คัมภีร์วิถีเซียน 1616-1620

ตอนที่ 1616 อีแร้งหน้าคน

 

 


 


 


ส่วนหญิงสาวนามว่าเซียนเซียนนั้น ยังคงถูกลำแสงสีทองห่อหุ้มเรือนร่างเอาไว้ แค่นอกลำแสงสีทองมีกระจกสัมฤทธิ์ขนาดเท่าฝ่ามือแปดบานเพิ่มขึ้นมา เริงระบำวนล้อมรอบร่างของนางเอาไว้ 


 


 


เห็นเพียงด้านหลังกระจกเหล่านี้มีลวดลายวิจิตรโบราณอยู่ บนกระจกมีลำแสงเย็นยะเยืยก ไม่รู้ว่ามีประโยชน์ด้านใด 


 


 


ทั้งสองคนนอกจากสำแดงสมบัติออกมาแล้ว ในมือก็ตะปบอีกสิ่งเอาไว้ ไม่ได้เผยออกมาให้เห็น 


 


 


เห็นได้ชัดว่าทั้งสองรู้ว่าในม่านหมอกมีอันตราย จึงเตรียมตัวอย่างระมัดระวัง 


 


 


แม้แต่หานลี่เองฝ่ามือข้างหนึ่งในแขนเสื้อ ก็คีบไข่มุกอัสนีสีเขียวสองสามเม็ดเอาไว้ เพื่อป้องกันเวลาเจอศัตรูที่แข็งแกร่งจะได้สำแดงการโจมตีได้ทัน 


 


 


ส่วนม่านหมอกสีขาวโพลนรอบๆ มันแตกต่างกับไอมารปกติเป็นอย่างมาก แต่เทียบกับทะเลหมอกสีดำด้านล่างก็แข็งแกร่งกว่าเป็นอย่างมาก 


 


 


อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกมารแว้งกัดในช่วงเวลาสั้นๆ 


 


 


แน่นอนว่าที่นี่ อิทธิฤทธิ์เนตรวิญญาณของหานลี่มีจำกัด ระยะทางที่มองเห็นก็แค่ครึ่งลี้เท่านั้น 


 


 


ดังนั้นแม้ว่าภายนอกของหานลี่จะเยือกเย็น แต่ในใจกลับไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย สายตากวาดไปรอบด้าน ในเวลาเดียวกันพลังจิตสัมผัสก็ปกคลุมทั้งหมดในรัศมียี่สิบสามสิบจั้งเอาไว้ เพื่อไม่ให้ถูกมารอสูรที่เชี่ยวชาญการเร้นกายอะไร เข้ามาประชิดร่าง 


 


 


และทั้งสามคนนั้นตั้งแต่เข้ามาในหมอกบางๆ ผืนนี้ ล้วนไม่เอ่ยปากสนทนากันอีกอย่างรู้จักวางตัว แค่รีบเดินทางไปอย่างเงียบๆ เท่านั้น 


 


 


สำหรับพวกเขาแล้ว ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแน่นอนว่าย่อมเป็นการไม่รบกวนมารอสูรที่ดำรงอยู่ แล้วออกจากเขตนี้ไปอย่างเงียบๆ 


 


 


เช่นนั้นทั้งสามคนบินมาได้ครึ่งชั่วยาม เบื้องหน้ายังคงถูกหมอกจางๆ ปกคลุมเอาไว้ ไม่มีเค้าลางว่าจะบินออกจากเขตนี้เลยแม้แต่น้อย 


 


 


หานลี่ยังพอว่า ยังคงมีสีหน้าราบเรียบ 


 


 


เซียนเซียนกลับเผยสีหน้ากังวลออกมา ส่วนเย่ว์จงเองก็มีสีหน้าเคร่งขรึม มองแมลงประหลาดในกล่องบ่อยครั้งขึ้น 


 


 


หลังจากที่หานลี่บินมาอีกชั่วครู่ ฉับพลันนั้นเสียงกรีดร้องแหลมๆ สั้นๆ ก็ดังมาจากด้านหลัง  


 


 


เขาพลันตะลึงงัน ลำแสงหลีกหนีหยุดชะงักไปเล็กน้อย รีบหันมองไปด้านหลังทันที 


 


 


เห็นเพียงแมลงกล่องตัวนั้นของเย่ว์จงเปล่งแสงสีเงินออกมา แมลงประหลาดตัวนั้นยกตัวท่อนบนขึ้น หัวส่ายไปมาอย่างบ้าคลั่ง และยิ่งไปกว่านั้นปากยังเปล่งเสียงร้องประหลาดๆ ออกมา  


 


 


ไม่เพียงแค่นั้นลวดลายสีเงินบนผิวของแมลงยังเปล่งแสงสีเงินระยิบระยับ สัญลักษณ์หน้าผีบนหัวเปลี่ยนสีแดงโลหิต เป็นสีแดงสดเสมือนจริง 


 


 


“แย่แล้ว! ในรัศมีสิบลี้มีมารปีศาจระดับสูงปรากฏขึ้น กำลังบินมาทางพวกเรา ความเร็วรวดเร็วมาก!” เย่ว์จงหน้าเปลี่ยนสี ตะโกนร้องเตือนหานลี่ด้วยเสียงอันดัง 


 


 


“บอกข้ามาว่ามาจากทางไหน” หานลี่กลับเอ่ยถามอย่างราบเรียบ เผยท่าทีสุขุมออกมา 


 


 


“มาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ จำนวน…ทั้งหมดห้าตัว” เย่ว์จงได้ยินเสียงร้องสองสามครั้งของแมลง ก็ร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง 


 


 


“ห้าตัว จัดการยากไปหน่อย แล้วยังไม่รู้ว่าเป็นมารปีศาจระดับสูงชนิดไหน!” หานลี่เอ่ยพึมพำ รูม่านตาหดเล็กลง มองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้แวบหนึ่ง 


 


 


ฉับพลันนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อ หลังจากเสียงเพรียกอันไพเราะดังขึ้น กระบี่เล่มเล็กสีเขียวเจ็ดสิบสองเล่มก็พุ่งออกมา จากนั้นก็บริกรรมคาถา ชี้ไปทางกระบี่บินเหล่านี้อย่างรวดเร็วสองสามครั้ง 


 


 


กระบี่เล่มเล็กทั้งหมดสั่นเทา หายวับไปอย่างแปลกประหลาด 


 


 


จากนั้นกลางอากาศรอบๆ ด้านพลันมีดอกบัวสีเขียวปรากฏขึ้น มันรางเลือน แยกตัวออกจากหนึ่งเป็นสอง สองเป็นสี่ สี่เป็นแปด 


 


 


กลางอากาศมีดวงลำแสงสีเขียวปรากฏขึ้นเป็นดวงๆ! 


 


 


ส่วนดอกบัวสีเขียวเหล่านั้นก็หมุนวน ชั่วพริบตาก็มีขนาดสองสามจั้ง หลังจากเรียงร้อยต่อกัน ก็กลายเป็นม่านลำแสงสีเขียวชั้นหนึ่ง ชั่วครู่ก็ปกคลุมท้องฟ้าในบริเวณนั้นไว้อย่างแน่นหนา 


 


 


ภายในรัศมีร้อยจั้งล้วนถูกม่านลำแสงปกคลุมเอาไว้ 


 


 


นี่คือหนึ่งในความสามารถที่ยิ่งใหญ่ของหานลี่ เขตอาคมกระบี่หลากวสันต์! 


 


 


และมีเพียงเขตอาคมกระบี่เขตนี้ หานลี่ถึงจะมั่นใจว่าจะกักมารอสูรระดับสูงสองสามตัวเอาไว้ได้ในครั้งเดียว 


 


 


มิเช่นนั้นแม้ว่าเขาจะมั่นใจว่าสามารถสังหารมารอสูรสองสามตัวนี้ได้ แต่กลับไม่กล้ารับประกันความปลอดภัยของหญิงสาวเผ่าผลึกและเย่ว์จง หากพลั้งมือไป ปล่อยมารอสูรระดับสูงไปตัวสองตัว ทั้งสองก็น่าจะโชคร้ายมาก 


 


 


ส่วนทั้งสองคนล้วนเป็นผู้ที่ขาดไปจากการเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ แน่นอนว่าหานลี่จึงใช้วิธีการที่มั่นคงที่สุด 


 


 


“เขตอาคมกระบี่!” 


 


 


เซียนเซียนมีประสบการณ์ไม่ธรรมดา เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้พลันตกตะลึง จากนั้นพลันรู้สึกดีใจขึ้นมา 


 


 


เย่ว์จงเองก็เผยสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจออกมา เห็นได้ชัดว่ารู้จักอานุภาพของเขตอาคมกระบี่เช่นกัน 


 


 


หานลี่กลับสะบัดแขนเสื้อไปกลางอากาศด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก  


 


 


หลังจากม่านลำแสงสีเขียวม้วนวนออกไป ม่านลำแสงกลางอากาศก็รางเลือน โปร่งแสงไปอย่างเงียบเชียบ สุดท้ายก็ล่องหนไป ราวกับว่าปรากฏการณ์ประหลาดเมื่อครู่ไม่มีอยู่แล้วอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


ยามนี้เซียนเซียน และเย่ว์จงเห็นกระบี่หลากวสันต์มีอิทธิฤทธิ์ถึงเพียงนี้ ชั่วขณะนั้นจึงมั่นใจในหานลี่มากขึ้นหลายส่วน 


 


 


หลังจากที่พวกเขามองสบตากันแวบหนึ่ง ก็บินเข้ามาใกล้หานลี่ทันที ลอยอยู่ด้านหลังเขา 


 


 


หานลี่ไม่ได้หันกลับไปมอง แต่ก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าทั้งสองคนอยู่ห่างจากเขาไปอีกยี่สิบจั้งเศษ ไม่ได้เข้ามาประชิดอย่างไม่รู้จักวางตน 


 


 


และชั่วครู่ จุดที่หานลี่มองไปก็มีเสียง “กึกๆ” ดังขึ้น  


 


 


เมื่อได้ยินหานลี่ก็รู้สึกถึงความร้อนใจที่แล่นเข้ามาในจิตใจ ไม่อาจรวบรวมสมาธิได้ 


 


 


เขาพลันรู้สึกตกตะลึง แต่โชคดีที่ชั่วครู่ คาถาขับเคลื่อนก็โคจรอยู่ทั่วเรือนกาย หลังจากที่ความเย็นแล่นผ่านจิตใจไป จิตใจก็กลับมาเป็นปกติ 


 


 


แต่เย่ว์จงและเซียนเซียนที่อยู่ด้านหลังได้ยินเสียงนี้ต่างเผยสีหน้าแตกต่างกันออกไป 


 


 


ดวงตาของเย่ว์จงเปลี่ยนเป็นหย่อนหยานไม่เข้มแข็ง ในเวลาเดียวกันใบหน้าก็มีสีแดงระเรื่อปรากฏขึ้น มือทั้งสองกำแน่นตามจิตสำนึก แล้วคลายออก ราวกับงุนงงเล็กน้อย 


 


 


ส่วนหญิงสาวนามว่าเซียนเซียน กลับมีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบผ่านบนใบหน้า คนก็ดูเหมือนไม่เป็นอะไร 


 


 


ทว่าหญิงสาวผู้นี้มีปฏิภาณไหวพริบเฉียบแหลม เมื่อพบความผิดปกติของเสียงนี้ สายตาก็กวาดไปที่ใบหน้าของเย่ว์จงที่อยู่ด้านข้างทันที สีหน้าเคร่งขรึม หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ฉับพลันนั้นก็ชูมือข้างหนึ่งขึ้นโดยไม่ได้ปริปากใดๆ 


 


 


ยันต์วิเศษที่ซ่อนอยู่ในฝ่ามือของนางตั้งนานแล้วพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วกลายเป็นไอเย็นเยียบสีขาวโพลน 


 


 


“เอ๋” 


 


 


เย่ว์จงพลันตกตะลึง เพราะได้รับผลกระทบทางจิตใจ ปฏิกิริยาตอบสนองจึงเชื่องช้ากว่าเดิมมาก ประกอบกับการเคลื่อนไหวของเซียนเซียน อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขา 


 


 


คาดไม่ถึงว่าจะถูกไอเย็นเยียบปกคลุมร่างเอาไว้ 


 


 


ผลคือเย่ว์จงรู้สึกเพียงว่าไอเย็นเยียบกลุ่มหนึ่งแล่นจากศีรษะลงไปที่สองเท้า ชั่วขณะนั้นความร้อนใจไม่เป็นสุขพลันสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย 


 


 


“ขอบพระคุณท่านเซียนที่ช่วยเหลือ!” หลังจากเย่ว์จงกลับมาเป็นปกติ ก็รู้ความผิดปกติของตนเองเมื่อครู่ทันที ทันใดนั้นก็เอ่ยขอบคุณพร้อมประสานกำปั้นให้หญิงสาวเผ่าผลึก 


 


 


“ไม่เป็นไร พี่เย่ว์ระวังหน่อย” เซียนเซียนฉีกยิ้มเบิกบาน และไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา 


 


 


ทว่าเย่ว์จงกลับรู้สึกประหลาดใจ พลังยุทธ์ของเขาเหนือกว่าท่านเซียนเซียนผู้นี้มาก ตนเองกลับถูกล่อลวงอย่างไม่รู้สึกตัว อีกฝ่ายกลับไม่เป็นอะไรเลย หรือว่าในร่างของอีกฝ่ายมีสมบัติที่ทำให้จิตใจสงบสุขระดับสุดยอดอยู่?  


 


 


ไม่ต้องเอ่ยถึงเย่ว์จงที่รู้สึกกังขา หมอกบางๆ ที่หมุนวนอย่างรุนแรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เงาสีดำห่างออกไปสองสามจั้งก็ปรากฏตัวอย่างดุดันเช่นกัน 


 


 


หลังจากที่พวกมันกะพริบวาบสองสามครั้ง ก็เปล่งเสียงร้องประหลาดๆ ออกมาจากม่านหมอก เผยใบหน้าที่แท้จริงออกมาตรงหน้าทั้งสาม 


 


 


คาดไม่ถึงว่าจะเป็นวิหคมารหัวโล้นราวกับอีแร้งหลายตัว แต่ใบหน้าของวิหคมารเหล่านี้กลับเป็นใบหน้าของสตรี แต่เดิมที่ควรจะมีสองตา คาดไม่ถึงว่าด้านบนและร่างจะมีดวงสีเขียวมรกตสี่ดวงเรียงตัวอยู่ 


 


 


เช่นนั้นใบหน้าของหญิงสาวหัวโล้นที่แต่เดิมหน้าจะสะอาดหมดจน ก็เปลี่ยนเป็นดุดันมาก 


 


 


ห้าตัวในนั้นมีสี่ตัวที่มีขนสีดำขาวสลับกันน่าจะอยู่ในระดับสูญสุญตาขั้นต้น ตัวที่อยู่ตรงกลางมีขนสีขาวหิมะ กลิ่นอายแข็งแกร่งที่สุด น่าจะอยู่ในระดับสูญสุญตาขั้นสุดยอด 


 


 


“หึๆ! คาดไม่ถึงว่าจะคนของแดนวิญญาณ เยี่ยมจริงๆ ครั้งที่แล้วที่กินคนของแดนวิญญาณไป มันผ่านมาสองสามร้อยปีแล้ว” วิหคมารตัวที่แข็งแกร่งที่สุดเห็นหานลี่และพวกทั้งสามคนอย่างชัดเจน ก็เอ่ยคำพูดมนุษย์ที่ฟังยากออกมา เสียงกรีดร้องหยาบเสียดหูยิ่งกว่าเดิม ฟังยากอย่างสุดๆ 


 


 


หานลี่ได้ยินใบหน้าไม่มีสีหน้าผิดปกติเลยสักนิด แค่ยืนมองวิหคมารที่เป็นผู้นำด้วยสายตาเย็นชาอยู่ที่เดิมโดยไม่ได้ปริปากใดๆ 


 


 


ทว่าวิหคมารระดับสูญสุญตาขั้นปลายตัวนี้ดูเหมือนจะมีสติปัญญาสูง ไม่ได้รีบร้อนให้สมุนทั้งสี่กระโจนเข้ามา แต่กระพือปีกทั้งสองข้างอยู่ไกลๆ ดวงตาปีศาจทั้งสี่กวาดไปมาบนร่างของหานลี่และพวกทั้งสามไม่หยุด ในเวลาเดียวกันก็กำลังชั่งพละกำลังของทั้งสองฝ่าย  


 


 


หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น หลังจากขมวดคิ้วมุ่น ก็เลิกคิ้วขึ้น จากนั้นก็ชูมือข้างหนึ่งขึ้น 


 


 


ไข่มุกกลมห้าเม็ดพุ่งออกมา พลิ้วไหวแล้วกลายเป็นลำแสงสีเขียวขนาดเท่ากำปั้น แค่กะพริบวาบสองสามครั้ง ก็มาอยู่ตรงหน้าวิหคมารห้าตัว 


 


 


วิหคมารสองสามตัวรู้สึกตกตะลึง แต่วิหคมารที่เป็นผู้นำแค่เปล่งเสียงร้อง พวกมันก็สลายตัวออก และไม่ได้มีเจตนาจะตั้งรับ หลบหนีไปอย่างง่ายดาย 


 


 


ถึงอย่างไรเสียไม่ว่าวิหคมาหรือว่าวิหควิญญาณ ด้านความเร็วก็เหนือกว่าอสูรบนพื้นดินอยู่แล้ว 


 


 


แต่หานลี่เห็นเช่นนั้น มุมปากกลับมีรอยยิ้มเย็นชา มือหนึ่งร่ายอาคม 


 


 


หลังจากที่ลำแสงสีเขียวห้าดวงร่อนลงมาก็เปลี่ยนทิศทาง พุ่งไปตรงกลางระหว่างวิหคมารทั้งห้า 


 


 


ผลคือหลังจากเสียง “ตูมๆ” ดังขึ้น ชั่วพริบตาที่ลำแสงสีเขียวห้ากลุ่มปะทะกัน ก็ระเบิดออกพร้อมกัน 


 


 


ชั่วขณะนั้นเสียงอัสนีฟ้าฟาดพลันดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วพริบตาก็คลี่ไปในระยะสองสามหมู่ ห่อหุ้มวิหคมารทั้งห้าที่ไม่ทันได้ป้องกันตัวเอาไว้  


 


 


ประจุไฟฟ้าสับลงมาที่ร่างของวิหคมารทั้งห้าอย่างแรง ลำแสงอัสนีสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ กลืนร่างของวิหคมารไปจนหมด 


 


 


เย่ว์จงที่อยู่ด้านหลังของหานลี่เห็นเช่นนั้น ใบหน้าพลันเผยสีหน้ายินดีออกมา ขยับริมฝีปาก ดูเหมือนว่าคิดจะเอ่ยอะไร 


 


 


แต่ในยามนั้นเองจู่ๆ เสียงกรีดร้องก็ดังออกมาจากลำแสงอัสนี จากนั้นเสียง “ตูมๆ” ก็ดังขึ้น เสาลำแสงสีขาวนวลห้าสายพุ่งออกมาจากลำแสงอัสนี 


 


 


เสาลำแสงเหล่านี้กวาดไปทั่วลำแสงอัสนี ลำแสงอัสนีสีเขียวที่แต่เดิมดูเหมือนมีอานุภาพยิ่งใหญ่ ทยอยกันถูกกวาดไปจนเกลี้ยงอย่างคาดไม่ถึง 


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เสียงอัสนีฟ้าฟาดก็ขาดไป วิหคมารทั้งห้ากระโจนออกมาลำแสงสีเขียวที่เหลืออ จากนั้นก็หมุนวนรอบหนึ่ง ปากทยอยกันเปล่งเสียงร้องด้วยความร้อนใจออกมา 


 


 


มิน่าล่ะวิหคมารเหล่านี้ถึงได้โกรธถึงเพียงนี้ 


 


 


วิหคมารในยามนี้ นอกจากตัวที่เป็นหัวหน้าซึ่งภายนอกดูดีหน่อย แค่ปีกข้างหนึ่งเป็นสีดำเกรียม ที่เหลือต่างก็มีบาดแผลทั่วเรือนกาย ทยอยแผ่กลิ่นไหม้เกรียมโชยมา 


 


 


แม้ว่าพวกมันจะต้านทานการโจมตีเมื่อครู่ แต่ไข่มุกอัสนีของหานลี่ก็เทียบเท่ากับการโจมตีของระดับสูญสุญตาเต็มอัตรา การระเบิดสองสามเม็ด โดยไม่ทันตั้งตัว จะไม่ไม่ได้รับบาดเจ็บสักนิดได้อย่างไร 


 


 


ทันใดนั้นวิหคมารทั้งสี่ที่ผิวไหม้เกรียมก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น หลังจากเปล่งเสียงร้องออกมาสองสามครั้ง ก็กระโจนเข้ามาหานลี่อย่างดุดัน 


 


 


พวกมันอยากสังหารหานลี่ผู้ที่เป็นตัวการผู้นี้ ครู่ต่อมก็จะฉีกเป็นชิ้นๆ จากนั้นก็กลืนลงท้องสดๆ 

 

 

 


ตอนที่ 1617 เพลิงเที่ยงแท้อีกาทอง

 

วิหคมารที่เป็นหัวหน้าเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็กลอกตาทั้งสี่ไปมาพร้อมกัน หลังจากกวาดสายตาไปยังหานลี่ที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงแล้ว ก็รู้สึกถึงความผิดปกติได้ลางๆ


 


 


หลังจากที่มันลังเลเล็กน้อย ก็อ้าปากเปล่งเสียงร้องแหลมๆ ออกมา หมายจะเรียกสมุนทั้งสี่กลับมา


 


 


แต่การลังเลเพียงเล็กน้อย มันกลับสายไปเสียแล้ว


 


 


หานลี่วางเขตอาคมกระบี่กว้างถึงร้อยจั้งเศษ วิหคมารทั้งสี่ก็มีความเร็วไม่เชื่องช้า แค่กระพือปีกทั้งสอง ก็กระโจนเข้ามาในเขตอาคมกระบี่หลากวสันต์แล้ว


 


 


เห็นเพียงลำแสงสีเขียวสว่างวาบ ม่านลำแสงชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น ชั่วครู่ก็ห่อหุ้มวิหคมารทั้งสี่เอาไว้ข้างใน


 


 


วิหคมารทั้งสี่พลันตกตะลึง ร่างกายทยอยกันหมุนวน กรงเล็บที่มีลำแสงเย็นเยียบทะลักออกมาตะปบไปทางม่านลำแสง


 


 


แต่เมื่อกรงเล็บสองสามกรงตะปบไปที่กำแพงลำแสง กลับมีเสียงแปลกประหลาดดังขึ้น!


 


 


วิหคมารสี่ตัวพลันดีใจ แต่ทันใดนั้นก็ตกตะลึงจนตาค้าง


 


 


เพราะว่าด้านหลังม่านลำแสงไม่ได้เป็นเหมือนที่พวกมันบินเข้ามาเมื่อครู่ แต่กลับมีดอกบัวสีเขียวลอยอยู่เต็มไปหมด


 


 


ดอกบัวเหล่านี้มีขนาดเท่าหัวแม่มือ แต่ก็ต้านทานอยู่เบื้องหน้าเต็มไปหมด


 


 


วิหคมารทั้งสี่มองสบตากันแวบหนึ่ง หนึ่งในนั้นอ้าปากออก พ่นลำแสงสีขาวนวลออกมา


 


 


เห็นเพียงหลังจากที่เสาลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ ก็โจมตีไปที่ดอกบัวสีเขียวหลายดอก


 


 


แต่หลังจากที่เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น ดอกบัวสีเขียวเหล่านั้นไม่เพียงไม่สลายหายไป กลับเปล่งแสงสว่างวาบแล้วขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า จนมีขนาดเท่ากำปั้น


 


 


เมื่อเห็นฉากนี้ วิหคมารเหล่านั้นพลันตกใจจนสะดุ้งโหยง


 


 


เขตอาคมกระบี่หลากวสันต์เองก็ถูกกระตุ้นพลานุภาพด้วยการโจมตีนี้


 


 


ไม่ใช่แค่ตรงหน้า ส่วนอื่นๆ ของม่านลำแสงก็สลายหายไปเช่นกัน แล้วมีดอกบัวสีเขียวปรากฏขึ้นจำนวนนับไม่ถ้วน


 


 


ส่วนดอกบัวเหล่านั้นแค่หมุนวน ก็มีลำแสงประหลาดไหลวนโคจรอยู่


 


 


วิหคมารทั้งสี่รู้สึกเพียงว่าทัศนียภาพเบื้องหน้ารางเลือน เหนือหัวเป็นสีดำสนิท ตัวอยู่ท่ามกลางป่าพฤกษาสีเขียวขนาดยักษ์


 


 


ต้นไม้ทุกต้นมีขนาดร้อยจั้งเศษ มองปราดเดียวล้วนมองไม่เห็นส่วนยอด ใบไม้หนาแน่นจนแทบจะปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า


 


 


คิดไม่ถึงว่าวิหคมารทั้งสี่จะอยู่ในส่วนที่ต่ำที่สุดของพฤกษายักษ์เหล่านั้น


 


 


ยามนี้วิหคมารพลันตกตะลึงไม่น้อย


 


 


ต้องเข้าใจว่าพวกมันเป็นวิหคเหาะเหิน สิ่งที่กลัวที่สุดจึงเป็นการที่อยู่ในป่า หรือตกลงไปในแม่น้ำ หากได้รับข้อจำกัดทางกายภาพ ต่อให้มีอิทธิฤทธิ์แค่ไหนก็ถูกตัดทอนให้อ่อนกำลังลงกว่าครึ่ง


 


 


ทันใดนั้นวิหคมารทั้งสี่ก็กางปีกทั้งสองออกในเวลาเดียวกัน


 


 


ชั่วขณะนั้นเปลวเพลิงสีขาวสี่กลุ่มก็บินออกมาจากร่างของพวกมัน จากนั้นเสียง “ปังๆ” ก็ดังขึ้น ชั่วครู่ก็ระเบิดออก กลายเป็นผีเสื้อเพลิงสีขาวขนาดเท่าฝ่ามือนับร้อยตัว บินไปหาพฤกษายักษ์รอบด้าน


 


 


เปลวเพลิงสีขาวเหล่านี้เป็นอิทธิฤทธิ์ของวิหคมารเหล่านี้ เดิมคิดว่าเป็นพฤกษายักษ์เหล่านี้จะถูกกวาดไปจนหมดเกลี้ยงในทันทีราวกับถูกเร่งให้แห้งเ**่ยวเฉาตาย


 


 


แต่เมื่อผีเสื้อเพลิงกระโจนมาหาต้นไม้สีเขียวเหล่านี้ แค่รางเลือนไปเล็กน้อย ทยอยกันทะลุผ่านไปราวกับไม่มีสิ่งใดอยู่ ไม่มีผลเลยสักนิด


 


 


“เคล็ดวิชาลวงตา!”


 


 


วิหคมารเหล่านี้เองก็มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับสูญสุญตาขั้นต้น แม้ว่าสติปัญญาจะเทียบกับตัวที่เป็นหัวหน้าไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ต่ำต้อย ชั่วครู่ก็เข้าใจขึ้นมาในทันที


 


 


หนึ่งในนั้นพลันร้อนใจ กระโจนเข้าไปหาพฤกษายักษ์ต้นหนึ่งโดยไม่ปริปากใดๆ


 


 


ทว่าสิ่งที่เขตอาคมกระบี่หลากวสันต์สร้างขึ้น จะเทียบกับเคล็ดวิชาลวงตาธรรมดาๆ ได้อย่างไร มันเป็นทั้งจริงและเท็จ เป็นของจริงในจินตนาการ และเป็นจินตนาการในความเป็นจริง


 


 


หลังจากเสียงดังสนั่นดังขึ้น เมื่อวิหคมารปะทะกับพฤกษายักษ์ต้นนั้น ก็ถูกดีดกลับมาจนหมุนติ้ว


 


 


วิหคยักษ์เหล่านั้นดูเหมือนแข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า ไหนเลยจะทำลายได้แม้แต่น้อย


 


 


ส่วนวิหคมารตัวนั้นแม้ว่ากายเนื้อจะนับว่าแข็งแกร่งมาก แต่หลังจากที่สะบัดหัวจนร่างกายกลับมามั่นคงแล้ว ก็รู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง ดวงตาทั้งสองข้างมีดวงดาราสีทองหมุนวน


 


 


วิหคมารที่เหลืออีกสามตัวเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ก็อดที่จะตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างไม่ได้


 


 


……


 


 


ด้านนอกเขตอาคม วิหคมารสีขาวหิมะตัวนั้นเห็นลูกสมุนทั้งสี่ของตนถูกม่านลำแสงขวางเอาไว้แล้วสลายหายไปในทันที แน่นอนว่าย่อมทั้งตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว!


 


 


มันเปล่งเสียงร้องอันดัง สยายปีกทั้งสองออก หลังจากเสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ลำแสงสีขาวเป็นวงๆ ก็ทะลักออกมาจากร่างของมัน


 


 


จากนั้นขนสีขาวบนร่างก็กลายเป็นเปลวเพลิงร้อนแรงในพริบตา


 


 


ไม่เหมือนกับวิหคมารสีดำขาวสี่ตัวนั้น เปลวเพลิงสีขาวเหล่านี้มีอักขระสีเงินแฝงอยู่ลางๆ อุณหภูมิของบรรยากาศโดยรอบเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า อุณหภูมิร้อนฉ่าแผ่ออกไปอย่างยากจะเชื่อ


 


 


เขตอาคมกระบี่หลากวสันต์ที่แต่เดิมอำพรางกายอยู่ ถูกบีบให้เปล่งแสงสว่างวาบขึ้นท่ามกลางอุณหภูมิที่ร้อนระอุ ปรากฏม่านลำแสงสีเขียวขจีขึ้นอีกครั้ง


 


 


“พี่หานโปรดระวัง! นั่นคือเพลิงเที่ยงแท้สีทองดำ อย่าให้มันเข้าประชิดตัวเด็ดขาด วิหคมารตัวนี้อาจจะมีเลือดเนื้อของจิตวิญญาณเที่ยงแท้อีกาทอง!” เซียนเซียนที่เดิมทีเผยสีหน้ายินดีออกมาพร้อมหานลี่กักวิหารทั้งสี่เอาไว้ได้ แต่เมื่อเห็นวิหคมารหัวหน้าสำแดงเพลิงสีขาวประหลาดๆ ออกมา พลันร้องเตือนด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนสีทันที


 


 


“เพลิงเที่ยงแท้อีกาทอง!” หานลี่มีสีหน้าราบเรียบ แต่ในใจพลันรู้สึกยินดี


 


 


ยามนี้วิหคมารตรงข้ามพลันกลายเป็นวิหคเพลิงขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง กระโจนเข้ามาหาหานลี่อย่างดุดัน


 


 


ไม่ทันได้บินเข้ามา เพลิงคลื่นก็หมุนวน หานลี่รู้สึกเพียงว่าบรรยากาศรอบด้านเป็นจุดสีแดงๆ เปลวเพลิงขนาดเท่าเมล็ดถั่วจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นกลางอากาศ


 


 


โดยมีหานลี่เป็นศูนย์กลาง ราวกับในรัศมียี่สิบสามสิบจั้งถูกแผดเผา


 


 


หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ กลับทำเป็นมองไม่เห็นเหตุการณ์ประหลาดเหล่านี้ แค่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็อ้าปากออกพ่นออกมา


 


 


พ่นลูกบอลเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งออกมา แค่กะพริบวาบ ก็กลายเป็นวิหคเพลิงสีเงินความยาวสองสามฉื่อ


 


 


เมื่อวิหคเพลิงนี้ปรากฏตัวขึ้น ผิวก็มีเปลวเพลิงสีเงินเปล่งแสงระยิบระยับ ลูกไฟสีแดงที่เพิ่งปรากฏขึ้นก็บินไปหาวิหคตัวนั้นราวกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ


 


 


ทยอยกันจมหายไปในร่างของวิหคเพลิงแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


อุณหภูมิที่เดิมร้อนระอุ สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


จากนั้นวิหคเพลิงสีเงินก็ขยายใหญ่ขึ้นกว่าครึ่ง ร่างกายพลิ้วไหว พุ่งเข้าไปหาเปลวเพลิงสีขาวที่หมุนวนของวิหคมารด้านตรงข้าม


 


 


แม้ว่าวิหคมารจะกลายเป็นร่างของวิหคเพลิงเช่นกัน แต่ขนาดก็แทบจะใหญ่กว่าวิหคเพลิงสีเงินเจ็ดแปดเท่า แต่วิหคเพลิงสีเงินก็ไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยสักนิด


 


 


วิหคมารเห็นวิหคเพลิงสีเงินปรากฏตัว ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง


 


 


ทั้งหวาดกลัว และตกตะลึงระคนดีใจ แต่สิ่งที่มากกว่าคือความละโมบที่ไม่อาจปิดบังได้เลยสักกระผีก


 


 


เห็นเปลวเพลิงสีเงินพุ่งเข้ามาหาตน ดวงตาทั้งสี่ของวิหคเพลิงตัวนี้ก็เปล่งประกาย ดูเหมือนจะลังเลเล็กน้อย แต่ครู่ต่อมาสายตาก็เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง


 


 


ทันใดนั้นก็เปล่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่งออกมา ผิวของเปลวเพลิงขยายออกไปสองสามฉื่อ จากนั้นก็กระโจนไปหาวิหคเพลิงกลืนวิญญาณที่กำลังพุ่งเข้ามาอย่างไม่ลังเลอีก


 


 


หลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้น ทั้งสองก็ปะทะเข้าด้วยกันทันที


 


 


ชั่วขณะนั้นเพลิงสีขาวเปลวสีเงินก็ตัดสลับกันไปมา วิหคเพลิงทั้งสองตัวกำลังต่อสู้กัน


 


 


ไม่ว่าเพลิงสีขาวหรือเปลวสีเงิน เมื่อทั้งสองสัมผัสก็ระเบิดเป็นเสียงดัง “เปรี้ยงๆ” ออกมา ราวกับวารีและเพลิงที่เข้ากันไม่ได้ระเบิดออกไม่หยุด


 


 


จากร่างกายอันกระจิดริดของวิหคเพลิงสีเงิน ปะทะกับร่างอันใหญ่โตของวิหคมาร คาดไม่ถึงว่าจะไม่ตกเป็นรอง


 


 


เมื่อเปลวเพลิงทั้งสองโรมรันกัน คาดไม่ถึงว่าจะกลืนกินกันและกันไม่หยุด


 


 


ชั่วครู่เปลวเพลิงสีเงินก็กลืนกินเพลิงสีขาวที่สัมผัสไม่หยุด ชั่วครู่เพลิงสีขาวก็ห่อหุ้มเปลวสีเงินเอาไว้ข้างในทั้งหมด


 


 


ทว่าหานลี่มองเพียงชั่วครู่ รูม่านตาก็หดเล็กลง


 


 


เขาดูออกแม้ว่าเพลิงกลืนวิญญาณจะมีพลานุภาพเหนืออีกฝ่ายขั้นหนึ่ง แต่เป็นเพราะจำนวนที่น้อยเกินไป เกรงว่าหลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็จะถูกเปลวเพลิงของอีกฝ่ายกลืนกิน


 


 


แน่นอนว่าเขาไม่มีทางปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น


 


 


เห็นเพียงเขาใช้สองมือร่ายอาคม นิ้วหนึ่งชี้ไปกลางอากาศ


 


 


หลังจากเสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น เสาลำแสงสีเขียวบางๆ ก็พ่นออกมาจากนิ้วแต่ละนิ้ว แค่กะพริบวาบ ก็จมหายเข้าไปในร่างของวิหคเพลิงสีเงินที่กำลังสู้รบอยู่


 


 


เสาลำแสงเหล่านี้เข้มข้นดุจของเหลว เป็นสีเขียวมรกต ล้วนเป็นสิ่งที่หานลี่สร้างขึ้นจากปราณแท้บริสุทธิ์


 


 


เรื่องที่น่าตกตะลึงปรากฏขึ้นแล้ว


 


 


วิหคเพลิงสีเงินเริ่มขยายร่างใหญ่ขึ้น


 


 


สองฉื่อ สี่ฉื่อ ครึ่งจั้ง หนึ่งจั้ง…


 


 


แทบจะแค่ชั่วสองสามลมหายใจ วิหคเพลิงสีเงินก็มีขนาดสามสี่จั้ง ร่างกายใหญ่ยักษ์กว่าวิหคมารสองสามจั้ง


 


 


เช่นนั้นเปลวเพลิงสีขาวที่ถูกเปลวเพลิงสีเงินปกคลุมย้อนกลับ ก็ตกเป็นรองในพริบตา


 


 


เพลิงสีขาวถูกเปลวเพลิงสีเงินกลืนกินไปทีละนิดๆ


 


 


วิหคมารที่กลายเป็นวิหคเพลิงเห็นเช่นนั้น ชั่วขณะนั้นใบหน้าพลันเผยสีหน้าหวาดหวั่นออกมา ดวงตาทั้งสี่เปล่งประกาย อ้าปากออกพ่นไข่มุกกลมสีขาวนวลออกมาเม็ดหนึ่ง


 


 


เป็นสีขาวบริสุทธิ์ เปล่งลำแสงสีขาวเจิดจ้าจนแสบตาออกมา


 


 


นั่นก็คือแกนมารที่วิหคมารฝึกฝนมาไม่รู้กี่ปี ยามนี้เห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว ก็เลยพ่นออกมา


 


 


แกนมารมีขนาดแค่กำปั้น แต่หลังจากพ่นออกมาแล้ว ก็เปล่งลำแสงสีขาวออกมากลายเป็นเข็มบางๆ จำนวนนับไม่ถ้วน และพลิ้วไหว แบ่งออกเป็นสองส่วนโดยอัตโนมัติ


 


 


ชั่วพริบตาส่วนหนึ่งก็พุ่งไปหาวิหคเพลิงกลืนวิญญาณ ชั่วครู่ก็ทะลวงผ่านของวิหคเพลิงสีเงินจนเป็นรูพรุน


 


 


อีกส่วนหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาหาหานลี่ หลังจากกะพริบวาบก็พุ่งไปหาม่านลำแสงสีเขียว


 


 


และไม่รู้ว่าเข็มบางๆ เหล่านี้มีอิทธิฤทธิ์ที่น่าเหลือเชื่อชนิดใด คาดไม่ถึงว่าจะทะลวงผ่านม่านลำแสงสีเขียวได้อย่างง่ายดาย แล้วกะพริบวาบอีกครั้ง มาปรากฏอยู่ตรงหน้าหานลี่ พุ่งมาหาเขาราวกับห่าฝน


 


 


หานลี่เลิกคิ้วขึ้น ร่างกายไม่ไหวติง แต่โล่ผลึกวารีที่ปรากฏขึ้นตรงนั้นพลันพลิ้วไหวแล้วเปล่งลำแสงผลึกออกมา


 


 


เข็มบางๆ เหล่านั้นโจมตีเข้า ก็ทยอยกันสั่นเทาแล้วเปลี่ยนทิศทาง แฉลบผ่านทั้งสองฝั่งของโล่ไป พุ่งไปยังความว่างเปล่า


 


 


และแทบจะในเวลาเดียวกัน หานลี่ก็ตะปบมือข้างหนึ่งไปด้านหลังโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา


 


 


เงาลวงตาของหัวกะโหลกสีขาวห้าหัวเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ พ่นม่านลำแสงหลากสีสันห้าสีออกมา ผนึกรวมกันกลายเป็นเปลวเพลิงห้าสี กวาดเข็มบางๆ กลางอากาศเหล่านั้นเข้าไป


 


 


จากนั้นเปลวเพลิงพลันหมุนวน เข็มบางๆ เหล่านั้นหายวับไปจากกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย


 


 


อีกด้านหนึ่งวิหคเพลิงกลืนวิญญาณกลับถูกเข็มบางๆ สองสามร้อยเล่มปักเข้ามาอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดเช่นกัน


 


 


แม้ว่าร่างของมันจะมีเปลวเพลิงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างกายก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิม แต่แน่นอนว่าย่อมไม่อาจไร้การบาดเจ็บใดๆ เลยได้ อานุภาพย่อมลดลงเป็นอย่างมาก


 


 


เพลิงเที่ยงแท้อีกาเพลิงของวิหคมารยืนกรานไม่ยอมอ่อนข้อให้กับเปลวเพลิงสีเงินอีกครั้ง


 


 


หานลี่เห็นฉากนี้พลันหน้าเปลี่ยนสี ฉับพลันนั้นสองมือพลันร่ายอาคม ร่างกายหมุนวนพุ่งไปบนพื้นดิน


 


 


ชั่วพริบตาลำแสงห้าสีก็เปล่งแสงเจิดจ้า จากนั้นเสียงเพรียกของหงส์ก็ดังก้องกังวาน หงส์ห้าสีขนาดสองจั้งพลันปรากฏขึ้นตรงที่หานลี่ยืนอยู่


 


 


หงส์ตัวนี้วาดปีกข้างหนึ่งไปเบื้องหน้า เส้นสีขาวสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ จากนั้นเส้นนั้นก็บิดเบี้ยวกลางอากาศ กลับมีรอยแยกสีขาวโพลนสายหนึ่งปรากฏออกมา


 


 


หงส์หลากสีสยายปีกทั้งสองออก ร่างกายจมหายไปในนั้นครึ่งหนึ่ง แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


และแทบจะในเวลาเดียวกัน วิหคมารและวิหคเพลิงกลืนวิญญาณที่กำลังสั่นเทาอยู่กลางอากาศ ก็ปรากฏขึ้นบนเส้นสีขาวสายนั้นเช่นกัน


 


 


เส้นนั้นขยายออกอย่างเงียบเชียบ กายท่อนบนของหงส์หลากสียื่นออกมา

 

 

 


ตอนที่ 1618 พิษประหลาดปรากฏขึ้นอีกครั้ง

 

 


 


 


ตั้งแต่หานลี่กลายเป็นหงส์หลากสีจนถึงต้องที่สำแดงอิทธิฤทธิ์ด้านห้วงเวลาของวิหควิญญาณหงส์ออกมา ชั่วครู่วิหคเพลิงกลืนวิญญาณและวิหคมารที่กำลังสู้รบกันปรากฏขึ้นห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้ง ทว่าแค่พริบตาเท่านั้น 


 


 


แต่วิหคมารที่อยู่ด้านล่างก่อนหน้านี้เห็นเข็มบางๆ ที่ปล่อยออกมาไม่มีผลต่อหานลี่ ก็รู้สึกตกตะลึง ชั่วพริบตานั้นก็แผ่จิตสัมผัสส่วนหนึ่งไปทางหานลี่  


 


 


ดังนั้นฉากการเปลี่ยนร่างเมื่อครู่ของหานลี่ จึงถูกวิหคมารตัวนั้นมองเห็นอย่างชัดเจน  


 


 


ใบหน้าสตรีของวิหคมารเผยท่าทีหวาดกลัวออกมา 


 


 


ถึงอย่างไรเสียจิตวิญญาณเที่ยงแท้หงส์สวรรค์ก็เลื่องชื่อว่าเป็นราชันของหมู่วิหค ต่อให้เป็นอีกาทองที่เป็นจิตวิญญาณเที่ยงแท้เช่นเดียวกัน เผชิญหน้ากับหงส์สวรรค์ ก็จำใจต้องถูกควบคุมไปกว่าครึ่งตามธรรมชาติ 


 


 


แน่นอนว่าหานลี่แค่อาศัยเคล็ดวิชานี้สร้างภาพลวงตาหงส์หลากสีขึ้น ไม่อาจเทียบกับหงส์สวรรค์ได้จริงๆ แต่โลหิตหงส์สวรรค์เที่ยงแท้ในร่างกลับเป็นของจริง ส่วนวิหคมารก็ไม่ได้เป็นอีกาสีทองจริงๆ แค่ได้รับการถ่ายทอดโลหิตและกลายพันธุ์มาเท่านั้น 


 


 


ดังนั้นถึงได้สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเฉพาะที่แผ่ออกมาจากโลหิตเที่ยงแท้ในร่างของหงส์หลากสี จากนั้นวิหคมารตัวนั้นก็อดที่จะรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้ 


 


 


ประกอบกับความร้ายกาจของวิหคเพลิงกลืนวิญญาณก่อนหน้า คาดไม่ถึงว่าจะสามารถกลืนกินเพลิงเที่ยงแท้อีกาสีทองได้ ทำให้อิทธิฤทธิ์ของมันในอดีตที่แทบจะราบรื่นไร้การติดขัด ถูกควบคุมไว้ไม่ได้ 


 


 


หลังจากที่วิหคมารตัวนี้เกิดความคิดที่จะถอย ปากก็เปล่งเสียงร้องแหลมๆ ออกมาอย่างไม่ต้องขบคิด ฉับพลันนั้นก็พ่นเสาลำแสงสีขาวนวลสายหนึ่งออกมา จากนั้นเปลวเพลิงสีขาวบนเรือนร่างก็หดเล็กลง คิดจะปลีกตัวหนีไป 


 


 


แต่ร่างของวิหคเพลิงกลืนวิญญาณก็เป็นร่างที่หานลี่สร้างขึ้นจากเพลิงวิญญาณในร่าง เชื่อมโยงกับจิตสัมผัสของหานลี่เหนือกว่าสมบัติปประจำกายปกติหลายส่วน 


 


 


วิหคมารจะหนีไปง่ายๆ เช่นนี้ หานลี่แค่ขบคิด วิหคเพลิงสีเงินก็อ้าปากออกพ่นเส้นไหมบางๆ สีทองเงินออกมาเส้นหนึ่งเช่นกัน 


 


 


นั่นก็คือคลื่นลำแสงภยันตรายที่เพลิงกลืนวิญญาณหลอมขึ้นในปีนั้น! 


 


 


เสาลำแสงสีขาวนวลมีความหนาเท่าปากชาม เส้นบางๆ สีทองเงินดูเหมือนเส้นไหม แต่เมื่อทั้งสองปะทะกัน กลับทำให้เสาลำแสงหยุดชะงัก พุ่งกลับไปหาวิหคมารทางเดิมทันที 


 


 


แม้ว่าพลังยุทธ์ของวิหคมารจะไม่ธรรมดา แต่การโจมตีของตนเองสะท้อนกลับมา ย่อมทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นระลอกหนึ่ง  


 


 


มันสยายปีกสองข้างออกมาด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว เปลวเพลิงลำแสงสีขาวสองกลุ่มม้วนวนออกมาจากทั้งสองด้าน แล้วถึงได้ฝืนต้านทานเสาลำแสงนี้อาไว้  


 


 


แต่ในยามนั้นเส้นบางสีทองเงินก็เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วมาอยู่ตรงหน้าของมันแล้ว 


 


 


วิหคตัวนี้เองรู้ว่าเส้นบางสีทองเงินแปลกประหลาดมาก จะกล้ารับมันตรงๆ ได้อย่างไร ร่างกายจึงคิดจะหลบหลีกอย่างพลิ้วไหว 


 


 


แต่ในยามนั้นเหนือหัวของมันพลันมีเสียงวิหคดังขึ้น ลำแสงสีเขียวผืนใหญ่ห่อหุ้มลงมาอย่างแปลกพิกล ความเร็วมิอาจเทียบเทียมได้ 


 


 


นั่นก็คือหงส์หลากสีที่หานลี่สร้างขึ้นซึ่งบินออกมาจากรอยแยกอย่างสมบูรณ์แล้ว แค่ขนยาวๆ พลิ้วปลิวไสว ลำแสงวิญญาณสีเขียวก็กวาดออกมาอย่างเงียบเชียบ 


 


 


จากความเร็วของวิหคมาร ก็พอจะหลบหลีกได้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเปลวเพลิงสีเงินที่กำลังตัดสลับพัวพันกันกับเพลิงเที่ยงแท้อีกาสีทองก็พลันหยุดชะงักแล้วม้วนวนกลับไป ชั่วขณะนั้นพลังมหาศาลก็ส่งออกมา ภายใต้การดึงฉุดของความสามารถ ชั่วครู่ก็ทำให้ร่างของวิหคมารที่ไม่ได้ตั้งรับสั่นไหว 


 


 


ชั่วขณะนั้นพลันถูกลำแสงสีเขียวห่อหุ้มเอาไว้ข้างใน  


 


 


แม้ว่าเรือนร่างของวิหคตัวนี้จะถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยเปลวเพลิงสีขาว แต่เมื่อสัมผัสกับลำแสงสีเขียว กลับทยอยกันละลายราวกับหิมะละลายในวสันตฤดู  


 


 


ไม่รู้ว่าลำแสงสีเขียวนี้มีอิทธิฤทธิ์ใด คาดไม่ถึงว่าจะควบคุมเพลิงเที่ยงแท้อีกาสีทองได้อย่างพอดิบพอดี 


 


 


และเมื่อร่างของวิหคมารถูกลำแสงสีเขียวห่อหุ้มเอาไว้ ก็รู้สึกร่างกายถูกตึงแน่น ร่างกายหนักอึ้งราวกับยกภูเขาไท่ซานเอาไว้ 


 


 


วิหคมารตัวนี้พลันหน้าถอดสี แต่ไม่ใช่เพราะถูกกักขัง แต่เป็นเพราะเส้นบางสีทองเงินมาถึงหว่างคิ้วตน ยามนั้นไม่มีทางหลบหลีกได้อีก 


 


 


การร่วมมือกันระหว่างหานลี่และวิคหกเพลิงกลืนวิญญาณ ช่างสอดคล้องกันอย่างพอดิบพอดี 


 


 


ภายใต้ความจนปัญญานั้น ใบหน้าของวิหคมารพลันเป็นสีเขียวคล้ำ แต่ก็อ้าปากออกสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่ง 


 


 


แต่เดิมที่ลอยตัวอยู่ใกล้ๆ กับแกนมารสีขาว ก็เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วเคลื่อนย้ายมาอยู่ตรงหน้าของวิหคมาร 


 


 


คาดไม่ถึงว่ามันคิดจะใช้สิ่งนี้ ต้านทานเอาไว้ชั่วคราว 


 


 


ที่วิหคมารทำเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมเชื่อมั่นใจความแข็งแกร่งของแกนมารของตนเอง เชื่อว่าแม้จะเผชิญหน้ากับการโจมตีด้วยสมบัติระดับสุดยอด ก็จะปลอดภัยไร้อันตราย 


 


 


เรื่องที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น  


 


 


เมื่อเส้นบางๆ สีทองเงินโจมตีเข้ากับแกนมาร กลับเงียบกริบ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งผ่านไปราวกับไม่มีอะไรขวางกั้นอยู่ 


 


 


เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ตรงกลางระหว่างตาทั้งสี่ของวิหคมารมีดวงหน้าเล็กๆ สีดำสนิทปรากฏขึ้น  


 


 


เส้นบางๆ สีทองเงินตัดทะลุผ่านไปอย่างคาดไม่ถึง 


 


 


เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังออกมาจากปากของวิหคมาร เปลวเพลิงสีขาวบนผิวของมันที่แต่เดิมหม่นแสงลงเป็นอย่างมาก ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าตามเสียงร้องของมัน 


 


 


สยายปีกทั้งสองข้างออก ทำให้ลำแสงสีเขียวที่เดิมกักขังอยู่รอบๆ แตกออกเป็นเสี่ยงๆ! 


 


 


จากนั้นวิหคตัวนี้ก็ไม่สนใจการโจมตีอันดุดันของวิหคเพลิงวิญญาณฝั่งตรงข้าม ชั่วพริบตานั้นเปลวเพลิงสีเงินบนร่างที่กำลังยืนกรานอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กับเปลวเพลิงสีขาวก็ถูกตัดออกในเวลาเดียวกัน 


 


 


จากนั้นมันก็กระพือปีกทั้งสองข้างสองสามครั้ง เสาเพลิงสีขาวกลุ่มหนึ่งพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าจากร่างของมัน หมุนวนติ้วๆ ปล่อยพลังเพลิงวายุออกมาในเวลาเดียวกัน ชั่วพริบตาก็กลายเป็นทะเลเพลิงสีขาว 


 


 


วิหคมารตัวนั้นที่อยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีขาวดุดัน ดิ้นรนกระพือปีกทั้งสองข้างไม่หยุด ส่วนแกนมารที่อยู่กลางอากาศก็มีเงาลวงตาของวิหคประหลาดขนาดยักษ์ยาวสิบจั้งเศษปรากฏขึ้นเหนือทะเลเพลิง 


 


 


เงาลวงตานั้นมีเรือนกายสีทองอ่อน ดวงตาทั้งสองเป็นสีดำสนิท ราวกับอีกาตัวหนึ่ง แต่กายท่อนล่างกลับมีกรงเล็บสามกรงเล็บ 


 


 


“เทวรูปอีกาทอง! มีเลือดเนื้อของจิตวิญญาณเที่ยงแท้นี้หลายส่วนดังคาด!” 


 


 


หงส์หลากสีที่อยู่กลางอากาศมีลำแสงประหลาดหมุนวนโคจรอยู่รอบร่างระลอกหนึ่ง หานลี่กลายร่างเป็นร่างมนุษย์อีกครั้ง และมองไปทางเงาลวงตาอีกาสีทองที่อยู่ท่ามกลางทะเลเพลิง พลางเอ่ยพึมพำ 


 


 


และในยามนั้นเองวิหคมารที่อยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงก็ชูคอกู่ร้อง ชั่วขณะนั้นเปลวเพลิงสีขาวที่เดือดพล่านสี่ชนิดพลันบินหมุนวนไปทางเงาลวงตาอีกาสีทองกลางอากาศพร้อมกันราวกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ 


 


 


หลังจากที่เพลิงสีขาวเหล่านั้นสัมผัสกับเงาลวงตา ก็จมหายเข้าไปอย่างไร้สุ้มเสียงทันที 


 


 


แค่ชั่วลมหายใจ เงาลวงตายักษ์ก็ดูดเพลิงเที่ยงแท้อีกาสีทองเหล่านั้นเข้าไป รอบกายเป็นสีทองเรืองรอง คาดไม่ถึงว่าร่างกายจะเข้มขึ้นราวกับเป็นของจริง แต่ผิวของขนนกสีทองพลันมีเปลวเพลิงสีขาวชั้นหนึ่งลุกไหม้ในเวลาเดียวกัน  


 


 


และท่ามกลางเปลวเพลิงสีขาวเหล่านั้น อักขระสีเงินหมุนวนโคจรไปมา อานุภาพเหนือกว่าเดิมหลายเท่า 


 


 


วิหคมารที่อยู่ด้านล่างมีสีหน้าโหดเ**้ยม จ้องเขม็งมายังหานลี่อย่างดุดัน เผยให้เห็นว่าครู่ต่อมาจะควบคุมเทวรูป กระตุ้นการโจมตีที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิม  


 


 


แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ หานลี่มองไปยังวิหคสีทองยักษ์กลางอากาศ แล้วก้มหน้ากวาดสายตาไปยังวิหคมารด้านล่างแวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นพลันหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นมือหนึ่งพลันชี้ไปที่วิหคมาร ปากก็เปล่งเสียงคำว่า “ล้ม” ออกมาสามครั้ง  


 


 


วิหคมารได้ยินพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็สยายปีกออกด้วยความโกรธเกรี้ยว เตรียมจะเคลื่อนไหว 


 


 


แต่ในยามนั้นเองความเปลี่ยนแปลงก็ปรากฏขึ้น! 


 


 


วิหคมารร่างกายสั่นเทา ฉับพลันนั้นเสียงร้องโหยหวนก็ดังลงมาจากฟากฟ้า และขดตัวระหว่างที่ร่อนลงมา ผิวเปลี่ยนเป็นสีม่วงดำ ในเวลาเดียวกันกลิ่นเหม็นเน่าก็โชยออกมา คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นของเหลวสีม่วงดำในชั่วพริบตา แม้แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมก็ไม่เห็นว่าหนีออกมาทัน 


 


 


นั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากคลื่นลำแสงภยันตรายผสมพิษ 


 


 


พิษนี้ไม่เพียงเป็นพิษประหลาด และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากถูกแล้วตอนแรกยังไม่มีความผิดปกติเลยสักนิด 


 


 


ทว่าเมื่อเทียบกับแมลงเม่าประหลาดในตอนแรก เห็นได้ชัดว่าอีกาสีทองตัวนี้ต้านทานพิษได้น้อยกว่าเป็นอย่างมาก ไม่เพียงจะสัมผัสถึงพิษได้ช้าเกินไป และเมื่อกำเริบก็จะกลายเป็นแอ่งน้ำพิษ ไม่อาจต้านทานได้ 


 


 


เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ หานลี่พลันรู้สึกผ่อนคลายลง วิหคเพลิงสีเงินกลับกรีดร้องด้วยความดีใจ สยายปีกทั้งสองออก พลางกระโจนลงไปด้านล่าง คาดไม่ถึงว่าจะกลืนวิหคมารที่กลายเป็นแอ่งน้ำพิษลงไปในท้องในคำเดียว 


 


 


หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนั้นพลันตะลึงงัน แต่หลังจากลังเลเล็กน้อย ก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร 


 


 


แม้ว่าโลหิตเที่ยงแท้อีกาสีทองจะล้ำค่ามาก แต่เคล็ดวิชาแปลงกายที่เขาฝึกฝนอย่างเคล็ดวิชาตื่นจากแปลงกายสิบสองครั้งกลับไม่มีเคล็ดวิชาอีกาสีทอง ต่อให้ได้มาก็ไม่อาจกระตุ้นประสิทธิภาพได้มากนัก 


 


 


เช่นนั้นแน่นอนว่าย่อมไม่สู้ให้วิหคเพลิงกลืนวิญญาณกลืนลงไป ดูว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ดีกว่าหรือ? 


 


 


ถึงอย่างไรเสียวิหคเพลิงนี้ก็มีสติปัญญา การยอมกลืนเจ้าสิ่งนี้เข้าไปปกติแล้วต้องมีประโยชน์ต่อการพัฒนาของมันเป็นอย่างมาก 


 


 


หลังจากที่วิหคเพลิงตัวนี้กลืนวารีพิษเข้าไป ก็ไม่ได้หันกลับมา แต่บินขึ้นไปกลางอากาศอีกครั้ง 


 


 


จะว่าไปแล้วก็แปลก หลังจากที่วิหคมารตัวนั้นเพลี่ยงพล้ำ เทวรูปอีกาทองยักษ์ตัวนั้นกลับไม่ได้สลายหายไป แค่ดวงตาสีดำสนิททั้งสองเปล่งประกายแล้วสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย เปลี่ยนเป็นแข็งทื่อราวกับหุ่นเชิด 


 


 


เมื่อวิหคเพลิงสีเงินกระโจนเข้ามาในร่างของอีกาสีทองยักษ์ พลันก็อ้าปากออก กลืนเทวรูปอีกาทองตัวนั้นไปจนหมด 


 


 


และไม่รู้ว่าถึงเวลาแล้วหรือว่ากลืนเพลิงเที่ยงแท้อีกาสีทองไปมากเกินไป หลังจากที่วิหคเพลิงกลืนเปลวเพลิงดวงสุดท้ายลงไปในท้อง ผิวของมันก็เปล่งแสงสว่างวาบ กลับมามีขนาดสองสามฉื่ออีกครั้ง และพุ่งมาทางหานลี่โดยไม่ได้ปริปากใดๆ 


 


 


สุดท้ายก็จมหายเข้าในร่างของหานลี่อย่างไร้ร่องรอย 


 


 


เช่นนั้นจากนี้นอกจากแกนมารสีขาวดวงนั้นและเข็มบางเปล่งแสงระยิบระยับซึ่งลอยอยู่ไกลๆ ก็ไม่มีสิ่งอื่นอีก 


 


 


หานลี่เองก็ไม่เกรงใจ สะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งม้วนวนออกมา 


 


 


แกนมารและเข็มบางสองสามร้อยเล่มเปล่งแสงสว่างวาบท่ามกลางลำแสงสีเขียว แล้วสลายหายไปทั้งหมด 


 


 


ยามนี้หานลี่หันกายไปมองม่านลำแสงสีเขียวที่สร้างขึ้นจากเขตอาคมกระบี่หลากวสันต์แวบหนึ่ง ใบหน้าเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา 


 


 


มือข้างหนึ่งร่ายอาคม ม่านลำแสงสีเขียวแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นดอกบัวสีเขียวเป็นชั้นๆ ก็สลายหายไป สุดท้ายก็กลับคืนเป็นกระบี่บินสีเขียวเจ็ดสิบสองเล่ม กรีดร้องต่ำๆ ไม่หยุดพลางลอยอยู่ทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน 


 


 


และกระบี่บินเหล่านี้ที่อยู่ตรงใจกลาง ซากวิหคมารทั้งสี่ถูกสับออกเป็นชิ้นๆ พลันลอยนิ่งอยู่ตรงนั้น 


 


 


คิดไม่ถึงว่าวิหคมารระดับสูญสุญตาขั้นต้นสี่ตัวจะถูกอานุภาพของเขตอาคมกระบี่หลากวสันต์สังหารรวดเดียวขณะที่เขตอาคมกระบี่กำลังโกลาหล 


 


 


ฉากลงดาบของหานลี่กลับไม่ได้เผยสีหน้าแปลกประหลาดใจออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วบินไปที่ด้านข้างซากศพ ลังเลเล็กน้อย แล้วเก็บซากศพทั้งหมดเข้าไปในถุงเก็บของท่ามกลางม่านลำแสงที่หมุนวน  


 


 


แม้ว่าจากความรู้สึกของเขา ดูเหมือนโลหิตเที่ยงแท้อีกาสีทองในร่างของวิหคมารจะมีอยู่เบาบางมาก แต่ก็ยังมีอยู่เล็กน้อย เช่นนั้นวันข้างหน้าย่อมรอให้วิหคกลืนวิญญาณหลอมเพลิงก่อนหน้าให้เสร็จสิ้น แล้วค่อยให้มันกินต่อได้ 


 


 


แม้ว่าโลหิตของจิตวิญญาณเที่ยงแท้เช่นนี้จะล้ำค่าเป็นอย่างยิ่งในแดนวิญญาณ เขาก็ไม่มีทางฟุ่มเฟือยแน่!  


 


 


หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น ร่างของหานลี่ก็เปล่งแสงสว่างวาบอีกสองสามครั้ง คนก็กลับมาอยู่ข้างกายของทั้งสอง และเอ่ยอย่างคร่าวๆ ว่า 


 


 


“เอาล่ะ จัดการเรียบร้อยแล้ว พวกเราไปกันเถิด” 


 


 


เมื่อได้ยินน้ำเสียงราบเรียบของหานลี่ เย่ว์จงก็ตกตะลึงจนตาค้างไปชั่วครู่ 


 


 


ในความคิดของเขาแม้ว่าหานลี่จะร้ายกาจแต่มากสุดก็คงอยู่ในระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เก้าเท่านั้น 


 


 


แต่สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นมันคืออะไร? คนผู้นี้เพิ่งจะอยู่ในระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เจ็ด คาดไม่ถึงว่าจะสังหารวิหคมารระดับสูงจำนวนมากภายในเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา แถมยังมีท่าทีสบายๆ เช่นนี้ 


 


 


วิหคมารเหล่านี้ไม่เพียงมีตัวที่อยู่ในระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เก้าอยู่ และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นวิหคมารกลายพันธุ์จากโลหิตของจิตวิญญาณเที่ยงแท้! 


 


 


ทุกอย่างนี้ทำให้เย่ว์จงตกตะลึงอย่างขีดสุด ยังคงไม่เชื่อสิ่งที่ตนเห็นเมื่อครู่ 


 


 


เขาแค่มองหานลี่ด้วยความตกตะลึง ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ 

 

 

 


ตอนที่ 1619 สังหาร

 

 


 


ส่วนสตรีนามเซียนเซียนนั้น ก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมาเช่นกัน ทว่าทันใดนั้นก็ได้สติแล้วเอ่ยตอบว่า “ท่านอาวุโสหานพูดถูกเจ้าค่ะ พวกเราไม่ควรอยู่ที่นี่นานนัก ไม่แน่ว่าอาจจะมีมารอสูรอะไรซ่อนอยู่อีก พวกเรารีบไปจะดีกว่า”


 


 


เย่ว์จงได้ยินคำนี้ ในที่สุดก็ได้สติกลับมาจากอาการเหม่อลอย แน่นอนว่าย่อมพยักหน้าระรัว


 


 


ทันใดนั้นทั้งสามก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนีแล้วเดินทางต่อ


 


 


ครั้งนี้พวกเขาบินมาได้แค่ครึ่งชั่วยาม ก็บินออกมาจากม่านหมอกบางๆ ในที่สุดก็ออกจากเขตพื้นที่นั้น


 


 


ทั้งสามไม่มีเจตนาจะหยุดพัก ตั้งหน้าตั้งตาพุ่งตรงไปยังส่วนลึกของเทือกเขาด้านหน้า


 


 


หานลี่และพวกทั้งสามไม่รู้ว่า ในเวลาเดียวกันที่ทั้งสามออกจากม่านหมอกบางๆ นั้น อีกด้านของหมอกบางๆ ก็มีลำแสงสีเงินอ่อนสายหนึ่งพุ่งมาจากขอบฟ้า หลังจากกะพริบวาบสองสามครั้ง ก็หยุดอยู่ตรงหน้าม่านหมอก


 


 


ลำแสงหลีกหนีหม่นแสง เงาร่างคนเล็กๆ ปรากฏขึ้น หูทั้งสองเรียวแหลม ใบหน้าดอกต้นท้อ ด้านหลังมีหางยาวๆ ขนปุกปุยสะบัดไปมา


 


 


หญิงสาวที่ดูเหมือนสวยสดงดงามผู้นี้กวาดตาไปรอบๆ ด้าน จากนั้นมือหนึ่งพลันร่ายอาคม ปากพลันบริกรรมคาถา


 


 


หลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้น ชั่วพริบตานั้นม่านหมอกสีเงินกลุ่มหนึ่งก็ระเบิดออกจากในร่างของสตรีผู้นี้ กลายเป็นอักขระหมุนวนพุ่งแผ่ไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้านอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


“ตามมาไม่ผิดทางดังคาด! ที่นี่ไม่ผิดแน่ ทว่าที่นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยของอีแร้งหน้ามนุษย์ พวกมันมีเลือดเนื้อของอีกาสีทอง และยังมีลูกสมุน ไม่ค่อยน่าคบค้าสมาคมด้วยนัก ทว่าก็ดี อย่างน้อยที่สุดผู้ที่มาจากภายนอกกลุ่มนั้นจะได้หนีออกไปจากที่นี่ไม่ได้ง่ายๆ” หญิงสาวเลิกร่ายอาคม เผยสีหน้ายินดีออกมาขณะเอ่ยพึมพำกับตนเอง


 


 


ลำแสงสีเงินปรากฏขึ้น สายรุ้งสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในหมอกบางๆ


 


 


หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ตรงจุดที่หานลี่สังหารวิหคมารเหล่านั้นไป ลำแสงสีเงินหม่นแสง หญิงสาวปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง


 


 


หลังจากที่หญิงสาวสูดจมูกฟุตฟิต ก็เผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมา จากนั้นมือหนึ่งพลันร่ายอาคม สำแดงเหมือนก่อนหน้าอีกครั้ง


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หญิงสาวก็มีสีหน้าเขียวคล้ำสลับกับสดใสไม่แน่นอน


 


 


หญิงสาวผู้นี้ขบคิดอยู่ชั่วครู่ ฉับพลันนั้นก็ชูคอขึ้นเปล่งเสียงร้องคำรามยาวๆ


 


 


ราวกับพยัคฆ์คำรามและคล้ายกับมังกรคำราม!


 


 


แต่เสียงนั้นดังอยู่นาน รอบด้านก็ยังคงเงียบสงัด ไม่มีการเคลื่อนไหวเลยสักนิด


 


 


หญิงสาวถอนหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง หยุดคำราม แต่คิ้วดำขลับกลับขมวดมุ่น


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ สายตาของนางก็เปล่งประกายพลางสั่นศีรษะ ลำแสงหลีกหนีปรากฏขึ้นแล้วไปจากที่นี่อีกครั้ง


 


 


ดูจากทิศทางที่มุ่งไป คาดไม่ถึงว่าจะไม่แตกต่างกับทางที่หานลี่และพวกจากไปเลยสักนิด


 


 


……


 


 


ณ ภูเขาลับในส่วนลึกของเทือกเขามารสีทอง กลางอากาศแน่นขนัด บนพื้นมีเงาอสูรอยู่มากมาย คาดไม่ถึงว่ามารอสูรหลากชนิดจะมารวมตัวกันจนนับไม่ถ้วน


 


 


ใหญ่หน่อยราวกับภูเขาขนาดย่อม เล็กหน่อยก็มีขนาดแค่สองสามฉื่อ


 


 


และตรงกลางของมารอสูรเหล่านั้น มีศิลาขนาดยักษ์สูงประมาณยี่สิบสามสิบจั้งก้อนหนึ่ง


 


 


บนศิลามีมารหัวใหญ่สองสามจั้งตัวหนึ่งหมอบอยู่ นั่นก็คือหอยยักษ์


 


 


แค่ร่างของมารอสูรนี้เล็กกว่าก่อนหน้าสองสามเท่า ท่ามกลางมารอสูรหน้าตาที่โหดเ**้ยมยิ่งกว่านี้ ก็ดูไม่สะดุดตาเลยสักนิด


 


 


หอยยักษ์หมอบนิ่งอยู่บนศิลายักษ์ไม่ขยับเขยื้อน ดูเหมือนว่าจะกำลังรอคอยอะไรอยู่


 


 


กลับเป็นมารอสูรรอบๆ นับพันตัวที่เผยสีหน้าอดทนรอไม่ไหวออกมา คาดไม่ถึงว่าจะรักษาความสงบเยือกเย็นเอาไว้เช่นกัน


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ฉับพลันนั้นวิหคมารกลางอากาศจำนวนมากก็แยกตัวออก ค้างคาวยักษ์ความยาวสองสามฉื่อ ผิวมีอักขระสีทองเรืองรองโฉบลงมาด้านล่าง สุดท้ายก็เก็บปีกทั้งสองข้าง หยุดอยู่ตรงหน้าหอยยักษ์


 


 


“นายท่าน ถึงเวลาแล้ว ผู้ที่ควรมาก็มากันครบแล้ว!”


 


 


“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น งั้นก็เคลื่อนตัวเถิด ข้าจะกำชับเป้าหมายในครั้งนี้อีกครั้ง สังหารคนภายนอกที่เข้ามาในเทือกเขาทั้งหมด และชิงจานอาคมในมือของพวกมันมา จากนั้นก็ใช้ยุทธภัณฑ์นั้นตามหา ‘เห็ดเซียน’ มาให้ข้า สุดท้ายก็นำไปมอบให้นายท่านมารเหล็ก ไม่ว่าผู้ใดที่ตามหาเห็ดเซียนตัวนั้น จะได้รับรางวัลอย่างงาม” คำพูดของหอยสั้นง่าย นอกจากเน้นย้ำเป้าหมายอีกครั้ง ก็ไม่ได้พูดจาไร้สาระสักประโยชน์


 


 


มารอสูรนับพันหมื่นตัวในภูเขาเบิกเนตรกันหมดแล้ว หลังจากได้ฟังก็แตกฮือออกในทันที บ้างก็บินไปกลางอากาศ บ้างก็ขดตัวจมหายไปใต้ดิน ล้วนพุ่งตรงไปรอบนอกของเทือกเขา


 


 


หอยยักษ์เองก็กระโจนออกไปเช่นกัน เข้าร่วมกองทัพมารอสูร


 


 


แต่อสูรตัวนี้ไม่ทันสังเกตว่า ในเมฆสีเทาที่ดูเหมือนธรรมดาๆ ก้อนหนึ่งซึ่งอยู่เหนือภูเขาขึ้นไปหลายพันจั้ง มีเงาสีดำเงาหนึ่งซ่อนอยู่ในนั้น


 


 


ดวงตาสีแดงโลหิตคู่นี้มีเงาสีดำสว่างวาบ จ้องเขม็งไปยังทุกอย่างด้านล่างด้วยความเย็นชา


 


 


หลังจากที่มารอสูรทั้งหมดออกจากภูเขา เจ้าสิ่งนั้นก็บินออกมาจากหมู่เมฆ


 


 


คาดไม่ถึงว่าจะเป็นนกแก้วขนาดใหญ่สองสามฉื่อ เรือนกายเป็นสีแดงโลหิต


 


 


หลังจากที่นกแก้วหมุนวนกลางอากาศรอบหนึ่ง เสียง “ปัง” ก็ดังขึ้นเบาๆ คาดไม่ถึงว่าจะระเบิดตัวเองออก กลายเป็นหมอกสีโลหิตแล้วสลายหายไป


 


 


อักขระสีโลหิตที่แฝงอยู่ด้านในเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป


 


 


และแทบจะในเวลาเดียวกัน ในห้องหินส่วนลึกของใต้ดินที่มีเขตอาคมต้องห้ามแน่นหนาของเทือกเขามารสีทอง ชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีโลหิตซึ่งเดิมนั่งสมาธิหลับตาอยู่บนฟูก พลันอ้าปากร้องอุทานออกมาเบาๆ แล้วลืมตาทั้งสองข้างขึ้น


 


 


ชายร่างใหญ่หน้าซีดขาว ปากกว้างจมูกแบน แต่แววตาเคร่งขรึม


 


 


“เจ้ามารปีกเหล็กมันทำอะไร นายท่านบรรพบุรุษศักดิ์สิทธิ์กำลังจะฟื้นแท้ๆ กลับเรียกคนจำนวนมากไปสังหารคนภายนอกเพื่ออะไรกัน! ‘เห็นเซียน’ นั่นคือสิ่งใด คาดไม่ถึงว่าจะระดมผู้คนมากมาย แทบจะส่งมารอสูรระดับสูงใต้บังคับบัญชาทั้งหมดออกไป” ชายร่างใหญ่เอ่ยพึมพำเสียงเบา ใบหน้ามีสีหน้าเคร่งขรึมสลักกับสดใสไม่แน่นอน


 


 


แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ฉับพลันนั้นเขาก็ปรบมือทั้งสองเบาๆ


 


 


เสียง “ครืด” ดังขึ้น ชั่วขณะนั้นประตูหินก็เปิดออกอย่างไม่มีสัญญาณมาก่อน หญิงสาวร่างกายอรชนอ้อนแอ้นเดินเข้ามา


 


 


สตรีผู้นี้สวมชุดชาววังสีแดงโลหิต แต่ใบหน้ากลับถูกปกปิดไว้ด้วยหมอกสีโลหิตจางๆ ไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงได้


 


 


“คารวะเสด็จพ่อ!” หญิงสาวเดินมาอยู่ตรงหน้าชายร่างใหญ่ ก็คำนับเบาๆ ทันที


 


 


“เสี่ยอิง ลุกขึ้นเถิด จากที่ข้าคาดเดาสองสามวันนี้มารปีกเหล็กและมารหลายตาไปที่วังธรณีหรือไม่” ชายร่างใหญ่ใช้มือหนึ่งโบกไปมา แล้วเอ่ยถามอย่างราบเรียบ


 


 


“รายงานเสด็จพ่อ เขาสองคนไม่ได้ปรากฏตัวที่วังธรณี” น้ำเสียงของหญิงสาวเคร่งขรึมเล็กน้อย แต่ก็ยังนับว่าไพเราะจับใจ


 


 


“ยังมาไม่ถึง ดูแล้วคงเกิดปัญหาแล้วจริงๆ” ชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีโลหิตแววตาเปล่งประกาย เผยท่าทางครุ่นคิดออกมา


 


 


“เสด็จพ่อได้ข่าวอะไรมาหรือเจ้าคะ?” น้ำเสียงของหญิงสาวสวมชุดชาววังประหลาดใจไปเล็กน้อย


 


 


“อืม ตอนนี้ลูกสมุนของมารปีกเหล็กล้วนออกจากรังหมดแล้ว” ชายร่างใหญ่เอ่ยอย่างแช่มช้า”


 


 


“อะไรนะ ออกไปหมดแล้ว! หรือว่า…” หญิงสาวพลันตะลึงงัน


 


 


“ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด พวกมันไปที่รอบนอกของเทือกเขา เตรียมสังหารคนของแดนวิญญาณที่เข้ามาในเทือกเขาในช่วงนี้!” ชายร่างใหญ่สั่นศีรษะ


 


 


“สังหารคนของแดนวิญญาณ! นี่มันหมายความว่าอย่างไร? หญิงสาวสวมชุดชาววังพลันตะลึงค้าง


 


 


“นั่นก็เป็นสาเหตุที่ข้าเรียกเจ้ามา ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่า ‘เห็ดเซียน’ หากบรรพบุรุษศักดิ์สิทธิ์ตื่นขึ้น ข้าก็ออกไปไม่สะดวก เจ้าไปสืบเรื่องนี้มาให้ชัดแล้วค่อยว่ากัน หากได้ข่าวให้รายงานข้าทันที” แววตาของชายร่างใหญ่ฉายแววเย็นเยียบขณะออกคำสั่ง


 


 


“เจ้าค่ะเสด็จพ่อ” หญิงสาวสวมชุดชาววังใจหายวาบ แต่ก็เอ่ยปากตอบรับ


 


 


จากนั้นก็ถอยออกไปจากห้องอย่างนอบน้อม ประตูหินปิดสนิทลงโดยอัตโนมัติ


 


 


ส่วนชายร่างใหญ่สวมชุดชาววังก็พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่ง แล้วหลับตาทำสมาธิอีกครั้ง


 


 


……


 


 


กลางอากาศเหนือป่าสีเทาขาวรอบนอกของเทือกเขามารสีทอง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงคนหนึ่งกำลังควบคุมมีดบินสีแดงสามเล่ม ต่อสู้กับมารอสูรที่ดูเหมือนหมีดำสองตัวอย่างสุดชีวิต


 


 


มารอสูรสองตัวนี้ไม่เพียงมีความสูงสองสามจั้ง ฝ่ามือยักษ์ทั้งสี่ยังมีเล็บแหลมคม กรงเล็บลำแสงแหวกผ่านอากาศปรากฏขึ้นจำนวนนับไม่ถ้วน ตัดสลับกับมีดบิน ระเบิดเป็นเสียงไพเราะออกมาเป็นสายๆ การโจมตีรวดเร็วและดุดันมาก


 


 


ชนต่างเผ่าระดับเทพแปลงผู้นี้ ทำได้เพียงฝืนรักษาตัวเองไว้เท่านั้น


 


 


แต่ครู่ต่อมาขอบฟ้าก็มีเสียงร้องประหลาดๆ “แกว๊กๆ” ดังขึ้น จากนั้นเมฆสีดำสนิทก็ลอยมา


 


 


คาดไม่ถึงว่าจะเป็นฝูงวิหคเขาเดียวสีดำนับร้อยนับพันตัว


 


 


หนึ่งในนั้นมีความยาวสองสามจั้ง ดวงตาสีเขียวมรกต เปล่งแสงเย็นเยียบออกมา


 


 


ชนต่างเผ่าระดับเทพแปลงผู้นี้เห็นทัศนียภาพนั้น ชั่วขณะนั้นก็ตกใจจนขวัญกระเจิง แต่ก็ถูกการต่อสู้ของหมียักษ์สองตัวรั้งเอาไว้ จนไม่อาจหนีได้ จึงทำได้เพียงกระตุ้นมีดบินสามเล่มนั้นโดยมีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มหน้า


 


 


มีดบินสามเล่นกลายเป็นสายรุ้งสามสายปกป้องร่างของเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา


 


 


แต่หลังจากมารวิหคที่เป็นหัวหน้าเปล่งเสียงร้องประหลาดๆ ออกมา มารวิหคนับร้อยตัวก็กระจายตัวออก มีดบินทำได้เพียงฟันลงไปสิบกว่าตัว ก็ถูกมารอีกาฉีกออกเป็นชิ้นๆ


 


 


แม้แต่มารอสูรหมียักษ์ที่กำลังต่อสู้อยู่ก็ไม่รอด ตายอยู่ในท้องของมารวิหคฝูงนี้เช่นกัน


 


 


แต่สุดท้ายมารวิหคตัวหนึ่งพลันอ้าปาก พ่นยุทธภัณฑ์จานอาคมออกมา


 


 


มารวิหคหัวหน้าเห็นเช่นนั้น แววตาพลันฉายแววดีใจ อ้าปากออก พ่นลำแสงออกมาดูดจานอาคมเข้าไปในท้อง จากนั้นก็พาฝูงมารวิหคบินไปอีกทาง


 


 


……


 


 


เหนือยอดเขาลูกหนึ่งมารอสูรคล้ายกับเสือดาวห้าตัวถ่มน้ำลายลงไปด้านล่าง


 


 


กลางอากาศเหนือยอดเขามีม่านลำแสงสีเหลืองปรากฏขึ้น ไอมารสีเทาขาวเหล่านั้นโจมตีไป ทำให้ม่านลำแสงสั่นคลอนไปมาไม่หยุด


 


 


และม่านลำแสงด้านล่างนั้น ชนต่างเผ่าสองคนกำลังถือธงอาคมโบกสะบัดไปมาอย่างสุดฤทธิ์ ใช้พลังปราณของตนเองรักษาม่านลำแสงที่สั่นคลอนจะพังมิพังแหล่เอาไว้ เห็นได้ชัดว่าอยู่ในสถานการณ์เฉียดตายแล้ว


 


 


……


 


 


อีกแห่งที่กว้างใหญ่ไพศาล ชายชราแซ่เยี่ยนและชายหนุ่มหน้าขาวซึ่งกลายเป็นลำแสงหลีกหนีสองสายก็กำลังบินหนีอย่างสุดชีวิต


 


 


ด้านหลังของพวกเขา เมฆประหลาดสีเขียวมรกตก้อนหนึ่งและพายุหมุนสีดำสายหนึ่งกำลังไล่ตามมาติดๆ อย่างไม่ลดละ


 


 


มองเห็นทั้งสองที่อยู่ด้านหลังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ชายชราแซ่เยี่ยนก็ร้องว่าแย่แล้วในใจ กัดฟันพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ควานหายันต์วิเศษสีทองที่ดูเก่าคร่ำครึเล็กน้อยออกมาแผ่นหนึ่ง


 


 


ปากพลันบริกรรมคาถา สำแดงมันออกไป


 


 


เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น ลำแสงสีทองเจิดจ้าราวกับพระอาทิตย์ดวงหนึ่งปรากฏขึ้น


 


 


หมุนติ้วๆ ทุกแห่งที่ลำแสงสีทองกวาดผ่านไป ไอมารทั้งหมดก็ทยอยกันสลายหายไป ท่าทางน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง


 


 


เมฆาสีเขียวและพายุสีดำด้านหลังเห็นเช่นนั้น ก็ไม่ได้หยุดชะงัก


 


 


แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ลำแสงสีทองก็สลายหายไปจนหมด


 


 


ชายชราและชายหนุ่มหน้าขาวที่เดิมทีอยู่ตรงหน้ากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


สถานการณ์เช่นเดียวกันเกิดขึ้นทั่วทั้งรอบนอกเทือกเขามารสีทองในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา


 


 


ชนต่างเผ่ากว่าครึ่งที่เข้ามาทยอยกันเพลี่ยงพล้ำไปในปากของมารอสูร มีเพียงเจ็ดแปดคนที่รักษาชีวิตเอาไว้ได้


 


 


ผู้ที่รอดจากปากของมารอสูรเหล่านี้แน่นอนว่าย่อมไม่รอช้า เมื่อสัมผัสได้ว่ามารอสูรในส่วนลึกของเทือกเขามาปรากฏตัวที่รอบนอกอย่างแปลกประหลาด ก็เปลี่ยนจากสว่างเป็นมืดมิดทันที ระมัดระวังตัวขึ้นเป็นอย่างมาก


 


 


หลังจากที่มารอสูรเหล่านั้นได้จานอาคมแกะรอยของชนต่างเผ่าส่วนหนึ่งไป ก็ค้นหาตามรอบนอกเทือกเขาราวกับหว่านแห


 


 


แต่สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือไม่ว่าชนต่างเผ่าที่เหลือหรือว่ามารอสูรเหล่านั้น ล้วนไม่อาจหาร่องรอยของเห็ดเซียนพบ


 


 


และในยามนั้นเองหานลี่และพวกที่เร่งเดินทางมาสองสามวัน ในที่สุดก็เข้าใกล้เป้าหมายอย่างปลอดภัย

 

 

 


ตอนที่ 1620 แขกที่คาดไม่ถึง

 

 


 


หานลี่ยืนอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง มองไปยังเทือกเขาที่อยู่ไกลออกไป ดวงตาทั้งสองข้างพลันหรี่ลง


 


 


“ที่นี่คือที่ที่เจ้าพูดถึงสินะ! ดูไม่สะดุดตาเลย” หลังจากถอนสายตากลับมา เขาก็เอ่ยถามเซียนเซียนที่อยู่ด้านข้าง


 


 


“ก็เพราะเช่นนี้มันถึงได้เลือกที่นี่ พี่เย่ว์หนทางต่อจากนี้ไม่ต้องให้เจ้านำทางแล้ว เจ้าไปพักผ่อนแถวๆ นี้ก่อนเถิด ข้าและท่านอาวุโสหานจะไปดูสักหน่อย จะกลับมาอย่างน้อยสุดก็ครึ่งวัน มากสุดก็สี่สามวัน หากผ่านไปแล้วไม่กลับมา สหายก็ไม่ต้องสนใจพวกเรา ไปจากที่นี่ได้เลย” เซียนเซียนเอ่ยกับเย่ว์จงพร้อมกับกลั้วหัวเราะ


 


 


“ในเมื่อท่านเซียนเซียนกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่เย่ว์ก็ข้ออู้หน่อยก็แล้วกัน” เย่ว์จงตอบรับ จากนั้นก็ประสานกำปั้น แล้วบินไปยังภูเขาอีกลูกหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียง


 


 


สุดท้ายก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปในยอดเขา


 


 


“ท่านอาวุโสหาน พวกเราไปกันเถิด” เซียนเซียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึมขึ้น


 


 


เมื่อเข้ามาในเทือกเขา วิหคควันมารที่อยู่บนหัวไหล่ของหญิงสาวเผ่าผลึกผู้นั้น ก็กระพือปีกทั้งสองบินขึ้นฟ้า หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็พุ่งไปยังทิศทางหนึ่ง


 


 


หานลี่และพวกทั้งสองคนก็ไล่ตามไปอย่างเงียบๆ


 


 


ยอดเขาน้อยใหญ่ในเทือกเขานี้มีอยู่มากมายเรียงร้อยต่อกัน


 


 


ทั้งสามตามวิหคน้อยสีดำไปรวดเดียวสองสามพันลี้ เบื้องหน้าพลันมียอดเขาที่ธรรมดาๆ ปรากฏขึ้น วิหคควันมารหุบปีกทั้งสองข้าง ปากก็เปล่งเสียงร้องอันไพเราะพลางหมุนวนไปมา


 


 


เซียนเซียนแววตาเปล่งประกาย เอ่ยอย่างยินดีว่า


 


 


“หาทางเข้าพบแล้ว”


 


 


จากนั้นหญิงสาวผู้นี้ก็กระตุ้นลำแสงหลีกหนี หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบสแงสามครั้ง ก็มาอยู่ใกล้กับยอดเขา และวนรอบยอดเขาอย่างรวดเร็วไปสองสามรอบ สุดท้ายก็หยุดลงตรงเนินเขา และปรากฏกายพินิจสิ่งหนึ่งอยู่อย่างเคร่งขรึม


 


 


หานลี่กลายเป็นลำแสงสีเขียว ไปอยู่ข้างกายหญิงสาวผู้นี้เช่นกัน และมองตามสายตาของนางไป


 


 


เห็นเพียงตรงหน้าเป็นหน้าผาที่ดูธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง สูงร้อยจั้งเศษ เป็นสีเทาขาวเรียบลื่น นอกจากไอสีดำที่ลอยคลอเคลียอยู่แล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก


 


 


ทว่าแววตาของหานลี่พลันเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ สีหน้าเปลี่ยนไป ดูเหมือนว่าจะมองอะไรออก ยามนี้เซียนเซียนกลับผิวปากเสียงต่ำๆ วิหคควันมารที่เดิมนั้นหมุนวนอยู่กลางอากาศกลับร่อนลงมา พุ่งไปที่หน้าผาราวกับลูกธนู


 


 


เสียง “ปุ๋ง” ดังขึ้น ชั่วพริบตาหน้าผาที่ดูเหมือนแข็งแกร่งมากสัมผัสกับวิหคควันมาร ก็เกิดระลอกคลื่นขึ้น จากนั้นผิวของมันก็รางเลือน กลายเป็นหมอกสีดำหนาๆ แฝงไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย


 


 


คาดไม่ถึงว่าหน้าผาจะเป็นทางเข้าถ้ำขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง


 


 


วิหคควันมารดูเหมือนจะไม่ถูกหมอกสีดำขวางกัน มันจมหายไปในชั่วครู่


 


 


“ท่านอาวุโสรอประเดี๋ยว ให้ข้าตรวจสอบสถานการณ์ภายในก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เซียนเซียนเอ่ยอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็นั่งสมาธิลงกลางอากาศ สองมือร่ายอาคมพลางหลับตา


 


 


จิตสัมผัสของนางเกาะติดอยู่บนร่างของวิหคควันมาร ยามนี้กำลังควบคุมวิหคตัวนี้ให้ตรวจสอบสถานการณ์ภายในแล้วค่อยว่ากัน


 


 


หานลี่เองก็ยืนอยู่ด้านข้างด้วยแววตาเปล่งประกาย ดูเหมือนว่าจะขบคิดอะไรอยู่


 


 


หลังจากผ่านไปเป็นเวลาเพียงหนึ่งมื้ออาหาร เสียงวิหคพลันดังขึ้น วิหคควันมารพุ่งออกมาจากหมอกสีดำ หมุนวนรอบหนึ่งแล้วร่อนลงตรงหัวไหล่ของเซียนๆ


 


 


หญิงสาวผู้นี้ลืมตาขึ้นในทันที


 


 


“ยังดี อสูรมารระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นยังคงหลับสนิทอยู่ด้านใน เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการลงมือ ข้าจะให้วิหคควันมารนำทางท่านอาวุโส ตรงไปยังที่อยู่ของมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์นั่น ทว่าไอมารด้านในรุนแรงมาก แม้ว่าจะใช้เคล็ดวิชามารของท่านอาวุโสหานก็ไม่อาจอยู่ในนั้นได้นานนัก ทางที่ดีที่สุดอย่าไปปลุกอสูรตัวนั้น แค่ใช้อัสนีหลีกหนีสังหารมันเลยจะดีที่สุด!” เซียนเซียนเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็ชี้นิ้วไปกลางอากาศ


 


 


วิหคน้อยสีดำตัวนั้นบินเข้าไปในหมอกสีดำอีกครั้งทันที


 


 


“ท่านเซียนเซียนโปรดวางใจ ผู้แซ่หานรู้ว่าควรทำอย่างไร ท่านเซียนไม่มีเคล็ดวิชามารคุ้มครองร่าง รอข้าออกมาตรงนี้ก็แล้วกัน” หานลี่จ้องหญิงสาวตรงหน้าเขม็งชั่วครู่ แล้วถึงได้พยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ ทันใดนั้นสองมือก็ร่ายอาคม ฉับพลันนั้นร่างกายพลันมีลำแสงสีทองเรืองรอง และปรากฏเกล็ดอ่อนออกมา


 


 


ร่างกายพลิ้วไหว เขากลายเป็นสายรุ้งสีทองสายหนึ่งพุ่งเข้าไปในหมอกสีดำ


 


 


เมื่อเห็นหานลี่เข้าไปในหมอกสีดำ หญิงสาวก็หุบยิ้มที่มุมปาก และเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา


 


 


“ได้เวลาพอสมควรแล้ว พวกเราลงมือเถิด” ฉับพลันนั้นลำแสงสีเขียวก็บินออกมาจากร่างของหญิงสาวเผ่าผลึก หลังจากกะพริบวาบก็กลายเป็นเงาลวงตากิเลนขนาดเท่ากำปั้นตัวหนึ่ง และหันกลับมาเอ่ยกับหญิงสาว


 


 


“รออีกเดี๋ยว ไม่ว่าเขาจะสังหารมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นได้หรือไม่ ขอแค่ประมือกัน ถึงจะเป็นโอกาสงามๆ ให้พวกเราเข้าไปในรังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้” เซียนเซียนสั่นศีรษะพลางเอ่ย


 


 


“อันใด เจ้ากลัวเขาไม่น้อยเลยนะ” เงาลวงตากิเลนหัวเราะหึๆ


 


 


“ระหว่างทางที่มา อิทธิฤทธิ์อันเกรียงไกรของเขา เจ้าอยู่ในตัวข้าก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เห็น แม้แต่มารอสูรระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เก้าก็ยังไม่อาจรั้งเขาไว้ได้นาน หากสู้กับคนผู้นี้ขึ้นมาจริงๆ ข้าไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะเลยสักนิด ส่วนมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้น หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ แม้ว่าจะยังคงหลับใหล แต่ก็น่าจะสร้างเครื่องป้องกันเอาไว้ในที่พัก อยากจะเข้าไปใกล้มันง่ายๆ เดาว่าคงเป็นไปไม่ได้ พวกเรามีเพียงต้องอาศัยโอกาสที่พวกเขาต่อสู้กัน ถึงจะเปิดรังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้อย่างไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้” เซียนเซียนเอ่ยอย่างเย็นชา


 


 


“เจ้าพูดมีเหตุผล งั้นก็รอประเดี๋ยวเถิด” เงาลวงตากิเลนเอียงศีรษะครุ่นคิด แล้วพยักหน้า


 


 


และในเวลาเดียวกัน ด้านนอกเทือกเขา เย่ว์จงสร้างถ้ำพำนักใหม่ขึ้นบนยอดเขา แล้วหลับตาทำสมาธิอยู่


 


 


ฉับพลันนั้นเขาก็สัมผัสอะไรสักอย่างได้ พลิกฝ่ามือด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนสี


 


 


กล่องที่บรรจุแมลงประหลาดปรากฏขึ้นในมือ


 


 


หลังจากฝาของกล่องแมลงประหลาดที่ดูเหมือนรังไหมเปิดออก ก็สะบัดหัวเปล่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่งทันที


 


 


เย่ว์จงสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง แทบจะกระโจนขึ้นมาอย่างไม่ตรงขบคิด กลายเป็นสายรุ้งสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกจากถ้ำพำนัก


 


 


แต่เมื่อร่างกายของเขามาปรากฏที่ภายนอก ก็หน้าเปลี่ยนสีเป็นดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง


 


 


เบื้องหน้าของเขามีบุรุษหน้าตาแข็งทื่อสวมชุดเกราะสีเงินคนหนึ่งลอยอยู่


 


 


คาดไม่ถึงว่าจะเป็นชนต่างเผ่าแซ่กุยที่ปะทะกับพวกเราในหอคอย


 


 


“ที่แท้ท่านอาวุโสนี่เอง ข้านึกว่ามารอสูรอื่นมาปรากฏตัวที่นี่เสียอีก ท่านอาวุโสมหาชนรุ่นหลังมีเรื่องอันใดหรือ” เย่ว์จงรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง แต่ก็ฝืนยิ้มขณะเอ่ย


 


 


บุรุษแซ่กุยมองเย่ว์จงอย่างเย็นชา ไม่พูดอะไรอยู่นาน สุดท้ายถึงได้เอ่ยถามอย่างไร้อารมณ์ว่า


 


 


“คนอื่นล่ะ?”


 


 


“คนอื่นอะไร ที่นี่มีแค่ชนรุ่นหลังคนเดียวขอรับ” เย่ว์จงยังคงตอบกลับอย่างเยือกเย็น


 


 


“งั้นหรือ เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถิด” บุรุษแซ่กุยได้ยิน ใบหน้าพลันมีลำแสงโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ จิตสังหารปรากฏขึ้น


 


 


เย่ว์จงหน้าเปลี่ยนสี ฉับพลันนั้นพลันโยนกล่องในมือไปฝั่งตรงข้าม จากนั้นลำแสงวิญญาณที่แขนเสื้อก็เปล่งแสงสว่างวาบ ยันต์วิเศษหลากสีสันยี่สิบสามสิบใบพุ่งออกมา แล้วอ้าปากออกพ่นแผ่นป้ายหยกสีขาวออกมา


 


 


แมลงประหลาดพุ่งออกจากกล่อง มีขนาดสองสามจั้ง พุ่งเข้าไปพัวพันบุรุษแซ่กุยราวกับอสรพิษประหลาดอย่างไรอย่างนั้น ชั่วพริบตาที่ยันต์วิเศษยี่สิบสามสิบแผ่นกลายเป็นลำแสงหลากสีแล้วระเบิดออกนั้น แผ่นป้ายหยกแผ่นนั้นก็มีเสียงดังปัง กลายเป็นหมอกหนาๆ สีขาว ขนาดสองสามหมู่ ห่อหุ้มบุรุษแซ่กุยเอาไว้


 


 


ส่วนเย่ว์จงเองนั้นใต้ฝ่าเท้ามีลำแสงสีขาวสว่างวาบ กรงล้อปรากฏขึ้นคู่หนึ่ง แค่พลิ้วไหว ก็หายวับไปปรากฏตัวด้านนอกหมอกหนาๆ ห่างออกไปสิบจั้งเศษ


 


 


จากนั้นพลันกลายเป็นลำแสงหลีกหนี แล้วกลายเป็นสายรุ้งสีขาวสายหนึ่งพุ่งไป


 


 


บุรุษแซ่กุยเห็นเช่นนั้นพลันหัวเราะอย่างเย็นชา เห็นเพียงเขาตบไปที่หน้าผากของตนเอง ร่างกายรางเลือน คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นร่างแยกสามร่างที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว


 


 


ร่างแยกหนึ่งในนั้นชูแขนทั้งสองข้างขึ้น ฉับพลันนั้นพลันกลายเป็นมือภูตผีสีโลหิตคู่หนึ่ง นิ้วทั้งสิบแหลมยาว มีไอสีดำพันรัดอยู่ ตะปบไปทางแมลงยักษ์ที่กระโจนมาใกล้ๆ แล้วออกแรงฉีกแมลงประหลาดออกเป็นชิ้นๆ ราวกับนิ้วทั้งสิบนั้นเป็นมีดที่แหลมคม


 


 


ร่างแยกอีกร่างเบะปากออกแรงพ่นออกมา


 


 


ชั่วขณะนั้นม่านลำแสงสีโลหิตพลันทะลักออกมา ชั่วครู่ก็ม้วนเอาลูกบอลลำแสงต่างๆ ที่พุ่งตามมาเข้าไปข้างใน


 


 


แล้วดูดเข้าไปอีกครั้ง ลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ ลูกบอลลำแสงเหล่านั้นถูกร่างแยกกลืนลงไปในท้องรวดเดียว แม้กระทั่งหมอกสีขาวในบริเวณใกล้เคียงยังถูกดูดไปเกือบครึ่ง


 


 


ร่างแยกสุดท้ายแววตาทั้งสองเปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ ฉับพลันนั้นพลันกระโจนออกไป กลายเป็นมังกรวารีสีเงินตัวหนึ่งพุ่งออกไป


 


 


แค่กะพริบวาบมังกรวารีสีเงินก็เคลื่อนย้ายมาปรากฏตัวเหนือลำแสงหลีกหนีของเย่ว์จง สะบัดหาง กรงเล็บยักษ์ทั้งสองตะปบลงมาอย่างรวดเร็วและดุดัน


 


 


เย่ว์จงหน้าถอดสี แต่แน่นอนว่าย่อมไม่ยินยอมรอความตาย บนเรือนร่างมีเสียงร้องดังขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะมีกระบี่บินกระดูกขาวสองเล่มพุ่งออกมาจากร่าง


 


 


กระบี่บินเหล่านี้มีลำแสงสว่างวาบ ดูแล้วธรรมดา เมื่อตัดสลับกันไปมาก็พุ่งไปหากรงเล็บยักษ์ทั้งสองของมังกรวารี


 


 


เสียง “แควก” ดังขึ้น แม้ว่ากระบี่กระดูกทั้งสองจะทำให้กรงเล็บยักษ์หยุดชักและต้านทานเอาไว้ได้ แต่ตัวมันกลับแตกออกเป็นสองส่วนด้วยพลังมหาศาล


 


 


เย่ว์จงถือโอกาสนี้พ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา ห่อหุ้มกรงล้อใต้ฝ่าเท้า คิดจะสำแดงเคล็ดวิชาหลีกหนีหนีไป


 


 


แต่แววตาของมังกรวารีพลันเปล่งแสงเย็นเยียบ แค่อ้าปากออกพ่นไข่มุกสีแดงโลหิตเม็ดหนึ่งที่มีเสียงร้องไพเราะดังออกมา


 


 


ไข่มุกหมุนคว้าง ฉับพลันนั้นพลันปล่อยลำแสงโลหิตสีดำแดงออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วห่อหุ้มเย่ว์จงเอาไว้โดยมิทันตั้งตัว


 


 


หลังจากเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น เย่ว์จงพลันกลายเป็นกองโลหิตราวกับเทียนไข ถูกมังกรวารีสีเงินกลืนลงท้อง


 


 


จากนั้นมังกรวารีสีทองก็หมุนวนแล้วพุ่งกลับไป ร่างแยกทั้งสองยังพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วพุ่งเข้ามา


 


 


เห็นเพียงเงาลวงตาเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วพริบตานั้นร่างแยกทั้งสามก็ผนึกรวมกัน กลายเป็นบุรุษแซ่กุยผู้นั้นอีกครั้ง


 


 


แค่เขามีสีหน้าเคร่งขรึม แววตาเปล่งประกายพลางขบคิดอะไรสักอย่าง


 


 


“คิดไม่ถึงว่าคนพวกนีจ้ะมาปรากฏตัวที่นี่ หรือว่ามาเพราะของเหมือนกัน แต่เจ้าสิ่งนั้นน่าจะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ นอกเสียจากเหมือนกับข้าเอง เป็น… หึ! ไม่ว่าจะมีประวัติความเป็นมาอะไร เจ้าสิ่งนั้นก็มีเพียงข้าถึงจะมีคุณสมบัติพอให้ได้มา ผู้ใดมาขวางข้า ข้าจะกลืนกินผู้นั้นซะ” บุรุษเอ่ยพึมพำกับตัวเองเสียงแผ่วเบา แววตาฉายแววโหดเ**้ยม


 


 


แต่ครู่ต่อมาฉับพลันนั้นเขาพลันเอียงศีรษะ ตะโกนออกไปด้วยเสียงดุดัน


 


 


“ผู้ใดอยู่ตรงนั้น ออกมาเดี๋ยวนี้”


 


 


แต่ด้านข้างกลับเงียบสงัด ไม่มีเงาร่างของผู้ใดปรากฏตัว


 


 


บุรุษมีสีหน้าโหดเ**้ยมฉายแวบผ่าน ชูมือข้างหนึ่งขึ้น มีดบินสีเงินเล่มหนึ่งพุ่งออกมา


 


 


เห็นแค่ลำแสงสีเงินสว่างวาบ ชั่วพริบตาเงามีดก็ห่อหุ้มอากาศลงมาด้านล่าง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)