ลำนำบุปผาพิษ 1616-1621

 บทที่ 1616 เมื่อก่อนเธอก็อยู่ใกล้เทพแห่งความตายถึงเพียงนี้


เธอตรวจสอบภายในห้องโดยสารดูรอบหนึ่งตามสัญชาตญาณ ไม่พบร่องรอยว่ามีคนนอกเข้ามา เธอส่ายหัว ดูท่าว่าเธอคงจำผิดหรือไม่ก็ละเมอไป…


เธอมองหมอนอิงใบนั้นเหม่ออยู่ครู่หนึ่ง เธอย่อมทราบดีว่าตนกอดหมอนอิงนี้ด้วยคิดว่าเป็นผู้ใด


ผ่านไปสักพัก จู่ๆ ฝ่ามือเธอพลันกดลงบนหมอนอิง ด้วยเหตุนี้หมอนอิงที่เธอกอดซบหลับใหลมาตลอดคืนจึงเป็นเถ้าถ่านสลายหายไป


เธอจะต้องแก้ไขความเคยชินในการกอดคนยามหลับของตนให้ได้ แม้ว่าจะเป็นการหาสิ่งทดแทนก็ไม่ได้!


หลังจากทำลายหมอนอิงไปแล้ว จู่ๆ เธอก็คล้ายว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ยกข้อมือขึ้นมาดู ก่อนหลับไปข้อมือของเธอปวดจนเสียดแทงไปถึงหัวใจ ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้จะไม่เจ็บสักนิดแล้ว!


เธอแกะผ้าพันแผลตรงข้อมือออก พบว่าแผลจากมีดนั้นเหลือเพียงขีดเล็กๆ สีแดงจางๆ ถ้าไม่สังเกตให้ละเอียดก็แทบจะมองไม่เห็นเลย


เธอตะลึงไป พรูลมหายใจออกมา


ดูเหมือนพิษของคมมีดภายในรถจะไม่นับว่าร้ายแรงเท่าไหร่ แค่ทำให้เธอเจ็บปวดมากหน่อยอยู่ครึ่งคืนเท่านั้น ความเร็วในการรักษากลับรวดเร็วกว่าความเร็วปกติของยาตัวนี้…


เธอขยับข้อมือดูเล็กน้อย เมื่อยืนยันแล้วว่าไม่มีความผิดปกติ จึงโยนผ้าพันแผลทิ้งไป เดินออกมาจากรถม้า ไปจัดการธุระของตนต่อ


ทะเลสาบแห่งนั้นไม่นับว่าใหญ่เกินไป ผ่านไปสองวัน ก็มองเห็นก้นทะเลสาบนั้นแล้ว กู้ซีจิ่วกับคนงานยืนอยู่บนฝั่งทะเลสาบ มองดูก้นทะเลสาบที่แห้งขอด แต่ละคนล้วนตกตะลึงพรึงเพริด


ในทะเลสาบมี ‘ปลาวิญญาณอาฆาต’ อยู่นับหลายร้อยตัว! ปลาเหล่านี้ดีดดิ้นอย่างไม่พอใจอยู่ในโคลนตม และในโคลนตมก็มีท่อนกระดูกขาวโพลนกระจัดกระจายอยู่นับไม่ถ้วน ไม่ทราบเช่นกันว่ามีอยู่กี่โครง…


ไม่จำเป็นต้องถามเลย ทะเลสาบแห่งนี้เป็นสถานที่ผลิตวิญญาณแค้นของหรงเช่อเมื่อปีนั้น เขาโยนคนลงไปในทะเลสาบ ให้ถูกปลาวิญญาณอาฆาตกัดกิน ก่อตัวเป็นวิญญาณแค้นให้เขาใช้ประโยชน์


โครงกระดูกที่มหาศาลที่กองอยู่ก้นทะเลสาบก็คือหลักฐานที่ดีที่สุด!


ฝ่ามือของกู้ซีจิ่วก็มีเหงื่อเย็นเฉียบผุดพรายออกมาเช่นกัน ปีนั้นเธอไปมาหาสู่กับหรงเช่อ ยามที่มาเยี่ยมเยือนเขา เคยเดินเคียงข้างเขาเดินเล่นพูดคุยกันที่ริมทะเลสาบแห่งนี้ด้วย ถึงขั้นที่เคยล้างมือในทะเลสาบ…


ที่แท้เมื่อก่อนเธอก็อยู่ใกล้เทพแห่งความตายถึงเพียงนี้!


หากว่าหรงเช่อในยามนั้นมีจิตคิดสังหารเธอ ก็แค่ผลักเธอลงไปในน้ำ…


ถ้าเป็นเช่นนั้นยามนี้เธอก็คงเป็นหนึ่งในโครงกระดูกของทะเลสาบแห่งนี้แล้ว!


แปลกจริง ในทะเลสาบนี้มีคนสิ้นชีพมากมายถึงเพียงนี้ วิญญาณอาฆาตย่อมมีไม่น้อยเช่นกัน เมื่อก่อนตอนเธอเดินเล่นริมทะเลสาบกลับจับสัมผัสไม่ได้สักนิดเลย…


วิญญาณแค้นเหล่านั้นเมื่อถูกหรงเช่อใช้ประโยชน์เสร็จก็จัดการไปเลยใช่ไหมนะ?


คนผู้นี้ในยามนั้นดูสุภาพสง่างาม เฉียบแหลมเจ้าสำราญ เคยได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งให้สี่ยอดคุณชายแห่งเมืองหลวง ผู้ใดจะคาดคิดกันเล่าว่าเขาจะเป็นมารร้ายเช่นนี้?


เงาร่างของตี้ฝูอีแวบขึ้นมาในสมองเธอ คนผู้นี้ความคิดลึกล้ำเสมอมา จู่ๆ เขาก็มาตกปลาในจวนของเธอคงไม่ใช่การทำไปส่งเดช หรือจะตั้งใจใช้โอกาสนี้เตือนเธอให้ระวังทะเลสาบกินคนแห่งนี้?


นี่เขาหวังดีต่อเธอหรือ?


ใช่ไหม?


ในใจของกู้ซีจิ่วผันผวนดั่งระลอกคลื่นในมหาสมุทร จู่ๆ ก็นึกอยากเจอหน้าเขาขึ้นมา


ตัวเธอก็ไม่ทราบเช่นกันว่าสรุปแล้วอยากเจอหน้าเขาไปทำไม แต่ความคิดนี้พอผุดขึ้นมาแล้วระงับไว้ไม่ได้อีก


เธอสูดหายใจเบาๆ วันหน้าคงมีโอกาสได้พบเขาอีก…


….


เรื่องที่หรงเช่อเป็นมารปีนั้น หรงเจียหลัวเห็นแก่ความเป็นพี่น้อง จึงปกปิดไว้ ปวงประชาจึงไม่ทราบเรื่อง


ข้ารับใช้มากมายที่ได้เห็นโครงกระดูกจำนวนมากในทะเลสาบแห่งนี้ต่างตกตะลึง นึกไปว่านี่เป็น ‘ผลงาน’ ของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอม แต่ละคนต่างขุ่นเคืองในความอยุติธรรม


กู้ซีจิ่วไม่ได้พูดอะไร เพียงสั่งให้คนนำ ‘ปลาวิญญาณอาฆาต’ เหล่านั้นขึ้นมา ใช้ไฟเผาทั้งหมดให้หมดจด จากนั้นก็งมโครงกระดูกในทะเลสาบขึ้นมาจนสิ้น แล้วจัดหาสถานที่สำหรับฝังศพ


….


วันคืนดุจกระสวยทอผ้า กาลเวลาผันผ่าน พริบตาเดียวก็ผ่านไปห้าเดือนแล้ว


————————————————————————————-


บทที่ 1617 ค่อยๆ จืดจางลง


ในระยะเวลาห้าเดือนนี้ ยังคงมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้น อย่างเช่นในที่สุดอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยก็ก่อตั้งอาณาจักรขึ้นใหม่ได้แล้ว ดินแดนที่เคยถูกอาณาจักรเจาหยางและอาณาจักรเฟยซิงยึดไป ต่อมาด้วยโองการของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสองอาณาจักรต่างต้องส่งมอบพื้นที่ส่วนใหญ่ออกมา ถึงแม้จะไม่มีดินแดนกว้างขวางเท่าในอดีต แต่ไม่มีปัญหาสำหรับการก่อตั้งอาณาจักร


เชียนหลิงอวี่ถูกสถาปนาขึ้นเป็นจักรพรรดิ ตระกูลเชียนเรืองอำนาจ ประกอบกับอิทธิพลของเชียนหลิงอวี่ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์รวมถึงสายสัมพันธ์ของเขากับกู้ซีจิ่ว ด้วยเหตุนี้ราษฎรชาวเฮ่าเยวี่ยรวมถึงตระกูลสูงศักดิ์ที่เหลือจึงค่อนข้างยอมรับนับถือต่อการขึ้นเป็นจักรพรรดิของเขา ผนวกกับเขาเป็นจักรพรรดิที่ได้รับการแต่งตั้งจากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ย่อมกลายเป็นหนึ่งคนร้องร้อยคนขานรับเป็นธรรมดา ไม่มีการคัดค้านโต้แย้ง


แน่นอน ถึงอย่างไรอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยก็เคยแตกพ่ายมาก่อน มีปัญหาให้สะสางมากมาย เชียนหลิงอวี่จึงยุ่งอย่างยิ่ง


ถึงแม้เขาจะไม่ใคร่เข้าใจวิถีจัดรพรรดินัก แต่ถึงอย่างไรเขาก็ฉลาดเฉลียว ประกอบกับในตระกูลและในอาณาจักรของเขามีกุนซืออยู่ไม่น้อย ค่อยชี้แนะวางแผนให้เขา อีกทั้งเขามานะใฝ่เรียน จึงไม่ถึงกับเป็นจักรพรรดิผู้เลอะเลือน…


อีกตัวอย่างคือในช่วงห้าเดือนมานี้สงครามทั้งหมดล้วนสงบลงแล้ว ในที่สุดประชาชนก็ได้พักผ่อนฟื้นตัว


ห้าเดือนมานี้กู้ซีจิ่วไม่เคยได้พบหน้าตี้ฝูอีกเลย คนผู้นี้ราวกับหายสาบสูญไปแล้ว ไม่มีผู้ใดทราบเบาะแสของเขาเลย


และในช่วงห้าเดือนนี้ชื่อเสียงของกู้ซีจิ่วก็สูงส่งขึ้นยิ่งกว่าเดิม กลบชื่อของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่ว่ากู้ซีจิ่วจะไปไหน ล้วนมีเสียงแซ่ซ้องยินดี


ยามที่ผู้คนพบปัญหายุ่งยาก คนที่นึกถึงเป็นอันดับแรกไม่ใช่ตี้ฝูอีอีกต่อไป แต่เป็นกู้ซีจิ่ว….


เนื่องจากปกติแล้วตี้ฝูอีมักจะหายตัวไปครึ่งเดือนหนึ่งปีอยู่แล้ว ดังนั้นเขาไม่ปรากฏตัวนานถึงเพียงนี้ ก็ไม่มีใครคิดว่าผิดปกติอะไร


ถึงขั้นที่ว่าหากไม่มีใครตั้งใจเอ่ยถึงขึ้นมา ก็ไม่มีใครนึกถึงเลย…


อันที่จริงเรื่องราวในโลกก็เป็นเช่นนี้แล หากว่าคนผู้นั้นไม่อาจหาผู้ใดมาแทนที่ได้ ประชาชนจะไม่มีทางลืมเขา


แต่หากว่ามีคนที่สามารถแทนที่คนผู้นี้ได้ เช่นนั้นเมื่อเวลาล่วงเลยไปนาน ตัวตนของเขาในใจปวงชนก็จะค่อยๆ จืดจางลง


ระยะเวลาห้าเดือนจะว่านานก็ไม่นาน จะว่าสั้นก็ไม่สั้น กู้ซีจิ่วล้วนยุ่งง่วนอยู่ทุกวัน


และดูเหมือนว่าในที่สุดเธอก็ก้าวออกมาจากเงามืดของความรักครั้งนั้นได้แล้ว พบปะรวมตัวกับเพื่อนฝูงอยู่เสมอ พบหน้าสหายคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง บางครั้งก็ถึงขั้นที่แปลงโฉมออกไปท่องเที่ยวเขตชานเมืองกับเหล่าสหายด้วย…


เธอไม่ได้นอนไม่หลับตลอดทั้งคืนอีกต่อไปแล้ว นางนอนหลับสบายยิ่งนัก ส่วนใหญ่แล้วสามารถนอนยาวๆ ได้จนถึงฟ้าสาง


แน่นอนว่าเธอจะต้องนอนพักผ่อนแค่ในรถม้าหยกขาวคันนั้นเท่านั้น สถานที่อื่นเธอยังคงข่มตาหลับไม่ลงอยู่เช่นเดิม…


บนโลกนี้ไม่มีอุปสรรคใดที่ข้ามผ่านไปไม่ได้ และไม่มีสิ่งใดที่ไม่จางหายไปตามกาลเวลา เมื่อหลัวจั่นอวี่เห็นความเปลี่ยนแปลงของกู้ซีจิ่วก็รู้สึกปีติยินดียิ่งนัก


เธอที่พบพานการถูกหักหลังมาแล้วมีสติฮึกเหิมกว่าเมื่อก่อนมาก บางทีเธอคงอยากให้ชีวิตให้ดี ให้คนผู้นั้นได้เห็น ทำให้คนผู้นั้นรู้ว่าเธอใช่ว่าจะขาดเขาไม่ได้ ไม่มีเขาเธอก็ยังมีชีวิตอยู่ดียิ่ง


ดังนั้นเธอจึงมุมานะกว่าแต่ก่อน รู้จักบ่มเพาะขุมกำลังของตนแล้ว ด้วยการสนับสนุนของเธอไป๋หลี่เช่อได้ก่อตั้งสำนักสันโดษขึ้น แกนนำหลักของสำนักก็คือคนที่เธอพาออกมาจากเขตหวงห้ามเหล่านั้น


เนื่องจากสำนักนี้มีจุดตั้งต้นสูงส่ง ปรมาจารย์ในสำนักล้วนเป็นผู้ที่บรรลุขั้นเก้าขึ้นไป ย่อมมีผู้คนแห่แหนมากราบกรานเข้าสำนักเป็นธรรมดา ภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือนก็คัดเลือกศิษย์อัจฉริยะได้หลายร้อยคน กลายเป็นสำนักที่เลื่องชื่อยิ่งนักแห่งหนึ่ง


เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง สำนักนี้จะสามารถประชันทัดเทียมกับสำนักอื่นๆ ได้แน่นอน


ถึงแม้ไป๋หลี่เช่อจะเป็นเจ้าสำนักของสำนักสันโดษ แต่หัวหน้าใหญ่ที่ไม่ออกหน้าทุกคนยังคงเป็นกู้ซีจิ่ว ถ้ามีเรื่องใหญ่อันใดขึ้นมาจริงๆ ก็ยังต้องเชิญเธอมาตัดสินใจ


กล่าวได้ว่าสำนักสันโดษเป็นองค์กรที่ภักดีต่อกู้ซีจิ่วที่สุด และเป็นกองหนุนที่แข็งแกร่งของเธอ


บทที่ 1618 นี่คือภาพสะท้อนวันคืนในอนาคตของเธอหรือ?


ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ ฐานะของกู้ซีจิ่วสูงส่งขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้เธอจะไม่ยอมรับว่าเป็นคนของเผ่าเงือก แต่ประมุขเผ่าเงือกกลับนับว่าเธอเป็นพี่สาว มาเที่ยวเล่นที่จวนของกู้ซีจิ่วแทบจะเดือนละครั้ง


และในสามอาณาจักรก็มีจักรพรรดิที่เป็นสหายของเธอไปแล้วสองคน จักรพรรดิของอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยย่อมไม่คิดจะถูกทิ้งให้เดียวดาย ส่งทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับเธออย่างต่อเนื่องเช่นกัน…สานุศิษย์สวรรค์ทั้งหมดนอกจากฮวาอู๋เหยียนที่เขม่นเธออยู่ตลอดแล้ว ความสัมพันธ์ของเธอกับอีกสามคนที่เหลือยังคงดียิ่งนัก


ต่อให้เป็นฮวาอู๋เหยียน ก็เพียงเพราะรู้สึกว่ากู้ซีจิ่วแย่งชิงความโดดเด่นของตี้ฝูอีไป ในใจขุ่นเคืองก็แค่ไม่สนใจกู้ซีจิ่วเสียเท่านั้น ไม่ได้เล่นเล่ห์อันใดกับกู้ซีจิ่ว


กล่าวโดยรวมแล้ว ระยะนี้วันคือของกู้ซีจิ่วผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น ดูสบายใจยิ่งนัก



ปีใหม่เวียนมาถึงอีกแล้ว


ปีใหม่ปีนี้ปวงประชาคึกคักกันเป็นพิเศษ


ประชาชนที่เคยได้ลิ้มรสความทุกข์ทนขมขื่นจากศึกสงครามต่างทะนุถนอมความสงบสุขในยามนี้ยิ่งนัก ปีแห่งสันติภาพปีแรกย่อมคึกคักเร่าร้อนเป็นธรรมดา


จวนทูตสวรรค์ของกู้ซีจิ่วก็คึกคักอย่างยิ่งเช่นกัน แขวนโคมติดกระดาษไว้ทั่ว แทบทุกคนล้วนยิ้มแย้มเบิกบาน


กู้เซี่ยเทียนยิ้มแย้มทั้งวันจนใบหน้ายับพับเป็นจีบแล้ว


ช่วงหลายเดือนนี้ของเขาผ่านพ้นไปอย่างน่าพึงใจเป็นที่สุด ดูแลจัดการทุกอย่างในจวนได้ ถึงแม้หนทางในการตามตื๊อภรรยาจะยังคงยาวไกล แต่โชคดีที่เดี๋ยวนี้หลัวซิงหลานไม่ได้ตีสีหน้าเย็นชาใส่เขาถึงเพียงนั้นแล้ว บางครั้งยังเปิดปากพูดกับเขาประโยคสองประโยคด้วย ถึงแม้จะเป็นเพียงการพูดคุยเรื่องบุตรธิดาเท่านั้น ก็ทำให้เขาปีติยินดียิ่งนักแล้ว


เนื่องจากมีปรมาจารย์หลอมโอสถระดับสูงอย่างกู้ซีจิ่วอยู่ มักจะหลอมโอสถล้ำค่าจำนวนหนึ่งให้พวกเขากินอยู่เสมอ ดังนั้นพลังวิญญาณของกู้เซี่ยเทียนจึงเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว และการที่พลังวิญญาณเพิ่มสูงขึ้น ทำให้รูปโฉมของเขาเปลี่ยนแปลงไปบ้างเช่นกัน ดูอ่อนเยาว์ลงเล็กน้อย มีกำลังวังชาขึ้นกว่าเดิม


และถึงแม้ว่าลูกชายจะไม่ยอมรับเขา แต่อย่างไรก็ได้พบหน้าค่าตากันอยู่เสมอ กู้เซี่ยเทียนมักจะหาโอกาสตามไปพูดคุยเอาใจหลัวจั่นอวี่อยู่เสมอ จัดการนู่นจัดการนี่ให้เขา หลัวจั่นอวี่ก็เบื่อจะตีหน้าเย็นชาอยู่เสมอใส่บิดาคนนี้แล้ว ดังนั้นจึงพูดคุยกับกู้เซี่ยเทียนบ้างไม่กี่ประโยคเป็นครั้งคราว


สรุปโดยรวมคือ ทุกอย่างล้วนพัฒนาไปในทิศทางที่ดี


ยามเที่ยงในวันส่งท้ายปีเก่า หรงเจียหลัวได้จัดงานเลี้ยงใหญ่ให้เหล่าขุนนาง ทุกคนที่มีหน้ามีตาล้วนได้รับเทียบเชิญทั้งสิ้น


งานเลี้ยงของจักรพรรดิ ทุกคนย่อมต้องไว้หน้า นอกจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีแล้ว ทุกคนมากันทั้งสิ้น ถึงขั้นที่แม้แต่หลงซือเย่ก็มาด้วย ผู้คนพร้อมหน้าอย่างเหนือธรรมดา


อาภรณ์หอมจรุง ผู้คนชื่นมื่นสังสรรค์


งดงามเพริศแพร้ว คึกครื้นอย่างยิ่ง


กู้ซีจิ่วนั่งอยู่ที่โต๊ะ มองผู้คนเต็มห้องโถง จู่ๆ ก็รู้สึกหว้าเหว่ขึ้นมา รู้สึกแปลกแยก ผู้คนที่คลาคลำอยู่ในห้องโถงนี้เธอล้วนรู้จักทั้งสิ้น แต่คนที่เธออยากพบหน้าที่สุดในจิตใต้สำนึกกลับไม่อยู่ที่นี่…


ยามที่คนผู้นั้นปรากฏตัว ทุกคนในที่แห่งนี้ล้วนคล้ายว่ากลายเป็นฉากหลังขับเน้นเขา ยามนนี้เหล่าฉากหลังยังคงอยู่ แต่ไยเขาจึงไม่มาปรากฏเล่า?


ทุกคนล้วนมากันสิ้น ทำไมเขากลับไม่มา?


น่าชังนัก!


เธอนั่งอยู่ที่โต๊ะจัดเลี้ยง หยักยิ้มละไม ดื่มสุราที่ผู้อื่นมาคารวะ และคารวะสุราผู้อื่นเช่นกัน ได้ยินบางคนเล่าเรื่องตลกอยู่ด้านข้างเธอจึงหัวเราะเออออไปด้วย…


เธอดื่มสุราไปอีกจอก เหลียวมองความวิจิตรเพริศแพร้วภายในตำหนักใหญ่ จู่ๆ ก็รู้สึกหวั่นเกรงอยู่บ้าง!


นี่คือภาพสะท้อนวันคืนในอนาคตของเธอหรือ?


เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าในตำหนักอบอุ่นคึกคัก ทว่าเธอกลับรู้สึกเหน็บหนาวอย่างที่ยากจะเอื้อนเอ่ย…


สวมครอบกวานเปี่ยมอำนาจ ถึงฆาตเดียวดายอับเฉา[1] นั่นคือความเดียวดายประการหนึ่งท่ามกลางความรุ่งเรือง ความหนาวเหน็บแผ่ซ่านออกมาจากกระดูก


ตี้ฝูอี ไม่มีเจ้าข้ายังก้าวผ่านไปได้ดียิ่งนัก เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าผ่านไปได้ด้วยดีหรือไม่?


แล้วยามนี้เจ้าไปลอยชายอยู่ที่ใดกัน?


เจ้าใช้สารพัดวิธีเพื่อคืนชีพให้หลานจิ้งเคอ แต่นางกลับไม่ฟื้นคืนกลับมาเลย เจ้าคงผิดหวังอย่างแน่นอนกระมัง?


————————————————————————————-


บทที่ 1619 ค่อนข้างละอายอยู่บ้าง


เจ้าละทิ้งได้ง่ายดายปานนี้เชียวหรือ? หรือว่าเจ้ากำลังรอคอยโอกาสอันใดอยู่?


ตี้ฝูอี เจ้าอยู่ที่ไหนกัน?


เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าข้าข้ามผ่านมาได้ดียิ่ง อำนาจ ฐานะ เส้นสาย สหาย…ล้วนอยู่รอบกายข้า ผู้คนมากมายอิจฉาริษยาข้า ผู้คนมากมายเคารพบูชาข้า แล้วเหตุข้าถึงยังไม่มีความสุขอยู่เล่า? เหตุใดยามที่กลับไปหลับใหลในยามราตรียังคงอยากร้องไห้อยู่เล่า?


ตี้ฝูอี ข้าอยากให้เจ้าได้เห็นข้าในยามนี้!


ตี้ฝูอี ข้าคิดถึงเจ้า…


ถ้าเจ้ากลับมา ข้าจะมอบสังขารนี้ให้แก่เจ้า! ข้าไม่อยากติดค้างเจ้า…


เธอดื่มสุราไปอึกแล้วอึกเล่า แทบไม่ปฏิเสธผู้ที่เข้ามาคารวะสุราเลย ดื่มไปจอกแล้วจอกเล่า เธอดื่มอย่างเร่งรีบร้อนรน เริ่มกรึ่มๆ ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว


“ซีจิ่ว เธอดื่มอีกไม่ได้แล้ว!” มือข้างหนึ่งยื่นมาจากด้านข้าง จับข้อมือข้างที่ถือจอกของเธอไว้


เธอหันไปมอง สบเข้ากับเขาใบหน้าเป็นกังวลของหลงซือเย่


“ถ้าดื่มอีกเธอจะเมานะ” หลงซือเย่ฉวยจอกสุราไปจากมือเธออย่างไม่เห็นด้วย


ปรารถนาจะเมามายไร้สติ ร่ำสุราขับขานเพลง ดวงหน้าฉาบความสุขสันต์แต่ใจนั้นช่างไร้รส…


อันที่จริงกู้ซีจิ่วปรารถนาจะปล่อยตัวให้เมามายยิ่งนัก แต่เธอก็รู้จักอาการเมาของตัวเองดี น่าหวาดหวั่นมากจริงๆ!


หากว่าเมาแล้วอาละวาดที่นี่ขึ้นมาคงแย่ยิ่งนัก!


ด้วยเหตุนี้เธอจึงฉวยโอกาสใช้ความเมาเป็นข้ออ้างขอตัวอำลากับหรงเจียหลัว ตอนนี้เธอเป็นทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินแล้ว ฐานะสูงส่ง เมื่อเธออยากจากไปย่อมไม่มีผู้ใดขัดขวาง


หรงเจียหลัวกับเหล่าขุนนางพากันลุกขึ้นส่ง เธอยังไม่ทันก้าวออกจากตำหนัก จู่ๆ ก็มีเสียงเอ่ยรายงานแว่วมาจากด้านนอก “ผู้คุ้มกันมู่เตี่ยนผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาเยือน!”


ฝีเท้าของกู้ซีจิ่วพลันชะงัก มู่เตี่ยนสาวเท้าก้าวเข้ามาจากนอกประตู


มู่เตี่ยนเป็นตัวแทนของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาอวยพรปีใหม่ทุกคน ซ้ำยังนำของขวัญมาด้วย ผู้มีหน้ามีตาที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ล้วนได้รับการแบ่งสรรปันส่วนทั้งสิ้น


นอกเหนือจากหรงเจียหลัวผู้เป็นจักรพรรดิที่ได้คทาหยกสมปรารถนาหนึ่งด้ามกระบี่เหล็กไหลหนึ่งเล่มแล้ว คนที่เหลือล้วนได้รับของแบบเดียวกัน เป็นชุดกาน้ำชาหยกทั้งสิ้น


ของที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมอบให้ย่อมมิใช่ของราคาถูก ชุดกาน้ำชาชุดนั้นเป็นหยกมันแพะ เนียนละเอียด วิจิตรยิ่งนัก


ของขวัญถูกแจกจ่ายให้ตามใบรายชื่อ ไม่มีทางผิดพลาดเด็ดขาด กู้ซีจิ่วก็ได้รับกาน้ำชุดเล็กมาหนึ่งชุดเช่นกัน ไม่แตกต่างไปจากของคนอื่นเลย


ยามที่มู่เตี่ยนส่งมอบของขวัญให้กู้ซีจิ่ว ค่อนข้างอิหลักอิเหลื่อ และค่อนข้างละอายอยู่บ้าง


ในใจเขาต่อให้เจ้านายของบ้านตนเลิกรากับกู้ซีจิ่วแล้ว อย่างไรก็เคยเป็นคนรักกัน อย่างน้อยก็ควรมอบของขวัญให้อย่างจริงจังสักหน่อย มิใช่ให้ส่งๆ เหมือนกับคนทั้งหมด…


มู่เตี่ยนปรารถนาจะซื้อของชิ้นอื่นมาเพิ่มให้ในนามของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายใจจะขาด


แต่คำสั่งของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เขาไม่กล้าฝ่าฝืน…


กู้ซีจิ่วกลับไม่พูดอะไร เธอมองกาน้ำชาของคนอื่น แล้วก็มองของตัวเอง ยิ้มแวบหนึ่ง “ฝากขอบคุณนายของเจ้าแทนข้าด้วย มีน้ำใจนัก” พลางเก็บกาหยกชุดนั้นใส่แขนเสื้อ สาวเท้าก้าวจากไป


สายลมด้านนอกดุจคมมีด กรีดเฉือนใบหน้า รู้สึกเจ็บปวดรางๆ


วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า คนส่วนใหญ่ล้วนยุ่งง่วนอยู่ในบ้านเรือนตน ดังนั้นบนท้องถนนจึงมีผู้คนสัญจรไม่มากนัก มีเพียงแมวน้อยสองสามตัว


สายลมโชยมาคราหนึ่ง กู้ซีจิ่วกรึ่มสุราแล้ว เบื้องหน้าค่อนข้างพร่าเลือนเล็กน้อย ในดวงตาที่หรี่ปรือด้วยฤทธิ์สุรา มีเงาร่างของตี้ฝูอีไหวระริกอยู่


รถม้าของเธอยังคงรออยู่ด้านนอก เมื่อเห็นเธอออกมา สาวใช้และสารถีล้วนก้าวเข้ามาต้อนรับ


กู้ซีจิ่วรู้สึกปั่นป่วนอยู่ในใจ ไม่อยากนั่งรถม้า จึงให้สารถีเอารถกลับไปก่อน เธออยากเดินรับลมหนาว คลายฤทธิ์สุราสักหน่อย


สารถีจึงปฏิบัติตามคำสั่ง


กู้ซีจิ่วเดินอยู่บนถนนใหญ่เพียงลำพัง อาภรณ์โบกพลิ้วปลิวไสว


เธอฝึกฝนจนมาถึงระดับนี้แล้ว ไม่เกรงกลัวความเหน็บหนาวใดๆ อีกแล้ว ดังนั้นบนร่างเธอจึงสวมเพียงชุดกระโปรงวาดน้ำหมึกเนื้อบางสีขาวกระจ่างตัวหนึ่งเท่านั้น


————————————————————————————-


[1] สวมครอบกวานเปี่ยมอำนาจ ถึงฆาตเดียวดายอับเฉา เป็นท่อนหนึ่งจากบทกลอนของยอดกวีหลี่ไป๋ ที่รำพันถึงชีวิตยามรุ่งโรจน์และยามตกอับ


บทที่ 1620 ฉันจะเลี้ยงเหล้าคุณเอง!


เธอฝึกฝนจนมาถึงระดับนี้แล้ว ไม่เกรงกลัวความเหน็บหนาวใดๆ อีกแล้ว ดังนั้นบนร่างเธอจึงสวมเพียงชุดกระโปรงวาดน้ำหมึกเนื้อบางสีขาวกระจ่างตัวหนึ่งเท่านั้น บนไหล่เดิมทีสวมเสื้อคลุมกันลมไว้ตัวหนึ่ง เธอรู้สึกร้อน จึงถอดออกเสีย พลางโยนเข้าไปในมิติเก็บของ


เธอหยิบกาหยกใบนั้นออกมา วางมันกลางฝ่ามือแล้วหมุนดูรอบหนึ่ง มุนปากหยักขึ้นเล็กน้อย


เจตนาที่เขามอบกาใบนี้ให้ เพื่อสื่อว่าในใจเขาตอนนี้เธออยู่ระดับเดียวกับเพื่อนร่วมงานทั่วไปแล้วสินะ?


ก็ยังดี ของขวัญที่มอบให้เธอหนก่อนเหมือนเห็นเธอเป็นแค่คนแปลกหน้าที่ผ่านทางมา ของขวัญที่มอบให้ครานี้ดีชั่วอย่างไรสถานะของเธอก็สูงขึ้นลำดับหนึ่ง สามารถทัดเทียมกับเพื่อนร่วมงานของเขาได้แล้ว! เธอควรดีใจหรือเปล่านะ?


ตี้ฝูอี ขอบคุณสำหรับการให้ค่าของเจ้า!


กู้ซีจิ่วโยนกาหยกใบนั้นขึ้นไปบนอากาศ ยามที่ร่วงลงมากลับมีมือข้างหนึ่งยื่นมาจากด้านข้าง รับมันไว้ในมือ


กู้ซีจิ่วหันไปมองทันที ผู้ที่อยู่ข้างกายสวมอาภรณ์ขาวที่พิสุทธิ์ยิ่งกว่าหิมะที่โปรยปรายลงมาจากนภา เป็นหลงซือเย่


“ไม่ต้องการมันเหรอ?” หลงซือเย่ถามเธอ


กู้ซีจิ่วฉวยกาใบนั้นคืนมา ยิ้มดั่งพระสังกัจจายน์ “ทำไมจะไม่ต้องการล่ะ? ของชิ้นนี้ราคาไม่ถูกเลยนะ ถ้าจวนของฉันประสบวิกฤตทางการเงิน เอามันไปแลกเป็นเงินก็ไม่เลวเลย”


เมื่อหันไปเห็นว่าริมถนนมีโรงรับจำนำอยู่แห่งหนึ่ง เธอก็บ่ายหน้าก้าวเข้าไปในอาคาร “พวกเราเอาเจ้านี่ไปขายทิ้งแลกเป็นเหล้ามากินกันเถอะ!”


หลงซือเย่ไม่พูดอะไร เขาติดตามอยู่ข้างกายเธอ


ในวันส่งท้ายปีเก่าโรงรับจำนำไม่เปิดทำการ ประตูใหญ่ปิดสนิท โชคดีที่เถ้าแก่ยังอยู่ข้างใน กู้ซีจิ่วบังคับบานประตูให้เปิดออก โยนกาหยกใบนั้นลงบนตู้สินค้า “เถ้าแก่ ดูหน่อยว่ากาหยกใบนี้ราคาเท่าไหร่? ข้าจะจำนำ!”


ทีแรกเถ้าแก่คนนั้นไม่พอใจยิ่งนัก แต่พอเห็นกาหยกใบนั้นก็ตาลุกวาว! เอากาหยกใบนั้นไปพลิกดูอยู่พักหนึ่ง แล้วเสนอราคา “หนึ่งพันตำลึง!”


กู้ซีจิ่วก็ไม่ต่อรองอีก “จำนำ!”


เถ้าแก่คนนั้นรีบออกตั๋วจำนำให้ แล้วมอบตั๋วเงินพันตำลึงให้กู้ซีจิ่ว


กู้ซีจิ่วหยิบตั๋วเงินขึ้นมาแล้วตบไหล่หลงซือเย่อย่าสง่าผ่าเผย “ไปเถอะ ฉันจะเลี้ยงเหล้าคุณเอง!”


หลงซือเย่หยิบกาหยกใบนั้นของตนออกมา นำมาวางรวมกับใบนั้นของกู้ซีจิ่ว “ข้าก็จะจำนำใบนี้ด้วย!”


เถ้าแก่คนนั้นมองดูกาหยกใบนั้นของหลงซือเย่ กาหยกใบนั้นดูราวกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกันกับของกู้ซีจิ่ว คุณภาพของหยกก็ดูใกล้เคียงกัน…


เขาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “หนึ่งพันตำลึงเช่นกัน”


หลงซือเย่ยิ้มน้อยๆ รับตั๋วเงินพันตำลึงมาจากมือเขาเช่นกัน


ทั้งสองคนเดินเคียงกันออกไป


เถ้าแก่คนนั้นดีใจจนดวงตาหรี่เป็นขีดแล้ว กาหยกของกู้ซีจิ่วดูเผินๆ คล้ายหยกมันแพะ แต่ความจริงแล้วทำจากหยกผลึกที่หายากชนิดหนึ่ง


ต่อให้เป็นสุราธรรมดาขอเพียงเทลงไปในกานี้ก็จะกลายเป็นสุราเลิศรส ช่วยผ่อนคลายเส้นเอ้นกระตุ้นเลือดลม มีส่วนช่วยในการชำระจิตใจรวบรวมสมาธิ ยามที่จิตใจว้าวุ่นดื่มสุราจากกานี้ไปหนึ่งจอก จะสามารถสงบใจลงได้อย่างรวดเร็ว หยกชนิดนี้เพียงขนาดเท่าเล็บมือชิ้นหนึ่งก็มีค่าควรเมืองแล้ว นับประสาอะไรกับกาที่สลักมาจากหยกทั้งชิ้นเล่า!


หลายปีก่อนเถ้าแก่คนนั้นเคยเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ มีวาสนาได้พบเห็นหยกผลึกชิ้นนี้ ดังนั้นจึงมองออก


ส่วนกาหยกใบนั้นของหลงซือเย่ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นแบบเดียวกับใบนี้ของกู้ซีจิ่ว แต่ความจริงแล้วเป็นหยกมันแพะของจริง ราคาแพงเช่นกัน แต่เทียบชั้นกับใบนั้นของกู้ซีจิ่วไม่ได้เลย


ดังนั้นเถ้าแก่จึงไม่เผยพิรุธออกมา ด้วยเกรงว่าสองคนนี้จะจับได้


หลังจากพวกกู้ซีจิ่วทั้งสองจากไป เขาก็นำมากาหยกใบนั้นมาพลิกหมุนดูอยู่พักใหญ่ ยิ้มเหมือนคนโง่งม


รวยแล้ว! รวยแล้ว! กาใบนี้มีค่าอย่างน้อยสิบล้านตำลึง! มีราคาทว่าไม่มีแหล่งซื้อขาย!


เขาเกรงว่าพอกู้ซีจิ่วสร่างเมาแล้วจะเสียใจภายหลังขึ้นมา แม้แต่โรงรับจำนำก็ไม่เอาแล้ว ฉวยกาสุราก็คิดจะหนีไปทันที…


————————————————————————————-


บทที่ 1621 พวกเรามาเริ่มต้นกันใหม่ดีไหม?


ทันทีที่เงยหน้าขึ้น พลันมองเห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงประตู คนผู้นั้นยืนบังแสงไว้ ในมือถือร่มไผ่เขียวขจีคันหนึ่ง


ผู้ที่อยู่ใต้ร่มสวมชุดขาว แม้แต่เส้นผมก็คล้ายเป็นสีเงินยวงด้วย ทั้งร่างคนดุจแกะสลักมาจากหิมะ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าบนใบหน้าเขาไม่มีหน้ากากใดๆ บดบังอยู่เลย ทว่าคนกลับมองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน และไม่ทราบเช่นกันว่าคนผู้นี้มาตั้งแต่ยามใด ทำเอาเถ้าแก่สะดุ้งโหยง!


เขาซ่อนกาหยกเข้าไว้ในแขนเสื้อตามสัญชาตญาณ พลางเอ่ยถาม “ท่านลูกค้าก็มาจำ…”


ถ้อยคำท่อนหลังติดอยู่ในลำคอเขา เนื่องผู้มาเพียงสะบัดแขนเสื้อเล็กน้อย กาหยกในมือเขาก็ลอยไปอยู่ข้างกายคนผู้นั้นแล้ว คนผู้นั้นโบกแขนเสื้อเบาๆ กาใบนั้นก็ผลุบเข้าไปในแขนเสื้อของคนผู้นั้น


เถ้าแก่ร้านตกตะลึงนัก รีบร้อนจะโผเข้าใส่ แต่คนผู้นั้นเคลื่อนว่องไวอย่างที่ยากจะบรรยายได้ เท้าของเขาเพิ่งจะขยับ กระดาษแผ่นหนึ่งก็ปลิวเข้ามาแล้ว แปะเข้าตรงหน้าผากของเขาพอดี ด้วยเหตุนี้เขาจึงแน่นิ่งไปเสมือนถูกตรึงไว้


ไม่ทราบเช่นกันว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด ในที่สุดเขาก็ได้อิสระคืน ขาของเขาปวดชาเหลือเกิน พอได้อิสระคืนมาก็ล้มลงไปกองกับพื้น กระดาษที่แปะอยู่หน้าผากแผ่นนั้นก็ปลิวร่วงลงมา เขาหยิบขึ้นมามองตามสัญชาตญาณ เป็นตั๋วเงินพันตำลึงใบหนึ่ง…


….


กู้ซีจิ่วบอกว่าจะเลี้ยงเหล้าหลงซือเย่ แต่ในคืนส่งท้ายปีเก่าเหลาสุราที่ไหนจะเปิดทำการเล่า?


เธอกับหลงซือเย่เดินจากหัวถนนไปจนถึงท้ายถนนเส้นนั้นแล้ว ก็ไม่พบร้านที่เปิดประตูเลย


เหตุใดถึงไม่มีร้านที่เปิดประตูทำการค้ากันเล่า?


ทำให้เธอที่อยากจะผลาญเงินอดผลาญเลย!


กู้ซีจิ่วยืนอยู่ที่มุมถนน มองเหลาสุราแห่งหนึ่งอย่างใจลอย ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดอะไรอยู่


หลงซือเย่อยู่ข้างกายเธอตลอด เดินไปเดินมาเป็นเพื่อนเธอ เมื่อเห็นเธอยืนเหม่อยู่ตรงนั้นอย่างไร้ชีวิตจิตใจ ดวงตาเขาพลันมีแววปวดร้าวพาดผ่าน เสนอความเห็นกับเธอ “ไม่สู้เธอเชิญฉันไปดื่มสุราที่จวนของเธอแทนล่ะ?”


กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ในจวนวุ่นวายเกินไป…”


ในจวนเธอมีคนมากมาย อีกทั้งวันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า จะต้องอยู่บ้านกันหมดแน่นอน ขอเพียงเธอกลับไปก็จะถูกรุมล้อม แม้แต่เวลาจะเหม่อลอยก็ไม่มีเลยด้วยซ้ำ


หลงซือเย่ใคร่ครวญดูอีกครู่หนึ่ง เสนอขึ้นอีกครั้ง “งั้นไปที่สำนักถามสวรรค์ของฉันไหม?”


“ไกลเกินไปแล้ว!” กู้ซีจิ่วส่ายหน้าอีกครั้ง


หลงซือเย่ถอนหายใจ “ด้วยพลังยุทธ์ของเธอในตอนนี้ ใช้เวลาแค่หนึ่งยามเอง ฉันมีไวน์ชั้นดีอยู่ที่นั่น ให้เธอดื่มได้จนพอใจเลย!”


กู้ซีจิ่วหวั่นไหวแล้ว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้า “ได้!”


กู้ซีจิ่วเปิดใช้วิชาย่นปฐพีโดยตรง จับมือข้างหนึ่งของหลงซือเย่ไว้ เงาร่างของคนทั้งสองหายลับไปจากจุดเดิมทันที


วิชาย่นปฐพี สามารถย่นระยะทางพันลี้ให้กลายเป็นร้อยลี้ได้ ระยะทางหลายพันลี้ก็ย่นเป็นหลายร้อยลี้ ด้วยฝีเท้าของเธอกับหลงซือเย่ ระยะทางหลายร้อยลี้นี้ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม


ถนนทอดยาวอ้างว้าง ลมหิมะพัดตลบ


ท่ามกลางหิมะปรากฏเงาร่างของคนผู้หนึ่งขึ้น ทั้งตัวหัวจรดเท้ามีเพียงร่มในมือเท่านั้นที่เป็นสีเขียว ที่เหลือล้วนเป็นสีขาวทั้งหมด


แขนเสื้อเขาห้อยลู่เล็กน้อย มองจุดที่กู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีเลือนหายไปอย่างเหม่อลอย


ผ่านไปสักพัก ก็กระแอมไอเบาๆ แล้วหันหลังจากไป


….


ณ ศาลาตัดอาลัยบนเขาถามสวรรค์


โต๊ะเล็กๆ ที่สานด้วยไผ่ตัวหนึ่ง เก้าอี้ไผ่สานสองตัว


บนโต๊ะเล็กวางอาหารไว้สามสี่อย่าง อาหารไม่เพียงแต่วิจิตรประณีตยิ่งนักเท่านั้น ยังเป็นอาหารที่หลงซือเย่ลงมือปรุงออกมาด้วยตัวเองด้วย


สุราย่อมเป็นสุราที่ดีที่สุดของสำนักถามสวรรค์ รสชาติก็เป็นรสบ๊วยเขียวที่เธอโปรดปรานที่สุด


กู้ซีจิ่วนั่งตรงข้ามกับหลงซือเย่ ร่ำสุราสนทนากัน


ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว เขาเป็นครูฝึก เธอเป็นนักฆ่า พวกเขาเคยนั่งประจันหน้ากันแบบนี้มาก่อน ตอนนั้นเธออยากแต่งกับเขา ส่วนเขาก็วางแผนว่าทำยังไงถึงจะแต่งกับเธออย่างราบรื่นได้…


เพียงแต่จับผลัดจับผลูเข้าใจผิดกัน ทำให้วาสนานี้ไม่อาจหวนกลับมาได้อีกแล้ว


ตอนนี้นั่งตรงข้ามกันอีกครั้ง ทว่าหลงซือเย่รู้สึกราวอยู่กันคนละโลกแล้ว


“ซีจิ่ว พวกเรามาเริ่มต้นกันใหม่ดีไหม?” หลงซือเย่โพล่งประโยคหนึ่งออกมา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)