข้ามาพูดหยอกว่า “น้องชายผูกขาดที่นี่ไว้คนเดียว ไม่กล้าให้ไปต้อนรับตั้งแต่ไกลๆ หรอก!”


เมื่อทั้งสองเดินมาใกล้กัน เหมียวอี้ก็กลอกตามองบน “พี่ใหญ่เวินกำลังสาดโคลนข้าเกินไปหรือเปล่า ถ้าข้ากล้าผูกขาดตลาดผี ตึกศาลาสัตยพรตจะไม่กำจัดข้าทิ้งเหรอ”


“ฮ่าๆ!” เวินเจ๋อหัวเราะลั่น แล้วก็ตบบ่าเขา “เป็นครั้งแรกเลยที่ข้าได้มาจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ไป พาข้าเดินดูหน่อย”


“เชิญ!” เหมียวอี้หลีกทางและยื่นมือเชิญ


สวีถังหรานที่กำลังยิ้มสู้มาเดินนำทางอยู่ข้างหน้าอย่างเคารพนอบน้อมทันที พวกเขาเดิมทั่วทั้งจวนแม่ทัพภาคตลาดผีรอบหนึ่ง โดยมีสวีถังหรานแนะนำตลอดทาง


หลังจากเดินเสร็จแล้ว ก็ย่อมเตรียมสุราอาหารเอาไว้ หลังจากดื่มไปหลายจอก เวินเจ๋อก็ให้ผู้ติดตามสองคนถอยออกไปก่อน เหมียวอี้มองออกแล้วว่าเขามีอะไรจะพูด จึงให้คนอื่นๆ ถอยออกไปด้วย จากนั้นก็ถือกาสุรารินให้เวินเจ๋อด้วยตัวเอง “พี่ใหญ่เวินมีธุระอะไรเหรอ?”


หลังจากรินสุราเต็มแล้ว สายตาของเวินเจ๋อก็ไปหยุดอยู่บนหน้าเขา “น้องชายรู้รึเปล่าว่าช่วงนี้ในราชสำนักเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


เหมียวอี้เกิดความคิดบางอย่างในใจ จึงยิ้มพร้อมถามว่า “เรื่องเกี่ยวกับราชินีสวรรค์ให้กำเนิดทายาทใช่มั้ย?”


“ข้าว่าแล้วว่าเจ้ารู้” เวินเจ๋อพยักหน้า แล้วก็ถอนหายใจอีก “น้องชาย เจ้ารู้รึเปล่าว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานการณ์อันตราย?”


เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ “ก็พอจะสังเกตได้บ้างนิดหน่อย”


เวินเจ๋อถามอีกว่า “น้องชายเตรียมจะเอาตัวเองไปอยู่ที่ไหนล่ะ?”


“อย่าบอกนะว่าพี่ใหญ่เวินคิดว่าตระกูลโค่วอ่อนแอ?” เหมียวอี้ชูจอกสุราคารวะ


เวินเจ๋อยกดื่มหมดหนึ่งจอก แล้วห้ามเหมียวอี้ไม่ให้ถือกาสุรา ตัวเองเป็นคนถือกาสุรารินให้เอง “ไม่กลัวโจรขโมยของ กลัวโจรขโมยความคิด มีแต่เป็นโจรหนึ่งพันวันได้ แต่ป้องกันโจรหนึ่งพันวันไม่ได้ สถานการณ์เป็นยังไงน้องชายคงรู้ชัดอยู่แก่ใจ ไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูดมาก เจ้ากับข้าได้รู้จักกันนับเป็นวาสนา พี่ใหญ่ไม่อยากเห็นเจ้าเป็นอะไรไป ก็เลยตั้งใจมาช่วยน้องชายอีกแรง”


“อ้อ!” เหมียวอี้รู้สึกสนใจ “ไม่ทราบว่าพี่ใหญ่เวินจะช่วยข้ายังไง?”


เวินเจ๋อถอนหายใจ “ที่จริงผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายยังค่อนข้างให้ความสำคัญกับน้องชาย ก็เหลือแค่ดูว่าน้องชายยังมีใจอยู่หรือเปล่า ถ้าน้องชายยินดีจะกลับหน่วยองครักษ์ซ้าย เจ้าก็รู้จักนิสัยนายท่านโพ่จวินนี่ ถ้าโวยวายขึ้นมาก็สามารถทำลายเรื่องดีๆ ของราชินีสวรรค์ได้เลย ตอนนี้เป็นโอกาสดีแล้ว ราชินีสวรรค์ไม่กล้าไม่ไว้หน้าโพ่จวินหรอก ถ้าน้องชายกลับไปที่หน่วยองครักษ์ซ้าย ไม่ว่าใครจะอยากแตะต้องเจ้า แต่ก็ต้องชั่งน้ำหนักดูสักหน่อย”


เหมียวอี้พลันเบิกตากว้าง จ้องอีกฝ่ายอย่างเย็นเยียบ เรื่องนี้โพ่จวินกับราชินีสวรรค์ตัดสินใจได้เหรอ? เขาแทบจะนึกเชื่อมโยงไปถึงเรื่องที่อวิ๋นจือชิวกลับไปหาตระกูลโค่วทันที ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมโค่วเจิงถึงมารับตัวอวิ๋นจือชิวด้วยตัวเอง ไฟโกรธลุกพรึ่บในชั่วพริบตาเดียว ตระกูลโค่วทำแบบนี้หมายความว่าอะไร กำลังกลัวว่าเขาจะทนการหลอกล่อจากตำหนักสวรรค์ไม่ไหว ก็เลยนำอวิ๋นจือชิวไปเป็นตัวประกันเหรอ? อย่าบอกนะว่าเขาไม่เชื่อใจเหมียวอี้สักนิดเลย?


ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เหมียวอี้ก็ยังพยายามระงับสติอารมณ์ของตัวเอง กล่าวเสียงเรียบว่า “ถ้าเรื่องนี้ไม่ได้รับอนุญาตจากฝ่าบาท ใครจะกล้าตัดสินใจล่ะ?”


เวินเจ๋อส่ายหน้า “ใครตัดสินใจก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือใครสามารถทำให้น้องชายกลับมาที่กองทัพองครักษ์ได้ ใครที่สามารถรับประกันความปลอดภัยของน้องชายได้อย่างแท้จริง นั่นต่างหากที่สำคัญที่สุด น้องชาย พลาดโอกาสนี้ไม่ได้นะ พลาดแล้วพลาดเลย!”


เหมียวอี้ถอนหายใจช้าๆ เฮือกหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “พี่ใหญ่เวิน ไม่ใช่ว่าหนิวไม่มีคุณธรรมน้ำมิตรหรอกนะ? ไม่ใช่ว่าหนิวไม่รับไม่ตรี และไม่ใช่ว่าหนิวไม่ไว้หน้าพี่ใหญ่เวิน ถ้าอ๋องสวรรค์โค่วไม่อนุญาตเรื่องนี้ ข้าก็รับปากได้ยาก ความหวังดีของพี่ใหญ่เวิน หนิวโหย่วเต๋อซาบซึ้งแล้ว”


…………………………


[1] น้ำมาคลองเกิด 水到渠成 หมายถึงเมื่อเงื่อนไขทุกอย่างสุกงอมพอดี เรื่องก็จะสำเร็จได้

 

 

 


บทที่ 1618 เมฆลมที่วังหลัง

 

“ไม่พิจารณาให้จริงจังสักหน่อยเหรอ?” เวินเจ๋อขมวดคิ้ว


เหมียวอี้ตอบว่า “เรื่องบางเรื่องข้าพิจารณาตัดสินใจเองได้เหรอ? ทั้งท่านทั้งข้าก็รู้อยู่แก่ใจ ให้คนที่ตัดสินใจได้ไปตัดสินใจดีกว่า พี่ใหญ่เวินไม่จำเป็นต้องฝืนใจ”


เวินเจ๋อเงียบไป การจะให้อีกฝ่ายตอบตกลงก็ค่อนข้างน่าลำบากใจจริงๆ ถ้าไม่กลับกองทัพองครักษ์ก็จะเผชิญกับอันตราย แต่ถ้ากลับกองทัพองครักษ์แล้วจะให้ตระกูลโค่วทนความรู้สึกได้อย่างไร มีหรือที่ตระกูลโค่วจะปล่อยเขาไป? เขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเล่นของบุคคลระดับบนแล้ว ตัวละครเล็กๆ ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจเองเลย และไม่มีทางเหลือให้เลือกอะไรทั้งนั้น ถ้าเบื้องบนได้บทสรุปเมื่อไร นั่นต่างหากคือผลลัพธ์ที่แท้จริง


“เฮ้อ!” เวินเจ๋อถอนหายใจเบาๆ แล้วพยักหน้าเงียบๆ ไม่ฝืนใจอะไรแล้ว อย่างไรเสียเบื้องบนก็ไม่ได้คาดหวังให้เขาบรรลุเป้าหมายในการมาครั้งนี้ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็ไม่ต้องคุยเรื่องนี้แล้ว แล้วหยางชิ่งกับไห่ผิงซินนั่น เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่? เบื้องบนให้ข้าถือโอกาสมาสืบเรื่องนี้”


หยางชิ่งกับไห่ผิงซินก็ย่อม ‘ตาย’ ไปแล้ว เหมียวอี้รายงานขึ้นไปข้างบนแล้ว สาเหตุก็คือตอนออกไปข้างนอกโดนจู่โจมกะทันกัน พอให้ตอบตอนนี้ก็ย่อมตอบเหมือนเดิม “พวกเขาสองคนคงจะซวยเพราะข้า ข้าสงสัยอยู่แล้วว่าจะมีคนเริ่มลงมือกับข้า…”


ตึกศาลาสัตยพรต


ชีเจวี๋ยผลักประตูเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างกายเฉาหม่านที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง แล้วรายงานว่า “เถ้าแก่ เวินเจ๋อไปแล้ว หนิวโหย่วเต๋อจะตอบตกลงหรือเปล่าก็ไม่รู้”


เฉาหม่านหลับตาพลางกล่าวช้าๆ ว่า “ทางนายท่านบอกมาแล้ว ถ้าราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์ขึ้นมา ก็จะส่งนักโทษหลบหนียี่สิบคนให้หนิวโหย่วเต๋อสร้างผลงาน ช่วยให้เขาได้เลื่อนกลับมาอยู่ตำแหน่งเดิม นับว่าตอบแทนตระกูลโค่วได้แล้ว”


“ขอรับ!” ชีเจวี๋ยเอ่ยรับ แล้วลองถามอีกว่า “ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าหนิวโหย่วเต๋อตอบตกลงหรือเปล่า แต่ก็ช่วยไปแล้ว แบบนี้จะเหมาะสมหรือขอรับ?”


เฉาหม่านขยับริมฝีปากเล็กน้อย “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่านายท่านอิงจากอะไร นายท่านบอกไว้แล้ว ว่าถ้าทางวังสวรรค์ส่งคนมาพบหนิวโหย่วเต๋อเมื่อไร ก็แสดงว่าฝ่าบาทตัดสินใจเรื่องที่จะให้ราชินีสวรรค์มีทายาทแล้ว ทางนี้สามารถเตรียมแสดงน้ำใจตอบแทนตระกูลโค่วได้เลย แสดงว่าตระกูลโค่วช่วยพวกเราจัดการเรื่องนี้ได้ในระดับหนึ่งแล้ว พวกเราก็ต้องจัดการเรื่องของเขาให้ได้ในระดับที่สมควรเช่นกัน จะได้ไม่ติดค้างกัน!”


ชีเจวี๋ยงงนิดหน่อย คิดไม่ออกเหมือนกันว่าอิงจากอะไร คาดว่าเฉาหม่านคงจะถามได้อะไรจากนายท่านมาแล้ว แต่ในเมื่อเฉาหม่านไม่ยอมพูดออกมา เขาก็ไม่สะดวกจะถามเยอะ จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ถ้าราชินีสวรรค์มีทายาทแล้ว ทางฝั่งพวกเราก็ไม่ต้องดูแลหนิวโหย่วเต๋อแล้วใช่มั้ย?”


เฉาหม่านบอกว่า “ถ้าเข้าไปแทรกแซงมากว่านี้ ทางประมุขชิงก็อาจจะไม่พอใจได้ อาจจะส่งผลไปถึงราชินีสวรรค์ ตอนนี้เรื่องราชินีสวรรค์ให้กำเนิดทายาทสำคัญที่สุด สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตตระกูล” เขาลืมตาขึ้นช้าๆ “แน่นอน ไม่แทรกแซงแต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่สนใจใยดีเลย นายท่านค่อนข้างสนใจสิ่งที่อยู่เบื้องหลังหนิวโหย่วเต๋อ ดังนั้นถ้ามีข่าวอะไรก็ยังบอกให้เขารู้ได้ แค่รอดูว่าตัวเองจะขอความช่วยเหลือจากตระกูลโค่วได้มากขนาดไหน”


“เข้าใจแล้วขอรับ!” ชีเจวี๋ยพยักหน้า


ตั้งแต่เวินเจ๋อก้าวออกจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ทั้งจวนแม่ทัพภาคก็ยกระดับการป้องกันทันที


เมื่อไม่มีหยางชิ่งแล้ว พอเจอกับเรื่องแบบนี้เหมียวอี้ก็รู้สึกเปลืองแรงอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้สวีถังหรานจะประจบสอพลอเก่ง แต่ถ้าพูดถึงความสามารถก็เทียบหยางชิ่งไม่ติดเลยสักนิด เขาส่งต่อเรื่องเตรียมงานให้หยางเจาชิง และหยางเจาชิงก็มีบางจุดที่เทียบหยางชิ่งไม่ติดจริงๆ


ด้วยความกดดันจากสิ่งนี้ เหมียวอี้จึงจำเป็นต้องมุดหัวอยู่ในจวนแม่ทัพภาคโดยไม่ออกไปไหนชั่วคราว โชคดีที่ไม่ได้เกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้น ส่วนอวิ๋นจือก็ชิวส่งข่าวมาจากทางตระกูลโค่วเพื่อคลายความฉงนใจให้เหมียวอี้ บอกว่าคนทั้งข้างล่างข้างบนของตำหนักสวรรค์ล้วนกำลังเฝ้าสังเกตการณ์ สำหรับพวกลูกพี่ใหญ่ในตำหนักสวรรค์แล้ว หากเปรียบเทียบกับเรื่องราชินีสวรรค์มีทายาท เหมียวอี้ต่ำต้อยคนเดียวไม่นับว่าสำคัญอะไร โอรสสวรรค์เกี่ยวข้องกับอนาคตของทุกตระกูล ขนาดตระกูลอิ๋งที่มีความแค้นฝังลึกกับเหมียวอี้ก็ยังไม่เอากำลังความคิดมาใช้กับเหมียวอี้เลย ตอนนี้ตระกูลอิ๋งกำลังพิจารณาและกลัวว่าถ้าราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์ขึ้นมา สนมสวรรค์จ้านหรูอี้จะมีที่ยืนอยู่ในวังสวรรค์ได้อย่างไร ราชินีสวรรค์จะอาศัยว่าตัวเองตั้งรครรภ์โอรสสวรรค์แล้วลงมือสังหารสนมสวรรค์หรือเปล่า ท่าทีของฝ่าบาที่มีต่อสนมสวรรค์จะเปลี่ยนไปอย่างไร


นอกจากนี้อวิ๋นจือชิวก็ยังเปิดเผยอีกนิดหน่อยว่า ในตอนนี้สิ่งที่ตระกูลเซี่ยโห้วทุ่มเทกำลังความคิดมากที่สุดก็คือจะให้ราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์ลูกชายได้อย่างไร ให้ตั้งครรภ์ลูกชายไม่ใช่ลูกสาว ในเรื่องนี้จะต้องใช้ความพยายามไม่ใช่น้อยๆ มีบางคนหวังให้ราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์ลูกชาย มีบางคนหวังให้ราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์ลูกสาว ตอนนี้วังหลังเริ่มมีลมโหมกระแสคลื่นแล้ว อำนาจแต่ละฝ่ายแสดงแสนยานุภาพแล้ว เมื่อใดที่ราชันสวรรค์ไปตำหนักนารีสวรรค์ ก็จะดึงดูดสายตาของทุกคนทันที และตำหนักนารีสวรรค์มีนางในโดนตีตายไปสิบกว่าคน สนมในวังหลังก็ตายไปหนึ่งคนเช่นกัน


ตอนนี้ถึงขั้นมีข่าวลือออกมาแล้ว บอกว่าราชินีสวรรค์ให้กำเนิดลูกชายแล้ว มีคนคิดจ้องจะให้โอรสสวรรค์มาแทนที่ราชันสวรรค์ เป็นคำพูดที่น่าปวดใจ! แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่จำเป็นต้องยอมรับ ถ้าหากวันใดที่ราชันสวรรค์ไม่อยู่แล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วจะต้องทุ่มสุดแรงเพื่อช่วยโอรสสวรรค์ให้ขึ้นสู้ตำแหน่งราชันแน่นอน ทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วอยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีวันล้มต่อไป เมื่อเกิดข่าวลือแบบนี้ในเวลานี้ ก็ทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วเครียดมาก


ขณะเดียวกันก็มีเสียงเรียกร้องอีกอย่าง บอกว่าสนมสวรรค์ก็สามารถให้เนิดทายาทแก่ฝ่าบาทได้เหมือนกัน ราชินีสวรรค์สามารถให้กำเนิดก่อนได้ สนมสวรรค์ก็ให้กำเนิดตามทีหลังได้ ภายนอกดูเหมือนอยากให้ลูกที่เกิดกับฮูหยินเอกเป็นลูกชายคนโต แต่ความจริงแล้วมีคนอยากฝากความหวังไว้กับความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง ถ้าหากราชินีสวรรค์ให้กำเนิดลูกสาว แล้วสนมสวรรค์ให้กำเนิดลูกชาย เช่นนั้นลูกของสนมสวรรค์ก็จะเป็นลูกชายคนโตแล้ว จะได้ชื่อว่าเป็น ‘ลูกชายคนโต’ ไม่ว่าจะใช่ลูกของฮูหยินเอกหรือไม่ แต่ในอนาคตยังมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้เสนอ เรื่องลำดับอาวุโสก็เป็นหลักการหนึ่งเช่นกัน มีคนวางแผนอย่างนี้ไม่น้อย


ในขณะที่วังหลังมีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นไม่หยุด ถึงแม้ทั้งตำหนักสวรรค์จะรู้ว่าราชันสวรรค์โปรดปรานสนมสวรรค์ แต่ในเวลานี้ ประมุขชิงกลับประกาศในที่ประชุมราชสำนักแล้ว “ไม่ว่าราชินีสวรรค์จะให้กำเนิดลูกชายหรือลูกสาว ลูกชายคนโตก็จะต้องเกิดกับราชินีสวรรค์เท่านั้น จะใช้ความพยายามจนกว่าราชินีสวรรค์จะให้กำเนิดลูกชายคนโต ไม่มีความเป็นไปได้อย่างอื่นแล้ว ถ้าหากมีสนมในวังหลังแอบตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็จะโดนตีจนตายทั้งหมด ไม่ให้อภัยเด็ดขาด!”


คำพูดนี้เท่ากับเหมารวมสนมสวรรค์ที่ราชันสวรรค์โปรดปรานที่สุดเข้าไปด้วย ทำให้ความหวังที่สนมสวรรค์จ้านหรูอี้จะให้กำเนิดลูกชายคนโตดับสลายลงในรวดเดียว


หลังจากจบเรื่องแล้วมีข่าวออกมา ราชินีสวรรค์ที่ได้ยินข่าวก็ตื้นตันใจจนน้ำตาไหล คุกเข่ากอดขาราชันสวรรค์ร้องไห้ นางซาบซึ้งใจมาก ตั้งแต่นั้นมาก็เหมือนจะใจกว้างกับสนมสวรรค์ของตำหนักบูรพามากขึ้นเยอะเลย


หลังจากราชันสวรรค์ลั่นวาจาแล้ว ความวุ่นวายในวังหลังก็สงบลงไม่น้อยเลย แต่ก็ยังไม่ได้สงบลงโดยสิ้นเชิง ถ้าท้องแรกของราชินีสวรรค์เป็นลูกสาว ก็จะหมายความว่าเวลาจะลากยาวไป เรื่องในอนาคตไม่มีใครบอกอะไรได้ชัดเจน มีความเปลี่ยนแปลงต่างๆ นาๆ ตระกูลเซี่ยโห้วย่อมพยายามเต็มที่เพื่อรับประกันว่าท้องแรกของราชินีสวรรค์จะเป็นลูกชาย


การรับประกันเต็มที่นี้หมายความว่าอะไร แค่คิดก็ทำให้อวิ๋นจือชิวสะเทือนใจจะแย่ เห็นได้ชัดเจนมาก ว่าถ้าท้องแรกเป็นลูกสาว ก็แสดงไม่มีโอกาสได้มาเยือนโลกนี้แล้ว ถ้าราชินีสวรรค์ดวงดีหน่อยก็อาจจะได้รับความทุกข์ทรมานเล็กน้อย แต่ถ้าดวงไม่ดี เกรงว่าหนังท้องของราชินีสวรรค์จะได้รับความทุกข์ทรมานพอสมควร


อวิ๋นจือชิวบ่นให้เหมียวอี้ฟังอย่างทอดถอนใจ ไม่รู้จริงๆ ว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้นั่งตำแหน่งราชินีสวรรค์นั่นแล้วมีอะไรดี เป็นการโดนทรมานทั้งเป็นจริงๆ!


ราชินีสวรรค์ยังไม่ได้ตั้งครรภ์ วังหลังก็มีลมโหมคลื่นซัดแบบนี้แล้ว ถ้าตั้งครรภ์ขึ้นมา แค่คิดก็รู้แล้วว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร


สรุปก็คือ ตอนนี้อำนาจใหญ่ๆ แต่ละฝ่ายจะไม่สนใจเหมียวอี้ ถ้าจะมีอันตรายก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง อย่างน้อยก็ยังไม่มีใครกล้าทำอะไรซี้ซั้วที่ตลาดผี ถ้ามีความเคลื่อนไหวผิดปกติอะไรก็จะทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วสงสัยหนักมาก ดีไม่ดีอาจจะยั่วให้ตระกูลเซี่ยโห้วโจมตีกลับสุดแรงก็ได้ ในตอนนี้ไม่มีใครกล้าทำอะไรบุ่มบ่าม


และในความจริงก็เป็นอย่างนี้จริงๆ ช่วงนี้ทั้งใต้หล้าสงบจนเหลือเชื่อ แต่จะคึกคักกันที่วังหลัง พวกพี่ใหญ่ที่ตำหนักสวรรค์ก็สงบแล้วเช่นกัน ในใต้หล้าก็สงบแล้ว ทำให้คนครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งถึงความหมายแฝงที่อยู่ในนั้น


เหมียวอี้ได้ยินข่าวแล้วทอดถอนใจไม่หยุด นึกไม่ถึงว่าเรื่องราชินีสวรรค์ให้กำเนิดทายาทจะทำให้ตำหนักสวรรค์เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ สายตาของลูกพี่ใหญ่ทุกคนล้วนจับจ้องไปที่หนังท้องของราชินีสวรรค์ ถ้าไม่ใช่เพราะอวิ๋นจือชิวไปช่วยสืบข่าวจากจวนตระกูลโค่ว เกรงว่าเขาคงจะไม่รู้เรื่องบางอย่างเลยจริงๆ


แบบนี้ก็ดี เหมียวอี้จะได้ยังไม่ต้องยุ่งเรื่องพิภพเล็ก ตอนที่กำลังพลชุดแรกยังไม่ได้ลงหลักปักฐานมั่นคงที่แดนอเวจี เหมียวอี้ก็ไม่มีทางส่งกำลังพลชุดหลังออกไปทั้งหมด เขามีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำ ติดต่อกับพระอาจารย์จี้คงของวัดพระกษิติครรภ์แล้ว


“คิคิ!”


ขณะที่จับปอยผมแหย่จมูกเหมียวอี้ พอเห็นเหมียวอี้ย่นจมูกเล็กน้อย เฟยหงก็แอบหัวเราะแล้วเก็บมือ แกล้งนอนหลับอยู่อย่างนั้น


เหมียวอี้ยื่นมือไปดึงเอวเกลี้ยงเกลาที่อ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูกเข้ามาไว้ในอ้อมกอด พอลืมตาขึ้น ดวงตาทั้งสี่ก็สบประสานกัน ในดวงตางามของเฟยหงอมยิ้ม ใบหน้างามเลิศล้ำที่เผยรอยยิ้มที่มาจากใจนั้นน่าหลงใหลมาก เหมียวอี้เห็นแล้วตะลึง


จะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ ว่าหลังจากผู้หญิงคนนี้เปิดเผยสิ่งที่อยู่ในใจออกมา นางก็ได้แสดงความงดงามอย่างแท้จริง เป็นครั้งแรกที่เหมียวอี้เห็นรอยยิ้มที่จริงใจของนาง ยิ้มสวยจนดอกไม้ยังอาย


ข้างกายเขามีผู้หญิงเยอะขนาดนั้น แต่คนที่อยู่ข้างกายเขานานที่สุดก็คงจะเป็นผู้หญิงคนนี้แล้ว ถ้าพูดถึงความสวย ผู้หญิงคนนี้ก็อยู่ในอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย


พอใช้มือไถลตามท้องน้อยที่ราบเรียบลงไปแหวกหญ้าสำรวจ “อือ…” ร่างงามที่เปลือยเปล่าของเฟยหงก็บิดไปบิดมาอย่างควบคุมไม่อยู่ ทำสีหน้าขอร้องให้หยุด ทำให้นางยิ่งดูเย้ายวนใจ เหมียวอี้จับขายาวของนางแยกออก พลิกตัวขึ้นมา ปราบปรามนางอีกครั้ง…


หลังจากทุกอย่างสงบแล้ว เฟยหงที่นอนเปลือยอยู่บนหน้าอกเหมียวอี้ก็กระซิบถามข้างหูว่า “นายท่านจะไปแดนสุขาวดีจริงๆ เหรอคะ?”


เหมียวอี้ใช้มือลูบไล้ไปมาบนแผ่นหลังของนาง “อืม ยังไม่เคยไปเลย อยากจะไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อย”


เฟยหงยกเท้าขึ้นแกว่งไปแกว่งมาอยู่กลางอากาศ “จะพาข้าไปด้วยรึเปล่าคะ?”


“ไม่สะดวกจะพาเจ้าไปด้วย” เหมียวอี้ตอบ


“แล้วข้าบอกหน่วยตรวจการซ้ายได้มั้ยว่าท่านไปที่แดนสุขาวดี?” เฟยหงถาม


เหมียวอี้ตอบว่า “บอกก็ไม่เป็นไร ไปที่นั่นแล้วก็ปิดบังไม่ได้อยู่ดี เออใช่ สาวใช้คนใหม่ที่ฮูหยินเตรียมไว้ให้ เจ้าใช้งานราบรื่นหรือเปล่า?”


“ค่ะ!” เฟยหงตอบด้วยเสียงต่ำเบา พอพูดถึงสาวใช้คนเดิมของตัวเอง นางก็รู้สึกจิตตกอย่างควบคุมไม่ได้ ถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาด  พวกนางก็น่าจะโดนฮูหยินกำจัดทิ้งไปแล้ว


ถึงอย่างไรก็อยู่ด้วยกันมาหลายปี ถึงแม้จะเป็นแค่สาวใช้ แต่ก็ยังมีความผูกพันกันอยู่บ้าง นางพยายามรับประกันแล้วว่าสาวใช้ทั้งสองไม่ได้ติดต่อกับหน่วยตรวจการซ้าย แต่อวิ๋นจือชิวไม่พอใจกับสาวใช้ที่หอนางโลมจัดหามาให้เฟยหง การที่เฟยหงไม่รู้ก็ไม่ได้แปลว่าสาวใช้สองคนนั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยตรวจการซ้าย อวิ๋นจือชิวไม่กล้าเสี่ยงอันตรายนี้ ด้วยความที่ไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด จึงไม่รู้ว่าเอาสาวใช้สองคนนั้นไปกำจัดที่ไหนแล้ว


“เหมียวอี้สังเกตได้ถึงความรู้สึกของนาง จึงตบหลังนางเบาๆ “”ไม่มีใครอยากเป็นคนเลวหรอก ฮูหยินก็ลำบากเหมือนกัน นางหวังดีกับเจ้า””


วันต่อมา เหมียวอี้ที่ปลอมตัวแล้วพาเหยียนซิวออกจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผีผ่านทางใต้ดิน ไปเจอกับพระอาจารย์จี้คงที่วัดพระกษิติครรภ์โดยตรง


ตึกศาลาสัตยพรตไม่อนุญาตให้ขุดทางใต้ดินที่ตลาดผี แต่เหมียวอี้ไม่สนสี่สนแปด แค่แม่ทัพภาคตลาดผีจะขุดทางใต้ดินที่ตลาดผีสักทาง เจ้าก็ไม่พอใจแล้วเหรอ? เขาขุดทางไว้ก่อนแล้ว ทั้งยังขุดเชื่อมโยงไปทั่วทิศ รอให้ตึกศาลาสัตยพรตมาหาถึงที่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน


ทุกๆ หลายปีพระอาจารย์จี้คงจะกลับไปที่แดนสุขาวดีหนึ่งครั้ง หลังจากเหมียวอี้เจอเขาแล้ว ทั้งสองก็ออกไปจากตลาดผีด้วยกัน

 

 

 


บทที่ 1619 อารามแปดทิศ

 

นี่ก็คือข้อดีของการอยู่ที่ตลาดผี ถ้าตัวอยู่ที่อื่น โดยถ้าอยู่ที่กองทัพองครักษ์ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากเบื้องบนก็ไม่มีทางถือวิสาสะออกไปเองได้เลย แน่นอน ถ้าเขาจะแอบไปก็ไม่มีใครทำอะไรได้เช่นกัน แต่ถ้าอยู่ที่ตลาดผี ไม่ได้ถูกควบคุมหลายระดับชั้น ทำให้สะดวกและอิสระกว่าเยอะ เดิมทีจวนแม่ทัพภาคตลาดผีก็มีไว้เฉยๆ อยู่แล้ว


ในดาราจักรอันกว้างใหญ่ อารามขนาดใหญ่มหึมาหลังหนึ่งกำลังลอยเงียบเชียบอยู่กลางอากาศ เปล่งรัศมีสีทองอ่อนๆ ออกมา


ยิ่งใหญ่อลังการ! ไม่มีทางบรรยายระดับความยิ่งใหญ่อลังการของวัดนี้ได้ กลิ่นอายความโบราณเรียบง่ายโผเข้ามาแต่ไกลๆ


วัดนี้ชื่อว่าอารามแปดทิศ สาเหตุที่เรียกว่าอารามแปดทิศ ก็เป็นเพราะรูปแบบของวัดนี้ ทั้งแปดทิศล้วนมีประตูหลักของวัด ประตูหลักของทั้งแปดทิศหน้าตาเหมือนกันทุกอย่าง ไม่ว่าอารามแห่งนี้จะหมุนไปอย่างไร แต่ก็จะต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วยประตูหลักเสมอ


วัดนี้ใหญ่โตขนาดไหนกัน? พอคนมาถึงหน้าประตูก็ไม่ต่างอะไรจากฝุนผงแล้ว


อารามแปดทิศก็คือทางเข้าแดนสุขาวดี ข้างในซ่อนประตูดวงดาวเอาไว้แห่งหนึ่ง ส่วนจะใช้วิธีการอะไรซ่อนประตูดวงดาวเอาไว้ในนั้น พระอาจารย์จี้คงก็อธิบายได้ไม่ชัดเจนเช่นกัน เอาเป็นว่าแค่นี้ก็สามารถพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของอารามแปดทิศได้แล้ว


อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นทางเข้าเดียวที่โลกภายนอกจะเข้าสู่แดนสุขาวดีได้ พอพวกเหมียวอี้เดินทางเข้ามาใกล้ ก็จะเห็นศิษย์สำนักพุทธจำนวนไม่น้อยที่ไปมาหาสู่กับที่นี่


ถึงแม้ชาวพุทธจะมีชีวิตที่สงบสุข แต่ถ้าพูดถึงสถานการณ์ของทางเข้าออกอารามแปดทิศ ก็ยังมีแบ่งระดับด้วย เหมียวอี้ไม่ได้เข้าประตูที่มีคนเยอะที่สุด แต่ขึ้นไปทางระตูข้างบนที่มีนน้อย


ตามที่พระอาจารย์จี้คงบอก เขาเองก็ได้ขึ้นประตูข้างบนไม่บ่อยเหมือนกัน ก่อนหน้านี้แค่เคยติดตามพระชั้นผู้ใหญ่ของแดนพุทธมาก็เลยผ่านได้ ครั้งนี้นับว่าได้อาศัยบารมีของเหมียวอี้แล้ว สาเหตุก็ย่อมเป็นเพราะเหมียวอี้เป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว


เหมียวอี้บอกตระกูลโค่วแล้วว่าจะมาแดนสุขาวดี เขาไม่ได้อยากบอก แต่ช่วยไม่ได้ที่ครั้งก่อนโค่วเจิงได้เตือนเขาไว้แล้ว บวกกับหลังจากมาถึงแดนสุขาวดีแล้วคงปิดหูปิดตาอ๋องสวรรค์โค่วได้ลำบาก ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถปิดบังตัวตนได้เมื่อเข้าสู่แดนสุขาวดี เป็นไปไม่ได้ที่พระอาจารย์จี้คงจะช่วยเขาปิดบังตัวตนเพื่อพาเข้ามา ทำได้เพียงบอกตระกูลโค่วไว้ล่วงหน้า


ตระกูลโค่วไม่ได้จำกัดอิสระของเขา ในเมื่ออยากไปเปิดหูเปิดตาที่แดนสุขาวดี แล้วทางแดนสุขาวดีมีธุระพอดี ให้เหมียวอี้ไปเป็นตัวแทนสักครั้งก็ถือว่าเหมาะสม


แดนสุขาวดีจัดงานวันเกิดครบรอบสองแสนปีให้ ‘พระโพธิสัตว์’ ท่านหนึ่ง เดิมทีตระกูลโค่วจะต้องส่งคนมา บังเอิญว่าเหมียวอี้ต้องการจะไปพอดี การให้ลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วไปร่วมงานวันเกิดของพระโพธิสัตว์ที่มีระดับเทียบเท่าเทพประจำดาว ก็ไม่ถือว่าเสียมารยาทอะไร จึงถือโอกาสไปเสียเลย ทางตลาดผีมีของหายากมาเรื่อยๆ ย่อมมีคนเตรียมเป็นของขวัญวันเกิดให้เหมียวอี้พกมาด้วยอยู่แล้ว


พอพวกเขาเข้าใกล้อารามแปดทิศ ก็รู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดที่เกิดจากการหมุนวนของอารามแปดทิศ


เมื่อเหยียบลงหน้าประตูวัดที่ใหญ่โตมโหฬาร ก็มีคนรอต้อนรับอยู่ข้างนอกแล้ว เป็นนักบวชหญิงคนหนึ่งที่อยู่ระดับพระอาจารย์ใหญ่ บนใบหน้าไร้เครื่องประทินโฉม หน้าตาธรรมดา สวมจีวรตัวใหญ่หลวม มองไม่ออกว่ามีรูปร่างเป็นอย่างไร


นักบวชหญิงหัวโล้นไม่ได้พูดอะไรกับเขามาก ที่น่าสนใจก็คือหลายคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากข้างหลังนางกำลังมองมาทางนี้


หวงฝู่เยี่ยนจากสมาคมวีรชน ด้านหลังคือหวงฝู่ตวนหรงลูกสาวของเขา อู่หนิงลูกเขยของเขา และหวงฝู่จวินโหรวหลานสาวของเขา


ครอบครัวนี้มาร่วมอวยพรวันเกิดให้พระโพธิสัตว์ท่านนั้น หวงฝู่เยี่ยนกับพระโพธิสัตว์ท่านนั้นค่อนข้างสนิทกัน ย่อมต้องมาอยู่แล้ว


เดิมทีหวงฝู่เยี่ยนก็ไม่ได้คิดจะพามาทั้งครอบครัวเช่นกัน หวงฝู่ตวนหรงเองก็ไม่ได้อยากมาด้วย แต่ใครจะไปคิด ว่าอู่หนิงจะบอกว่าอยากพาลูกสาวมาเปิดหูเปิดตาสักหน่อย นางยังนึกว่าอู่หนิงอยากจะจับตาดูการไปมาหาสู่ระหว่างหวงฝู่เยี่ยนกับพระโพธิสัตว์ท่านนั้นเสียอีก จนกระทั่งมาถึงแล้วได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วก็จะมาด้วย นางก็ปวดหัวทันที


นางไม่รู้ชัดว่าลูกสาวอยากจะมาเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือสามีอยากจะมาจับตาดูตระกูลหวงฝู่ อยู่ที่นี่ไม่สะดวกจะถาม


สิ่งที่ทำให้นางลำบากใจที่สุดก็คือ พอหวงฝู่เยี่ยนบิดาของนางได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังจะมาถึง ก็เหมือนสนใจอยากจะพบหน้าสักครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าจะรอเข้าไปด้วยกัน อู่หนิงสามีของนางก็เห็นด้วยเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าสนใจอยากจะเห็นหนิวโหย่วเต๋อ ทำเอานางพูดไม่ออกเลย แต่นางก็ไม่กล้าเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างลูกสาวกับหนิวโหย่วเต๋ออีก


สิ่งที่ทำให้นางแค้นจนกัดฟันกรอดยิ่งกว่านั้นก็คือท่าทีของหวงฝู่จวินโหรว เจ้าเวรที่มันทำให้คนปวดหัวกลับมายืนอยู่ด้านนั้นราวกับไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น


“โหรวโหรว เจ้ารู้จักหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ไปทักทายสักหน่อยล่ะ?” เมื่อเห็นพวกเหมียวอี้กำลังกล่าวทักทายกับผู้ที่มาต้อนรับ จู่ๆ หวงฝู่เยี่ยนก็เอียงหน้าบอกใบ้ เจตนาชัดเจนมาก ต้องการให้หลานสาวพาทำความรู้จัก


หวงฝู่ตวนหรงถลึงตาใส่ลูกสาว แต่หวงฝู่จวินโหรวกลับแสร้งทำเป็นไม่เห็น ตอบว่า “ค่ะ!” เสียงดังฟังชัดแล้วเดินไปทางเหมียวอี้แล้ว


“นายท่านนหนิว!” หวงฝู่จวินโหรวก้าวขึ้นมาย่อตัวคำนับ


เหยียนซิวที่ยืนอยู่ข้างหลังเหมียวอี้ปวดประสาทนิดหน่อย มองเหมียวอี้ด้วยสายตาจนใจ ยอมแพ้ท่านนี้แล้วจริงๆ ก่อนหน้านี้ยังแปลกใจว่าตระกูลโค่วไม่มีคนอื่นแล้วเหรอ ทำไมถึงให้เหมียวอี้มาร่วมงานวันเกิดได้ ที่แท้ก็เป็นเพราะผู้หญิงคนนี้จะมาด้วยนี่เอง สองคนนี้คงไม่ได้แอบนัดกันมาที่แดนสุขาวดีหรอกใช่มั้ย? สำรวมหน่อยไม่ได้รึไง?


เหมียวอี้ชำเลืองมองหวงฝู่ตวนหรงที่กำลังจ้องมาทางนี้ด้วยสายตาเตือนภัย เขารู้สึกกินปูนร้อนท้องนิดหน่อย กลุ้มใจนิดหน่อยเช่นกัน บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้เจอกันในงานเลี้ยง จะมารออยู่ที่นี่กันทำไม? เจ้ายังกล้าวิ่งมาทักทายอีกเหรอ?


“ผู้จัดการหวงฝู่” เหมียวอี้พยายามกุมหมัดคารวะเหมือนไม่เป็นอะไร เมื่ออยู่ต่อหน้าฝูงชนเขาไม่สะดวกจะถ่ายทอดเสียงคุยส่วนตัวกับหวงฝู่จวินโหรว


ทั้งจากทั้งสองทำความเคารพกันแล้ว หวงฝู่จวินโหรวก็ย่อมช่วยแนะนำตามประสงค์ของท่านตา ทั้งคู่เดินตามกันเข้าไป


เหมียวอี้ไม่ลืมที่จะหันกลับไปถ่ายทอดเสียงบอกเหยียนซิวว่า “ครั้งนี้บังเอิญเจอกัน”


คำพูดนี้ให้ความรู้สึกว่า ‘ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง[1]’ เหยียนซิวทำสีหน้าเรียบเฉย ไม่รู้เหมือนกันว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ


ถ้าจะบอกว่าบังเอิญก็บังเอิญ ถ้าจะบอกว่าไม่บังเอิญก็ไม่บังเอิญ เป็นเพราะหวงฝู่จวินโหรวเปลี่ยวเหงาจนทนไม่ไหว ถ้าไปแอบนัดเจอกับเหมียวอี้ที่ตลาดผี เหมียวอี้ก็ย่อมปฏิเสธอยู่แล้ว และตัดสินใจจะคัดค้านการแอบนัดเจอกันในอาณาเขตตัวเอง อ้างเรื่องที่จะต้องไปเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดที่แดนสุขาวดีมาบอกปัดนาง


ได้! หวงฝู่จวินโหรวก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน เจ้าไปงานวันเกิดได้ ข้าก็ไปงานวันเกิดได้เหมือนกัน เหมียวอี้พูดไม่ออกเลย ทำได้เพียงตอบตกลงว่าจะเจอกันในงานเลี้ยง


แต่ว่ากันตามจริง ถึงแม้เหมียวอี้จะกลัวว่าตัวเองกับหวงฝู่จวินโหรวจะก่อเรื่อง แต่ก็เฝ้าคอยจะได้พบเจอกับความเร่าร้อนดั่งไฟของผู้หญิงคนนี้มาก แค่คิดถึงก้นขาวอวบนั่นเขาก็รู้สึกร้อนผ่าวในใจแล้ว แต่เขาก็ไม่อยากจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับพวกหวงฝู่ตวนหรงแล้วจริงๆ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาเขาก็ไม่สามารถจะจบเรื่องนี้ไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าไปมีเรื่องกับสมาคมวีรชนไม่ไหว เพราะอวิ๋นจือชิวก็ไม่ใช่ไก่อ่อนเหมือนกัน ต่อให้โดนตีตายเขาก็ไม่กล้าให้อวิ๋นจือชิวรู้เรื่องของเขากับหวงฝู่จวินโหรว


ไม่ใช่ว่าเขาสู้ไม่ชนะอวิ๋นจือชิว แต่เป็นเพราะเรื่องบางเรื่องนั้นขาดเหตุผลในการแก้ตัว อวิ๋นจือชิวกำลังเป็นตัวประกันอยู่ทางนั้น แต่เขากลับแอบลักกินขโมยกินลับหลัง แบบนั้นจะยืดอกเถียงได้ก็แปลกแล้ว ถ้าโดนซ้อมขึ้นมาก็ไม่ต้องพูดถึงการโต้ตอบเลย คาดว่าแม้แต่ความมั่นใจในการกล่าวแก้ตัวสักประโยคก็ไม่มีด้วยซ้ำ


ตอนนี้เขากำลังอกสั่นขวัญแขวน ไม่รู้ว่าหวงฝู่จวินโหรวอยากจะเล่นบ้าอะไรอีก เขากังวลสุดๆ ว่าหวงฝู่จวินโหรวจะเปิดโปงเรื่องระหว่างพวกเขา


โชคดีที่ผลไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ เพียงแค่ทำความรู้จักก็เท่านั้นเอง เสียแรงที่ตกใจ


เขาส่งสายตาที่แฝงความหมายล้ำลึกให้เหยียนซิวอีกครั้ง ราวกับกำลังบอกว่า ‘เห็นมั้ยล่ะว่าข้าไม่ได้หลอกเจ้า บังเอิญเจอกันจริงๆ’


จะมองเห็นอารมณ์อะไรจากใบหน้าเหยียนซิวได้ล่ะ ไม่มีปฏิกิริยาอะไร!


จากนั้นคนสองกลุ่มก็แยกกัน มีผู้นำทางมาพาคนของตระกูลหวงฝู่ไปก่อน ปฏิกิริยาของหวงฝู่จวินโหรวทำให้เหมียวอี้วางใจ สงบเสงี่ยมและรักษาระยะห่างกับเหมียวอี้ เล่นละครได้เนียนมาก!


สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้กับหวงฝู่ตวนหรงโล่งใจมาก


พอแยกกันแล้ว เหมียวอี้ยังอยากเดินชมอารามแปดทิศก็เป็นเหตุผลหนึ่ง ไม่อยากเดินร่วมกับตระกูลหวงฝู่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งเช่นกัน


นักบวชที่คอยนำทางได้พาพวกเขาเข้ามาข้างในอย่างสุภาพ ในมือถือคำสั่งที่ทำให้ผ่านได้ตลอดทาง พาไปเยี่ยมชมด้านในของอารามแปดทิศด้วยตัวเอง มีหลายจุดมากที่แม้แต่พระอาจารย์จี้คงเองก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้เห็น เห็นได้ชัดว่าการมีตระกูลโค่วหนุนหลังได้แสดงบทบาทแล้ว


ในอารามแปดทิศคล้ายกับเขาวงกตขนาดใหญ่ ถ้าไม่มีคนที่คุ้นเคยนำทางก็จะต้องหลงทางแน่นอน เรียกได้ว่าเป็นวัดที่อยู่ในวัด ข้างในมีวัดใหญ่วัดเล็กอยู่จำนวนมาก ไม่รู้ว่ามีพระสงฆ์มากเท่าไรพักอยู่ในนี้ จะเรียกว่าเป็นผู้พิทักษ์ทางเข้าแดนสุขาวดีก็ได้


สิ่งที่ทำให้คนประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ทุกที่ในวัดเหมือนจะเต็มไปด้วยกลไก บางเส้นทางเดินไปถึงปลายทางแล้ว เห็นอยู่ชัดๆ ว่าถูกกำแพงปิดไว้สนิทแล้ว แต่พอนักบวชใช้มือกดลงไปบนตัวอักษรไม่กี่ตัวบนผนัง ก็ทำให้ผนังเปิดโล่งทันที เห็นเส้นทางข้างหน้าอีกแล้ว


ระหว่างทางถึงขั้นเห็นกับตาว่าทั้งตัวอารามกำลังเคลื่อนย้าย หรือไม่ทั้งตัวอารามก็จมลงและหายไป โครงสร้างกลไกที่ใหญ่ขนาดนี้ทำให้คนรู้สึกทึ่งและประหลาดใจจริงๆ


เมื่อเห็นแบบนี้ เหมียวอี้ก็อยากจะเดินไปดูข้างหน้าต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่กลับถูกนักบวชที่นำทางตะโดนห้ามไว้ทัน “แม่ทัพภาคหนิว ถึงแม้ชาวพุทธจะจิตใจดีมีเมตตา แต่ก็ไม่ขาดวัชรสยบมาร ที่นี่มีกลไกสงบสุข ทุกที่เต็มไปด้วยกลไกที่อันตรายถึงชีวิต ถ้าไม่มีคนนำทางก็อย่าบุกไปไหนซี้ซั้ว!”


เหมียวอี้มองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง


สรุปก็คือเมื่อเดินไปเรื่อยเปื่อยเพียงไม่กี่รอบ ก็พบว่าทั้งอารามแปดทิศก็เหมือนกับของวิเศษขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่ง ขณะที่เหมียวอี้ตกตะลึง ก็เอ่ยถามขึ้นระหว่างทางว่า “ไต้ซือ เกรงว่าอารามแปดทิศแห่งนี้เหมือนจะไม่ต่างอะไรกับของวิเศษ ของวิเศษใช้โตขนาดนี้ เวลาเคลื่อนไหวคงจะสิ้นเปลืองจนน่าตกใจมากเลยใช่มั้ย?”


เมี่ยวฉุนนักบวชที่นำทางตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องให้อาตมาอธิบายหรอก เดี๋ยวตอนหลังแม่ทัพภาคหนิวก็ย่อมรู้เอง”


“อ้อ!” เหมียวอี้พยักหน้า ทำท่าเหมือนเฝ้ารอดู


เมื่อมาถึงบริเวณศูนย์กลางของอารามแปดทิศ และเป็นจุดที่ครอบคลุมประตูดวงดาวอย่างแท้จริง เหมียวอี้ถึงได้เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน เข้าใจแหล่งทรัพยากรที่ขับเคลื่อนอารามแปดทิศแล้ว


มีฟันเฟืองรูปเกลียวขนาดใหญ่ที่สบกันจำนวนมากกำลังหมุนวนเสียงดังกึกๆ ไม่หยุด เมี่ยวฉุนพาพวกเขาเดินมาบนจานกลมใบหนึ่งที่หมุนวนค่อนข้างช้า เป็นจานที่อยู่ระหว่างฟันเฟืองที่เป็นเพลาหมุนรูปเกลียว ขณะมองดูฟันเฟืองใหญ่ตรงหน้ากำลังบดอัดเข้ามาแล้วสบกันพอดี ก็ทำให้คนเกิดความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนจริงๆ ทำให้มีความคิดอยากจะหาที่หลบ


ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นเมี่ยวฉุนกับจี้คงทำสีหน้าเรียบเฉย เหมียวอี้ก็ต้องสงสัยแน่นอนว่าตัวเองโดนลอบวางแผนร้าย


โชคดีที่ตรงระหว่างฟันเฟืองขนาดใหญ่สองอันที่สบกันยังมีพื้นที่วางเพียงพอ คาดว่าให้ยืนพร้อมกันหนึ่งหมื่นคนก็ยังไม่มีปัญหา


หลังจากตำแหน่งยืนของทุกคนย้ายไปตามจานกลมที่อยู่ใต้เท้าพอสมควร แรงดึงมหาศาลกลุ่มหนึ่งก็พลันแทรกซึมเข้ามา ดึงพวกเขาให้ไถลบนผิวโลหะ เมี่ยวฉุนโบกมือคว้ากระสวยทองออกมาและปล่อยลำแสงครอบทุกคนเอาไว้ ทำให้แรงดึงมหาศาลคลายออกทันที


ฟันเฟืองที่สบกันก็มีรอยแยกรอยหนึ่งทันที ชั่วพริบตานั้นลำแสงที่ครอบพวกเขาเอาไว้ก็ดูดพวกเขาออกไปแล้ว


ตรงหน้าก็คือประตูดวงดาวสีกำที่กำลังหมุนวน เหมียวอี้รีบหันกลับไปมองเพลาหมุนหนาแน่นที่หมุนวนไม่หยุดข้างหลังแวบหนึ่ง เข้าใจแล้วว่าแหล่งพลังที่ขับเคลื่อนอารามแปดทิศก็คือแรงดึงมหาศาลของประตูดวงดาว ไม่รู้จริงๆ ว่าทำออกมาได้อย่างไร


ลำแสงที่ครอบคลุมหายไปแล้ว ตัวของพวกเขามาอยู่ที่ดาราจักรอีกผืนหนึ่งแล้ว


…………………………


[1] ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง 此地无银三百两 หมายถึง อยากปกปิดซ่อนเร้น กลับกลายเป็นเปิดเผยให้โลกรู้

 

 

 


บทที่ 1620 พระโพธิสัตว์หลันเย่

 

ดาราจักรฝั่งนี้ดูไม่ต่างอะไรกับดราจักรฝั่งตำหนักสวรรค์


และสถานที่ที่มีคนเข้าออกจำนวนมากขนาดนี้ เมื่อออกมาแล้วสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือถลันหลบไปให้ไกลๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นคนที่ออกตามมาข้างหลังก็อาจจะชนเจ้าได้


พวกเขาถลันหลบไปด้านข้าง เห็นกับตาว่ามีนักบวชทยอยกันออกมาไม่หยุด อย่างมากพวกเขาก็แค่ดึงดุดสายตานักบวชพวกนั้นให้มองมาหลายครั้ง


เหมียวอี้มองไปรอบๆ เรื่องแรกที่ทำก็คือนำแผนที่ดาวออกมาเปรียบเทียบ หลังจากแน่ใจว่ามาถึงแดนสุขาวดีแล้วจริงๆ แน่ใจแล้วว่าแผนที่แดนสุขาวดีมีบันทึกอยู่ในแผนที่ดาวและโล่งใจแล้ว เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของพระโพธิสัตว์ แต่มีจุดประสงค์อีกอย่างหนึ่ง


“แม่ทัพภาคหนิว อาตมายังต้องไปพบท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีอย่างอื่นจะกำชับ อาตมาก็ขอตัวก่อน” พระอาจารย์จี้คงกล่าวขอตัว เขากับเหมียวอี้ไม่ได้ไปทางเดียวกันแล้ว


เดิมทีร่วมทางกันมา ทีแรกเหมียวอี้อยากจะเที่ยวเล่นในแดนสุขาวดีสักหน่อย แต่ใครจะคิดว่าตระกูลโค่วจะแทรกเรื่องงานวันเกิดมาให้เขา ทำให้ฝั่งนี้เตรียมคนมาต้อนรับไว้ต่างหากแล้ว แต่เหมียวอี้ไม่อยากถูกคนสนิทของตระกูลโค่วจับตามอง จึงถามว่า “ไม่ทราบว่าพระอาจารย์จะอยู่ที่แดนสุขาวดีนานเท่าไร?”


“เกรงว่าจะต้องอยู่หลายเดือน” จี้คงตอบ


เหมียวอี้กล่าวทันทีว่า “เช่นนั้นก็ดี ไม่แน่ว่าหลังจากจบงานวันเกิดของพระโพธิสัตว์ ข้าอาจจะไปรบกวนพระอาจารย์ หวังว่าพระอาจารย์จะไม่ปฏิเสธและทิ้งหนิวไว้นอกประตู”


“แม่ทัพภาคหนิวล้อเล่นแล้ว อาตมาจะรออยู่เงียบๆ ก็ได้” จี้คงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม


“ได้! งั้นตกลงตามนี้” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ


จี้คงประนมมือทำความเคารพกลับ แล้วก็ประนมมือกล่าวขอตัวกับเมี่ยวฉุน พอเมี่ยวฉุนประนมมือตอบ จี้คงถึงได้หันตัวหาทิศทางที่แม่นยำแล้วเหาะจากไปอย่างรวดเร็ว


หลังจากมองคล้อยหลังเขาหายไป เมี่ยวฉุนก็เอียงหน้ามองเหมียวอี้ แล้วเริ่มมองประเมินอย่างละเอียด สำหรับลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วท่านนี้ ตอนอยู่ที่แดนสุขาวดีก็ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว ขุนนางเหมียวทำเรื่องที่คนอื่นไม่กล้าทำมาหมดแล้ว จะไม่ให้ชื่อเสียงโด่งดังก็คงแปลก


หลังจากเหมียวอี้หันกลับมามอง  เมี่ยวฉุนถึงได้ยื่นมือเชิญ “แม่ทัพภาคหนิวเชิญตามอาตมามาทางด้านนี้”


“รบกวนแล้ว!” เหมียวอี้ประนมมือตามประเพณี จากนั้นก็ตามนางเหาะไปยังจุดลึกในดาราจักรพร้อมกับเหยียนซิว


ถ้าจะถามว่าอาณาเขตของแดนสุขาวดีหรือตำหนักสวรรค์ใหญ่กว่า สิ่งนี้ไม่มีทางเทียบกันได้ สำหรับทั้งสองแดน ดาราจักรใหญ่ขนาดไหน อาณาเขตของทั้งสองฝ่ายก็ใหญ่เท่านั้น แต่ถ้าจะพูดถึงขอบเขตอำนาจที่ปกครอง ตำหนักสวรรค์ก็ต้องใหญ่กว่าอยู่แล้ว ถึงแม้อาณาเขตของตำหนักสวรรค์จะเต็มไปด้วยศิษย์สำนักพุทธ แต่ศิษย์สำนักพุทธเหล่านี้ก็สนใจแค่ควบคุมดูแลสาวกในโลกมนุษย์ รับเอาพลังปรารถนาของสาวกเท่านั้น ไม่มาเกี่ยวข้องกับการแก่งแย่งผลประโยชน์


แน่นอน ในเมื่อสำนักพุทธยอมถอยให้แล้ว ตำหนักสวรรค์ก็จะต้องถอยเช่นกัน อาณาเขตที่แดนสุขาวดีทำเครื่องหมายเอาไว้ผืนนี้ ตำหนักสวรรค์ก็ไม่มีอำนาจใดๆ ในการควบคุม


ระบบของแดนสุขาวดีก็ไม่ได้เข้มงวดเท่าตำหนักสวรรค์ด้วย พวกวัชระหรือพระโพธิสัตว์อะไรนั่น ถึงแม้ประมุขพุทธะจะแต่งตั้งให้ แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้จำกัดรายชื่อ ขอเพียงวรยุทธ์ถึงระดับที่กำหนดและมีบุญกุศลมากพอ ได้รับพลังปรารถนาในจำนวนที่สอดคล้องกัน ประมุขพุทธะก็อาจจะแต่งตั้งเจ้า


ยกตัวอย่างเช่นอรหันต์ที่มีตำแหน่งเทียบเท่าท่านโหว ตำหนักสวรรค์กำหนดตายตัวไว้เพียงเจ็ดสิบสองโหวเท่านั้น แต่แดนสุขาวดีกลับมีอรหันต์จำนวนแปดร้อย แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ค่อนข้างเหมือนกันแน่นอน นั่นก็คือยิ่งระดับสูงมากเท่าไร คนก็จะยิ่งมีจำนวนน้อย เป็นไปไม่ได้ที่จะมีประมุขพุทธะสองคน


ฉายาที่แดนสุขาวดีตั้งขึ้นก็ไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกว่ากำลังพลที่อยู่ในมือจะเยอะเสมอไป นี่ก็คือจุดที่แตกต่างกันระหว่างแดนสุขาวดีกับตำหนักสวรรค์ ไม่มีใครอาศัยตำแหน่งไปยุ่งเรื่องของคนนอก ทั้งข้างบนข้างล่างแทบจะเป็นความสัมพันธ์แบบการสิบทอดวิชา ใครมีศิษย์ที่ต่อเนื่องลงไปเยอะ ก็แสดงว่าคนนั้นจะมีลูกน้องเยอะ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เจ้ามีทรัพยากรฝึกตนมอบให้เพียงพอ


ทรัพยากรฝึกตนหลักที่แดนสุขาวดีใช้ก็คือพลังปรารถนา ไม่ใช่ว่านักพรตชาวพุทธไม่ใช้พวกยาแก่นเซียน แต่เป็นเพราะเงื่อนไขฝั่งนี้มีจำกัด ไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการควบคุมใต้หล้าเหมือนตำหนักสวรรค์ ยอมขาดแคลนกำลังทรัพย์อยู่แล้ว เมื่อไม่มีกำลังทรัพย์ก็ย่อมหายาแก่นเซียนให้เพียงพอได้ยาก เมื่อไม่มียาแก่นเซียนเพียงพอก็ต้องอาศัยพลังปรารถนาเป็นหลัก


แดนสุขาวดีก็มีโลกมนุษย์ธรรมดาเหมือนกัน แต่อยู่ภายใต้การครอบคลุมของรัศมีสำนักพุทธ มนุษย์ธรรมดาส่วนใหญ่นับถือพุทธ นี่คือจุดที่มีความต่างและความเหมือนกับแต่ละแดนของพิภพเล็ก แต่พิภพเล็กควบคุมมนุษย์ธรรมดายิ่งกว่า ส่วนฝั่งนี้ไม่เข้มงวดเท่าไรนัก


และแดนพุทธก็ยกให้ประมุขพุทธะเป็นใหญ่ที่สุด พลังปรารถนาที่โลกมนุษย์อธิษฐานก็ย่อมพุ่งเป้าไปที่ประมุขพุทธะอยู่แล้ว อำนาจในการแบ่งสรรแหล่งพลังปรารถนาก็อยู่ในมือประมุขพุทธะเช่นกัน อำนาจของฝ่ายตำหนักสวรรค์จะค่อยช่วยควบคุมว่าในวัดแต่ละแห่งได้รวบรวมพลังปรารถนาส่งไปให้ประมุขพุทธะหรือไม่ วัดไหนที่ไม่ส่งให้ประมุขพุทธะก็จะถูกกวาดล้าง


ฝั่งนี้มีอรหันต์ที่อยู่ระดับเดียวกับท่านโหวเยอะมาก พระโพธิสัตว์ที่อยู่ระดับเทพประจำดาวก็ย่อมไม่น้อย นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เหมียวอี้ต้องไปอวยพรวันเกิดให้พระโพธิสัตว์หลันเย่ เพราะปรมาจารย์ของนางก็คือพุทธะจิ้งฮวาที่มีระดับเทียบเท่าอ๋องสวรรค์ของตำหนักสวรรค์ ถ้าไม่มีภูมิหลังอย่างนี้ก็คงรบกวนให้ตระกูลโค่วส่งคนมาร่วมอวยพรวันเกิดไม่ได้


แดนสุขาวดีใช้วิธีการตั้งชื่อดวงดาวเหมือนกับในอาณาเขตตำหนักสวรรค์ ที่อยู่ของพระโพธิสัตว์หลันเย่ก็ชื่อว่าดาวหลันเย่ เป็นจุดหมายปลายทางที่เหมียวอี้เดินทางมาในครั้งนี้


พระอาจารย์ใหญ่เมี่ยวฉุนที่นำทางเหมียวอี้มานับว่าเป็นศิษย์หลานของพระโพธิสัตว์หลันเย่ อาจารย์ของนางก็คือศิษย์สายตรงของพระโพธิสัตว์หลันเย่นั่นเอง


สามารถส่งศิษย์หลานมาต้อนรับนำทางได้ ก็ย่อมไม่แฉยชาอยู่แล้ว


ดาวหลันเย่ เกาะบนทะเลมรกตกระจัดกระจายเหมือนดาวบนท้องฟ้า มีวัดตั้งอยู่หลายแห่ง เมฆหมอกบางลอยอยู่ระหว่างเกาะ เสียงระฆังดังรื่นหูชำระล้างใจคน


อยู่ในช่วงเช้าตรู่พอดี แสงแรกอันเจิดจ้าที่สาดส่องขึ้นมาเหนือผิวทะเลส่องสว่างบนยอดเขาที่สูงที่สุดบนเกาะแห่งหนึ่ง วัดที่อยู่บนยอดเขาสะท้อนแสงสีทองระยิบระยับ ถูกล้อมรอบด้วยแสงแห่งความมงคล ราวกับเป็นยอดเขาทอง


มีคนหนุนหลังก็ย่อมมีข้อดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องจุกจิกวุ่นวาย เหมียวอี้ถูกนำเข้าไปในอารามหลันเย่ที่ใหญ่โตโอ่อ่าโดยตรง


นักบวชหญิงในอารามสวมใส่เครื่องแต่งกายสีเดียวกัน บางคนก็โกนผมแล้ว บางคนก็ฝึกตนโดยที่ยังไว้ผมอยู่ ผู้ที่ยังมีผมผูกผมห้อยไปข้างหลัง


เหยียนซิวที่เดินตามมาตลอดทางถูกกันไว้นอกพระอุโบสถ มีเพียงเหมียวอี้ที่ถูกปล่อยให้เข้าไป


พระอุโบสถถูกสร้างขึ้นโดยใช้พลังปรารถนาบริสุทธิ์ อารามที่มีแสงสีทองเรืองอร่ามทำให้ข้างในดูขาวสะอาดเป็นพิเศษ ในอุโบสถมีพระพุทธรูปประมุขพุทธะขนาดสูงใหญ่ กำลังนังขัดสมาธิชิดผนัง ใต้พระพุทธรูปเป็นฐานดอกบัวสีขาวบริสุทธ์ กลีบดอกบัวซ้อนสูงขึ้นไปเป็นชั้นๆ พระโพธิสัตว์หลันเย่นั่งขัดสมาธิอย่างสง่าอยู่บนนั้น ทางซ้ายและขวามีลูกศิษย์ยืนประนมมืออยู่หลายคน


พระโพธิสัตว์หลันเย่ไว้ผมยาวคลุมหลัง สีหน้าสงบนิ่งภูมิฐาน ดวงตาสดใสเป็นประกาย จ้องประเมินเหมียวอี้ที่เดินเข้ามาในพระอุโบสถโดยตรง


ตอนที่เหมียวอี้เดินเข้ามาก็มองประเมินอีกฝ่ายเช่นกัน พอเดินมาถึงใต้ฐานดอกบัวก็ทำความเคารพ “หนิวโหย่วเต๋อได้รับคำสั่งจากอ๋องสวรรค์โค่วให้มาอวยพรงานวันเกิดมให้พระโพธิสัตว์!” แล้วมอบกำไลเก็บสมบัติให้


ด้านข้างมีคนเข้ามารับของขวัญเอาไว้แล้ว


“ขอบคุณให้เจตนาอันงดงามของอ๋องสวรรค์ หวังว่าจะกลับไปทักทายอ๋องสวรรค์โค่วแทนข้าพเจ้าด้วย” พระโพธิสัตว์หลันเย่สงบนิ่ง


ทั้งสองฝ่ายเริ่มถามตอบกัน ทุกอย่างล้วนอยู่ในกฎและธรรมเนียม นับว่าทำพอเป็นพิธี ทั้งคู่ต่างก็ธรรมเนียมปฏิบัติ จากนั้นเหมียวอี้ก็กล่าวขอตัว


พอออกจากพระอุโบสถแล้ว เมี่ยวฉุนที่รออยู่ด้านนอกก็นำเหมียวอี้และเหยียนซิวออกจากอารามหลันเย่ เหาะไปยังเรือนพักแขกที่เตรียมไว้ใกล้ๆ นี้ หลังจากรออยู่ครึ่งเดือนก็ถึงวันเข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองวันเกิดของพระโพธิสัตว์หลันเย่อย่างเป็นทางการ


ที่นี่ไม่ได้จัดงานโอ่อ่าเหมือนภายนอก เพียงทำพิธีกรรมในวันเกิดเท่านั้น ให้แขกได้สร้างบรรยากาศที่คึกคักด้วยกัน


ที่ลานบ้านขนาดเล็กหลังหนึ่งที่มีประตูเดียว หลังจากเตรียมที่พักเรียบร้อยแล้ว เมี่ยวฉุนกับเหยียนซิวก็แลกเปลี่ยนระฆังดาราเพื่อให้สะดวกในการติดต่อกัน หากมีเรื่องอะไรก็สามารถติดต่อหานางได้ทุกเมื่อตอนนี้นางมีหน้าที่ดูแลเหมียวอี้โดยเฉพาะ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับการปฏิบัติอย่างนี้ การที่สามารถให้ศิษย์หลานของพระโพธิสัตว์หลันเย่มาดูแลด้วยตัวเองได้ อีกทั้งมี่ยวฉุนก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอาจารย์ใหญ่ด้วย ที่เหมียวอี้ได้รับการดูแลแบบนี้ก็เพราะมีอ๋องสวรรค์โค่วหนุ่นหลัง ต่อให้เป็นทางด้านตระกูลหวงฝู่ก็มีแต่พระและแม่ชีระดับล่างดูแลเท่านั้น


แต่ไม่นานคนของตระกูลหวงฝู่ก็มาแล้ว หวงฝู่จวินโหรวมาหาถึงที่ นางสวมกระโปรงยาวสีม่วงที่เผยให้เห็นเค้าโครงเรือนร่างอันงดงาม คนก็หน้าตาสวยจริงๆ ทั้งยังมีสง่าราศีดีด้วย


เหยียนซิวที่เฝ้าอยู่ในลานบ้านหลุบตาลง แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นว่าหวงฝู่จวินโหรวเดินไปที่ห้องนอนของเหมียวอี้ เขาไม่อยากจะเห็นเลยจริงๆ เพียงหวังว่าท่านที่อยู่ในห้องจะมีสำนึกหน่อย มองดูให้ชัดเจนว่าที่นี่คือที่ไหน


ที่จริงตอนที่หวงฝู่จวินโหรวเห็นเหยียนซิวก็รู้สึกอับอายเช่นกัน ถึงอย่างไรเหยียนซิวก็ไม่ได้เป็นพยานเห็นนางกับเหมียวอี้ลักลอบพบกันเป็นครั้งแรก นางเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ยังมียางอายในใจอยู่บ้าง แอบมาเล่นชู้กับผู้ชายที่มีภรรยาอยู่แล้วมันเป็นเรื่องที่น่าสรรเสริญนักเหรอ?


แต่หลังจากก้าวเข้าประตูมาเจอเหมียวอี้แล้ว ท่าทางสง่าภูมิฐานของนางยามอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็เปลี่ยนไปทันที นางกัดริมฝีปากเล็กน้อย ดวงตางามกำลังมองเหมียวอี้อย่างออดอ้อน ใช้สองมือเอื้อมไปใส่กลอนประตูข้างหลังอย่างช้าๆ จากนั้นเดินเนิบนาบเข้ามาหาเหมียวอี้


เหมียวอ้าดเหงื่อทันที เพราะเขาไม่อยากเจอกับหวงฝู่จวินโหรวที่นี่ แต่หวงฝู่จวินโหรวส่งข้อความมาหาเขาไม่หยุด เขาไม่มีทางเลือกจึงทำได้เพียงบอกที่อยู่นางไป แต่ดูจากท่าทางของนางแล้ว เหมือนจะไม่ได้อยากเจอหน้าอย่างเดียว


“เจ้าจะปิดประตูทำไม? ถ้าใครมาเห็นเข้า ต่อให้ไม่ได้ทำอะไรกันแต่ก็จะอธิบายได้ไม่ชัดเจนแล้ว” เหมียวอี้กระวนกระวายนิดหน่อย โบกมือเตรียมจะร่ายอิทธิฤทธิ์เปิดประตู


หวงฝู่จวินโหรวกลับมากดมือเขาเอาไว้ ร่างงามเข้ามาแนบชิดในอ้อมอกของเหมียวอี้อย่างช้าๆ ใช้แขนสองข้างคล้องคอเหมียวอี้ ร่างกายแนบชิดกันแล้ว นางตอบด้วยตาที่เป็นประกายหยาดเยิ้ม “ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แล้วเจ้าจะกลัวอะไรล่ะ? แล้วอีกอย่าง…เจ้าไม่อยากทำอะไรสักหน่อยจริงๆ เหรอ?”


“เจ้าอย่าทำซี้ซั้ว!” เหมียวอี้ดึงแขนนางออกอย่างกังวลนิดหน่อย


ผลปรากฏว่าหวงฝู่จวินโหรวคล้องคอเขาไว้ไม่ยอมปล่อย ใบหน้าแดงเรื่อเล็กน้อย พ่นลมหายใจหอมกระซิบถามว่า “คิดถึงข้ารึเปล่า?”


“จวินโหรว อย่าทำอย่างนี้ ข้างนอกมีคน เสียงได้ยินไปถึงขนาดนอกเลยนะ”


“ใช่ว่าลูกน้องเจ้าจะไม่รู้เรื่องระหว่างเราสักหน่อย”


“อย่าทำอย่างนี้สิ ถ้าโดนแม่เจ้าจับได้จะไม่แย่หรอกเหรอ”


“ขนาดข้ายังไม่กลัวเลย เจ้าจะกลัวอะไร? เจ้าคิดว่านางไม่รู้เหรอว่าตอนหลังพวกเรามาอยู่ด้วยกันอีกแล้ว? ที่จริงนางก็เป็นคนผลักข้ามาอยู่ข้างกายเจ้าเอง…” พูดไปพูดมา หวงฝู่จวินโหรวที่เกิดอารมณ์ปรารถนาก็เขย่งเท้า เอาปากแดงเล็กของตัวเองประกบบนริมฝีปากเหมียวอี้แล้ว เป็นฝ่ายจูบเขาก่อน ร้อนแรงดั่งไฟ


เป็นอย่างที่นางบอก ตั้งแต่โดนหวงฝู่ตวนหรงผลักกลับมาอยู่ข้างกายเหมียวอี้ ผู้หญิงคนนี้ก็หมดความกังวลไปแล้วชั้นหนึ่ง เมื่อมีการบุกทะลวงทางด้านความรู้สึกได้แล้วหนึ่งชั้น หลังจากปลดปล่อยออกมาแล้ว อารมณ์ของนางก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น เดิมทีการแอบลักลอบก็เร้าใจกว่าการทำอย่างสง่าผ่าเผยอยู่แล้ว ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ตอนนี้นางไม่กลัวมารดานางแล้วจริงๆ อย่างน้อยกับเรื่องแบบนี้นางก็ไม่กลัวเลยสักนิด นางสังเกตเห็นว่ามารดานางพยายามหลบเลี่ยงไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อหน้านาง เห็นได้ชัดว่ารู้สึกผิดต่อลูกสาว เป็นเพราะไม่มีหน้าจะมาพูดอะไรกับลูกสาวอีกแล้วจริงๆ


“ไม่ได้!” ถึงแม้จะโดนยั่วจนรู้สึกกระเหี้ยนกระหือรือ แต่เหมียวอี้ก็ยังออกแรงผลักนางออก เขาไม่มีความกล้าที่จะทำซี้ซั้วที่นี่จริงๆ เขาเพิ่งจะมาถึง ยังไม่ทันรู้ถึงสถานการณ์ของที่นี่ชัดเจนเลย จะกล้าทำเรื่องอย่างนั้นกับนางได้อย่างไร แบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับคนบ้าแล้ว


หวงฝู่จวินโหรวโดนผลักจนโซเซไปข้างหลัง หลังจากยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว นางก็ก้มหน้าช้าๆ ความเร่าร้อนในใจโดนน้ำเย็นสาดจนดับแล้ว นางถามเสียงต่ำว่า “เจ้ารังเกียจที่ข้าไร้ยางอายมาเกาะแกะเจ้าใช่มั้ย?”


“ข้า…” เหมียวอี้เปลี่ยนเป็นกล่าวอย่างจนใจว่า “ข้าหมายถึงเราทำกันที่นี่ไม่ได้ เจ้าไม่ดูเสียบ้างว่าที่นี่ที่ไหน ดาวหลันเย่ก็มีโลกมนุษย์เหมือนกัน ไปเดินเล่นกันที่โลกมนุษย์ดีกว่า ข้าอยากจะเห็นพอดีว่าโลกมนุษย์ของที่นี่เป็นยังไงบ้าง”


ตอนนี้หวงฝู่จวินโหรวถึงได้เปลี่ยนอารมณ์จากโมโหเป็นดีใจ นางเงยหน้ากลอกตามองเขา แล้วพยักหน้าบอกว่า “เดี๋ยวข้าจะบอกแม่ข้าก่อน”


“ได้!” เหมียวอี้รีบโบกมือร่ายอิทธิฤทธิ์ผลักประตูออก รีบเร่งฝีเท้าเดินออกไป ไม่กล้าปิดประตูอยู่ด้วยกันนานให้คนสงสัย


หลังจากออกประตูมาแล้วสบตากับเหยียนซิวที่เฝ้าอยู่ในสวนด้านนอก ในใจเหมียวอี้ก็ค่อนข้างอับอาย เหยียนซิวหันหน้าหนีทำเป็นไปรู้อะไรทั้งนั้น ถึงอย่างไรเขาก็ยุ่งไม่ได้อยู่แล้ว


ไม่นานหวงฝู่จวินโหรวก็ออกมา แล้วบอกด้วยสีหน้ากลุ้มใจว่า “แม่ข้าพาพ่อข้ามาแล้ว”


“หา!” เหมียวอี้เบิกตากว้าง “พวกเขาจะมาทำไม? เจ้าบอกเหรอว่าข้าอยู่ที่นี่?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)