พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1613-1616
บทที่ 1613 ท่านหลอกข้า!
กำลังพลที่จะโยกย้ายเริ่มรวมตัวกันแล้ว นี่เป็นขั้นตอนในการเตรียมออกเดินทาง อีกสามวันหลังจากนี้ก็จะถึงวันกำหนดเดินทางแล้ว ภายในสามวันนี้ยังมีคนทยอยมาอีก
ยืนอยู่บนยอดเขา เหมียวอี้และพวกอวิ๋นจือชิวกำลังทอดสายตามองกำลังพลนับสิบล้านตรงตียเขารอบๆ ที่มาถึงก่อน
“อลังการจริงๆ!” อวิ๋นรั่วซวงอุทานอย่างตื่นเต้นดีใจ ตอนอยู่ที่นภาจอมมารนางได้เปิดประสบการณ์ความรู้มากมาย แต่ก็ไม่เคยเห็นภาพกำลังพลรวมตัวกันเยอะขนาดนี้มาก่อน
ผู้หญิงคนนี้ดีใจมาก นางใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง สุดท้ายพี่หญิงใหญ่ก็ตอบตกลงให้นางไปพิภพใหญ่แล้ว
เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวหันกลับไปสองแวบหนึ่ง แล้วก็หันกลับมาสบตากัน อวิ๋นรั่วซวงยังไม่รู้ว่าจะถูกพี่หญิงใหญ่ของนางจับเขาแดนอเวจี
พอดูไปได้สักครู่หนึ่ง เห็นสภาพของแต่ละฝ่ายเป็นระเบียบเรียบร้อย เหมียวอี้ถึงได้วางใจ นำทุกคนกลับไปแล้ว ส่วนเขาก็ยังไปที่เรือนพักของเยว่เหยาเหมือนเดิม
ภาพเหตุการณ์ก็เหมือนตอนอยู่ในห้องหอ เหมียวอี้ที่กลับเข้ามาในห้องนั่งฝึกตนอยู่บนเตียง พลังจิตวิญญาณที่เข้มข้นล้อมรอบตัวเขาไว้อย่างช้าๆ
แต่วันนี้เยว่เหยาเหมือนจะมีเรื่องราวในใจ ไม่ได้นั่งฝึกตนพร้อมกับเหมียวอี้เหมือนวันที่ผ่านมา แต่นั่งถอดเครื่องประดับหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วก็เดินกลับมาบนเตียงเงียบๆ พอมาถึงที่ตัวเองแล้วก็มุดเข้าไปอยู่ในผ้าห่ม นอนมองเพดานนิ่งๆ ไม่ขยับไปไหน
ผ่านไปพักใหญ่ เหมียวอี้ก็ก็เหมือนจะสังเกตเห็นแล้ว หลังจากดูดพลังจิตวิญญาณกลับเข้ามาจนหมดสิ้น ก็หันกลับมามองแวบหนึ่ง “ทำไมวันนี้ไม่ฝึกตนแล้วล่ะ? ดูเหมือนเจ้ามีเรื่องในใจนะ”
“อืม ไม่อยากฝึกตนแล้ว” เยว่เหยาตอบ
“อยู่ดีๆ เป็นอะไรไปอีกแล้ว? ไม่มีใครมาหาเรื่องเจ้าใช่มั้ย” เหมียวอี้ถามพร้อมรอยยิ้ม
เยว่เหยาหันตะแคง้ข้าง เอาแขนข้างหนึ่งค้ำศีรษะตัวเองไว้ในขณะที่มองเหมียวอี้ นางกะพริบตาปริบๆ “พี่ใหญ่ อีกสามวันก็จะต้องไปแล้วเหรอ”
“อื้ม! เจ้าเองก็รู้ถึงสถานการณ์ของข้า ไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่นาน ต่อให้ทางตลาดผีจะผ่อนคลายสักแค่ไหน แต่คงไม่ดีที่จะทิ้งตรงนั้นไว้นานๆ”
“ทางสมาคมวีรชนจำหน้าข้าได้แล้ว พอกลับพิภพใหญ่ ข้าก็ไปอยู่กับท่านที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีไม่ได้แล้ว”
“สถานการณ์ปัจจุบันก็เป็นอย่างนี้ ไม่สะดวกจะให้เจ้าไปอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคด้วยจริงๆ ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าว่างข้าจะไปหาเจ้า”
“พี่ใหญ่ พวกเราแต่งงานกันได้หนึ่งเดือนแล้ว ต่อไปก็จะไม่ได้เจอกันบ่อยๆ แล้ว”
“เหมือนเจ้ามีอะไรอยากจะพูดนะ มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ”
เยว่เหยากัดฟันถามว่า “พี่ใหญ่ น้องสามไม่สวยเหรอ?”
เหมียวอี้แปลกใจ “ใครบอกเจ้า? เจ้าสามของข้าสวยที่สุดในโลกเลยนะ ตามที่ข้ารู้มา ในปีนั้นมีคนตามจีบเจ้าตั้งเยอะ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าสวยมั้ย”
เยว่เหยาลุกขึ้นนั่ง แล้วถามว่า “งั้นท่านรังเกียจเรื่องระหว่างข้ากับเจียงอีอีก่อนหน้านี้ใช่มั้ย?”
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “เจ้าคิดมากไปแล้ว ไม่ใช่สักหน่อย ถ้าไม่อยากฝึกตนก็รีบพักผ่อนเถอะ อย่าคิดอะไรเหลวไหล”
“แต่งงานกันเดือนกว่าแล้ว ท่านกับข้าไม่เคยนอนเคียงหมอนกันด้วยซ้ำ ท่านไม่เคยแตะต้องข้าเลย ข้าคิดมากเกินไปจริงๆ เหรอ? ท่านเคยเห็นคู่แต่งงานคู่ไหนเป็นแบบนี้บ้าง?” เยว่เหยา
เหมียวอี้อึ้งทันที หันกลับมามองอย่างช้าๆ โบกลูกแก้วพลังปรารถนาโปรยออกมาอีกรอบ แล้วหลับตาฝึกตนต่อไป “ไม่ต้องคิดอะไรเหลวไหลแล้ว” ไม่นานเขาก็ถูกพลังจิตวิญญาณที่รวมตัวกันห่อหุ้มไว้แล้ว
เยว่เหยาเอนกายลงอย่างหงุดหงิด ดึงผ้าห่มมาคลุมหน้าตัวเองไว้แล้ว
ในหนึ่งเดือนมานี้ จิตใจหวานชื่นของคู่แต่งงานใหม่ในตอนแรกถูกความจริงโจมตีจนหมดสิ้นแล้ว นางนับว่ามองออกแล้ว ว่าเหมียวอี้ดูแลนางเพราะนางเป็นคำนึงถึงว่า ‘รองเท้ามือสอง’ เท่านั้น ไม่ได้แต่งงานรับนางเข้าบ้านเหมือนผู้หญิงปกติเลย ในหนึ่งเดือนนี้ที่เขามาหานางทุกวันก็เพราะจะคุมสถานการณ์ให้นางเท่านั้น นางซาบซึ้งใจมาก แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ นางอยากจะมีความรักที่ดีงามเหมือนผู้หญิงปกติทั่วไป ใครจะคิดว่ารอมานานแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ เมื่อเห็นว่าเขาใกล้จะกลับพิภพใหญ่ ทั้งสองกำลังจะแยกจากกันแล้ว ในภายหลังก็ยิ่งไม่มีโอกาสแล้ว แบบนี้แปลว่าอะไรล่ะ? ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปจริงๆ ข้าจะแต่งงานกับท่านทำไม?
“น่าโมโหนัก!” จู่ๆ ก็เปิดผ้าห่มออกมาด่า แล้วรีบเอาผ้าห่มคลุมหน้าไว้เหมือนเดิม
พูดจาชัดเจนขนาดนี้แล้ว ท่าทีก็แสดงออกชัดเจนขนาดนี้ นางไม่เชื่อว่าเหมียวอี้จะไม่เข้าใจเลยสักนิด จะให้สาววัยแรกแย้มอย่างนางพูดตรงๆ ไม่ได้หรอกว่าต้องการทำเรื่องแบบนั้น และนางก็พูดไม่ออกเช่นกัน นางยอมรับว่าตัวเองละทิ้งศักดิ์ศรีเป็นฝ่ายรุกอย่างชัดเจนแล้ว เฝ้ารอให้เหมียวอี้เห็นอกเห็นใจนาง เอาผ้าห่มคลุมหน้านอนรออย่างเงียบๆ
ทว่ารอแล้วรอเล่า สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรจากเหมียวอี้เลย จิตใจเริ่มหดหู่ลงทีละนิด
เช้าวันต่อมา เยว่เหยาที่ลุกออกจากเตียงยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้า ยังคงช่วยใส่เสื้อผ้าให้เหมียวอี้อย่างกระตือรือร้น ยังคงสนิทสนมกับเหมียวอี้เหมือนเดิม เอ่ยปากเรียก “พี่ใหญ่” ได้อย่างปกติมาก มองไม่ออกว่ามีลับลมคมในอะไร สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้แอบโล่งใจ
ในหนึ่งคืนที่ผ่านมา ที่จริงเหมียวอี้ทำให้ให้สงบได้ลำบากมาก เขาตำหนิตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ว่าตัวเองทำอะไรผิดไปแล้วหรือเปล่า วิธีการปกป้องของเขาเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า วิธีการดูแลเยว่เหยาแบบนี้ใช่สิ่งที่เยว่เหยาต้องการหรือไม่? ปฏิกิริยาของเยว่เหยาทำให้เขาพบว่าตอนแรกตัวเองคิดเองเออเองเกินไปแล้ว คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำคือการหวังดีกับนางจากใจจริง แต่กลับมองข้ามจุดสำคัญจุดหนึ่งไป เยว่เหยาไม่ใช่น้องสามของเขาเท่านั้น แต่เป็นผู้หญิงของเขาแล้ว บางทีผู้ชายคนอื่นอาจจะไม่ดีกับเจ้าสามเท่าเขา แต่บางทีการปล่อยมือเจ้าสามให้ออกไปเผชิญความเจ็บปวดเล็กน้อยบ้าง นั่นต่างหากถึงจะเป็นชีวิตของเจ้าสามเองอย่างแท้จริง
ในใจเขาเปลี่ยนเป็นหวาดหวั่นกระวนกระวาย!
หลายวันต่อมา เหมียวอี้ก็ยังเข้ามาพักที่นี่เหมือนเดิม และเยว่เหยาก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องในคืนนั้นสักนิดเลย กลับมาฝึกตนเป็นเพื่อนเหมียวอี้เหมือนเดิมแล้ว คำพูดคำจาละท่าทีก็ดูมีความสุข เวลาอยู่กับอวิ๋นจือชิวก็ยิ่งปล่อยวางและเคารพนอบน้อม พยายามทำหน้าที่อนุภรรยาของตัวเองอย่างเต็มที่ ไปถามสารทุกข์สุกดิบทั้งเช้าทั้งเย็น นางถึงขั้นเตรียมใจไว้แล้วด้วย ว่าต่อให้อวิ๋นจือชิวจะตบตีหรือด่านาง นางก็ตัดสินใจว่าจะอดทน หวังเพียงจะไม่ทำให้พี่ใหญ่ลำบากใจ
สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไร นางเข้าใจว่าตั้งแต่เด็กจนโตพี่ใหญ่ทุ่มเทเพื่อนางขนาดไหน สิ่งที่ทำตอนนี้ก็ยังทำเพื่อปกป้องนาง ในเมื่อกลายเป็นแบบนี้แล้ว ในเมื่อพี่ใหญ่ไม่เต็มใจจะทำอย่างนั้นกับนางจริงๆ เช่นนั้นนางก็จะไม่ทำให้พี่ใหญ่ยุ่งยากใจ ตัวเองก็ควรจะดูแลพี่ใหญ่ด้วยเช่นกัน นางรู้สึกว่าตัวเองจะเห็นแก่ตัวอีกไม่ได้แล้ว การแต่งงานในนามนั้นดีมาก นางจะได้ดูแลพี่ใหญ่ได้อย่างชอบธรรมโดยไม่ต้องหลบเลี่ยง พยายามทำตามที่พี่ใหญ่ต้องการเต็มที่ หวังว่าจะทำให้พี่ใหญ่มีความสุขได้…
นภาอู๋เลี่ยง บนยอดเขา คนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนอยู่ เหมียวอี้ยืนอยู่บนสุด มองดูกลุ่มคนที่หนาแน่นตรงตีนเขา
หลังจากทยอยประสานงานและยืนกับผู้รับผิดชอบของแต่ละฝ่ายแล้ว หยางชิ่งก็ถลันตัวมาอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ กุมหมัดคารวะ “นายท่าน ทุกอย่างเรียบร้อยดี จะออกเดินทางเลยหรือไม่ขอรับ?”
เหมียวอี้พยักหน้า “ออกเดินทางเถอะ!”
หยางชิ่งหันตัวมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดัง “รวมตัว!”
เงาคนที่ยั้วเยี้ยอยู่ตรงตีนเขาค่อยๆ กระจายไป จับกลุ่มกันแล้วหายไปในท้องฟ้า ใช้เวลาเพียงไม่นาน กำลังพลแปดสิบล้านคนก็เหลือเพียงเกือบหมื่นคนกำลังทะยานขึ้นฟ้า ตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ปรากฏวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ทะยานขึ้นฟ้า สะบัดแขนเสื้อสองข้างรับลม เผยกำไลเก็บมสมบัติหลายวงบนข้อมือ พลังอิทธิฤทธิ์พัดสะบัดอยู่ระหว่างแขนทั้งสองข้าง
กำลังพลนับหมื่นที่อยู่บนท้องฟ้าแบ่งพุ่งเข้ามาทางซ้ายและขวาอย่างรวดเร็ว ตอนที่เข้ามาใกล้เหมียวอี้ พวกเขาก็หายเข้าไปในอากาศทีละคน หายไปตรงหน้าเหมียวอี้ราวกับเป็นฝูงปลา
ผ่านไปไม่นาน บนฟ้าก็เหลือเหมียวอี้อยู่เพียงคนเดียว อวิ๋นจือชิว เสวี่ยเอ๋อร์ หยางชิ่งพุ่งขึ้นฟ้า และหายไปตรงหน้าเหมียวอี้เช่นกัน
เหมียวอี้หันมองโดยรอบปราดหนึ่ง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อสองข้าง ร่างกายพุ่งไปในท้องฟ้าราวกับเงามายา เหยียนซิวตามหลังเขาไปโดยตรง ชั่วพริบตาเดียวก็หายไปในท้องฟ้าแล้ว
เยว่เหยายังไม่ได้ตามกำลังพลกลุ่มนี้กลับพิภพใหญ่ กำลังยืนมองส่งอยู่กับพวกฉินเวยเวยบนยอดเขา…
ดาราจักรกว้างใหญ่ไพศาล เส้นทางยาวไกล ข้ามผ่านประตูดวงดาวตลอดทาง ในที่สุดก็ถึงอาณาเขตพิภพใหญ่แล้ว
หลังจากปลอมตัวแล้ว เหมียวอี้กับเหยียนซิวก็เหาะไปยังดาวเคราะห์สามเหลี่ยมประหลาดดวงหนึ่ง พอเหยียบลงพื้นแล้ว เหยียนซิวก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ปรบมืออย่างเป็นจังหวะ
ตรงที่ไกลๆ มีเสียงดังสะเทือนหลายครั้ง มีคนหกคนโผล่จากใต้ดินมาปรากฏตรงหน้า เป็นชายชราหกคนที่สีหน้าแข็งทื่อ เห็นได้ชัดว่าผ่านการปลอมตัวมาแล้ว
ทั้งสองฝ่ายไม่คุยอะไรกันทั้งนั้น เหยียนซิวออกหน้าแลกเปลี่ยนตราอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบตัวตนกับหกคนนั้น หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่ผิดพลาด ชายชราหกคนนั้นก็ส่งมอบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งให้เหยียนซิว จากนั้นก็เหาะขึ้นฟ้าไป ส่วนเหมียวอี้กับเหยียนซิวก็ทะยานดำหายเข้าไปในดาราจักรอันกว้างใหญ่เช่นกัน
“นายท่าน มาทำลับๆ ล่อๆ เจอกันที่นี่ทำไมเหรอ?”
บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง หลังจากคุ้มกันส่งไห่ผิงซินให้มาเจอกับเหมียวอี้แล้ว หยางเจาชิงเพิ่งจะทำความเคารพ ไห่ผิงซินก็อดไม่ได้ที่จะมองไปโดยรอบแล้วพึมพำถามอย่างแปลกใจ
เหมียวอี้เหล่ตามองนางแวบหนึ่ง “พาเจ้าไปสถานที่ที่น่าสนุก ตลาดมืด เจ้าจะไปรึเปล่า? ถ้าไม่ไปก็กลับกันเถอะ”
“ตลาดมืด?” ไห่ผิงซินตาเป็นประกาย เพราะนางยังไม่เคยเห็น จึงพยักหน้าซ้ำๆ “ไปๆๆๆ!”
เหมียวอี้ตบที่กระเป๋าสัตว์ ใส่นางเข้าไปข้างใน จากนั้นก็โบกมือปล่อยอวิ๋นจือชิวกับเสวี่ยเอ๋อร์ที่ปลอมตัวแล้วออกมา โดยเหยียนซิวและหยางเจาชิงจะเป็นคนคุ้มกันส่งทั้งสองกลับตลาดผี ส่วนเหมียวอี้ก็เหาะไปข้างหน้าต่อเพียงลำพังอย่างรวดเร็ว ไปยังแดนอเวจี…
ในท้องฟ้าที่สวยงามแปลกพิสดาร เหมียวอี้ข้ามผ่านเส้นทางที่คดเคี้ยวกวนตลอดทาง สุดท้ายก็พุ่งไปข้างหน้าในแนวเส้นตรงอย่างรวดเร็ว
ดาวอู๋เลี่ยงอยู่ข้างหน้าแล้ว ทันใดนั้นก็มีเข้ามาสกัดในแนวขวาง เหมียวอี้ดึงหนังปลอมบนใบหน้าออก หลังจากตรวจสอบตัวตนแล้วก็บุกเข้ามาในดาวอู๋เลี่ยงเลย
ตรงนี้เพิ่งจะฝ่าชั้นบรรยากาศ ด้านล่างจินม่านก็นำซือถูชิงหลัน ไห่ยวนเค่อและกงซุนลี่เต้ามาต้อนรับแล้ว พวกเขาไม่รู้เวลาที่แน่นอนของเหมียวอี้ เพิ่งจะรีบมาตอนได้รับรายงานจากทหารยาม ตอนนี้กำลังพบกันอยู่กลางอากาศ ส่วนสืออวิ๋นเปียนกับอ๋าวเถี่ยแม่ทัพใหญ่อีกสองคนกำลังเข้าเวรยามอยู่ ตอนนี้ยังมาต้อนรับไม่ได้
“คารวะประมุขปราชญ์!” จินม่านและคนอื่นๆ ทำความเคารพในขณะที่อยู่บนท้องฟ้า แต่ละคนทำสีหน้าทั้งตกตะลึงทั้งดีใจ ถึงแม้ก่อนหน้านี้ฝั่งนี้จะเคยสงสัย แต่หลังจากแน่ใจว่าเหมียวอี้สามารถเข้าออกแดนอเวจีได้อย่างอิสระ ความรู้สึกแบบนั้นก็ไม่มีทางอธิบายได้เลยจริงๆ
“กลับไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เหมียวอี้พูดทิ้งไว้แล้วพุ่งไปที่จุดดำๆ บนทะเลมรกต โดยมีทั้งสี่ติดตามไป
ตรงหน้าตำหนักอู๋เลี่ยง พอพวกเขาเหยียบลงพื้น เหมียวอี้ก็โบกมือโยนไห่ผิงซินออกมา
ไม่ใช่แค่ไห่ยวนเค่อ แม้แต่พวกจินม่านก็อึ้งเช่นกัน ต่างนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะพาเด็กสาวคนนี้กลับมาแล้ว
“ว้าว! ท่านพ่อ!” พอเห็นไห่ยวนเค่อ ไห่ผิงซินก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจทันที โผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดไห่ยวนเค่อแล้ว
บนใบหน้าเย็นชาของไห่ยวนเค่อเผยความอบอุ่นอย่างที่พบเห็นได้ยาก เขากอดลูกสาวเบาๆ อย่างไม่ค่อยคุ้นชิน พอพบว่าลูกสาวยังสบายดีเหมือนเดิม ก็พยักหน้าเบาๆ ขอบคุณเหมียวอี้ เขายังนึกว่าเหมียวอี้ตั้งใจส่งลูกสาวกลับมาให้พบเขา
แต่ใครจะคิดว่าไห่ผิงซินจะพลันเงยหน้าออกจากอ้อมอกบิดา แล้วมองประเมินไห่ยวนเค่อศีรษะจดเท้าอย่างจริงจัง จากนั้นก็รีบหันไปมองตำหนักอู๋เลี่ยง แล้วก็รีบหันตัวมาโวยวายใส่เหมียวอี้ “ท่านหลอกข้า! ท่านบอกว่าจะพาข้าไปสถานที่น่าสนุกไม่ใช่เหรอ? ท่านบอกว่าจะไปตลาดมืดไม่ใช่เหรอ? ทำไมกลับมาที่นี่แล้วล่ะ?”
“ซินเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาท!” ไห่ผิงซินตำหนิ
“พาเจ้ากลับมาหาพ่อเจ้าแล้ว เจ้าไม่ดีใจหรอกเหรอ?” เหมียวอี้เหล่ตาถาม
“ข้า…” ไห่ผิงซินเถียงไม่ออก
“ไห่ยวนเค่อ ข้าดูแลลูกสาวเจ้าไม่ไหวแล้ว นางหนูคนนี้อยู่ไม่สงบเลย กลับไปอย่าลืมลบตราอิทธิฤทธิ์บนระฆังดาราที่นางใช้ติดต่อกับภายนอกทิ้งด้วยนะ อย่าให้เกิดปัญหาอะไรได้” หลังจากเหมียวอี้พูดทิ้งท้ายไว้แล้ว ก็หันตัวมาหาคนที่เหลือ ประเด็นสนทนาเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน กล่าวเสียงต่ำว่า “บอกให้คนจากลัทธิพวกนั้นมาพบข้าเดี๋ยวนี้!”
บทที่ 1614 ราชาปราชญ์
“รับทราบค่ะ!” จินม่านเอ่ยรับ แล้วทำการติดต่อตรงนั้นเลย
“ท่าน…” ไห่ผิงซินกลับโมโหแล้ว ลบตราอิทธิฤทธิ์บนระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกับภายนอกหมายความว่าอย่างไรล่ะ อย่าบอกนะว่าจะขังนางไว้ที่แดนอเวจีต่อไป?
พอมาอยู่ข้างกายบิดาตัวเอง นางก็ไม่กลัวเหมียวอี้อีกแล้ว ขณะกำลังจะระเบิดอารมณ์ ไห่ยวนเค่อก็ใช้มือข้างหนึ่งกดบ่านางไว้ ควบคุมไม่ให้นางทำซี้ซั้ว เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องราวมากมายที่ลูกสาวตัวเองยังไม่เข้าใจ เหมียวอี้ไม่ได้น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือคนที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้ต่างหาก
แต่เขาก็ยังถามแทนว่า “ประมุขปราชญ์ ท่านหมายความว่า จะไม่ให้นางออกไปข้างนอกอีกแล้วเหรอ?”
เหมียวอี้ไม่อยากพัวพันอยู่กับประเด็นสนทนานี้อีก “นางไม่ยอมไปอยู่ข้างกายมารดานาง ข้างกายข้าก็มีสายลับของหน่วยตรวจการซ้าย และข้าก็มีศัตรูที่ตำหนักสวรรค์อีกเป็นโขยง นางอยู่กับข้าอันตรายเกินไป ให้บิดาอย่างเจ้าดูแลเองก็แล้วกัน เดี๋ยวกลับไปแล้วนางหายไป ข้าก็จะอธิบายกับตำหนักสวรรค์ ว่าเกิดเหตุไม่คาดคิดกับนาง และทางตำหนักสวรรค์ก็จะต้องติดต่อมายืนยันแน่นอน เรื่องจัดการปัญหาที่ตามมาทีหลัง ทางเจ้าก็อย่าให้มีช่องโหว่แล้วกัน”
ที่จริงไห่ยวนเค่อก็ไม่อยากให้ลูกสาวโดนขังอยู่ในนี้เหมือนตัวเอง แต่พอนึกถึงสถานการณ์ของเหมียวอี้ในตอนนี้ ก็พบว่าค่อนข้างอันตรายจริงๆ ส่วนเรื่องทรัพยากรฝึกตน ในเมื่อเหมียวอี้สามารถเข้าออกที่นี่ได้อย่างราบรื่นแล้ว ก็แสดงว่าสามารถนำเข้าทรัพยากรได้ อาศัยส่วนแบ่งทรัพยากรจากฐานะของเขาที่ลัทธิอู๋เลี่ยง ก็เป็นหลักประกันให้ลูกสาวคนเดียวได้อย่างไม่มีปัญหา เขาถึงได้รับน้ำใจส่วนนี้ไว้ พยักหน้าบอกว่า “ทำให้ประมุขปราชญ์คิดหนักแล้ว ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”
“ท่านพ่อ!” ไห่ผิงซินยังไม่ยอม ดึงแขนบิดาออดอ้อน ไห่ยวนเค่อจึงทำหน้าเข้ม”อย่าดื้อ!” ให้ไห่ผิงซินเบะปากก้มหน้าแล้ว จากนั้นของที่อยู่บนตัวก็ถูกไห่ยวนเค่อยึดไปชั่วคราว หลังจากจัดการเรียบร้อยหมดแล้วถึงได้คืนให้นาง
จากนั้นเหมียวอี้ก็ปล่อยหยางชิ่งออกมา แนะนำให้ทุกคนรู้จัก ยังไม่ได้บอกเจตนาที่พาหยางชิ่งมาที่นี่ แต่ทุกคนก็นับว่าดูออกแล้ว เห็นได้ชัดว่าคนคนนี้เป็นลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้
หลังจากหยางชิ่งคารวะทักทายทุกคนแล้ว ก็เริ่มประเมินสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบข้าง
ผ่านไปไม่นาน ห้าปราชญ์และบุคคลระดับสูงของห้าลัทธิทยอยกันมาถึงแล้ว
เมื่อเผชิญหน้ากับทุกคนที่ทยอยกันเข้ามาคารวะ เหมียวอี้ก็ทำสีหน้าเรียบเฉย ไม่พูดอะไรสักคำด้วย ทำเหมือนคนกลุ่มนี้ไปล่วงเกินอะไรเขาไว้อย่างนั้นแหละ แบบนี้หมายความว่าอะไร
เมื่อเห็นคนมากันครบแล้ว เหมียวอี้ก็หันไปพาหยางชิ่งเดินไปบนบันไดนอกตำหนัก พอหันมองต่ำลงมาที่ทุกคนอีกครั้ง ก็กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ตอนแรกที่ทุกคนบอกว่าแต่งตั้งให้ข้าเป็นใหญ่ที่สุด ไม่ทราบว่าจะรักษาคำพูดหรือเปล่า?”
ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก เจ้าตัวยืนอยู่บนที่สูงอย่างนั้น ยังต้องให้บอกอีกเหรอว่าหมายความว่าอะไร นี่กำลังต้องการให้ทุกคนแสดงท่าทีเหรอ
คนกลุ่มนี้เริ่มแอบถ่ายทอดเสียงปรึกษากันทันที ถึงแม้จะมีเรื่องบางเรื่องที่ในใจไม่อยากยอมรับ แต่คนชรากลุ่มนี้ก็ยอมรับความจริงมาก เรื่องบางเรื่องนั้นมีความหมายแค่ในนาม ส่วนอำนาจแท้จริงที่กุมอยู่ในมือ ใช่ว่าใครอยากจะแย่งก็แย่งได้ ในเมื่อเหมียวอี้ยังมีผลประโยชน์สำหรับพวกเขาอยู่ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำลายผลประโยชน์ของตัวเอง ที่สำคัญคือเหมียวอี้สามารถเข้าออกที่นี่ได้อย่างอิสระ ทำให้ทุกคนมองเห็นความหวังที่จะออกไปจากที่นี่แล้ว
แต่ปัญหาในตอนนี้ก็คือ จะเรียกเหมียวอี้ว่าอะไรล่ะ หลังจากทุกคนปรึกษากันแล้ว ก็ยืนขึ้นพร้อมกัน แล้วกุมหมัดคารวะเรียกด้วยเสียงดัง “คารวะราชาปราชญ์!”
ไห่ผิงซินที่อยู่ข้างหลังกลุ่มคนค่อนข้างตกตะลึง มีหลายเรื่องที่นางยังไม่เข้าใจชัดเจน นึกไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่จะทำให้หกลัทธิสวามิภักดิ์ได้ ไม่น่าจะใช่สิ เจ้าหมอนี่วรยุทธ์ก็ไม่เท่าไรเองนะ? อ๋องสวรรค์โค่วที่หนุนหลังก็บงการที่นี่ไม่ได้ด้วย คนที่นี่มีใครเห็นอ๋องสวรรค์โค่วอยู่ในสายตาบ้าง?
เหมียวอี้ก็ไม่เกรงใจเช่นกัน เอ่ยเรียกเสียงเรียบว่า “จินม่าน!”
จินม่านก้าวขึ้นมาข้างหน้า “ข้าน้อยรายงานตัว!”
เหมียวอี้กล่าวช้าๆ ด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ตั้งแต่นี้ไป เจ้าคือประมุขปราชญ์ลัทธิอู๋เลี่ยง! ลัทธิอู๋เลี่ยงมีความเห็นแย้งหรือไม่?”
จินม่านตะลึงงัน
พวกซือถูชิงหลันสบตากันแล้วยิ้ม แบบนี้สิถึงตรงตามที่ทุกคนหวัง พวกเขากุมหมัดคารวะทันที “ไม่มีความเห็นแย้ง!” จากนั้นก็กุมหมัดคารวะจินม่านอีกครั้ง “คารวะประมุขปราชญ์”
กะทันหันอย่างนี้ ทำให้จินม่านลนลานนิดหน่อย กุมหมัดคารวะอย่างเก้อเขินเล็กน้อย “ข้าน้อยเอ่ยรับคำสั่ง!”
กลุ่มคนที่อยู่ข้างล่างยังครุ่นคิดถึงเจตนาของเหมียวอี้อยู่เลย เหมียวอี้บอกอีกว่า “หยางชิ่ง!”
เสียงนี้ดึงดูดสายตาของทุกคนให้มองขึ้นไปอีกครั้ง หยางชิ่งลงบันไดไปสองสามก้าว แล้วกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยรายงานตัว!”
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หยางชิ่งจะเป็นหัวหน้าผู้ช่วยผู้ช่วยของหกลัทธิช่วงที่ข้าไม่อยู่แดนอเวจี เจ้าจะเป็นตัวแทนข้าจัดการงานทุกอย่างของหกลัทธิ” เหมียวอี้ประกาศเสียงดัง
เดิมทีต้องการจะแต่งตั้งหยางชิ่งเป็นผู้การใหญ่ของหกลัทธิ เพียงแต่หยางชิ่งปฏิเสธเอง หยางชิ่งคิดว่าเพิ่งมาครั้งแรกล้วได้ชื่อว่าเป็น ‘ผู้การใหญ่’ เลยจะยั่วโมโหคนเกินไป เขายังไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน จะไปควบคุมดูแลใครได้? หัวหน้าผู้ช่วยผู้ช่วย’ ฟังดูเบากว่าเยอะ ให้ทุกคนเข้าใจว่าเขาอยู่ที่นี่เพียงเพราะปฏิบัติตามคำสั่งเหมียวอี้จะดีกว่า ส่วนเรื่องอื่นๆ รอตอนหลังค่อยว่ากันอีกที ไม่สะดวกจะใช้ความรุนแรงมากเกินไป
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่หยางชิ่งก็ยังนึกไม่ถึงว่าพอมาถึงเหมียวอี้ก็จะประกาศคำสั่งแต่งตั้งเลย ทำให้เขาต้องทึ่งกับความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญในบางครั้งของเหมียวอี้ เด็ดขาดจนทำให้คนอกสั่นขวัญแขวน ถ้าเปลี่ยนเป็นเขา ก็จะต้องปรึกษากับหกลัทธิก่อนแล้วค่อยออกคำสั่งแน่นอน ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะไม่ปรึกษากับหกลัทธิเลย กดตำแหน่ง ‘หัวหน้าผู้ช่วยผู้ช่วย’ ลงบนหัวหกลัทธิโดยตรง เขากังวลนิดหน่อยว่าหกลัทธิอาจจะไม่ยอมรับ
แต่ในเมื่อเหมียวอี้ทำแบบนี้ไปแล้ว เขาก็จำต้องให้ความร่วมมือ “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!”
ในความเป็นจริงก็เป็นอย่างนั้น จู่ๆ ก็มีคนมากมายสุมหัวกันกระซิบกระซาบหรือไม่ก็ขมวดคิ้วให้กับคำสั่ง ‘หัวหน้าผู้ช่วยผู้ช่วย’ นี้ หยางชิ่งที่ยืนแยกอยู่ด้านข้างแอบสังเกตเงียบๆ พบว่าสถานการณ์ไม่ได้แย่ถึงขนาดนี้เขาจินตนาการไว้ เห็นได้ชัดว่าถึงแม้ในใจทุกคนจะมีความเห็นแย้ง แต่ก็ไม่มีใครจะกระโดดออกมาคัดค้าน
เหมียวอี้ก็ไม่ได้คาดหวังว่าทุกคนจะยอมศิโรราบจากใจ ห้าปราชญ์อยู่ที่นี่มานานแต่ก็ยังทำจุดนี้ให้สำเร็จไม่ได้ เขาไม่คิดว่าหยางชิ่งโผล่หน้ามาแล้วจะทำสำเร็จได้เลย แต่เขาก็มีเวลาให้หยางชิ่งใช้กับคนพวกนี้อยู่แล้ว
พอเดินลงบันไดมาแล้ว เหมียวอี้ก็ไม่ชายตามองเลย เดินก้าวยาวผ่านกลุ่มคนไป ทุกคนจำเป็นต้องหลีกซ้ายหลีกขวาให้เขาเดินผ่านไป
พวกจินม่านแทบจะส่งสายตาให้กันโดยจิตใต้สำนึก พวกเขาแอบรู้สึกสะท้อนใจ พบว่าความแข็งกร้าวของเหมียวอี้ในตอนนี้แตกต่างจากตอนที่เหมียวอี้มาที่นี่เป็นครั้งแรกราวกับเป็นคนละคน
ทุกคนไม่รู้ว่าเหมียวอี้ต้องการจะทำอะไร ได้แต่เดินตามหลังเขาไป เดินเรียงหน้ากระดานอยู่ทางซ้ายและขวาของเขา ยืนอยู่บนยอดเขาสูงที่หันหน้าเข้าหาทะเลอันกว้างใหญ่
เห็นเพียงเหมียวอี้สะบัดแขนเสื้อสองข้าง กำไลเก็บสมบัติบนแขนสองข้างมีพลังอิทธิฤทธิ์ม้วนช้าๆ มีเงาคนถูกพ่นออกมาคนแล้วคนเล่า
ผ่านไปไม่นาน คนหนึ่งหมื่นก็ลอยปรากฏอยู่บนท้องฟ้า แต่ละคนมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตะลึงประหลาดใจ มีคนไม่น้อยพอได้เห็นอวิ๋นอ้าวเทียนและพวกห้าปราชญ์ยืนอยู่บนหน้าผาแล้วก็ทำสีหน้าตื่นเต้นดีใจทันที ต่างก็รู้ว่าตัวเองน่าจะมาถึงพิภพใหญ่แล้ว
หยางชิ่งที่ยืนอยู่ข้างกายเหมียวอี้โบกมือพร้อมกล่าวเสียงดัง “ออกมาให้หมดเถอะ”
คนนับหมื่นทำตามที่วเตรียมตัวไว้ตอนแรก เหาะแยกย้ายกันไปบนเขตต่างๆ เหนือผิวทะเล
อวิ๋นอ้าวเทียนและห้าปราชญ์ที่เตรียมใจไว้แล้วยังดีหน่อย แต่พวกประมุขขุนพลของหกลัทธิกลับหรี่ตาอย่างฉับพลัน บางคนก็หนังตากระตุก บางคนก็เบิกตากว้าง
เห็นเพียงหนึ่งหมื่นคนที่กระจายกันไปอยู่บนผิวทะเลไกลๆ เริ่มจากหนึ่งกลายเป็นสิบ สิบกลายเป็นร้อย ร้อยกลายเป็นพัน ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว ทะเลคลื่นมรกตตรงหน้าก็ถูกปกคลุมไว้หมดแล้ว กลุ่มคนที่หนาแน่นเป็นพืดทำให้คนมองไม่เห็นว่าชายขอบว่าสิ้นสุดตรงไหน
มีคนนับไม่ถ้วนยืนอยู่บนทะเลกว้างคลื่นมรกต แต่ละคนกำลังเหลียวซ้ายแลขวา พวกเขาค่อนข้างเฝ้าคอยและอยากรู้อยากเห็น
หกประมุขขุนพลและคนอื่นๆ พุ่งขึ้นท้องฟ้าโดยจิตใต้สำนัก อยู่บนฟ้าสูงเพื่อมองดูกระแสผู้คน พวกเขาพากันสูดหายใจลึกด้วยความตกใจ ค่อนข้างตกตะลึง ไม่รู้ว่าเหมียวอี้นำคนมาจากไหนมากมายขนาดนี้
หลังจากทยอยกันมาถึงแล้ว จินม่านก็กุมหมัดคารวะถาม “ประมุขปราชญ์นำคนนอกพวกนี้มาทำไม?”
เหมียวอี้อธิบายว่า “ไม่ต้องห่วง คนพวกนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจของประมุขชิงกับประมุขพุทธะ พวกเขามาจากอาณาเขตดาวลึกลับ แทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตำหนักสวรรค์เลย ตั้งแต่นี้ไปคนพวกนี้จะมาเป็นลูกน้องพวกเจ้า นับว่านำมาเป็นของขวัญให้พวกเจ้าก็แล้วกัน เป็นรากฐานให้พวกเราโจมตีโต้ตอบตำหนักสวรรค์ในอนาคต ไม่อย่างนั้นอาศัยแค่พวกเรา ถ้าอยากโค่นล้มตำหนักสวรรค์ก็เป็นเรื่องเพ้อฝันจริงๆ”
หกประมุขขุนพลฮึกเหิมทันที มีหรือที่พวกเขาจะไม่รู้ถึงความน่าอายของฝ่ายตัวเอง รู้อยู่แล้วว่าการที่หกลัทธิจะโค่นล้มตำหนักสวรรค์เป็นแค่ฝันกลางวัน ตำหนักสวรรค์ที่พัฒนาเติบโตมาหลายปีไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสู้ได้แล้ว อย่าว่าแต่ประมุขชิงกับประมุขพุทธะร่วมมือกันเลย ต่อให้กองทัพองครักษ์ลูกน้องประมุขชิง ถ้าปะทะกันซึ่งๆ หน้า เลือกใครสักคนออกมาจากหน่วยองครักษ์ซ้ายขวาก็สามารถกำจัดพวกเขาได้แล้ว แต่พวกเขาก็จำเป็นต้องหลอกลูกน้อง ถ้าไม่มอบความฝันให้ลูกน้อง ใจคนก็จะกระจัดกระจายไปนานแล้ว ตอนนี้มีกำลังพลกลุ่มใหญ่มาเพิ่มกะทันหัน จะต้องทำให้ลูกน้องฮึกเหิมมีกำลังใจแน่นอน อย่างน้อยก็มีจุดหนึ่งที่ทำให้พวกลูกน้องเห็นได้ นั่นก็คือพวกเขามีหนทางไปมาระหว่างที่นี่กับโลกภายนอกแล้ว
เย่สิงคงประมุขขุนพลลัทธิมารกุมหมัดคารวะอย่างตื่นเต้นดีใจ “ราชาปราชญ์ เกรงว่าที่นี่จะมีกำลังพลหลายสิบล้านใช่มั้ย?”
“นี่เป็นเพียงกำลังพลแปดสิบล้านที่มาถึงก่อนใน่ช่วงแรกเท่านั้น ตอนหลังยังจะส่งตามมาอีกห้าสิบล้าน” เหมียวอี้กล่าว
หมายความว่ามีกำลังพลหนึ่งร้อยสามสิบล้านเหรอ? ทุกคนตื่นเต้นฮึกเหิมอีกครั้ง
จ่างซุนจูประมุขขุนพลลัทธิเซียนส่ายหน้าอย่างตกตะลึง จากนั้นขมวดคิ้วถามอีก “เหมือนวรยุทธ์จะต่ำไปหน่อย ทำไมยังมีระดับบงกชขาวอยู่เยอะขนาดนี้?”
เหมียวอี้ถามกลับอีกว่า “พวกเรายังมีสิทธิ์เลือกเยอะด้วยเหรอ? ข้าเองก็อยากเอานักพรตบงกชทองเข้ามาสักร้อยล้านเหมือนกัน อย่าว่าแต่นักพรตบงกชทองเลย ต่อให้เอานักพรตบงกชขาวเข้ามาร้อยล้านก็ทำให้ข้างนอกแตกตื่นแล้ว แต่คนพวกนี้ไม่เหมือนกัน พวกเขาไม่รู้เรื่องสถานการณ์ภายนอกเลย สะอาดเหมือนกระดาษขาว สามารถโดนฝึกเลี้ยงได้ตามใจ ถ้าจะให้เอาคนกลุ่มใหญ่ในเขตตำหนักสวรรค์มาจริงๆ ทุกคนคุ้นเคยกับสถานการณ์ภายนอกแล้ว ถ้าอยากจะซื้อหัวใจพวกเขาอีกก็ยากแล้ว เกรงว่าคงจะกลายเป็นหนทางในการติดต่อกับทหารยามเฝ้าแดนอเวจีแทน ร้อยล้านกว่าคนพวกเจ้าคุมไหวมั้ยล่ะ?”
“ที่ราชาปราชญ์พูดก็มีเหตุผล อย่าไปถือสาคนความรู้พื้นๆ อย่างเขาเลย” เย่สิงคงพูดดูถูกจ่างซุนจู เขาตื่นเต้นดีใจจนถูไม้ถูมือ “ไม่ทราบว่าจะแบ่งคนพวกนี้ให้หกลัทธิยังไง ทางลัทธิเซียนไม่อยากได้คน แต่ลัทธิมารของข้าไม่รังเกียจหรอก”
จ่างซุนจูถลึงตาทันที “ใครบอกว่าลัทธิเซียนของข้าจะไม่เอา?” ในบรรดานักพรตแปดสิบล้านคนนี้มีผู้หญิงอยู่ไม่น้อย ที่ลัทธิเซียนมีนักพรตหลายคนที่ไม่เคยล้มลองรสชาติผู้หญิงมาก่อนเลย มีหรือที่เขาจะกล้าไม่เอา ไม่อย่างนั้นกลับไปได้โดนลูกน้องบ่นจนฟ้าถล่มแน่
ทุกคนลองคำนวณคร่าวๆ ก็รู้แล้ว ถ้ามีนักพรตหนึ่งร้อยสามสิบล้านจริงๆ นักพรตชายทุกคนที่โดนขังอยู่แดนอเวจีก็จะแก้ปัญหาเรื่องแต่งงานได้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น คนมากมายขนาดนี้ก็นับเป็นทรัพยากรกลุ่มใหญ่เหมือนกัน ประเด็นสนทนาของทุกคนจึงเปลี่ยนไปเป็นเถียงกันว่าจะแบ่งสรรและแย่งชิงทรัพยากรชุดนี้อย่างไร ประมุขขุนพลหกลัทธิผลัดกันพูดจนเถียงกันแล้ว
“เอาล่ะ ลัทธิมารของข้าหลีกทางให้นิดหน่อยก็ได้ ยอมลดให้สองล้านคน แต่จะต้องเพิ่มผู้หญิงให้พวกเราหนึ่งแสนคน วรยุทธ์จะสูงหรือจะต่ำ จะสวยหรือขี้เหร่ก็ไม่เกี่ยง” เย่สิงคงโบกมืออย่างใจกว้าง ใจกว้างอย่างนั้นจริงๆ เอาคนสองล้านมาแลกกับผู้หญิงหนึ่งแสน
“มีสิทธิ์อะไร ทำไมต้องให้ผู้หญิงกับพวกเจ้าหนึ่งแสน ฝ่ายข้าก็หลีกทางให้ได้เหมือนกัน!” จินม่านถลึงตาเถียงทันที ถึงแม้นางจะเป็นผู้หญิง แต่เรื่องนี้ก็ช่วยไม่ได้ ถ้าไม่มีผู้หญิงพวกนี้ก็ว่าไปอย่าง แต่พอมีแล้ว หากไม่แก้ไขปัญหาเรื่องจับคู่ให้กำลังพลข้างล่าง สถานการณ์ของกำลังพลข้างล่างก็จะวุ่นวายมาก ไม่ว่าใครก็ควบคุมธรรมชาติของคนไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าละเลยก็จะทำให้เกิดการแย่งชิงกันแน่นอน!
บทที่ 1615 แต่พวกเขาไม่มีทางปฏิเสธได้
แค่การแย่งชิงแบ่งสรรผู้หญิงรอบๆ ก็ชัดเจนแล้ว เป็นการแข่งขันที่ดุเดือดมาก
เหมียวอี้พูดไม่ออกนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงสวยสูงส่งสง่างามภูมิฐานอย่างจินม่านจะคอแข็งมาแย่งผู้หญิงเพื่อลูกน้องผู้ชายด้วย ทำอย่างกับเป็นแม่เล้า เสียภาพลักษณ์หมดแล้ว ทำให้เขารู้สึกเหนือความคาดหมายมากจริงๆ
เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองหยางชิ่งที่ยืนสงบนิ่งอยู่ข้างกาย ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งนี้จะอยู่ในการคาดการณ์ของหยางชิ่งตั้งแต่แรกแล้ว ขณะที่กำลังทอดถอนใจ เขาก็เชื่อมั่นในตัวหยางชิ่งมากขึ้นด้วย
อวิ๋นอ้าวเทียนและพวกห้าปราชญ์แอบส่งสายตาให้กัน พวกเขาทั้งห้าดูสงบนิ่งใจเย็น
“พอแล้ว เรื่องนี้ไม่ต้องเถียงกันแล้ว จะแบ่งยังไงเดี๋ยวหยางชิ่งจะจัดการเอง” เหมียวอี้เอ่ยประโยคเดียวเพื่อทำให้พวกเขาหยุดเถียงกัน
คนของหกลัทธิที่เถียงกันจนหน้าแดงมองไปที่หยางชิ่งด้วยสายตาอ่อนโยนขึ้นเยอะเลย ถึงขั้นมีคนเป็นฝ่ายกุมหมัดคารวะขอคำชี้แนะด้วย “เช่นนั้นก็รบกวนหัวหน้าผู้ช่วยแล้ว”
จินม่านมองไปที่เหมียวอี้ด้วยแววตาเฝ้าคอย รู้สึกว่าเหมียวอี้คงไม่ทำให้ลัทธิอู๋เลี่ยงเสียเปรียบแน่
เหมียวอี้หยิบกำไลเก็บสมบัติหกวงออกมา โยนแบ่งให้ประมุขปราชญ์ทั้งหก “นี่คือทรัพยากรฝึกตนที่คนของพวกเจ้าที่อยู่ข้างนอกให้มา แต่ข้าก็กลุ้มใจนิดหน่อยนะ ว่ากันว่าคนมีอำนาจ ต่อให้ตายแล้วอิทธิพลก็ยังอยู่ ในปีนั้นหกลัทธิเป็นวีรบุรุษของใต้หล้า ต่อให้พังพินาศเป็นเสี่ยงๆแล้ว ช่องทางที่ทิ้งไว้ก็คงไม่ใช่เล่นๆ แน่นอน กักตุนเอาไว้หลายปี แต่ได้ทรัพยากรแค่เท่านี้ พวกเจ้าเชื่อรึเปล่าล่ะ?”
พอพูดถึงเรื่องนี้ ก็อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ขนาดจินม่านก็ยังรู้สึกอับอาย ไม่ใช่เพราะทรัพยากรที่กักตุนไว้ข้างนอกมีอยู่เล็กน้อยเท่านี้หรอก แต่เป็นเพราะไม่อาจยืนยันได้ว่าเหมียวอี้พูดจริงหรือไม่ ในขณะที่ยังไม่แน่ใจในสถานการณ์ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะนำทรัพย์สินทุกอย่างส่งให้เหมียวอี้หมด ต่อให้พวกเขาตอบตกลง แต่คนข้างนอกก็ไม่ตอบตกลงอยู่ดี พวกเขาจึงทำได้เพียงปิดตาข้างเดียว ไม่ได้กดดันคนข้างนอกมากเกินไป ได้แต่นำทรัพยากรส่วนน้อยส่งให้เหมียวอี้เพื่อทดสอบดู ต่อให้มีเสียหายบ้างแต่ก็ไม่ถึงขั้นขาดทุนมาก
ถึงแม้จะเป็นเพียงส่วนเล็กน้อย แต่กลับเป็นทรัพย์สินที่ทำให้คนทึ่งได้ ถ้าลบคนหลายสิบล้านที่เพิ่งมาออกไป ก็เพียงพอจะให้คนในแดนอเวจีใช้ไปหนึ่งร้อยปีเลย
ส่วนเหมียวอี้จะเก็บไว้ส่วนนตัวหรือไม่ ก็ไม่ต้องกังวลเลย ข้างนอกกับข้างในมีการติดต่อกันอยู่แล้ว ทุกคนมีข้อมูลอยู่ในใจแล้วว่าให้มาเท่าไร เดี๋ยวกลับไปนับก็รู้แล้วว่าเหมียวอี้แอบฮุบไว้หรือเปล่า
จินม่านกล่าวอย่างเก้อเขินว่า “คนข้างนอกคิดมากไปแล้ว ตอนนี้ได้มาหนึ่งส่วนเท่านั้น”
เหมียวอี้เดาออกแล้วว่าจะเป็นอย่างนี้ จึงบอกตรงๆ ว่า “ข้าทำงานอยู่ข้างนอกก็ใช้ไปไม่น้อยเหมือนกัน ต้องอาศัยกำลังทรัพย์ของหกลัทธิสนับสนุน ขอเรียกร้องไม่เยอะ เดี๋ยวต่อไปจะให้หยางชิ่งร่างกฎระเบียบแบ่งสรรทรัพยากรกับพวกเจ้า คาดว่าพวกเจ้าคงจะไม่ตระหนี่หรอกใช่มั้ย?”
ไม่มีเหตุผลที่เขาจะทำงานให้หกลัทธิอย่างเดียวก็ไม่ยึดอะไรเลย แบกรับเพียงชื่อเสียงอันจอมปลอมของ ‘ราชาปราชญ์’ ตอนนี้ในมือเขาก็ขัดสนเหมือนกัน มีครอบครัวใหญ่ต้องเลี้ยง ตอนนี้เขาก็ต้องแบ่งทรัพยากรของหกลัทธิจากลูกน้องมาใช้ ก่อนหน้านี้ถึงแม้ลัทธิอู๋เลี่ยงจะทำให้เขากังวลอยู่บ้าง แต่ตอนนี้มีความมั่นใจที่จะควบคุมแล้ว ถ้าไม่คิดจะครอบครองทรัพยากรมากมายขนาดนั้นก็โง่แล้วล่ะ
“รับทราบ!” ไม่รู้เหมือนกันว่าเต็มใจหรือไม่เต็มใจ เอาเป็นว่าทุกคนตอบตกลงแล้ว
คนฝั่งนี้กำลังเจรจจากันอย่างเชื่องช้าอยู่บนหน้าผา ด้านล่างก็มีคนทนไม่ไหวแล้ว มีคนคนหนึ่งตะโกนเสียงดังฟังชัด “ท่านปู่!”
เงาคนคนหนึ่งข้ามออกจากเขตควบคุมแล้วเหาะเข้ามาทางนี้โดยตรง พอมาเหยียบลงบนหน้าผา ทุกคนก็หันกลับมามอง เป็นอวิ๋นรั่วซวงนั่นเอง
ท่ามกลางคนแปลกหน้า อวิ๋นรั่วซวงมีท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู นางไปทำความเคารพตรงหน้าอวิ๋นอ้าวเทียนโดยตรง “หลานสาวคำนับท่านปู่ค่ะ”
“นี่คือหลานสาวของประมุขปราชญ์เหรอ?” เย่สิงคงแปลกใจ
อวิ๋นอ้าวเทียนเผยสีหน้ารักทะนุถนอมอย่างที่พบเห็นได้ยากขณะพยักหน้าเบาๆ
เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ตาเฒ่าเฉียวกับอวิ๋นเสียและพี่น้องตระกูลอวิ๋นก็ทยอยกันเหาะเข้ามาคารวะ
เมื่อเห็นคนตระกูลอวิ๋นเริ่มทำก่อน คนของฝั่งมู่ฝานจวินก็ไม่น้อยหน้า เข้ามาคารวะเช่นกัน โอวหยางกวงกับอันหรูอวี้ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ทั้งคู่ทำสายตาอาลัยอาวรณ์
เมื่อเห็นแต่ละบ้านกำลังเสียระเบียยบ หยางชิ่งก็กล่าวเสียงเรียบว่า “ทุกคนกลับไปอยู่ที่เดิมของตัวเอง ยังไม่ถึงเวลาแบ่งสมาชิก”
ห้าปราชญ์ให้ความร่วมมือกับสิ่งนี้ ต่างก็ให้ลูกหลานกลับไปประจำที่ก่อน
เรื่องต่อจากนั้นเหมียวอี้ก็ไม่ได้แทรกแซงแล้ว ปล่อยให้หยางชิ่งไปจัดการเอง หยางชิ่งพูดไว้ชัดเจนต่อหน้าทุกคนแล้ว ว่ายังมีคนอีกหลายสิบล้านสงสัยเคลือบแคลงเรื่องการมาที่นี่ ตอนนี้เรื่องแรกที่ต้องทำก็คือให้คนที่มาถึงก่อนตอบจดหมายยืนยัน
หกลัทธิไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้เช่นกัน ให้ความร่วมมือที่จะปิดบังคนพวกนี้ให้เข้าใจผิดว่ามาถึงพิภพใหญ่แล้ว
เมื่อมีความเห็นเป็นเอกภาพแล้ว ก็ไม่มีใครขัดขวาง ประสิทธิภาพในการปฏิบัติตามคำสั่งนั้นรวดเร็วมาก กำลังพลแปดสิบล้านถูกพาไปบนดาราจักร ให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตากับความสวยวิจิตรตระการตาของดาราจักรผืนนี้ ฉากมายาของดาราจักรที่ลี้ลับยากจะคาดเดาไกลๆ นั่นก็ได้ทำให้แปดสิบล้านคนอัศจรรย์ใจจริงๆ แต่ก็ไม่ได้พาพวกเขาไปดูที่อื่นมากกว่านี้แล้ว พาไปชื่นชมแค่ดาวเคราะห์ที่หกประมุขขุนพลเคยถูกผนึกไว้ในตอนแรกเท่านั้น ที่จริงดาวเคราะห์พวกนั้นเหมาะสมกับการดำรงชีวิตมากกว่า ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ ที่นั่นเปลี่ยนเป็นเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์แล้ว
สรุปก็คือ สิ่งนี้ทำให้แปดสิบล้านคนนี้แน่ใจว่าตัวเองมาถึงพิภพใหญ่แล้ว ส่วนในภายหลังจะรู้เรื่องอะไรอีกก็เป็นเรื่องในภายหลังแล้ว ตอนนี้หยางชิ่งบอกพวกเขาว่า เหมียวอี้ต้องกลับพิภพเล็ก ต้องนำจดหมายจากพวกเขากลับไปด้วย
บนดาวเคราะห์ที่หกประมุขขุนพลเคยถูกผนึกไว้ ใช้เวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น ก็ได้จดหมายที่จำเป็นต้องนำกลับไปครบแล้ว
เมื่อได้ของพวกนี้มาก็จะจัดการง่ายแล้ว เรื่องแบ่งคนห้าปราชญ์มีแผนอยู่ในใจมาตั้งแต่แรก กฎที่ต้องปฎิบัติตามก็คือให้แต่ละครอบครัวพาคนในครอบครัวของตัวเองไป นักพรตที่เป็นของหกแดนก็แบ่งตามเดิม
มีอยู่จุดหนึ่งที่หยางชิ่งเน้นย้ำกับบุคคบระดับสูงของหกลัทธิ นั่นก็คือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิง กำลังพลเบื้องล่างของหกลัทธิทำได้แค่อาศัยความสามารถไปตามจีบเท่านั้น ห้ามฝืนใจเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นทำเสียเรื่อง ต้องทราบไว้ว่านักพรตหญิงมากมายที่มาที่นี่ บ้างก็เป็นศิษย์มีสำนัก บ้างก็เป็นภรรยาของผู้ที่ร่วมเดินทางมาด้วย ถ้ามีเรื่องแย่งชิงผู้หญิงขึ้นมาจริงๆ ก็จะทำให้แปดสิบล้านคนนี้เอาใจออกห่างแน่นอน
“เมื่อถึงคราวจำเป็น หกลัทธิก็ต้องเชือดไก่ให้ลิงดู!” หยางชิ่งกล่าวต่อหน้าหกประมุขขุนพล เด็ดขาดดุดัน!
บุคคลระดับสูงของหกลัทธิก็ตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของปัญหานี้เช่นกัน ต้องสร้างกฎระเบียบขึ้นมา ตราบใดที่ทำตามกฎระเบียบ ปัญหาบางอย่างก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกแล้ว เมื่อมีคนมากมายขนาดนี้เข้ามาเพิ่ม จะต้องเกิดความแตกต่างระหว่างฐานะและชนชั้นแน่นอน กำลังพลเดิมของหกลัทธิจะต้องอยู่ในชนชั้นปกครอง ถ้าได้เปรียบขนาดนี้แล้วยังสยบและทำให้ผู้หญิงของลูกน้องหวั่นไหวไม่ได้ เช่นนั้นก็ไร้ประโยชน์เกินไปแล้ว สิ่งที่ควรจะลงโทษหนักก็ต้องลงโทษหนัก ไม่แน่ว่าอาจจะได้เชือดไก่ให้ลิงดูจริงๆ ก็ได้
ส่วนเรื่องแบ่งสมาชิก หยางชิ่งระงับเอาไว้ก่อน เพราะต้องให้บุคคลระดับสูงของแต่ละลัทธิร่างกฎระเบียบออกมาก่อน ต้องทำให้ความเห็นของกำลังพลเบื้องล่างเป็นเอกฉันท์ชัดเจนขึ้นมาก่อน
สำหรับสิ่งนี้หกลัทธิล้วนเห็นด้วย หลังจากกลับไปแล้วก็เตรียมการเรื่องนี้เร็วมาก
หลายวันหลังจากนั้น หลังจากเตรียมงานในระยะแรกไว้เรียบร้อยแล้ว หยางชิ่งถึงได้เริ่มปล่อยคนอย่างเป็นทางการ นักพรตหกแดนที่พามาจากพิภพเล็กถูกกำลังพลหกลัทธิแบ่งกันพาไปหาที่อยู่ตามคุณสมบัติเดิมของแต่ละคน
หยางชิ่งนับว่าเริ่มต้นจัดการเรื่องนี้ได้ดี ทำให้บุคคลระดับสูงของหกลัทธิมีจุดเริ่มต้นในการปรึกษาหารือกับเขาแล้ว ต่อไปถ้ามีเรื่องอะไรอีกก็ไม่ถึงขั้นพรวดพราดไม่ดูตาม้าตาเรือ
วิธีการเริ่มดำเนินงานอันรวดเร็วของหยางชิ่งนั้นไม่ธรรมดา ทำให้เหมียวอี้เบาใจลงเยอะ เมื่อเห็นว่าเรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นที่ดี เหมียวอี้ก็เตรียมจะออกไปจากที่นี่
ก่อนที่จะออกเดินทาง หยางชิ่งก็ไปหาเหมียวอี้เพื่อปรึกษากันอย่างลับๆ อีกครั้ง
จ้าวเฟยกับอูเมิ่งหลัน ซือคงอู๋เว่ยกับเถาชิงหลี เหวินฟางกับหลัวผิง สามีภรรยาสามคู่นี้ถูกเลือกให้กลายเป็นลูกน้องคนสนิทของหยางชิ่ง การที่พวกเขาได้กลายเป็นผู้ติดตามคนสนิทของหยางชิ่งได้ ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ใส่ใจของหยางชิ่งเช่นกัน เขาเองก็รู้ว่าคนพวกนี้สามารถเป็นลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้ได้ เหมียวอี้มอบอำนาจมากมายขนาดนี้ให้เขา เมื่อทำงานในสถานที่แบบนี้ เขาก็ยิ่งต้องอาศัยความเชื่อใจและความร่วมมือจากเหมียวอี้ ไม่อยากให้เหมียวอี้ไม่สบายใจ แบบนี้ตัวเองถึงจะสามารถทำงานได้เต็มที่ ดังนั้นเรื่องบางเรื่องก็จะต้องสำนึกได้ด้วยตัวเอง ต้องทำให้เหมียวอี้วางใจ เรียกได้ว่าเป็นฝ่ายจับคนที่เป็นหูเป็นตาให้เหมียวอี้มายัดไว้ข้างกายด้วยตัวเองเลย
จ้าวเฟยและอูเมิ่งหลันที่มาด้วยกันเฝ้าอยู่ในลานบ้านด้านนอก ป้องกันไม่ให้มีคนเข้าใกล้
ในห้องนั้น หลังจากเหมียวอี้บอกใบ้ให้หยางชิ่งนั่งลงแล้ว ก็ยิ้มพร้อมเอ่ยถามว่า “ทำไมเหรอ ยังมีเรื่องอะไรไม่วางใจอีก?”
“เพิ่งมาครั้งแรก จุดที่ไม่วางใจก็ย่อมมีไม่น้อยอยู่แล้ว” หยางชิ่งกล่าวพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็ทำสีหน้าจริงจังทันที “ข้าน้อยไม่ได้มาเพราะเรื่องนี้ แต่มีความคิดอีกอย่างหนึ่งจะคุยกับนายท่าน เรื่องนี้ข้าน้อยตัดสินใจเองไม่ได้ เกรงว่าจะต้องให้นายท่านอนุญาตและประสานงานกับประมุขปราชญ์โดยตรง”
“อ้อ!” เหมียวอี้ถาม “เรื่องอะไร?”
หยางชิ่งกล่าวอย่างลังเลว่า “หลายวันมานี้ หลังจากที่ข้าน้อยพอจะเข้าใจสถานการณ์บ้างแล้ว ก็รู้สึกว่าจำเป็นจะต้องปล่อยคนชุดหนึ่งจากแดนอเวจีออกไป”
“ชุดหนึ่ง? เจ้าหมายความว่าจะส่งคนชุดหนึ่งออกไปข้างนอกเหรอ?” เหมียวอี้ที่เพิ่งนั่งลงต้องลุกขึ้นอีกครั้งอย่างตกใจ แล้วถามเสียงต่ำว่า “คงจะไม่เหมาะสมมั้ง? ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิด เจ้ารู้รึเปล่าว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง?”
หยางชิ่งลุกขึ้นยืนตามเขา แล้วเกลี้ยกล่อมว่า “ก่อนที่ข้าน้อยจะมา ข้าน้อยก็ได้เตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว หลังจากมาแล้วถึงได้พบว่า เรื่องราวไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ข้าน้อยจินตนาการไว้ ทำให้ข้าน้อยรู้สึกผิดคาดนิดหน่อย ข้าน้อยรู้สึกว่าท่าทีที่หกลัทธิมีต่อนายท่าน เหมือนจะถูกควบคุมด้วยสาเหตุอะไรสักอย่างที่ไม่ชัดเจน ไม่อย่างนั้นด้วยศักยภาพอย่างพวกเขาก็คงไม่อยู่ในโอวาทขนาดนี้หรอก ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่ข้าน้อยสังเกตเห็นจะผิดพลาดหรือเปล่า?”
เหมียวอี้เงียบไปครู่เดียว แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ใช่แล้ว มีพลังกลุ่มหนึ่งควบคุมพวกเขาไว้จริงๆ ไม่อย่างนั้นข้ากับพวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็ไม่มีทางกลายเป็นประมุขปราชญ์หกลัทธิได้ตั้งแต่ตอนแรกหรอก”
“ไม่รู้ว่าพลังจากฝั่งไหนที่กำลังควบคุมพวกเขาอยู่?” หยางชิ่งถามซักไซ้
เหมียวอี้หันหลังให้แล้วเอามือไขว้หลัง หลังจากเงียบไปนาน สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ข้าไม่รู้ละเอียดหรอกว่าพลังอะไรกำลังควบคุมพวกเขาอยู่ แต่ข้ามั่นใจได้เลย ว่าน่าจะเป็นคนที่ผนึกหกประมุขขุนพลเอาไว้ตอนแรก เพียงแต่หกประมุขขุนพลเหมือนจะหวาดกลัว ไม่ยอมเปิดเผยความจริง”
หยางชิ่งสงสัยว่าเหมียวอี้หรืออะไรมาหรือเปล่า เขาจึงอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอเห็นเหมียวอี้เหมือนจะไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ สุดท้ายข่มใจเอาไว้และไม่ถามอีก เพียงขมวดคิ้วถามอย่างกว้างๆ “ไม่รู้ว่าเป็นศัตรูหรือเป็นมิตร?”
เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “คงจะไม่ใช่ศัตรู” เขาหันตัวมาแล้วถามอีกว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับการที่เจ้าจะปล่อยคนออกไปเหรอ?”
หยางชิ่งพยักหน้า “ไม่ใช่ศัตรูก็ดี ในเมื่อตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ได้แย่อย่างที่ข้าน้อยจินตนาการไว้ เช่นนั้นข้าน้อยก็คิดว่าเรื่องบางเรื่องสามารถผลักดันไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่งได้ ให้หกลัทธิส่งขุนพลใหญ่หนึ่งคนกับขุนพลสิบคนออกจากแดนอเวจี ให้ไปรับช่วงต่อช่องทางรายได้ของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอก”
เหมียวอี้ตกใจอีกครั้ง “นักพรตระดับสำแดงฤทธิ์หกคนกับนักพรตระดับบงกชกลายหกสิบคน ปล่อยยอดฝีมือออกไปมากขนาดนั้น เจ้าไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นเหรอ?”
หยางชิ่งอธิบายอย่างจริงจังว่า “เรื่องราวไม่ได้แย่อย่างที่นายท่านคิด ในศึกเลือดแย่งชิงใต้หล้าปีนั้น พวกเขาสู้กับบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์ในตอนนี้แทบจะเอาเป็นเอาตาย ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะยอมจำนน ต่อให้ยอมจำนนแต่ก็จะได้รับนิรโทษกรรมชั่วคราวเท่านั้น สุดท้ายก็จะถูกบีบคั้นแน่นอน ในจุดนี้ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่รู้ พวกเขาระมัดระวังตัวยิ่งกว่านายท่านเสียอีก นอกจากนี้ สมาชิกหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกก็ควบคุมช่องทางรายได้ของหกลัทธิเอาไว้ เมื่อไม่ได้ถูกแดนอเวจีควบคุมนานเกินไป แยกกันหลายปีแล้ว ใจคนนั้นยากจะคาดเดา เต็มไปด้วยสิ่งที่ยากจะควบคุม ไม่พ้นมีคนแอบฮุบผลประโยชน์ พวกเราจะต้องควบคุมช่องทางรายได้ของหกลัทธิไว้ในมือตัวเอง ถ้าไม่ส่งยอดฝีมือที่สามารถคุมสถานการณ์ได้ออกไปก็คงไม่ได้หรอก คนทั่วไปควบคุมกลุ่มคนที่อยู่ข้างนอกไม่ไหวเลย และถ้ามียอดฝีมือกลุ่มนี้อยู่ข้างนอกแล้ว ก็สามารถรับประกันความปลอดภัยให้นายท่านได้ในระดับหนึ่ง สามารถให้ความช่วยเหลือนายท่านได้ในช่วงเวลาสำคัญ ยังมีอีกจุดหนึ่ง ถ้าคนพวกนี้ออกไปแล้ว ก็หมายความว่าจะต้องทิ้งอำนาจทางทหารที่มีอยู่ในมือตอนนี้ด้วย ตามที่มีสมาชิกจำนวนมากเข้ามาใหม่ ทั้งยังมีทรัพยากรฝึกตนส่งเข้ามา บรรยากาศของที่นี่ก็แตกต่างกับความไร้ชีวิตชีวาก่อนหน้านี้จนเทียบกันไม่ได้แล้ว การมีตำแหน่งสำคัญว่างหกตำแหน่งจะทำให้เกิดผลกระทบใหญ่หลวง ทั้งข้างล่างข้างบนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลื่อนขั้นของคนจำนวนหนึ่ง จะทำให้รูปแบบของหกลัทธิเกิดการเปลี่ยนแปลง จะมีทั้งคนดีใจและคนไม่พอใจ แล้วตอนนั้นก็จะเป็นโอกาสดีสำหรับให้พวกเรายื่นมือเข้าไปแทรกแซงทั้งหกลัทธิ เป็นโอกาสที่พลาดไม่ได้!”
เหมียวอี้ครุ่นคิดพลางพยักหน้า “เกรงว่าหกลัทธิก็อาจจะมองเห็นจุดนี้แล้วเหมือนกันน่ะสิ”
หยางชิ่งกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “แต่พวกเขาไม่มีทางปฏิเสธได้! พวกเขาจะไม่สนใจการควบคุมช่องทางรายได้ข้างนอกเชียวเหรอ?”
บทที่ 1616 ปฏิเสธลำบาก
จะไม่สนใจได้เหรอ? เหมียวอี้ถามใจตัวเองเช่นกัน แน่นอนว่าคำตอบคือไม่มีทาง เพราะมีเหตุผลเยอะเกินไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ก็ยังมีคนใหม่จำนวนมากให้หกลัทธิเลี้ยง นี่ไม่ใช่เล่ห์เพทุบายแล้ว แต่เป็นเล่ห์เพทุบายที่โจ่งแจ้งสง่าผ่าเผย!
เขาแอบทอดถอนใจ การที่นำหยางชิ่งเข้ามาในแดนอเวจี ก็ได้ทำลายความสงบของหกลัทธิที่ถูกขังอยู่ในแดนอเวจีมาหลายปีแล้วจริงๆ ตอนนี้หกลัทธิได้สนุกแน่
“อืม!” เหมียวอี้พยักหน้า ถือว่าตอบตกลงแล้ว
ทั้งสองปรึกษารายละเอียดกันอีกรอบ และไม่นานก็เรียกคนของหกลัทธิมา ในตำหนักประชุมงาน เหมียวอี้ได้อธิบายเจตนาไว้อย่างชัดเจนแล้ว
บุคคลระดับสูงของหกลัทธิมองหน้ากันเลิกลั่ก เรียกได้ว่าทั้งตกใจทั้งดีใจ ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าจะตอบตกลงหรือไม่ตอบตกลงดี พวกเขาพากันบอกว่าจะกลับไปขอความเห็นจากนายท่านก่อน ที่จริงแล้วต้องขอเวลาพิจารณาสักหน่อย
เหมียวอี้ไม่อยากให้พวกเขาชักช้า จึงกดดันพวกเขานิดหน่อย “พรุ่งนี้ก็จะออกเดินทางแล้ว หวังว่าทุกคนจะให้คำตอบกับข้าอย่างเร็วที่สุด”
คำตอบก็เป็นอย่างที่หยางชิ่งคาดไว้ ไม่นานหกลัทธิก็ร่างรายชื่อสมาชิกที่จะออกไปออกมาแล้ว
ลัทธิผีส่งเหลิ่งจัวฉุนหัวหน้ากลุ่ม ลัทธิพุทธส่งกุยอู๋มาเป็นหัวหน้ากลุ่ม ลัทธิมารส่งตานฉิงมาเป็นหัวหน้ากลุ่ม ลัทธิมารส่งจ่างหงมาเป็นหัวหน้ากลุ่ม ลัทธิ้ซียนส่งเมิ่งหรูมาเป็นหัวหน้ากลุ่ม ลัทธิอู๋เลี่ยงส่งอ๋าวเถี่ยเป็นหัวหน้ากลุ่ม
ถึงแม้จะร่างรายชื่อออกมาแล้ว แต่บางคนก็ไม่ได้รู้สึกสงบใจ มู่ฝานจวินเชิญประมุขขุนพลจ่างซุนจูมาดื่มน้ำชาด้วยกันแล้ว
ทั้งสองคุยเรื่องส่งสมาชิกออกไปรับช่วงต่ออำนาจข้างนอกอย่างเลี่ยงไม่ได้ จ่างซุนจูก่าวอย่างสะเทือนอารมณ์ว่า “โดนขังมาหลายปีขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่จะมีคนของหกลัทธิออกไปจากที่นี่”
มู่ฝานจวินเตือนด้วยรอยยิ้มบางๆ “ที่จริงขอเพียงเต็มใจ ไม่แน่ว่าอาจจะได้ออกไปทุกคนก็ได้นะ”
“หืม หมายความว่ายังไงขอรับ?” จ่างซุนจูแปลกใจ
มู่ฝานจวินยกถ้วยสุราจ่อตรงปาก แล้วกล่าวอย่างใจเย็น “ทำให้เหมียวอี้ยอมบอกเส้นทางเข้าออกก็พอแล้ว”
จ่างซุนจูส่ายหน้า “ท่านคิดว่าเขาจะส่งมาให้เหรอ?”
“ขอเพียงทุกคนมีใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็ต้องมีวิธีการกดดันให้เขาบอกอยู่แล้ว” มู่ฝานจวินกล่าว
“กดดัน?” จ่างซุนจูขมวดคิ้วเล็กน้อย “เรื่องบางเรื่องไม่ได้ง่ายอย่างที่ประมุขปราชญ์คิด ถ้าสามารถกดดันได้จริงๆ เกรงว่าคงจะกดดันไปนานแล้ว แล้วถ้าเรากดดันเขา ก็เกรงว่าคงจะไม่มีใครได้ออกจากแดนอเวจีเลย คนที่หนุนหลังเหมียวอี้ไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้น”
“ไม่ธรรมดายังไง?” มู่ฝานจวินวางถ้วยน้ำชาลง แล้วก้มหน้าลงเล็กน้อย “ใช่ประมุขไป๋รึเปล่า?”
จ่างซุนจูตกใจทันที “ประมุขปราชญ์ทราบด้วยเหรอ?”
มู่ฝานจวินยิ้มมุมปากหยอกล้อ “สงสัยข้าจะเดาไม่ผิด! ข้าก็แค่ไม่เข้าใจ ว่าคนคนหนึ่งที่แม้กระทั้งหน้ายังไม่โผล่มา แต่กลับจับคนกลุ่มใหญ่อย่างพวกเรามาเป็นหมากได้แบบนี้ ประมุขขุนพลจะยอมจริงๆ เหรอ?”
จ่างซุนจูเงียบไป สุดท้ายก็ส่ายหน้าบอกว่า “ถึงแม้ประมุขปราชญ์จะเดาออกแล้ว แต่เกรงว่าคงจะไม่รู้ถึงความน่ากลัวของประมุขไป๋น่ะสิ”
“น่ากลัวขนาดไหน? ข้ายินดีจะฟัง!” มู่ฝานจวินกล่าวอย่างสนใจ
จ่างซุนจูส่ายหน้าอีกครั้ง “เรื่องบางเรื่องไม่สะดวกจะพูด เพราะว่าในปีนั้นได้สาบานไว้แล้ว ถ้าประมุขปราชญ์ยังความจำดีอยู่ ก็น่าจะจำได้ถึงเหตุการณ์ที่ห้าปราชญ์กลั่นแกล้งเหมียวอี้ครั้งก่อน ประมุขปราชญ์รู้หรือเปล่าว่าทำไมพวกเราถึงหยุดยั้งไม่ให้ห้าปราชญ์กลั่นแกล้งต่อไปได้ทันเวลา?”
มู่ฝานจวินตอบว่า “นี่ก็คือสุดที่ข้าสงสัยพอดี น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้ประมุขขุนพลไม่ยอมบอกเลย หรือว่าวันนี้จะยอมบอกแล้วล่ะ”
จ่างซุนจูจ้องตานางพร้อมกล่าวช้าๆ ว่า “ตอนที่ห้าปราชญ์เพิ่งจะกลั่นแกล้งเหมียวอี้ คนของประมุขไป๋ก็มาเตือนพวกเราทันที ถามว่าพวกเราอยากรนหาที่ตายเหรอ!”
มู่ฝานจวินเบิกตาโตขึ้นหลายเท่า นางตกใจไม่เบา
จ่างซุนจูพูดต่อไปว่า “ประมุขปราชญ์ลองคิดถึงเรื่องที่ฐานข้างนอกโดนกวาดล้างอีกครั้งสิ ฐานลับสิบแห่งถูกกวาดล้างพร้อมกัน ไม่ให้แม้กระทั่งเวลาบอกข่าว คงไม่ต้องให้ข้าพูดมากว่าหมายความว่ายังไง อย่างน้อยก็มีอยู่จุดหนึ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ นั่นก็คือทั้งข้างในและข้างนอกของหกลัทธิถูกประมุขไป๋ควบคุมไว้เข้มงวดมาก ถ้ากดดันให้เหมียวอี้บอกทางเข้าออกแล้วยังไงล่ะ ทุกคนจะรอดชีวิตออกจากแดนอเวจีได้รึเปล่ายังเป็นปัญหาเลย”
เห็นได้ชัดว่ามู่ฝานจวินยังไม่ยอมแพ้ “พวกเรามีพรมแดนธรรมชาติที่อันตราย แม้แต่โจรกบฏตำหนักสวรรค์ยังทำอะไรพวกเราไม่ได้เลย ยังจะกลัวประมุขไป๋ที่เหลือแต่ชื่อเชียวเหรอ!”
จ่างซุนจูจึงบอกว่า “ไม่ใช่ว่าโจรกบฏตำหนักสวรรค์ทำอะไรพวกเราไม่ได้ ประมุขปราชญ์คิดจริงๆ เหรอว่าหลายปีมานี้ไม่มีใครช่วยเหลือพวกเรา อาศัยแค่พวกเราก็เฝ้าแดนอเวจีได้แล้วงั้นเหรอ? ถ้าไม่มีคนช่วยเหลือ หกลัทธิคงหายไปนานแล้ว! พรมแดนธรรมชาติที่อันตรายนั้นเป็นเรื่องน่าขำ อาศัยที่เหมียวอี้สามารถไปมาแดนอเวจีได้อย่างอิสระ ประมุขปราชญ์ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ? มีคนรู้จักแดนอเวจีมากกว่าพวกเรา!”
“เฮอะ…” มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม วางถ้วยน้ำชาลงแล้วกำแบชื่นชมนิ้วทั้งห้าซ้ำไปซ้ำมา พลางพึมพำกับตัวเองว่า “หมาก หมาก หมากที่ออกจากกระดานไม่ได้…”
จ่างซุนจูลุกขึ้นยืน ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ประมุขปราชญ์ เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องคิดมากแล้ว คิดไปในทางที่ดีหน่อยก็ได้ ประมุขไป๋ต้องการจะทำอะไรก็เข้าใจได้ไม่ยากหรอก ในเมื่อมีผลประโยชน์ร่วมกันนั้นไม่ใช่เรื่องดีหรอกเหรอ? ไม่กลัวว่าพลังของประมุขไป๋จะแข็งแกร่งหรอก กลัวก็แต่พลังของเขาจะแข็งแกร่งไม่พอ ยิ่งเขาแข็งแกร่งมากเท่าไร โอกาสที่พวกเราจะทำสำเร็จก็ยิ่งมีมาก ไม่อย่างนั้นถ้าอาศัยแค่พวกเรา ต่อให้ออกไปข้างนอกแล้วจะทำอะไรได้ล่ะ? อย่างมากก็แค่ก่อกวนโจรกบฏตำหนักสวรรค์ได้นิดหน่อย สร้างผลกระทบอะไรมากไม่ได้ ร่วมงานกับประมุขไป๋ได้ประโยชน์มากกว่าโทษ ทั้งยังปกป้องแดนอเวจีเพื่อให้พวกเรามีโอกาสเติบโตได้ด้วย ดังนั้น…ที่จริงแล้วความคิดบางอย่างก็ไม่จำเป็นเลย เรื่องบางเรื่องทำไปแล้วก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดีด้วยซ้ำ ถ้าประมุขปราชญ์ไม่มีอย่างอื่นจะกำชับแล้ว ข้าน้อยขอตัวก่อน!” เมื่อเห็นมู่ฝานจวินไม่ตอบอะไร เขาก็กุมหมัดคารวะเดินออกไปแล้ว
“เชอะ…” มู่ฝานจวินแสยะยิ้มอีกครั้ง จากนั้นหลับตาลงช้าๆ แล้วพึมพำกับตัวเอง “เป็นหมาก…”
จ่างซุนจูที่ออกมาจากตำหนักข้างในหันกลับไปมองประตูตำหนัก ขณะที่เดินก้าวยาวออกมาอีกครั้ง ก็พึมพำว่า “ยายแก่นแก้วนั่นเป็นคนที่ประมุขไป๋ส่งมาแท้ๆ ยังคิดจะมาสืบดูปฏิกิริยาของข้าอีกเหรอ?”
วันต่อมา เหมียวอี้ออกจากแดนอเวจีเพียงลำพังแล้ว
ตอนอยู่ที่พิภพใหญ่ วิ่งเต้นบากบั่นไปทั่วดาราจักรมาหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยมีครั้งไหนที่มั่นใจเต็มเปี่ยมเหมือนครั้งนี้เลย สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไร เพราะในกระเป๋าสัตว์ของเขามีนักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพหกสิบกว่าคน ไม่ว่าเจอใครก็กล้าปะทะทั้งนั้น
ทว่าเพิ่งออกจากแดนอเวจีได้ไม่กี่วัน ระหว่างที่อยู่ในดาราจักรก็ได้รับข้อความจากโค่วเจิง บอกว่าจะไปที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีด้วยตัวเองสักรอบ เพราะมีเรื่องจะปรึกษากับเขา
เหมียวอี้ถามว่ามีเรื่องอะไร โค่วเจิงก็บอกว่ารอให้เจอหน้าก่อนแล้วค่อยบอก ทำให้เหมียวอี้พูดไม่ออก ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรถึงต้องมาหาด้วยตัวเอง
รอจนกระทั่งออกห่างจากแดนอเวจีไกลแล้ว เหมียวอี้ถึงได้หยุดพักบนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง แล้วเรียกหกสิบกว่าคนนั้นออกมา
คนพวกนี้มองไปรอบๆ แทบจะหยิบแผนที่ดาวออกมาเทียบตำแหน่งพร้อมกัน แล้วไม่นานแต่ละคนก็ทำสีหน้าตื่นเต้นฮึกเหิมแล้ว
“ในที่สุดก็ออกมาแล้ว ฮ่าๆๆๆ…” ตานฉิงกางแขนสองข้างพลางหัวเราะไม่หยุด
เหมียวอี้รอไปสักประเดี๋ยว รอให้คนพวกนี้ระบายอารมณ์ตื่นเต้นดีใจออกมาพอสมควรแล้ว ถึงได้ยิ้มพร้อมบอกว่า “ทุกคน ขออภัยที่ส่งได้แค่ตรงนี้ ทุกคนจะต้องแยกกันตรงนี้แล้ว ระมัดระวังตัวไว้ตลอดทางนะ ข้าไปก่อนล่ะ”
พอคนกลุ่มนี้เรียสติกลับมาจากความตื่นเต้นดีใจ ก็กุมหมัดคารวะพร้อมกัน “ราชาปราชญ์รักษาตัวด้วย!”
เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ แล้วแฉลบขึ้นไปบนดาราจักร เดินทางไปข้างหน้าต่อ
รอจนกระทั่งเหมียวอี้มาถึงจวนแม่ทัพภาคตลาดผี โค่วเจิงก็มาถึงก่อนเขาหลายวันแล้ว พอมาถึงก็ไม่ได้คุยกับคนอื่นมากนัก เขาเดินเข้าไปกุมหมัดคารวะขอโทษโค่วเจิงในห้องโดยตรง “พี่ใหญ่โค่วโปรดอภัย ข้ากลับมาช้าแล้ว”
โค่วเจิงมองไปทางอวิ๋นจือชิวที่เดินเข้ามาพร้อมกันแวบหนึ่ง แล้วขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าไปไหนมา แม้แต่น้องเจ็ดก็ไม่รู้ว่าเจ้าไปไหน”
เหมียวอี้ยิ้มแห้ง “ไปเดินเล่นที่ตลาดมืดมาขอรับ”
โค่วเจิงขมวดคิ้วมุ่นยิ่งกว่าเดิม ยื่นมือบอกใบ้ให้สองสามีภรรยานั่งลง หลังจากตัวเองนั่งลงแล้ว ถึงได้บ่นว่า “น้องเขย ข้าไม่ได้จะตำหนิเจ้านะ แต่ต่อไปนี้เจ้าต้องพยายามออกจากจวนแม่ทัพภาคให้น้อยๆ ลงหน่อย นี่ก็คือจุดประสงค์ที่ข้ามาที่นี่”
เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวสบตากันแวบหนึ่ง ไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร อวิ๋นจือชิวจึงลองถามว่า “พี่ใหญ่ ทำไมเหรอคะ?”
โค่วเจิงถอนหายใจแล้วบอกว่า “เดิมทีตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน พวกเขารับประกันความปลอดภัยของเจ้าที่ตลาดผี ที่การประชุมราชสำนักพวกเราผลักดันให้ราชินีสวรรค์มีทายาท แต่ใครจะคิดว่าเรื่องราวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย เพราะฝ่าบาทตอบตกลงเร็วกว่าที่คาดไว้ ที่การประชุมในหลายวันมานี้ ฝ่าบาทรับปากแล้วว่าจะพยายามมีทายาทกับราชินีสวรรค์ พอเป็นแบบนี้ ถ้าราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์ขึ้นมาจริงๆ ตระกูลโค่วก็จะหมดประโยชน์ให้ใช้งานเรื่องนี้แล้ว น้องเขย เจ้ามีเรื่องกับคนไว้เยอะเกินไปแล้ว ผลที่ตามมาจะเป็นยังไงเจ้าคงรู้ชัด!”
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ ความรู้สึกถึงอันตรายใหญ่หลวงก็ถาโถมเข้ามา ทำให้สองสามีภรรยารู้สึกเครียด ถึงแม้จะไม่มีใครกล้าบุ่มบ่ามแตกต้องเขยของตระกูลโค่ว แต่ถ้ามีคนแอบใช้วิธีการสกปรกล่ะ เหมียวอี้ล่วงเกินคนไว้มากมายขนาดนั้น ถ้าจับจุดอ่อนของเขาได้ขึ้นมา เกรงว่าจะตัดสินได้ยากว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ลงมือ
ถ้าพูดจากอีกมุมหนึ่ง อวิ๋นจือชิวยอมรับแล้วว่าการรับอ๋องสวรรค์โค่วเป็นพ่อบุญธรรมได้นำอันตรายมาให้เหมียวอี้มากยิ่งขึ้น ถ้าเหมียวอี้ยังไม่ค่อยมีคนหนุนหลังเหมือนก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายก็คงไม่ต้องยกระดับในการลงมือกับเหมียวอี้สูงเท่าไรนัก แต่ตอนนี้ต่างออกไปแล้ว ผลสะท้อนกลับที่เกิดจากการปกป้องของอ๋องสวรรค์โค่วก็มีเยอะพอสมควร เมื่อไปคลุกคลีอยู่กับระดับไหน ก็ย่อมดึงดูดระดับนั้นให้มาสนใจ
บอกได้เพียงว่าต่อให้คาดการณ์มารอบคอบขนาดไหน แต่ก็ยังนึกไม่ถึงว่าประมุขชิงจะจับเหมียวอี้โยนมาที่ตลาดผี ถ้ามาอยู่ที่ทัพเหนือของอ๋องสวรรค์โค่ว ภายใต้กำลังทหารที่คุ้มกันอย่างแน่นหนา ก็ไม่ต้องเกรงกลัวใครทั้งนั้น และครั้งนี้ก็นึกไม่ถึงด้วยว่าประมุขชิงจะตอบตกลงเรื่องทายาทกับราชินีสวรรค์เร็วขนาดนี้ ทำให้การปกป้องจากตึกศาลาสัตยพรตสั่นคลอน
โค่วเจิงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “พวกเจ้าก็ไม่ต้องกังวลมากจนเกินไปนัก ถึงยังไงตลาดผีก็เป็นอาณาเขตของตระกูลเซี่ยโห้ว ตึกศาลาสัตยพรตปกป้องตลาดผีก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ถึงยังไงจวนแม่ทัพภาคก็เฝ้าอาณาเขตให้ตำหนักสวรรค์แต่ในนาม ตึกศาลาสัตยพรตไม่มีทางปล่อยให้คนมาก่อเรื่องได้ตามอำเภอใจ ต่อให้มีคนจงใจจะทำอย่างนั้น แต่ก็ไม่มีทางปล่อยให้จุดอ่อนตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตง่ายๆ แต่ก็พยายามอย่าออกไปข้างนอก ถ้าจำเป็นต้องออกไปข้างนอกจริงๆ ก็ให้ติดต่อกับตระกูลโค่วก่อน เดี๋ยวที่บ้านจะส่งยอดฝีมือมาคุ้มกัน”
เหมียวอี้รู้สึกเซ็ง ไม่ใช่ว่าตัวเองโดนตระกูลโค่วจับตาดูตั้งแต่ตอนออกไปแล้วหรอกเหรอ
อวิ๋นจือชิวแววตาวูบไหว แล้วบอกพร้อมรอยยิ้มว่า “เรื่องแบบนี้พี่ใหญ่แค่ส่งข่าวมาบอกก็พอแล้ว จะกล้าให้พี่ใหญ่ลำบากมาด้วยตัวเองได้ยังไงกัน”
โค่วเจิงมองนางพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เป็นประสงค์ของท่านพ่อ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ท่านพ่อให้ข้ามารับเจ้ากลับไปที่จวนอ๋องสวรรค์ด้วยตัวเองเลย อย่าให้ทั้งสองเสี่ยงอันตรายอยู่ด้วยกัน สามารถหลบหลีกอันตรายได้ส่วนหนึ่งก็ยังดี”
สองสามีภรรยาอึ้งทันที จากนั้นก็สบตากันแวบหนึ่ง เป็นประสงค์ของโค่วหลิงซวี แถมโค่วเจิงยังถ่อมาตั้งไกลด้วยตัวเองอีก ทำให้ทั้งสองปฏิเสธลำบากจริงๆ
“ท่านสามีคิดว่ายังไงคะ?” อวิ๋นจือชิวทำได้เพียงยิ้มพร้อมถามเหมียวอี้
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ที่พี่ใหญ่พูดก็มีเหตุผล เจ้ากลับไปที่จวนอ๋องสวรรค์ก่อนจะดีกว่า”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเบาๆ “งั้นก็ว่าตามท่านสามีแล้วกัน”
จากนั้นทั้งสองก็ขอตัว บอกว่าต้องขอเวลาเก็บของสักหน่อย โค่วหลิงซวีบอกให้รีบเร่งให้เร็วที่สุด
หลังจากทั้งสองกลับมาที่ห้องตัวเองแล้ว อวิ๋นจือชิวปิดประตูแล้วหันกลับมาถามว่า “โค่วเจิงมารับข้าด้วยตัวเอง ยิ่งใหญ่เกินไปหน่อยรึเปล่า?”
เหมียวอี้หันหน้าเข้าหาภาพที่แขวนอยู่บนผนัง แล้วครุ่นคิดคิดพลางส่ายหน้า “ข้าไม่เข้าใจเลย จะต้องมีสาเหตุอะไรที่พวกเราไม่รู้แน่นอน แค่ตอนนี้โค่วเจิงมาด้วยตัวเอง แล้วก็เอ่ยชื่อโค่วหลิงซวีด้วย อีกฝ่ายสนใจความปลอดภัยของเจ้าขนาดนี้ เจตนาดีแบบนี้จะปฏิเสธยังไงล่ะ?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น